Google on June 29, 2011, 08:16:49 PM
“แดน วรเวช” ควงคู่ “ฉัตร ปริยฉัตร” ร่วมเปิดกล้องบวงสรวง “The Melody” โดยมี “โอ๋ จาตุศม” ลูกสาวเสี่ยเจียงเป็นโปรดิวซ์ใหญ่



          ได้ฤกษ์ดีต้อนรับคริสมาสอีฟ ค่ายใบโพธิ์ หรือ บริษัท สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมกับ บริษัทยักษ์คู่สตูดิโอจำกัด จัดงานเปิดกล้องบวงสรวงภาพยนตร์เรื่องล่าสุด “The Melody” ที่ได้พระเอกหนุ่มคมเข้ม อย่าง “แดน” วรเวช ดานุวงศ์ และ “ฉัตร” ปริยฉัตร ลิ้มธรรมหิศร นางเอกสาวสวยขาวหมวย ที่งานนี้ควงคู่กันมาบวงสรวงเปิดกล้องภาพยนตร์รักโรแมนติก เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา ณ.หมู่บ้านกลางเมืองย่าน พระรามเก้า-ลาดพร้าวตั้งแต่เช้าตรู่ พร้อมกับผู้กำกับใหม่แกะกล่องอย่าง “ทศพล ศรีสุคนธรัตน์” โดยมีโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่มาแรงอย่าง โอ๋ หรือ จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ ลูกสาวคนกลางสุดรักสุดหวงของ “เสี่ยเจียง” สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

          และถึงแม้ว่าแดดจะแรงไปหน่อยสำหรับเช้าๆ ในฤดูหนาว แต่น้องฉัตรและนักร้องเจ้าของลักยิ้มสุดเก๋อย่างแดนก็ไม่หวั่น ยืนทำพิธีอย่างตั้งใจสมกับที่ทุ่มเทการแสดงในครั้งนี้อย่างเต็มเปี่ยม เพราะต้องพลิกคาแรกเตอร์จากหนุ่มเจ้าสำราญมารับบทที่นิ่งมาก แต่ที่เห็นยิ้มแก้มไม่หุบเห็นจะเป็นทางด้านผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่ร่วมกันปั้นภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเต็มที่ และในที่สุดก็ได้ฤกษ์บวงสรวงหลังจากที่เปิดกล้องเก็บบรรยากาศความสวยงามที่แม่ฮ่องสอนกันมาแล้วนิดหน่อยก่อนหน้านี้ ซึ่งผู้กำกับได้ให้สัมภาษณ์ว่า

          “จริงๆ เรื่องนี้เรามีถ่ายไปบ้างแล้วในบรรยากาศหน้าหนาว แต่ไม่เยอะมากประมาณแค่ 10 เปอร์เซ็นเอง แต่ที่เรามาจัดงานในวันนี้เพราะได้ฤกษ์งามยามดีเราจึงอยากทำพิธีบวงสรวงอย่างเป็นทางการขึ้น ก่อนที่เราจะเดินหน้าถ่ายทำกันต่อไปอย่างเต็มที่ เพราะด้วยคิวของแดนและคิวของน้องฉัตรเองก็ค่อนข้างแน่น รวมทั้งฤดูกาลหรือบรรยากาศที่เราอยากได้มันค่อนข้างเป็นในช่วงฤดูนี้ เราพิถีพิถันเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้ตามบรรยากาศที่ผมและคุณโอ๋ โปรดิวเซอร์ได้มองเอาไว้ นั่นคือ มีทั้งความโรแมนติก และอบอุ่น รวมทั้งแดนและฉัตรเองทุ่มเทมาก เขามีเวลาหรือว่ามีโอกาสก็จะทำความเข้าใจกับบทตลอด อย่างวันนี้จริงๆ แดน ก็ติดคิวอื่นเหมือนกัน แต่เขาพร้อมเสมอ บอกหนังเราพร้อมบวงสรวงแล้วลุยกันเลย เราก็เลยอืมมม ดีจัง แดนกับฉัตรเค้าเป็นคนที่โอเคมาก พร้อมเสมอวันนี้ผมเลยรู้สึกดีใจมากครับถือว่าวันนี้เป็นการเตรียมพร้อมของทุกคนที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกันอย่างเป็นทางการทุกคนรับรู้ ก็ขอฝากด้วยนะครับ”
« Last Edit: December 04, 2011, 12:05:20 PM by Google »

FB on October 07, 2011, 01:24:13 PM
Clip เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง THE MELODY

          เพลง The Melody
          ขับร้อง: วรเวช ดานุวงศ์
          คำร้อง/ทำนอง/เรียบเรียง: ตรัย ภูมิ รัตน

จริงหรือเปล่า ที่ใครเขาบอก ว่าคนรักกัน ต้องอยู่ด้วยกันเรื่อยไป จริงแค่ไหน ว่าความเหินห่าง จืดจางรักได้ แต่ฉันไม่เชื่ออย่างนั้น

*โอ้ความรักช่างสวยงาม ปล่อยไปตามที่เชื่อใจเผื่อเอาไว้คิดถึง คงซึ้งในความหมายเราจะได้รู้ว่าใจของเรา รักกันมากเท่าไหร่

**เราอาจไม่เจอกัน ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้จูงมือไปกับเธอจนถึงฝันไม่ได้สัมผัส พูดว่ารักกัน แต่รู้ไว้ฉันรักเธอเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ จะเป็นกำลังใจ ต่อให้จากนี้เรานั้นอาจไม่ได้เจออยากให้เธอเชื่อว่าความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอ จะไม่เปลี่ยนไปเลย ฉันรักเธอ มากมายเหลือเกิน สุขใจเหลือเกิน เมื่อเราอยู่ใกล้กันคืนและวัน ความรักที่มี คงไม่ไหวหวั่น คงไม่มีวันเปลี่ยนไป

*โอ้ความรักนั้นสวยงาม ปล่อยไปตามที่เชื่อใจเผื่อเอาไว้คิดถึง คงซึ้งในความหมายเราจะได้รู้ว่าใจของเรา รักกันมากเท่าไหร่

**เราอาจไม่เจอกัน ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้จูงมือไปกับเธอจนถึงฝันไม่ได้สัมผัส พูดว่ารักกัน แต่รู้ไว้ฉันรักเธอเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ จะเป็นกำลังใจ ต่อให้จากนี้เรานั้นอาจไม่ได้เจอไม่ว่านานเท่าไร โปรดจงรู้ไว้เสมอ ใจชั้นเป็นของเธอ ยังรักเธอเสมอ จะไม่เปลี่ยนไปเลย…แม้เราต้องจากกัน

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=e5qTvjdws_Q" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=e5qTvjdws_Q</a>

FB on October 11, 2011, 01:27:56 PM
“แดน” พลิกคาแรกเตอร์ ทั้งวีนสุดขั้ว และหวานสุดโต่ง ในภ. The Melody รักทำนองนี้



          เห็นพระเอกหนุ่มเจ้าของลักยิ้มทรงเสน่ห์เล่นบทคอเมดี้มาหลายเรื่องแล้ว สำหรับ “แดน วรเวช ดานุวงศ์” มาคราวนี้ได้เวลาเปลี่ยนคาแรกเตอร์มาเป็นหนุ่มนักดนตรีมาดขรึมขี้วีน ที่แสนจะหยิ่งยโสกับบทบาทล่าสุดในภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่า เรื่องใหม่ “The Melody รักทำนองนี้” ของค่าย สหมงคลฟิล์มฯ ซึ่งครั้งนี้ได้หนุ่ม “แดน วรเวช ดานุวงศ์” (รับบทเป็นวิน) และนางเอกสาวหน้าใสอย่าง “ฉัตร ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร” (รับบทเป็นหมอก) มาประกบคู่กันครั้งแรกในเรื่องราวความรักของ “วิน-หมอก” 2 นักดนตรีที่มีความสามารถ วินนักร้องและนักแต่งเพลงยอดนิยมผู้มีความมั่นใจในตัวเองสูง กำลังเข้าสู่ช่วงขาลงแบบสุดสุด ความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะยอมรับทำให้วินหนีไปซ่อนตัวที่แม่ฮ่องสอน เมืองเล็กๆบนภูเขาสูง ที่ที่ทำให้เขาบังเอิญพบกับ หมอก นักเปียโนฝีมือดี สาวจอมตื๊อที่มักชอบบังคับให้เขาทำในสิ่งที่เกลียดอยู่เสมอ และแล้วเธอก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาโดยไม่รู้ตัว ความใกล้ชิดและดนตรีทำให้วินได้เรียนรู้ว่า ทำนองเพลงที่บรรเลงได้ไพเราะที่เขาค้นหามาตลอดชั่วชีวิต คือเสียงหัวใจของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของเขานี่เอง แต่กว่าวินจะรู้ตัว โชคชะตาก็นำพาอุปสรรคสำคัญเข้ามา สิ่งที่จะทำให้วินและหมอกเรียนรู้ที่จะเป็นแรงบันดาลใจของกันและกัน บททดสอบที่จะทำให้คู่รักทุกคู่รู้จักไขว่คว้าความสุข แม้ว่าจะอยู่ในมุมมืดมิดของความทุกข์ที่กำลังก่อตัวขึ้นมา เพลงที่เธอแต่งทำนอง และเขาช่วยแต่งคำร้องที่บริสุทธิ์ที่สุดที่บทเพลงทั้งหมดเคยบรรเลงมา

          ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการแสดงของแดน วรเวช ที่ต้องมารับบทที่เรียกว่าพลิกแบบไม่เหลือคราบเดิมทั้งฉุนเฉียวสุดๆ และหวานแบบสุดๆ ในเรื่องเดียว แตกต่างจากตัวจริงที่เป็นหนุ่มอารมณ์ดี โรแมนติก บทเจ้าอารมณ์ขี้หงุดหงิดก็เลยถือว่าเป็นบทบาทที่ใหม่แหวกแนว แต่นอกจากบทเจ้าอารมณ์ที่ว่าต้องปรับตัวกันใหม่แล้ว บทสวีทหวานก็เป็นอีกแนวนึงที่เรียกเหงื่อจากหนุ่มแดนได้ไม่น้อยเหมือนกัน
         
          “ (แดน วรเวช) เป็นครั้งแรกในเลยครับสำหรับการมาเล่นบทที่ไม่เหมือนตัวเอง มันยากดีครับเพราะว่ามันต้องมีอาการเหวี่ยงวีน ต้องขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ในเรื่องนี้ผมเล่นเป็นคนที่เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไม่พอใจไปหมด เห็นเด็กก็ไม่ชอบ เห็นนั่นนี่ก็ไม่พอใจ แล้วชีวิตมันจะมีความสุขได้ยังไงครับ แต่แตกต่างจากตัวเราจริงๆ เลย ผมเป็นคนค่อนข้างมองโลกในแง่บวก ชอบเล่นกับเด็กตลกดี มาเล่นเรื่องนี้ทุกอย่างแทบจะแตกต่างจากตัวผมโดยสิ้นเชิง ช่วงแรกๆ ที่เข้าฉากพี่โอ๊คผู้กำกับต้องคอยบอกว่า “เฮ้ยแดน เอาคาแรกเตอร์ตัวเองออกมาน้อยๆ หน่อย” คือบางทีผมก็ตั้งใจมาขรึมนะวันนี้ หน้าผมอาจจะดูตลกไปหน่อย หรือไม่คนก็ยังจำภาพแต่ผมเล่นทะเล้นอยู่ ช่วงแรกก็ทำการบ้านหนักพอสมควรครับ

          หลักๆ เลยคงเป็นเรื่องของการสงบสติอารมณ์ครับ ต้องพยายามอย่าอารมณ์ดีมาก ก่อนจะเข้าฉากต้องพยายามนึกก่อนว่า ตัววินเขาไม่ชอบสิ่งนี้นะ เราต้องอารมณ์เสีย เราต้องวีนอะไรอย่างนี้ ก่อนผู้กำกับจะสั่งแอคชั่นมันต้องคิดให้ได้ก่อน เพราะโดยปรกติเวลาผมไปเล่นละครทีวี ผมก็จะไม่ค่อยได้ตั้งสติเท่าไหร่ จะปล่อยให้อารมณ์ไหลไปตามเรื่องเรื่อยๆ แต่พอมาเล่นเรื่องนี้ต้องคุมคาแรกเตอร์ให้อยู่ในเนื้อเรื่องให้ได้ครับ ส่วนบทที่ต้องเล่นกับนางเอกเข้าฉากที่อยู่กันสองคนแบบมีความสุขก็มีเยอะครับ เรื่องเขินอายไม่ค่อยมีหรอกครับเพราะเราก็ทำไปตามบทบาทการแสดง แต่มีบางทีก็ทำเอาเหงื่อแตกได้เหมือนกัน มันไม่ใช่อะไรหรอกครับคือมันยิ้มกันจนเหงือกแห้ง บางทีก็มีแบบยิ้มไม่ออกแล้วเมื่อยแก้มแล้ว แต่ต้องเกร็งยิ้มไว้จนกว่าผู้กำกับจะสั่งคัทกลัวว่าเดี๋ยวยิ้มมากลักยิ้มจะทำเอาเล่นติดทะเล้นอีก ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันทั้ง 2 แบบเลยครับ”

FB on October 18, 2011, 07:15:40 PM
Movie: The Melody – รักทำนองนี้



 
    
          เพลงรักนับล้านที่มีมากมายอยู่บนโลก
          แต่มีแค่เพลงเดียวที่มันเป็นของเราสองคน

          กำหนดฉาย 14 กุมภาพันธ์ 2555
          ประเภท รัก-ชีวิต (Romantic-Drama)
          นำแสดงโดย แดน-วรเวช ดานุวงศ์, ฉัตร-ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร,
          ด.ญ. ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ, วาสนา สิทธิเวช
          ดำเนินงานสร้าง บริษัทยักษ์คู่สตูดิโอจำกัด
          บทภาพยนตร์ ทศพล ศรีสุคนธรัตน์,มนชยา พานิชสาส์น,วรลักษณ์ กล้าสุคนธ์
          เพลงประกอบภาพยนตร์โดย แดน-วรเวช ดานุวงศ์, บอย-ตรัย ภูมิรัตน
          ดนตรีประกอบ กฤษณะศักดิ์ กันตธรรมวงศ์
          ผู้กำกับภาพยนตร์ ทศพล ศรีสุคนธรัตน์
          ผู้ควบคุมการผลิต จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ
          ผู้อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
          กำกับศิลป์ อนิรุตร์ จิตร์สมนึก
          กำกับภาพ สิทธิพงษ์ กองทอง
          ลำดับภาพ รัชพันธุ์ พิศุทธิ์สินธพ, ทวีลาภ เอกธรรมกิจ,มานุสส วรสิงห์
          บันทึกเสียง กันตนา
          ฟิล์มแล็ป กันตนา
          ออกแบบเครื่องแต่งกาย กรกนก สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
          แต่งหน้า-ทำผม พัชริกา บัวรุ่ง, ศุภชัย สิงห์น้อย
          บริษัทจัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล

          เรื่องย่อ

          เมื่อดนตรีนำพาทั้งคู่ให้เจอกัน ...
          เนื้อเพลงและความหมายที่มีอยู่ต่อจากนี้...
          เต็มไปด้วยความรู้สึกและความรัก...ที่มีอยู่จริง
 
          เมื่อเส้นทางชีวิตของ วิน (แดน-วรเวช ดานุวงศ์) นักร้องและนักแต่งเพลงยอดนิยมผู้มีความมั่นใจในตัวเองสูง กำลังเข้าสู่ช่วงขาลงแบบสุดสุด ความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะยอมรับทำให้วินหนีไปซ่อนตัวที่แม่ฮ่องสอน เมืองเล็กๆบนภูสูง ที่ที่ทำให้เขาบังเอิญพบกับ หมอก (ฉัตร-ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร) นักเปียโนฝีมือดี สาวจอมตื๊อที่มักชอบบังคับให้เขาทำในสิ่งที่เกลียดอยู่เสมอ และแล้วเธอก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาโดยไม่รู้ตัว ความใกล้ชิดและดนตรีทำให้วินได้เรียนรู้ว่า ทำนองเพลงที่บรรเลงได้ไพเราะที่เขาค้นหามาตลอดชั่วชีวิตคือเสียงหัวใจของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของเขานี่เอง แต่กว่าวินจะรู้ตัว โชคชะตาก็นำพาอุปสรรคสำคัญเข้ามา สิ่งที่จะทำให้วินและหมอกเรียนรู้ที่จะเป็นแรงบันดาลใจของกันและกัน บททดสอบที่จะทำให้คู่รักทุกคู่รู้จักไคว่คว้าความสุข แม้ว่าจะอยู่ในมุมมืดมิดของความทุกข์ที่กำลังก่อตัวขึ้นมา เพลงที่เธอแต่งทำนองและเขาช่วยแต่งคำร้องที่บริสุทธิ์ที่สุดที่บทเพลงทั้งหมดเคยบรรเลงมา

          ร่วมซึ้งไปกับบรรยากาศสุดโรแมนติกในเมืองแห่งสายหมอก กับบทเพลงอันไพเราะด้วยฝีมือการแต่งเพลงจากนักแสดงนำ แดน วรเวช และนักร้องเสียงอบอุ่นอย่าง บอย ตรัย ที่จะมาเปลี่ยนแปลงฤดูหนาวของใครหลายคน กลายเป็นฤดูที่หัวใจเต้นเป็นทำนองใหม่ที่อบอุ่นที่สุด
« Last Edit: December 04, 2011, 08:17:40 PM by FB »

FB on October 18, 2011, 07:17:02 PM
ตัวโน๊ตที่เคลื่อนไหวได้จริงบนแผ่นฟิล์ม
 
          จากมุมมองความรักที่ลึกซึ้งของผู้ชายคนนึงที่ชื่อว่า “ทศพล ศรีสุคนธรัตน์” ผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่กับวงการโทรทัศน์โดยเน้นความรักของชายและหญิง และทัศนะอันอบอุ่นบวกกับประสบการณ์ความรักที่น่าประทับใจของตนเองและคนรอบข้าง และความสามารถทางการโปรดิวซ์ของ “ จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ” นักทำงานรุ่นใหม่ผู้ปลุกปั้นภาพยนตร์คุณภาพมาโดยตลอด มาเรียงร้อยเป็นบทภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่า ที่พูดถึงวัยหนุ่มสาวผู้ซึ่งค้นหาตนเอง ค้นหาเป้าหมายในชีวิตและความรัก ซึ่งเนื้อหาของเรื่องไม่ได้พูดถึงความรักที่ฉาบฉวยหรือความรักตามกระแสวัยรุ่น แต่เป็นความรักที่เกิดจากการเรียนรู้ เกิดจากการรู้จักที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่น ความรักที่อาจจะดำเนินไปแค่ช่วงเวลาหนึ่งแต่เต็มไปด้วยเป้าหมาย ข้อคิด จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ทำให้ความรักเกิดการแตกแขนงออกไปหาคนรอบข้างพร้อมที่จะหยิบยื่นให้กับทุกๆ คน และแน่นอนก่อให้เกิดความรักของชายหญิงอันลึกซึ้งขึ้นในใจ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าอะไรก็พรากความรู้สึกนั้นออกไปจากใจของเขาและเธอไม่ได้
          “ (ผู้กำกับ) ผมเอามาจากประสบการณ์ความรักทั้งด้านดีและไม่ดีที่ผมเคยเจอมา และเราก็ย้อนนึกกลับไปว่า คงจะดีถ้ามีความรักสักครั้งที่ทำให้เราคิดถึงมันไว้ได้ตลอดไป เป็นแรงผลักดันในชีวิตที่ทำให้เราสามารถจะลุกขึ้นมาทำอะไรได้อีกมากมาย
          แล้ววันนึงมานั่งฟังเพลงอยากส่งความรักของโต๋ “อยากส่งความรัก ผ่านเพลงนี้ ให้เธอคนที่แสนดีให้รู้ทุกๆ วันที่ฉันมี เป็นได้เพราะเธอ ไม่ใช่เพราะใคร” ท่อนนี้เลย เราฟังท่อนนี้แล้วเออ ถ้าหากมีใครสักคนมาร้องเพลงนี้ให้เราฟังว่าทุกสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จได้ก็เพราะความรักของเราที่มอบให้ มันคงเป็นความรู้สึกที่ดีมาก มันคือเจ๋งมากมันแสดงว่าความรู้สึกของเรามันมีค่ามาก ผมเลยมาคิดกันว่าจะทำยังไงดีที่จะทำให้คนมีความรู้สึกแบบนี้ ก็มานั่งคิดว่าคนส่วนมากเวลาคบกันเป็นแฟนมันก็เป็นช่วงเวลาที่ดี แต่พอเวลาเลิกกันแบบว่าไม่ไปได้ไหมจะต้องตีโพยตีพายทำร้ายตัวเองด่าโน่นด่านี่แล้วความรักมันก็พังทลายลง ทุกอย่างมันคือแง่ลบไปหมด
          ผมก็มามองว่า เออ...ถ้างั้นก็เอาความรักมาเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิตกันดีกว่า เพื่อวันนึงที่เขารู้ขึ้นมาทุกวันนี้ที่เราประสบความสำเร็จได้เพราะความรักที่เขาเคยมีให้เรา เขาจะรู้สึกดีกับเรานั่นคือที่มาของหนัง
          อีกเหตุผลนึงคือตัวผมเองอยากเล่นเปียโน เป็นคนชอบเปียโนมาก อยากเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่มีสตางค์ ชอบบีโธเฟน ชอบโมสาร์ท ชอบฟังแต่ไม่มีปัญญาเล่น เวลาเห็นคนเล่นจะชอบมาก ผู้หญิงในฝันก็ต้องเล่นเปียโนเป็น คือฝันเอาไว้อย่างนี้มาตลอด พอเราคิดแล้วเรารู้สึกว่าเปียโนเป็นดนตรีที่มันมีเสียงเยอะมาก มันถ่ายทอดความรู้สึกได้หลากหลาย เราก็เลยคิดว่าเราจะทำยังไงดี ในเมื่อเราชอบเปียโน เราก็อยากให้ทั้งพระเอกและนางเอกเป็นนักเปียโน มันเป็นแบบนี้ได้หรือเปล่า แต่จะทำยังไงให้นักเปียโน 2 คนนี้ที่จะมาเล่นเป็นพระนางเนี่ย มีอะไรที่มันแตกต่างกัน”
          และแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์สมบูรณ์แบบคือนักแสดงที่มีความพร้อม สามารถตอบโจทย์ของผู้กำกับได้อย่างแม่นยำ รวมถึงความสามารถที่ตรงใจกับผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในด้านดนตรีและด้านการแสดงอย่าง แดน วรเวช ดานุวงศ์ และ ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร 2 นักแสงนำวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้นของการมีความรักในรูปแบบทีต้องการความมั่นคงในชีวิตเหมือนอย่างในภาพยนตร์ที่ต้องการนำเสนอ
          “ (แดน วรเวช) เหตุผลหลักๆ ในการเลือกเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้คือ เดอะเมโลดี้เป็นภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่าที่มีเรื่องราวความรักดีๆ สอดแทรกตลอดทั้งเรื่อง ผมเชื่อว่าพอภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกฉายให้คนไทยได้ดู มันน่าจะทำให้เรารู้สึกได้ว่า เราควรจะมีส่วนได้ช่วยเหลือกัน เผื่อแผ่กัน แบ่งปันความรักให้กันและกัน เพราะเนื้อเรื่องนี้เขาอยากจะถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาให้คนได้รู้สึกกัน พี่โอ๊คไม่ได้เคยบอกผมว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเป็นผมอย่างโจ่งแจ้ง พอผมอ่านบทเสร็จผมก็ตอบตกลง จนมาวันนึงได้นั่งคุยกันระหว่างรอจะถ่ายทำ ผมถามผู้กำกับว่ารู้ไหมทำไมผมถึงมาเล่นหนังเรื่องนี้ พี่โอ๊คเงียบไปและบอกไม่รู้แต่หน้าตาอยากรู้มาก (หัวเราะ) ผมบอกว่า”พี่น่ะเหมือนผม อยากทำอะไรแล้วต้องทำ พี่รู้จักหนังพี่ดีเพราะพี่อยู่กับมันตลอด ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไงแต่ผมจะเล่นเรื่องนี้”
          “ (ปริยฉัตร) ตอนไปแคสติ้งหนังเรื่องนี้ นอกจากบทที่ผู้กำกับจะให้ลองทำดูแล้ว พี่โอ๊คถามก่อนเลยค่ะว่าเล่นเปียโนได้ไหม ฉัตรก็บอกว่าเล่นได้ พี่เขาก็บอกว่าดีเลยเพราะพี่ต้องการให้นางเอกเล่นเปียโนได้จริงๆ ไม่หลอกคนดูทั้งพระเอกและนางเอกที่ได้มาเล่นเรื่องนี้ต้องมีความสามารถด้านดนตรีจริงๆ อย่างพี่แดนไม่ต้องพูดถึงเขาคือศิลปินจริงอย่างที่ในคาแรกเตอร์เป็น
          อีกอย่างที่ฉัตรได้จากการมาเล่นเรื่องนี้คือ เรื่องความรู้สึกกับคำว่ารักนี่แหละค่ะ คือจากบทแล้วความรักแบบที่วินและหมอกมีให้กัน มันไม่ใช่ความรักแบบรุ่นพี่รักรุ่นน้อง หรือแอบจีบกันในวัยเรียน แต่มันมีความหมายอีกมุมนึงในวัยที่มากกว่านั้น มันเป็นความรักที่รู้จักที่จะแบ่งปัน รู้จักที่ใช้มัน มันเป็นความรักที่เกิดจากการเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัวของคนนึงให้เข้ากับอีกคนนึงโดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่การฝืนทำหรือฝืนความรู้สึกอะไร ทั้งวินและหมอกใช้เวลา ใช้ความรู้สึก บางอย่างที่มันแสดงออกมาไม่ได้แต่มันกลับรู้สึกได้ มันทำให้ฉัตรรู้สึกว่าความรักมันมีอีกรูปแบบนึงที่มันสำคัญมากกว่ารักแรกพบ หรืออะไรที่ฉาบฉวย ฉัตรว่าวัยรุ่น หรือวัยทำงาน หรือคนที่กำลังจะเริ่มต้นมีความรักกับใครสักคน น่าจะได้ข้อคิด หรือการมองความรักในมุมแบบนี้ดูบ้าง จะทำให้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีความหมายมากขึ้น และมันก็สวยงามดีทีเดียว”

บรรยากาศโรแมนติกที่สุดในสายหมอก
 
          เดอะเมโลดี้เป็นภาพยนตร์ที่ใช้เวลาในการเขียนบทอย่างเดียวยาวนานกว่า 2 ปี และหาข้อมูลจากสถานที่ถ่ายทำมากกว่า 1 ปี ผู้กำกับ ทศพล ศรีสุคนธรัตน์ และทีมงานต้องเดินทางไปยังเหนือสุดของไทยเพื่อค้นหาโลเกชั่นที่สวยประทับใจ และช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฉากโรแมนติกมากมายที่ปรากฎในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นทุ่งดอกบัวตอง (ดอยแม่อูคอ), โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง), วัดจองคำอันงดงามที่สร้างมากว่า 200 ปี จ.แม่ฮ่องสอน, อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง จ.เชียงใหม่ ฯลฯ โดยสถานที่ถ่ายทำเหล่านี้มีความเป็นธรรมชาติ วิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์มากมายที่น่าสัมผัส รวมไปถึงความแปรปรวนของสภาพอากาศที่บางครั้งก็เป็นอุปสรรคของการถ่ายทำเพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์แบบ
          “ (ผู้กำกับ) ผมชอบจังหวัดแม่ฮ่องสอน กว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์เราถ่ายทำที่นี่ ฤดูหนาวที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมันสวยจริงๆ มันสวยจนหลงไหลมันมีเอกลักษณ์ของมัน ใครอยากแต่งตัวแบบไหนก็ได้ ทำตัวแบบไหนก็ได้ มันไม่เหมือนปายหรือเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนมันค่อนข้างจะมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมเก่าๆ ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่า ก็เลยเลือกจังหวัดนี้ ผมเดินทางขึ้นไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาทั้งหมด 13 ครั้ง ไปตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 51 ครั้งสุดท้ายก่อนถ่ายก็คือเดือนตุลาคมปี 53 ประมาณ 2 ปีกว่า
          จริงๆ พล๊อตเรื่องทั้งหมดเสร็จหมดแล้ว แต่ไปเพื่อซึมซับกับบรรยากาศ ในหัวเรามันมีทุกอย่าง เรารู้เรื่องของเราเราเขียนเรื่องไว้หมดแล้ว แต่เราต้องไปหาโพซิชั่นของการที่จะวางเรื่องราว ต้องหาโลเกชั่น ในหัวมีอยู่แล้วว่าเราจะเลือกอะไร เรามีทุ่งบัวตองนะ วัดจองคำ เราเลือกไว้แล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่เรายังไม่รู้ ก็ต้องไปตระเวนเลือกที่ไปเรื่อยมีรุ่นพี่พาไป ก็ไปเจอที่ๆ เราชอบเพิ่มขึ้น ไปทุกครั้งก็จะไปซึมซับ ไปครั้งละ 5-7 วัน ขึ้นรถทัวร์ไปเองเลยประเมินดูว่าถ้าเราพยายามที่จะไปร่วมกับคนอื่นด้วย เดินทางประมาณ 15 ชม. ทรมานเหมือนกันนะ ไปแล้วก็ลองไปนอนที่ต่างๆ ไปลองนอนที่ดอยแม่อูคอ(ทุ่งดอกบัวตอง) ดูสิจะนอนได้ไหม ประทับใจมากเห็นดาวทุกดวงบนท้องฟ้าเราก็แบบต้องที่นี่แหละ เพีงแต่จะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เราก็ตะเวนหาไปทุกที่จนได้โลเกชั่นครบ แล้วทิ้งให้ตกผลึกกับเรื่องราวของมัน เรียกว่าเราคัดสรรสุดๆ สำหรับทุกโลเกชั่นไม่ใช่แค่สวยตามสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เราอยากได้ที่ที่โรแมนติกที่สุด ที่ๆ เหมาะกับเนื้อเรื่องของเรา ที่ๆ คนเห็นแล้วต้องเกิดความประทับใจ อยากไป อยากสัมผัส อยากจูงมือใครสักคนไปยังสถานที่แห่งนั้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกแม่ฮ่องสอน
          แล้วในแต่ละที่ๆ เราไปไม่ใช่ว่าทุกอย่างราบรื่น มันเมืองหมอก หมอกก็เป็นอุปสรรค ความหนาวเย็นก็เป็นอุปสรรค เราไปในที่ๆ บางครั้งหมอกลงหนามากมองอะไรไม่เห็นเลย เดินทางไปไม่ได้ รถวิ่งไม่ได้ต้องจอดรอจนกว่าพายุหมอกจะหายไป บางแห่งสวยสุดตอนหมอกลงแต่ไปแล้วหมอกกลับไม่มีก็มี บางแห่งฟ้าต้องโปร่งต้องเห็นทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตา แต่ไปแล้วเจอทั้งฝนทั้งหมอกก็มี ที่กองถ่ายก็อดทนกันมากต้องรอจังหวะ รอเวลาวันนี้ไม่ได้พรุ่งนี้มาใหม่ พระเอกนางเอกเราหนาวปากม่วงปากสั่นก็มี แต่ก็สนุกสนานและเพลินไปกับบรรยากาศตลอดการทำงานบนโลเกชั่นเหล่านี้ครับ”
 
          “ (แดน วรเวช) มันมีอยู่วันนึงครับที่เรียกว่าโหดมากสำหรับทีมงานและนักแสดง เป็นวันที่พวกเราต้องไปถ่ายทำกันที่ห้วยน้ำดัง วันนั้นฝนตกตลอดหมอกก็หนาทึบมาก แล้วเป็นฉากที่ตั้งใจถ่ายกันตั้งแต่เช้ามืดเพื่อรอพระอาทิตย์ขึ้น แต่ 9 โมงกว่าแล้วก็ยังไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นดวงเลย แล้วอากาศแปรปรวนคือมาทั้งหมอกทั้งวินสมชื่อตัวละครเลย จากนั้นเราก็ย้ายกันไปถ่ายทำถนนแถวปายต้องมีริกรถเป็นฉากที่พระเอกกับนางเอกคุยกันขับรถเที่ยวด้วยกัน แต่วันนั้นหมอกลงหนามากระยะการมองเห็น 2 เมตรก็อาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ และมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นตลอดรถมอเตอร์ไซด์ไถลลงเขามั่ง รถตู้เกิดอุบัติเหตุบ้าง พี่โอ๊คก็มองแล้วว่ามันไม่มีความปลอดภัยเลยจำเป็นต้องยุติการถ่ายทำในวันนั้น ทุกคนก็ติดไปไหนไม่ได้ต้องไปอาศัยต้มมาม่ากินกันที่จุดชมวิวปางมะผ้ากันตลอดวันจนมืดทำอะไรไม่ได้ คือมันเป็นพายุหมอกและฝนเลยนะครับแต่มันก็ได้บรรยากาศร่วมกันไปอีกแบบ มันก็สวยงามไปอีกแบบที่นี่เลยมีอะไรที่น่าประทับใจหลายอย่าง”
 
          “ (ฉัตร ปริยฉัตร) ประทับใจสุดก็ที่ทุ่งดอกบัวตองเลยค่ะ สวยมากเหลืองอร่ามไปหมด มันไม่ใช่แค่สวนหรือเป็นไร่ๆ แต่มันคลุมไปทั้งภูเขาเลย บรรยากาศเย็นๆ มองไปได้รอบตัว มันเหมาะมากกับฉากโรแมนติกของคนหนุ่มสาว ไม่ต้องมาถ่ายทำหนังแค่มาเที่ยวกับครอบครัวหรือมาเที่ยวกับคนรักก็ประทับใจแล้วค่ะ แล้วปีๆ นึงจะมีความงามแบบนี้ให้เห็นอยู่ไม่กี่วัน ทางทีมงานก็เป๊ะมากเลือกวันเวลาได้กำลังดีเลย ฉากที่เราถ่ายทำในวันนั้นก็เลยเป็นฉากที่เรียกว่าเป็นภาพจำของพวกเราเลย พอนึกถึงเรื่องนี้ในหัวของฉัตรก็จะมีทุ่งดอกบัวตองลอยมาเลยค่ะ ประทับใจที่นี่มาก”

FB on October 18, 2011, 07:17:49 PM
          เดอะเมโลดี้ พยานรักที่แสนไพเราะ
          บทเพลงที่ทรงคุณค่าจะมีความหมายมากขึ้น
          เมื่อได้ยินแล้วทำให้เราคิดถึงใครสักคน
 
          เมื่อความสวยงามของบรรยากาศโรแมนติกสมบูรณ์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องเดอะเมโลดี้ยังได้นักร้องนักดนตรีที่มีฝีมือเข้าร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ ซึ่งได้รับเกียรติจากคุณบอย ตรัย ภูมิรัตน นักร้องยอดนิยมเสียงชวนฝัน รวมไปถึงพระเอกของเรื่อง แดน วรเวช ที่ปัจจุบันเป็นทั้งโปรดิวเซอร์ด้านดนตรีให้กับวงอื่นๆ และอัลบั้มของตัวเองในครั้งล่าสุด ที่การันตีถึงความหวานได้ดี และด้วยเนื้อหาของเรื่องกล่าวถึงการแต่งเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวละคร ทำให้แดน วรเวช ร่วมลงมือแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ขึ้นมา เพื่อเป็นหลักฐานความในใจของวินและหมอก ซึ่งแดน วรเวชได้บรรจงเต็มเติมภาพยนตร์ด้วยตัวโน๊ตและทำนองที่เขารักที่สุดออกมาเป็นผลงานให้ประทับใจไม่รู้ลืม

          “ (แดน วรเวช) ตอนที่แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ อ่านบทจบไปแล้วครับ เริ่มถ่ายทำกันไปแล้ว วันนึงพี่โอ๊คบอกว่าอยากให้ผมแต่งเพลงประกอบขึ้นมาเพลงนึงขอเป็นเพลงที่ไม่มีคำว่ารักอยู่ในเนื้อเพลงเลย แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผู้ชายคนนึงหลงรักผู้หญิงคนนึงไปแล้ว แต่ไม่รู้จะบอกยังไง ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงกับเขา ซึ่งถามว่ายากไหมก็ค่อนข้างยากครับต้องใช้เวลาเหมือนกัน แต่ทางผู้กำกับก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรเขาอยากให้เราซึมซับกับหนังไปเรื่อยๆ ระหว่างทางที่เราเล่น ความรู้สึกแต่ละอย่างแต่ละทำนองแต่ละประโยคที่มันออกมาเป็นเพลงมันค่อยๆ ถูกเติมให้เต็มระหว่างเล่นหนังเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ

          “ (ผู้กำกับ) คือด้วยชื่อของภาพยนตร์และเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ มันบอกเลยว่าขาดบทเพลงดีๆ ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเอาเพลงรักอะไรมาประกอบหนังก็ได้ แต่เนื้อหาของเพลงต้องมีที่มาที่ไป มีความหมายตามบทภาพยนตร์ เพราะเส้นเรื่องทั้งหมดมันคือเพื่อเพลงๆ นึงของพระเอกกับนางเอก
          เพลงนั้นจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าเราเอาความรู้สึกแบบอื่นมาใส่ เพลงๆ นี้ต้องเป็นเพลงที่คนฟังจะต้องรู้ว่านี่คือเพลงของวินและหมอก ผมรู้สึกว่าต้องเป็นแบบนั้น ทางทีมงานก็เคาะกันแล้วว่าต้องเป็นพี่บอยตรัย และอีกเพลงต้องเป็นแดน ทั้งสองคนเป็นคนเพลงที่มีคุณภาพอยู่แล้ว แดนจะต้องลึกซึ้งอยู่แล้วเพราะแดนสวมบทตัวละครตัวนี้อยู่ เขาเข้าใจฟิลลิ่งมันแน่นอน ส่วนพี่บอยเรื่องเพลงรักคงไม่มีอะไรต้องบรรยาย ทุกเพลงที่เขาแต่งออกมามันการันตีความสามารถของเขาอยู่แล้ว
          จริงๆ เรามีเพลงประกอบภาพยนตร์อยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 เพลง เพลงธีมของหนังชื่อเพลง “เดอะเมโลดี้” พี่บอย ตรัยแต่งแล้วแดนร้อง ผมเขียนคอนเซ็ปต์ให้พี่บอยในความหมายมันบอกเรื่องราวของหนังได้ครบ เพลงนี้คือในเรื่องพระเอกเป็นคนแต่งคำร้อง ส่วนทำนองนางเอกเป็นคนแต่ง ฉะนั้นฟิลลิ่งมันจะมีความรู้สึกของคนสองคนอยู่ในเพลงเดียวกัน เพลงมันจะบอกความรู้สึกของพระเอกทั้งหมด ถ้าดูหนังจบแล้วเพลงมันจะยิ่งมีความหมายมากขึ้นไปอีก ท่อนที่นางเอกแต่งเอาไว้ให้ “เราอาจไม่เจอกันไม่ได้คุยกัน” แล้วมันก็ให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งดี

          อีกเพลงนึงชื่อเพลง “เพลงรักที่ไม่มีคำว่ารัก” แดนเป็นคนแต่งและร้องเพลงนี้เองเลยเป็นเพลงที่สะอาดฟังสบาย ก็เล่าความรู้สึกให้แดนฟังในตอนแรก ตัวเรื่องราวนี้พระเอกไม่เคยรักใครมาก่อนอยู่ดีๆ ก็มามีความรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนนี้ มันก็เลยแต่งออกมาตามความรู้สึกของตัวละครออกมาได้ค่อนข้างชัดเจนแล้วเพลงมันก็เพราะมาก อีกเพลงเป็นเพลงคู่ “ความรักไม่มีวันสุดท้าย” เป็นเพลงที่ร้องคู่กับระหว่างพระเอกกับนางเอก ทั้งหมดเป็นเพลงที่ฟังง่ายสบายๆ มันลึกซึ้งทั้งเนื้อหาและทำนอง เพราะทุกอย่างคือมันทำไปตามเนื้อเรื่องมันเป็นเนื้อเรื่องที่ทุกคนอินกับมัน อย่างเพลงที่พี่บอยตรัยแต่งเป็นเพลงที่มีความหมายดีมาก ฟังแล้วมันเพราะขึ้นเรื่อยๆ พวกเราก็ภูมิใจมากกับบทเพลงที่จะมาประกอบภาพยนตร์ในเรื่องนี้ครับ”

          “แต่งเพลงมาเป็นร้อยเป็นพันเพลง มีแฟนเพลงนับล้านคน
          แต่มีเพลงเดียวเท่านั้นที่มีความรู้สึกผมอยู่ในนั้น
          และคุณคือคนเดียวที่ผมอยากให้ฟังมากที่สุด”
 

          คนแต่งคำร้อง
          วิน แสดงโดย (แดน) วรเวช ดานุวงศ์ นักแต่งเพลงรุ่นใหม่ไฟแรง มีผลงานเพลงติดอันดับท็อปชาร์ท แม้ผลงานเพลงจะเป็นที่ยอมรับ และลึกซึ้งไม่มีข้อติ แต่นิสัยที่แท้จริงของวินกลับกลายเป็นคนฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์จนเป็นที่เอือมระอาของทีมงานและผู้ใกล้ชิด ความใจร้อนและเอาแต่ใจอย่างถึงที่สุดทำให้เพลงของวินตกอันดับ ตามมาด้วยข่าวซุบซิบถึงพฤติกรรมที่แท้จริงของเขา วินผู้ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้หนีจากวงการบันเทิงมุ่งหน้าสู่แม่ฮ่องสอน แต่การเดินทางในครั้งนี้วินได้ค้นพบกับทำนองที่เขาไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน ทำนองแห่งรักแบบใหม่ที่เขาสัมผัสได้จริงๆ

          “ (แดน วรเวช) เป็นครั้งแรกในเลยครับสำหรับการมาเล่นบทที่ไม่เหมือนตัวเอง มันยากดีครับเพราะว่ามันต้องมีอาการเหวี่ยงวีน ต้องขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ในเรื่องนี้ผมเล่นเป็นคนที่เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไม่พอใจไปหมด เห็นเด็กก็ไม่ชอบ เห็นนั่นนี่ก็ไม่พอใจ แล้วชีวิตมันจะมีความสุขได้ยังไงครับ แต่แตกต่างจากตัวเราจริงๆ เลย ผมเป็นคนค่อนข้างมองโลกในแง่บวก ชอบเล่นกับเด็กตลกดี มาเล่นเรื่องนี้ทุกอย่างแทบจะแตกต่างจากตัวผมโดยสิ้นเชิง ช่วงแรกๆ ที่เข้าฉากพี่โอ๊คผู้กำกับต้องคอยบอกว่า “เฮ้ย...แดน เอาคาแรกเตอร์ตัวเองออกมาน้อยๆ หน่อย” คือบางทีผมก็ตั้งใจมาขรึมนะวันนี้ หน้าผมอาจจะดูตลกไปหน่อย หรือไม่คนก็ยังจำภาพแต่ผมเล่นทะเล้นๆ อยู่ ช่วงแรกๆ ก็ทำการบ้านหนักพอสมควรครับ

          “หลักๆ เลยคงเป็นเรื่องของการสงบสติอารมณ์ครับ ต้องพยายามอย่าอารมณ์ดีมาก ก่อนจะเข้าฉากต้องพยายามนึกก่อนว่า ตัววินเขาไม่ชอบสิ่งนี้นะ เราต้องอารมณ์เสีย เราต้องวีนอะไรอย่างนี้ ก่อนผู้กำกับจะสั่งแอคชั่นมันต้องคิดให้ได้ก่อน เพราะโดยปรกติเวลาผมไปเล่นละครทีวี ผมก็จะไม่ค่อยได้ตั้งสติเท่าไหร่ จะปล่อยให้อารมณ์ไหลไปตามเรื่องเรื่อยๆ แต่พอมาเล่นเรื่องนี้ต้องคุมคาแรกเตอร์ให้อยู่ในเนื้อเรื่องให้ได้ครับ”

          “อีกเหตุผลนึงคงเป็นเพราะผมอยากจะเปลี่ยนคาแรกเตอร์ในการเล่นภาพยนตร์บ้าง หลังๆ มานี่ผมเล่นแต่บทภาพยนตร์ที่เป็นคอเมดี้หนักๆ มาแล้ว 2 เรื่อง พอมาอ่านบทเรื่องนี้มันได้เล่นอะไรที่เราอยากจะเล่น เป็นนักร้องนักดนตรีนักแต่งเพลงอย่างที่เราอยากจะเป็น ได้เล่นเปียโนอย่างที่เราชื่นชอบ ได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งอันนี้ก็มีความชื่นชอบมากอยู่แล้ว แล้วยิ่งพอมาได้เห็นความตั้งใจของพี่โอ๊คผู้กำกับแล้ว ผมยิ่งอยากเล่นเข้าไปอีกเพราะผมชอบคนที่มีความตั้งใจและเอาใจใส่ในชิ้นงานของตัวเอง แล้วพี่โอ๊คมีมุมมองความรักที่หวานมาก มากจนบางทีเราก็นึกไม่ถึงแกเป็นคนมองโลกในแง่ดีกับความรักมาก ไม่ว่าจะดีหรือเลวแกจะมองหาจุดดีของความรักเป็นหลัก แกอินกับบทและรักงานตัวเองอย่างถ่องแท้ พี่โอ๊คสามารถหาคำอธิบายเหตุผลต่างๆ ในเรื่องได้อย่างละเอียดหมดทุกอย่าง”

FB on October 18, 2011, 07:20:19 PM
ประวัตินักแสดง

          วรเวช ดานุวงศ์ (แดน)เกิด 16 พฤษภาคม 2527 ศิลปินนักร้องยอดนิยม มีผลงานเพลงหลายอัลบั้ม เจ้าของรางวัลด้านดนตรีตั้งแต่เด็กๆ จนถึงปัจจุบัน
          แดนมีความสามารถทางด้านดนตรีมากมายไม่ว่าจะเป็น กีต้าร์ คีย์บอร์ด กลองโฟร์ทอม กลองใหญ่ กลองแทร็ก ขลุ่ย รวมไปถึงการอ่านทำนองเสนาะ (ที่ 3 ของประเทศเมื่อครั้งมีประกวด)
          เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงจากการประกวดร้องเพลงในโครงการ “พานาโซนิค สตาร์ ชาเลนจ์” ปี 2543 ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 2 ในการแข่งขันระดับประเทศ เข้าเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด “อาร์เอส โปรโมชั่น” ขณะนั้นทางบริษัทได้คัดสรรเด็กหนุ่มเพื่อสร้างวงบอยแบนด์กลุ่มใหม่ขึ้น จนในที่สุดแดนได้มาเป็นส่วนหนึ่งของวง “ดีทูบี” (ปี2544) จนมีผลงานออกมาหลายอัลบั้ม ต่อมาปี 2548 ออกผลงานเพลงในนามนักร้องดูโอ “แดน-บีม” ปัจจุบันแดนย้ายมาเป็นศิลปินในสังกัดค่าย “โซนี่ มิวสิค” และมีอัลบั้มเพลงในฐานะศิลปินเดี่ยวครั้งแรกคือ อัลบั้มบลู (2552)
          ปัจจุบันมีผลงานอัมบั้ม “Solo Motion” (2544) ซึ่งแดนทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ แต่งเพลง และร้องนำ นอกจากนี้แดน วรเวชยังมีความสามารถในการแต่งและร้องเพลงประกอบละคร ภาพยนตร์ อีกมากมายหลายเรื่อง รวมไปถึงเป็นผู้กำกับ ผู้จัดและทำงานเบื้องหลังละครทางโทรทัศน์,ผู้กำกับภาพยนตร์โทรทัศน์, ครีเอทีฟงานคอนเสิร์ต, มิวสิคไดเรคเตอร์ อีกด้วย

ผลงานภาพยนตร์
          - “สังหรณ์” ปี 2546
          - “แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า” ปี 2549
          - “ห้าแพร่ง” ปี 2552
          - “32 ธันวา” ปี 2552
          - The Melody ปี 2554
          ผลงานด้านละครวัยร้ายเฟรชชี่, คู่กรรม2, พี่น้องสองเลือด, ฮอยอัน ฉันรักเธอ, นายกระจอก, มนต์รักล๊อตเตอรี่, พี่ชาย, ภูติรักนะโม, ปี่แก้วนางหงส์, สายลับเดอะซีรีส์ กับ 24 คดีสุดห้ามใจ, กุหลาบซ่อนหนาม, สืบสวนป่วนรัก, ช็อคโกแลต 5 ฤดู, สุดยอด, สืบสวนป่วนกำลัง 3, ช่วยด้วยครับ ผมรักลูกสาวเจ้าพ่อ

          คงจะดีนะถ้าเพลงที่เราแต่งจะอยู่ในใจใครหลายๆ คน

          คนแต่งทำนอง

          หมอก แสดงโดย (ฉัตร) ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร
          หมอก หญิงสาวที่มารักษาตัวอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีความสามารถในด้านดนตรี มีพรสวรรค์ ความสุขของเธอคือการแบ่งปันสิ่งต่างๆ ที่เธอสามารถทำได้ให้กับคนรอบข้าง และใช้เสียงเพลงบรรเทาความทุกข์ให้กับคนทุกคน เธอใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีจุดหมายในชีวิต
          หมอกเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่รักและภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ สิ่งนึงที่หมอกทำได้ดีคือการเล่นดนตรีที่ให้ความสุขกับทุกๆ คน หมอกค้นพบตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เธอต้องการ และวันนึงเสียงดนตรีของเธอก็นำพาใครบางคนเข้ามาในชีวิต เป็นบางคนที่มีค่าพอกับช่วงเวลาที่สำคัญของเธอ

          “(ปริยฉัตร) อ่านบทครั้งแรกก็ชอบเลยค่ะ ส่วนตัวแล้วฉัตรเป็นคนชอบเล่นเปียโนอยู่แล้ว เคยเรียนเมื่อตอนเด็กๆ แล้วเป็นคนชอบบทแบบนี้มันลึกซึ้งและมีความหมายดีๆ ส่วนเรื่องคาแรกเตอร์ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยนอะไรมาก ส่วนใหญ่บทที่ฉัตรเคยได้รับก็ใกล้เดียงกัน แต่นี่ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของฉัตรเลยค่ะ เรื่องการแสดงยังคงต้องพัฒนาอีกเยอะ เพราะการเล่นภาพยนตร์มันต้องเล่นซ้ำหลายครั้ง เราต้องจำได้ว่าเราเล่นความรู้สึกแบบไหนไปตอนไหน พี่โอ๊คช่วยได้เยอะค่ะ เขาจะคอยอธิบายความรู้สึกของตัวละครอยู่ตลอดเวลา ให้การบ้านกลับไปทำบ้าง

          คาแรกเตอร์ของหมอกดูเผินๆ อาจจะเป็นวัยรุ่นผู้หญิงธรรมดาคนนึง แต่ลึกๆ กว่านั้นเขามีอีกความรู้สึกซ่อนอยู่ เหมือนจะมีความสุขแต่ก็สุขไม่เต็มร้อย ถึงตัวหมอกจะเป็นคนที่สร้างกำลังใจให้คนอื่น แต่ก็เป็นคนที่ต้องการกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไปอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน มันเลยค่อนข้างที่จะซับซ้อน พี่โอ๊คก็จะคอยบอกความรู้สึก ณ ตอนนั้นตอนนี้ของหมอกให้เข้าใจ

          ในอีกอย่างที่สำคัญเลยคือ เรื่องนี้ก็จะได้เห็นพี่แดนและฉัตรเล่นเปียโนเองค่ะ พี๋โอ๊คจะให้เราไปฝึกมาก่อนถึงเวลามีอาจารย์มาเทรนให้อีกทีแต่ทุกฉากที่เห็นในเรื่องฉัตรก็จะเล่นเอง มันไม่หลอกไม่เขินดี พี่โอ๊คเป็นคนมีรายละเอียดเยอะมากเขาอยากให้ทุกอย่างออกมาสมจริง บรรยากาศจริง รู้สึกจริง ส่วนพี่แดนก็เป็นครั้งแรกที่ร่วมงานกัน
          พี่แดนเป็นคนมีโลกส่วนตัวตอนแรกก็เกร็งๆ เหมือนกันแต่ตอนหลังเริ่มคุยได้พี่แดนก็จะมีแต่มุกตลก แกล้งทีมงาน ปล่อยมุกตลอดเวลาเลยไม่เครียดกับการทำงานเท่าไหร่ แล้วไปเจอกับบรรยากาศที่แม่ฮ่องสอนก็ดูทุกคนมีความสุขไปกับบรรยากาศนั้น เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกด้วยก็เลยทำงานกันโอเคค่ะ แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ตัวพี่โอ๊คเท่านั้นที่มีความโรแมนติก ตัวพี่ผู้ช่วย พี่แดน และทีมงานคนอื่นๆ ก็จะเข้าใจความรักเป็นอย่างดีทุกคนจะอินกับมันมากค่ะ”

          ประวัตินักแสดง
          ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร (ฉัตร)เกิด 11 เมษายน 2534
          การศีกษา- มัธยมจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
          - คณะบริหารธุรกิจ สาขาบัญชี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
          น้ำหนักส่วนสูงสูง 171
          ผลงานที่ผ่านมา
          - นางเอกมิวสิควิดีโอ เพลง “นาทีเดียวในตอนสุดท้าย” ของโจ-ป๊อป
          - นางเอกมิวสิควิดีโอ เพลง “ถ้าพรุ่งนี้ ฉันไม่ตื่น” ก้อง กรุณ
          - ละครช่อง 7 เรื่อง ตะวันดั่งภูผา
          - ละครช่อง 7 เรื่อง ลูกผู้ชายไม้ตะพด บริษัท กันตนากรุ๊ปจำกัด (มหาชน) แสดงคู่กับ ศรัณย์ ศิริลักษณ์
          - ละครช่อง 7เรื่อง เสือสั่งฟ้า (ดาริณ) บริษัท กันตนากรุ๊ปจำกัด (มหาชน) แสดงคู่กับ ชนะพล สัตยา
          - ผลงานสร้างชื่อ ละครร่วมทุนสร้างระหว่างไทย-เกาหลี เรื่อง “ใต้ฟ้าตะวันเดียว” (วินดี้) บริษัท โฟร์ วัน วัน เอ็นเตอร์เทรนเม้นต์ จำกัด แสดงคู่กับ มาริโอ้ เมาเร่อ ช่อง 9

          ผลงานโฆษณาวัตสัน, M&M, เป็ปซี่, ดีแทค, สแปลช, พรีเซนเตอร์ร้านกูซ เกซ โมบาย, Levi’s ประกบ เซี่ยะถิงฟง ครีมอาบน้ำโชกุบุสซึ สูตร orange peel oil

          นักแสดงร่วม

          ด.ญ. ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ (น้องใยไหม)
          รับบทเป็น “น้องพลอย”
          จุดเชื่อมต่อเล็กๆ ที่แสนน่ารักของวินและหมอก ที่ทำให้วินได้เรียนรู้ว่าตัวของเขาสามารถสร้างจุดเปลี่ยนที่ใหญ่หลวงให้กับใครบางคนได้
          ประวัติ เกิด 3 ก.ค 2548
          รางวัล
          1. รองชนะเลิศ ประกวด M&C Baby Contest 2008
          2. รองชนะเลิศ ประกวด หนูน้อย ALACTA 2008
          ผลงาน
          TVC บรีส เอ็กเซล สูตรน้ำชนิดซอง ,TVC เบบี้มายด์ ครีมอาบน้ำ, TVC ซิตี้แบงค์ เรดดี้เครดิต, TVC จอห์นสัน แป้งเย็นเด็ก ( On Air ฟิลิปปินส์),TVC ปูน SCG,รายการ TV อัฒจรรย์มันยกบ้าน ช่อง 9

          วาสนา สิทธิเวช รับบทเป็น “แม่ของหมอก”
          นักแสดงรุ่นใหญ่ที่มีความสามารถทางด้านการแสดงทั้งทางภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง และละครทีวีมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบัน
          ประวัติ ภาพยนตร์เรื่องแรก “ครูบ้านนอก” 2521

FB on October 18, 2011, 07:20:59 PM
DIRECTOR NOTE

          ทศพล ศรีสุคนธรัตน์

          ภาพยนตร์เรื่องนี้มันจะเป็นความรู้สึกเหมือนทุกสิ่งในโลกถึงแม้จะสวยงาม แต่มันก็จะแทรกไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันไป ทุกความรู้สึกมีมันจะมีความรักแทรกอยู่ด้วยตลอด ภาพยนตร์เรื่องนี้มีมุมให้เราเลือกมองได้อยู่ที่ว่า ณ เวลานั้นคุณมีความรู้สึกอย่างไร
          ประเด็นหนึ่งก็คือ เรื่องของความรักที่แท้จริง หลายคนถามว่า รักที่แท้จริงคืออะไร? จริงๆ แล้วมันจะตอบอย่างไรก็ได้ อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น ผมพยายามตอบคำถามว่าความรักที่แท้จริงนั้นคืออะไร? และมันต้องทำอย่างไร? ในมุมมองของผม ผมมองว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่บางครั้งถ้าเราไม่รู้จักความรักให้ถ่องแท้
          รักแท้ไม่ใช่แค่การครอบครองร่างกาย แต่มันหมายถึงการครอบครองจิตใจ คือถ้าคนเรารักกัน ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ความรักมันก็ยังคงอยู่อย่างเข้าใจ เราเลือกยืนอยู่ได้หลายมุมมองของความรัก ทั้งโกรธ เกลียด หลง ปลื้ม เสน่หา อาลัย คิดถึง ผูกพัน ราคะ หวังดี ความรักทำให้เราเห็นอะไรได้ตั้งหลายมุม แต่มันอยู่ที่เราเลือกว่าจะยืนมองความรักของเราในมุมไหน ผมเชื่อว่ารักที่ดีจะเกิดขึ้นได้นั้นก็อยู่ที่เราเลือกมุมที่เรายืนมองความรักว่ามันเป็นมุมที่ดีจริงหรือไม่ รักไม่มีคำจำกัดความ แต่รักมีการจำกัดมุมได้ เลือกมุมความรักที่ดีได้ ความรักที่ดีก็ย่อมตามมา

          ประวัติผู้กำกับ
          ปัจจุบัน ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง เดอะเมโลดี้ รักทำนองนี้

          2007 – ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการบริษัท ยักษ์คู่ สตูดิโอ จำกัด
          ผลิตรายการโทรทัศน์ สารคดี โฆษณา ละคร และภาพยนตร์
          2006 - 2007 บริษัท BEC Tero Entertainment จำกัด (มหาชน)
          Producer รายการ Arsenal Dreams เรียลลิตี้ฟุตบอล
          2005 – 2006 บริษัท แกรมมี่ เทเลวิชั่น จำกัด
          Co-Producer รายการเกมวัดดวง, เกมใกล้ตัว, Open’9
          Producer รายการThe Games กีฬามหาสนุก, รายการ Unseen TV
          ผู้ช่วยผู้กำกับละครเรื่อง พ่อแกกับแม่ฉัน
          2003 – 2004 บริษัท บรอดคาสไทย เทเลวิชั่น จำกัด
          Creative ผู้คิดรายการ Siam Games เกมคนสยาม, รายการเรื่องเด็ดเกร็ดอาชีพ, รายการชิงฝันปั้นดาว
          2000 – 2003 บริษัท ว็อชด๊อก จำกัด
          Creative รายการ ชูรัก ชูรส, รายการดูละครย้อนดูตัว
          Producer รายการสารคดีกว่า 200 สารคดีของบริษัท

FB on October 18, 2011, 07:22:03 PM
MOVIE GUIDE: The Melody รักทำนองนี้ (Official Teaser)

Ts. The Melody รักทำนองนี้ (Official Teaser)
 
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=vgw_bicOEhU" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=vgw_bicOEhU</a>
 

FB on October 19, 2011, 07:22:57 PM
MV UPDATE: เพลงประกอบภาพยนตร์ The Melody รักทำนองนี้

          Mv.เพลงภาพยนตร์ The Melody รักทำนองนี้
          เพลงรักที่จะทำให้หนาวนี้ของคุณ อบอุ่นมากยิ่งขึ้น
          17 พ.ย. นี้ในโรงภาพยนตร์

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=m-N-gcCJRMM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=m-N-gcCJRMM</a>

FB on October 19, 2011, 07:25:29 PM


บทสัมภาษณ์ “แดน” วรเวช ดานุวงศ์ รับบทเป็น “วิน” ในภาพยนตร์เรื่อง “The Melody รักทำนองนี้”
  
          วินในเรื่องนี้ เป็นยังไงบ้าง
          คาแรกเตอร์ของ วิน ในเรื่องนี้คือ เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เอาแต่ใจตัวเอง คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำถูกที่สุด ไม่สนใจคนรอบข้าง มันก็เลยทำให้เกิดเรื่องแย่ๆ กับชีวิตขึ้นในคือการไม่สบความสำเร็จในชิ้นงานของตัวเอง จากการที่เราไม่ฟังคนอื่นไม่ให้เกียรติคนอื่น ซึ่งบทแบบนี้ยากครับ เพราะว่ามันต้องมีอาการเหวี่ยงวีนอยู่ตลอดเวลา คิ้วมันต้องขมวดมันก็ไม่ได้สร้างให้คิ้วขมวดหรอก แต่ว่าในเรื่องมันมักจะเจออะไรที่ไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา เห็นโน่นก็ไม่พอใจ เห็นนี่ก็ไม่พอใจ เห็นเด็กก็ไม่ชอบเด็ก แล้วชีวิตนี้มันจะมีความสุขได้ยังไงครับ ซึ่งในความเป็นจริงส่วนตัวผมเป็นคนมองโลกแง่บวก คาแรกเตอร์มันจะต่างกันโดยสิ้นเชิง ก็ต้องมีการปรับจูนคาแรกเตอร์กันพักนึงเหมือนกัน ช่วงแรกๆ ผู้กำกับต้องคอยบอกว่า เฮ้ย...แดน เอาคาแรกเตอร์ตัวเองออกมาน้อยๆ หน่อยตรงนี้แหละครับที่ว่ายากคงเป็นเรื่องของการสงบสติอารมณ์ คือต้องอย่าอารมณ์ดีมากเกินไป ตอนเข้าฉากต้องพยายามนึกก่อนว่า วินเขาไม่ชอบสิ่งนี้ เราอารมณ์เสีย เราต้องวีนอะไรอย่างงี้มันต้องรอ ก่อนแอคชั่นมันต้องมีก่อนนิดนึงได้หยุดคิดจะต้องตั้งสติแปปนึง ปรกติผมก็เล่นละครผมจะไม่ค่อยตั้งสติเท่าไหร่ (หัวเราะ) เพราะมันเป็นคอเมดี้สบายๆ เลยจะปล่อยไหลไปเรื่อย แต่มีเรื่องนี้ที่ต้องคุมคาแรกเตอร์ให้อยู่ให้ได้

          เรื่องราวเป็นยังไง
          เรื่องราวก็จะเกิดจากตัว วินที่เป็นนักดนตรี ที่ประสบความสำเร็จมากในช่วงเวลานึง แต่ด้วยความเอาแต่ใจตัวเองของเขา ความอารมณ์ร้อน ความไม่แคร์คนรอบข้าง ไม่ให้เกียรติใคร เอาตัวเองเป็นที่หลักทำให้อัลบั้มชุดต่อไปของเขาไม่ได้อย่างที่หวัง แล้วก็มีนักร้องคนใหม่ขึ้นมาแทนที่เขา ซึ่งเขารับสภาพแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้วเพราะเขาคิดว่าไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นกับเขาได้ ทำให้เขาต้องหนีออกไปอยู่ในโลกที่ไม่ต้องมีใครมาสนใจ เพื่อหนีความอายเพราะรับตัวเองไม่ได้ แต่การหนีไปครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับผู้หญิงคนนึงคือ หมอก(ฉัตร-ปริยฉัตร) หมอกเป็นผู้หญิงที่มองโลกต่างจากวินโดยสิ้นเชิง หมอกก็เลยเหมือนเป็นครูสอนชีวิตให้กับวิน ทำให้วินมองอะไรใหม่ๆทำไมคุณไม่ลองมองชีวิตแบบนี้ดูมั่งล่ะ ทำไมคุณมองโลกด้านเดียวล่ะ กลับกันดูไหมคุณลองมองโลก 2 ด้าน 3 ด้านดูบ้าง ในโลกนี้ไม่ได้มีคนที่คิดแบบคุณอย่างเดียวนะอะไรแบบนี้ วินเขาเริ่มมีมุมมองในความคิดกว้างมากขึ้น มองโลกบวกขึ้น โลกสีดำก็เริ่มเป็นสีเทา สีขาว ผู้หญิงคนหนึ่งมีความรู้สึกอบอุ่นและดีๆ ให้กับเขาที่ทำให้เขารู้สึกว่าเริ่มมีแรงบันดาลใจมาจากเธอ เริ่มทำให้รู้สึกว่าคนมันมีคุณค่ามากกว่านั้นมาทำอะไรดีๆ ให้กันเถอะ ทำให้เขาสามารถกลับมาสู้กับชีวิตของตัวเองและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคนได้

          เป็นมายังไงถึงมาเล่นเรื่องนี้ บทอย่างนี้ได้
          พี่โอ๊ค (ทศพล ศรีสุคนธรัตน์ ผู้กำกับ) ติดต่อมาก่อน แล้วก็ขอนัดคุยกันสิ่งแรกที่รู้สึกได้เลยคือความตั้งใจของพี่โอ๊คที่ตั้งใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก แล้วก็ผมชอบคนที่ตั้งใจในชิ้นงานของตัวเอง และรักในชิ้นงานของตัวเอง โดยที่เข้าใจกับงานของตัวเองอย่างถ่องแท้ คือถามตรงไหนมุมไหนสามารถอธิบายได้ ตอบคำถามได้หมดในทุกๆ เรื่อง ผมปิ๊งแววตาพี่โอ๊คฟังอาจจะออกแนวรู้สึกขนลุกนะ (หัวเราะ) แต่เรื่องจริงผมรู้สึกว่าเขามุ่งมันและรักงานนี้ ผมก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่อยากจะทำให้งานของเขาออกมาดีที่สุด แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง นอกนั้นก็เป็นเรื่องของนักแสดงคนอื่น และทีมงานทุกๆ คนแล้วสุดท้ายคือตัวของพี่โอ๊คเอง ส่วนตัวผมก็คือทำหน้าที่ส่วนของผมให้ดีที่สุด และก็หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีคนชอบมันเยอะนะครับ อีกสิ่งนึงก็คือตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ เดอะเมโลดี้ เป็นภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่าที่มีเรื่องราวดีๆ สอดแทรกอยู่ ผมเชื่อว่าเมื่อเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉาย น่าจะมีส่วนทำให้คนไทยรู้สึกว่า เราควรจะมีส่วนช่วยเหลือกัน เผื่อแผ่กันแบ่งปันความรักให้กันและกัน นี่คืออีกเรื่องที่เรารู้สึกว่าอยากจะถ่ายทอดมาการเปลี่ยนคาแรกเตอร์ในการเล่นภาพยนตร์ก็เป็นอีกส่วนนึงที่ผมรับเล่นเรื่องนี้ เพราะหลังจากที่เป็นคอมเมดี้หนักๆ มา 2 เรื่องแล้ว เหนื่อยมากเหมือนกัน มาเล่นเรื่องนี้ก็ดี ได้เล่นเปียโนบ้างได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำบ้าง

          รู้ไหมทำไมผู้กำกับถึงเลือกแดน
          ไม่รู้เลยครับ ว่าทำไมพี่เขาถึงเลือกผม แต่เหมือนเคยได้ยินว่าเพราะครั้งแรกที่คุยกัน เขาบอกว่าผมนี่แหละวินเลย (หัวเราะ) จริงๆ คืออะไรไม่รู้คงต้องลองถามพี่เขาดู
« Last Edit: December 04, 2011, 08:16:01 PM by FB »

FB on October 19, 2011, 07:27:06 PM
          ร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
          กับภาพยนต์เรื่องแรก ผมเห็นถึงพลังในการทำงาน ความละเอียดอ่อน และละมุนละไมในการคิดงานแต่ละช็อตของเขา ความใส่ใจในทุกรายละเอียดของเขาที่สามารถจำคอนทินิวได้ด้วย เดินมาหน้าเซทบอกนักแสดงได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องถือบทอยู่ เพราะบทมันอยู่ในหัวเขาอยู่แล้ว แล้วก็บางทีก็ทุ่มเทลงทุนกลิ้งกลางถนนให้นักแสดงดู ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้ (หัวเราะ) ผมเป็นคนที่ชอบคนที่ศัทธาในชิ้นงานของตัวเอง ตั้งใจกับงานของตัวเองเพื่อหวังว่าจะทำให้คนอื่นมีความสุขด้วยงานของเขา แล้วผมก็จะชอบมองคนที่เป็นแบบนี้ เรามองแล้วเราก็จะรู้สึกสนุกตามเขา ดูสิว่าจะทำอะไรต่อ ไหวไหม เมื่อไหร่จะหมดแรง พี่โอ๊คพลังเยอะมากขนาดแกตกบันไดขาเดี้ยงแต่ก็สามารถลุกเดินมาบอกนักแสดงเด็กๆ ในฉากนั้นว่าต้องทำอะไรยังไง ขนาดไปใส่เฝือก และมีขาหยั่งกระเพลกๆ พี่เขาก็ไม่หยุดเดินไม่หยุดที่จะทำงาน เต็มที่มากผู้ชายคนนี้นี่แหละครับความตั้งใจที่ผมเห็นในตัวเขา

          การทำงานร่วมกันกับนักแสดงน้องใหม่อย่างฉัตรล่ะเป็นยังไงบ้าง
          น้องฉัตรเป็นเด็กผู้หญิงตัวสูง สูงมาก มีความตั้งใจไม่เห็นและก็ไม่เคยได้ยินน้องบ่นอะไร ขนาดไปในที่หนาวสั่น ฝนตก อากาศไม่เป็นใจเลยบางครั้งก็ยังเฉย อยู่ได้ทุกที่จริงๆ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นหนังรัก แต่การถ่ายทำในแต่ละทีก็ค่อนข้างจะทรหดมาก มีการทำงานที่ต้องเดินทางตลอดเวลา ไปกลับแม่ฮ่องสอน ปางอุ๋ง ปาย ห้วยน้ำดัง ขึ้นเขาลงห้วย ต่อรถ ต่อเครื่องบิน นั่งรถนาน อากาศหนาวมาก พักผ่อนน้อย หมอกลงจัด ก็ไม่เคยเห็นน้องฉัตรบ่นสักครั้ง ถ่ายดึกแค่ไหน หรือบางทีถึงเช้าก็มีก็ไม่พูดยังมีพลังเหลือเฟือมากๆ นี่แหละครับถือว่าเป็นสปิริตนักแสดงที่ดี
          แล้วตอนที่เล่นเรื่องนี้ด้วยกันใหม่ ๆ ผมยังไม่รู้ว่าน้องเขาเล่นเปียโนได้จริง อย่างเก่งก็น่าจะจับคอร์ดได้ก๊องแก๊งทำแค่พอเหมือนว่าเล่นเป็น ได้...มั้ง ในเรื่องนี้ต้องเล่นเพลงคลาสิคของโชแปงอยู่ฉากนึงไง พอน้องมาก็เล่นเปียโนเลยคล่องแคล่วด้วย ก็ประทับใจ ดีใจเออ..เล่นได้จริงด้วยน้องคนนี้ ผมถือว่านี่มันทำให้หนังมีความน่าเชื่อถือขึ้นมามันมีความจริงเข้ามาว่านางเอกเราเล่นเปียโนได้จริงๆ เพราะฉะนั้นคนที่ดูเรื่องนี้ไม่ผิดหวังแน่ รับรองได้เลยว่านักแสดงในเรื่องสามารถเล่นเปียโนได้เองจริงๆ ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ได้จริง

          มีอะไรที่ต้องปรับหากันบ้างไหมในการแสดงครั้งแรกด้วยกัน
          กับฉัตรเขาค่อนข้างโอเคน้องเขาเป็นคนสบายๆ แล้วช่วงแรกบทของเขายังไม่มีอะไรมากที่ต้องกังวล คงจะปรับที่ตัวผมเองนี่แหละครับ เพราะก็เล่นกันไปหลายเทคเหมือนกันตอนแรกอย่างที่บอกว่ามันยังจับคาแรกเตอร์กันไม่ถูกทั้งที่มีการเวิร์คช๊อปกันก่อนหน้านี้แล้ว พอถึงสถานที่จริงมันต้องเปลี่ยนตัวเองให้นิ่งลงเยอะมากจริงๆ เพราะว่าผู้ชายคนนี้ ตัววินเองเป็นคนมองโลกในด้านลบอย่างสิ้นเชิง อยู่กับตัวเอง ไม่เคยออกมาเจอโลกภายนอก ภาพที่เห็นข้างหน้าเป็นภาพแรกและภาพที่แปลกใหม่สำหรับตัววิน ผมเคยสงสัยในคาแรกเตอร์ของวินว่า มีด้วยเหรอคนที่ไม่เคยมาเดินถนนคนเดิน ไปเคยเดินตลาดนัด ทำไมเขาตกใจกับไอ้สิ่งของที่มันขายอยู่ข้างถนน หรือ ไม่เคยเปิดดูเสิร์ทเนท หรือตามภาพที่ระลึกดูทุ่งดอกบัวตองมั่งเลยหรอ ไม่เคยเห็นหรือว่ามันมีอย่างงี้ด้วยหรอบนโลกใบนี้ ซึ่งอยากจะบอกคนที่ชมภาพยนต์เรื่องนี้ว่า นี่แหละครับคือคาแรกเตอร์ของตัววิน เขาอยู่กับตัวเองจริงๆ ไม่มีความสนใจโลกภายนอก รู้แต่ว่าฉันจะเล่นเปียโน ฉันจะทำเพลง ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ชีวิตฉันมีแต่เปียโน หลังจากได้พบกับนางเอกจึงทำให้รู้ว่าโลกมันกว้างกว่าที่คิด และสวยงามกว่าที่คิดไว้มาก มันเลยทำให้การมารับบทในช่วงแรกของผมค่อนข้างติดขัด ปรับอารมณ์ไม่ถูกไม่รู้จะอารมณ์ไหนดี พี่โอ๊คก็ต้องมาอธิบายให้ฟังว่าตอนนี้ต้องเป็นยังไง รู้สึกยังไง

          การทำงานในวันแรกของเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
          วันแรกเราถ่ายทำกันที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในตัวอำเภอไปถ่ายซีนปล่อยกระทงสวรรค์กัน ในเรื่องตัววิน และหมอกไปเที่ยวในเมืองกันเดินเล่นไปตามถนนคนเดินไฟดับเห็นดาว ก็โรแมนติกกันไป พอมาถึงหน้าวัดจองคำก็มีการปล่อยกระทงสวรรค์ตามประเพณีพื้นบ้าน ในฉากจะสวยงามมากมีลูกโป่งติดกระทงลอยขึ้นฟ้ามากมาย หลากหลายสีสัน แต่เบื้องหลังนี่ปล่อยกันไปทั้งคืน ตี 3 ก็ยังปล่อยกันอยู่ ไม่รู้ไปหากระทงจากไหนกันมาเยอะแยะ ทีมอาร์ทก็ช่างขยันเป่าส่งมาเรื่อยๆ เราก็ได้แต่ลุ้นว่าให้ทีมอาร์ทเขากระทงหมดสักทีจะได้เลิกถ่าย แต่ก็ไม่หมดสักที (หัวเราะ) พวกเณรในวัดก็ออกมาช่วยกันสูบลูกโป่งด้วย ตรงนี้ก็ขอขอบพระคุณที่ทำให้งานวันนั้นสนุกดีครับ เป็นภาพที่แปลกดีมีชาวบ้านมีเณรมาช่วยจนวันนั้นเหมือนมีงานปล่อยกระทงสวรรค์จริงๆ ประทับใจมากครับ

          ได้ไปถ่ายทำกันหลายที่มาก แต่ละที่เป็นยังไงบ้าง
          เราไปกันหลายที่ครับมีทุ่งดอกบัวตอง มีห้วยน้ำดัง ปางอุ๋ง ที่ทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอเราได้เห็นความอะเมซซิ่งไทยแลนด์ ที่นี่ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งครับสำหรับคนที่เคยเห็นแต่ในรูปภาพ หรือมองในรูปถ่ายและได้แต่พูดว่าสวยจัง จะสวยจริงหรือเปล่าต้องมาดูด้วยตาตัวเองครับ ผมการันตีความงามของทุ่งนี้เลย แล้วก็จริงอย่างที่ตัววินในเรื่องได้เห็นครั้งแรกถึงกับร้องออกมา เพราะมันสวยงามมาก ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนมาเที่ยวตลอดทุกช่วงเวลาเลยครับ การถ่ายทำในวันนั้นก็มีอุปสรรคบ้างทั้งคนและอากาศที่เดี๋ยวร่มเดี๋ยวแดด แล้วสีโดยรอบเป็นสีเหลืองแดดมาหรือแดดหุบสีบรรยากาศมันจะเปลี่ยนไป เช้าไปถึงนี่ก็หนาวปากสั่นเหมือนกันครับ พอแดดเริ่มออกก็เริ่มร้อน ปรับอารมณ์ไม่ถูก ก็ใช้เวลาถ่ายทำกับที่นี่ไปพักใหญ่เหมือนกัน
          แล้วก็มีไปถ่ายทำกันในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ไปถ่ายร้านกาแฟกันเป็นร้าน บีฟอร์ซันเซท บนเนินเขา เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่เห็นวิวสวยงามมาก จิบกาแฟกันไปดูพระอาทิตย์ตกดินไป แต่ตอนถ่ายทำนี่สิครับพวกเราก็กลัวว่า ซันมันจะเซทลงเร็วจนถ่ายไม่ทัน (หัวเราะ) ตอนแรกก็นั่งลุ้นกันไปครับว่าเมื่อไหร่ซันมันจะเซทลงสักที แดดมันมาเยอะเกินไปถ่ายไม่ได้ย้อนแสง ผู้กำกับพยายามจะถ่ายทำช่วงเวลาที่พระอาทิตย์มันใกล้ๆจะตก แสงมันจะสวยที่สุด บังเอิญครับลืมนึกไปว่ามันเป็นหน้าหนาว พระอาทิตย์มันจะลงเร็วมาก วูบเดียวเองครับลงหายไปเลย แสงหมดเร็วมาก ตอนนั้นทีมงานและนักแสดงเหมือนทำงานไปเต้นไปกระตือรือร้น วิ่งกันชุลมุนวุ่นวาย วันที่ถ่ายที่นั่นก็เลยจะเกิดอาการมึนงงครับ เอ๊ะ...อะไรผ่านไป เอ๊ะ...เราถ่ายอะไรไป (หัวเราะ) ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เป็นการถ่ายทำหนังโรแมนติกที่สนุกตื่นเต้นระทึกใจ เพื่อที่จะได้ถ่ายทำทันแสงสุดท้ายของวัน แต่คุ้มกับความสนุกในวันนั้นครับเพราะแสงที่ได้มา บรรยากาศที่ได้มาตรงนั้นออกมาสวยมาก ผมว่าฉากของที่นี่น่าจะเป็นบรรยากาศในฝันของใครหลายคนเลยนะครับ
          แล้วก็เดินทางไปถ่ายทำที่ห้วยน้ำดัง ออกจากแม่ฮ่องสอนประมาณตี 3 พวกเรากะว่าจะไปนอนต่อในรถระหว่างทาง แต่เป็นการหลับที่ยากมาก แค่หลับในรถก็ยากอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เราต้องคอยเซทตัวเองกลับขึ้นมานั่งตรงๆ บนเบาะใหม่ตลอด (หัวเราะ) โค้งมันเยอะมาก ซ้ายทีขวาที ไม่รู้ว่าคนขับจะขัดเบาะให้ลื่นทำไม แค่โค้งอย่างเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ปรกติแกไม่ขัดเบาะนะ แต่แกคงเห่อรถใหม่วันนั้นแกขัดเบาะมาพอดี สรุปคือนอนไม่ค่อยจะหลับ มีสัปหงกบ้างตื่นมาอีกทีก็อยู่บนยอดเขาแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลยข้างหน้ามีแต่หมอกและฝน ตกปรอยๆ แล้วก็หนักสลับกันไป จนทีมงานตัดสินใจว่าต้องถ่ายละรอไม่ได้แล้วก็ตากฝนปรอยๆ กันไปเรื่อย
          ฉากนี้เป็นฉากที่วิน และหมอกมารอดูพระอาทิตย์ขึ้น ลืมตามาต้องเห็นพระอาทิตย์เลย เจ้าหน้าที่ที่ห้วยน้ำดังบอกว่าถ้าวันไหนฝนตกก่อนตอนเช้า ตรงจุดที่เราอยู่จะเป็นจุดที่เห็นหมอกสวยที่สุด พวกเราก็ดีใจกันมาก พี่โอ๊คดีใจมาก พวกเราต้องได้เห็นทะเลหมอกที่สวยที่สุดแน่เลย แต่ฝนไม่ยอมหยุดตก มันตกลงมาเรื่อยๆ 7 โมงก็แล้ว 8 โมงก็แล้ว 9 โมงพระอาทิตย์ก็ยังไม่มา สว่างไปทั่วทุกที่แล้ว สรุปพระอาทิตย์เลยจุดที่มันต้องขึ้นไปแล้ว ไม่เห็นลำแสงลย เจ้าหน้าที่มาบอกว่าวันนี้หมอกลงหนาสุดเป็นประวัติการณ์เลย จนพวกเรายอมถอดใจแล้ว ก็เก็บบรรยากาศหมอกหนาบนห้วยน้ำดังไป ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แปลกดี
          ฉากต่อไปจากห้วยน้ำดังเราก็ต้องลงมาเพื่อถ่ายฉากขับรถบนถนนสวยๆ มีการติดตั้งอุปกรณ์บนรถแต่เราไม่สามารถถ่ายทำกันได้เพราะหมอกลงหนามากมองไม่เห็นถนน มันไม่ปลอดภัยสำหรับทีมงานและผู้คนที่ใช้เส้นทางสัญจรไปมา ถนนมันแคบ โค้งเยอะ และระยะการมองเห็นเลวร้ายมาก ประมาณ 5 เมตรนี่ก็มองไม่ค่อยจะเห็นแล้ว มันเสี่ยงเกินไปบริษัทก็ไม่รู้ทำประกันให้ทีมงานหรือเปล่า (หัวเราะ) วันนั้นก็เลยเป็นอันต้องยุติการถ่าย และก็ติดหมอกอยู่บนกิ่วลมจนมืดค่ำ ไม่มีที่หลบฝน หลบลมหนาว มีแต่ร้านกาแฟเล็กๆ สี่เหลี่ยมเราก็ไปยืนออกินมาม่าและกาแฟกันไป
          ในเรื่องนี้เราก็เดินทางไปที่ปางอุ๋งกันด้วย ปางอุ๋งก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เดินทางกันจนอยากจะอาเจียนโค้งมาก เพราะโค้งมันเยอะจริงๆ แต่พอไปถึงแล้วมันหายเหนื่อยเราได้เจอกับโลเคชั่นที่มันสวยงามจริงๆ เขาบอกว่าปางอุ๋งเหมือนเมืองในเทพนิยายมีคนเขาเปรียบเทียบเอาไว้อย่างนั้น เพราะมันมีทั้งทะเลสาป ต้นสน ต้นไม้ต่างๆ มีหงส์ลอยคออยู่ ทุกอย่างถูกจัดวางเอาไว้อย่างลงตัว แล้วก็มีหมู่บ้านที่เขายังรักษาขนบธรรมเนียมของพวกเขาเอาไว้ได้อยู่ ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาได้สัมผัสกับวิถีชีวิตแบบนั้นได้อย่างแท้จริง วันนั้นที่ไปถ่ายทำก็เป็นฉากที่ วินกับหมอกลงไปนั่งเล่นแพในทะเลสาป ดื่มด่ำกับบรรยากาศโรแมนติก ในใจผมก็คิดว่าทริปนี้สบายละ ชิวๆนั่งชมวิวไปง่ายๆ แต่ทีมงานรีบกันใหญ่เพราะต้องการแสงแรกของวัน ตอนเช้ามืดเราถ่ายทำฉากที่นอนอยู่นอกเต้นท์กันสองคนระหว่างนางเอกกับพระเอก แล้วก็ต้องรอว่าเช้ามาไปนั่งแพเล่นต่อ ผมก็ชิวมากและก็นั่งลุ้นว่าทีมงานจะถ่ายทำกันทันแสงเช้าอีกไหม (หัวเราะ) สนุกดีครับ ตอนไปนั่งแพก็อากาศดีมาก อากาเศเย็นสบายบนสายน้ำสวยๆ จนผมไม่อยากขึ้นมาเลย แทบจะเคลิ้มหลับตรงนั้น

FB on October 19, 2011, 07:28:32 PM
          แสดงว่ามีอุปสรรคในการถ่ายทำที่นั่นตลอด?
          ผมคิดว่าทีมงานเตรียมตัวกันมาค่อนข้างดีนะครับ การที่เราจะไปถ่ายทำในสถานที่ที่มันยากลำบาก มันก็ต้องมีการวางแผนมาดีแล้ว เพราะมันมีขึ้นขาลงห้วย ต่อรถต่อเครื่องบิน ผมว่าทุกคนก็ทำให้ทุกฉากที่เราต้องการได้ ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี

          เป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้วหรือเปล่า
          จริงๆ ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวครับ ความใผ่ฝันสูงสุดก็คือเมื่อทำงานตรงนี้แล้วก็ดูแลคุณพ่อคุณแม่มีเงินดูแลเขาดูแลครอบครัวได้ แล้วอยากใช้ขีวิตด้วยการเที่ยวรอบโลกเลยครับ ผมว่าการเดินทางมันสร้างประสบการณ์มันทำให้เราได้โลกมันกว้างอย่างที่ตัววินเองได้เห็นแล้วว่า การที่คุณออกมาเดินทางมันสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้ สร้างความหวัง สร้างโลกใหม่ให้กับเราให้มันสวยขึ้นได้ ซึ่งเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมเดินทางมาหลายประเทศแล้ว ผมรู้สึกว่าแต่ละที่มันมีเสน่ห์อะไรบางอย่างทำให้เรากลับมาคิดและสร้างแรงบันดาลใจกับก้าวใหม่ๆ ให้กับชีวิตของเราได้ แต่ก็ขอเลือกประเทศที่โค้งมันน้อยกว่านี้หน่อยนะครับ (หัวเราะ)

          เรื่องนี้ต้องถ่ายทำกับเด็กๆ ด้วยเป็นอย่างไรบ้าง
          ใช่ครับ ผมไม่เคยเล่นละคร หรือภาพยนตร์ที่ต้องเล่นกับเด็กเยอะขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วผมโอเคกับเด็กอยู่แล้ว ทีมงานอาจจะเหนื่อยหน่อยที่ต้องดูแลเด็ก คือพอคัททีนึงก็ต้องเอาขนมไปป้อนทีนึง ดูแลเด็กอย่าให้เด็กร้อนอย่าให้เด็กเหนื่อย อย่าให้เด็กหิว อย่าให้อะไรอย่างงี้ ซึ่งน้องๆ ก็เก่งก็น่ารักกัน แต่จังหวะหมดแกหมดจริงๆ คือเด็กเนี่ยเวลาแกหมดอย่าไปจูนแก ปล่อยแกนอน หรือไม่ก็ยกแกออกจากที่ตรงนั้น ไม่งั้นแกจะยืนบิด แล้วแกจะไม่เอาบท จะบิดอะไรอย่างงี้ ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งเหมือนกันที่ผมเองก็มีความสุขในความทุกข์ของทีมงาน ผมก็นั่งดูเด็กด้วยความเพลิดเพลินดูเด็กร้องไห้ แต่ทีมงานนั่งเครียด ผมก็มีความสุข รู้สึกว่ามันส์ดี (หัวเราะ)

          ฉากไหนยากสุดตั้งแต่ที่ถ่ายทำกันมาในเรื่องนี้สำหรับแดน
          อย่างที่บอกไปตอนต้นคือความยากของเรื่องนี้คือมันยากที่คาแรกเตอร์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทั้งเรื่องมีมวลของความยากทั้งเรื่องอยู่แล้วทั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคาแรกเตอร์ของตัวพระเอก เรื่องของมุมมองความรัก ที่รักกันแต่ไม่รู้ว่ารัก ใช่ไม่ใช่ รักหรือเปล่า มันเล่นยากครับ มันมีชั้นของความเป็นดราม่าอยู่ที่ทำให้เล่นยาก ต่อไปอุปสรรคของความสามารถในเรื่องเปียโน มีอยู่วันนึงเป็นวันที่ต้องเล่นเปียโน และคุยกับนางเอกไปด้วย คือผมเองไม่เคยเล่นเพลงคลาสิคมาก่อน ต้องมาเล่นเพลงคลาสิคในเรื่องนี้ด้วย ก็มีต้องไปซ้อมกันมาก่อนในช่วงเวลาที่มันบีบรัด แต่ไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้ พอถึงเวลาถ่ายทำจริงมันสั่น ไม่ได้สั่นเขินนางเอกเล่นนะ แต่สั่นต่อไปมันโน๊ตอะไรหว่า ผมเคยคุยกับพี่โอ๊คว่าขอเล่นอย่างเดียวไม่พูดบทได้ไหม เล่นก่อนแล้วค่อยมาพูดบทอีกทีนึง พี่โอ๊คก็บอกว่าไม่ได้มันต้องเล่นไปคุยไปมองไปอะไรอย่างงี้ครับ ต้องดูเป็นโปรเฟชชั่นนอล (หัวเราะ) สรุปฉากนั้นก็หลายเทคมากนานมาก จนแบบหลอนไปเลย หลอนกับเพลงๆ นี้ไปเลย แต่มันออกมาได้เราก็ดีใจที่เราทำมันได้สำเร็จอะไรอย่างงี้ครับ
 
          แล้วมีฉากไหนประทับใจเป็นพิเศษบ้างไหม
          ผมว่าแทบจะทุกซีนที่ผมไปถ่ายทำ มันเป็นเรื่องของประทับใจเกี่ยวกับโลเกชั่น โลเกชั่นที่ได้เดินทางมาภาคเหนือ คือผมไปผมแทบไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้เลย ผมจะปล่อยให้หนังเรื่องนี้เป็นการรวมภาพประทับใจของผมเอง ที่ผมไม่ต้องมีรูปภาพ แต่ผมมี DVD บลูเลย์ 3D ทำหรือเปล่า (หัวเราะ) มีทุ่งบัวตองลอยมาที่หน้าเก็บเอาไว้แค่นั้นก็พอนะครับ เพราะแต่ละที่มันโดดเด่นที่ตัวมันเอง และการถ่ายทำส่วนใหญ่ถึงจะมีอุปสรรคแต่ก็เป็นอุปสรรคที่เรียกความประทับใจ รอยยิ้มได้ ทุกคนกังวลแต่ไม่มีใครเครียดกับมันจนเกินเหตุ ติดหมอกติดฝนก็ยังหาอย่างอื่นมาคุยมาทำกันจนมันผ่านทุกอย่างไปด้วยดี

          พอเล่นไปสักพักแล้ว รู้สึกว่าบทแบบนี้เหมาะกับเราไหม
          คงเป็นเรื่องของการตัดสินของผู้ชมครับ แต่โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วครับ
          โรแมนติกหรือคอเมดี้ เพราะว่ามันถ่ายง่าย มันไม่เหนื่อย ไม่หนัก ไม่ร้อนมาก ไม่ต้องขึ้นสลิง ไม่ต้องต่อยตีกับใคร จริงๆ นะ ชอบมาก ติดต่อมารีบรับเลยโรแมนติกคอเมดี้เนี่ย (หัวเราะ)

          แสดงว่าก็ต้องชอบดูภาพยนตร์แนวนี้ด้วยเหมือนกันหรือเปล่า?
          ใช่ครับ จริงๆผมเป็นคนที่ชอบเรื่องราวมุมมองของความรัก แล้วการทำงานหรือภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดออกมาจากมุมมองความรัก ผมว่ามันมีค่าเพราะว่าความรักเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่เป็นความรักของเพื่อน พ่อแม่ ครอบครัว หรือหนุ่มสาวก็ตาม ผมจะชอบดูเรื่องราวแบบนี้ ดูแล้วมีความสุขที่ได้เห็นคนมีความรักให้กันและกัน มีเรื่องของคนที่ทะเลาะกันแล้วคืนดีกัน ผมรู้สึกว่าผมชอบดูหนังที่โรแมนติก หรือแบบฟีลกู๊ด เรื่องที่มีความรักดีๆ ประทับใจให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

          มุมมองความรักของแดนเป็นยังไง
          คือถ้าเป็นนิยามของความรัก ผมจะมองว่าความรักมันคือความเข้าใจนะครับ ผมแค่รู้สึกว่าคนเราถ้ารักกันแล้ว เราเข้าใจกันทุกอย่างมันไม่มีปัญหาเลย มันเข้าใจว่าแฟนเราเป็นคนนิสัยยังไง เป็นคนแบบนี้นะ ชอบพูดเสียงดังในเวลาหิว ขี้โวยวาย ขี้งอนนะ พอรู้แบบนี้เราก็จะไม่โกรธกัน ไม่ทะเลาะกัน แฟนเรานอนกรนสำเนียงแปลกๆ เราก็จะเข้าใจว่าเขาเป็นแบบนี้ เราจะไม่รู้สึกหยึย หรือรังเกียจหรือรับไม่ได้ นี่แหละครับผมว่าความรักคือความเข้าใจกัน ถ้าทุกคนเข้าใจกันทุกอย่างมันจะดีเอง

FB on October 19, 2011, 07:29:42 PM
          เชื่อในรักแท้ไหม
          รักแท้มีจริงครับผมว่า แต่อาจจะน้อยลงสมัยนี้ พรหมลิขิตก็คงมีแต่อันนี้ไม่กล้ายืนยันเพราะว่าไม่รู้มันเรียกว่าอะไรกันแน่ ไม่รู้ว่าพรหมลิขิตหรือความบังเอิญ แล้วอีกอย่างที่อยากจะพูดคือวัยรุ่นยุคหลังๆ มองเห็นความรักเป็นเรื่องฉาบฉวยครับ จะพูดคำว่ารักบางทีมันง่ายมาก บางทีไม่มองหน้ากันก็บอกรักกันได้แบบพอรู้จักกันก็ฉันรักคุณแล้ว บีบีหากัน ส่งเมล์เล่นเอ็มต่างๆ นานา รักกันโดยยังไม่เห็นหน้า มันเลยทำให้ทุกอย่างมันดูมีคุณค่าน้อยลงสำหรับเด็กยุคนี้ ซึ่งมันควรจะมีหนังที่เพิ่มมุมมองสร้างคุณค่าของความรักให้เด็กยุคนี้ได้เยอะๆ มันก็คงจะดี เด็กสมัยนี้จับมือกันง่าย ผู้หญิงผู้ชายถูกตัวกันเป็นเรื่องปรกติ ความอยากรู้อยากลองของเด็ก รสนิยมหรือว่าความคิดของเด็กมันเปลี่ยนไป เมื่อก่อนกว่าจะสัมผัสร่างกายกันได้บางคนอาจต้องแต่งงานกันก่อนด้วยซ้ำ หรือการรักนวลสงวนตัวของคนสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ถูกอบรมกันมา มันไม่ต้องเคร่งครัดกันจนเกินไปแบบสมัยก่อนก็ได้ แต่สมัยนี้โลกมันเปลี่ยนไป ถ้าใครยังรักนวลสงวนตัวอยู่จะรู้สึกว่า อี๋ ซึ่งมันไม่ถูก คิดแบบเก่ากันเหอะ มันทำให้ตัวเองดูมีคุณค่าขึ้นนะ ในมุมมองของผมจากที่เราพูดเรื่องความรักกันมา ก็ไม่ได้ตั้งใจจะโยงเข้าประเด็นของภาพยนต์ แต่นี่คืออีกเหตุผลนึงที่ผมรับเล่นภาพยนต์เรื่องนี้ เพราะว่านี่แหละครับมันเป็นการถ่ายทอดมุมมองความรักที่มันควรจะเป็น ให้กับวัยรุ่นยุคนี้ได้รับรู้กันว่า ความรักมันควรจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ศึกษากัน ทำความเข้าใจ ทำความรู้จักมุมมองต่างๆ ของเขา สิ่งแวดล้อมของเขา ก่อนที่จะตัดสินใจบอกรักเขาไป หรือว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับเขานานๆ แล้วภาพยนต์เรื่องนี้เป็นแบบนั้น เขาใช้เวลาศึกษากันทำความเข้าใจกัน จนเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน วินและหมอกเขาก็ใช้เวลาด้วยกันก่อนที่จะพูดคำว่ารักกันออกมา

          เรื่องเพลงบ้างทำไมถึงหันมาสนใจการแต่งเพลงภาพยนตร์เรื่องนี้?
          ในเรื่องวินต้องเป็นคนเขียนเพลงนี้ขึ้นมา ซึ่งผมอยากให้คนดูได้รับรู้ว่า มันเกิดจากตัวนักแสดงคนนึงที่รู้สึกอย่างนั้นที่ถ่ายทอดออกมาจริงๆ ในเมื่อเปียโนเราก็เล่นกันเอง เพราะฉะนั้นการถ่ายทอดอะไรดีๆ ของเรื่องนี้อย่างเพลงประกอบภาพยนต์มันน่าจะเป็นเรา ซึ่งผมก็ได้โจทย์นี้มานานแล้ว กับเพลงที่ชื่อว่า “เพลงรักที่ไม่มีคำว่ารัก” ได้โจทย์มานานแล้วแต่ไม่แต่งสักที ไม่ใช่ว่าต้องรอฟิลอะไรนะครับแต่ว่ามันอยากจะรอให้ตัวเองได้ซึมซับกับความรู้สึกของภาพยนต์ ของสถานที่ต่างๆ ที่เราได้ไป ให้เรารู้สึกเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้มีคุณค่ากับชีวิตเรา เราเริ่มรู้สีกดีกับเขา เริ่มรู้สึกกับสิ่งต่างๆ ผมถึงเริ่มลงมือเขียน ตอนนั้นก็เริ่มต้นจากการเขียนท่อนฮุคก่อนเพราะแต่งต่อตอนนั้นเลยก็ไม่ได้ คิดไม่ออก ตอนแรกก็คิดไว้ว่าจะรอให้หนังจบก่อนแล้วจะคิดต่อ แต่เพราะว่าต้องมีฉากคอนเสิร์ตแล้วเราต้องเล่นเพลงนี้จริง แต่จะไม่เขียนเดี๋ยวนั้นที่ได้โจทย์มา ก็ต้องรอให้เรารู้สึกกับสิ่งต่างๆ จริงก่อนอย่างที่บอก มันจะได้ถ่ายทอดมาได้อย่างเข้าใจจริงๆอย่างอินโทรเพลงนี้ผมก็นั่งคิดตอนที่นั่งเล่นเปียโนอยู่ที่ปายกับฉัตร แล้วอยู่ๆ อินโทรนี้ก็ผ่านเข้ามาในหัว ผมก็เล่นอินโทรขึ้นมาแล้วก็ถามพี่โอ๊คว่าโอเคกับอินโทรอันนี้ไหม ถ้าโอเคผมก็อัดเอาไว้ พี่โอ๊คบอกเอาชอบ

          วางแผนอะไรไว้กับวงการภาพยนต์และวงการเพลงไว้บ้าง...
          คงไม่มีแผนอะไรที่แน่ชัดและตายตัว แต่คงชัดตรงที่ว่าเราทำในสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกดีรู้สึกว่าตัวเองทำแล้วมีความสุขในช่วงเวลานั้น แล้วก็น่าจะสร้างความสุขให้กับคนในช่วงเวลานั้นได้ ผมคงไม่วางว่าปีนึงจะเล่นหนังเรื่องนึงหรือว่าปีละเรื่อง หรือทำเพลงอัลบั้มนึงปีนึงอะไรแบบนี้ คือแค่อยากรู้สึกว่าเจอบทที่มันใช่ อาจจะ 3 ปีแล้วเจอบทๆนึง แต่เรารู้สึกว่ามันมีความสุขแล้วคนน่าจะชอบเราเล่นแบบนี้ผมถึงจะเล่น เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะต้องยอมว่าอาจจะมีกินน้อยหน่อย (หัวเราะ) แต่เราต้องมั่นใจว่าเราจะถ่ายทอดมันออกมาได้ดีกว่า

          ไม่คิดจะเป็นนักแต่งเพลงภาพยนตร์กับเขาบ้างหรอ
          ยังไม่คิดครับ เรายังไม่มีเวลาอยู่กับชิ้นงานใดมากๆ เพราะการแต่งเพลงเพลงนึงมันใช้สมองเยอะ ถ้าจะให้ดีเราต้องเข้าไปซึมซับกับนักแสดงกับตัวบทภาพยนตร์มันถึงจะออกมาภาพชัดที่สุด ซึ่งเราคงไม่มีเวลามากขนาดนั้น ผมขอทำเป็นงานอดิเรกดีกว่า

          อยู่ในวงการมานาน อยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในวงการเราบ้าง
เมื่อหลายปีมาแล้ว หนังไทยสามารถฝ่าวิกฤตมาได้ จนคนไทยเริ่มยอมรับการดูภาพยนตร์ไทยขึ้นมาเยอะมาก เพราะฉะนั้นเมื่อเราเริ่มสร้างศัทธาให้กับคนไทยได้ อย่าให้คนดูเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย...กลับไปดูหนังฝรั่ง หนังเกาหลีอย่างเดิมดีกว่า เพราะว่าคนไทยเริ่มคิดน้อยลง ไม่ได้พาดพิงถึงใครเลยนะครับ ผมแค่อยากจะบอกผู้กำกับหรือว่าทีมงานหลายๆท่านว่า เมื่อคุณมีโอกาสที่จะสร้างสรรค์ผลงานเต็มที่กับมันนะ ตั้งใจกับมันละเอียดกับมันเลือกมุมมองที่ดีๆ ที่คิดว่าสร้างสรรค์ให้กับคนดูได้จริงๆ ละเอียดกับมันนิดนึง สร้างศรัทธาให้กับแฟนภาพยนตร์อีกครั้ง แล้ววงการภาพยนตร์ไทยมันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่าพยายามปล่อยชิ้นงานที่ทำให้คนดูผิดหวัง ทำมันให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าทำให้เวลาและงบประมาณมันมาบีบคั้นมาก ส่วนมุมมองที่อยากจะบอกคนดู แค่อยากจะบอกให้คนดูเลิกเปรียบเทียบระหว่างภาพยนตร์ไทยและภาพยนตร์ฝรั่ง คืออย่างภาพยนตร์แอ็คชั่นหรืออะไรก็ตาม ที่เขาบอกว่าทำไมทำซีจีได้แค่นี้ ต้องเข้าใจก่อนว่าภาพยนตร์ไทยมันมีงบประมาณมากสุด 100 ล้าน หรือ 50-60 ล้าน สำหรับการทำคอมพิวเตอร์เอฟเฟคต่อเรื่องนึง แต่ต่างประเทศเขามีเป็นพันๆ ล้าน ซึ่งแน่นอนมันไม่มีทางเทียบเท่ากันได้ เราก็ดูที่ความตั้งใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกันดีกว่า เมื่อเราให้กำลังใจกันแล้ว เมื่อวงการเรามันพัฒนาไปมากขึ้นรับรองว่าคุณจะได้ดูหนังที่มันมีโปรดักชั่นเทียบเท่าสักที ก็ฝากเอาไว้ด้วย เป็นกำลังใจให้กับคนทำภาพยนตร์ และดูหนังทุกคน
          ส่วนวงการเพลงเราคงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เพราะเราก็คงห้ามเรื่อง CD เถื่อนไม่ได้อยู่แล้ว ช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ เราขอคารวะท่าน แต่วันนี้เราสะใจมากที่ CD เถื่อนโดนดาวน์โหลดเข้าไป จ๋อยเลยครับ CD เถื่อนโดนก๊อป CD เพลงออริจินัล โดนซีดีเถื่อนก๊อป บิทเทอเรนก๊อปซีดีเถื่อน ขายกันแบบว่าขาดทุนกันยับ นี่ไงรู้ซะบ้างว่ามันเป็นยังไงก็คงไม่ต้องพูดอะไรมาก มันก็อยู่ที่วิจารณาณของผู้บริโภคงานแหละว่าจะให้ศิลปินอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน

          มีอะไรอยากฝากกับคนดูกับผลงานภาพยนตร์ในครั้งนี้บ้าง
          อยากจะฝากผลงานเรื่องเดอะเมโลดี้ รักทำนองนี้ไว้ด้วยครับ เหตุผลที่ต้องเข้าไปดูในฐานะนักแสดงคนนึง ในมุมมองของผมอยากจะบอกว่าคุณเข้าไปจะได้รับรู้เรื่องราวดีๆ ได้รับรู้และซึมซับกับความรักที่บริสุทธิ์ทั้งของพระเอกนางเอก และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถ้าใครที่เป็นคนชอบหนังภาพสวย ค่อนข้างมั่นใจว่าคุณจะได้เห็นสิ่งนั้น ไปฟังเพลงกันเพราะๆ กัน นี่เป็นอีกเรื่องนึงที่ภาพยนตร์มีเพลงที่มีความหมายดีๆ ความหมายที่สร้างสรรค์ให้คนหันมารักกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาแบบนี้ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนรักกันมากๆ เพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กันต่อๆ ไป ก็หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับภาพยนตร์เรื่องเดอะเมโลดี้ รักทำนองนี้กันทุกๆ คนครับ

FB on October 26, 2011, 06:38:52 PM
“แดน”สู้หนาวสวีท “ฉัตร” กลางทุ่งดอกบัวตองสุดโรแมนติก

    
  
           สวีทหวานจ้องตากันหวานฉ่ำเกินหน้าดอกบัวตองที่กำลังบานสะพรั่งเลยทีเดียว สำหรับคู่พระนาง “(แดน) วรเวช ดานุวงศ์ และ (ฉัตร) ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร” จากภาพยนตร์แนวโรแมนติก-ดราม่าเรื่อง “เดอะเมโลดี้ รักทำนองนี้” หนังใหม่แกะกล่องของค่ายหนังยักษ์ สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล ภายใต้การโปรดิวซ์อีกครั้งของ “จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ”

          โดยผู้กำกับหน้าใหม่ไฟแรง “ทศพล ศรีสุคนธรัตน์” นำทีมงาน และนักแสดงกว่า 50 ชีวิตไปถ่ายทำกันไกลถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมืองแห่งสายหมอกและลมหนาวที่มีแต่โลเกชั่นสุดโรแมนติกเต็มไปหมด ช่วยบิ้วอารมณ์ของคู่พระนางในฉากที่ “หมอก” แสดงโดย (ฉัตร) สาวจอมตื้อขี้แกล้งพา “วิน” (แดน วรเวช) มาเที่ยวชมความสวยงามที่ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งวินเป็นนักดนตรีชื่อดังจากเมืองหลวงขี้วี นและเอาแต่ใจ ผู้ไม่เคยได้ท่องเที่ยวเยี่ยมชมธรรมชาติแบบคนธรรมดาเดินดิน พอเห็นบรรยากาศที่สวยงามอยู่ตรงหน้าก็เกิดความประทับใจเป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเที่ยวกันแบบสองต่อสองกับนางเอก

          ซึ่งการถ่ายทำในครั้งนี้อยู่ในช่วงที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เพราะดอกบัวตองจะบานแค่ปีละไม่กี่วันเท่านั้น ทีมงานเลยต้องหลบมุมกล้องกันอย่างพิถีพิถันกว่าจะได้ฉากที่สบายตา ก็เล่นเอาพระอาทิตย์เกือบจะตรงหัว นอกจากนี้อุปสรรคอีกอย่างที่ยากแสนเข็ญ ก็ดูเหมือนจะเป็นฉากที่ต้องจ้องตากันอย่างลึกซึ้ง และความเขินอายของพระเอกนางเอกนะแหละ กว่าจะสื่ออารมณ์ว่ามีความรู้สึกดีๆ ต่อกันก็ทำเอาผู้กำกับลุ้นจนตัวโก่ง เพราะหน้าตาของหนุ่มแดนยิ้ม เห็นลักยิ้มทีไรทำให้นึกถึงความทะเล้น ที่เป็นภาพจำจากหนังเรื่องอื่นๆที่ผ่านมาตลอด จนบางทีน้องฉัตรก็อดขำไม่ได้จนต้องขำหลุดออกมาทุกที ที่ต้องนานก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักหนา แต่พระเอกของเรานี่สิ เรื่องนี้คาแรกเตอร์ไม่ใช่หนุ่มอารมณ์ดีซะแล้ว เวลาจะยิ้มจะทำอะไรต้องคงนิสัยมาดขรึม ไว้ตัว ออกจะหยิ่งๆ บ้างในบางทีนี่แหละ เลยทำให้การยิ้มแบบส่งอารมณ์ซึ้งกลายเป็นเรื่องยากไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ซึ่งแดน วรเวชให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับอารมณ์ และการถ่ายทำในฉากนี้ไว้ว่า

          “ฉากนี้เป็นฉากที่หมอกต้องพาวินมาเที่ยวชมความสวยงามของจังหวัดเพราะเราขอร้องให้พามาเที่ยวมารู้จักจังหวัดแม่ฮ่องสอนมากขึ้น แต่ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกอะไรดีๆ กับนางเอกแล้ว แต่พอได้มาเที่ยวด้วยกันบนบรรยากาศสวยงามมากแบบนี้ตัววินและหมอกเองก็เลยมีความสุขมากยิ่งขึ้น

          ในฉากนี้ก็ไม่ถึงกับจ้องตากันจนเยิ้มหรอกครับ ก็มีพูดคุยกันและก็ชมธรรมชาติรอบๆ ตัวซะส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางช็อตที่ต้องหันมาสบตากันหัวเราะกันอะไรประมาณนี้ พระเอกก็ต้องมีเขินบ้างเล็กน้อยแต่น้องฉัตรนี่สิเหมือนจะขำเกินนางเอกไปนิด (หัวเราะ) ผมก็เลยพลอยหลุดขำกันไปด้วย พี่โอ๊ค(ผู้กำกับ) ก็บอกให้อายเขินกันแบบพอดี แบบมีความสุขอมยิ้มกันเพราะเพิ่งจะเที่ยวกันครั้งแรกไว้ตัวกันหน่อย (หัวเราะ) คือผมไม่เคยเล่นในคาแรกเตอร์ที่ขรึมขนาดนี้ ในเรื่องนี่วินเป็นคนขี้วีนมีมาดออกจะหยิ่งๆ ด้วยซ้ำไป แต่ผมมีลักยิ้มมั้งหรือไม่ก็ติดภาพที่ผมเคยเล่นแต่บททะเล้นๆ มาเวลาผมยิ้มมันก็เลยอาจจะดูเล่นไปนิดนึง ฉากนี้ก็เป็นฉากแรกๆ ด้วยที่ผมได้เข้าฉากกับน้องฉัตร อาจจะยังไม่คุ้นเคยกัน ต้องส่งสายตากันมันก็ต้องมีบ้างที่จะหลุดเป็นธรรมดา ตัวผมเองก็ยังมีบางครั้งต้องนึกก่อนว่าพระเอกมันอารมณ์ไหนเนี่ยตอนนี้เรารู้สึกแบบนี้ถูกไหม ผู้กำกับก็จะคอยบอกคอยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังบ้าง

          แต่ที่แน่ๆ เลยมาถ่ายทำฉากนี้ประทับใจมากเลยครับ จริงๆ ผมเคยมาทุ่งดอกบัวตองมาแล้วครั้งนึง แต่ให้มาอีกกี่ครั้งก็ยังประทับใจครับคือมันมองไปสุดลูกหูลูกตาก็เหลืองสวยไปหมด มีทิวเขาอยู่ห่างๆ เป็นชั้นๆ อากาศหนาวมาก ลมพัดมาทีนี่ต้องออกมาสู้แดดกันเลยครับ เพราะที่เราถ่ายทำอยู่ก็สูงพอสมควร กว่าจะปักหลักถ่ายกันตรงนี้ได้ก็ต้องมีหลบโน้นหลบนี่บ้างเพื่อให้ภาพมันเคลียร์ แต่เข้าใจครับเพราะสถานที่สวยงามขนาดนี้มันทำให้คนมาเที่ยวมีความสุขมาก ทุกคนอยากได้วิวที่ดีที่สุดกลับไปเป็นที่ระลึก เพราะขนาดว่างๆ ผมก็ยังถ่ายรูปเก็บไว้มุมโน้นมุมนี้ตลอดเวลาครับ ใครไม่เคยมาเที่ยวผมว่าสักครั้งนึงในชีวิตควรมาเป็นอย่างยิ่งครับไม่มีผิดหวังแน่นอน”

          พบกับภาพยนตร์โรแมนติก-ดรามา และบรรยากาศชวนหวานอีกมากมายในเรื่องเดอะเมโลดี้ รักทำนองนี้ ได้ 17 พฤศจิกายนนี้ทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: November 12, 2011, 12:34:22 PM by FB »