7 วิธีล้างพิษอารมณ์
ในแต่ละวันคนเรามีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ กลัว เกลียดชัง อิจฉา ริษยา ตลอดจนความวิตกกังวลต่างๆ เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าในแต่ละวันจะมีอารมณ์ใดเข้ามาบ้าง ขณะที่บางคน อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าอารมณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อใด ดังนั้นสิ่งจำเป็นสำหรับ คนทุกคนก็คือ วิธีการจัดเก็บอารมณ์ที่ถูกต้อง
การล้างพิษทางอารมณ์ที่ถูกต้องจึงมีหลักการว่า "ต้องนำข้อมูลที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกปลดปล่อยออกมาผ่านทางกายภาพ" เปรียบเสมือนว่าเราได้ลบข้อมูลของอารมณ์นั้นทิ้งไป ซึ่งเป็นวิธีการล้างพิษทางอารมณ์ที่มีความปลอดภัยสูง ไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ เป็นวิธีธรรมชาติที่ไม่ต้องใช้ยาในการรักษาและจะรับรู้ได้ถึงความเบาสบายของจิตใจ หลังผ่านกระบวนการล้างพิษทางอารมณ์ ถ้าพร้อมแล้วเรามาล้างพิษทางอารมณ์กันได้เลย
การคลายอารมณ์นั่งขัดสมาธิในท่านั่งตามปรกติ หรือนั่งท่าใดท่าหนึ่งที่รู้สึกสบายคลายอารมณ์ โดยการหายใจ
1.ให้หายใจเข้าออกยาวกว่าปรกติ (แต่ไม่ควรยาวเกินไป) นำความรู้สึกมาไว้ที่ปลายจมูก ขณะที่หายใจออก ให้นึกแต่ลมหายใจออกอย่างเดียว พร้อมกับปล่อยวางตัวตน เหตุการณ์ในอดีต อนาคต ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ให้ไหลออกไปพร้อมกับลมหายใจออก เมื่อผ่อนคลายแล้วกลับมาที่ลมหายใจปรกติ ซึ่งในขั้นแรกนี้ทำเพื่อที่จะให้ข้อมูลหรือความคิดต่างๆ หรือการเกร็งในส่วนต่างๆ ของกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายลง รู้สึกสบายๆ ทำจิตให้ว่างจากความคิดและความกังวลต่างๆ
เกิดการกระทบของประสาทสัมผัสใช้การกระทบของประสาทสัมผัส คือการใช้ความรู้สึกมาจดจ่อที่หูและใช้เสียงเพลงเป็นสื่อของ
2.การได้ยิน คือ ทำความรู้สึกได้ยินที่หูแล้วมารู้ที่ใจ กลับมาได้ยินที่หูแล้ววนกลับมารู้ที่ใจอีกเป็นรอบ เพื่อให้เกิดการกระทบใกล้เคียงกับการเต้นของหัวใจแต่ละครั้ง จะเห็นอาการกระทบของหูและใจเป็นจังหวะ เหมือนการเต้นของหัวใจ เป็นอุบายวิธีเพื่อให้จดจ่อกับสิ่งหนึ่งก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้สมองให้ฟุ้งซ่านไปตามความคิด
3.เริ่มเกิดแรงหมุนเมื่อมาถึงขั้นนี้แรงหมุนจะทำให้เกิดพลังงาน พลังหมุนที่เร็วสามารถตัดแรงดึงของสนามแม่เหล็กโลกได้ เปรียบได้กับมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง เมื่อความเร็วของมอเตอร์ไซค์เร็วกว่าแรงดึงดูดของสนามแม่เหล็กโลก มอเตอร์ไซค์ก็จะสามารถวิ่งขึ้นมาถึงขอบถัง และแรงวนที่เร็วนี้เองทำให้เกิดพลังหมุน เกิดพลังลมปราณพลังจากการหมุนแรงและชัดเจนทำให้เกิดกระแสลมปราณซึ่งเป็นแรงชักนำพลังลมปราณให้ไหล เข้าสู่ร่างกายมนุษย์อย่างสมดุลตามธรรมชาติ ถือเป็นพลังชีวิตของร่างกาย
4.เมื่อร่างกายมีการขับเคลื่อน จนได้รอบของตัวเองตามธรรมชาติ จะทำให้ธาตุลมทำงาน (ซึ่งก็คือลมปราณ) ในขั้นนี้เราจะสังเกตได้ว่า ร่างกายเริ่มร้อนขึ้นทีละนิดๆ หัวใจสูบฉีดเลือดเร็วขึ้นเมื่อเหวี่ยงเร็วและแรงขึ้น หัวใจจะเริ่มสูบฉีดเลือดเร็วขึ้น ลมปราณทำหน้าที่สูบฉีดเลือดลมในร่างกาย
5.ให้ไหลเวียนทั่ว ถ้าเปรียบร่างกายเราเหมือนเป็นบ้าน เมื่อเครื่องปั๊มน้ำทำงานจนได้รอบ แรงดันของเครื่องปั๊มน้ำก็จะดันน้ำไปสู่ทุกส่วนภายในบ้าน ในช่วงนี้เลือดลมจะวิ่งไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ถ้าเลือดลมติดขัดอยู่บริเวณใด แสดงว่าร่างกายส่วนนั้นเกิดความบกพร่อง อาจเกิดความเจ็บปวดเมื่อยล้าบริเวณนั้นเป็นพิเศษเกิดแรงดัน
นอกจากนี้แรงเหวี่ยงของจิตยังทำให้เกิดเป็นแรงดันจากจิตสำนึกและลงไปสู่ประตูของจิตใต้สำนึก6.เมื่อผ่านมาถึงจุดนี้เราควรปล่อยให้พลังลมปราณดำเนินต่อโดยธรรมชาติ ข้อมูลของอารมณ์มากมาย ที่สั่งสมอยู่ในจิตใต้สำนึกจะหลั่งไหลออกมา เนื่องจากความเร็วของแรงเหวี่ยงนี้จะเร็วมาก จึงเป็นพลังงาน ที่เจาะสู่จิตใต้สำนึกได้
เกิดภาวะภายในสู่ภายนอกในช่วงนี้อารมณ์ต่างๆ ที่เราเคยกักเก็บไว้ในอดีตจะระบายออกมาให้เราเห็น เช่น อาเจียน ร้องไห้ 7. หัวเราะ พักผ่อน ตลอดจนการแสดงกิริยาต่างๆ ออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในอดีตกำลังถูกล้างและหลั่งไหลออกมา ดังนั้นเวลาปฏิบัติควรปล่อยให้จิตแสดงออกอย่างอิสระเพื่อชำระและคลายอารมณ์ที่เก็บไว้ในจิตใต้สำนึก พอคลายแล้วจิตใจก็จะปลอดโปร่งขึ้นเอง
ประโยชน์ของการล้างพิษทางอารมณ์นั้น ไม่ได้เพียงแต่ส่งผลดีในด้านสุขภาพกายสุขภาพใจเท่านั้น แต่ยังทำให้สัมพันธภาพของเรากับคนรอบข้างดีขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถช่วยระบายความรู้สึกความทุกข์ออกไปจากร่างกายเราและถือได้ว่าวิธีนี้ยังใช้เป็นเครื่องมือเพื่อระบายความรู้สึกผิดหวังต่างๆ ให้ออกไปจากจิตใจเราอีกด้วย
ที่มา thaihealth