happy on December 16, 2012, 07:58:34 PM

ชื่อภาพยนตร์      JACK REACHER
ชื่อไทย      แจ็ค รีชเชอร์ ยอดคนสืบระห่ำ
วันที่เข้าฉาย      27 ธันวาคม 2555
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)
เว็บไซต์      www.JackRecherMovie.com

ทีมนักแสดง
ทอม ครูซ (Tom Cruise)       รับบท    แจ็ค รีชเชอร์
โรซามุนด์ ไพค์ (Rosamund Pike)       รับบท    เฮเลน โรดิน
ริชาร์ด เจนกินส์ (Richard Jenkins)                    รับบท   อัยการเขต โรดิน
เดวิด โอเยลโลโอ (David Oyelowo)   รับบท    นักสืบอีเมอร์สัน
เวอร์เนอร์ เฮอร์ซ็อก (Werner Herzog)    รับบท    เดอะ เซ็ค
ไจ คอร์ทนีย์ (Jai Courtney)       รับบท    ชาร์ลีย์
โจเซฟ ซิโครา (Joseph Sikora)       รับบท    บาร์
ไมเคิล เรย์มอนด์-เจมส์ (Michael Raymond-James) รับบท    ลินสกี้
อเล็กเซีย ฟาสต์ (Alexia Fast)       รับบท    แซนดี้
โรเบิร์ต ดูวัล (Robert Duvall)       รับบท    แคช
   
ทีมผู้สร้าง
คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ (Christopher McQuarrie)—ผู้กำกับ
ทอม ครูซ (Tom Cruise)—ผู้อำนวยการสร้าง
ดอน แกรนเจอร์ (Don Granger)—ผู้อำนวยการสร้าง
พอลลา แว็กเนอร์ (Paula Wagner)—ผู้อำนวยการสร้าง
แกรี เลวินซอห์น (Gary Levinsohn)—ผู้อำนวยการสร้าง



ข้อมูลงานสร้าง

               ในเช้าที่เงียบสงบวันหนึ่งในเมืองธรรมดาๆ คนห้าคนถูกฆ่าตายอย่างไร้เหตุผลระหว่างที่พวกเขาดำเนินชีวิตประจำวันของตัวเอง หลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่คนๆ เดียว เขาคือมือสังหาร ผู้เป็นอดีตทหารนักแม่นปืน เขาถูกรวบและควบคุมตัวอย่างรวดเร็ว
            แม้ว่าจะถูกสอบสวนอย่างต่อเนื่อง นักโทษกลับไม่ปริปากพูดอะไรเลยเว้นแต่ข้อเรียกร้องชวนฉงนที่เขาเขียนไว้บนกระดาษแทนที่คำสารภาพ: หาตัวแจ็ค รีชเชอร์
            รีชเชอร์คนนี้คือใคร? นั่นไม่ใช่คำถามที่ตอบได้ง่ายๆ เลย จริงๆ แล้ว การพิสูจน์ว่าเขามีตัวตนอยู่จริงกลับยากยิ่งกว่า แต่ก็ช่างเถอะ เพราะแจ็ค รีชเชอร์ (ทอม ครูซ) กำลังเดินทางมาแล้ว รีชเชอร์ ชายลึกลับ อดีตทหารผู้เคยทำหน้าที่มือสืบสวนของกองทัพ ไม่ชอบพบปะผู้คน แต่เขารู้จักมือปืนคนนี้ รายงานข่าวเกี่ยวกับการสังหารครั้งนี้กระตุ้นให้เขาเผยตัวจากเงามืด เพื่อเล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังถึงสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับนักโทษรายนี้ ซึ่งก็เยอะทีเดียวล่ะ อดีตที่น่าสะพรึงกลัวของชายผู้นั้นทำให้รีชเชอร์เชื่อว่าพวกเขาจับถูกคนแล้ว
            เมื่อรีชเชอร์ไปถึง นักโทษผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรผู้นี้ก็ตกอยู่ในอาการโคม่า เนื่องจากถูกซ้อมอย่างทารุณระหว่างการขนย้ายนักโทษและทนายความของเขา (โรซามุนด์ ไพค์) ก็เต็มไปด้วยคำถามที่จะถามรีชเชอร์ ลูกความของเธอมีความหลังอะไรกับรีชเชอร์? แล้วทำไมเขาถึงขอความช่วยเหลือจากชายที่เชื่อในความผิดของเขา? แม้ว่าจะรู้สึกหวาดหวั่น แต่เธอก็ยอมทำตามคำขอร้องของลูกความเธอและจ้างรีชเชอร์ให้ทำการสืบสวนเรื่องนี้ ตอนแรก ดูเหมือนว่าตำรวจจะตรวจสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียดละออและมีประสิทธิภาพ และพวกเขาก็สามารถจับตัวฆาตกรได้ด้วยการทำงานสืบสวนที่สมบูรณ์แบบของพวกเขา แต่รีชเชอร์กลับมีปัญหากับความสมบูรณ์แบบนั้น ด้วยฝีปากคมกริบ ความสามารถสูงส่งและความช่างสังเกต เขาก็เลยสังเกตถึงสิ่งผิดปกติที่คนอื่นๆ มองข้ามไป ยิ่งเขาเจาะลึกลงไปในคดีนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเกิดความคลุมเครือมากขึ้นเท่านั้น
            นั่นเองคือจุดเริ่มต้นในการค้นหาความจริง ที่ซึ่งไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เห็นและเพื่อนและครอบครัวอาจเป็นศัตรู ไม่มีรายละเอียดใดที่เล็กน้อยเกิดไปสำหรับรีชเชอร์ ผู้แกร่งกล้าและชาญฉลาด แม้ว่าเขาอาจเป็นหมาป่าเดียวดาย ผู้ทำตามกฎของตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ถูกผลักดันด้วยความรักในความยุติธรรม รีชเชอร์พบว่าตัวเองต้องเจอกับศัตรูที่เฉียบคมและคาดไม่ถึง ศัตรูที่มีความหลงใหลในความรุนแรง และมีความลับซ่อนงำไว้ ซึ่งมันอาจเป็นความลับที่คุ้มค่าต่อการฆ่าคนปิดปากก็ได้ รีชเชอร์จะต้องใช้ไหวพริบและกลยุทธ์ทุกเม็ดเพื่อรอรับและก้าวนำหน้าศัตรูใหม่ของเขา เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์และเปิดโปงผู้กระทำผิดตัวจริง
            จากซีรีส์เบสต์เซลเลอร์นิวยอร์ก ไทม์ โดยนักเขียน ลี ไชลด์ “แจ็ค รีชเชอร์” อดีตมือสืบสวนของกองทัพ หนึ่งในพระเอกที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากที่สุด กำลังจะได้ก้าวจากนิยายขึ้นสู่จอเงิน Jack Reacher เขียนบทและกำกับโดยคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ ผู้กำกับเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด นำแสดงโดยทอม ครูซ, ดอน เกรนเจอร์, พอลลา แว็กเนอร์และแกรี เลวินซอห์น ผู้ควบคุมงานสร้างคือเจค ไมเยอร์ส, เคน คามินส์, เควิน เมสซิค, เดวิด เอลลิสัน, ดานา โกลด์เบิร์กและพอล ชเวค ดนตรีโดยโจ เครเมอร์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือซูซาน แมธทีสัน เควิน ซิทท์, เอ.ซี.อี. รับหน้าที่มือลำดับภาพ เจมส์ บิสเซลรับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้าง คาเล็บ เดสชาแนล, เอ.เอส.ซี. รับหน้าที่ผู้กำกับภาพ Jack Reacher สร้างขึ้นจากหนังสือเรื่อง One Shot โดยลี ไชลด์
« Last Edit: December 16, 2012, 08:06:35 PM by happy »

happy on December 16, 2012, 08:05:13 PM

การเดินทางจากหน้ากระดาษสู่จอเงิน

               ลี ไชลด์ นักเขียนเบสต์เซลเลอร์ระดับโลกไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นนักเขียนเบสต์เซลเลอร์เลย หลังจากที่ศึกษาที่โรงเรียนกฎหมายในอังกฤษ บ้านเกิดของเขา ไชลด์ก็ได้เซ็นสัญญาเข้าทำงานกับแกรนาดา เทเลวิชันในอังกฤษ และ 18 ปีหลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายนำเสนอของซีรีส์และรายการโทรทัศน์ที่ได้รับการยกย่องสูงสุดหลายเรื่อง ระหว่างช่วงที่นักวิจารณ์พูดถึงว่าเป็น "ยุคทอง" ของวงการจอแก้วอังกฤษ แต่การปรับโครงสร้างบริษัทก็ทำให้เขาตกงานในปี 1995 เขาก็เลยนั่งลงเขียนหนังสือ ที่ท้ายที่สุดแล้วถูกตั้งชื่่อว่า Killing Floor นิยายเรื่องแรกของเขา ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1997 นำเสนอตัวละครเอกที่ชื่อ แจ็ค รีชเชอร์ ผู้สะกดใจผู้อ่านได้ในทันที หลังจากที่เขียนเรื่องราวของรีชเชอร์ออกมาอีก 17 เล่ม ความชื่นชอบที่ไชลด์ (และผู้อ่าน)  มีต่อตัวละครตัวนี้ก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย ไชลด์ให้ความเห็นว่า "ตอนที่ผมนึกถึงคำถามเกี่ยวกับที่่มาของรีชเชอร์ เมื่อผมมองย้อนกลับไปในตอนนี้ ผมเห็นว่าเขามาจากสิ่งที่ผมอ่านตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นตัวละครที่ยิ่งใหญ่และมีที่มาจากตำนานเล่าขาน เหมือนอย่างโรบินฮู้ด ที่เป็นวีรบุรุษในโลกตะวันตก เขาปรากฏตัวในแทบทุกยุคในประวัติศาสตร์ เป็นวีรบุรุษสันโดษ เป็นอัศวินรับใช้ อย่างที่พวกเขาเรียกเขาในแง่ของการวิจารณ์วรรณกรรม เขาเป็นคนค่อนข้างเจ้าหลักการ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขากลับถูกเนรเทศให้พเนจรร่อนเร่เพื่อทำความดีไปเรื่อยครับ"
            ผู้เขียนกล่าวว่า ไม่ใช่แค่ความลึกลับของตัวละครตัวนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาได้รับความนิยมมหาศาล (และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ)
            "ในความคิดเห็นของผม เขาเป็นตัวแทนของสิ่งที่พวกเราทุุกคนต่างก็ปรารถนาอย่างลับๆ นั่นคือความยุติธรรม และนั่นก็คือเสน่ห์สำคัญของรีชเชอร์ ทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง ผมคิดว่าผู้หญิงจะไม่พอใจกับความอยุติธรรมมากเป็นพิเศษ และรีชเชอร์คือคนที่จะค้นหาสถานการณ์ที่มีเรื่องไม่เป็นธรรมและเขาก็จะแก้ไขให้มันถูกต้อง เขาจะทำทุกอย่างเท่าที่จำเป็น โดยไม่กลัวเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น แน่นอนครับว้ามันมีความรุนแรงมากมายในหนังสือ ซึ่งมันก็ไม่ได้ถนอมถ้อยคำเลย แต่ผมคิดว่าลึกๆ ลงไปแล้ว เราทุกคนต่างก็ต้องการแบบนั้น เราอยากจะเห็นความยุติธรรม และเราก็อยากจะเห็นคนเลวโดนลงโทษครับ" ไชลด์กล่าว
            สำหรับผู้ที่จะมาสวมบทตัวละครที่โด่งดัง ที่มีมิติรอบด้าน อย่างรีชเชอร์ เขาจะต้องปราศจากความกลัว ไม่ใช่แบบตรงตัวเท่านั้น (รีชเชอร์มักจะเจอกับเหตุร้ายอยู่บ่อยๆ ทำให้ต้องมีงานสตันท์ที่หนักหน่วง) แต่รวมถึงในแง่ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นด้วย รีชเชอร์ไม่แยแสว่าคนจะคิดยังไงกับเขา เขาเป็นวีรบุรุษประหลาดคน เป็นตัวละครที่แสดงได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแฟนๆ หนังสือที่มีภาพในความคิดของตัวเองว่ารีชเชอร์เป็นใครและเป็นยังไง ดังนั้นก็ไม่น่าประหลาดใจเลยที่มันจะกินเวลาถึงเจ็ดปีหลังจากที่ไชลด์ได้พบกับผู้อำนวยการสร้างดอน แกรนเจอร์เพื่อสร้างหนังสือของเขาให้เป็นภาพยนตร์ แต่ไชลด์ก็มองระยะเวลาที่ยาวนานนี้ในแง่บวก
            “ถึงตอนนี้ ผมคงต้องบอกว่าผมดีใจที่มันเป็นแบบนั้น ผมตื่นเต้นมากๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้และบอกตามตรงว่าผมไม่เคยกังวลเลย ผมขายสิทธิหนังสือเรื่องนี้ให้กับกลุ่มคนที่เหมาะสมและพวกเขาก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ที่เราใช้เวลานานเพราะทีมงานมุ่งมั่นกับการนำเสนอมันออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ การรอคอยที่ยาวนานนี้คุ้มค่าในแง่ที่ว่ามันเป็นโปรเจ็กต์เอลิสต์ฟอร์มยักษ์ ตั้งแต่ระดับล่างสุดถึงบนสุดเลยครับ” ไชลด์บอก
            “Jack Reacher” สร้างขึ้นจาก One Shot หนังสือเล่มที่เก้าในชุดรีชเชอร์ แล้วทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจเริ่มต้นตรงกลางเรื่องแบบนี้ล่ะ? ผู้อำนวยการสร้างแกรนเจอร์กล่าวว่า “One Shot อาจจะเป็นหนังสือที่มีความเป็นหนังมากที่สุดในบรรดาทั้งหมด ในนิยายเล่มนี้มีองค์ประกอบหลายอย่างที่เราคิดว่าสำคัญในหนังเรื่องแรก ข้อแรกเลย ผมคิดว่ามันมีหนึ่งในฉากแนะนำรีชเชอร์ที่ดีที่สุด มันเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมในการดึงเขาเข้ามาในพล็อต ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว ข้อสองซึ่งอาจจะเป็นข้อที่สำคัญกว่า คือมันมีความหนักใจทางศีลธรรมของเขา เขาเข้ามาด้วยความเชื่อในสิ่งหนึ่ง แต่ก็มาตระหนักว่าบางทีข้อเท็จจริงอาจชี้ไปในทิศทางอื่น แล้วเขาก็ต้องตัดสินใจว่าเขาจะเลือกทางที่ง่ายเพื่อให้พ้นจากเรื่องนี้ หรือเลือกทางที่ยากว่า และในการตัดสินใจนั้น เราก็ได้รับรู้ว่าทำไมแจ็ค รีชเชอร์ ถึงแตกต่างจากพระเอกหนังคนอื่นๆ ครับ”
            ในการนำพระเอกแบบนั้นขึ้นสู่จอเงินต้องอาศัยทั้งมือเขียนบทและผู้กำกับที่จะชำนาญในเรื่องของแอ็กชันและปริศนา รวมถึงฉากที่สลับซับซ้อน มีรายละเอียดมากมาย ที่มีขนาดใหญ่และเล็ก และตัวละครที่มีความคลุมเครือในเรื่องของความภักดีและแรงจูงใจ และในตัวผู้กำกับคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ ก็มีคุณสมบัติทั้งหมดนี้พร้อมอยู่แล้ว
            แม็คควอร์รีย์ต้องโยนการเล่าเรื่องออกจากหัวโดยไม่สูญเสียมุมมองไม่เหมือนใครที่รีชเชอร์มีต่อโลกใบนี้ “มันเป็นเรื่องของการหาวิธีที่น่าสนใจที่จะคิดภาพมุมมองที่มีเอกลักษณ์ของเขาออกมา เพื่อที่มันจะไม่ได้มีแค่รีชเชอร์ที่บอกคุณว่าเขาคิดอะไรอยู่ตลอด ลีเป็นคนที่วิเศษสุดและคอยสนับสนุนเราตลอด ถ้ามันเวิร์ค ผมคิดว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะผมกับลีมีความเห็นตรงกันในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเน้นย้ำเกี่ยวกับกระบวนการความคิดและมุมมองของรีชเชอร์และวิธีการที่จะแปลสิ่งเหล่านั้นให้ออกมาเป็นภาพน่ะครับ” แม็คควอร์รีย์กล่าว
            ไชลด์ตั้งข้อสังเกตว่า “ในแง่ของฮอลลีวูด ผมคิดว่ารีชเชอร์มีความท้าทายสองอย่าง อย่างแรกเลยคือเสน่ห์หลายอย่างของหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นภายใน ทั้งความคิด นิสัยประหลาดหรือมุมมองพิลึกพิลั่นที่เขามีต่อสิ่งต่างๆ ความท้าทายอย่างที่สองคือ มันไม่เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ตรงที่มันไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงของตัวละครในเรื่องของรีชเชอร์ เขาไม่ได้เดินทาง เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม ดังนั้น สิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการคือทำให้คนเข้าใจ เท่านั้นเอง และแม็คควอร์รีย์ก็ทำได้ เราเห็นพ้องต้องกันครับ ในเรื่องของบท ผมไม่ได้บอกอะไรคริสเลย ผมจำได้ว่าตอนที่เขาส่งบทมาให้ผม มันเป็นช่วงเวลาที่ระทึกใจมากๆ ผมกำลังจะได้อ่านบทหนังที่คนเขียนขึ้นจากหนังสือของผม พอผมอ่านมัน...ผมก็อ่านมันซ้ำอีกรอบทันที เพื่อความเพลิดเพลิด มันเยี่ยมมากครับ ผมไม่เคยอ่านหนังสืออะไรซ้ำสองแบบติดๆ กันเลย ในความคิดเห็นของผมมันเพอร์เฟ็กต์เลย ดังนั้น ตั้งแต่จุดนั้นเป็นต้นมา ผมก็รู้ว่ามันจะเวิร์คครับ”
แกรนเจอร์เล่าว่า “ผมคุยกับลีหลังจากที่เขาได้อ่านบทเรื่องนี้ และเขาก็บอกว่าตอนนี้มีคนสองคนในโลกที่สามารถเขียนเรื่องเกี่ยวกับแจ็ค  รีชเชอร์ได้ คือเขากับคริส แม็คควอร์รีย์ครับ”
 แน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีแกนหลักคือตัวละครเอก ที่รับบทโดยทอม ครูซ
“เราอยากจะโฟกัสไปที่นักแสดงที่สามารถนำความหนักแน่น ความสามารถและพรสวรรค์มาสร้างให้บทบาทนี้เป็นบทบาทที่น่าจดจำ และที่สำคัญไปกว่านั้น คนที่สามารถดึงเอาบุคลิกของรีชเชอร์ ที่เฉพาะเจาะจง ออกมาได้ ตอนที่เราบอกลีว่าเราคิดว่าเราจะเลือกใครมารับบทรีชเชอร์และเราได้ข้อสรุปนั้นมาได้อย่างไร เขาก็เห็นด้วย เขาบอกว่า ‘ทำไมผมถึงจะไม่อยากได้ดาราหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีชีวิตอยู่มารับบทตัวละครที่ผมสร้างขึ้นมาล่ะ’ น่ะครับ” แม็คควอร์รีย์กล่าว
สำหรับครูซ การได้รับการยอมรับจากไชลด์เป็นกุญแจสำคัญ “อย่างแรกเลย ผมอ่อนไหวกับมันมากๆ นี่เป็นหนังสือของลีและตัวละครของลี ความเห็นชอบของเขาสำคัญกับผมมาก ถ้าเขาไม่เห็นด้วย ผมคงจะไม่เล่นหรอกครับ” ครูซบอก
   แน่นอนว่าครูซตื่นเต้นที่ได้รับบทรีชเชอร์ บุรุษมากความสามารถที่มีความสามารถโดดเด่น มีเสน่ห์ดึงดูดใจ และมีกฎปฏิบัติของตัวเอง
   “รีชเชอร์เป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยมมากครับ เขาไม่มีมือถือ ไม่มีอีเมล์ เขาเป็นคนอนาล็อกในยุคดิจิตอล เขาเป็นคนชายขอบ เขาจ่ายเงินสดซื้อของ คนเราจะมองสิ่งต่างๆ ผ่านปริซึมสีสันในชีวิตของพวกเขา แต่แจ็ค รีชเชอร์จะทำสิ่งต่างๆ ในแบบที่บางครั้งเราก็อยากทำ ในแง่นั้น เขาเป็นเหมือนเดอร์ตี้ แฮร์รี, เจมส์ บอนด์หรือโจซีย์ เวลส์ครับ” ครูซบอก
   แม้ว่าครูซจะไม่ได้มีลักษณะคล้ายกับรีชเชอร์ตามที่ถูกอธิบายไว้ในหนังสือ ไชลด์กล่าวว่า ครูซได้ถ่ายทอดถึงแนวความคิดของรีชเชอร์ได้ และนั่นก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าความคล้ายคลึงกันทางกายภาพ
   “ครูซเป็นนักแสดงที่เข้าถึงตัวละครอย่างแท้จริง เขาอินกับมันจริงๆ เขาเข้าใจแจ็ค รีชเชอร์และถ่ายทอดถึงกลิ่นไอของเขาออกมา แต่คำตอบจริงๆ ของเรื่องนั้นคือให้ไปดูหนังเสีย ผมรับประกันได้เลยว่าคุณจะเดินออกมาด้วยความคิดที่ว่า ‘ฉันกังวลอะไรเนี่ย’ น่ะครับ” ไชลด์สรุป
   ยิ่งไปกว่านั้น แม็คควอร์รีย์ตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะทางกายภาพตามที่บรรยายถึงในหนังสือเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในนักแสดงคนไหนก็ตาม แม็คควอร์รีย์เล่า “เราจะไม่มีทางหานักแสดงที่มีลักษณะทางกายภาพเหมือนอย่างที่บรรยายเอาไว้ในหนังสือหรอกครับ เราก็เลยตัดสินใจตั้งแต่แรกว่ามันจะไม่เป็นสิ่งที่เราคำนึงถึงเป็นอันดับแรก”
   แม็คควอร์รีย์กล่าวว่า ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือลักษณะโดดเด่นที่ทำให้รีชเชอร์มีเสน่ห์ ที่เขารู้ว่าจะสอดคล้องกับครูซในระดับส่วนตัว รีชเชอร์เป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดึงดูดใจแม็คควอร์รีย์และมันก็เป็นสิ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษในแง่ที่ว่าครูซจะแสดงคุณสมบัตินั้นออกมาอย่างไร
   “สิ่งที่ผมชี่นชอบเกี่ยวกับรีชเชอร์คือเขาเป็นคนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เป็นคนที่มั่นคงและเป็นหมาป่าสันโดษที่มีความสุขมากๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองและตระหนักรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่แวดล้อมเป็นอย่างดี” แม็คควอร์รีย์กล่าว “ตัวละครส่วนใหญ่ที่ทอมเคยเล่นในหนังเรื่องก่อนๆ มักจะเป็นคนที่อยู่ภายใต้แรงกดดันเคร่งเครียด และถูกผลักดันด้วยการไล่ตามวัตถุประสงค์ของพล็อต แต่รีชเชอร์เป็นคนที่ไม่เคยรู้สึกถึงความกดดัน เขาปล่อยให้ทุกอย่างเข้ามาหาเขา ตอนที่คุณใช้เวลาอยู่กับทอม คุณจะตระหนักได้ว่า ตัวจริงของเขาก็เหมือนรีชเชอร์มากครับ”
   ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าครูซเป็นนักฆ่าหรือเป็นหมาป่าสันโดษ แต่นอกเหนือจากนั้น ครูซมีนิสัยหลายอย่างที่เหมือนกับรีชเชอร์ แม้กระทั่งในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด รีชเชอร์ก็ยังมีอารมณ์ขันที่ผสมผสานกับความกังวลแท้จริง รีชเชอร์ไม่ใช้คนคุยโว เขาเป็นคนช่างคิด รอบคอบ และในตอนที่เขาไม่ได้ถูกโจมตีจากผู้ร้าย เขาก็เป็นเพื่อนพูดคุยที่ดีด้วย
   “สิ่งที่ตื่นเต้นจริงๆ สำหรับผม” แม็คควอร์รีย์กล่าวต่อ “คือการสามารถนำทอมมารับบทที่เขาเล่นเป็นคนที่ใกล้เคียงกับตัวเอง เป็นคนที่เจ๋งกว่า ผ่อนคลายกว่า และเป็นมิตรกว่าน่ะครับ เราไม่ได้พยายามนำเสนอรีชเชอร์ในลักษณะตึงเครียด แต่เป็นในลักษณะถ่ายทอดตามความเป็นจริงมากกว่า เขาดูเหมือนจะเข้าใจว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้นรอบตัวเขายังไง และเขาก็แค่รอให้มันเกิดขึ้น แม้แต่ตอนที่เขาสู้กับชาวเมืองครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก เขาก็บอกคนพวกนั้นว่า ‘การต่อสู้จะออกมาเป็นแบบนี้’ และมันก็เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ เขาให้โอกาสพวกเขาเดินหนีไป แต่พวกเขาไม่ทำน่ะครับ”
   สิ่งที่ช่วยได้คือการได้เพื่อนร่วมงานที่เต็มใจและคอยสนับสนุนอย่างครูซ ผู้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของเรื่องด้วยเช่นกัน แม็คควอร์รีย์และครูซเคยร่วมงานกันมาก่อนใน “Valkyrie” และพบว่าพวกเขามีความคิดอ่านและความรักในภาพยนตร์ที่คล้ายคลึงกัน พวกเขาได้พูดคุยกันอย่างต่อเนื่องในเรื่องของภาพยนตร์นับตั้งแต่นั้นมา นอกจากนี้ พวกเขายังชื่นชอบรถคลาสสิกเหมือนๆ กัน โดยในการพบกันครั้งแรก แม็คควอร์รีย์ได้ขับรถ “...คาดิลแล็คเก่าที่ผมใช้มาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มโสด รถผมอยู่ในช็อป ดังนั้น ถ้าผมไม่ใช่มินิแวนของภรรยา ก็ต้องใช้รถคาดิลแล็คเปิดประทุนปี 1964 คันนี้แหละครับ ทอมถามว่าเขาจะขอดูมอเตอร์รถหน่อยได้มั้ย และบอกว่ามันมีสายไฟเส้นหนึ่งที่ต้องแก้ไข...เราคุยกันทั้งบ่ายเลยครับ...” แม็คควอร์รีย์เล่า
   “ครับ เขามีรถที่สวยมาก” ครูซยืนยัน “ผมเป็นแฟนผลงานเขาตั้งแต่ ‘Usual Suspects’ และเราก็เริ่มคุยกันถึงเรื่องรถและหนัง เกี่ยวกับการถ่ายทำ การแสดงและโครงสร้าง เราเข้ากันได้ดีครับ คริสรักหนังมากและเขาก็เข้าใจโครงสร้างและการลำดับภาพอย่างดี คุณจะมองเห็นภาพของหนังเรื่องนี้ตอนที่คุณอ่านบทเลยล่ะครับ บทของเขาน่าทึ่งมาก แล้วเขาก็เขียนบทพูดในแบบที่ในฐานะนักแสดงแล้ว คุณอยากจะพูด อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนั้นครับ” ครูซกล่าว
   ความรักที่พวกเขามีต่อภาพยนตร์บางเรื่อง หรือแม้กระทั่งรถคันโต ก็ถูกร้อยเรียงมาอยู่ใน “Jack Reacher” ด้วยเช่นกัน
   “มันมีองค์ประกอบของหนังทริลเลอร์และหนังระทึกขวัญ แต่ก็มีองค์ประกอบที่โรแมนติกมากๆ สอดแทรกในนั้นด้วย สิ่งที่เราพยายามจะทำคือการย้อนเวลาในแง่ของสไตล์และโทน กลับไปสู่หนังที่ผมและทอมโตขึ้นมาด้วย หนังที่พวกเรารักจริงๆ น่ะครับ เราพยายามจะหลีกเลี่ยงแบบฉบับสมัยใหม่ของหนังแนวนี้ มันให้ความรู้สึกแบบอเมริกัน ที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว และนั่นก็เป็นสิ่งที่ตัวละครของเรามองหาครับ” แม็คควอร์รีย์กล่าว
   ครูซกล่าวเสริมว่า เรื่องราวนี้ดูเหมือนจะมีองค์ประกอบทั้งหมดที่เหมาะกับภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์อย่างลงตัว ไม่ว่าจะมีครูซนำแสดงหรือไม่ก็ตาม
   “มันมีตัวละครและเรื่องราวที่เหลือเชื่อ เป็นหนังแบบที่ผมชื่นชอบและมันก็มีเอกลักษณ์แบบแม็คควอร์รีย์มากๆ ทั้งการผจญภัย เรื่องหักมุม การประลองไหวพริบและอารมณ์ขัน ผมบอกว่า ‘ถ้าคุณสนใจในโปรเจ็กต์นี้ ผมก็อยากจะเล่นบทนี้ แต่มันเป็นการตัดสินใจของคุณ แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็คิดว่าคุณจะเป็นผู้กำกับที่เพอร์เฟ็กต์ และผมก็อยากจะเล่นบทนี้ แต่ถ้าไม่ได้ ผมก็จะอำนวยการสร้างเรื่องนี้เอง’ น่ะครับ”
   โชคดีที่ “Jack Reacher” กลายเป็นโปรเจ็กต์ที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับแม็คควอร์รีย์และครูซ โดยที่ครูซรับหน้าที่ทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง
   ข้อกังวลต่อไปของพวกเขาคือการคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทเฮเลน โรดิน ทนายจำเลยผู้รับคดีของสไนเปอร์ผู้อยู่ในอาการโคม่า และพวกเขาก็ได้พบเฮเลนของพวกเขาในโรซามุนด์ ไพค์
   เนื่องด้วยอุปสรรคเรื่องการเดินทาง แม็คควอร์รีย์และไพค์ก็เลยได้พบกันครั้งแรกทางสไคป์ การคุยกัน 20 นาทีตามที่วางแผนไว้ของพวกเขาจบลงในอีกสองชั่วโมงให้หลังและแม็คควอร์รีย์ก็รู้ว่าเขาพบนางเอกของเขาแล้ว ไพค์ดูเหมือนจะเข้าใจและถ่ายทอดความเฉลียวฉลาด ความเปราะบางและความท้าทายของเธอได้เป็นอย่างดี
   ไพค์เองก็กระตือรือร้นกับการรับบทนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอพูดคุยกับมือเขียนบท/ผู้กำกับผู้นี้อยู่นาน เธอตั้งข้อสังเกตว่า “ฉันไม่ได้สนใจในการรับบททนายความตามแบบฉบับ ที่ตอนนี้เป็นที่นิยมในหนังฮอลลีวูดหลายเรื่องหรอกค่ะ เราเริ่มคาดหวังว่าเจ้าหน้าที่กฎหมายในเรื่องจะเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์ สุภาพ เรียบร้อย อันตรายและเย็นชานิดๆ แต่ฉันสนใจในการดึงความเป็นมนุษย์ในตัวผู้หญิงคนนี้ คนที่พยายามจะแสดงความสุภาพเรียบร้อยออกมา แต่จริงๆ แล้ว เธอต้องดิ้นรนที่จะควบคุมตัวเองให้ได้ เราทั้งคู่ต่างก็มองหารอยร้าวที่จะเกิดขึ้นค่ะ”
   ในการพัฒนาตัวละครของเธอ ไพค์และแม็คควอร์รีย์ต้องการจะเพิ่มระดับความเสี่ยงขึ้นอีก “ในนิยาย บริษัทของเฮเลนคัดค้านการที่เธอรับทำคดีของเจมส์ บาร์ ฉันอยากจะรู้สึกว่าเฮเลนยอมเสี่ยง โดยที่ไม่มีตัวช่วยหรือเงินทุนในการทำให้คดีนี้แข็งแรงขึ้น ลูกความของเธออยู่ในอาการโคม่า และเธอก็ไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากบริษัทของเธอให้จ้างนักสืบเอกชน ฉันอยากให้ผู้ชมได้เห็นอีกด้านหนึ่งของกฎหมาย ได้เห็นทนายความที่จนตรอกแทนที่จะควบคุมทุกอย่างได้ตามต้องการ การจ้างรีชเชอร์ของเธอเป็นการเสี่ยงดวงค่ะ เป็นการเสี่ยงดวงที่ดูเหมือนจะให้ผลร้ายด้วยซ้ำ เพราะเฮเลนเริ่มสงสัยว่าเธอได้จ้างนักทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งเป็นคนบ้าที่ชอบความรุนแรง และไม่แคร์เรื่องหลักฐานมารึเปล่าน่ะค่ะ”
   ไพค์ชื่นชอบความยืดหยุ่นของแม็คควอร์รีย์ที่เปิดโอกาสให้นักแสดงใช้แต่ละเทคเป็นโอกาสในการสำรวจความเป็นไปได้ต่างๆ ในฉากนั้นๆ ไพค์กล่าวต่อว่า “คริส แม็คควอร์รีย์ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากฮิทช์ค็อกในเรื่องของการสร้างความลุ้นระทึก เขามีเซนส์ด้านจังหวะที่เป็นส่วนสำคัญในงานเขียนของเขาและการถ่ายทำของเขาด้วย พอคุณเริ่มเข้าใจเซนส์ด้านเวลาของเขา การทำงานกับการเคลื่อนไหวกล้องและการปล่อยตัวเองให้ไว้ใจในสัญชาตญาณของเขาก็เป็นเรื่องสนุกค่ะ คุณจะรู้สึกถึงสายใยของความตึงเครียดและความระทึกขวัญ คุณมีปลายด้านหนึ่งและมันก็พุ่งตรงผ่านกล้องไปที่ผู้ชม แม็คควอร์รีย์สร้างสมดุลของความตึงเครียดที่ทบทวีขึ้นด้วยอารมณ์ขันภายในที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเขา นอกจากนั้น เขายังทำให้แน่ใจด้วยว่า ไดอะล็อคจะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เขาชื่นชอบการพ่นไดอะล็อครัวเป็นปืนกลอย่างในหนังเรื่อง ‘His Girl Friday’ และฉันกับทอมก็ใช้หนังเรื่องนี้เป็นตัวอ้างอิงถึงจังหวะในบางฉากค่ะ”

   

happy on December 16, 2012, 08:06:13 PM
             

               วิธีการถ่ายทอดมุมมองทางอารมณ์และสติปัญญาของบทเฮเลนของไพค์ทำให้ครูซประทับใจ การแสดงที่สง่างามของเธอทำให้เขานึกถึงนักแสดงหญิงคลาสสิก
   “...อย่างเฟย์ ดันอะเวย์หรือเกรซ เคลลี เธอเหมือนกับนักแสดงหญิงเหล่านั้นตรงที่เธอสวยและนำความซับซ้อน ความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์มาสู่ตัวละครตัวนี้ เรามีฉากยากๆ ด้วยกันหลายฉาก มีไดอะล็อค 15 หน้า และมีความนัยและประเด็นต่างๆ มากมายในเรื่องที่สื่อถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา มันโรแมนติก แต่ก็ไม่มากเกินไป และมันก็มีความสง่างามและน่าประหลาดใจด้วยครับ หลายสิ่งหลายอย่างถูกสื่อเป็นนัยด้วยสิ่งที่ไม่ได้ถูกพูดระหว่างพวกเขา เธอเป็นคนมีชีวิตชีวาและมีพรสวรรค์อย่างเหลือเชื่อ และผมก็มีความสุขมากที่ได้ร่วมงานกับเธอครับ” ครูซบอก
   จริงๆ แล้ว ฉากที่แม็คควอร์รีย์โปรดปรานที่สุดในเรื่องเผยให้เห็นถึงลักษณะและเท็กซ์เจอร์ของความสัมพันธ์ระหว่างรีชเชอร์และเฮเลน
   “ฉากโปรดของผมคือฉากโทรศัพท์ระหว่างทอม และโรซามุนด์” แม็คควอร์รีย์สารภาพ “มันเกิดขึ้นหลังจากการไล่ล่าทางรถยนต์ รีชเชอร์ถูกใส่ความว่าเป็นฆาตกรและรู้ว่าสิ่งที่ผู้ร้ายอยากให้เขาทำคือหนี และเขาก็โทรหาเฮเลนที่อพาร์ทเมนต์ของเธอ ในตอนที่เธอถูกตำรวจ ที่กำลังตามหาตัวรีชเชอร์ ซักถาม และเธอก็ต้องตัดสินใจว่าเธออยู่ข้างไหน เธอจะส่งตัวเขาให้ตำรวจ ที่เธอกำลังคุยด้วย หรือเธอจะต้องเชื่อใจคนๆ นี้ ที่เธอเริ่มเชื่อแล้วว่าเป็นบ้า และหลักฐานที่มีอยู่ในตอนนี้ก็บ่งชี้ว่าเขาฆ่าคน และเธอก็ต้องเลือก มันเป็นสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งหมดที่เราปูพื้นมาในเรื่องได้มาบรรจบกันในฉากๆ นี้ การแสดงของทอม โรซามุนด์ที่ติดอยู่ตรงกลางความสัมพันธ์นั้น และสิ่งที่เธอตัดสินใจทำหรือวิธีที่เธอทำ มันเป็นองค์ประกอบของหนังเยี่ยมๆ ที่ผมรักครับ ทุกคนทำงานร่วมกันเพื่อทำให้มันสำเร็จออกมาอย่างงดงามและผมก็ภูมิใจในฉากนี้จริงๆ” แม็คควอร์รีย์บอก
   ตัวละครที่เป็นทนายจำเลยจะต้องขัดแย้งกับอัยการเขต ผู้ซึ่งเธอไม่ไว้ใจเลย มันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนไปใหญ่เพราะเขาเป็นพ่อของเธอ ที่รับบทโดย ริชาร์ด เจนกินส์
   ทีมผู้สร้างตั้งข้อสังเกตว่า เจนกินส์เป็นตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวของพวกเขาสำหรับทอัยการเขตโรดิน ทั้งแม็คควอร์รีย์และแกรนเจอร์ต่างก็เป็นแฟนผลงานที่มากมายของเจนกินส์ ฉากของเขามีความสำคัญต่อการนำเสนอความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของความเคลือบแคลงและการหักหลังที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ลูกสาวเขาสืบสวนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ทีมผู้สร้างรู้ดีว่าเจนกินส์สามารถสื่อสารทุกระดับของความสัมพันธ์ซับซ้อนที่เขามีกับลูกสาวเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความผิดหวัง รอยแผลเก่า และความกังวลด้านความเป็นอยู่ของเธอ
   “เรารู้ว่าเขาจะสามารถสะท้อนถึงสีเทาในจิตวิญญาณของตัวละครตัวนี้ได้ ในตอนที่เราดูเขาถ่ายทำบางฉาก มันก็น่าทึ่งที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในดวงตาของเขา เขารู้สึกยังไงกับเฮเลนกันแน่? เขาเข้าข้างเธอ หรืออยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ? มันทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามีเสน่ห์อย่างไม่สิ้นสุดครับ” แกรนเจอร์กล่าว
   เจนกินส์กล่าวเสริมว่า เขารู้สึกหลงใหลในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เต็มเปี่ยม ระหว่างพ่อและลูกสาวคู่นี้
   “ผมพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งคู่น่าเชื่อมากๆ ผมอยากจะรู้ว่าพวกเขาก้าวไปถึงจุดๆ นั้นได้ยังไง มันเกือบจะเป็นหนังอีกเรื่องได้เลยนะครับ เราทั้งคู่ต่างก็มีความคิดของเรา แต่มันก็ไม่ได้ถูกสำรวจอย่างเปิดเผยในหนังเรื่องนี้ แต่ผู้ชมไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้น สิ่งสำคัญเพียงหนึ่งเดียวคือความคิดต่างๆ อยู่ตรงนั้น มันมีการปะทะกันครั้งใหญ่โต และลีและคริสโตเฟอร์ก็ได้คิดออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกที่ซับซ้อนมากๆ ขึ้นมาครับ” เขากล่าว
   นอกจากนั้นแล้ว เจนกินส์ยังชื่นชอบ ‘การเล่นสนุก’ ที่ปรากฏใน “Jack Reacher” ด้วย
   เขากล่าวต่อว่า “เรื่องราวเหมือนจูงมือผู้ชมไป แล้วบอกว่า ‘ผมกำลังพาคุณไปที่นี่นะ’ คุณก็บอกว่า ‘รู้แล้วน่า’ ‘คุณไม่รู้จริงๆ หรอก’ เรื่องราวตอบโต้ มันเป็นการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมและเป็นงานเขียนที่ดีจริงๆ คริสพบวิธีที่จะเผยตัวละครแต่ละตัวออกมาในแบบที่แตกต่างกัน เขาทำแบบนั้นกับตัวละครของผม ตำรวจสืบสวนอีเมอร์สันยืนอยู่ตรงนั้น และโชว์ภาพสถานที่เกิดเหตุให้เจมส์ บาร์ ผู้น่าจะเป็นคนเหนี่ยวไก ได้ดู อีเมอร์สันบอกว่า ‘เราได้หลักฐานทั้งหมดที่เราต้องการแล้ว นายเสร็จแน่’ แล้วเขาก็นั่งลง แล้วชี้ไปที่ตัวละครของผม ที่ยืนพิงกำแพงบอกว่า ‘เขาเป็นอัยการเขต’ ผมยืนอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา แต่คุณจะไม่เห็นผมจนกว่าเขาจะนั่งลง และคริสก็ใส่เอาอะไรแบบนั้นเข้าไปในหนังเรื่องนี้เต็มไปหมดครับ”
   ในการรับบท แคช อดีตนายทหารผู้ตอนนี้เปิดศูนย์ฝึกยิงปืน ทีมผู้สร้างได้เลือกนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ ผู้ได้รับการยกย่อง โรเบิร์ต ดูวัล ผู้ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับครูซใน “Days of Thunder” เมื่อเกือบ 22 ปีก่อน และทีมงานทุกคนต่างก็เฝ้ารอการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งของพวกเขา
   แกรนเจอร์กล่าวว่า “พวกเขาเป็นนักแสดงแห่งยุค การได้ดูพวกเขาเล่นประชันกัน เหมือนกับการดูปรมาจารย์หมากรุกหรือนักเล่นเทนนิส แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แสดงด้วยกันมานานแล้ว พวกเขาก็สร้างจังหวะกันได้อย่างรวดเร็ว เหมือนว่าพวกเขาเพิ่งปิดกล้อง ‘Thunder’ ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน จริงๆ แล้ว พวกเขาต่างก็มีคุณสมบัติเดียวกัน ระหว่างเทค พวกเขาต่างก็ถอยหลัง และปิดตาลงครับ พวกเขาและคริส ในตอนที่เขากำกับต่างก็มองหาตัวเลือกอื่น หรือวิธีอื่นที่จะแสดงบทบาทนั้นๆ การได้ดูพวกเขาทำงานร่วมกันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นครับ”
   สำหรับดูวัล มีการสร้างสายสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมแสดงทุกคนของเขา ไม่ว่าจะย้อนกลับไปไกลแค่ไหน เขาตั้งข้อสังเกตว่า “มันเป็นงานที่ตลกดีนะครับ คุณได้ทำงานกับทีมงานประมาณแปดหรือสิบสัปดาห์ แล้วคุณก็เสร็จงานและไม่ได้เห็นคนพวกนั้นอีกเลย ในแง่หนึ่ง มันก็เป็นความสัมพันธ์ฉาบฉวย แต่มันก็จะมีสายสัมพันธ์ในตอนที่คุณเห็นคนที่คุณเคยร่วมงานด้วยหลังจากเวลาผ่านไปแล้วหลายปี มันมีเสียงหัวเราะ อ้อมกอด การปล่อยมุข ซึ่งก็เป็นเรื่องดีครับ เราต่อกันติด เราต่างก็ผ่านเส้นทางและความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันไป แต่ในการกลับมาเจอกันอีก...เขาเป็นนักแสดงที่เก่งครับ เมื่อคุณพูดและฟัง ฟังและพูด นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของกระบวนการแสดงทั้งหมด และเขาก็อยู่ที่นั่นกับคุณทุกเวลา คนคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะสวมบทตัวละครตัวหนึ่ง แต่ทุกคนน่าจะลองทำดูนะครับ มันไม่ง่ายขนาดนั้นที่จะทำตัวผ่อนคลายและแสดงให้เหมาะกับช่วงเวลานั้นๆ น่ะครับ” ดูวัลตั้งข้อสังเกต
   แม้ว่าแคชจะระแวงรีชเชอร์ในตอนแรก ในที่สุด ทั้งคู่ก็ร่วมมือกัน และการร่วมมือที่แปลกประหลาดของทั้งคู่ก็กลายเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานที่สุดในเรื่อง ครูซเองก็ตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับดูวัลอีกครั้งและเห็นด้วยว่า ตอนที่พวกเขาได้เจอกันอีกครั้งในกองถ่าย มันเหมือนกับว่าเวลาไม่ได้ผ่านไปเลย
   “บอกตามตรงนะครับ มันเหมือนกับว่าเราไม่เคยแยกจากกันเลย มันมีความสบายๆ ระหว่างเราและเขาก็เป็นคนที่น่าสนใจและน่าร่วมงานด้วยอย่างยิ่ง คือเขาเป็นไอคอนน่ะครับ เขามีผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดหลายครั้งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และเขาก็เป็นนักแสดงที่แท้จริง ผมดีใจมากในตอนที่เขาบอกว่าเขาจะเล่นหนังเรื่องนี้ ผมชอบที่ว่าตอนที่คุณได้ดูหนัง และคุณคิดว่าคุณรู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป แล้วจู่ๆ ก็มีสมบัติล้ำค่าปรากฏขึ้นและนั่นก็คือดูวัล นักแสดงพิเศษสุดที่แสดงเป็นตัวละครที่วิเศษสุดตัวนี้ และผมก็ชื่นชอบความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นนระหว่างพวกเขา ซึ่งมันทั้งตลกและเฉียบคมมากๆ มันน่าตื่นเต้นที่ได้แสดงในทุกวันที่เขาอยู่ตรงนั้นครับ” ครูซกล่าว

               นักแสดงผู้ได้รับการยกย่องอีกคนที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในบทของตัวละครชั่วร้ายในเงามืด เดอะ เซ็ค คือเวอร์เนอร์ เฮอร์ซ็อก ผู้กำกับคนดังผู้มีความกระตือรือร้น และคติการทำงานที่เยี่ยมยอดทั้งสร้างประทับใจให้กับครูซและทำให้ตัวเขารู้สึกเทียบกันไม่ได้
   “ตัวเขาเองเป็นผู้กำกับที่พิเศษสุดและเขาก็ตื่นเต้นมากๆ ที่ได้มาร่วมเล่นในหนังเรื่องนี้ เขากระโจนเข้าใส่มันและคอยสนับสนุนอย่างเหลือเชื่อ เขาทั้งแสดงความสนใจและแสดงความเอื้อเฟื้ออย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราได้ถ่ายทำกันตอนกลางคืนในเดือนมกราคม ผมตัวเปียกปอน หนาวสั่นเข้ากระดูกดำ แต่เขาก็อยู่ตรงนั้นกับผม และทุ่มเททุกอย่างให้กับฉากนั้นครับ” ครูซกล่าว
   เฮอร์ซ็อกชื่นชอบสไตล์การกำกับของแม็คควอร์รีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติเปิดเผยที่เขามีต่อการมีส่วนร่วมในบทของนักแสดง
   “มันเป็นเรื่องง่ายมากๆ สำหรับเขา และคุณก็จะรู้สึกได้ถึงการแนะนำที่ชัดเจน เขาเป็นคนยืดหยุ่น ที่พร้อมจะเปลี่ยนความหมายของไดอะล็อคออกไปเล็กน้อยเพื่อทำให้บางอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ผมปรับตามได้อย่างรวดเร็ว ผมชื่นชอบคนที่เป็นทั้งนักเขียนและผู้กำกับ เพราะคุณรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงบทพูดแค่ครึ่งประโยคจะไม่ได้ส่งผลให้มีการประชุมกันในสตูดิโอน่ะครับ” เฮอร์ซ็อกกล่าว

               ตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งในเรื่อง “Jack Reacher” คือนักสืบตำรวจอีเมอร์สัน แกรนเจอร์ตั้งข้อสังเกตว่า มีบางตอนในเรื่องที่ผู้ชมอาจเริ่มจะเชื่อว่าอีเมอร์สันและรีชเชอร์จะร่วมมือกัน แกรนเจอร์พูดถึงนักสืบอีเมอร์สันว่าเป็น “นักสืบที่ตรงไปตรงมา มีความเห็นอกเห็นใจ มีศีลธรรมสูง ฉลาด และมีความสามารถที่จะไขคดีได้”
   นั่นเป็นบทบาทของเดวิด โอเยลโลโอ ผู้เล่าว่า “ตอนที่ผมนั่งคุยกับคริส สิ่งที่เขารู้สึกอย่างแรงกล้าคืออีเมอร์สันให้ความรู้สึกเหมือนหยาง ในขณะที่รีชเชอร์เป็นหยินน่ะครับ มันมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันเสมอ แต่ความจริงก็คือในตอนที่พวกเขาอยู่ในห้องเดียวกัน มันจะมีความเป็นปรปักษ์กันนิดๆ ทั้งคู่ต่างก็มีจิตใจช่างสงสัย และพวกเขาต่างก็เข้าใจถึงเรื่องการรวบรวมข้อมูลโดยมีเป้าหมายเพื่อไล่ล่าอาชญากรน่ะครับ ส่วนหนึ่งของความตึงเครียดมาจากระดับการแข่งขัน ที่ทั้งคู่พยายามจะรวบตัวคนที่พวกเขาต้องการให้ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาขัดแย้งกันเพราะความแตกต่างของพวกเขาน่ะครับ”
   นอกจอ โอเยลโลโอมีแต่ความชื่นชมสำหรับครูซ ทั้งในฐานะนักแสดงและผู้อำนวยการสร้าง
   “ผมไม่เชื่อว่าผมจะเคยได้ร่วมงานกับนักแสดงที่มีระดับความทุ่มเท ความกระตือรือร้นและทัศนคติเชื่อมั่นเท่าเขามาก่อน เรามีฉากไล่ล่าทางรถยนต์ในหนังเรื่องนี้ และมีเรื่องสุดโต่งบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะทอมตั้งระดับมาตรฐานไว้สูงสำหรับสิ่งที่เขาต้องการสร้างฉากผาดโผนให้เกิดขึ้น ในฐานะผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง เขาก็แคร์โปรเจ็กต์นี้มาก การได้อยู่ใกล้เขาเป็นอะไรที่สร้างแรงบันดาลใจได้มากจริงๆ ครับ” เขากล่าว
   โอเยลโลโอไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกอย่างนี้กับครูซและความรักแท้จริงที่เขามีต่อภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้างดอน แกรนเจอร์เล่าถึงวันหนึ่งในกองถ่าย “....ที่ผมหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบผู้อำนวยการสร้าง เพราะมันมีบางประเด็นที่ทำให้ผู้อำนวยการสร้างปวดหัว แล้วทอมก็ถามผมว่าผมโอเคมั้ย ผมก็ตอบทำนองว่า ‘อืม ก็แค่ปัญหาบางเรื่องที่เราเจอน่ะ’ เขามองตาผมแล้วบอกว่า ‘ปัญหาเหรอ? นี่คุณกำลังสร้างหนังอยู่นะ มันไม่มีปัญหาหรอก เราโชคดีออก’ และเขาก็พูดถูกครับ ทอมเป็นคนที่ไม่กลับเข้าเทรลเลอร์ตัวเอง แต่จะใช้เวลาอยู่ในกองถ่าย เพราะเขารักกระบวนการทำงานครับ เขารักในการเซ็ทอัพช็อตมากพอๆ กับการได้แสดงอยู่หน้ากล้อง เขารักทุกอย่างเกี่ยวกับการสร้างหนัง ทุกอย่างเกี่ยวกับศาสตร์แขนงนี้ มันไม่มีที่ไหนที่เขาอยากอยู่มากไปกว่านี้อีกแล้ว และนั่นก็ทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันและทำให้เราทำในสิ่งที่ทำอยู่ได้ดียิ่งขึ้นครับ”
« Last Edit: December 16, 2012, 08:11:44 PM by happy »

happy on December 16, 2012, 08:10:42 PM

รถและการต่อสู้ในเมืองพิตส์เบิร์ก

               ตามขนบของทริลเลอร์คลาสสิกยุค 70s อย่าง “Bullitt” และ “The French Connection” “Jack Reacher” เองก็มีซีเควนซ์การไล่ล่าทางรถยนต์ที่น่าทึ่ง ท่ามกลางท้องถนนในย่านดาวน์ทาวน์และตรอกซอกซอยในเมืองพิตส์เบิร์ก ที่ซึ่งเรื่องราวได้เกิดขึ้น
   คาเล็บ เดสชาแนล ผู้กำกับภาพผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ได้ย้อนกลับไปหาทริลเลอร์ยุค 70s อย่าง “The Taking of Pelham One Two Three” ในการคำนึงถึงเรื่องนั้น แม็คควอร์รีย์ตัดสินใจที่จะถ่ายทำในระบบไวด์สกรีน อนามอร์ฟิค เช่นเดียวกับภาพยนตร์คลาสสิกเหล่านั้น และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ “เงางามและใหม่” สำหรับรีชเชอร์ ในการนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงถ่ายทำกันในโลเกชันที่พิตส์เบิร์ก, เพนซิลวาเนีย ซึ่งแกรนเจอร์บอกว่าได้สร้าง “ความรู้สึกแบบอุตสาหกรรม” ให้กับการถ่ายทำ
   “พิตส์เบิร์กให้ความรู้สึกของเมืองใหญ่ที่ขุดขึ้นมาจากหิน ถูกสกัดออกมาจากพื้นดินและถูกสร้างจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ด้วยสีสันของเหล็ก ดินแดงและเอิร์ธโทนครบั มันปรากฏชัดในลักษณะที่จิม บิสเซลได้ออกแบบหนังเรื่องนี้ และลักษณะที่ซูซาน แมทธีสันได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รีชเชอร์ เราอยากแนะนำพระเอกอเมริกันแบบใหม่เวอร์ชันของเราในเมืองที่แสดงออกถึงเนื้อแท้ความเป็นอเมริกันน่ะครับ” 
   คุณสมบัติที่คลาสสิกสำหรับภาพยนตร์แอ็กชันอเมริกันที่ดีที่สุดคือฉากไล่ล่าทางรถยนต์ หนึ่งในไม่กี่สิ่งที่แจ็ค รีชเชอร์ ผู้ไม่ได้ขับรถ ไม่พร้อมรับมือกับมัน
   เดิมที การไล่ล่าทางรถยนต์ถูกกำหนดว่าจะถ่ายทำในเวลาห้าคืน แต่ครูซแนะนำให้แม็คควอร์รีย์ขยายซีเควนซ์นี้ออกและทำให้มันเป็นฉากสำคัญของเรื่อง แม็คควอร์รีย์เล่าว่า “ทอมบอกว่า ‘ผมอยากให้คุณเข้าหามัน ผมอยากให้คุณดูการไล่ล่าทางรถยนต์ที่คุณชื่นชอบทั้งหมด บอกผมมาว่าคุณอยากทำอะไรแล้วเราจะทำให้มันเกิดขึ้น’ น่ะครับ”
   แม็คควอร์รีย์ได้พบกับ (ผู้กำกับยูนิทที่สองและผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์) พอล เจนนิงส์ เพื่อออกแบบซีเควนซ์แบบนั้น “คริสและผมนั่งคุยกันในห้องและเริ่มพูดถึงสิ่งที่เราสามารถทำให้แตกต่างและแปลกใหม่ได้” เจนนิงส์เล่า “ในขณะเดียวกัน เราก็อยากให้มันคลาสสิก และมีพื้นฐานจากฉากไล่ล่าทางรถยนต์เยี่ยมๆ ที่เราต่างก็รู้จักและรัก เราให้เหตุผลว่าทุกคนคิดว่าการถ่ายทำฉากไล่ล่าทางรถยนต์คือการโกงด้วยมุม ทำให้มันดูเร็วขึ้น และใช้การลำดับภาพเร็วๆ และเราก็คิดว่า ‘รู้มั้ย ในหนังเก่าๆ พวกเขาก็แค่ขับรถซิ่งด้วยความเร็วสูงจริงๆ นั่นทำให้มันดูเจ๋งครับ’” นอกจากนี้ แม็คควอร์รีย์กับเจนนิงส์ยังตระหนักด้วยว่า ครูซเป็นนักขับรถมืออาชีพที่มากประสบการณ์ “คริสกับผมตัดสินใจกันว่าเราจะใช้ทอมในทุกช็อตเท่าที่ทำได้” เจนนิงส์บอก “และถ้ากล้องไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ช็อตนั้นก็ไม่คุ้มค่าต่อการถ่ายทำหรอกครับ...” ครูซตอบรับหลักการนี้อย่างดีและตลอดสองเดือนหลังจากนั้น เขาก็ได้ร่วมงานกับเจนนิงส์และแม็คควอร์รีย์เพื่อวางแผนทุกจังหวะของการไล่ล่าครั้งนี้อย่างละเอียดละออ ซึ่งรวมถึงการขับรถความเร็วสูงและการปะทะกัน ที่สำคัญที่สุด ครูซและแม็คควอร์รีย์เห็นพ้องต้องกันว่าครูซจะเป็นคนขับรถเองในฉากการไล่ล่า”
   แต่ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะเป็นเรื่องของตารางการทำงาน “เดิมทีเรากำหนดว่าเราจะทำงานห้าวันสำหรับฉากไล่ล่าทั้งหมด” แม็คควอร์รีย์อธิบาย “แต่ตอนนี้มันใหญ่ขึ้น แต่ทอมก็ตั้งใจที่จะทำให้เราทำงานได้ตามเวลาและภายในงบที่ตั้งไว้ มันทำให้เขาต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด เขานอนพักแค่ 30 นาทีระหว่างเวลากลางวันที่ทำงานร่วมกับทีมหลักและทำงานตลอดคืนกับทีมแอ็กชัน ไม่มีใครคนอื่นที่สามารถทำแบบนั้นได้ ไม่มีใครเลยครับ”
   จากนั้น การพูดคุยก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของการใช้ทักษะการขับรถที่ยอดเยี่ยมของครูซให้เป็นประโยชน์ ก่อนที่กล้องจะเริ่มถ่ายทำฉากไล่ล่านี้ ครูซได้ฝึกฝนกับผู้เชี่ยวชาญการขับรถผาดโผนในลอสแองเจลิส แล้วก็ฝึกฝนต่อในโลเกชัน หลังพวงมาลัยของหนึ่งในรถเชฟโรเล็ต เชเวลปี 1970 เก้าคันที่ทีมงานหามา (พวกเขารวบรวมมันจากโอไฮโอ, มิชิแกน, เพนซิลวาเนียและโบรกเกอร์ในคอนเน็กติคัท) แกรนเจอร์เล่าถึงวันที่เขา “แวะไปดูว่ารถวิ่งยังไงบ้าง”
   “มันมีลานจอดรถตรงอีกฝั่งแม่น้ำ ที่เขาใช้ฝึก มีแค่เขากับนักขับรถผาดโผนคนหนึ่ง ทอมขับรถขึ้น ลง วนรอบกรวยที่วางเอาไว้ ‘เข้ามาสิ’ เขาบอก แล้วพอผมเข้ารถไป เขาก็สวมบังเหียนห้าจุดของเขา ส่วนผมก็คาดเข็มขัดเล็กๆ เขาขับวนสามร้อยหกสิบองศา ขับแบบโดนัท เลื้อยเข้าออกตรงหัวมุม ผมไม่อยากจะกลับเข้าไปในรถคันนั้นอีกเลย แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับผมครับ”
   แต่การฝึกฝนทั้งหมดนั้นก็คุ้มค่า ครูซได้ขับรถในซีเควนซ์ไล่ล่าทั้งหมดด้วยตัวเอง “ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมจะบอกคุณไว้ผมไม่รู้ว่าจะมีใครสามารถถ่ายทำฉากไล่ล่าทางรถยนต์แบบนี้อีก ด้วยเหตุผลต่อไปนี้ คุณจะต้องหาคนอย่างทอม ผู้อยากจะเข้าไปนั่งอยู่ในรถ และพุ่งเข้าหารถคันอื่นๆ ด้วยความเร็ว 60 ไมล์ต่อชั่วโมง และข้อที่สอง คุณต้องหาคนที่ฝึกฝนที่จะทำแบบนั้น แม้ว่าพวกเขาจะอยากทำก็ตาม ผมไม่รู้ว่ามีใครนอกจากทอมที่มีคุณสมบัติตามนั้นอีกรึเปล่าน่ะครับ” แกรนเจอร์กล่าว
   “ไม่ต้องสงสัยครับ การขับรถพวกนั้นสนุกมาก” ครูซกล่าวให้ความเห็น “เสียงเครื่องยนต์ ศักยภาพของสิ่งที่เราจะนำเสนอขึ้นหน้าจอ...พวกเขาไม่ได้อยู่บนกลไก เราไม่ได้ถ่ายทำบนกรีนสกรีน เราก็เลยวางแผนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถึงกระนั้น คุณก็ไม่รู้ 100% ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพราะสภาพถนน เราคุยกันถึงเรื่องพื้นผิวที่เปียก ยางที่เย็น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง รถที่เฉออกไปเยอะและผมก็ไม่ได้อยู่ในกรง ปกติแล้ว ผมจะสวมบังเหียนห้าจุดอยู่ข้างใต้ [ชุดของผม] เราใส่ที่นั่งรถแข่งและตัวกันโคลงเข้าไป แต่มันก็ยังมีแรงกระแทกอยู่มาก และเราก็ต้องคำนึงถึงกล้องที่ติดตั้งด้านในหรือด้านนอกของรถด้วย มันเป็นงานที่อาศัยความแม่นยำ และมันก็ยอดเยี่ยมมาก การได้ขับรถพวกนั้นและดูว่าเราจะผลักดันมันไปได้ไกลแค่ไหนน่ะครับ” ครูซกล่าว
   ผู้กำกับยูนิทที่สอง เจนนิงส์กล่าวรำพึงว่า “ผมได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับปืน นิติเวชและรถยนต์ ในหนังทุกเรื่องที่คุณทำ คุณจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ระหว่างการไล่ล่าทางรถยนต์ เราต้องถ่ายทำมันในแบบใหม่ เพราะตอนนี้ เราพยายามจะถ่ายทำนักแสดงในรถ แทนที่จะเป็นนักขับรถผาดโผนในรถ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยกว่า มันเป็นวิธีใหม่ในการถ่ายทำฉากไล่ล่า และมันก็น่าตื่นเต้นครับ”
   ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอสไตล์การต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเหมาะกับพระเอกที่ไม่ธรรมดาอย่างรีชเชอร์ นั่นคือเคย์ซี สไตล์นี้ ที่ถูกสร้างขึ้นในสเปน ถูกเลือกมาเพราะมันสะท้อนถึงเทคนิค “การต่อสู้ข้างถนน” ที่ป่าเถื่อน ดุดัน ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ได้ดีที่สุด เคย์ซีเป็นหลักการต่อสู้ขั้นพื้นฐานที่ไว้ป้องกันตัวเอง ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยสัญชาตญาณตามธรรมชาติ มันใช้ศอก เข่า การใช้ประโยชน์จากน้ำหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่แจ็ค รีชเชอร์ชื่นชอบทั้งนั้น นอกจากนั้น สไตล์นี้ยังมีวิธีการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่หลากหลายด้วย ครูซเริ่มฝึกฝนกับเจนนิงส์และผู้ช่วยประสานงานฝ่ายสตันท์ โรเบิร์ต อลองโซ สัปดาห์ละเจ็ดวันเป็นเวลานานสี่เดือน จนกระทั่งสไตล์การต่อสู้นั้นกลายเป็นสัญชาตญาณ ในขณะเดียวกัน ครูซ, แม็คควอร์รีย์, อลองโซ, เจนนิงส์และผู้กำกับภาพคาเล็บ เดสชาแนลได้ทำงานออกแบบฉากต่อสู้ใหญ่สามฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ เช่นเดียวกับฉากไล่ล่าทางรถยนต์ มันจะไม่มีการเสแสร้งตามปกติที่ทำกันในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ เช่นการสั่นกล้องและการลำดับภาพเร็วๆ เพื่อสร้างพลังงานปลอมๆ ขึ้น แต่กล้องจะอยู่ด้านนอกคลองจักษุ เพื่อบีบให้ครูซและคู่ต่อสู้ของเขาแลกหมัดกันจริงๆ การต่อสู้จะสั้นลง เหนื่อยขึ้น และการแลกหมัดกันก็จะรุนแรงมกขึ้น สิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอจะใกล้เคียงกับการต่อสู้มือเปล่าจริงๆ ที่ปรากฏในโลกภาพยนตร์มานานแล้ว
   อลองโซ ผู้ออกแบบฉากต่อสู้กล่าวอธิบายว่า “การต่อสู้ใน ‘Jack Reacher’ ถูกออกแบบจากแบ็คกราวน์ทหารและกลยุทธ์ เราใช้การขว้างมีด ที่มีเป้าหมายไปที่จุดระดับสูง กลางและต่ำ ซึ่งยิ่งจุดที่ขว้างสูงขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งอันตรายขึ้นเท่านั้น ผมไม่อยากให้เราออกแบบมากจนเกินไป ผมก็เลยฝึกฝนทอมให้สู้ในสไตล์นั้น ผมทำงานกับเขามาหลายเดือน แทบจะทุกวัน เพื่อให้เขาแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ออกมา ผมฝึกเขาอย่างนักสู้ เพื่อที่ไม่ว่าเวลาไหน เขาก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับการต่อสู้ ไม่ใช่แสดงท่าที่ผ่านการออกแบบมาน่ะครับ”
   ครูซตัวเองให้พร้อมสำหรับงานหนักที่ต้องรับมือกับฉากผาดโผนที่สร้างขึ้นสำหรับ “Jack Reacher” ระหว่างช่วงเตรียมงานสร้าง และเขาก็ยังคงทำตามตารางการซ้อม การถ่ายทำ การฝึกฝนและงานผาดโผนระหว่างการถ่ายทำหลักอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ครูซจำเป็นจะต้องฝึกฝนซีเควนซ์เหล่านั้นให้ชำนาญเพราะ “ผมกับคริสคุยกันอยู่นานว่าการต่อสู้แต่ละครั้งจะต้องโดดเด่นและผลักดันเรื่องราวไปข้างหน้า”
   ดังนั้นเอง ซีเควนซ์ต่อสู้สำคัญ หรือวิธีการของรีชเชอร์ ก็ได้เผยถึงธรรมชาติที่แท้จริงของรีชเชอร์ออกมา ในฉากสำคัญนี้ กลุ่มผู้ร้ายได้ท้าทายรีชเชอร์และเขาก็เตือนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการต่อสู้จะลงเอยไม่สวย สำหรับพวกเขา
   “รีชเชอร์เป็นคนที่แค่อยากมีอิสระ ที่จะใช้ชีวิตตามที่เขาเลือก แต่เขาก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสถานการณ์พวกนี้เพราะเขารู้สึกรับผิดชอบ ในสิ่งที่ถูกต้อง การต่อสู้นอกบาร์เป็นตัวอย่างที่ดี เขาไม่อยากจะทำ เขายับยั้งชั่งใจแต่เขาก็ถูกผลักดันเข้าสู่ตำแหน่งที่เขาต้องสู้กับคนพวกนี้ เขามีศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ ที่โดดเด่นครับ” ครูซตั้งข้อสังเกต

ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับหนังสือแจ็ค รีชเชอร์ของลี ไชลด์

ลี ไชลด์ได้ตีพิมพ์นิยายแจ็ค รีชเชอร์ออกมาแล้วสิบเจ็ดเล่ม ได้แก่:
1.Killing Floor
2.Die Trying
3.Tripwire
4.The Visitor
5.Echo Burning
6.Without Fail
7.Persuader
8.The Enemy
9.One Shot**
10.The Hard Way
11.Bad Luck and Trouble
12.Nothing to Lose
13.Gone Tomorrow
14.61 Hours
15.Worth Dying For
16.The Affair
17.A Wanted Man

**ข้อสังเกต:  JACK REACHER สร้างขึ้นจากนิยายเรื่อง One Shot
นิยายเรื่องนี้ทำยอดขายได้ 60 ล้านเล่มทั่วโลก
หนังสือเรื่องนี้มีวางจำหน่ายใน 95 ประเทศทั่วโลก
หนังสือเรื่องนี้ถูกแปลใน 40 ภาษา