Google on June 17, 2011, 03:17:09 PM
ดัชนีปรับตัวลงKTAMลุยทริกเกอร์ฟันด์ต่อ จ่ายผลตอบแทนอัตโนมัติทุก5%ใน10เดือน

           นายสมชัย  บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  กรุงไทย  จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า   บริษัทเสนอขายกองทุนเปิดกรุงไทย 10 เอ็ม5+5% ทริกเกอร์  ฟันด์   ในวันที่ 17 -23  มิถุนายน  2554   อายุโครงการประมาณ 10 เดือน   มูลค่าโครงการ  1,000 ล้านบาท   เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท   มีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุน  โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65  ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน   โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานดี   มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจสูง  และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง  เงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้     ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน   ตราสารทางการเงิน  และเงินฝาก    และ/ หรือตราสารอื่นใด ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต. กำหนด

           ทั้งนี้  จากราคาเปิดจำหน่าย  IPO  เริ่มต้นที่ 10.0000 บาทต่อหน่วยลงทุน   เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.5000 บาทขึ้นไป   ณ  วันทำการใด  บริษัทจะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ  ในอัตรา  5% ของผลตอบแทน  ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน     โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารตามที่ลูกค้าได้กำหนดไว้  ภายใน5 วันทำการ     หลังจากนั้น  เมื่อกองทุนครบอายุโครงการ    หรือกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุน ตั้งแต่ 11.0000 บาทขึ้นไป  เป็นเวลา 3  วันติดต่อกัน หรือเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 110  ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท )  และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด หรือเทียบเท่าเงินสด ทั้งหมดในสกุลเงินบาท  ณ  วันทำการใด   บริษัทก็จะดำเนินการปิดกองทุน พร้อมสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ลงทุนเข้ากองทุนมันนี่มาร์เก็ต

              นายสมชัย   กล่าวต่อไปว่า     ผู้จัดการกองทุนได้วิเคราะห์ถึง แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2554    โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนในช่วงไตรมาส 3 แต่ยังคงคาดการณ์ว่าจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาส 4  ทั้งนี้คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์  มีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงเดือน ส.ค.54 เนื่องจากเป็นช่วงที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาขยายตัวใหม่อีกครั้ง ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากสหรัฐฯ จีน และ ญี่ปุ่น รวมถึง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัว ทางด้านปัจจัยการเมืองในประเทศ คาดว่าจะมีผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดในช่วง 1 เดือนก่อนและหลังการเลือกตั้ง และหลังจากนั้นคาดว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องรัฐบาลใหม่ ความกังวลในกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯไม่ต่อมาตรการ QE2 จะมีความชัดเจนขึ้นในเดือน ก.ค.โดยในกรณีที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯไม่ต่ออายุมาตรการ QE2 อาจส่งผลกระทบให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์

             อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินเป็นแบบเข้มงวดโดยทันทีภายในปี 2554 ซึ่งทำให้การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปคาดว่าจะดำเนินต่อไปและกระทบต่อตลาดฯ แต่คาดว่าจะไม่รุนแรงเท่ากับที่เกิดขึ้นกับกรีซ เนื่องจากตลาดฯเริ่มรับรู้แล้วว่าประเทศกรีซ โปรตุเกส และ ไอร์แลนด์ มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ ด้านเงินทุนต่างประเทศยังคงมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก ผลการดำเนินงานของบจ.ยังคงสามารถเติบโตได้ 15% โดยเฉลี่ยใกล้เคียงกับภูมิภาคเอเชีย และ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตได้จากการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ถึงแม้จะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกบ้างก็ตาม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยระยะสั้น โดยนักลงทุนต่างชาติมีมุมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในแง่ของประเทศที่มีการบริโภคที่แข็งแกร่ง โดยรวมคาดว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้สูงสุดในช่วงปลายปี 2554 ที่ 1200 จุด
 
                 ทั้งนี้ ในช่วงเวลานี้  จึงเป็นโอกาสที่ดี  สำหรับการเปิดจำหน่ายกองทุนดังกล่าว   เพราะราคาดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีการปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก  จากดัชนีสูงสุดในวันที่ 21  เมษายน  2554  อยู่ที่  1,113.63   จุด  ลดลงมาปิดเมื่อวันที่ 15  มิถุนายน  2554   อยู่ที่ 1,030.31  จุด  หรือลดลงประมาณ 7.50%  กองทุนจึงมีโอกาสถึงเป้าหมายตามที่ได้กำหนดไว้ และที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จในการบริหารกองทุนประเภท Trigger Fund  อย่างต่อเนื่อง ถึง 2 กองทุน อายุโครงการ 10  เดือน   โดยกองทุน KT - Trigger Fund 1   ใช้เวลา  ประมาณ 2 เดือน   และกองทุน KT- Trigger Fund 2  ใช้เวลาประมาณ  6 เดือน ในการสร้าง ผลตอบแทน 10 %