happy on October 28, 2011, 10:50:27 AM
Killer Elite


จัดจำหน่ายโดย      เอ็ม พิคเจอร์ส  
ชื่อภาษาไทย      3 โหดโคตรพันธุ์ดุ
เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์   http://youtu.be/-1XDQ5_KtFc

ภาพยนตร์แนว      แอคชัน -ทริลเลอร์
จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย      3 พฤศจิกายน 2554
ณ โรงภาพยนตร์      ทุกโรงภาพยนตร์


นักแสดง   Jason Statham (เจสัน สเตแธม) จาก Transporter, Crank
Clive Owen (ไคล์ฟ โอเวน) จาก The International
และ Robert De Niro (โรเบิร์ต เดอ นีโร) จาก Limitless

ผู้กำกับ          Gary McKendry (แกรี่ แม็คเคนดราย)
อำนวยการสร้าง


จุดเด่น    Killer Elite เป็นผลงานกำกับของ แกรี่ แม็คเคนดราย สร้างมาจากเหตุการณ์จริงที่นำมาเขียนเป็นนวนิยายจนโด่งดังยอดขายถล่มทลายในชื่อ The Feather Men โดยท่าน Sir.Ranulph Fiennes นักเขียนและนักผจญภัยชาวอังกฤษ ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่รวมพลครั้งสำคัญของเหล่านักแสดงชื่อดัง เจสัน สเตแธม, ไคลฟ์ โอเวน และ โรเบิร์ต เดอ นิโร จากทีมผู้สร้าง Transporter และ The Bank Job พร้อมด้วยทีมงานเบื้องหลังจาก Terminator Salvation, Die Hard4 และ I Robot ทั้งฉากบู๊แอคชั่นสุดระห่ำทำให้นึกถึงยุค 80


เรื่องย่อ   นักสืบอังกฤษที่ทำคดีกลุ่มนักฆ่ารับจ้างเลือดเย็นที่ออกอาละวาดระหว่างปี 1977 ถึง 1990 ทั้ง 3 มือปืนขนานนามตัวเองว่า เดอะ คลีนิค ตามรอยและสังหารเจ้าหน้าที่ถึงสี่คน นักฆ่าแต่ละคนต่างแสดงออกไม่โดดเด่นไปกว่าคนปกติทำให้ไม่สะดุดตา แต่พวกเขาก็ถูกไล่ล่าไปจนถึงทะเลทรายอาหรับ นักสืบใช้เวลาถึง 14 ปีไล่ล่าชนิดหายใจรดต้นคอเพื่อตามตัวคนเหล่านี้มาลงโทษจนมาประสบความสำเร็จในฤดูใบไม้ร่วงปี 1990 กฏหมายอังกฤษกลับมาศักดิ์สิท์อีกครั้ง และการยืนยันว่าธรรมะย่อมชนะอธรรม

                                                                            KILLER ELITE

   Killer Elite ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง เป็นภาพยนตร์สายลับแอคชันผจญภัยเรื่องใหม่ ที่ตามติดชีวิตของแดนนี (เจสัน สเตแธม) หนึ่งในเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่มีความสามารถสูงสุดของโลก หลังจากที่ถูกล่อลวงให้กลับมาทำงานอีกครั้ง แดนนีก็ได้รวมลูกทีมสุดป่วนขึ้นมาเพื่อปฏิบัติภารกิจแก้ตัวที่แทบเป็นไปไม่ได้ ในการช่วยเหลืออดีตอาจารย์และคู่หูของเขา ฮันเตอร์ (โรเบิร์ต เดอ นีโร) พวกเขาต้องร่วมกันบุกตะลุยเข้าไปในหน่วยรบพิเศษทางอากาศของอังกฤษ (SAS) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางทหารที่เป็นที่เกรงกลัวและได้รับการยกย่องสูงสุด เพื่อจัดการกับกลุ่มทหารมือสังหารหัวขบถและผู้นำของพวกเขา สไปค์ (ไคลฟ์ โอเวน) ก่อนที่การกระทำของพวกเขาจะสร้างความวุ่นวายไปทั่วโลก   
   การเดินทางที่อัดแน่นไปด้วยแอคชั่นของ Killer Elite จะนำผู้ชมไปทั่วโลก จากเม็กซิโกไปยังออสเตรเลีย จากปารีสและลอนดอนไปยังโอมานและเวลส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเค้าโครงจากหนังสือนอนฟิคชันอื้อฉาวโดยราล์ฟ ไฟน์สเรื่อง The Feather Men



Killer Elite: เรื่องย่อขนาดยาว มีสปอยเลอร์!!!

               ในปี 1979 ที่เม็กซิโก แดนนี (เจสัน สเตแธม) และอาจารย์ของเขา ฮันเตอร์ (โรเบิร์ต เดอ นีโร) เป็นนักรบรับจ้างที่กำลังรอคอยเหยื่อ กลุ่มรถตำรวจอารักขาและรถลีมูซีนปรากฏขึ้น ด้วยประสิทธิภาพอย่างไร้ปรานี แดนนีได้ลอบสังหารเป้าหมายของเขา แต่ในรถคันเดียวกันนั้นมีเด็กชายวัยสิบขวบนั่งมาด้วย แดนนีไม่อาจทำใจสังหารเด็กชายคนนั้นได้ลง และความลังเลนั้นก็ทำให้ตัวเขาถูกยิง ฮันเตอร์ช่วยชีวิตเขาไว้ แต่มันก็ทำให้แดนนีตระหนักได้ว่า เขาไม่อาจใช้ชีวิตในฐานะมือสังหารรับจ้างได้อีกต่อไปแล้ว
   ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางการเมืองที่จะมีผลระยาวยาวกำลังก่อหวอดขึ้น หน่วยสืบราชการลับอังกฤษถูกดึงเข้าสู่ความร่วมมือลับๆ ที่โสมมกับชีคแอมเมอร์ บิน อิซซา สุลต่านชาวโอมานผู้มีใจทรยศ เขามีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงหกเดือนเท่านั้น ท่านชีคต้องการแก้แค้นชายผู้สังหารลูกชายสามในสี่คนของเขา แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน โดยยื่นข้อเสนอแลกกับสิทธิครอบครองน้ำมัน สิ่งที่น่าขันน่ะหรือ ลูกชายทั้งสามคนของเขาต่างถูกสังหารด้วยฝีมือของ SAS ระหว่างสงครามลับโอมาน ชีคต้องการบันทึกภาพคำสารภาพของทหารหน่วย SAS แต่ละคนก่อนที่พวกเขาจะถูกสังหาร แต่เงื่อนไขสำคัญก็คือ เพื่อเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ การเสียชีวิตของคนเหล่านี้จะต้องดูเหมือนอุบัติเหตุ
   จอมบงการในเงามืด ที่เป็นที่รู้จักในนามของ “เอเจนท์” ได้ติดต่อฮันเตอร์ ผู้ที่ตอนนี้ออกปฏิบัติการคนเดียว และแจ้งให้เขารู้ว่ามีสัญญาว่าจ้างมูลค่า 6 ล้านเหรียญรอเขาอยู่ในโอมานถ้าเขาต้องการ เมื่อฮันเตอร์ไปถึงโอมานและรู้ว่าหน่วย SAS คือเป้าหมาย เขาก็พยายามจะหนี แต่กลับถูกจับตัวได้ และถูกส่งตัวไปคุมขังที่พระราชวังของชีค
   นับตั้งแต่เหตุการณ์ในเม็กซิโก แดนนีออกเดินทางค้นหาความสงบและชีวิตใหม่ ที่ห่างไกลจากเงาอดีตในฐานะนักรบรับจ้าง การค้นหานี้นำเขาไปสู่ดินแดนเขียวชะอุ่มในออสเตรเลีย ที่ซึ่งเขาได้พบกับแอนน์ (อีวอนน์ สตราฮอฟสกี้) ผู้เป็นเจ้าของไร่ติดกับเขา ชีวิตใหม่ของแดนนีเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเมื่อเอเจนท์ส่งภาพถ่ายของฮันเตอร์ที่ถูกจับตัวไว้ในพระราชวังของชีคมาให้เขา มันเป็นแผนการของเอเจนท์ เพราะการคุกคามฮันเตอร์เท่านั้นถึงจะล่อหลอกแดนนี เจ้าหน้าที่ที่เก่งที่สุดในโลก ให้กลับคืนสู่วงการได้อีกครั้ง เพื่อช่วยชีวิตฮันเตอร์ แดนนีจะต้องรับงานของฮันเตอร์ในการสังหารเจ้าหน้าที่ที่เก่งที่สุดของ SAS สามคน
   เมื่อจำต้องก้าวกลับเข้าสู่เกมแห่งความตายที่เขาเกลียดชังอีกครั้ง แดนนีก็ต้องรวมลูกทีมเก่าของเขา ซึ่งประกอบไปด้วยเดวีส์ (โดมินิค เพอร์เซล) อดีตพลร่มปากเปราะและไมเออร์ (เอเดน ยัง) เซียนคอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน ให้มารวมตัวกัน
   แต่งานที่ลำบากอยู่แล้วก็ยิ่งยากเย็นแสนเข็ญเข้าไปใหญ่ เมื่ออดีตทหารหน่วย SAS ในลิสต์สังหารของแดนนีต่างก็ได้รับความคุ้มครองจากกลุ่มเร้นลับที่เรียกว่า “ฟีเธอร์ เมน” คณะกรรมการของกลุ่มอดีตเจ้าหน้าที่ SAS ผู้สูงอายุนี้เป็นผู้นำกองกำลังทหารลับ บัดนี้ พวกเขาที่กลายเป็นนักธุรกิจ นักการเมืองและทนายความที่ทรงอิทธิพล ได้ปฏิบัติการนอกรั้วกฎหมายเพื่อปกป้องอดีตเพื่อนร่วมหน่วย SAS ของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยินดีให้อดีตทหารหน่วย SAS ผู้ภักดีเสียเลือดเสียเนื้อให้พวกเขามากกว่า
   หัวหน้าหน่วยจู่โจมของฟีเธอร์ เมนคือ สไปค์ อดีตทหาร SAS ที่มองหาสงครามครั้งใหม่ หลังจากถูกปลดออกจาก SAS เพราะตาบอดข้างหนึ่งด้วยระเบิด IRA สไปค์ก็ได้รวมทีมอดีต SAS ของเขา ที่เป็นที่รู้จักในนาม “เดอะ โลคัลส์” ผู้เต็มใจทำตามคำสั่งของเขาในการคุ้มครอง SAS และปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการกลุ่มฟีเธอร์ เมน
   บัดนี้ แดนนีและลูกทีมของเขา และสไปค์กับทีมโลคัลส์ของเขา เป็นเหมือนมิสไซล์ที่ตรงเข้าประจันหน้ากันเพื่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่ายุติธรรม Killer Elite กลายเป็นเรื่องราวสงครามลับระหว่างพวกเขา ซึ่งลุกลามตั้งแต่อังกฤษ ไปจนถึงโอมาน และจากปารีสถึงออสเตรเลีย
« Last Edit: October 28, 2011, 11:51:34 AM by happy »

happy on October 28, 2011, 11:58:51 AM

เกี่ยวกับงานสร้าง: ทุกอย่างเริ่มต้นได้อย่างไร

                “แน่นอนครับ มันเป็นหนังแอคชัน และก็แน่นอนว่ามันเป็นทริลเลอร์ แต่ตัวละครเหล่านี้สร้างขึ้นจากคนที่มีชีวิตอยู่จริง และสิ่งที่เราสนใจจะสำรวจคือความเป็นมนุษย์ของตัวละครเหล่านี้ ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดึงดูดใจสำหรับนักแสดงอย่างโรเบิร์ต เดอ นีโร, ไคลฟ์ โอเวนและเจสัน สเตแธมครับ”
ผู้กำกับแกรี แม็คเคนดราย


                เซอร์ราล์ฟ ไฟน์ส ผู้พูดถึงตัวเองว่าเป็น “นักสำรวจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกที่ยังมีชีวิตอยู่” นักผจญภัยและนักเขียนชาวอังกฤษ ได้เขียนนิยายอื้อฉาวเรื่อง The Feather Men ขึ้นในปี 1991 The Feather Men ที่สร้างขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไฟน์สได้พบเห็นระหว่างการทำงานในกองทัพอังกฤษและหน่วย SAS เป็นเรื่องราวตื่นเต้น ระทึกขวัญเกี่ยวกับอดีตทหาร SAS ที่ประจันหน้ากับหน่วยปฏิบัติการชั้นสูงของโลกในปฏิบัติการที่มีเป้าหมายเพื่อแก้แค้น
   เมื่อเพื่อนคนหนึ่งยื่นหนังสือเรื่อง The Feather Men ของไฟน์สให้กับแกรี แม็คเคนดราย เขาก็ไม่เอะใจเลยซักนิดว่า นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ใช้เวลาเกือบเจ็ดปีกว่าจะบรรลุเป้าหมาย แต่กระบวนการทั้งหมดนั้นก็เริ่มต้นจากหนังสือนอนฟิคชันอื้อฉาวฝีมือไฟน์สเล่มนี้นั่นเอง


ตัวละคร

JASON STATHAM (เจสัน สเตแธม) รับบทเป็น Danny (แดนนี)

               แกรี แม็คเคนดรายได้กล่าวสรุปเกี่ยวกับตัวแดนนีว่า “ในตอนเริ่มต้นเรื่อง เราพบตัวละครที่ทิ้งชีวิตเดิมของตัวเองไว้เบื้องหลัง เขาเคยใช้ชีวิตเป็นทหาร เป็นมือสังหารมาก่อน เราพบเขาอยู่ในฟาร์มแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย ขณะกำลังพยายามจะสร้างชีวิตใหม่ เขาพยายามจะทิ้งโลกใบเดิมไว้เบื้องหลังและเขาก็ไม่เก่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาพบว่ามันไม่ง่ายเลย แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ทดลองและเขาก็มีความหวังกับชีวิตใหม่นี้ เมื่อเขาถูกเรียกตัวไปช่วยฮันเตอร์ เขาก็พบว่าตัวเองถูกลากกลับไปยังโลกที่เขาคิดว่าเขาทิ้งไว้เบื้องหลังแล้วอีกครั้งหนึ่ง”
   ธีมสำคัญที่ทำให้แม็คเคนดรายถูกดึงดูดเข้าหาโปรเจ็กต์นี้ในตอนแรกคือการที่อดีตทหารจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร เมื่อไม่มีสงครามมาเป็นตัวสร้างคำนิยามให้กับตัวตนของพวกเขา เขาอธิบายว่า “ยิ่งเราขุดลึกลงไปเท่าไหร่ เราก็ยิ่งพบว่า สำหรับทหารแล้ว สงครามไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทำ แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาเป็นครับ”
   มือเขียนบท แมทท์ เชอร์ริงได้เล่าถึงเหตุผลที่เขารู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาตัวละครตัวนี้ว่า “หนึ่งในลักษณะที่น่าชื่นชมของแดนนีคือเขามีความภักดีอย่างเหลือล้น เขาเต็มใจที่จะเอาชีวิตและโอกาสที่จะได้มีความสุขกับชีวิตในอนาคตมาเสี่ยง เพื่อกลับไปช่วยคนที่เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขา เขาจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเพราะเท่าที่เขามอง มันไม่มีทางเลือกอื่นใดสำหรับเขาครับ”



การคัดเลือก JASON STATHAM (เจสัน สเตแธม)

               เจสัน สเตแธม หนึ่งในนักแสดงแอคชั่นที่โด่งดังที่สุดในโลก ได้ใส่แอคชั่นยอดเยี่ยมอันเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาลงไปในบทนี้ และอย่างที่ผู้อำนวยการสร้างสตีฟ เชสแมนได้อธิบายไว้ว่า “ตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่เรามีแอคชั่นในระดับเดียวกับดรามา และมันก็ให้ผลที่คุ้มค่าจริงๆ”
   สำหรับผู้กำกับแกรี แม็คเคนดรายแล้ว เขาไม่เคยมีตัวเลือกอื่นสำหรับบทนี้เลย “เจสันเป็นตัวเลือกแรกของผมสำหรับบทนี้ ในตอนที่เจสันตกลงที่จะรับบทนี้ ผมก็ดีใจจนเนื้อเต้นเลย แดนนีเป็นตัวละครที่ซับซ้อนจริงๆ เขาทำสิ่งที่เลวร้ายด้วยความตั้งใจที่ดี และผมก็คิดว่าเจสันเข้าใจเรื่องนั้นทันที และสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวแดนนีคือในหนังเรื่องนี้ เขาไม่มีใครพูดด้วยเลย เขาไม่มีใครจะแชร์ประสบการณ์ด้วย เขาติดอยู่ระหว่างโลกสองใบ ซึ่งก็ไม่มีใครที่เขาจะเปิดเผยตัวตนได้ ดังนั้น แดนนีก็เป็นเหมือนชายผู้กุมความลับไว้ ผมชอบวิธีที่เจสันแสดงความเงียบงันออกมา นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับ Transporter สิ่งที่ทำให้ผมถูกใจเจสันคือความเงียบ ความนิ่งของเขา และมันก็เป็นกุญแจสำคัญในการสวมบทนี้ด้วย และผมคิดว่าเขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ในทุกจังหวะ ในทุกลุค ในทุกอย่างที่เขาทำ คุณจะเกิดความรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่อยากจะทำเรื่องพวกนี้ และผมคิดว่า มีเพียงเจสันเท่านั้นที่สามารถใส่ความรู้สึกแบบนั้นลงไปในบทนี้ได้”
   แม็คเคนดรายกล่าวต่อไปว่า “แล้วก็ยังมีเรื่องสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ต้องทำอีก เช่นการกระโดดจากตึก การกระโดดลงไปบนนั่งร้าน การกระแทกตัวผ่านหน้าต่าง การขับรถซิ่ง การใช้ปืน ซึ่งแดนนีเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษครับ เขาก็เลยต้องทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเหลือเชื่ออย่างเป็นธรรมชาติ แล้วมันก็มีดรามา ที่เขาจะต้องถ่ายทอดความรู้สึกผิดออกมาได้ด้วยเช่นกัน มันเป็นบทที่เล่นค่อนข้างยากแต่เจสันก็ทำได้ เขาใส่ทุกอย่างที่มีลงไปในบทนี้และทำให้มันเปล่งประกายมีชีวิตขึ้นมาครับ”

happy on October 28, 2011, 12:07:14 PM

CLIVE OWEN (ไคลฟ์ โอเวน) รับบทเป็น Spike (สไปค์)

               ทหารระดับสูงที่ประจันหน้ากับแดนนีในเกมแมวจับหนูครั้งนี้คือ สไปค์ อดีตทหาร SAS ที่รับบทโดยไคลฟ์ โอเวน
การทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรลับที่ชื่อว่า ฟีเธอร์ เมน เพื่อคุ้มครองชีวิตและผลประโยชน์ของอดีตทหารหน่วย SAS เป็นหน้าที่ที่สไปค์อุทิศชีวิตให้ แต่ฟีเธอร์ เมนก็ไม่อยากลงมือทำงานสกปรกด้วยตัวเอง ดังนั้น สไปค์ก็เลยกลายเป็นคนที่ต้องทำงานสกปรกแทนพวกเขา แต่ราคาค่างวดที่เขาเต็มใจจะจ่ายคืออะไร และเขาต้องเสียสละอะไรบ้างเพื่องานนี้
   แม็คเคนดรายอธิบายว่า “เขาเป็นทหารที่เคยทำงานในหน่วย SAS เขาน่าจะได้รับบาดเจ็บระหว่างที่เขากำลังทำงานได้เต็มที่ หลังจากที่เขาเสียตาไปข้างหนึ่ง เขาก็ถูกถอดออกจากสนามรบ คนพวกนี้ถูกฝึกฝนอย่างหนักหน่วง พวกเขาได้รับคำบอกว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนพิเศษ เป็นคนสำคัญ ทุกวัน พวกเขาจะถูกเตือนให้ระลึกอยู่เสมอว่า พวกเขาไม่เหมือนคนอื่นๆ ดังนั้น พอพวกเขาถูกปลดประจำการ พวกเขาก็ไม่อาจใช้ชีวิตที่อื่นได้ สิ่งที่ใกล้เคียงกับการรับใช้กองทัพที่สุดสำหรับเขาคือการทำงานให้กับฟีเธอร์ เมน และในหลายๆ แง่มุมแล้ว เขาก็เป็นแพะรับบาปให้กับพวกเขา เพราะเขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่มีการติดต่อกับพวกเจ้าหน้าที่ที่ออกปฏิบัติการ และผมคิดว่า สไปค์ก็เตรียมใจไว้แล้ว เพราะนั่นเป็นการออกรบเพียงอย่างเดียวที่เขาสามารถทำได้ครับ”


การเลือก CLIVE OWEN (ไคลฟ์ โอเวน)

               เช่นเดียวกับเจสัน สเตแธม ไคลฟ์ โอเวน นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ ก็ได้รับการถ่ายทอดออกมาใน Killer Elite ในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไคลฟ์รับบทสไปค์ ชายผู้เร่าร้อน คุกรุ่นไปด้วยความโกรธและถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยความจริง แกรี แม็คเคนดรี้ ที่เป็นแฟนผลงานของโเวนอยู่แล้ว รู้ดีว่ามีเพียงนักแสดงความสามารถระดับนี้เท่านั้นถึงจะถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
   แม็คเคนดรายกล่าวว่า “ผมชื่นชมผลงานของไคลฟ์ โอเวนมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ Croupier แน่ะครับ หนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับไคลฟ์ โอเวนในบทนี้คือลักษณะที่เขาประชันกับเจสัน ฉากต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งคู่น่ะเหลือเชื่อ น่าทึ่งมาก! แล้วมันก็มีซีนนิ่งๆ ที่ระเบียง ที่เจสันจะประจัญหน้ากับไคลฟ์ มันนิ่งมาก และเต็มไปด้วยพลังงานที่เก็บกักอยู่ เหมือนเสือสองตัวอยู่ในกรงเดียวกันน่ะครับ”
   ไคลฟ์กล่าวว่าเขารู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาโปรเจ็กต์นี้ด้วยความแกร่งของบท “ผมชอบบทหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่า มันเป็นหนังสายลับที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใครมากๆ มันมีแอ็กชันเจ๋งๆ แต่ก็มีรากฐานอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่ธรรมดา มีคนที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง อีกอย่างหน่ง ผมก็เคยได้ดูหนังสั้นของแกรีเรื่อง Everything In This Country Must และคิดว่ามันน่าประทับใจจริงๆ ครับ”


ROBERT DE NIRO (โรเบิร์ต เดอ นีโร) รับบทเป็น Hunter (ฮันเตอร์)

               ฮันเตอร์ มือสังหารและเพื่อนของแดนนี เป็นเหมือนพ่อสำหรับแดนนี เขาถูกชีคโอมานจับตัวเอาไว้ในโอมาน และกำลังต้องการให้แดนนีมาช่วยชีวิตเขาอย่างเหลือเกิน แกรี แม็คเคนดรี้อธิบายเหตุผลที่ฮันเตอร์ถูกจับตัวเอาไว้ว่า “ฮันเตอร์เป็นคนที่รับงานที่เกินความสามารถของเขา และมันก็เกินกว่าที่เขาจะสามารถทำตามลำพังได้ ทุกคนฝันที่จะหลุดพ้นสิ่งที่เป็นอยู่ และปกติแล้ว คนเราก็มักจะพยายามดิ้นรนคว้าเชือกที่อยู่ไกลเกินเอื้อม ตัวเขาเองได้รับงานที่ใหญ่เกินตัวและเขาก็พยายามจะหนีจากมัน แต่ในแวดวงนั้น มันมีกฎอย่างหนึ่งที่ว่า ถ้าคุณรับงานมาแล้ว คุณก็ต้องทำงานให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้น เป้าหมายต่อไปก็คือคุณ ทางเดียวที่ฮันเตอร์จะได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกครั้งคือแดนนีจะต้องสานงานต่อจากเขาจนจบ มันก็เลยเป็นการเซ็ทเรื่องราวที่ค่อนข้างจะซับซ้อนครับ”

การเลือก ROBERT DE NIRO (โรเบิร์ต เดอ นีโร)

               ไม่น่าแปลกใจเลยที่เดอ นีโร ตำนานที่ได้รับการยกย่องแห่งโลกภาพยนตร์ จะนำอะไรมากมายมาสู่บทฮันเตอร์ และปฏิกิริยาเคมีที่เหลือเชื่อระหว่างเขากับเจสันก็สะท้อนถึงความสัมพันธ์หลักระหว่างแดนนีและฮันเตอร์ด้วย แม็คเคนดรายขยายความถึงความสำคัญของการได้เดอ นีโรมาแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “เขาเป็นคนที่น่าทึ่ง ยอดเยี่ยมและมหัศจรรย์ครับ เขาสนใจในตัวละครจริงๆ และเขาก็ใส่อะไรมากมายลงไปในบท เขาบีบให้ผมต้องล้วงลึกลงไปว่าฮันเตอร์เป็นใครและมีอดีตเป็นอย่างไร มันน่าสนใจจริงๆ ที่ได้เห็นบ็อบและเจสันอยู่ด้วยกัน และได้เห็นปฏิกิริยาเคมีระหว่างทั้งคู่ มันเวิร์คเพราะ     บ็อบเป็นเหมือนพ่อในด้านมืด เขาไม่ใช่ ‘พ่อ’ ที่อบอุ่นทั่วๆ ไป และเขาก็รู้สึกเสียใจสุดซึ้งในการที่เขาดึงแดนนีกลับมาอีกครั้ง ผมคิดว่ามันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ/ลูกที่น่าสนใจจริงๆ และก็ดูเหมือนว่ามันจะออกมาเยี่ยมจริงๆ”
   ผู้ควบคุมงานสร้างคริสโตเฟอร์ แม็ปป์ กล่าวเห็นพ้องด้วยถึงความหมายของการได้เดอ นีโรมารับบทฮันเตอร์ “การที่ได้นักแสดงระดับโรเบิร์ต เดอ นีโรเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับหนังเรื่องนี้ โชคดีที่เราทาบทามเขาถูกเวลา เขาว่างพอดี และเขาก็สนใจเรื่องนี้จริงๆ ผมจำได้ถึงครั้งแรกที่ผมคุยกับบ็อบในนิวยอร์ก เขาชอบตัวละครฮันเตอร์จริงๆ และด้วยสไตล์ที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ เขาก็ได้ยกระดับมันขึ้นมาจากเดิม เขาได้ยกระดับพล็อต ตัวละคร และปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครขึ้นมาครับ”


YVONNE STRAHOVSKI (อีวอนน์ สตราฮอฟสกี้) รับบทเป็น Anne (แอนน์)

               แดนนีรู้จักแอนน์ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็ก แต่เมื่อเขาพบเธออีกครั้งโดยบังเอิญในดินแดนเขียวชะอุ่มของออสเตรเลีย ความรักก็ผลิบานขึ้น แอนน์กลายเป็นเหตุผลสำคัญของแดนนีในการวางมือ
   อีวอนน์ สตราฮอฟสกี้พูดถึงแอนน์ว่า “เธอเป็นสาวบ้านนอก เธอขี่ม้า และมีอดีตที่มืดหม่นนิดๆ ยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาพัฒนาขึ้น แอนน์ก็เริ่มรู้สึกได้ว่า มีบางสิ่งแปลกๆ กับแดนนี แอนน์ไม่รู้ว่าแดนนีทำอะไร เธอไม่แคร์ เพราะมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือเธอรักเขา แต่ยิ่งทั้งคู่ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มประเดประดังเข้ามา แดนนีโทรศัพท์ไปที่นั่นที่นี่ ได้รับโทรเลขแปลกๆ แล้วเธอก็เริ่มปะติดปะต่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้าด้วยกันค่ะ”


การเลือก YVONNE STRAHOVSKI (อีวอนน์ สตราฮอฟสกี้)

               ในฐานะนางเอกของการผจญภัยของหนุ่มๆ เรื่องนี้ นักแสดงสาวชาวออสเตรเลีย อีวอนน์ สตราฮอฟสกี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงในซีรีส์แอ็กชันคอเมดีทางเอ็นบีซีเรื่อง Chuck ไม่ได้รับเลือกมาให้แสดงตามแบบฉบับ แต่เธอชื่นชอบกับความเปลี่ยนแปลงจังหวะที่เกิดขึ้นจากการรับบทแอนน์ ผู้อำนวยการสร้างเองเป็นแฟนของ Chuck อยู่แล้ว แต่พวกเขาได้เห็นศักยภาพของเธอในบทแอนน์ก็เมื่อพวกเขาได้เห็นฟุตเตจของเธอในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีสัญชาติออสเตรเลียของปีเตอร์ เฮลเลียร์เรื่อง I Love You, Too “ลีห์ พิคฟอร์ด ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดงของเราได้ไปหาเธอในแอลเอ แล้วเธอก็บันทึกภาพตัวเองลงเทป ซึ่งเธอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม” เชสแมนบอก โบเกนกล่าวเห็นพ้องด้วย “เธอมหัศจรรย์มาก ตั้งแต่วันแรก เธอก็ทำงานเข้าขากันกับเจสันแล้ว พวกเขาคลิกกันเลยครับ”
   การออดิชันของเธอก็ส่งผลอย่างเดียวกันกับแกรี แม็คเคนดราย “อีวอนน์น่าทึ่ง วิเศษสุด ผมเคยเห็นเธอใน Chuck แล้ว และจริงๆ แล้ว ผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นคนออสเตรเลีย ผมคิดว่าเธอเป็นคนอเมริกันซะอีก เทปคัดเลือกที่เหลือเชื่อของเธอ เป็นภาพที่มีการจราจรเป็นแบ็คกราวน์ เพราะเธอถ่ายทำในตอนเที่ยงที่ไหนซักแห่ง และเธอก็น่าอัศจรรย์ใจมากครับ ฉากระหว่างเธอกับเจสันเป็นอะไรที่วิเศษสุด เราแค่ตั้งกล้องสองตัว แล้วปล่อยให้พวกเขาแสดงอย่างเต็มที่ มันมีการอิมโพรไวส์นิดๆ ซึ่งพวกเขาก็สนุกกับมันมาก และมันก็เป็นประโยชน์เวลาตัดต่อเพราะมันมีปฏิกิริยาเคมีจริงๆ ทำให้การตัดต่อสนุกมากเลยล่ะครับ”

happy on November 04, 2011, 07:50:28 PM
 ;)