จัดจำหน่ายโดย เอ็ม พิคเจอร์ส
ชื่อภาษาไทย “นิยามรักปฏิวัติสองโลก”
ภาพยนตร์แนว โรแมนติก-ไซไฟ
จากประเทศ แคนนาดา-ฝรั่งเศส
กำหนดฉาย 27 ธันวาคม 2555
ณ โรงภาพยนตร์ ทุกโรงภาพยนตร์
ผู้กำกับ Juan Diego Solanas
นักแสดง
Kirsten Dunst รับบทเป็น Eden
Jim Sturgess รับบทเป็น Adam
Neil Napier รับบทเป็น Security agent
Jayne Heitmeyer รับบทเป็น Executive
จุดเด่น ภาพยนตร์เรื่อง Upside Down เป็นการโคจรมาร่วมงานกันครั้งแรกของสองนักแสดงชื่อดังอย่าง Kirsten Dunst (จากภาพยนตร์เรื่อง Spider Man ทั้งสามภาค , Melancholia , Mona Lisa Smile) และ Jim Sturgess จากภาพยนตร์เรื่อง Cloud Atlas , One Day , Across the Universe แถมยังเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผู้กำกับ Juan Diego Solanas เป็นภาพยนตร์ที่ใช้เทคนิคถ่ายทำแบบพิเศษที่เนรมิตรให้ฉากทุกฉากเต็มไปด้วยภาพที่งดงามน่าประทับใจ เรื่องย่อ อดัม(จิม สเตอร์เกส) เด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีชีวิตเรียบง่ายอาศัยอยู่ในจักรวาลอันบิดเบี้ยว เมื่อวิถีแห่งแรงโน้มถ่วงได้ทำให้โลกถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน มีเพียงท้องฟ้าเบื้องบนเท่านั้นที่มาบรรจบเข้าหากัน ซึ่ง อดัม อาศัยอยู่ในโลกเบื้องล่างที่ๆเป็นของคนชนชั้นกรรมกรอาศัยอยู่ อดัม มีเพียงความทรงจำอันเลือนลางในช่วงวัยเด็กเท่านั้นที่เขายังจำได้แม่นยำคือรักแรกพบของเขากับ อีเด็น(คริสเท่น ดันทส์) มันเป็นความฝั่งใจที่เขาไม่เคยลืมและเขารู้สึกได้เลยว่า อีเด็น เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวผู้น่ารักจิตใจดีที่มาจากโลกเบื้องบน เหตุผลนี้เองที่ทำให้เขายังคงติดอยู่กับสถานที่แห่งหนึ่งที่เคยทำให้เขาได้เจอกับเธอ จนกระทั่งความบังเอิญที่ได้ถูกกำหนดให้ อดัม และ อีเด็น ได้พบกันอีกครั้ง แต่ด้วยเพราะกฎเหล็กแห่งโลกอันพิศดารนี้ห้ามไม่ให้คนทั้งคู่ได้พบรักกัน ข้อห้ามของแรงดึงดูดและกฎหมายอาจจะเป็นแค่เพียงกรวดหนามเล็กๆ ที่รอให้เขาก้าวข้ามผ่านมันไป อดัม จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาและเธอได้สมหวังในความรักครั้งนี้
สุดท้ายความรักของพวกเขาจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้บนโลกแสนประหลาดนี้หรือไม่? พลังแห่งความรักจะสามารถทลายกฎทุกๆ อย่างแม้แต่กฎของจักรวาลได้หรือไม่??เปิดใจนักแสดงนำ... Jim Sturgess
Q: ทำไมถึงตัดสินใจเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ A: ทันทีที่ผมได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกอึ้งว่าหนังเรื่องนี้ มันแปลกแค่ไหน ผมจำได้ว่าผมรู้สึกทำนองว่า ว้าว ผมหมายถึงมันเป็นไอเดียที่น่าตื่นเต้นก็จริง แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง และสิ่งต่อมาที่เกิดขึ้นก็คือผมตกลงที่จะพบกับฮวน ที่เป็นผู้กำกับ ตอนนั้นเอง นาทีแรกที่ผมได้พบกับฮวนที่ผมรู้ทันทีว่าผมอยากจะแสดงหนังเรื่องนี้และอยากจะทำงานร่วมกับเขา ผมคิดว่าเขาจะต้องสร้างโลกที่เป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นที่ได้อยู่ในนั้น ดังนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ตอนที่ผมได้พบกับฮวน แล้วผมก็ได้พบกับเขาที่ลอนดอน เขาตื่นเต้นกับโปรเจ็กต์นี้มาก มันเหมือนงานที่เขารักหมดใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่าไอเดียทั้งหมดเกิดจากความฝันของเขา เขาโชว์ไอเดียวิชวลต่างๆ ที่เขามีต่อเรื่องราวนี้ให้ผมดู ผมก็เลยเชื่อสนิทใจเลยว่าเขาจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้จริงๆ เพราะในกระดาษ มันเป็นโลกที่โดดเด่นเหลือเกินในความคิดของฮวน การแปลงความคิดนั้นลงบนกระดาษที่มีแต่คำพูดเลยเป็นเรื่องยาก แต่แน่นอนว่าแค่อ่านบทในตอนแรกผมก็รู้แล้วว่า มันจะต้องเป็นอะไรที่แปลกประหลาดและน่าตื่นเต้นแน่นอนQ: ฮวนเล่าถึงคอนเซ็ปหนังเรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้างA : มันเป็นเรื่องราวความรักที่คลาสสิกมากๆ เป็นความรักต้องห้าม เกี่ยวกับคนสองคนที่อยากจะอยู่คู่กัน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ควรจะอยู่ด้วยกันหรือทุกอย่างขัดขวางพวกเขา เป็นความรักที่มีอุปสรรคเสมอ คนคู่นี้ต้องดิ้นรนให้ได้อยู่คู่กัน ในเรื่องนี้ แรงดึงดูดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง มันเป็นอุปสรรคใหญ่ มันก็เลยเป็นเหมือนการรวมสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวน่าตื่นเต้นขึ้นมา การที่คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในแรงดึงดูดเดียวกัน ดังนั้น ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องรักที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่แปลกต่างและน่าตื่นเต้นมากๆ ครับQ: ในเรื่องนี้ มีโลกสองใบที่แยกจากกัน ช่วยบอกถึงความแตกต่างระหว่างโลกทั้งสองใบหน่อยได้มั้ยA: มันมีโลกด้านใต้ กับโลกที่อยู่ด้านบน โลกที่อยู่ด้านล่างจะยากจนข้นแค้น เสื่อมโทรม เหมือนกำลังจะล่มสลาย ส่วนโลกด้านบนเป็นโลกเจริญแล้วที่ร่ำรวย สิ่งที่เชื่อมโลกทั้งสองใบนั้นคือบริษัทที่มีชื่อว่าทรานส์เวิลด์ ซึ่งปกครองทุกอย่าง และเป็นผู้ดูแลทุกอย่างบนโลก เบื้องบน ตัวละครของผมได้งานทำที่ทรานส์เวิลด์ เซ็นเตอร์ เพื่อขึ้นไปโลกด้านบน เพื่อตามหาหญิงในฝันของเขา ทรานส์เวิลด์ ทาวเวอร์เป็นสถานที่หนึ่งเดียวที่โลกทั้งสองมาบรรจบกัน ที่ที่เราอยู่ทุกวันนี้นี่แหละครับคือฟลอร์ ซีโร ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งที่ซึ่งคนจากโลกด้านล่างและด้านบนได้ทำงานร่วมกันจริงๆ ครับQ: ไอเดียของทรานส์เวิลด์และโลกสองใบ มันฟังดูเหมือนมันมีลักษณะทางกายภาพ/การเมืองบางอย่าง...มีเรื่องของการเปรียบเทียบ...มันมีมุมมองอะไรบางอย่าง นั่นเป็นเรื่องชัดเจนรึเปล่าA: ครับ แต่ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นเทพนิยายด้วยเหมือนกัน มันเป็นแบบนั้นจริงๆ มันเหมือนเทพนิยายสมัยใหม่ที่แปลกประหลาด และผมคิดว่าในเทพนิยายที่มหัศจรรย์เหล่านั้น มันจะมีสิ่งเปรียบเทียบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น แต่มันไม่ได้บอกออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้รับมือกับเรื่องนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะผมหมายถึงว่า มันมีประเด็นหลายๆ อย่างเช่นการมีทาส นโยบายแยกสีผิวและทุนนิยม..เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ที่ร้อยเรียงอยู่ในหนังเรื่องนี้โดยที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันถูกยัดเยียดเข้ามาให้คุณ ผมคิดว่าฮวนฉลาดมากที่หลอมรวมเรื่องต่างๆ แบบนั้นเข้าไปในเรื่องราวแฟนตาซีแบบนี้น่ะครับQ: ตอนเป็นเด็ก คุณชื่นชอบเรื่องราวแฟนตาซี ตำนานและเทพนิยายรึเปล่าA: แน่นอนครับ อย่างเรื่อง James and the Giant Peach นั่นเป็นเรื่องที่ผมชอบนะครับ หรืออย่างหนังสือของโรอัลด์ ดัห์ลอะไรแบบนั้น ผมไม่เคยแสดงหนังแฟนตาซีจริงๆ จังๆ มาก่อน ผมก็เลยอยากจะแสดงซักเรื่องน่ะครับ ผมเคยแสดงหนังมาหลายเรื่องที่สร้างขึ้นจากความจริงอันโหดร้ายและเรื่องจริง มันเป็นเรื่องดีจริงๆ ที่ได้ปลดปล่อยจินตนาการของตัวเองให้บรรเจิด ผมสนุกกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ที่เป็นแฟนตาซีเยี่ยมๆ ผมก็หวังว่ามันจะเป็นหนังที่มีลุคที่ค่อนข้างน่าทึ่งและน่าตื่นเต้นที่ได้แสดงน่ะครับQ: เล่าถึงบทบาที่คุณได้รับให้ฟังหน่อยA: ผมรับบท อดัม เคิร์ค ที่เป็นชายหนุ่มจากโลกด้านล่าง สมัยเด็ก เขาเคยขึ้นไปบนยอดบนสุดของสถานที่ที่เรียกว่า หุบเขานักปราชญ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดที่สูงที่สุดของโลกด้านล่าง ข้างบนนั้น เขาได้เจอกับเด็กสาวที่ชื่อ อีเดน เขาเป็นตัวละครที่ช่างสงสัย และเขาก็มีจิตใจอยากรู้อยากเห็น พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน นั่นเองที่พัฒนากลายเป็นความสัมพันธ์ พวกเขาได้พบกันสมัยเด็กและความสัมพันธ์นั้นก็พัฒนากลายเป็นความรักที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น เขาตามตื๊ออีเดนและพวกเขาก็ได้พบกันตลอดบนยอดเขานี้ ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาถูกพบ ตอนนั้นเองที่ปัญหาในเรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เขาถูกจับได้ว่ามีความสัมพันธ์ต่างเผ่าพันธุ์กับเด็กสาวที่อยู่โลกด้านบน เขาก็เลยถูกขังนานเก้าปี ส่วนอีเดนก็ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ขณะที่ทั้งคู่ตกลงไปสู่แรงดึงดูดของพวกพวกเขา หัวเธอกระแทก ทำให้เธอความจำเสื่อม ดังนั้น เรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการที่อดัมพยายามจะกลับไปสู่โลกด้านบนเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำสมัยวัยเด็ก ว่าพวกเขาเคยตกหลุมรักกันและกันอย่างบ้าคลั่งQ: พูดถึงเรื่องของสองคนนี้ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน...แรงดึงดูดนี้ท้าทายให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดขึ้น คุณต้องใช้จินตนาการของตัวเอง...ตอนที่คุณอ่านบทเรื่องนี้ คุณจินตนาการมันออกมั้ย คุณได้ดูภาพวาดของอเล็กซ์รึเปล่า อะไรบอกคุณว่าหนังเรื่องนี้จะออกมามีลุคยังไงA: ครับ นั่นเป็นตอนที่ผมได้พบกับฮวนในลอนดอนอย่างที่ผมเคยบอกมาก่อน เขาหยิบคอมพิวเตอร์ออกมาและเขาก็โชว์ลุคทั้งหมดของเรื่องให้ผมดู และจริงๆ แล้ว จินตนาการผมก็ไม่ได้มีภาพพวกนั้นเลย มันดียิ่งกว่าสิ่งที่ผมคิดในตอนแรกเสียอีก...ผมตื่นเต้นจริงๆ ที่ฮวนได้...คือเรื่องมันไม่ได้เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบ มันเป็นความเป็นไปได้คู่ขนาน เกี่ยวกับโลกสองใบที่คงอยู่เคียงข้างกันแบบนั้น สำหรับโลกเบื้องล่าง ภาพของเขาเหมือนกรุงซาราเยโว ที่ถูกเผาผลาญด้วยเพลิงสงครามหรืออะไรทำนองนั้น มันให้ความรู้สึกแบบนั้นครับ มันมีตึกที่ผุพัง มีรถเก่าสนิมเขรอะ คุณก็เลยไม่รู้ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน มันอาจจะเป็นอนาคต หรืออาจเป็นอดีต มันอาจเป็นที่ไหนก็ได้ ตอนที่ฮวนโชว์ภาพวาดยอดเขาที่วิเศษสุดพวกนี้ ที่มีคนสองคนเกือบจะสัมผัสกันได้ มันน่าทึ่งทีเดียวล่ะครับQ: การใช้โลเกชั่นและกรีนสกรีน รวมกับฉากต่างๆ มันช่วยคุณในการสวมบทตัวละครตัวนี้อย่างไรหรือมันช่วยกำหนดโทนให้กับอีกหลายๆ ฉากรึเปล่าA: ครับ...เราโชคดีมากๆ ที่เรามีผู้ออกแบบฉากที่เหลือเชื่อที่สุดอย่างอเล็กซ์ แม็คดูเวล ผู้สร้างฉากทั้งหมดนี้ ซึ่งทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกใบนั้น....มากกว่าที่ผมเคยคิดซะอีก ผมคิดว่ามันจะมีการใช้กรีนสกรีนมากกว่านี้และก็ต้องใช้จินตนาการเสริมเอา ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีบ้าง แต่คุณก็จะได้แสดงกับฉากจำนวนหนึ่ง และก็มีกรีนสกรีนจำนวนหนึ่ง ที่อยู่รอบๆ ด้านนอกครับ มันเหมือนกับการแสดงละครเวที หรืออะไรทำนองนั้น คือมันจะไม่ได้มารบกวนใจคุณมากเกินไปนัก ตัวละครพวกนี้ถูกเขียนขึ้นมาอย่างดี ดังนั้น ผมก็เลยค่อนข้างจะรู้ละเอียดแล้วว่าผมจะเล่นออกมายังไง แล้วส่วนเรื่องโทน...ด้วยความที่มันเป็นหนังสนุกและก็น่าจะเป็นหนังที่สนุกครับ มันรับมือกับประเด็นเหล่านี้ และมันก็มีความเป็นดราม่าในบางตอน ตลกในบางตอนและเศร้าบาดใจในบางตอน มันก็เลยเป็นสิ่งที่เราต้องคิดกันในตอนที่เราไปมอนทรีอัล แต่มันก็เป็นสิ่งที่มาจากบทจริงๆ นะครับQ: คุณมาถึงมอนทรีอัลตั้งแต่แรกๆ เลยนี่ คุณอยู่ที่นั่นก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นเสียอีกA: ผมมาที่นี่ประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่เราจะเริ่มต้นถ่ายทำ เพื่อฝึกฝนฉากบนลวดสลิง ซึ่งผมไม่รู้เลยว่ามันจะเกี่ยวกับอะไรบ้าง แต่มันสนุกมากครับ มันเจ๋งเสมอเวลาที่คุณได้เล่นหนังที่คุณได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่พิลึกพิลั่น ที่คุณจะไม่มีวันทำในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การฝึกฉากบนลวดสลิงก็เลยเป็นเรื่องหนึ่งสำหรับผมในแง่นั้น แต่ใช่ครับ ผมต้องห้อยโหนอยู่กลางอากาศบ่อยๆ เลยล่ะQ: แรงดึงดูดเข้ามามีบทบาทอะไรในเรื่องบ้างA: มันมีบทบาทสำคัญมากครับ มันเป็นหนึ่งในตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องด้วยครับ ผมพยายามจะนึกอยู่เสมอว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมอยู่ในที่ที่แรงดึงดูดผิดพลาด และผมทำแบบนี้…หรือถ้าวัตถุนี้มาจากโลกใบนี้ มันจะเป็นยังไง จะเคลื่อนไหวยังไง มันจะลอยขึ้นไปบนฟ้ารึเปล่า ผมหมายถึงสำหรับทั้งทีมงานและตัวผมเองด้วย เพราะตอนที่คุณแสดง คุณจะต้องคิดอยู่เสมอว่า คุณอยู่ในแรงดึงดูดแบบไหน ว่าเสื้อผ้าคุณจะเป็นยังไง อะไรทำนองนั้นน่ะครับ ตอนที่เราเข้าฉากกัน ผมก็จะพูดทำนองว่า เดี๋ยวนะ ผมสวมกางเกงของโลกด้านล่างอยู่ ผมควรจะยัดขากางเกงเข้าในถุงเท้าเพื่อที่…เรื่องพวกนั้นน่ะครับ คุณจะต้องคิดอยู่เสมอเพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะน่าเชื่อ ทุกอย่างจะถูกไตร่ตรองไว้เสร็จสรรพแล้วเผื่อว่าจะมีคนอยากมาท้าทายเราว่า “มันไม่ได้เกิดขึ้นซักหน่อย” น่ะครับ