PR on May 05, 2011, 03:52:38 PM
MOVIE: อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง (WHITE BUFFALO) 12 พฤษภาคม



          กำหนดฉาย 12พ.ค.54

          แนวภาพยนตร์ คอมิดี้-ดราม่า-โรแมนติค

          สร้าง-จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล

          อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ

          ควบคุมการสร้าง อัครพล เตชะรัตนประเสริฐ

          กำกับภาพยนตร์ ชิโนเรศ คำวันดี

          เรื่อง สุมิตร เที่ยงตรงจิตร

          บทภาพยนตร์ สุมิตร เที่ยงตรงจิตร, ชิโนเรศ คำวันดี

          กำกับภาพ ณัฐวุฒิ กิตติคุณ (โหมโรง, โกลคลับ เกมส์ล้มโต๊ะ, นางนาก, จันดารา, ฟ้าทลายโจร, ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, องค์บาก1-2-3, ต้มยำกุ้ง, ชัมบาลา)

          ที่ปรึกษาออกแบบงานสร้าง เอก เอี่ยมชื่น และ ทีม (2499 อันธพาลครองเมือง, นางนาก, ฟ้าทลายโจร, จันดารา, ปืนใหญ่จอมสลัด, มหาลัยฯ เหมืองแร่, เดอะเลตเตอร์-จดหมายรัก, องค์บาก 2)

          กำกับศิลป์ วิกรม เจนมนัส

          ลำดับภาพ ศราวุธ นะคะจัด

          ดนตรีประกอบ บานาน่า เรคคอร์ด

          ออกแบบเครื่องแต่งกาย ชาติชาย ไชยยนต์ (ไชยา, บางระจัน, ปืนใหญ่จอมสลัด, องค์บาก2-3, ลุงบุญมีระลึกชาติ)

          แต่งหน้า ภูษะนิศา กิติเกรียงไกร

          ทำผม ธนกร ยิ้มงาม

          นักแสดง ภัทรภณ โตอุ่น (รอน เอเอฟ 5), อนุสรา วันทองทักษ์ (เปรี้ยว เอเอฟ2), หนูหิ่น-รุ้งลาวัลย์ โทนะหงษา, CER JAMES SPAINHOUR, นพดล ดวงพร, ปิยะ ตระกูลราษฎร์, ปริศนา วงศ์ศิริ, ชไมพร สิทธิวรนันท์, เหลือเฟือ มกจ๊ก, ยาว ลูกหยี
« Last Edit: May 07, 2011, 06:38:52 PM by PR »

PR on May 05, 2011, 03:59:19 PM
เรื่องย่อ

          เรื่องราวความรักของหนุ่มสาวอีสานยุคใหม่ (ที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ นะ!!!) พร้อมกับคำถามคำโตฝากไปให้หนุ่มไทยทั้งหลายเอากลับไปคิดว่า “หนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวมีดีจั๋งได๋แท้น้อ??? อีนางทั้งหลายถึงปันใจจะไปมีผัวฝรั่งกันเมิ้ด?” ผ่านมุมมองของบักมาร์ค (โดดขึ้นจอเป็นครั้งแรกของรอน AF 5-ภัทรภณ โตอุ่น) หนุ่มอีสานที่เฝ้าฝันจะมีอนาคตที่ดีเพื่อกลับมาพัฒนาหมู่บ้านโดยมีพ่อที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน (ปิยะ ตระกูลราษฎร์) เห็นดีเห็นงามด้วยตัดสินใจขายควายส่งลูกชายเข้าเรียนนิติศาสตร์รามฯ หวังว่าจบมาจะได้เป็นปลัดหรือทนาย แต่หลังจากใช้ชีวิตในรั้วมหา’ลัยในกรุงมา 6 ปีเต็ม ก็ยังสอบไม่ผ่านสักที เพราะติดอยู่ที่วิชาอังกฤษ 2 (EN.102) วิชาเดียวที่นอกจากจะไม่ถนัดแล้วยังไม่ใช่ภาษาประจำชาติอีกต่างหาก จนเกิดอาการท้อ และตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่บ้านเกิด ก่อนที่จะพบว่าหมู่บ้านกำลังถูกรุกรานทางวัฒนธรรม (ขนาดนั้น?) เมื่อผู้สาวที่ทั้งสาวและไม่สาวต่างมีค่านิยมใหม่ขึ้นมากันเป็นแถวนั่นคือ “การนิยมมีเขยฝรั่ง-LOVE FARANG” แม้แต่แต๋วแหล่ (หนูหิ่น-รุ้งลาวัลย์ โทนะหงษา) ที่เกลียดฝรั่งขนาดหนักก็ยังเปลี่ยนใจไปรับฮักพ่อบักสีดา เอาละซิ!!! ความสงบสุขที่เคยมีกำลังจะสูญหาย สถานการณ์รอบตัวย่ำแย่อย่างหนัก กระทั่งเพื่อนรักอย่างทิดสุบรรณ (เหลือเฟือ มกจ๊ก) ยังโดนบัวผัน (เปิ้ล-ชไมพร สิทธิวรนันท์) เมียสาวหัวหน้าชมรมตำกล้วยที่ปลื้มฝรั่งขนาดหนักทิ้ง และมีแนวโน้มว่าแววดาว (เปรี้ยว AF 2-อนุสรา วันทองทักษ์) หญิงที่ตนเองหมายปองก็อาจจะรับรัก “เขยฝรั่ง” เป็นคนต่อไป แถมแม่มะลิ (ปริศนา วงศ์ศิริ) ของแววดาวก็ยังเป็นตัวตั้งตัวตีและเห็นดีเห็นงามด้วย เห็นทีบักมาร์คต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติและประกาศให้โลกรู้ว่าหนุ่มอีสานยุคใหม่ก็มีดีบ่แพ้ฝรั่งซะแล้ว

          เตรียมสัมผัสอารมณ์คึกคักของหนังรักโรแมนติกหยิกแกมหยอกกะเทาะความรู้สึกที่รับรองว่าม่วนซื่นโฮแซวคักหลายๆ เลยพี่น้อง นำทีมเซอร์ไพรส์ก้อนโตจากทัพนักแสดงรุ่นใหม่อย่าง รอน-เปรี้ยว AF กับการประกบบทบาทเป็นคู่ฮักเว้าอีสานขึ้นจอพร้อมกันเป็นครั้งแรก ร่วมด้วยเหล่านักแสดงที่แค่เห็นหน้าก็พร้อมฮาหงายหลังอย่าง หนูหิ่น-รุ้งลาวัลย์, โทนะหงษา, เหลือเฟือ มกจ๊ก, ยาว ลูกหยี และการคืนจออีกครั้งในรอบหลายๆ ปีของปิยะ ตระกูลราษฎร์, ปริศนา วงศ์ศิริ, นพดล ดวงพร ฯลฯ
 

 
ใครเป็นใครใน“อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง”
 
          หลากหลายบทบาทคาแรคเตอร์จากเหล่านักแสดงมากมายร่วมสร้างสีสันล้นจอ

          เปรี้ยว AF รับบท แววดาว สาวอีสานรุ่นใหม่ ฉลาด แก่นซน สดใส ร่าเริง กล้าคิดกล้าทำ มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ รักถิ่นฐานและความเป็นอีสานของตัวเอง รักใครรักจริง ถึงไม่ได้ปลื้ม “เขยฝรั่ง” เหมือนสาวๆ คนอื่น แต่ถ้าหนุ่มอีสานยังทำตัวสำมะเลเทเมา และไร้อนาคตก็อาจจะปันใจรับรักเขยฝรั่งไปซะเลย ถึงแม้นว่าลึกๆ จะชอบมาร์ค แต่ด้วยความที่โตมาด้วยกันจึงมักจะเป็นคู่กัดมากกว่าคู่รักแต่ถึงกระนั้นแววดาวก็คอยเป็นกำลังใจมาร์คเสมอ รวมทั้งเป็นติวเตอร์สอนวิชาภาษาอังกฤษให้

          รอน AF (ภัทรภณ โตอุ่น) รับบท มาร์ค หรือ บุญมาก ซื่อ จริงจังและจริงใจคือหนุ่มอีสานรุ่นใหม่หัวหน้ากลุ่มควายด่อนที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มีความฝันจะพัฒนาหมู่บ้าน ถึงขนาดผู้ใหญ่สุขผู้เป็นพ่อยอมขายควายส่งให้มาร์คเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ กระทั่ง6ปีผ่านไปก็ยังเรียนไม่จบ ติดอยู่วิชาเดียวคือภาษาอังกฤษ ทำให้แม่ของแววดาวพยายามกีดกันไม่ให้มาร์คคบกับแววดาว จนต้องลุกขึ้นมาพิสูจน์ให้รู้ว่า “หนุ่มอีสาน” ก็มีดีไม่แพ้ “เขยฝรั่ง” เช่นกัน

          รุ้งลาวัลย์ โทนะหงษา (หนูหิ่น) รับบท แต๋วแหล่ สาวไร่อ้อยตัวดำๆ กระเต็มหน้า เรียกได้ว่าขี้เหร่แท้ๆ “แต๋ว” เป็นตัวแทนของ “อีนางเอ๊ย” ที่สวยจากภายใน จิตใจดี ไม่แต่งหน้าไม่แต่งตัว อยู่ด้วยความพอเพียงเลี้ยงตัวเอง ไม่เม้าท์ ไม่ง้อใคร ถึงแม้จะมีหนุ่มตาน้ำขาวอย่าง “โรเบิร์ต” ฝรั่งต่างแดนแฮนด์ซั่มหล่อมากข้ามน้ำข้ามทะเลมามาขอฝากรักเป็น “เขยฝรั่ง” ก็ตาม

          ซีเจ CER JAMES SPAINHOUR รับบท โรเบิร์ต ตัวแทนของ “เขยฝรั่ง” ที่ร่ำรวยฐานะ การศึกษาพร้อม สุภาพ จิตใจดี ได้รับการแนะนำจากเพื่อนฝรั่ง พี่เขยของแววดาว ถึงความงามภายในของสาวอีสานอย่างแต๋วแหล่ จึงตัดสินใจบินมาเสนอตัวขอเป็นเขยฝรั่ง ถึงขนาดยอมตรากตรำทำสารพัดวิธี ใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนตามแบบคนอีสาน แม้กระทั่งยินดียอมเป็นหนุ่มไร่อ้อยเพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่า “แต๋วจ๋า ไอเลิฟยู ไอเลิฟ ความเป็นอีสานและตัวตนของยูจริงจริงนะ”

          เปิ้ล ชไมพร สิทธิวรนันท์ รับบท บัวผัน สาวอีสาน หัวหน้าชมรมตำกล้วย ขาเม้าท์ตัวจริง บ้าพลัง คือตัวตั้งตัวตี ปลื้มฝรั่งอย่างออกหน้าออกตา ถึงขนาดใส่บาตรด้วย “ฝรั่ง” และ “แฮมเบอร์เกอร์” หวังว่าทำอะไรตัวเองก็จะได้อย่างนั้น เป็นทั้งเจ้าของร้านเสริมสวยประจำหมู่บ้าน และเมียสาว หน้าคม สุดเซ็กซี่ของ ทิดสุบรรณ หนุ่มอีสาน (ซึ่งรับบทโดยตลกเหลือเฟือ มกจ๊ก) ที่ทั้งไม่ TALL & HANDSOM (สูงชะลูดตูดปอดล่ำบึ้กแล้ว) ยังNO MONEY อีกต่างหาก ทำให้เจ้าตัวอยากจะตีตั๋วเครื่องบินหนีตาม “เขยฝรั่ง” ไปวันละหลายๆ รอบ

          เหลือเฟือ มกจ๊ก รับบท ทิดสุบรรณ หนุ่มอีสานเพื่อนรุ่นพี่ของมาร์คที่เติบโตมาด้วยกัน เป็น 1 ในสมาชิกชมรมควายด่อนที่ตกเย็นมักมีกิจวัตรการสังสรรค์ท่ามกลางวงเหล้า เป็นตัวแทนคนอีสานที่ทำไร่ทำนาเป็นอาชีพ กินเหล้าเมายาตามปกติ หนักเอาเบาสู้ เรียนน้อย ไม่ได้ร่ำรวยหรือฟุ้งเฟ้อ มีความเป็นอยู่ตามอัตภาพ เป็นอีกคนที่โดนพิษสงของอาการเห่อ “เขยฝรั่ง” ของสาวๆ ในหมู่บ้านอย่างเต็มเปา ถึงขนาดตกอยู่ในอาการเสียสูญเมื่อรู้ว่า “บัวผัน” เมียรักกำลังจะใจหนีไปซบอก “เขยฝรั่ง”

          ปิยะ ตระกูลราษฎร์ รับบท ผู้ใหญ่สุข พ่อมาร์ค รักและให้อิสระ ทั้งความคิด และอนาคตให้เลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง คอยห่วงใยและไม่ยอมให้ใครมาดูถูก หรือกีดกั้นความรักที่บริสุทธิ์ใจของลูกชายเป็นอันขาด ชีวิตในอดีตเป็นเช่นหนุ่มอีสานทั่วไป สำมะเลเทเมา เจ้าชู้ รักสนุก แต่ปัจจุบันเป็นตัวแทนของคนอีสานที่รักผืนแผ่นดิน เป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่มีความสัตย์ซื่อ รับผิดชอบ และตั้งใจจริงมุ่งมั่นเพื่อที่จะพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกบ้าน และท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรือง

          ปริศนา วงศ์ศิริ รับบท มะลิ แม่ของแววดาว สาวอีสานที่เติบโตและเลี้ยงลูกเพียงลำพัง เป็นทั้งพ่อและแม่ รักลูกอย่างเต็มใจและบริสุทธิ์ใจ หวงและห่วงลูกสาวยิ่งกว่าไข่ในหิน ในอดีตเคยผิดหวังกับความรัก ทำให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำให้ลูกสาวต้องเสียใจ ทำทุกวิธีทางเพื่อให้ลูกสาวทั้งสองมีความสุขและมีความเป็นอยู่ที่ดี หลังจากลูกสาวคนโตได้ดิบได้ดีไปกับเขยฝรั่ง จึงตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้ลูกสาวคนเล็กแต่งกับมาร์คหนุ่มอีสานไร้อนาคต จึงทั้งผลักและดันให้แววดาวได้เขยฝรั่งเป็นรายต่อไป

          นพดล ดวงพร รับบท ตาสีตู๊ด ตัวแทนของคนอีสานที่ผ่านร้อนผ่านหนาว คือผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านที่รอบรู้ในวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้านท้องถิ่นในเรื่องต่างๆ ไม่ว่างานบุญงานแต่งพิธีกรรมใดๆมักมีตาสีตู๊ดเข้าไปมีส่วนร่วมและเป็นที่ปรึกษาเสมอ เปรียบได้กับปราชญ์ชาวบ้านผู้รอบรู้ เป็นอีสานรุ่นเดอะที่ยังคงรักสนุก หลงใหลในการดื่มเป็นชีวิตจิตใจ ชมชอบในกิจกรรสันทนาการบันเทิง ทุกรูปแบบ เข้าถึงสมาชิกหมู่บ้านได้ทุกกลุ่มไม่เกี่ยงเพศไม่เกี่ยงวัย โดยเฉพาะชมรมควายด่อนเฮที่ไหนตาสีตู๊ดก็ขอตามไปด้วย

PR on May 05, 2011, 04:00:11 PM
รายละเอียดงานสร้างกว่าจะมาเป็น อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง (PRODUCTION NOTE)

          ทำความรู้จักกับโครงการ “THAILAND SCRIPT PROJECT”

          โครงการเฟ้นหาบทภาพยนตร์ที่ดีที่สุดจากทั่วประเทศ

          โดย “นนทรีย์ นิมิบุตร” และ “เป็นเอก รัตนเรือง”

          บทภาพยนตร์ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญและเป็นจุดเริ่ิมต้นในการถือกำเนิดของโปรเจ็คต์ภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ว่ากันว่าหนังจะดีไม่ดีอยู่ที่บทภาพยนตร์ ถึงขนาดมีคนเคยกล่าวไว้ว่า การได้มาซึ่งบทภาพยนตร์ที่ดีไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียว ทำให้ผู้สร้าง ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักแสดงระดับหัวกะทิหลายคนยอมทุ่มเทเวลาและงบประมาณ ตลอดจนหยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อเฟ้นหาบทภาพยนต์ที่มีค่าคู่ควร และในกลางปี 2550 โครงการประกวดเขียนบทภาพยนตร์ Thailand script project 2007 เพื่อเฟ้นหาบทภาพยนตร์ที่ดีที่สุดจากทั่วประเทศได้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีนนทรีย์ นิมิบุตร และเป็นเอก รัตนเรือง 2 ผู้กำกับภาพยนตร์ระดับแนวหน้าของเมืองไทย เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานบริหารองค์ความรู้ สำนักนายกรัฐมนตรี (OKMD) สำนักงานศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) และ Nokia

          ด้วยกติกาคือการถ่ายทอดทรีทเมนต์เรื่องย่อความยาว5หน้ากระดาษA4ในเรื่องราวที่ผู้เข้าร่วมประกวดต้องการถ่ายทอด และนำเสนอเข้ามา เพื่อให้คณะกรรมการทำการคัดเลือกให้เหลือเพียง30เรื่องสุดท้าย โดยเจ้าของผลงานจะได้เข้าร่วมอบรมกับบรรดาวิทยากรที่มีทั้งผู้กำกับ คนเขียนบท และโปรดิวเซอร์ที่มีส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ซึ่งได้แก่ เป็นเอก รัตนเรือง, นนทรีย์ นิมิบุตร, วิสูตร พูลวรลักษณ์, จิระ มะลิกุล, ปรัชญา ปิ่นแก้ว, ยุทธเลิศ สิปปภาค, คงเดช จาตุรันต์รัศมี และ อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ก่อนที่ผู้เข้ารอบทั้ง 30 คนจะนำกลับไปพัฒนาเรื่องของตัวเองให้ออกมาเป็นบทภาพยนตร์โดยสมบูรณ์แบบในเวลา 3 เดือน เมื่อครบกำหนด บทภาพยนตร์ทั้ง 30 เรื่องจะถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อหาผู้ชนะที่จะได้รับรางวัลรวมทั้งหมด 15 เรื่อง ซึ่งกรรมการในรอบสุดท้ายประกอบไปด้วยบุคลากรระดับ “เขี้ยว” ในแวดวง อาทิ ชาติ กอบจิตติ, กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน, วินทร์ เลียววาริณ, ม.ร.ว.ปัทมนัดดา ยุคล, พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์, ก้อง ฤทธิ์ดี, เกรียงศักดิ์ ศิลากอง และ อภิชาติพงศ์ วีระเศรฐกุล โดยการถกเถียงดำเนินงานเป็นไปอย่างเข้มข้น ซึ่งงานนี้ไม่มีการโหวต แต่เป็นการใช้เหตุและผลพูดคุยถกเถียงกันจนกว่าจะได้ข้อสรุปเพื่อหา บทภาพยนตร์ชนะเลิศ (BEST SCRIPT) ที่ดีที่สุดเพียงเรื่องเดียว

          โดยมีไฮไลท์สำคัญที่กล่าวได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญปิดท้ายโครงการ Thailand script project 2007 นั่นคือ Presentation Day โดยทางโครงการได้ทำการก็อปปี้บทภาพยนตร์ทั้ง 15 เรื่อง ส่งไปยังค่ายหนังและโปรดิวเซอร์ทั่วฟ้าเมืองไทย แล้วเชิญทั้งหมดมาฟังการพรีเซนต์ในเรื่องที่แต่ละค่ายหนังและแต่ละโปรดิวเซอร์สนใจด้วยการพรีเซนต์จากเจ้าของเรื่องเอง และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการถือกำเนิดของภาพยนตร์ที่สร้างจากบทภาพยนตร์ที่ผ่านการกลั่นกรองและคัดเลือกจากโครงการไทยแลนด์สคริปต์โปรเจ็คต์ในภายภาคหน้าต่อไป

          ทำไม “WHITE BUFFALO” ถึงคว้ารางวัล บทภาพยนตร์ชนะเลิศ (BEST SCRIPT)
 
          จากทรีทเมนต์ภาพยนตร์ทั้งหมด 900 เรื่องที่เข้าร่วมประกวดอย่างเป็นเอกฉันท์

          จากทรีทเมนต์เรื่องย่อภาพยนตร์ความยาว5หน้ากระดาษ A4 จำนวนทั้งหมด 900 เรื่องที่ถูกส่งเข้าร่วมประกวดจากผู้คนหลากหลายอาชีพ หลากหลายเพศและวัย ตั้งแต่นักศึกษา ผู้คนในวงการน้ำหมึก, โฆษณาและแม้แต่เหล่าบุคลากรในวงการภาพยนตร์ โดย1ในนั้นนั่นคือ “WHITE BUFFALO” ซึ่งเขียนโดย “สุมิตร เที่ยงตรงจิตร” ก็ได้ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการ กลายเป็น 1 ใน 40 เรื่องที่ผ่านเข้าสู่รอบสอง เพื่อที่จะถูกนำไปพัฒนาเป็นบทภาพยนตร์โดยสมบูรณ์ และถูกนำกลับมาให้คณะกรรมการทำการพิจารณาคัดเลือกให้เหลือเพียง15เรื่องสุดท้ายในอีก 3 เดือนต่อมา และในขั้นตอนนี้นี่เองที่บทภาพยนตร์เรื่อง “WHITE BUFFALO” (หรือชื่อ อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง เมื่อถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์) ได้ผ่านตาเหล่าบรรดาโปรดิวเซอร์และค่ายหนังต่างๆ ที่มีความสนใจในบทภาพยนตร์ในแต่ละเรื่องที่มีโอกาสจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในเวลาต่อมาเช่นเดียวกับ บทภาพยนตร์เรื่องกะปิ ที่ถูกโปรดิวเซอร์ผู้กำกับชื่อดังอย่างปรัชญา ปิ่นแก้ว นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องกะปิลิงจ๋อไม่หลอกเจ้า หลังจากผ่านการเลือกเฟ้นโดยคณะกรรมการในที่สุดบทภาพยนตร์เรื่อง “WHITE BUFFALO” ก็เดินทางมาสู่จุดหมายปลายทางของความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัลชนะเลิศ BEST SCRIPT อย่างเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีข้อกังขาใด ซึ่ง นนทรีย์ นิมิบุตร 1 ในคณะกรรมการและผู้ร่วมก่อตั้งซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันโครงการเฟ้นหาบทภาพยนตร์ที่ดีที่สุดจากทั่วประเทศ “THAILAND SCRIPT PROJECT” ได้กล่าวถึงเสน่ห์และความโดดเด่นของบทภาพยนตร์เรื่อง “WHITE BUFFALO” (อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง) ที่แตกต่างจากทรีทเมนต์ภาพยนตร์ทั้ง 900 เรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้สามารถเอาชนะใจคณะกรรมการจนสามารถคว้ารางวัลสูงสุดมาครองได้เป็นผลสำเร็จ

          “จุดเด่นของบทภาพยนตร์เรื่องนี้คือผู้เขียนบทสามารถหยิบเอาวัฒนธรรมพื้นบ้าน มุมมองท้องถิ่นแบบของเขาเองมานำเสนอได้อย่างแข็งแรง คือถ้าผมอยู่ภาคอีสานแบบนั้นแล้วผมต้องพยายามเขียนถึงกรุงเทพเนี่ยะ ก็จะไม่เข้าใจกรุงเทพจริงๆ ว่าเป็นยังไง แต่ถ้าเกิดเขาพูดถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เกิดในท้องถิ่นของเขา เขาจะรู้เห็นทุกซอกทุกมุม เพราะฉะนั้นจุดที่เด่นมากๆ คือเขาสามารถนำเรื่องรอบตัว วัฒนธรรมท้องถิ่นมานำเสนอ แล้วบังเอิญเรื่องที่นำเสนอเป็นเรื่องของอารมณ์ขันและการเสียดสี เขาฉลาดมากที่ให้พระเอกเรียนรามคำแหง แต่เรียนไม่จบเพราะติดวิชาภาษาอังกฤษ และพอเขากลับบ้านเขาก็จะโดนต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกันมาแย่งชิงเอาของรักของหวงซึ่งคือผู้หญิงในหมู่บ้านไปทีละคนสองคน เพราะ ฉะนั้นอุปสรรคของเขามันก็คือการใช้ภาษาอังกฤษ จนในที่สุดพระเอกก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างในตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ได้จมอยู่กับปัญหา ไม่ได้จมอยู่กับความทุกข์ คือเขาทำให้เห็นว่าการเข้าใจปัญหา และมองการแก้ไขปัญหาว่าปัญหานั้นเกิดจากอะไร และหยิบนำเอามาตอบโจทย์ มันก็เลยทำให้เป็นการนำเสนอที่ชัดเจน เขาก็เห็นภาพว่ามันเป็นยังไง ถ้ามีฝรั่งมาเอาผู้หญิงในหมู่บ้านเขาจะมายังไง บางคนก็มาจริง บางคนก็มาหลอก เพราะฉะนั้นเลยทำให้ความแข็งแรงของเรื่องมีอยู่มาก และที่สำคัญที่สุดคือความน่ารักของการเล่าเรื่องของเขา เขาจะสอดแทรกความน่ารักเข้าไป นอกเหนือจากเรื่องราวที่แข็งแรงแล้วยังมีรายละเอียดที่น่ารัก ตอนได้อ่านบทแล้วรู้สึก โอ้โห! เจ๋งจริงๆ คือนอกจากมีความใหม่ แล้วยังสามารถจะนำเอาวัฒนธรรมท้องถิ่น มาผสมผสานกับวัฒนธรรมต่างๆ ให้เข้ากับเรื่อง ให้มันกลมกลืน ออกมาได้โดดเด่นมาก จุดนั้นทำให้คณะกรรมการเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ เรื่องนี้ไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครยกมือแย้งเลย บางเรื่องอาจจะมี แต่เรื่องนี้ไม่มี มันดูเหมือนเป็นเรื่อง แต่ในความคิดความอ่านของคนเขียนมันใหม่ มันมีความสด สำคัญที่สุดคือหนังเรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่องที่แตกต่างจากสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ และที่สำคัญเลยคือความเป็น แบล็คคอมเมดี้ ก็เป็นหนังตลกที่มีความเสียดสีอยู่ คือไม่ได้ตลกด้วยไดอาล็อค มานั่งตลกกันหรือตลกกันด้วยท่าทาง คือมันเป็นความตลกที่อยู่ในเรื่องราว คือความแตกต่างทางวัมนธรรม ความแตกต่างทางภาษา แตกต่างทางความคิด อันนี้เป็นสิ่งที่หนังเรื่องนี้โดดเด่นมาก”

PR on May 05, 2011, 04:01:25 PM
สู่ภาพยนตร์โรแมนติคคอมิดี้ตีแผ่รสนิยม “LOVE FARANG” ของเหล่า “อีนางเอ๊ย”
 
          ที่พร้อมอ้าแขนรับ “เขยฝรั่ง” อย่างเต็มใจ โดย “เก่ง ชิโนเรศ คำวันดี”

          ผู้กำกับที่บ่มเพาะประสบการณ์ในฐานะคนทำหนังนาน 13 ปี

          โดยไม่มีใครคาดคิด จากความสำเร็จของ WHITE BUFFALO บทภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดจากปลายปากกาของ “สุมิตร เที่ยงตรงจิตร” กำลังจะถูกเปลี่ยนถ่ายชีวิตไปสู่อีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่าง จากตัวหนังสือบนกระดาษกำลังจะมีชีวิตโลดแล่นและเคลื่อนไหวในรูปแบบภาพยนตร์ที่มีภาพ เสียง และตัวละคร ถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มในอีก 3 ปีต่อมา โดยบริษัทสตูดิโอผู้สร้างภาพยนตร์อันดับ1ของเมืองไทยอย่างสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมกับอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ผ่านเข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายในโครงการไทยแลนด์สคริปต์โปรเจ็คต์ปีเดียวกันอย่างกะปิ ลิงจ๋อไม่หลอกจ้าว ถึงแม้ว่า WHITE BUFFALO (อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง) จะถูกสร้างเป็นเรื่องที่สองก็ตาม ภายใต้การกำกับภาพยนตร์โดย เก่ง ชิโนเรศ คำวันดี ผู้กำกับหนุ่มวัย38ปี ที่ผ่านการบ่มเพาะประสบการณ์ในฐานะคนทำหนังมากว่า 13 ปี มีส่วนร่วมสำคัญในภาพยนตร์ระดับคุณภาพที่สร้างชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย และต่าง ประเทศมากมาย อาทิ องค์บาก1-2, นางนาก, ฟ้าทะลายโจร, จันดารา, เดอะเลตเตอร์จดหมายรัก, แจ๋ว ฯลฯ ผ่านการทำงานในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง นนทรีย์ นิมิบุตร, ปรัชญา ปิ่นแก้ว, ยงยุทธ ทองกองทุน, ผอูน จันทรศิริ ฯลฯ

          “พอดีจังหวะที่ได้มาอ่านเรื่อง “WHITE BUFFALO” ซึ่งเป็นบทที่ชนะเลิศ (BEST SCRIPT) ในโครงการ “ไทยแลนด์สคริปต์โปรเจ็คต์” ที่เขียนโดย “พี่สุมิตร เที่ยงตรงจิตต์” ซึ่งเป็นเพื่อนในโครงการเปิดประตูสู่โลกภาพยนตร์ ของบริษัท ฟูจิและไทเอนเตอร์เทนเมนท์ได้จัดอบรมเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้การผลิตภาพยนตร์ทุกขั้นตอนและผลิตภาพยนตร์สั้นขึ้นมา1เรื่องเมื่อสมัยเกือบ 20 ปีที่แล้วที่ผมเป็นผู้กำกับ พอได้อ่านครั้งแรกก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีเลย ตัวผมเองอยู่และโตมากับภาคอีสาน ตั้งแต่ขี่เกวียน ขี่วัว ขี่ควายไปเรียนหนังสือเลย พออ่านแล้วนึกถึงบรรยากาศ ทำให้มีจินตนาการภาพอยู่ในหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสของเขยฝรั่งที่เข้ามาในเมืองไทย ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นชอบเมืองไทย รักเมืองไทย อาหารไทย จุดใหญ่เลยคือผมว่าตัวบทมันมีเสน่ห์มาก คือถ้าเราพูดถึงคนไทยส่วนใหญ่ชีวิตทั่วไปเราจะอยู่กรุงเทพกันซะมากกว่า เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดเมื่อเดินทางไปพักผ่อน เราจะรู้ว่าต่างจังหวัดมีเสน่ห์มาก จะรู้สึกว่าเหมือนอยู่อีกที่หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสาน ยิ่งถ้าใครได้ไปลงลึกๆ ถึงภาคอีสานจริงๆ จะรู้สึกว่ามีเสน่ห์มากๆ คนน่ารัก สถานที่สวยงาม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ ภาษา พวกนี้สำคัญที่สุด ซึ่งในตัวบทสะท้อนถึงเสน่ห์เหล่านี้ที่มีอยู่ในตัวของมันเองได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งแตกต่างจากหนังเรื่องอื่น บอกได้เลยว่าเราแทบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย เพราะว่าบทมันมาดีอยู่แล้ว ภาพของคนอีสานจริงๆ ที่อยู่ที่กำลังเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ที่อยู่มาวันหนึ่งมีวัฒนธรรมฝรั่งเข้ามาในหมู่บ้าน เป็นอีสานที่เป็นอีสานจริงๆ ไม่ใช่อีสานย้อนยุค ไม่ใช่อีสานที่ไปข้างหน้า อีสานอย่างที่ตาเราเห็น เห็นผู้หญิงอีสานขับฟีโน่ แต่ก็ยังเห็นควายไถนาอยู่ มีรถไถนาอยู่ ยังกินข้าวเหนียวกันอยู่ บางคนทำผมแดงย้อยลงมาเป็นเด็กแว้นท์เด็กสก๊อยท์เลย แต่ก็ยังพูดอีสาน แล้วพอมีฝรั่งเข้ามาจะเป็นอย่างไร แสดงว่าฝรั่งพวกนี้ต้องเห็นเสน่ห์อะไรในอีสาน เราไปสัมภาษณ์ ไปรีเสิร์ชฝรั่งในเมืองไทยอย่างพี่จิมส์ที่เขาแฮปปี้กับเมืองไทยมากๆ หรืออย่างบางคนเราจะพบว่าโอโห้ เขารักแล้วก็เทิดทูนในหลวงเรามาก เขามีมุมที่ดีของประเทศไทยเรามาก ผมว่าอะไรพวกนี้มันมีเสน่ห์นะ มันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมด้วยส่วนหนึ่ง ก็อยากจะลองจับตรงนี้มาทำ เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาไปสู่การทำภาพยนตร์”

          ด้วยเสน่ห์ของเรื่องราวอันเป็นเอกลักษณ์และความโดดเด่นของตัวละครที่ถูกผสมผสานนำเสนอกันได้อย่างกลมกลืนลงตัวผ่านมุมมองในวัฒนธรรมความเป็นอีสาน ถ่ายทอดผ่านเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวอีสานรุ่นใหม่ กับมุมมองความคิดความขัดแย้งของวัฒนธรรมต่างถิ่นที่ส่งผลกระทบต่อตัวละครที่สะท้อนถึงสภาพสังคมในปัจจุบัน และการสอดแทรกแนวคิดความพอเพียงของในหลวงท่านผ่านรูปแบบแนวทางของภาพยนตร์โรแมนติคคอมมิดี้เสียดสีสังคมที่ไม่ได้อาร์ทจ๋าหรือต้องผ่านการตีความหลายซับหลายซ้อนจนถึงขั้นต้องก่ายหน้าผากหรือปีนบันไดดู แต่ก็สามารถทำให้ผู้ชมไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนวัยใดสามารถสัมผัสถึงอรรถรสของภาพยนตร์และเนื้อหาสาระที่ตัว สุมิตร เที่ยงตรงจิตร” ผู้เขียนบทและ เก่ง ชิโนเรศ คำวันดี ผู้กำกับต้องการนำเสนอออกมาได้อย่างสนุกสนาน และเบิกบานไปด้วยรอยยิ้มและแง่คิดที่สอดแทรกมาตามความตั้งใจ

          “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่งเป็นเรื่องเกี่ยวไอ้หนุ่มคนหนึ่งชื่อ มาร์ค เป็นพระเอกของเรื่อง (รับบทโดยรอน AF) มีความใฝ่ฝันว่าจะเรียนหนังสือให้จบปริญญาตรี แล้วกลับมาพัฒนาหมู่บ้าน ก็ได้มีโอกาสเข้ามาในกรุงเทพ ก็เข้ามาเรียนราม โดยมีพ่อที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน (รับบทโดยปิยะ ตระกูลราษฎร์) ส่งวัว ขายควายให้มาเรียน แต่เรียนไปสัก 6 ปีก็ยังไม่จบ ติดอยู่วิชาเดียวคือภาษาอังกฤษ จนวันหนึ่งรู้สึกท้อใจขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไม่ตั้งใจเรียนนะ เขาเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมากๆ แต่มีจุดอ่อนเรื่องภาษา ทำให้เรียนไม่จบสักที กระทั่งวันหนึ่งได้รับจดหมายจากเพื่อนเขาที่บ้านเกิดซึ่งเคยเรียนอยู่และโตมาด้วยกันว่ากำลังจะแต่งงาน มาร์คก็เลยเดินทางกลับไปร่วมงาน พอมาถึงก็ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านหลังจากที่จากไปหลายปี ทั้งในด้านของสิ่งก่อสร้าง ถนนหนทาง มีบ้านใหญ่ๆ ร่ำรวย หรูหราผุดขึ้นมา มีรถกระบะ มีรถเก๋ง วิ่งกันเต็มเมือง แต่สิ่งที่สะดุดที่สุดคือ มีฝรั่งเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเต็มเลย แล้วพวกผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นคุณป้าเล็ก ป้าแดง ป้าแอ๋ว ที่เคยอยู่รอบๆ ตัว หรือว่าน้องโน้น น้องนี่ที่เคยเห็นกันตั้งแต่เล็กๆ หันไปมีแฟนเป็นฝรั่งกันหมดเลย สาวๆ คลั่งไคล้นิยมการมีแฟนเป็นฝรั่ง ส่วนหนุ่มๆ ในหมู่บ้านก็ตกกระป๋องไป ตรงนี้คือสิ่งที่มาร์คเห็น และที่สำคัญ แม้แต่แววดาว (รับบทโดยเปรี้ยว AF) ผู้หญิงที่มาร์คเคยชอบเคยปิ๊งตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม กำลังจะถูกฝรั่งมาขอเพื่อจะเอาไปแต่งงานด้วย หรือขนาดพี่ทิดสุบรรณ (รับบทโดยเหลือเฟือ) เพื่อนรุ่นพี่ในกลุ่มของเขาที่เคยเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมีย (รับบทโดยเปิลชไมพร) ของเขาก็กำลังจะถูกฝรั่งเอาไปอยู่ต่างประเทศ ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้การละ ก็เลยคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไร เพื่อจะดึง เพื่อจะกอบกู้วิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นในหมู่บ้านให้กลับมาสู่สภาวะปกติเหมือนเดิม ด้วยการลุกขึ้นมาพิสูจน์ว่าหนุ่มอีสานก็มีดี ไม่ใช่ว่าวันๆ ได้แต่กินเหล้า เล่นการพนันหรือเจ้าชู้เหมือนอย่างที่สาวๆ เข้าใจ”

          บทยอดเยี่ยมระดับรางวัล ผู้กำกับภาพระดับ Best of Asia

          และ โปรดักชั่นดีไซเนอร์มือ1ของเมืองไทย ผนึกกำลังร่วมถ่ายทอดภาพชีวิต

          ผู้คน เสน่ห์ ความงาม รอยยิ้ม และความโรแมนติค ของ “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง”

          ทุกการเดินทางล้วนมีเป้าหมาย แต่ใช่ว่าทุกเป้าหมายแห่งการเดินทางจะไร้ซึ่งอุปสรรค อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละขวากหนาม รวมไปถึงเงื่อนไขของเวลาและประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางอันนำไปสู่ปลายทางแห่งฝันของการเกิดภาพยนตร์เรื่องแรกของผู้กำกับแต่ละคน ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้วัดตัวเนื้องานที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา แต่สำหรับเวลา 13 ปีบนเส้นทางชีวิตในฐานะคนทำหนังของเก่ง ชิโนเรศ คำวันดี ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นฐานกำลังสำคัญที่ทำให้งานสร้างจองภาพยนตร์เรื่อง “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ออกมาได้อย่างลงตัว เริ่มตั้งแต่บทภาพยนตร์ซึ่งเปรียบได้กับวัตถุดิบชิ้นเลิศ เมื่อผนวกกับการรวมตัวกันของเหล่าคนทำหนังระดับหัวกะทิในแขนงต่างๆ ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยอย่างณัฐวุฒิ กิติติคุณ ผู้กำกับภาพที่ผ่านประสบการณ์ในการถ่ายทอดความงดงามทางด้านภาพและสื่อความหมายของเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ในภาพยนตร์ไทยที่สร้างชื่อเสียงระดับโลกมานับไม่ถ้วนอย่าง นางนาก, จันดารา, โหมโรง, ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, องค์บาก1-2-3, ต้มยำกุ้ง รับหน้าที่กำกับและถ่ายทอดภาพบรรยากาศของทุ่งนาชีวิตผู้คนที่เรียบง่ายสวยงามภายใต้ความรักอันใสซื่อของหนุ่มสาวอีสานท่ามกลางความขัดแย้ง และกระแสการไล่บ่าของวัฒนธรรมต่างถิ่นอย่างเขยฝรั่ง รวมไปถึงการได้ เอก เอี่ยมชื่น ผู้ออกแบบและดูแลงานสร้างมือ1ที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์อย่าง 2499 อันธพาลครองเมือง, นางนาก, จันดารา, ปืนใหญ่จอมสลัด ฯลฯ มาเป็นที่ปรึกษาดูแลงานสร้าง รวมไปถึงการออกตะลุยในแต่ละจังหวัดของภาคอีสานเพื่อร่วมเสาะหาโลเกชั่นหลักที่จะใช้ในการทำภาพยนตร์ซึ่งแน่นอนว่าองค์ประกอบเหล่านี้ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นกับหนังเรื่องแรกในชีวิตของผู้กำกับทุกคนหรือเกิดขึ้นกับหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ

          “นอกจากบทหนังระดับรางวัลชนะเลิศของไทยแลนด์สคริปต์โปรเจ็คต์แล้ว ในส่วนของการเตรียมงานสร้างให้ตัวหนังสือกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว ให้ทุกตัวละครมีชีวิต ต้องบอกว่าผมค่อนข้างโชคดีมากๆ ที่มีพี่ๆ คนทำหนังระดับหัวกะทิ ที่น่ารักมากๆ มาช่วย ไม่ว่าจะเป็นน้ากล้วย ณัฐวุฒิ กิตติคุณ ผู้กำกับภาพระดับเบสท์ออฟเอเซีย จากเรื่อง นางนาก, ฟ้าทะลายโจร, นเรศวร ให้เกียรติมาถ่ายเรื่องนี้ออกมาตรงตามความตั้งใจของผมที่ต้องการถ่ายทอดมุมภาพความเป็นอีสานออกมาให้สมจริงและเรียลลิสติกที่สุด รวมทั้งพี่เอก เอี่ยมชื่น ที่มาช่วยเป็นที่ปรึกษาทั้งในส่วนของการออกแบบงานสร้างของภาพยนตร์ตลอดจนออกตระเวนหาโลเกชั่นต่างๆ ที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ร่วมกันโดยตัวผมเองออกตระเวนไปทั้งขอนแก่น, อุดร ขณะที่พี่เอกไปร้อยเอ็ด ยโสธร อุบล เพื่อให้ภาพของเถียงนา ที่รายล้อมด้วยทุ่งข้าวสีทองแล้วมีต้นยาง, ไร่อ้อย, วัดวาอาราม, บ่อน้ำที่หนุ่มสาวอีสานหยอกเย้ากัน รวมไปถึงถนนหนทางในหมู่บ้านที่แต่ละตัวละครมาเกี่ยวข้องกันให้ปรากฎขึ้นซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ “เขยฝรั่ง” พากันหลงใหล และผูกผันในความงามของผู้คนและท้องถิ่นอีสาน ทำให้ผมได้ภาพนาอีสานในฝันที่ผมเคยได้เห็นในสมัยเด็กๆ ภาพเถียงนาที่มันอยู่กลางนารายล้อมด้วยทุ่งข้าวสีทองแล้วมีต้นยางซึ่งนี่คือคาแร็กเตอร์ของนาในภาคอีสานที่ต่างจากนาของภาคกลาง เถียงนาที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ที่พระเอกสามารถปลีกตัวมาอยู่ที่นี่ได้ เห็นบ้านนางเอกอยู่ใกล้ๆ ในสายตา หรือ Direction ของบ่อน้ำประปาหมู่บ้าน ที่เป็นบ่อน้ำจริงๆ ความเจริญของแทงค์น้ำประปาหมู่บ้านที่มาอยู่ด้วย รวมทั้งวัด ในอีสานจะมีของโบราณที่เรียกว่าสิม เป็นคล้ายๆ โบสถ์เก่าซึ่งมีอายุเป็นร้อยๆ ปี เป็นโบสถ์เล็กๆ มีภาพเขียนอยู่ และในหนังเรื่องอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง เราก็ได้ถ่ายทำในวัดซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับอำเภอธวัชจ.ร้อยเอ็ด ซึ่งขึ้นป้ายไว้เลยครับว่าเป็น Unseen ของจังหวัดด้วย แล้วก็มีสิงห์โบราณที่ได้รับการอนุรักษ์จากกรมศิลปากร ที่เราขออนุญาตทางวัดมาเพื่อถ่ายในช่วงเส้นเรื่องของพ่อแม่พระเอกที่สมัยยังเป็นวัยรุ่นด้วย"

PR on May 05, 2011, 04:03:08 PM
MOVIE GUIDE: “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง”

ตัวอย่าง “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” 12 พฤษภาคม 54 นี้
 
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=KlyA7A88KXk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=KlyA7A88KXk</a>
 
http://www.4shared.com/video/y7kkQvns/Enang_TR.html


PR on May 05, 2011, 04:06:13 PM
ขึ้นแท่นพระเอก “พระเอกครบรส” ทะลึ่ง ซึ้ง เข้ม ฮา ก้าวแรกบนแผ่นฟิล์มของ “รอน AF5” กับ “อีนางเอ๊ย ...เขยฝรั่ง” โรแมนติคคอมิดี้กุ๊กกิ๊ก SPEAK อีสาน
     


Q. เป็นศิลปิน AF ที่ฮอตน่าดูเลย ไหนเล่าให้ฟังหน่อยว่าหลังจากชีวิตในบ้านนักล่าฝันแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับรอนบ้าง
          R .สวัสดีครับ ผม รอน AF 5 ภัทรภณ โตอุ่น ครับ ก็สำหรับหลังจากที่รอนได้มีโอกาสเข้าบ้าน AF แล้วก็ออกมาจากบ้านได้มีโอกาสทำงานวงการบันเทิงเยอะมาก ก็มีโอกาสได้ทำอัลบั้มร่วมกับเพื่อนๆ มีโอกาสได้ร้องเพลง มีเพลงเป็นของตัวเอง มีโอกาสได้ทำในสายงานการนักร้องเยอะแยะ และตอนนี้เองรอนก็มีโอกาสได้มาทำงานทางด้านการแสดงมากขึ้น เริ่มจากตอนนี้เลย ก็กำลังจะมีหนังเรื่อง อีนางเอ๊ย....เขยฝรั่ง ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของรอนด้วยกำลังจะเข้าฉายแล้ว แล้วตอนนี้ก็ได้ถ่ายละครอยู่ด้วย ซึ่งก็ค่อยๆ จะทยอยออกมา สำหรับใครที่ติดตามอยู่ก็จะมีเรื่อง น้องใหม่...ร้ายบริสุทธิ์ เป็นหนุ่มสุพรรณพูดเหน่อ เป็นอีกบทบาทที่ยากเหมือนกัน เพราะส่วนตัวแล้วพูดภาษาสุพรรณไม่ได้ อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอันที่ท้าทายความสามารถมากๆ ส่วนในช่วงพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่หนังอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่งกำลังจะเข้า รอนก็จะมีละครเหมือนกัน เรื่อง เรือนหอรอเฮี้ยน รับบทเป็นหนุ่มที่เพิ่งกลับจากเมืองนอก คาแรกเตอร์ก็ฉีกกันหมดเลย แล้วก็กำลังจะเปิดละครเรื่องใหม่เรื่องต้มยำลำซิ่ง เป็นละครเพลง และอีกเรื่องรักสุดปลายฟ้า ก็มีโอกาสได้หันมาทางด้านการแสดงมากขึ้น ก็ขอบคุณผู้ใหญ่ด้วยที่ให้โอกาส ก็อยากให้ลองติดตามดูครับ

          Q. เท่ากับว่าใน 1 สัปดาห์นี่ทำงานทุกวัน
          R. ครับตอนนี้ 7 วันก็ทำงานทุกวัน ด้วยความที่ถ่ายละครถ่ายพร้อมกันหลายเรื่องแล้วก่อนหน้าก็ถ่ายหนัง อีนางเอ๊ย..เขยฝรั่ง แต่ตอนนี้ก็หนังเตรียมจะเข้า ก็ต้องแบ่งเวลาไปโปรโมทหนังควบคู่กันไปด้วย

          Q. พูดถึงหนังเรื่องแรกในชีวิตที่รับบทเป็นพระเอกด้วย “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” คาแรคเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง
          R. ในภาพยนตร์เรื่อง อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง รับบทเป็น มาร์ค ครับ สำหรับคาแรกเตอร์ที่ได้รับในหนังเรื่องนี้ บทบาทของผมในเรื่องมีชื่อว่า “บุญมาก” หรือว่า “มาร์ค” เป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง จริงใจแล้วก็จริงจัง หล่อเข้มๆ เป็นลูกของผู้ใหญ่สุข เป็นผู้ใหญ่บ้านที่ดูแลหมู่บ้าน จะเป็นคนที่รักใครรักจริง มีความทะเล้นซื่อๆ แต่ก็เป็นคนที่จริงจังอยากจะพิสูจน์ตัวเอง ให้รู้ว่าหนุ่มอีสานก็มีอะไรดีเหมือนกัน ความใฝ่ฝันของเขา คืออยากเป็นทนายความ ก็เลยดั้นด้นเข้าไปเรียนต่อในกรุงเทพ ถึงขนาดพ่อของเราก็ต้องขายควายเพื่อส่งลูกชาย เพื่อที่จะสานฝันให้เป็นจริง แต่พอไปเรียน 6 ปีก็แล้วก็ยังไม่จบสักที เพราะติดอยู่แค่วิชาเดียวที่สอบไม่ผ่านคือวิชาภาษาอังกฤษ ก็เลยท้อๆ กลับมาบ้านพบว่า ในหมู่บ้านมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มีฝรั่งเข้ามาใช้ชีวิตกับผู้คนในหมู่บ้านมากขึ้น ค่านิยมที่จะมีสามีเป็นฝรั่งมากขึ้น ผู้หญิงในหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นสาวรุ่นไหนทุกคนก็อยากมีสามีเป็นฝรั่งกันหมด เด็กๆ เวลาเล่นละครกันก็ถ้าทำตัวแบบนี้ ฉันจะไปเอาผัวฝรั่ง แม้แต่เด็กๆ ตัวเล็กๆ ก็มีค่านิยมแบบนี้เกิดขึ้น แม้กระทั่งแฟนของเพื่อนเรายังทิ้งเพื่อนเราไปหาสามีฝรั่ง รวมถึงพี่สาวของแฟนเราก็ไปแต่งงานกับฝรั่ง แล้ว แววดาวแฟนของเรา จะทิ้งเราไปแต่งงานกับฝรั่งหรือเปล่า เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นกับตัวคาแรกเตอร์ของเรา บุญมากเลยคิดว่าไม่ได้ละ เราต้องรีบกลับมาพัฒนาตัวเอง พัฒนาเพื่อนๆเรา หนุ่มชาวอีสานให้เทียบเท่ากับพวกฝรั่งให้ผู้หญิงเห็นว่าหนุ่มอีสานก็มีดี ซึ่งในความรู้สึกลึกๆ แล้วมาร์คเองก็จะมีความเป็นผู้นำ มีความตั้งใจที่จะพัฒนาหมู่บ้าน ก็เลยลุกขึ้นมาปฏิวัติหนุ่มอีสานให้สาวๆ ได้รู้ว่า เออ เราก็ไม่ได้สำมะเลเทเมาเจ้าชู้อย่างที่ใครเข้าใจนะ แบบว่าหนุ่มอีสานก็มีอะไรดีสู้ฝรั่งได้

          Q. เรื่องราวออกแนวคอมิดี้โรแมนติค
          R. ครับก็นอกจากเรื่อง เขยฝรั่ง ที่เข้ามามีอิทธิพลกับคนอีสาน กับในหมู่บ้านแล้ว ตัวหนังก็จะพูดถึงเรื่องราวความรักของบุญมากกับ แววดาว (รับบทโดยเปรี้ยว AF 2) คนนี้จะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วโตมาด้วยกัน มันก็พัฒนาความสัมพันธ์อยู่ด้วยกันจากเป็นเพื่อนกันแซวกันมาแล้วก็รักกัน อย่างด้วยตัวของแววดาวที่เขาเป็นสาวอีสาน เขาก็จะมีความแก่นอยู่ในตัวอยู่แล้ว กล้าได้กล้าเสีย ก็จะมีขี่ควายบู๊ๆตามประสาสาวอีสาน ก็รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันมาก็เริ่มรู้สึกชอบ พอบุญมากได้เข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯมา 6 ปี กลับมาเจอแววดาวที่โตขึ้นเขาสวยขึ้นน่ารักขึ้น เลยรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แหละที่เราชอบ ก็จะมีแซวเหมือนคู่รักคู่กัดกัน ถ่ายทอดออกมาก็ดูน่ารักดี มันถ่ายทอดอารมณ์ของชาวอีสาน ด้วยความที่จริงใจ เวลาจีบก็จีบกันตรงๆ มันก็เลยรู้สึกว่าน่ารักไปอีกแบบ ซึ่งในความจริงแล้วตัวบุญมากเป็นคนที่รักจริงหวังแต่งมาก รักแววดาวแต่ติดอยู่ที่ตรงแม่มะลิ เป็นแม่ของแววดาว ซึ่งเขาเห็นว่าเราไม่เอาไหน วันๆ อยู่แต่สมาคมควายด่อน ก็จะมีเพื่อนๆคือ พี่เหลือเฟือ ดื่มเหล้ากันบ้าง เขาเลยเห็นว่ามันไม่ได้เรื่อง เขาก็เลยไม่อยากให้ลูกสาวเขามายุ่งกับเรา เขาอยากให้ลูกสาวเขาได้กับคนที่ดีๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอันที่อยากให้แม่เขาเห็น เพราะฉะนั้นเราต้องพิสูจน์ว่า สมาคมควายด่อนเพื่อนเราและเราก็มีดีนะ ไม่ใช่สักแต่ว่ากินเหล้าอย่างเดียว

          Q. ตอนที่เห็นบททีแรก รู้สึกอย่างไรบ้าง คิดว่า เสน่ห์ของคาแรคเตอร์รวมไปถึงหนังเรื่องอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่งอยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
          R. ความรู้สึกที่มีโอกาสได้รับบท บุญมาก ในเรื่องอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง คือ รอน อยากจะบอกว่า ตอนเห็นบทเห็นตัวหนังสือทีแรก ตกใจ เพราะบทเยอะมาก คือจริงๆ เรามาจากสายนักร้อง AF เริ่มทำงานทางการแสดงพร้อมๆ กันหมดไม่ว่าละครหรือว่าหนัง อย่างแรกเลย เรื่อง อีนางเอ้ย...เขยฝรั่ง ไปแคสติ้งพูดอีสาน ด้วยความที่เป็นคนภาคกลางพูดภาษาอื่นไม่ได้เลย ยกเว้นภาษาภาคกลางและภาษาอังกฤษ บอกได้เลยว่าเครียดมาก คือเรายังไม่มีประสบการณ์ทางด้านการแสดง แล้วหนังก็เป็นหนังเรื่องแรก รับบทเป็นพระเอก ทุกคนในเรื่องพูดภาษาอีสานได้หมดยกเว้นผม แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพระเอกอีก มันก็รู้สึกกดดันเรามาก เราเป็นคนกรุงเทพ เราจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของเด็กอีสานได้ดีขนาดไหน เพราะตัวเราก็ไม่ได้มีโอกาสได้มีญาติหรือได้รู้จักกับชีวิตของชาวอีสาน คาแรกเตอร์ของบุญมากที่เป็นเด็กอีสาน เป็นคนซื่อ มันจะซื่อออกมาแบบไหน จะนำเสนอในมุมมองใด เพราะการที่เราได้รับบทนี้ ถือว่าเราได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนเด็กหนุ่มชาวอีสาน ต้องเริ่มทำการบ้าน ตอนแรกก็คุยกับผู้กำกับว่าทำอย่างไงดี ถ้าภาษาอีสานผมว่ามันน่าจะมีปัญหา ก็เลยไปอยู่กับชาวบ้าน ได้คลุกคลีกับชาวอีสาน สิ่งที่สัมผัสได้เลย คือ ใจ ชาวบ้านน่ารักมาก แล้วก็รู้สึกว่า ตัวละครตัวนี้มีเสน่ห์มาก ความกดดันนี่ทิ้งไปให้หมดเลย ตั้งใจเลยว่า เราเป็นตัวแทนให้หนุ่มอีสานได้ดีขนาดไหน เสน่ห์ของมันอยู่ที่ความซื่อ ความจริงใจ มีความทะเยอทยาน รู้สึกว่า ด้วยบุคลิกตัวเราเป็นคนที่มีรอยยิ้มตรงนี้อยู่ด้วย เลยทำให้บทมันดูน่ารักมากขึ้น ดูเป็นเด็กที่จริงใจ ตั้งใจ แล้วก็น่ารัก เป็นคาแรกเตอร์หนึ่งที่ผมดีใจที่มีโอกาสได้เล่น น่ารักมาก

          Q. เห็นบอกว่าต้องมีการเวิร์คช็อพด้วย
          R. ก่อนที่จะโอกาสเริ่มเปิดกล้อง ก็คือได้มีโอกาส เวิร์คช็อพด้วยการนับหนึ่ง ทุกอย่าง เวิร์คช็อพด้านการแสดง เวิร์คช็อพการใช้ภาษาอีสาน และเรื่องนี้มีพระเอกอีกตัวหนึ่ง ก็คือเจ้าควายด่อน หรือ ควายขาวควายเผือก คือได้มีโอกาสรู้จักกับควาย ก็ไปเวิร์คช็อพกับควายให้เขาจำกลิ่นเรา อาบน้ำให้เขาแล้วก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ปกติเป็นคนชอบสัตว์รักสัตว์อยู่แล้วก็มีโอกาสได้อยู่กับเขา รู้เลยว่าเขาน่ารักมาก เถียงแทนเลยว่า ใครว่าควายโง่ควายไม่ได้โง่ ฉลาดมาก เป็นประสบการณ์ที่ดี แล้วก็ได้ฝึกภาษาอีสาน ภาษาอีสานจะมีแอ็คติ้งโค้ชที่ดูแลเราโดยเฉพาะ ชื่อว่าพี่เชอรี่เป็นพี่ผู้หญิง ด้วยความที่เราไม่ได้มีพื้นฐานทางอีสาน เวลาเข้าฉากต้องเตรียมตัว ไดอาล็อคมายังไง ก็ส่งภาษาไทยให้พี่เชอรี่ แล้วก็จำแล้วก็พูดออกไป ก็เลยต้องอยู่กับพี่เขาตลอด เพราะว่าไม่ได้พูดได้ด้วยตัวเอง ก็เลยต้องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง อย่างที่ผ่านมาเคยเข้าใจมาตลอดว่าภาษาอีสานเวลาพูดต้องเสียงสูง เช่น กินข้าวบ่ จริงๆแล้วลงต่ำ คือมันจะลงต่ำพยางค์สุดท้าย เสียงสูงก่อนแล้วลงต่ำ ยากมาก เพราะถ่ายละครอีกเรื่องหนึ่ง น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ผมพูดเหน่อ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มพร้อมกันหมด น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ต้องพูดเหน่อ อย่างหนังก็ต้องเว้าอีสาน อีสานโลด คนละแบบเลย ช่วงแรกปรับไม่ได้คือตีกันหมดเลย จะเหน่อหลุดมาบ้างมีอีสานโผล่มาบ้าง ช่วงแรกจะเครียด แต่พอทุกอย่างจบลงหมด เราทำได้ดีใจภูมิใจมาก แต่กว่าจะผ่านมาได้ก็หนักเอาการเหมือนกัน

PR on May 05, 2011, 04:06:48 PM
Q. เป็นหนุ่มเมืองกรุงแต่ต้องแปลงร่างเปลี่ยนลุคส์ให้กลายเป็นหนุ่มอีสาน
          R.มีคนถามว่าหนุ่มภาคกลางเป็นอย่างไรบ้าง ที่ต้องเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นหนุ่มภาคอีสาน ยากไหม ยากครับด้วยความที่เราไม่เคยคุ้นเคยตรงนี้มาก่อน อย่างฉากขี่ควายเราก็ไม่เคยขี่ควาย ก็ต้องไปขี่เขา ตอนแรกดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ไป คือกลัวเขาเจ็บ สุดท้ายพี่เขาบอกดึงเลยดึงเลย ผมก็ดึงๆ ทีนี้ก็เริ่มรู้ละ การเอาขาตีเหมือนขับรถเก๋งเลย ทีแรกขับไม่ได้ แต่สุดท้ายก็มาขับเขาเล่น ขี่ได้บรื๋อ ส่วนที่ลำบากหน่อยก็คือ อันที่จริงเป็นคนตัวดำอยู่แล้ว แต่พอถ่ายเรื่องนี้ต้องลงตัวดำ ซึ่งของผมบล็อคตัวดำหมดเลย บล็อคทั้งตัว เพราะต้องถอดเสื้อด้วย แล้วก็ตื่นมา ต้องตื่นก่อนคนอื่นเพราะต้องลงตัวดำ บล็อคตัวดำ อาบน้ำก็ต้องขัดแล้ว ถึงขั้นล้างธรรมดาไม่ออก แล้วก็มีฉากที่อยู่ในน้ำ ฉากที่ต้องไปในคลอง ลงน้ำก็ไม่ออก กว่าจะเช็ดขัดถู แล้วข้างหลังล้างยากมาก ก็สนุกดีถือว่าลงกันแดดไปในตัว แดดแรงมากช่วงที่ไปถ่ายก็ไปช่วงปลายปี และแดดก็เป็นแดดทุ่งนา ดำกันเป็นแถบๆ อย่างก่อนเข้าฉากก็แต่งหน้า แต่แต่งหน้าก็ไม่นาน ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง แต่วันไหนต้องบล็อคตัว พี่ๆช่างแต่งหน้าช่างแต่งตัวเป็นที่รู้กัน จะดูคิวเลยว่าวันนี้มีฉากถอดเสื้อหรือเปล่า พอถอดเสื้อก็ลงๆ ประมาณเกือบชั่วโมง ยิ่งถ้านุ่งกางเกงขาสั้นด้วย ก็ต้องยิ่งลงมากอีก แล้วส่วนใหญ่เป็นขาสั้นทั้งนั้น ตอนลงประมาณเกือบชั่วโมง แต่ตอนล้างเป็นดับเบิ้ลรวมอาบน้ำด้วย พวกเคลนซิ่ง?ที่เอาไว้สำหรับล้างหน้าหมดไปเยอะมากเพราะเอามาเช็ดขัดตัว ทั้งขาทั้งแขนใช้เวลานานมาก อย่างในหนังก็จะมีฉากที่บุญมากต้องอาบน้ำผ้าขาวม้ากลางทุ่งซึ่งสำหรับตัวรอนก็ไม่ได้คิดว่ามันแปลกมาก เพราะผู้ชายก็นุ่งผ้าเช็ดตัวอาบน้ำอยู่แล้ว นุ่งผ้าขนหนูนุ่งผ้าขาวม้า มันก็ใกล้ๆ กัน ต้องมาอาบตรงเถียงนาตักโอ่ง แล้วอยู่กลางทุ่งเลย ก็มีเขินๆ หลังๆ ก็เริ่มชิน ก็ไม่ได้ว่าเป็นหนุ่มเมืองกรุงอะไรขนาดนั้น (หัวเราะ)

          Q. ทำงานร่วมกับเปรี้ยวAF
          R.อย่างพี่เปรี้ยวคนอาจจะเห็นว่า AF เหมือนกัน จริงๆ แล้ว ถามว่ารู้จักกันไหม รู้จัก แต่ด้วยความที่ตัวงานไม่ค่อยได้เจอกันอยู่แล้ว ก็เลยต้องมีเวลาที่ต้องไปทำความสนิมสนมกัน เพราะต้องเข้าพระเข้านางกัน พระเอกกับนางเอก แต่จริงๆ แล้วตัวพี่เปรี้ยวเขาก็เป็นคนที่น่ารักอยู่แล้ว เราก็เชียร์เขาตั้งแต่ AF 2 อยู่แล้วด้วย ก็รู้สึกดีใจที่วันหนึ่งเราได้มีโอกาสมาทำงานกับรุ่นพี่นักล่าฝันที่เราเคยชื่นชอบมาก่อน

          Q. อย่างนี้ก็ต้องมีฉากที่กุ๊กกิ๊กโรแมนติคกันด้วยใช่มั้ย
          R. ครับก็มีหลายฉากอยู่เหมือนกัน ก็จะมีฉากขี่ควาย บุญมากต้องเป็นคนขี่ แล้วแววดาวนั่งข้างหน้า แต่มันยากที่ต้องแซวด้วย ต้องกุ๊กกิ๊ก แต่ประเด็นคือคุณควายไม่ค่อยจะเป็นใจเท่าไหร่ ในฉากที่ถ่ายส่วนใหญ่จะเป็นเถียงนาซึ่งเราต้องให้ควายเดินไปในทุ่งนาด้วย ต้องตีเขาด้วย ต้องบังคับเขาด้วย ต้องจำบท ต้องกุ๊กกิ๊ก บางครั้งเขาหันตูด อย่างที่บอก เด็ก สัตว์ สลิง ที่ทำงานยากก็เจอมาแล้ว ไอ้ด่อน (ควายเผือก) นี่แหละ ไดอาล็อคได้แล้ว ทุกอย่างพร้อม กลับหยุดเดินซะงั้น หงุดหงิดบ้าง วิ่งลงไปในทุ่งนางอแง ด่อน เขาจะป็นผิวเผือกมันขาว เพราะผิวเขาบางเขาก็จะหงุดหงิดงอแงตลอด นานๆ ไปเริ่มไม่เสร็จสักที หลายๆคัทก็งอแง ส่วนกับพี่เปรี้ยว ยอมรับช่วงแรกก็เกร็งๆเป็นธรรมดา ผมเกร็ง แต่พี่เปรี้ยวจะไม่เกร็ง แต่ด้วยความที่พี่เปรี้ยวเขาเป็นคนที่น่ารักอยู่แล้ว เขามีบุคลิกที่ช่วยให้เราสมูทมากขึ้น เขาจะบอกเอาเลยๆ พี่เปรี้ยวช่วยรอนได้เยอะ แล้วยิ่งต้องมองตากัน รอนก็จะตัวแข็งเลย

          Q. ทำไมต้องเกร็งเวลาแก้มใกล้กัน
          R. เป็นเรื่องธรรมดา ผมยังใหม่และซีนที่ถ่ายเป็นซีนต้นๆ ที่เริ่มต้นถ่ายทำ ก็ยังเกร็ง พอถ่ายก็เขิน เป็นผู้หญิงด้วยเลยอาย ก็เป็นฉากกึ่งๆ เลิฟซีนกับพี่เปรี้ยวในน้ำ เป็นฉากที่ลงไปในน้ำกับแววดาว ก็พูดได้ว่าเป็นฉากกุ๊กกิ๊กกัน มีเตรียมบทมา แต่ผู้กำกับให้นอกบท (หัวเราะ) มีมาแอบบอกเราว่า ต้องแบบนี้นะ เตี๊ยมกันไม่ให้พี่เปรี้ยวรู้ ก็จะได้เขินจริงๆ ซึ่งเบื้องหลังในฉากนี้ จริงๆ แล้ว พี่เปรี้ยวว่ายน้ำไม่เป็น และบ่อก็ลึกประมานหนึ่งเลยทีเดียว เราต้องคอยเซฟเขา เพราะเขาว่ายน้ำไม่เป็น ข้างล่างจะมีเหล็กและพี่เปรี้ยวก็จะจับเหล็กอยู่ ซีนนั้นถ่ายอยู่ในน้ำทั้งวันและก็เป็นหน้าหนาว ผมมือเปื่อยหมดเลย เพราะต้องมีฉากโดดลงอยู่ในน้ำทั้งวัน จริงๆ แล้วเป็นคนสบายๆ มาถ่ายงานต่างจังหวัดก็ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศมากกว่า ในฉากนี้ นอกจากจะมีไดอาล็อคหวานๆ อากาศเย็นแล้ว ตัวผู้กำกับเองก็มีไอเดียเกี่ยวกับท่ากระโดดแบบหนุ่มอีสานด้วย ตอนที่รอนโดดครั้งแรกโดดเหมือนท่าฟรีสไตล์ นึกว่าหนุ่มเกาหลี (หัวเราะ) พี่เก่งก็บอกว่า คิดถึงอารมณ์ที่ว่ากลับมาอีสานต้อง โอ้วโฮ้ย !! ทุ่งนา โดดแบบตู้มเลย ไม่มีท่า สำหรับฉากโดดน้ำนี่ก็มีหลายเทคอยู่ครับ โดนไป 5-6 เทค นี่แค่โดดน้ำ ก็ต้องขึ้นมาเป่าผมใหม่ให้มันแห้ง แล้วก็โดดลงไปใหม่

          Q. ได้ข่าวว่าหนังเรื่องแรกมีเซอร์ไพรส์โชว์อวัยวะด้วย
          R. ก็จะเป็นฉากที่บุญมากออกไปแซวนางเอกตรงท่าน้ำ นางเอกแลบลิ้นใส่ พระเอกบุญมากถลกกางเกงโชว์ก้นให้กับแววดาว ตอนที่อ่านบททีแรกอ่านตรงนี้ ก็รู้สึกอาย ผมก็ลืมๆ จนมาถึงวันถ่ายทำ พี่เก่งผู้กำกับเขาก็มองๆ รอนอยู่พักหนึ่ง ก็เลยตัดสินใจบอกว่า เดี๋ยวพอถึงเวลาถ่ายรอนไม่ต้องดึงกางเกงออกแล้วกันนะ ไม่ต้องโชว์ก้น ทีนี้ด้วยความที่ผมเป็นนักแสดงใหม่ แล้วมันเป็นเรื่องของการแสดง ถ้าเราทำได้มันก็ดี ก็เลยบอกพี่เก่งว่าเอาเลย พี่เก่งก็บอกแน่นะ ทำให้ได้ เพราะรอนก็มองว่ามันเป็นสปิริตตัวตน ชาวอีสาน แต่พอถึงเวลาถ่ายอายมาก ตอนที่มันออกไป และมีคนมาดูนี่แหละ อย่างเทคแรกก็จะดึงแค่นี้ พี่เก่งก็บอกให้ดึงลงไปเลยดึงให้มันเห็นไปเลย แรกๆ จะมีแต่ทีมงานเรา เช้าๆคนไม่เยอะมาก พอถ่ายไป 3-4 เทคเสร็จ ชาวบ้านก็มาดูกัน และบอกว่า มาดูนี่เร็ว พระเอกโชว์ตูด เรียกมาทั้งหมู่บ้าน และนั่งดูเรียงยาว แล้วไม่ใช่แค่ดึงธรรมดานะ ดึงแล้วก็ต้องมีตีก้นด้วย ก็เป็นฉากหนึ่งที่จะรอดูตัวเองเหมือนกันว่า ภาพออกมาจะเป็นอย่างไร เพราะอายมาก แล้วก็มาถึงอีกฉากหนึ่งที่ชื่อว่า ข้าวจี่สื่อรัก ข้าวจี่คืออาหารของอีสานที่เป็นข้าวเหนียวแล้วเอามาชุปไข่ เอาไปย่างไฟแล้วก็คลุกเกลือ เคยได้ยินว่า ข้าวจี่ๆแต่ไม่เคยรู้จัก แล้วฉากนี้ในเรื่องก็จะเป็นฉากหน้าหนาวแล้วเรากับพี่เปรี้ยวเขาก็จะมาผิงไฟกัน พี่เปรี้ยวเขาก็ทำข้าวจี่ป้อนเรา ฉากข้าวจี่สื่อรักจริงเค็มเชียว แต่ต้องถ่ายทอดออกมาให้รู้สึกว่าหวาน เพราะนางเอกเขาป้อนให้เรา ก็ต้องผิงไฟกันก็เป็นฉากที่น่ารักๆ ข้าวจี่ก็อร่อย มันจะเค็มๆ มันๆ เป็นอาหารที่น่าสนใจ ก็มีโอกาสได้ชิม แล้วตอนเล่น ผมก็จะเขินตลอดเวลา ถ้าถามว่าใครเขินใครก่อน ก็บอกว่าเราเขินก่อน พี่เปรี้ยวเขาไม่ค่อยเขินเพราะต้องจ้องตากัน ก็รู้สึกดีนะ เพราะเข้าถึงอารมณ์ แล้วพอถ่ายเสร็จวิ่งไปดูมอนิเตอร์ ภาพก็จะดูกุ๊กกิ๊กๆ ไม่ได้ดูแรงมาก แต่ดูแล้วน่ารักดี นอกจากนี้ก็จะมีฉากสำคัญของเรื่องคือ ฉากแต่งงาน ฉากนี้ไม่ทำธรรมดา คือต้องแห่ขันหมากไปขอแววดาว และที่พิเศษกว่านั้นคือ ต้องขี่ควาย ซึ่งขี่ควายไม่พอ ข้างหลังยังต้องมีรำ แล้วยังมีแตรวงข้างหลังอีก คือดังมากแล้วควายตกใจ เวลามันตกใจมันก็จะเดินโยก แล้วข้างๆ มันเป็นลวดหนาม กว่าจะถ่ายเสร็จก็บ่ายๆ แล้วชุดแต่งงานของอีสานจะเป็นผ้าไหม ชุดสีขาว นุ่งผ้าขาวม้า มีสร้อยทอง ประมาณว่าวันนั้นหล่อเลย เพราะต้องไปขอสาว จำได้ว่าตอนนั้นร้อนมากตอนซ้อมเครื่องเสียงใช้ได้ แต่พอเอาจริงเครื่องเสียงก็ดับ แล้วเหงื่อออกเยอะมาก ควายก็งอแง เอาน้ำราดตลอดเวลา แล้วพี่เหลือบอกว่าเล่นฉากแต่งงานเขาถือเคล็ดกัน ถ้าใส่แล้วถ่ายเขาบอกจะไม่ได้แต่งงาน ต้องเดินข้ามชุดก่อนแล้วถึงเอามาใส่ ก็เป็นฉากหนึ่งที่ไม่ใช่ควายจะงอแง ผมก็งอแงไปด้วย กว่าเครื่องเสียงจะเสร็จก็ต้องลากควายกลับมาใหม่ ก็เป็นอีกฉากที่กว่าจะผ่านมาได้ก็เต็มที่ครับหนักหนาเอาการอยู่เหมือนกัน แล้วฉากนี้มีหอมแก้มครับ พอถึงในบ้านก็มีพิธีผูกเสี่ยว แล้วก็หอมแก้มเป็นฉากที่เขาจะอินเสิร์ตหน้าเราแล้วเราก็หอมแก้ม พี่เปรี้ยวไม่ค่อยเขิน แต่ก็บอกให้รีบหอม

          Q. ต้องมีหอมแก้มใกล้ชิดกันขนาดนี้หนุ่มๆอย่างรอนมีเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษในฉากนี้รึเปล่า
          R. เป็นคนไม่ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว แต่วันนั้นก็แค่ไม่พยายามทานส้มตำปลาร้า แต่นางเอกจะจัดเต็มตลอด แกล้งตลอด ไปถ่ายทำครั้งนี้ ได้มีโอกาสอยู่กับชาวบ้าน ชาวบ้านก็จัดปลาร้าตลอด อร่อยมาก ผมเป็นคนที่ทานปลาร้าอยู่แล้ว มันเป็นรสชาวบ้าน มันจะไม่เหมือนรสชาติในเมืองกรุง พอกินแล้วได้อารมณ์จริงๆ ติดใจมาก พอไปก็เดินไปหายายที่เป็นเจ้าของบ้าน เขาก็จะตำนู่นนี่มาให้ ไม่กินมีงอน ป้าเขาจะงอน เขาจะบอกอันนี้สำหรับพระเอก อันนี้สำหรับนางเอก อันนี้สำหรับผู้กำกับ เขาจะเดินมาเช็คว่ากินของเขาไหม ถ้าไม่กินงอนเลย ต้องพูดให้เขาได้ยินว่าเดี๋ยวเอาใส่ถุงเอากลับไปกินที่โรงแรม เขาจะได้ไม่น้อยใจเดี๋ยวเขางอน (หัวเราะ)

          Q. เล่นหนังเรื่อง “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ไม่ได้มีแค่ฉากกุ๊กกิ๊กโรแมนติคอย่างเดียว ยังมีฉากอารมณ์ด้วย
          R. มาถึงฉากดราม่า ฉากที่ต้องเค้นอารมณ์ อันนี้เป็นอีกฉากที่รอนเครียดเหมือนกัน คือฉากเป่าแคน ตัวพระเอกต้องเป่าแคนเพื่อเป็นการสื่ออารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ทุกข์ สุข เศร้า ก็จะต้องเป่าแคน แล้วก็มีฉากที่ต้องเป่าแล้วซึ้งด้วย ต้องเล่นไปแล้วดราม่า เป่าไปก็กังวล ไหนจะมุมกล้อง แล้วก็ต้องอยู่ในอารมณ์ของการแสดงความรู้สึกด้วย พูดเรื่องการเป่าแคนก่อน แคนจะมีทั้งดูดและเป่า แล้วไหนจะต้องปิดรูด้วยไหม พี่เก่งผกก.ก็จะให้วิธีการเป่าแคนมาเป็นยูทูปเลย ส่วนซีนที่เราต้องแสดงอารมณ์ดราม่าก็เยอะ หลังๆ เริ่มเข้มข้น มันก็เป็นอารมณ์ที่เราต้องรู้สึก แต่ว่าก็ได้พี่ๆนักแสดงเก่งๆ อย่างอาปิยะ,อาไก่ ปริศนา, พี่เหลือเฟือ, พี่เปิ้ล ฯลฯ ที่เขาส่งอารมณ์มาให้ พอเราดู ได้ร่วมซีนก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ของพี่ๆ ถึงเราจะพอมีพื้นฐานมาบ้าง แต่ก็ต้องไปเอาจากหน้างานบ้าง และได้ประสบการณ์เพิ่มเติม ก็ท้าทายดี หรืออย่างตอนที่ถ่ายเจาะทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างแววดาวกับบุญมาก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถ่ายย้อนไปตอนเด็กๆ ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุญมากกับแววดาวว่ามีพัฒนาการเป็นมาอย่างไร อันนั้นก็น่ารักมากสนุกด้วย ด้วยความที่เราผ่านการถ่ายทำมาจนหนังจะจบแล้ว เรารู้ว่ามันเหลือแค่นี้แล้ว ความรู้สึกที่มันจะเสร็จแล้ว แล้วเหลือฉากที่มันตลกๆ เราก็รู้สึกว่ามันสนุกดี ความรู้สึกที่ต้องพอนึกว่าจะกลับไปพบกับบรรยากาศกองถ่ายอีกครั้ง เหมือนกลับว่าเราไม่ต้องเครียดเรื่องภาษาแล้ว ไม่ต้องเครียดเรื่องคาแรกเตอร์แล้ว เหมือนเราผ่านมาแล้วเราก็รู้มากขึ้น แต่ว่าก็เกร็งเพราะพี่อุ๋ยนนทรีย์ ไปนั่งดูด้วย ตอนแรกไม่รู้ว่าพี่เขาจะมา เพราะตอนแรกจะมีแต่พี่เก่งชิโนเรศผู้กำกับจะคอยดู แต่พอกลับไปปรากฎว่าพี่อุ๋ยมาดูด้วยแต่พี่เขาคงไม่รู้หรอกว่าผมเกร็ง เกร็งนิดๆ เวลาพี่เขามาอยู่หน้าฉาก แต่ว่าก็ผ่านไปได้ด้วยดี และที่สำคัญต้องย้อนกลับไปเป็นเด็กอายุ 17 ด้วยส่วนพี่เปรี้ยวต้องเล่นเป็นแววดาวตอนอายุ 14 ซึ่งผมบอกได้ว่าให้รอดูทรงผมพี่เปรี้ยวตลกมาก (หัวเราะ) คือพี่เปรี้ยวทำผมเสร็จ พอเข้าฉาก ผมขำก่อนเลย เป็นทรงผมเด็กนักเรียนด้วยความที่พี่เปรี้ยวเป็นคนที่สนุกสนานร่าเริงไม่ว่าจะยิ้ม พอมาทำผมแบบนี้คือขำเลย เช็คมอนิเตอร์คือขำกันหมดทั้งกอง ดูแล้วน่ารักดี

          Q. พูดถึงหนัง “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง”
          R. สำหรับหนังเรื่อง อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง ฟังชื่อ เอ๊ะอะไร หนังอีสาน มันจะน่าเบื่อไหม พอมีโอกาสได้เห็นบท ได้เห็นการถ่ายทำ ได้ดู ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ รอนพูดได้เลยว่า หนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก มันสะท้อนให้เห็นมุมมองของชาวอีสาน เขาใช้ชีวิตอยู่ยังไง การทำบุญ หรือการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แล้วก็เรื่องนี้มันจะมีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาด้วย ถ้าเรารู้จักพอ มันจะอยู่ได้อย่างมีความสุข แล้วก็ชาวอีสานที่คิดจะหาสามีเป็นฝรั่ง ถ้าคิดว่ามีสามีเป็นฝรั่งแล้วมีเงิน เรื่องนี้ก็ทำให้รู้เลยว่า จริงๆ แล้วฝรั่งดีก็มี ฝรั่งไม่ดีก็มี เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่คน 2 คน มาเจอกันแล้วมันจะคลิ๊กกันหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าคุณมีแฟนเป็นฝรั่งแล้วคุณจะรวย คุณจะมีเงิน แล้วก็ไม่ได้แค่เป็นหนังที่โรแมนติก แต่มันมีคอมมิดี้แล้วก็มีดราม่ามารวมอยู่ด้วย อยากให้มาดูและติดตามกัน เป็นหนังอีสานที่สะท้อนมุมมองมากๆเลย และที่สำคัญที่คนจะพูดกันว่า หนังจะดีได้อยู่ที่บท รับรองได้เลยว่าหนังดีแน่นอน หนังเรื่องนี้ตัวบทชนะเลิศ โครงการไทยแลนด์สคริปต์โปรเจ็กต์ที่จัดโดย พี่อุ๋ย นนทรีย์ พี่ต้อม เป็นเอก จากจำนวนที่ส่งเข้ามาทั้งหมดมี 900 ทรีทเมนต์ มีรางวัลการันตีขนาดนี้ เลยไม่อยากให้คนมาคิดว่ามันแค่หนังอีสาน อยากให้ลองมาดูว่าทำไมบทของหนังเรื่องนี้ถึงได้รับรางวัลไทยแลนด์สคริปต์ โปรเจ็กต์ ก็อยากให้ลองดู รับรองหลายๆ คนที่ดูแล้วต้องบอกว่าสมแล้วที่ได้รับรางวัล มาถึงผู้กำกับของเรา พี่เก่ง ชิโนเรศ ผม มาเล่นหนังเรื่องแรก ก็ไม่รู้ว่าผู้กำกับคนไหนอะไรยังไง แต่พี่เก่งน่ารักมาก พี่เก่งใจดี เป็นคนที่ทำงานแล้วด้วยสบายใจ มีอะไรก็จะบอกเลย ทำแบบนี้นะอย่างนี้นะ ทำงานด้วยแล้วไม่เกร็งเลย รู้สึกว่ามาเจอผู้กำกับแล้วผู้กำกับต้องเหี้ยมๆ เพราะต้องคุมงานด้วยอะไรด้วย แต่พี่เก่งไม่ใช่เลย พี่เก่งเป็นคนที่น่ารักมากๆ แล้วดูแลผมได้ดีด้วย รวมทั้งการที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ที่เขาเรียกว่าดารารุ่นเดอะหลายคนมาก ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นคนที่ผมได้เคยเห็นตอนเด็กๆ ผ่านหน้าจอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาปิยะ อานพดล อาปริศนา หรือพี่รุ้ง พี่เหลือ พี่ยาว ผมก็โห !! แล้ววันนี้ตัวเองได้มีโอกาสร่วมงานด้วย ได้มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนม ทำงานด้วยกันแล้วก็รู้สึกว่า จริงๆ แล้วผมตื่นเต้นมากเลย ไม่น่าเชื่อยังคุยกับแม่เลยว่า วันหนึ่ง ได้มาร่วมงานกับบุคคลเหล่านี้ ดีใจครับ ได้เข้าฉากกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเข้าฉากแล้วก็มีทะเลาะกันด้วยอย่างพี่เหลือเฟือ อาปิยะเล่นเป็นคุณพ่อเรา ก็รู้สึกตื่นเต้น ฉากแรกที่ผมถ่ายเป็นฉากที่เข้าร่วมกับอาปิยะ ถ่ายที่ร้อยเอ็ด แล้วก็อาไก่ อาไก่สวยอยู่เลยครับ ก็ถามคุณแม่เมื่อก่อนคุณอาเขาดังมากๆ เลยใช่ไหม ย่าก็บอกดังมาก สวยด้วย พอมาเจอ เราก็รู้สึก คุณอายังสวยอยู่เลยครับ เรายังถามเลยดูแลตัวเองยังไง เขาก็บอก อ๋อเรื่องอาหารการกินอะไรประมาณนี้ แล้วก็เจอพี่รุ้ง หนูหิ่นของเรานั่นเอง ก็ตื่นเต้นไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมาได้มาคลุกคลีอยู่ด้วย พี่ๆทุกคนน่ารักและมีความเป็นกันเองมาก และก็มีดาราอาวุโส คนหนึ่ง คืออานพดล อานพดลก็จะสอนเรื่องเวลาการพูดอีสาน เพราะอาเขาจะช่ำชองมาก มีแหล่มีร้องเพลงคุณอาเขาจะไหลลื่นมาก ก็รู้สึกดีใจและก็ได้เป็นประสบการณ์ที่ชีวิตหนึ่งหนังเรื่องแรกของเราก็ได้ร่วมงานกับบุคคลเหล่านี้


          Q. มาถึงตรงนี้ได้เล่นหนังแล้วรู้สึกติดใจไหม
          R. ติดใจครับ อย่างที่บอกไปตัวผมเองก็ชอบงานการแสดงอยู่แล้ว เรื่องบทในความรู้สึกผมมันเป็นเรื่องละเอียด ก็อาจจะยังไม่รู้ว่า อยากเล่นบทแบบไหน แต่อยากได้บทที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเหมาะกับคาแรกเตอร์ของเรา เพราะว่าถ้าบอกว่าอยากเล่นแบบไหนผมก็ไม่รู้จะบอกว่ายังไง สมมติถ้าบอกว่าอยากเป็นพระเอกก็ต้องบอกอีกว่าเป็นพระเอกแบบไหนแนวไหน ก็แล้วแต่ละกันว่าตัวเราจะเหมาะกับงานตัวไหนที่ผู้ใหญ่เขาเห็นความสามารถเราสามารถเล่นได้ มันเข้ากับคาแรกเตอร์ ต้องดูอีกทีว่าเรามีความสามารถที่จะเล่นได้แค่ไหน สำหรับผมแล้วชีวิตถามว่าเปลี่ยนไหม เปลี่ยนแน่นอน ได้มีโอกาสมาทำงานในสิ่งที่เรารัก จากตอนแรกไม่ได้คิดว่าเราจะมีโอกาสมาทำด้านการแสดง แต่เรามาในสายนักร้องรักในการร้องเพลง พอถึงๆ จุดๆ หนึ่งมีผู้ใหญ่มาเห็นว่าลองให้โอกาสน้องตรงนี้ดู แล้วมันก็เป็นโอกาสที่ดี พอเราเริ่มทำเราก็รู้ว่ามันเป็นศาสตร์ที่มีเสน่ห์ ก็ดีใจที่มีโอกาสได้มาทำงานตรงนี้

          Q. ท้ายนี้อยากให้ฝากผลงานหนังเรื่องแรก
          R.ยังไงก็ขอฝากหนังเรื่องแรกของรอนกับพี่เปรี้ยวด้วยนะครับ ไม่อยากให้มองว่าผมกับพี่เปรี้ยวเป็นเด็ก AF แล้วจะมีหนังเรื่องนี้เกิดขึ้น หรือหนังเรื่องนี้น่ะหรอ เด็ก AF อีกแล้ว มาเล่นด้วยกัน คือต้องบอกว่าสำหรับ อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง ก่อนหน้านี้พี่เปรี้ยวมาแคสติ้งก่อน แล้วพี่เปรี้ยวถูกวางตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพระพี่เปรี้ยวคือนางเอกที่เหมาะกับคาแรกเตอร์นี้สุดแล้ว แล้วทีมงานถึงค่อยมาหาพระเอกกัน ซึ่งพี่เปรี้ยวได้ก่อนผมนานมากๆแล้ว ทางทีมงานก็บอกว่าหาพระเอกที่เหมาะกับคาแรกเตอร์นี้อยู่ จนโอกาสสุดท้าย ก่อนที่หนังจะเปิด ผมก็ได้มีโอกาสแคสติ้ง แล้วก็เป็นผมที่เป็นเด็ก AF ด้วยกัน ไม่อยากให้มองว่าได้มาเพราะเป็น AF อยากให้ลองมาดูเลยว่าตัวคาแรกเตอร์นี้มันเหมาะกับผมและพี่เปรี้ยวจริงๆ อย่างพี่เปรี้ยวชัดเจน เวลามานั่งเช็คดูแล้วผมจะดูเลยว่าบทนี้พี่เปรี้ยวเล่นแล้วน่ารัก เป็นบทผู้หญิงที่น่ารักมากๆซึ่งเหมาะกับตัวพี่เปรี้ยว ตัวผมเองก็ได้มีโอกาสมาเป็นหนุ่มอีสานไฟแรง และก็ได้มาคู่กัน ก็อยากจะฝากเพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของผมกับพี่เปรี้ยว เราสองคนตั้งใจกันมากๆแล้วอยู่บนพื้นฐาน 3 อย่างคือความตั้งใจ ความเต็มที่ของ นักแสดง, พี่เก่ง ชิโนเรศ ผู้กำกับ และตัวหนังที่คว้ารางวัลบทยอดเยี่ยมไทยแลนด์สคริปต์โปรเจ็กต์ซึ่งมีแง่คิดที่หยิบเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในภาคอีสานของเรา ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างในโลกจะดีไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเรารู้จักพอ ความพอเพียงก็มีส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตด้วย คือหนังเรื่องนี้หยิบเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง มาปรับใช้ในบทอย่างเห็นได้ชัดเลยถ้าใครมีโอกาสได้ดู แล้วอยากจะฝากทุกคนว่าหนังเรื่องนี้รับรองว่าสนุกสนานแน่นอน

PR on May 05, 2011, 04:07:34 PM
ส่งรอน AF พระเอก “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ป้อนหญ้า อาบน้ำ “ควายเผือก” เคล็ดลับกระชับความซี้

 

          เป็น 1 ในฉากกุ๊กกิ๊กลักยิ้มบุ๋มไฮไลท์ระดับ 5 ดาวของหนัง “อีนางเอ๊ย..เขยฝรั่ง” ที่ตัวผู้กำกับ เก่ง-ชิโนเรศ คำวันดี ยกให้เป็นซีนประทับใจเลยทีเดียว ในขณะที่ทั้ง รอน AF ภัทรภณ โตอุ่น พร้อมด้วยเจ้าด่อนนักแสดงเกียรติยศสี่เท้า (ที่ผู้กำกับคัดเลือกเองกับมือให้มารับบทควายสีขาวเผือกคู่หูของพระเอก) ต้องรวมกลุ่มสามัคคีทำการแสดงอย่างเข้าขากันสุดๆ ซึ่งกว่าจะได้ภาพออกมาสวยงามอย่างที่ผู้กำกับต้องการ นั่นคือหนุ่มมาร์ค (รอน ภัทรภณ) นั่งบนหลังเจ้าควายด่อนท่ามกลางทุ่งข้าวสีเขียวในบรรยากาศยามเย็นลมพัดเอื่อยๆ มีหมอกพอประมาณพร้อมกับต้องบังคับเจ้าด่อนให้เดินอยู่บนคันนาที่แคบและเล็ก จึงต้องสร้างความคุ้นเคยกันเสียก่อน ซึ่งแน่นอนว่ากว่าจะได้ออกมาดังที่เห็นหนุ่มรอนต้องถูกส่งให้ไปเลี้ยงเจ้าด่อนป้อนข้าวป้อนน้ำอาบน้ำสร้างความคุ้นเคย เรียนรู้การขี่การขับ การบังคับเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ฯลฯ และอีกสารพัด โดนผู้กำกับเก่ง ชิโนเรศได้พูดถึงการเตรียมตัวในการทำงานที่ต้องเข้าฉากร่วมกับเจ้าด่อนของหนุ่มรอนให้ฟังว่า

          “ก็นอกจากเราจะส่งให้น้องรอนไปกินไปอยู่ ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตรวมไปถึงฝึกพูดภาษาอีสานกับคนในหมู่บ้านแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือให้ไปฝึกขี่ควาย เจ้าควายด่อนหลังจากที่เราเทรนควายแล้ว เราต้องเอาพระเอกของเราไปคลุกคลีกับมัน เพราะว่ามันเป็นตัวละครเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งที่อยู่กับพระเอกตลอด นอนก็นอนด้วยกันนะครับ เห็นพระเอกเศร้ามันก็เศร้าตาม เห็นพระเอกยิ้มมันก็ยิ้มตาม รอนก็ไม่เคยขี่ควาย ตอนขี่ควายนี่ก็สนุกมาก น้องยอมรับในสิ่งใหม่ๆ เขายังบอกเลยว่าสนุกกว่าขี่มอเตอร์ไซด์ที่เขาเคยคุ้นเคยอีก เพราะเป็นสัตว์การที่เราจะขี่สัตว์บังคับสัตว์ ใจคนขี่กับตัวสัตว์ ต้องสัมพันธ์กัน อยู่ดีๆเราขึ้นไปขี่บางทีมันสะบัดไปเลยก็มีใช่ไหมครับ รอนก็มีการให้หญ้า ให้ข้าว ลูบหัว วันแรกไม่ได้ขี่ ให้ไปทำความสะอาดมัน พามัน จูงมันไปกินข้าว จูงไปกินหญ้า เย็นมาจูงกลับเข้าคอก เป็นเวลา สอง สาม วัน จากนั้นถึงให้ขึ้นขี่ ผมรู้สึกว่ามันคงคุ้นกัน เกิดมาเป็นเนื้อคู่ต้องเล่นหนังด้วยกัน เพราะรอนตอนขึ้นขี่ครั้งแรกก็ไม่มีปัญหาอะไร น้องก็สามารถบังคับให้เลี้ยวได้ เดินอยู่บนคันนาที่มันที่แคบๆ ได้ ซึ่งตอนแรกเราค่อนข้างจะเป็นห่วงมากว่าอย่าง ต้องมีฉากที่เดินบนคันนาซึ่งจะไม่กว้างมากใช้เวลาฝึกอยู่ร่วมอาทิตย์เหมือนกัน แต่สุดท้ายรอนก็ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว”

          ติดตามฉากสวยๆ ไฮไลท์ที่น่าประทับใจของฉากขี่ควายใน “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” 12 พ.ค.นี้ ทุกโรงภาพยนตร์

PR on May 05, 2011, 04:08:24 PM
ติดใจเสน่ห์ “แต๋วแหล่” สาวขี้เหร่ตัวดำ “รุ้ง-หนูหิ่น” ยอมคืนจอ “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ในรอบ 5 ปี

 
 
         เป็นนักแสดงสาวร่างเล็ก แต่ฝีไม้ลายมือการแสดงเด็ดเผ็ดจี๊ดไม่แพ้ใคร แถมยังเป็นขวัญใจแฟนๆทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่แต่หลังจากแจ้งเกิดจากบท “หนูหิ่น” ใน “หนูหิ่นเดอะมูฟวี่” ถึงขั้นคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมทั้งจาก “สุพรรณหงส์”และ “ชมรมวิจารณ์บันเทิง” ส่งผลให้“รุ้ง-ลาวัลย์ โทนะหงษา” มีงานละครให้เล่นนับ 10 เรื่อง ห่างหายจากจอเงินไปเกือบ5ปี ล่าสุดกลับมาสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แฟนๆ หายคิดถึงแบบจัดเต็มใน “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” กับบท “แต๋วแหล่” สาวไร่อ้อยตัวดำ กระเต็มหน้า มองเผินๆ ก็เข้าข่ายขี้เหร่เต็มๆ ตัวนั่นเอง แต่ถึงกระนั้น “แต๋ว” ก็เป็น “อีนางเอ๊ย”สาวอีสานที่สวยจากภายใน ที่หนุ่มตาน้ำขาวอย่าง “โรเบิร์ต” (รับบทโดย CJ นายแบบหนุ่มหล่อชาวอเมริกันที่ฮอตสุดๆผ่านงานโฆษณาเท่ห์ประกบกับ อั้ม พัชราภา,ชมพู่ อารยามาแล้ว) ฝรั่งต่างแดนแฮนด์ซั่มแอนด์หล่อโพดโพด มองเห็น ถึงขนาดลงทุนบินข้ามน้ำข้ามทะเลมามาฝากรักและขอฝากเนื้อฝากตัวเป็น “เขยฝรั่ง” ของชาวอีสาน และยอมกระทั่งตรากตรำสารพัดเพื่อมัดใจอีนางเอ๊ย...แต๋วแหล่ ว่า “ไอเลิฟยู ไอเลิฟ ความเป็นอีสานและตัวตนของยูจริงจริงนะ...แต๋ว” ประมาณว่ารักจริงหวังแต่งเลยนะจ๊ะ

          “รับบทเป็นแต๋วแหล่ค่ะ ชื่อแต๋ว แต่แหล่นี้คืออาการของคนที่มีผิวสีดำ ภาษาอีสานจะเรียกว่าแหล่ก็เลยกลายเป็นแต๋วแหล่ ผู้หญิงคนนี้หน้าตาค่อนข้างจะขี้เหร่ที่สุดในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่เราจะเคยห็นแต่ผู้หญิงที่สวยแล้วหยิ่งใช่มั้ยค่ะ แต่สำหรับแต๋วนี้ตัวของเขานอกจากจะไม่สวยแล้วยังหยิ่ง (หัวเราะ) คิดดูละกัน แต๋วจะแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆที่พากันปลื้มฝรั่งกันทั้งหมู่บ้าน แต่นี่นอกจากเขาดูเหมือนจะไม่สนใจฝรั่งแล้ว แต๋วยังเป็นผู้หญิงที่มีความคิดว่าทำไมฉันต้องคล้อยตามสังคมว่าต้องมีสามีฝรั่ง ทำไมจะต้องหาสามีรวยๆ เหมือนคนอื่น ในเมื่อฉันสามารถยืนบนลำแข้งของฉันเองได้ เป็นสาวไร่อ้อยตัวดำๆ ก็เลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่จำเป็น ไม่ต้องไปมีสามีฝรั่งก็ได้ ขนาดโรเบิร์ตฝรั่งที่ปลื้มแต๋วแหล่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาหา ยังไม่สนใจเลย โทรมาก็ไม่ค่อยอยากจะคุย เพราะลึกๆ แล้วแต๋วแหล่เป็นคนที่ไม่ได้หวังร่ำรวย แต่รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ซึ่งรุ้งว่านี่แหละคือเสน่ห์ของแต๋วแหล่ คือเสน่ห์ข้างในทหนุ่มๆ อีสานอาจมองไม่เห็น แต่ฝรั่งอย่างโรเบิร์ตมองเห็น แต่ถ้าอยากรู้ว่าสุดท้าย “อีนางเอ๊ย แต๋วแหล่” จะได้ “เขยฝรั่ง” หรือไม่ ก็ต้องไปติดตามชมกันค่ะ”

          อย่าลืมไปให้กำลังใจ “สาวรุ้งลาวัลย์ หรือหนูหิ่น” กับบท “แต๋วแหล่” สาวอีสานตัวดำดำ แต่หัวใจไม่ดำ ที่รับรองว่าม่วนคักคักฮาหลายหลายอย่างแน่นอนใน “อีนางเอ๊ย..เขยฝรั่ง” 12 พ.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์

PR on May 05, 2011, 04:09:28 PM
สหมงคลฟิล์มฯ ส่ง 3 นักแสดงสาว “เปรี้ยว AF- รุ้ง-หนูหิ่น-เปิ้ล ชไมพร” เป็น “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ไขข้อข้องใจ ทำไมสาวๆ ถึง “LOVE FARANG” ?







          เคยคิดอดสงสัยกันไหมว่า? ทำม้า...ย ทำไมฝรั่งตัวยาวถึงชอบสาวไทยกันนักโดยเฉพาะสาวอีสาน แล้วทำไมสาวๆ ทั้งสาวและไม่สาวถึงชอบอกชอบใจในฝรั่งผิวขาวตัวยาวๆตาน้ำขาวกันนัก จนเกิดอาการ “LOVE FARANG” หลังจากปล่อยให้หัวข้อความคิดซึ่งมีที่มาที่ไปกลายเป็นประเด็นฮิตอยู่ในเมืองไทยมาช้านาน ว่าแล้วก็มีคนหัวคิดดีหยิบเอามาเป็นพล็อตหนังเรื่องใหม่ถึงขนาดไปคว้ารางวัลชนะเลิศ BEST SCRIPT ในโครงการเฟ้นหาบทหนังที่ดีที่สุดจากที่ส่งเข้าประกวดถึง 900 ทรีทเมนต์ซึ่งคัดเลือกโดย 2 ผู้กำกับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร และ ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง จนกลายมาเป็น “อีนางเอ๊ย..เขยฝรั่ง” หนังเรื่องใหม่ของ สหมงคลฟิล์มฯ ที่ได้ 3 นักแสดงสาว 3 รุ่น 3 สไตล์ เปรี้ยว AF เปิดซิงขึ้นจอใหญ่ในฐานะนางเอกครั้งแรกในชีวิต รับบท แววดาว สาวหน้าเป็นทะเล้นสุดขีด สดใส แก่น ซ่าส์ เปรี้ยวปรี๊ดสุดชีวิต (สมชื่อ) ขวัญใจของพระเอก (รับบทโดยรอน AF) รักใครรักจริง ทั้งห้าว ทั้งหวาน ตัวตั้งตัวตีหากหนุ่มอีสานทำตัวไม่มีอนาคตก็จะขอไปซบอก “เขยฝรั่ง” ตามด้วย รุ้งลาวัลย์ โทนะหงษา หรือที่แฟนๆ รู้จักกันดีในบท หนูหิ่น กลับมาวาดลีลาฮาในบทแต๋วแหล่ สาวอีสานตัวดำ ขี้เหร่สุดๆ (ถึงแม้ผกก. จะกำชับเป็นหนักเป็นหนาห้ามปล่อยมุกฮาแถมตัวจริงสวยเกินบทจนผกก. ต้องระดมทีมเมคอัพสั่งม็อคอัพเพิ่มความดำ (ให้สมกับคำว่า “แหล่” ในภาษาอีสานที่แปลว่าดำขี้เหร่) แถมเติมกระใส่สีเต็มหน้า แต่ถึงกระนั้นก็บดบังความฮาที่ซ่อนเร้นลึกๆ ในตัวของสาวรุ้งที่มีดีกรี สุพรรณหงส์นักแสดงหญิงจากหนูหิ่นมาแล้วไม่ได้) งานนี้พลิกบทบาทมาในมาดสาวไร่อ้อยสุดขรึมผู้ที่ไม่เคยรับรักหนุ่มหน้าไหนทั้งสิ้นไม่ว่าจะหัวดำหรือหัวแดง และ เปิ้ล ชไมพร สิทธิวรนันท์ คืนจอในรอบหลายปี ปล่อยการแสดงแบบสุดชีวิต ทั้งเซ็กซี่และฮากระจายในฐานะสาวอีสานที่ปลื้มหนุ่มฝรั่งสุดชีวิต หัวหน้าสมาคม “ตำกล้วย” ดี๊ด๊าสุดขีด ขาเม้าท์ตัวจริง ปลื้ม “เขยฝรั่ง” แบบออกหน้าสุดๆ จับตาดูให้ดีเพราะบทนี้สาวเปิ้ล “ปล่อยของ” ไม่มีกั๊ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลีลา “ฮูลาฮูล่าฮูป” ที่ทำเอาสาวเปิ้ลแทบลมจับ

          โดยทั้ง 3 มาร่วมสร้างสีสันเป็นตัวแทนของ “อีนางเอ๊ย” สาวอีสานยุคใหม่ซึ่งเป็นที่ต้องตาต้องใจของหนุ่มๆ ชาวฝรั่งถึงขนาดบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาขอฝากตัวเป็น “เขยฝรั่ง” กันเลยทีเดียว

          อดใจรออีกสักนิดมาร่วมไขข้อข้องใจว่าเหตุใดสาวๆ ถึง LOVE FARANG เตรียมสนุกสนานมันส์ฮาไปกับ “อีนางเอ๊ย..เขยฝรั่ง” 12 พฤษภาคม นี้แน่นอนทุกโรงภาพยนตร์

PR on May 05, 2011, 04:11:14 PM
บทสัมภาษณ์ "เปรี้ยว AF 2 จาก อีนางเอ๊ย..เขยฝรั่ง"
 
           “ถ้าหนุ่มอีสานยังสำมะเลเทเมา เจ้าชู้ดีนัก..... “อีนางเอ๊ย” ก็จะขอปันใจไปหา “เขยฝรั่ง” แทนละกัน” “เปรี้ยว ซ่าส์ แก่น ซน”.... แบบฉบับของสาวอีสานยุคใหม่ ...................ในสไตล์ของ “เปรี้ยวAF 2 - อนุสรา วันทองทักษ์”





    Q. ก่อนอื่นอัพเดทชีวิตให้ฟังหน่อยว่า หลังจากออกจากบ้าน AF มาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
          P. หลังจากที่ออกมาจากบ้าน AF เปรี้ยวก็ได้มีโอกาส ได้ทำอัลบั้มกับเพื่อนๆ AF รุ่น 2 อัลบั้มปฎิบัติการเร่ขายฝัน หลังจากนั้นก็ได้แยกตัวออกมาทำอัลบั้ม Power pop girl ก็มี เปรี้ยว พัดชา พี่ลูกตาล หลังจากนั้นก็ได้มีทำอัลบั้มกับเพื่อนรุ่นอื่นๆ ด้วย และล่าสุดก็จะเป็นอัลบั้มเดี่ยวค่ะ เปรี้ยว เดซี่ เดซี่ และล่าสุดนะค่ะ ก็จะเป็น ซิงเกิ้ลล่าสุด เพลงแอ๊ปแมน แล้วก็มีโอกาสได้มาเล่นละคร ก็มีเรื่อง สายลมสามเรา, เพื่อนรักนักล่าฝัน, ตามรอยพ่อ ฯลฯ แล้วก็ได้มาเล่น ภาพยนต์เรื่อง อีนางเอ๊ย.. เขยฝรั่ง เป็นหนังเรื่องแรกของเปรี้ยวค่ะ และหลังจากนั้นเปรี้ยวก็ได้มีโอกาสทำงานบันเทิงอีกหลายด้านค่ะ เป็นพิธีกรก็จะมีหลายรายการของช่อง True vision ล่าสุดก็จะเป็นรายการเปรี้ยวเที่ยวตลาดค่ะ ช่อง 65 วันอาทิตย์เวลาบ่าย 3 โมงก็จะเป็นรายการของเปรี้ยวเอง จะเป็นรายการที่จะพาเพื่อนๆ เหล่า AF ไปเที่ยวตลาด ไป Shopping ไปต่อราคาแบบสุดโหดเลย ก็เป็นเปรี้ยวที่จะอาสาพาเพื่อนๆ ไป และหลังจากที่เปรี้ยวได้เข้าบ้าน AF เปรี้ยวก็ได้ทำงานหลายๆ อย่าง และออกจากบ้าน AF ก็ได้ทำงานหลายๆ ด้านในวงการบันเทิง 7 วัน ก็ต้องมีการแบ่งแยกเวลาให้ดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ทำงาน และพักผ่อน อย่างเรื่องเรียน เปรี้ยวก็จะเอาคิวไปให้ทางบริษัท ส่วนเวลาที่เหลือก็จะเป็นคิวงาน

          Q. ใน 7 วันที่เคยหนักๆ สุดนี่ขนาดไหน
          P. ก็เคยทำงานทุกวันเลย วันหนึ่งก็แบบ 4 งาน วิ่งกันมันเลยค่ะ ช่วงนั้นก็จะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ได้ความสนุกสนานด้วยเพราะไปกับเพื่อนๆ

          Q. ทราบมาว่า 1 ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่โหดสำหรับเปรี้ยวเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นงานเพลง, พิธีกรและงานภาพยนตร์
          P. ค่ะ สำหรับปีที่ผ่านมา เป็นปีที่เปรี้ยวได้ทำงานหลากหลายมากๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นด้านนักร้อง ต้องมีการเตรียมตัวที่จะทำก็คืออัลบั้มนะค่ะ ก็จะปล่อยมา 3 ซิงเกิ้ล ช่วงแรกจะหนักหน่อยเพราะว่าต้องมีการ ซ้อมเต้น ซ้อมร้อง ไปอัดเสียงกัน ก็จะใช้เวลาในการทำงานนานอยู่เหมือนกัน เลยเป็นช่วงเวลาที่ทำงานหนัก และก็ต้องเตรียมตัวที่จะต้องทำรายการของตัวเองด้วย คือ รายการ เปรี้ยวเที่ยวตลาด จะเป็นอะไรที่หนักเหมือนกัน อย่างวันหนึ่งก็ถ่าย 2 เทป ไปเที่ยวตลาดเยอะมาก ใช้พลังงานก็เยอะด้วย ก็จะได้เจอคนหลากหลายมาก และเราก็ต้องหาข้อมูลเพื่อไปคุยกะทีมงาน ก็เหมือนว่าเราได้ร่วมมือกับทีมงานในการทำรายการด้วย และล่าสุดก็ต้องแบ่งเวลาในการถ่ายหนังเรื่อง อีนางเอ๊ยด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปถ่ายทำกันที่ ร้อยเอ็ด การเดินทางบางทีก็นั่งเครื่องไป แต่ส่วนใหญ่จะนั่งรถตู้ไปพร้อมกับทีมงานก็สนุกมากค่ะ ส่วนใหญ่เราก็ไปตอนเย็น นั่งไปก็ประมาณ 6 ชั่วโมง แวะโน้นแวะนี่ แต่ก็เดินทางด้วยความปลอดภัย ก็พักที่โรงแรมสักคืนหนึ่งแล้วก็ค่อยออกไปถ่ายทำที่ อำเภอ ธวัชบุรี จังหวัด ร้อยเอ็ด เราก็ต้องทุ่มเทให้กับหนังเพื่อที่จะได้ทำออกมาให้เต็มที่ แต่มันก็เป็นอะไรที่เรารักและเราชอบมันก็เลยสนุกไปด้วย

          Q. อย่างนี้ต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่าใน “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” รับบทเป็นใคร คาแรคเตอร์เป็นอย่างไร
          P. สวัสดีค่ะ เปรี้ยว AF 2 อนุสรา วันทองทักษ์ค่ะ ในภาพยนตร์เรื่อง “อีนางเอ้ย...เขยฝรั่ง” รับบทเป็น แววดาว ค่ะ คาแรคเตอร์ของแววดาวในเรื่อง จะเป็นเด็กผู้หญิงอีสานรุ่นใหม่ที่มีนิสัยแก่นซน น่ารักๆ เป็นคนที่กล้าคิดกล้าทำ เป็นเด็กฉลาดมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ รักหมู่บ้าน แล้วก็ความเป็นอีสานของตัวเอง ส่วนในเรื่องเขยฝรั่ง ตัวแววดาวจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ แต่แม่มะลิ (ปริศนา วงศ์ศิริ) ก็จะเห็นด้วยกับการมีเขยฝรั่ง แล้วก็เป็นคนที่รักในความถูกต้อง อย่างตัวมาร์คพระเอก (รับบทโดยรอน AF 5) ที่มาจีบเรา มาชอบเรา ซึ่งลึกๆ เราก็มีใจอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่มาร์คเขาจะเป็นหนุ่มที่ไม่ค่อยเอาไหน แล้วก็ยังเรียนไม่จบรามฯ อยากให้เขาเรียนจบก่อน ก็เริ่มมีความรู้สึกว่า ถ้าเขายังไม่ผันตัวเองไปในทางที่ดี หรือเป็นคนดีรีบเรียนจบสักที เราก็อาจจะปันใจไปหาเขยฝรั่งก็ได้ ด้วยความที่แววดาวเป็นสาวอีสานรุ่นใหม่เป็นคนที่เก่งภาษาอังกฤษมาก สามารถเป็นติวเตอร์ให้กับมาร์คในการจะไปสอบให้จบปริญญา แต่ว่าแววดาวก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน เป็นคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็เลยโดนมาร์คแกล้ง จะมีอยู่ฉากหนึ่งยังไงก็ให้ติดตามละกัน

          Q. เห็นบอกว่า “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” เป็นหนังรักโรแมนติคคอมิดี้ ก็ต้องมีพูดถึงความสัมพันธ์ของตัวพระเอกนางเอกคู่พระคู่นางด้วย
          P. ค่ะ ก็ในหนังเราจะเห็นความสนิทสนม ความรักความความสัมพันธ์ระหว่างมาร์คกับแววดาว ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นหนุ่มสาวอีสานที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ด้วยความที่แววดาวเป็นเด็กนิสัยแก่นๆ ซนๆ แล้วก็เป็นคนทันคน ใครด่ามาก็ด่ากลับทันที แต่แววดาวจะแอบมีความเป็นผู้หญิงอยู่ในตัว เช่นเวลาเจอมาร์ค เวลาเขาบอกรักมา เราก็มีเขินอายบ้าง แต่ตอนที่เจอมาร์คครั้งแรกหลังจากไม่ได้เจอกันนานมากเพราะเขาไปเรียนราม 6 ปี เขากลับมาเห็นแล้วก็ปลื้มเลย เพราะว่าแอบชอบมาตั้งแต่เด็ก พอมาร์คมาเจอแววดาวเขาก็แซวเรา ก็เลยด่ากลับทันทีด้วยความที่ปากไวแล้วก็มีท่าทีทันที

          Q. ฟังๆ ดูแล้วเป็นบทที่สนุกๆ และดูมีสีสัน ตอนเห็นบทครั้งแรกรู้สึกอย่างไร
          P. ตั้งแต่อ่านบทครั้งแรก เรารู้สึกตื่นเต้นนะที่จะได้เจอกับแววดาว รู้สึกว่าบทนี้เป็นบทที่น่ารักแล้วก็ไม่น่าจะยากเพราะนิสัยคล้ายกับตัวของเปรี้ยวเอง เป็นคนที่ร่าเริงสดใส เปรี้ยว แก่น ซ่า กวน ซึ่งก็ล้วนมีอยู่ในตัวแววดาว หลังจากที่อ่านแล้วรู้สึกชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสน่ห์ของคาแรคเตอร์แววดาวอยู่ที่ในตัวละครตัวนี้จะเป็นตัวละครที่มีความหลากหลายอยู่ในตัวเอง ไม่ใช่แค่แก่นซนซ่าสดใสร่าเริงเหมือนเด็กปกติทั่วไป แต่เขายังเป็นคนที่มีความรู้มีความเป็นผู้ใหญ่และยังเป็นติวเตอร์ให้กับมาร์ค รวมไปถึงเป็นแรงบันดาลใจให้มาร์คที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ให้ตัวเองเรียนให้จบและมีหน้าที่การงานเป็นของตัวเอง เป็นตัวละครที่มีพัฒนาการ ตั้งแต่เป็นเด็ก และเติบโตมีความคิดเป็นนผู้ใหญ่เป็นสเต็ปๆ พัฒนาการของแววดาวที่เปรี้ยวรู้สึกประทับใจ การที่เราได้รับบทนี้ก็เหมือนกับว่าเราได้ย้อนวัยเด็กของเราด้วย คือตอนเด็กๆ เราก็เป็นเด็กอีสานเหมือนกัน ไปไถนา ไปเกี่ยวข้าว มันก็เหมือนกับว่าได้ย้อนวัยอดีตตอนเด็กๆของเรา ที่ก็มีคนมาชอบคล้ายๆ กับที่มาร์คมาจีบแววดาว คือไปๆ มาๆ รู้สึกว่าการเติบโตของเปรี้ยวกับแววดาวค่อนข้างคล้ายคลึงกันมาก นอกจากนี้ก็มีซีนที่เป็นดราม่าด้วย ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีซีนร้องไห้ แอบหวานกุ๊กกิ๊กน่ารักด้วย หรือแม้แต่แอ็คชั่นก็มี จริงๆคนดูอาจจะคิดว่าเปรี้ยวเคยขี่ควายมาก่อน แต่จริงๆ ไม่เคยเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้เปรี้ยวได้ขี่ควายเป็นครั้งแรก แล้วก็รู้สึกสนุกมากเกือบมีแอ็คชั่นเกือบตกควายจริงๆ ก็รู้สึกดีใจและภูมิใจมากที่ได้เล่นบทนี้ง

          Q. พลิกบทบาทจากที่ต้องจับไมค์ร้องเพลงมาเล่นหนังเป็นครั้งแรก แตกต่างอย่างไรบ้าง
          P. หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรก ก็รู้สึกดีใจมาก แล้วเป็นบทบาทใหม่ที่ได้รับก็รู้สึกดีใจอีกเช่นกัน เพราะว่าเรื่องการแสดงจริงๆ เปรี้ยวก็ยังไม่ได้เก่งอะไรมาก ช่วงแรกก็ตื่นเต้นว่าจะเล่นยังไง หนังจะเหมือนละครหรือเปล่า พอได้มาเล่นแล้วก็ได้พี่ๆ ทีมงานพี่ๆ นักแสดงที่มีฝีมือที่เป็นมืออาชีพมากๆ เขาก็ให้คำแนะนำและสิ่งดีๆ ที่เขามีให้เปรี้ยว มันทำให้เราไม่เกร็ง แล้วตัวน้องรอนก็รู้จักกันมาอยู่แล้ว ทำให้ง่ายต่อการทำงานก็เลยไม่ตื่นเต้นมาก ทำให้ลื่นไหลต่อการแสดงมากขึ้น แล้วตัวแววดาวเป็นบทที่นิสัยใกล้เคียงกับเปรี้ยวด้วยมันก็เลยรู้สึกว่าไม่ยากมาก กลับกัน สำหรับเปรี้ยวแล้วบทนี้รู้สึกว่ามันสนุกมากกว่า ได้ไปถ่ายที่ต่างจังหวัดเกือบ 90% คือ ถ่ายที่ร้อยเอ็ด ด้วยบรรยากาศแล้วคือชิลชิลมากๆ คือตอนที่เราไปถ่ายหนังเรื่องอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง จะมีหลายฤดูมาก ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูเกี่ยวข้าว แล้วข้าวกำลังตั้งท้อง บรรยากาศกำลังได้มาก พวกพี่ๆ ทีมงานก็บอก อยากมาอยู่ที่นี่มาก ด้วยบรรยากาศที่คุ้นเคยทำให้ง่ายต่อการทำงานมาก มันเหมือนกับไปเข้าค่ายไม่เหมือนกับไปทำงาน

          Q. ทราบมาว่าก่อนถ่ายทำมีการต้องเรียนเวิร์คช็อปด้วย
          P. ก่อนที่จะถ่ายทำจริงๆ ต้องมีการเวิร์คชอปก่อน เพราะยังไม่ได้เจอกับทีมงาน คือต้องมาเตรียมตัวก่อน อันดับแรกคือ แอ็คติ้ง เปรี้ยวกับน้องรอนก็ต้องไปเรียนแอ็คติ้งกับพี่เต้ย แต่ด้วยความที่เราผ่านการเรียนแอ็คติ้งตอนอยู่ในบ้าน AF มาแล้ว มีพื้นฐานเล็กน้อยพอเข้ากันได้ และอีกอย่างหนังเรื่องนี้จะต้องพูดภาษาอีสานทั้งเรื่อง คือน้องรอนต้องเตรียมตัวเยอะที่สุด จริงๆ แล้วภาษาอีสานเปรี้ยวพูดได้อยู่แล้ว แต่น้องรอนพูดไม่ค่อยได้ เพราะส่วนใหญ่เขาจะได้รับบทเป็นคนกรุงเทพ แล้วก็ละครก็เป็นคนสุพรรณ พอต้องมาพูดภาษาอีสานก็เลยต้องสอนน้องรอนด้วย เราก็จะสอนสำเนียงเขาว่ามันยังไงแล้วก็ช่วยติวเตอร์น้องด้วยและอีกอย่างก่อนไปถ่ายก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องขี่ควายด้วย ก่อนถ่ายก็ต้องซ้อมขี่ควายจริงๆ ไม่ได้ขี่ง่ายๆ น้องควายชื่อ น้องด่อน น้องด่อนตัวอ้วนมากแล้วขึ้นยาก น้องรอนขึ้นก่อน เปรี้ยวเด็กอีสานตัวจริงไม่เคยขี่ควายมาก่อนต้องจับมือแล้วก็ดึงขึ้นด้วยความยากลำบากเหมือนกัน พอขึ้นไปแล้วน้องควายจะโยกเยกบางครั้งก็กินแต่หญ้าไม่เชื่อฟังก็ต้องตบๆ ให้เข้ามาในฉาก ก็จะเป็นความยาก ก่อนไปถ่ายจริงก็ต้องมีการเตรียมตัวก่อน

PR on May 05, 2011, 04:11:37 PM
Q. สาว AF อย่างเปรี้ยวต้องเข้าฉากขี่ควายด่อน แถมยังต้องกุ๊กกิ๊กโรแมนติคกับรอนด้วย เป็นไงบ้าง
          P. อยากจะบอกว่าการขี่ควายว่ายากแล้ว แต่ในฉากนี้เปรี้ยวยังต้องมีไดอาล็อกพูดกันแถมยังต้องแอ็คติ้งเลิฟซีนกัน มองหน้ากัน แล้วก็ต้องไม่มองทางด้วยนะ ก็ยากเหมือนกันแล้วก็ต้องใช้ความสามารถกัน ต้องให้น้องควายเดินตรงๆ เราก็บอกน้องรอนยิ้ม ซิยิ้ม จะได้ผ่านฉากนี้เร็วๆ ถามว่า มีตกควายมั้ย ก็มีนิดหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นรุนแรง จะมีพี่ทีมงานคอยเซฟ และด้วยความที่ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังโรแมนติคคอมิดี้ก็จะมีฉากที่พระเอกนางเอกต้องจีบกัน กระเซ้าเหย้าแหย่กุ๊กกิ๊จีบกันรักกันค่อนข้างเยอะ นอกจากบนหลังควายแล้วก็ยังมีในน้ำอีกซึ่งเป็นอะไรที่เปรี้ยวลำบากใจมาก เพราะตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้วไม่ได้เรียนว่ายน้ำ พอโตมาเปรี้ยวก็จะไม่ค่อยได้ว่ายน้ำ ก็เลยว่ายน้ำไม่เป็น แล้วในหนังอีนางเอ๊ย....ฯ จะมีอยู่ฉากหนึ่งในหนังคือตัวเปรี้ยวจะต้องตกน้ำ เป็นฉากกุ๊กกิ๊กในน้ำ ก็เลยต้องเดือดร้อนถึงพี่ทีมงานที่ต้องไปหาเหล็กมาตั้งค้ำไว้ในน้ำ เราก็อาศัยยืนอยู่บนท่อนเหล็ก เพราะน้ำในบ่อมันค่อนข้างลึกเหมือนกัน แต่น้องรอนเขาตีขาว่ายน้ำได้ แล้วตอนที่ถ่ายทำฉากนี้ก็ถ่ายทำตอนเข้าฤดูหนาวพอดี อากาศก็กำลังเย็นๆ เลย เราต้องแช่น้ำกันอยู่ประมาณครึ่งวัน ก็เล่นอยู่หลายเทค เพราะในกระบวนการของภาพยนตร์ต้องมีการถ่ายทำหลายมุม แล้วต้องมีการเปลี่ยนขนาดของภาพใกล้ไกล โคลสอัพ ซึ่งต้องใช้เวลาถ่ายทำในฉากนี้นานเลยทีเดียว แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน และถ้าสังเกตุดูหน้าเปรี้ยวดีๆ หลายคนอาจจะคิดว่าเปรี้ยวว่ายน้ำเป็น แต่จริงๆ ว่ายไม่เป็น แล้วในฉากนี้ตัวมาร์คพระเอกของเรื่องซึ่งรับบทโดยน้องรอนเขาเข้าใจผิดก็เลยมีการแหย่แกล้งกัน เราก็นั่งอยู่บันไดริมตลิ่ง ส่วนรอนเขาอยู่ในน้ำ เขาก็จะต่อว่า แล้วก็ดึงเราตกลงไปในบ่อน้ำ ต้องบอกว่าอากาศเย็นมาก หนาวสุดๆ อาจเป็นซีนที่ดูเหมือนว่าค่อนข้างลำบาก หรือลำบากที่สุดแต่เปรี้ยวก็คิดว่าเป็นอีกฉากที่สนุกสนานดี แล้วยังต้องมีพูดไดอาล็อคหวานๆ กุ๊กกิ๊กๆ ที่เราต้องโต้ตอบกันก็ต้องคอนเซนเทรดกับคำพูดแล้วก็ประโยคที่ต้องพูดด้วย แล้วไหนยังต้องแก้มแนบแก้ม จมูกโดนจมูก มองตาใกล้ชิดกันอีก ก็พยายามที่จะให้ออกมาดีที่สุด คือบางทีพี่เก่งผู้กำกับก็แกล้งให้เล่นอยู่หลายเทค แล้วก็เอาเทคแรกๆหรือบางทีไปเตี๊ยมกับน้องรอน พอถึงเวลาก็ให้น้องรอนนอกบทกะให้เปรี้ยวเขิน หรืออย่างมีอีกซีนหนึ่งที่ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ช่วงหน้าหนาว แต่ช่วงเวลาที่ถ่ายคือฤดูหนาวผ่านไปแล้ว มันกำลังเข้าหน้าร้อน ก็ต้องใส่เสื้อแขนยาวแล้ว พอใส่แขนยาวตอนอากาศช่วงนั้นเหงื่อก็แตกเชียว แล้วฉากนั้นหวานสุดๆ เลย เป็นฉากข้าวจี่สื่อรัก คือเปรี้ยวจะต้องไปหาน้องรอนที่เถียงนาของเขา ด้วยวัฒนธรรมของคนอีสานเวลาหน้าหนาวเขาก็จะมีผิงไฟก่อไฟ ก็มีการปิ้งข้าวเหนียวกันเอามาชุปไข่แล้วก็เอามาผิง ตอนนั้นก็คือเรามาปิ้งข้าวจี่ให้พี่มาร์คกิน แล้วตอนที่ถ่ายมีกองไฟข้างหน้าเปรี้ยวก็นั่งบนขอนไม่น้องรอนก็นั่งข้างๆ แล้วต้องผิงข้าวจี่ก่อนแล้วก็ป้อนน้องรอน น้องก็บอกพอแล้วพี่พอแล้ว คือเวลากินต้องสื่อออกมาว่าข้าวจี่หวานแต่จริงๆ แล้วข้าวจี่ชุบแป้งคลุกเกลือจะเค็มมาก ก็น่ารักดีสำหรับฉากนี้

          Q. ทราบมาว่าไม่เพียงแค่ฉากหวานๆ กุ๊กกิ๊กๆ ใน “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ต้องมีฉากแสดงอารมณ์ของแววดาวด้วยที่เปรี้ยวต้องเล่นออกมา
          P. เป็นฉากที่เกี่ยวกับโยงความสัมพันธ์ของตัวละครพ่อมาร์ค( รับบทโดย ปิยะ ตระกูลราษฎร์) กับแม่มะลิแม่ของนางเอก (รับบทโดยปริศนา วงศ์ศิริ) ในอดีตที่ส่งผลมาถึงแววดาวกับมาร์ค เป็นซีนที่ทั้งแววดาวและมาร์คต้องเสียน้ำตา สำหรับเปรี้ยวคือมันไม่ต้องเค้นเลย เป็นฉากซีนอารมณ์ของแววดาว เป็นฉากที่ต้องร้องไห้ด้วย เป็นซีนความรู้สึกของแววดาวที่จะไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็น แต่วันนั้นคือ ด้วยความที่รู้ว่าแม่มะลิรู้สึกยังไง มันเลยทำให้ร้องไห้ ด้วยความอึ้งแล้วเสียใจที่แม่รู้สึกอย่างนั้น คือตอนนั้นเปรี้ยวไม่ต้องอะไรมากมาย คืออาทุกคนทั้งอาปิยะและอาไก่ปริศนาส่งอารมณ์ถึงเราก็เลยรู้สึกว่ามันอินจริงๆ ก็คิดว่าถ้าแม่เราเป็นแบบนี้เราก็รู้สึกเศร้าเหมือนกัน เราก็เลยรู้สึกว่าไม่อยากให้แม่เสียใจเลยแสดงอารมณ์ด้วยการร้องไห้ออกมา

          Q. ร้องอยู่กี่เทค
          P. คือร้องทุกเทคเลย คือรู้สึกจริงๆ แล้วก็แม่เขาเล่นได้ดีมาก เปรี้ยวก็เลยซึ้งตาม คือสำหรับเปรี้ยวแล้วเป็นหนังเรื่องแรกที่เปรี้ยวได้ร่วมแสดงกับนักแสดงมืออาชีพ อาปริศนา อาปิยะ พี่รุ้งหนูหิ่น พี่เปิ้ลชไมพร พ่อครูนพดล และนักแสดงอีกมากมาย ยังได้เล่นกับน้องรอนเป็นครั้งแรกที่เจอกันแบบจริงจัง ตื่นเต้นมากที่จะได้เล่นแต่ละฉาก ยิ่งฉากที่เจอกับอาปริศนาที่เล่นเป็นแม่ก็เกร็งๆ เขินๆ แต่อาเขาน่ารัก เขาแนะนำเราในการปรับตัวในวงการบันเทิง การทำงานตรงนี้ต้องทำตัวยังไงถึงจะอยู่ในวงการนี้ได้นานๆ ส่วนในเรื่องการแสดงเปรี้ยวได้หยิบจับเคล็ดลับดีๆ จากพี่ๆ หลายคน แต่ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือพี่เหลือเฟือ นอกฉากกับในฉากจะคนละคนเลย พี่เขามีอินเนอร์มากๆ จะมีครั้งหนึ่งที่เปรี้ยวพูดภาษาอีสานแล้วพูดเพี้ยนไป แล้วพี่เหลือเฟือก็มาแซวเราว่าเป็นคนที่ไหน อย่างคำว่า “ไปไร่” เปรี้ยวพูดผิดเขาก็มาแนะนำว่าต้องพูดเสียงอย่างไร หรือเล่นยังไงให้มันธรรมชาติ

          Q. หนังเรื่องแรกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สำหรับเปรี้ยวใน “อีนางเอ๊ย...ได้ทำนั่นโน่นนี่เยอะมาก รวมทั้งต้องมีฉากแต่งงานด้วย
          P. ค่ะ ในหนังก็มีฉากที่เราต้องแต่งงาน ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้แต่งงานแล้ว เพราะว่าแม่อยากได้เขยฝรั่งแต่จริงๆ แล้วสำหรับเปรี้ยวตั้งแต่ได้เล่นละครมายังไม่เคยเข้าฉากแต่งงานมาก่อน แล้วหนังเรื่องแรกก็ทำให้เปรี้ยวได้แต่งงาน พี่เมคอัพช่างแต่งหน้าทำผมเขาก็มาแต่งหน้าให้แล้วผมเปรี้ยวก็สั้นมากพี่เขาก็เลยต้องดึงตั้งแต่โคนเลย ก็ทำผมให้สูงขึ้นแล้วก็ได้ชุดสวยๆ มาใส่ก็ประทับใจเหมือนกัน แล้วในฉากนี้ต้องแอบมีให้น้องรอนมาหอมแก้มด้วย แล้วก็ต้องมีฉากที่เปรี้ยวต้องหอมแก้มน้องร้อนกลับ พอเปรี้ยวหันไปน้องรอนก็เบนหน้าออก ก็เลยบอกน้องรอนว่าอย่าทำแบบนี้กับพี่สิ (หัวเราะ) ก็มีแซวกัน ก็หอมไปสองครั้งเองค่ะ คือพี่เก่งผู้กำกับเขาคงไม่เอาอะไรมาก เพราะน้องรอนไม่เต็มใจ (หัวเราะ) ของเปรี้ยวเทคเดียวแน่นเลย ไม่ให้หอมดีนักก็มีแซวบ้าง แต่พอเห็นภาพออกมาสวยมาก พี่ๆทีมงานก็บอกว่าเปรี้ยวสวยมาก (หัวเราะ) แต่ไปเพิ่มความสูงนิดหนึ่งนะลูก

          Q. หลายคนบอกว่าเปรี้ยวฉากนี้สวยมากๆ มีถ่ายรูปไปอวดใครบ้างไหมในชุดเจ้าสาว
          P. มีค่ะ พี่ๆ ทีมงานก็ถ่าย พ่อแม่เห็นก็บอกเปรี้ยวว่าแล้วจะได้แต่งจริงหรือเปล่า คือ ผู้ใหญ่เขาจะมีเคล็ด คือว่าถ้าอยากจะแต่งงานจริงๆ แล้วเรามาแสดงฉากแบบนี้กลัวว่าจะไม่ได้แต่งงานก็เลยต้องมีเคล็ดว่าให้ข้ามชุด แล้วปรากฎว่าพ่อกับแม่ก็บอกกับน้องรอนคนเดียว แต่ไม่ได้บอกเปรี้ยว เปรี้ยวก็เลยไม่ได้ข้าม แล้วต้องบอกว่าเป็นการแต่งงานแบบประเพณีอีสานแท้ๆ ก็มีขันหมาก บายศรีสู่ขวัญ ผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือ

          Q. เป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ที่นำเสนอภาพชีวิตของอีสานในยุคปัจจุบันที่สอดแทรกวิถีชีวิตภาพของอีสานรุ่นใหม่ได้อย่างกลมกลืน
          P. ค่ะเป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่พูดอีสาน เรื่องราวที่เกี่ยวข้องในหนังเรื่องนี้มีความเป็นอีสานเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต มุมมองความคิด ทัศนคติของคนอีสานในยุคปัจจุบัน แล้วก็มีหลายๆ ฉากที่สอดแทรวัฒนธรรมอีสานได้อย่างกลมกลืนและลงตัวอย่างมีอยู่ฉากหนึ่งที่เราจะต้องไปถ่ายกันที่วัดแล้วก็เป็นงานบุญ เป็นงานบุญสลากพัฒน์ เป็นฉากที่ได้เห็นวัฒนธรรมที่ประทับใจมากๆ ของชาวอีสาน คือจะมีชาวบ้านที่เขามาทำบุญที่วัดโดยปกติอยู่แล้ว เห็นแล้วเขาก็ดีใจมีทีมงานมาถ่ายหนังเขาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีแล้วน่ารักๆ มากๆ มีน้องๆ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย มาช่วยแนะนำว่าการทำบุญทำยังไง ในฉากนั้นนักแสดงหลักๆ ส่วนใหญ่ก็จะได้เข้าฉากด้วย สำหรับเปรี้ยวเป็นฉากที่อบอุ่นมากๆ คือได้เห็นวัฒนธรรมของคนไทยจริงๆ ว่าความเป็นมาเขาเป็นยังไง กว่าเติบโตมาได้เด็กๆ ทุกคนต้องมาทำบุญแบบนี้ แล้วฉากนั้นเปรี้ยวกับน้องรอนต้องไปเข้าตรงเขาวงกตต้องวิ่งกันแล้วถ้าใครวิ่งไปถึงข้างในได้คนนั้นก็จะได้ขึ้นสวรรค์แล้วยิ่งไปกับคู่รักก็จะสมหวัง แต่วันนั้นวิ่งวนกันมากเพราะเป็นเขาวงกตจริงๆ ชาวบ้านเขาช่วยกันทำ ทำให้เห็นถึงความสามัคคีกว่าจะทำขึ้นมาได้มันยากมากๆ มันเหมือนเราเล่นเกมส์ถ้าเราไปถึงได้ก็เท่ากับว่าเราเก่งมากๆ ที่จะหาทางสว่างเจอซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นกุศโลบายที่ชาวบ้านสามารถเอาพุทธศาสนามาเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต ทำให้น้องๆ ตัวเล็ก เด็กเยาวชนทุกคนจนถึงวัยรุ่นสามารถเข้าใจที่เข้ามาร่วมเล่นในเขาวงกตได้รู้ถึงความสามัคคีในหมู่บ้านในชุมชนด้วยกัน แล้วยังทำให้เด็กๆได้รู้ว่าการทำดีย่อมได้ดีก็สามารถไปสู่ทางที่ดีได้

          Q. ทราบมาจากผู้กำกับว่าในหนังเรื่องอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง มีฉากหนึ่งซึ่งเป็นฉากสำคัญที่ตัวผู้กำกับตั้งใจทำขึ้นมาเป็นการคาราวะหรือรำลึกถึงหนังไทยคลาสสิคอย่างแผลเก่าด้วย
          P. อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง ฟังดูแล้วอาจจะอีสาน แต่จริงๆ แล้วจะบอกว่าเป็นอีสานประยุกต์ เพราะว่ามีฉากหนึ่งที่พี่เก่งตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อคาราวะหนังไทยคลาสสิคอย่างแผลเก่า เป็นฉากที่มาร์คกับแววดาวต้องไปบนบานศาลกล่าวพ่อปู่ แสดงถึงความรู้สึกที่ทั้งคู่เริ่มใกล้ชิดผูกผันกันมากขึ้น ว่าจะคบหาดูใจเป็นแฟนกันแล้วนะ ก็เป็นฉากน่ารักๆ อีกฉากหนึ่ง เราจะต้องไปให้คำมั่นสัญญาต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เรานับถือ ก็เป็นฉากหนึ่งที่เราต้องการให้คนไทยเห็นถึงวัฒนธรรมว่าเราก็ยังเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ถือว่าเป็นฉากหนึ่งที่เป็นทั้งฉากบอกรักและเป็นฉากให้คำมั่นสัญญากันของแววดาวแล้วก็มาร์ค แต่ว่าแววดาวก็ยังคงความก๋ากั่น ว่าถ้ายังไม่เปลี่ยนตัวเอง ไม่ตั้งใจแล้วเรียนให้จบ แววดาวก็อาจจะเอาเขยฝรั่งก็ได้

          Q. มีฉากไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษบ้างไหม
          P. ก็มีฉากที่เปรี้ยวประทับใจมากๆก็เป็นฉากที่เปรี้ยวย้อนความสัมพันธ์ระหว่างมาร์คกับแววดาวตอนสมัยยังเด็ก แล้วเปรี้ยวต้องแปลงโฉมเป็นเด็ก ม.ต้น ตอนอายุ 14 ปี ต้องตัดผมแต่ใส่วิกผมเอาแล้วพี่ช่างผมก็ตัดผมถึงติ่งหู ไว้หน้าม้า แล้ววันนั้นจะต้องปั่นจักรยานอยู่แถวๆ เถียงนา แล้วมาร์คหรือน้องรอนก็ต้องปั่นจักรยานตามมาแซวเราเหมือนเดิม แต่เริ่มแอบดีใจว่าเขามาอีกแล้วเหรอ แต่เป็นฉากที่เปรี้ยวประทับใจมาก ด้วยความน่ารักของฉากนี้และความตลกของทรงผม คืออยากให้ดูมากว่าเปรี้ยวในวัย 14 ปีเป็นอย่างไร ไม่ใช่ลุคส์นี้แน่นอน เป็นฉากที่น่ารักแล้วก็แอบเขิน คือมาร์คเขามาแซวเรา เราก็ปั่นจักรยานไปแล้วล้มคว่ำอีกต่างหาก พอมาร์คเห็นเป็นห่วงก็จะวิ่งเข้ามาขยี้หัวเราถามว่าทำไมทำแบบนี้ แล้วน้องรอนขยี้กึ่งผลักหัวจริงหลายเทคมาก แล้วก็ต้องมีแผลถลอก หัวกระเซิง ก็จะเป็นในลักษณะคู่กัดกัน ตัวมาร์คก็จะต่อว่าแววดาวว่าช่วยแล้วไม่ขอโทษเหรอ เราก็บอกว่าไม่ขอโทษ (หัวเราะ) เป็นฉากน่ารักกุ๊กกิ๊ก น่าจะทำให้คนเห็นแล้วประทับใจได้ ด้วยความที่ไม่เคยเห็นเปรี้ยวในลุคส์นี้มาก่อน ซึ่งเบื้องหลังของฉากนี้ที่พี่ๆ ช่างทำผมต้องมารุมเปรี้ยว แล้วเขาก็เอาวิกมาให้เปรี้ยวดูทีแรก เปรี้ยวก็ถามว่าวิกทรงนี้เลยเหรอ (หัวเราะ) เลยตั้งชื่อให้เลยว่าวิกทรงเอ เวลาใส่มันเหมือนกระท่อมอยู่บนหัวแล้วพี่ช่างแต่งหน้าก็มาเติมคิ้วให้เปรี้ยวเหมือนเด็กอายุ 14 ยังไม่กันคิ้วน่ารักๆ ทำให้ผิวดำๆ คล้ำๆ เหมือนโดนแดด บอกได้ว่าพอเห็นตัวเองแล้วฮา เดินไปที่ไหนพี่ๆทีมงานก็ขำหัวเราะออกจากข้างในจริงๆ ทำให้ไม่มั่นใจในตัวเอง ตอนถ่ายก็ตะวันกำลังจะตกดินปั่นไปเห็นเงาตัวเองที่พื้นก็ตกใจ ไม่กล้าส่องกระจกเลย ก็ขำลุคส์ตัวเองที่พี่เขาแปลงโฉมมาให้

          Q. มองว่าเสน่ห์ของหนังเรื่อง “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” อยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
          P. เปรี้ยวว่า มันคือความเป็นธรรมชาติมากกว่า หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นของคนในยุคปัจจุบันตอนนี้ อย่างฝรั่งตอนนี้เข้ามามีบทบาทในอีสาน คือผู้หญิงแถบอีสานจะชอบมีแฟนป็นฝรั่งกันเยอะ แล้วลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นหนุ่มอีสานแท้ๆ แต่แล้วแฟนๆ ของเรา หรือสาวๆ ชาวอีสานหันไปปิ๊งหนุ่มฝรั่งกันหมด ทีนี้หนุ่มอีสานจะอยู่อย่างไร จะทำตัวอย่างไรกัน นี่คือเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ที่จะสะท้อนให้คนดูได้เห็นวิถีชีวิตการดำเนินชีวิตที่มีความน่ารักที่มีความจริงใจอยู่ในตัวเอง แถมเขายังอยู่อย่างพอเพียงมีความสามัคคีรักใคร่ปองดองกัน จะว่าไปแล้วเสน่ห์ของหนังเรื่องอีนางเอ้ย...เขยฝรั่งมีอยู่มากมาย สำหรับเปรี้ยวๆ มองว่าหนังเรื่องอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง คือเป็นหนังที่ทำให้ทุกคนได้รู้ว่าความเป็นธรรมชาติ ความเป็นกันเองและความน่ารักของชาวอีสาน วิถีชีวิตในการดำเนินไปของเขาเรียบง่าย พอเพียงจริงๆ โดยเฉพาะตัวบท คือตัวบทผ่านการประกวดในโครงการไทยแลนด์สคริปต์โปรเจ็กต์มาแล้วเรียบร้อยเพราะตัวบทชนะเลิศ BEST SCRIPT ซึ่งมีพี่อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร แล้วก็พี่ต้อมเป็นเอก รัตนเรืองเป็นคนสกรีน ซึ่งก็สามารถการันตีได้ถือว่าหนังเรื่องนี้คุ้มค่าแก่การดูแก่การชมแน่นอน

          Q. พูดถึงผู้กำกับ เก่ง ชิโนเรศ คำวันดี
          P. คุณผู้กำกับที่น่ารักของเปรี้ยว พี่เก่ง ชิโนเรศ ก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้ร่วมงานกับพี่เขา เพราะพี่เขาเป็นคนหนึ่งที่เปรี้ยวอยากจะขอบคุณมากกว่า ขอบคุณพี่เก่งมากๆ ที่ให้โอกาสเปรี้ยวมาเล่นกว่าจะได้มาเล่นจริงๆ เราแคสติ้งกันมาเยอะมาก พี่เก่งมั่นใจในตัวเปรี้ยว ให้โอกาสเปรี้ยวมาเล่นบทแววดาวตอนแรกพี่ทีมสหฯ โทรมาบอกเปรี้ยวว่า น้องเปรี้ยวพี่ได้เบอร์น้องเปรี้ยวมาจากคนนี้นะ น้องเปรี้ยวอยากเล่นหนังไหม ตัวเปรี้ยวเองดีใจมากๆ มีคนโทรมาชวนเล่นหนัง แต่เป็นหนังพูดอีสานทั้งเรื่องเลยนะ พี่เขาก็ให้ไปแคสท์เปรี้ยวก็ไปแคสท์ ให้แต่งชุดแบบเสื้อยืดกางเกงขาสั้น พอเข้าไปพี่เขาก็บอกว่าตัวจริงโอเคนะแล้วเขาก็บอกเลยว่าเขาเห็นเราตั้งแต่ในบ้าน แล้วเขาก็ไปเสิร์ชดูรูปเราว่าตอนนี้น้องหน้าตาเป็นยังไง ผมยาวหรือสั้น เขาก็เห็นเลยว่ามันตรงกับบทของแววดาวพี่เก่งก็เลยเลือกเปรี้ยวให้มารับบทนี้ พี่เก่งเขาน่ารักมากค่ะเป็นกันเอง แต่ว่าเขาบอกว่าใครโดนพี่เก่งดุถือว่าโชคร้ายมากๆ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เปรี้ยวเข้าฉากแล้วซ้อม มีฉากหนึ่งที่เล่นกับพี่รุ้ง เขาก็เลย เฮ้ย เล่นกันทำไม หนูก็เลยเฮ้ยพี่เก่งดุครั้งแรกเลยที่เห็นพี่เก่งดุ จริงๆ พี่เก่งเป็นคนน่ารักมากเวลาบรีฟเขาก็บรีฟบทได้เข้าใจ พอถึงตอนถ่ายก็เป็นไปด้วยดี ด้วยความที่พี่เขาเป็นกันเองแล้วก็น่ารักกับทีมงานทุกคนก็ง่ายต่อการทำงาน สำหรับพี่เก่งผู้กำกับของเรา ถึงแม้จะเป็นหนังเรื่องแรกที่กำกับการแสดง พี่เก่งก็บ่งความสามารถมากมายมานานถึง 10 กว่าปีแล้ว พี่เขาเป็นคนที่มีความสามารถสูงเป็นคนที่ละเอียด กว่าจะผ่านแต่ละฉากได้ พี่เขาต้องเช็คถึงความเรียบร้อย แล้วก็เป็นคนที่พูดอะไรชัดเจน เป็นคนที่น่าเชื่อถือกับน้องๆแล้วก็ทีมงาน แล้วพูดได้เลยว่าพอเปรี้ยวได้มีโอกาสมาเล่นหนัง ได้รู้ว่าคนทำหนังแต่ละคนให้ใจแบบสุดๆ ไปเลย ก็กว่าจะมาเป็นหนังเรื่องหนึ่งมันไม่ใช่ง่ายๆ ทีมงานแต่ละฝ่ายแต่ละแผนก ทีมงานช่างไฟ แต่ละบทแต่ละสคริปต์กว่าจะได้มา การตรียมงานถ่ายทำแต่ละฉากแต่ละซีน มีรายละเอียดเยอะมากมาย กว่าจะไปลงโลเคชั่น เห็นถึงความยากลำบากของทีมงานแล้วก็ความตั้งใจ ก็อยากให้ทุกคนช่วยสนับสนุนหนังไทยแล้วก็ไปดูหนังกันจริงๆ กว่าจะออกมาเป็นหนังเรื่องหนึ่งมันก็ยากลำบากเหมือนกัน

          Q. มาถึงตรงนี้รู้สึกว่าติดใจกับการเล่นหนังแล้วหรือยัง
          P. สำหรับงานหนังโดยเฉพาะหนังเรื่องนี้ เปรี้ยวรู้สึกชอบมากๆ เหมือนว่าเราไม่ได้มาทำงาน เพราะเป็นการทำงานที่สนุกมากๆ ก็ติดใจแล้วละค่ะ

          Q. ให้คำนิยามคำว่า “เขยฝรั่ง”
          P. คำว่าเขยฝรั่ง เปรี้ยวก็นึกถึง แถวอีสานบ้านเฮานะค่ะ ก็จะมีแบบที่ว่าบ้านนี้จะมีลูกเขยเป็นฝรั่ง อย่างเวลาเปรี้ยวกลับบ้าน ก็จะมีคุณยายแบบทั้งหมูบ้านเลย มารอรับเขยฝรั่ง ที่มาจากเมืองนอก และก็พาไปเที่ยว ก็เป็นความอบอุ่นอีกแบบหนึ่ง ก็สำหรับเรื่องเขยฝรั่งในเรื่องอีนางเอ๊ย ในมุมมองของเขยฝรั่งในเรื่องนี้ สะท้อนถึงมุมมองอีกส่วนหนึ่งที่เราอาจจะไม่เคยเห็น เพราะเราอาจจะมองฝรั่งแค่เปลือกนอก เรื่องนี้ก็ทำให้เห็นว่าฝรั่งก็จะมีหลากหลาย ที่จะสอนให้คนดูได้รู้ เกี่ยวกับจะเลือกคบยังไง แบบไหน จะทำความรู้จักกับเขาแบบไหน สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตได้ค่ะ

          Q. อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
          P. หนังเรื่องอีนางเอ้ย...เขยฝรั่ง เป็นหนังแนวตลก โรแมนติกคอมมิดี้ หนังเรื่องนี้จะสื่อถึงการดำเนินชีวิตของชาวอีสานในปัจจุบันที่มีค่านิยมเปลี่ยนไปซึ่งส่งผลกระทบต่อในชุมชน ผ่านเรื่องราวของหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็คือมาร์ค รับบทโดยน้องรอนที่อยู่มาวันหนึ่ง สาวๆ ในหมู่บ้านหันไปมีค่านิยมชื่นชอบการมีแฟนเป็นฝรั่งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพี่สาวของผู้หญิงที่เขารัก เพื่อนสนิทที่ภรรยาของเขาทิ้งไปมีแฟนเป็นฝรั่ง จนกระทั่งแววดาวผู้หญิงที่เขารัก แม่ของแววดาวก็สนับสนุนให้แววดาวมีแฟนเป็นฝรั่ง ทำให้หนุ่มอีสานคนนี้ต้องลุกขึ้นมาพิสูจน์ว่า หนุ่มอีสานก็มีอะไรดีกว่าฝรั่งนะ ไม่ได้สำมะเลเทเมาหรือเจ้าชู้อย่างที่คิด โดยตัวหนังก็จะสอดแทรกแนวคิดของคนอีสาน ค่านิยม รวมไปถึงแนวทางพระราชดำรัสของในหลวงเกี่ยวกับความพอเพียง ก็อยากให้ลองได้มาชมกันนะค่ะ ยังไงก็ติดตามภาพยนตร์เรื่อง อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง ด้วยนะค่ะ วันที่ 12 พฤษภาคม ทุกโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอน ยังไงก็ไปดูกันเยอะๆ นะค่ะ

PR on May 05, 2011, 04:12:37 PM
“ค่ายใบโพธิ์” ทำเก๋ระดมนักแสดง “เปรี้ยว-รอน AF-เปิ้ล-รุ้ง (หนูหิ่น)-ตลกเหลือเฟือ เปิดตัวหนังใหม่ “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง”




 
          “ค่ายใบโพธิ์” ทำเก๋ระดมนักแสดง “เปรี้ยว-รอน AF-เปิ้ล-รุ้ง (หนูหิ่น)-ตลกเหลือเฟือ เปิดตัวหนังใหม่ “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ภ.ที่บทชนะรางวัลภูมิใจภาครัฐ-เอกชนร่วมสนับสนุน พร้อมเซอร์ไพรส์ 3 รุ่นใหญ่ “ปิยะ-ปริศนา-นพดล” คืนจอในรอบทศวรรษ

          เล่นเปิดคอร์สสอนภาษารัก สำหรับสาวไทยทั้งหลายที่อยากติวเข้มภาษาอังกฤษพิชิตใจฝรั่งภายใต้คอนเซ็ปท์แอบเก๋ว่า “I LOVE FARANG” กลางงานแถลงข่าวเปิดตัว “อีนางเอ๊ย....เขยฝรั่ง” ภาพยนตร์โรแมนติคคอมิดี้เรื่องล่าสุดจากค่ายสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล ณ. SF MUSIC CITY มาบุญครองชั้น 7 ในวันที่ 19 เมษายน 2554 ท่ามกลางบรรดาสื่อมวลชนที่มาร่วมทำข่าวกันอย่างคับคั่ง พร้อมกับเหล่าแฟนคลับเอเอฟที่มาร่วมให้กำลังใจกันแน่นเต็มพื้นที่ งานนี้แว่วจากสายข่าววงในว่า รอน-เปรี้ยว 2 หนุ่มสาวเอเอฟออกมารับว่า เปิดซิงคู่พระ-นางร่วมกันบนแผ่นฟิล์มเป็นครั้งแรกในชีวิต

          บรรยากาศสีสันความสนุกสนานของงานเริ่มต้นด้วยการแนะนำ 3 สาว อีนางเอ๊ย 3 ลุคส์3สไตล์ เปรี้ยว เอเอฟ- อนุสรา วันทองทักษ์, รุ้ง (หนูหิ่น) ลาวัลย์ โทนะหงษา และ เปิ้ล- ชไมพร สิทธิวรนันท์ พร้อมเปิดใจด้วยคำถามช็อคโลกว่าเหตุไฉนสาวไทยถึงปันใจไปรับรัก “เขยฝรั่ง” กันหมด?? โดยได้ 2 หนุ่มไทยคละไซส์อย่าง รอน เอเอฟ- ภัทรภณ โตอุ่น และ เหลือเฟือ มกจ๊ก ร่วมเดินแบบโพสต์ในท่าเท่ห์ๆ สะกิดใจสาวๆ ว่าหากมีหนุ่มไทยรักจริงหวังแต่งที่มีดีกรีความเสี่ยวสูงปรี๊ดแบบทั้งคู่มาขอสาวๆ จะว่าอย่างไร? เกิดเป็นรอยยิ้มที่อัดแน่นไปด้วยความสนุกสนานเบิกบาฮากันชนิดท้องแข็ง จนต้องเชิญผู้กำกับหนุ่มไฟแรง เก่ง ชิโนเรศ คำวันดี ที่บ่มเพาะฝีมือเป็นผู้ช่วยผู้กำกับชื่อดังของเมืองไทยมาตลอด 13 ปี พร้อม 3 นักแสดงกิตติมศักดิ์ที่หวนคืนจอเงินในรอบทศวรรษอย่าง “นพดล ดวงพร, ปิยะ ตระกูลราษฎร์, ปริศนา วงศ์ศิริ” มาร่วมพูดคุยกันอย่างออกรสถึงเสน่ห์ความน่าสนใจของหนังรักครบรสอย่าง “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ที่ทำให้เหล่านักแสดงทั้งหมดทั้งรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ได้มาประชันบทบาทสร้างความสนุกสนานร่วมกัน จากบทภาพยนตร์ที่คว้ารางวัล

          ชนะเลิศ (BEST SCRIPT) ในโครงการเลือกเฟ้นหาบทภาพยนตร์ที่ดีที่สุดจากทั่วประเทศ THAILAND SCRIPT PROJECT ซึ่งก่อตั้งโดย อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร และ ต้อม เป็นเอก รัตนเรือง โดยสามารถเอาชนะทรีทเมนต์ภาพยนตร์ที่ส่งเข้าร่วมประกวดทั้งหมด900เรื่อง ก่อนที่ภาพยนตร์ตัวอย่างสุดจี๊ดของอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่งจะถูกเปิดขึ้นแลกกับเสียงหัวเราะแห่งความสุขจากบรรดาแขกที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง จนกระทั่งมาถึงไฮไลท์ช่วงท้ายของงานเมื่อได้รับเกียรติจากตัวแทนภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันและสร้างภาพยนตร์ดีๆ อย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็น คุณดำรง ทองสม รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม, คุณไลวรรณ ปองเสงี่ยม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวางแผนองค์กร และ คุณสุดจิตตรา คำดี ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ธนาคารอาคารสงเคราะห์, คุณภาวสุทธิ์ เนยปฏิมานนท์ Marketing Communication Manager บ.กีวีและคมคม โปรดักส์ จำกัด และ คุณอัครพล เตชะรัตนประเสริฐ ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจภาพยนตร์ไทย บ.สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนลจก. ขึ้นกล่าวถึงจุดประสงค์สำคัญที่ทำให้แต่ละหน่วยงานจับมือร่วมกันให้การสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้ ก่อนที่ผู้บริหารทั้งหมดพร้อมด้วย คุณสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บ.เอสเอฟซีเนม่าซิตี้ และเหล่าผู้กำกับและนักแสดงทุกคนขึ้นถ่ายรูปร่วมกัน

          สำหรับภาพยนตร์เรื่อง อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง พร้อมแล้วที่จะสร้างความสุขและสอดแทรกแง่คิดดีๆให้กับผู้ชมทุกๆ คน อดใจรอกันอีกนิด 12 พ.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์

PR on May 05, 2011, 04:14:20 PM
อุ๋ย-นนทรีย์ ยกนิ้ว “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” สด แปลกใหม่ ดีใจที่ถูกนำมาสร้างเป็นหนัง


 
          เป็นคนทำหนังระดับคุณภาพทั้งในฐานะผู้กำกับ, โปรดิวเซอร์, เขียนบทและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์ไทยในระดับภูมิภาคและระดับโลก พลิกบทบาทและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังไทย (2499 อันธพาลครองเมือง) ทั้งการที่หนังไทยไปสร้างชื่อเสียงในระดับโลก (นางนาก, จันดารา) การร่วมทุนสร้างภาพยนตร์ไทยกับต่างประเทศ (อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต) รวมทั้งเป็นผู้ริเริ่มโครงการสนับสนุนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสร้างรากฐานให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมาโดยตลอดและล่าสุดกับโครงการไทยแลนด์สคริปต์โปรเจ็คต์เฟ้นหาบทภาพยนตร์ที่ดีที่สุดจากทั่วประเทศ ที่ “อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร” จับมือกับ “ต้อม เป็นเอก รัตนเรือง” คัดเลือกทรีทเมนต์ภาพยนตร์ 900 เรื่อง ให้เหลือเพียงเรื่องเดียวเพื่อมอบรางวัล ชนะเลิศ BEST SCRIPT และล่าสุดบทภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว White Buffalo ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โรแมนติคคอมิดี้ที่มีชื่อว่า “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ซึ่งกำลังจะเข้าฉายในเร็ววันนี้แล้ว ซึ่งอุ๋ยนนทรีย์ได้ให้ความคิดเห็นถึงความดีของบทภาพยนตร์เรื่องนี้รวมไปถึงเสน่ห์ความน่าสนใจที่มีอยู่ในตัวบทภาพยนตร์ซึ่งทำให้ตัดสินให้เป็นบทภาพยนตร์ชนะเลิศให้ฟังว่า

          “ผู้เขียนบทเรื่องนี้สามารถหยิบวัฒนธรรมพื้นบ้าน มุมมองท้องถิ่นแบบของเขาเองมานำเสนออย่างแข็งแรง คือถ้าผมอยู่ภาคอีสานแบบนั้นแล้วผมต้องพยายามเขียนถึงกรุงเทพเนี่ยะ ก็จะไม่เข้าใจกรุงเทพจริงๆ ว่าเป็นยังไง แต่ถ้าเกิดเขาพูดถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เกิดในท้องถิ่นของเขา เขาจะรู้เห็นทุกซอกทุกมุม เพราะฉะนั้นจุดที่เด่นมากๆ คือเขาสามารถนำเรื่องรอบตัว วัฒนธรรมท้องถิ่นมานำเสนอ แล้วบังเอิญเรื่องที่นำเสนอเป็นเรื่องของอารมณ์ขันและการเสียดสี เขาฉลาดมากที่ให้พระเอกเรียนรามคำแหง แต่เรียนไม่จบเพราะติดวิชาภาษาอังกฤษ และพอเขากลับบ้านเขาก็จะโดนต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกันมาแย่งชิงเอาของรักของหวงซึ่งคือผู้หญิงในหมู่บ้านไปทีละคนสองคน เพราะฉะนั้นอุปสรรคของเขามันก็การใช้ภาษาอังกฤษ จนในที่สุดพระเอกก็ลุกขึ้นมา เปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างในตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ได้จมอยู่กับปัญหา ไม่ได้จมอยู่กับความทุกข์ คือเขาทำให้เห็นว่าการเข้าใจปัญหา และมองการแก้ไขปัญหาว่าปัญหานั้นเกิดจากอะไร และหยิบนำเอามาตอบโจทย์ มันก็เลยทำให้เป็นการนำเสนอที่ชัดเจน เขาก็เห็นภาพว่ามันเป็นยังไง ถ้ามีฝรั่งมาเอาผู้หญิงในหมู่บ้านเขาจะมายังไง บางคนก็มาจริง บางคนก็มาหลอก เพราะฉะนั้นเลยทำให้ความแข็งแรงของเรื่องมีอยู่มาก และที่สำคัญที่สุดคือความน่ารักของการเล่าเรื่องของเขา เขาจะสอดแทรกความน่ารักเข้าไป นอกเหนือจากเรื่องราวที่แข็งแรงแล้ว ยังมีรายละเอียดที่น่ารัก ตอนได้อ่านบทแล้วรู้สึก โอ้โห! เจ๋งจริงๆ คือนอกจากมีความใหม่ แล้วยังสามารถจะนำเอาวัฒนธรรมท้องถิ่น มาผสมผสานกับวัฒนธรรมต่างๆ ให้เข้ากับเรื่อง ให้มันกลมกลืน ออกมาได้โดดเด่นมาก จุดนั้นทำให้คณะกรรมการเห็นพ้องต้องกัน เป็นเอกฉันท์ เรื่องนี้ไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครยกมือแย้งเลย บางเรื่องอาจจะมี แต่เรื่องนี้ไม่มี มันดูเหมือนเป็นเรื่อง แต่ในความคิดความอ่านของคนเขียนมันใหม่ มันมีความสด สำคัญที่สุดคือหนังเรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่องที่แตกต่างจากสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ และที่สำคัญเลยคือความเป็น แบล็ค คอมเมดี้ ก็เป็นหนังตลกที่มีความเสียดสีอยู่ คือไม่ได้ตลกด้วยไดอาล็อค มานั่งตลกกันหรือตลกกันด้วยท่าทาง คือมันเป็นความตลกที่อยู่ในเรื่องราว คือความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความแตกต่างทางภาษา แตกต่างทางความคิด อันนี้เป็นสิ่งที่หนังเรื่องนี้โดดเด่นมาก”

          จนถึงวันนี้บทภาพยนตร์ดังกล่าวกำลังจะโลดแล่นเป็นภาพเคลื่อนไหวบนแผ่นฟิล์มในที่สุด ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของบุคคลที่ได้มีส่วนร่วมที่ทำให้บทภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่รู้จักของผู้คน อุ๋ย-นนทรีย์ก็ได้ฝากให้กำลังใจไปยังคนทำหนังทุกคนที่ทำให้ฝันได้กลายเป็นจริง

“สำหรับเรื่อง White Buffalo (อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง) เป็นเรื่องที่มีมติเป็นเอกฉันท์สำหรับกรรมการทุกท่าน ที่จะให้บทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รางวัล หลังจากที่ได้รางวัลบทไป ก็ดีใจที่ได้ข่าวว่าได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับ White Buffalo และก็อยากให้ทุกคนให้กำลังใจกับ White Buffalo ด้วย เพราะนี่คือความสดใหม่ ที่แตกต่าง ที่เราจะได้เห็นกันจากที่ตัวหนังถูกนำเสนอไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่น ความขัดแย้งทางความคิด ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม หรอความขัดแย้งทางภาษา เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เรื่องการเสียดสีเรื่องราวต่างๆ ทางสังคม ของเรื่อง White Buffalo ก็ติดตามชมกันนะครับ”

PR on May 10, 2011, 11:55:47 AM
รอนเปรี้ยวบุกข้าวสาร ชวนฝรั่งพูดไทยตามสไตล์อีนางเอ๊ยฯ





          ในภาพยนตร์เรื่องอีนางเอ๊ย เขยฝรั่ง ถึงหนุ่มมาร์ค (รอน) ทำท่าว่าจะเสียดุลให้ฝรั่ง เพราะผู้สาวแววดาว (เปรี้ยว) มีหนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวมาเกาะติด แถมเจ้าตัวยังสอบไม่ผ่านเพราะวิชาภาษาอังกฤษเจ้าปัญหา แต่ในชีวิตจริงหนุ่มรอน -ภัทรภณ โตอุ่น เอ่ยปากชัดเจนว่าไม่มีทางยอมเป็นแน่ วันนี้เลยถือโอกาสควงสาวเปรี้ยว - อนุสรา วันทองทักษ์ มาร่วมแจก “คู่มือ ฟุตฟิต ฟอร์ฟัน พจนานุกรม ไทย-อังกฤษ ฉบับ อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบริเวณถนนข้าวสาร ในกิจกรรม “Speak ไทย โดนใจอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง”

          ว่าแล้วหนุ่มรอนสาวเปรี้ยวก็ไม่รอช้า รีบบุกเข้าไปยังใจกลางถนนข้าวสารในบรรยายกาศที่ร้อนระอุแบบสุดๆ เพื่อแจกคู่มือให้นักท่องเที่ยวที่มายังถนนแห่งนี้ ซึ่งคู่มือฉบับนี้ บอกแล้วว่าเป็นในแบบฉบับของอีนางเอ๊ย เขยฝรั่ง ก็แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีภาษาไทยในสำเนียงแบบอีสานด้วยเด้ออออ เพราะจุดมุ่งหมายของวันนี้ไม่ใช่แค่การแจกคู่มือและสอนฝรั่งพูดไทยเฉยๆ แต่ต้องสอนพูดภาษาอีสานให้ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย (โอ้วววว อย่างยากกก) ซึ่งก็แน่นอนว่านักท่องเที่ยวต่างก็กรูกันเข้ามาให้หนุ่มรอนสาวเปรี้ยวสอน Speak อีสาน ไม่ว่าจะเป็นประโยคเบสิคอย่าง “แซ่บอีหลีเด้อ” หรือ “บ่เป็นหยัง” ยังมีประโยคน่ารักๆ อย่าง “เจ้ามีแฟนบ่” “ข่อยฮักเจ้า” (แหมมมมม ทำเอาฝรั่งเขิน) แต่เท่านั้นยังไม่พอ ไหนๆ ก็มาถึงถนนข้าวสารแล้ว หนุ่มรอนและสาวเปรี้ยวก็เลยขอทำหน้าที่เป็นด์แนะนำชาวต่างชาติให้ลองชิมอาหารขึ้นชื่อของบ้านเราอย่างผัดไทด้วยเลย แถมยังสอนพูดภาษาไทยไปด้วยในตัวอีกต่างหาก

รอน “ปกติเค้าจะมีแต่สอนภาษาไทยให้พูดแต่ภาษากลางใช่มั้ยครับ แต่วันนี้อีนางเอ๊ย เขยฝรั่งขอแหวกแนวมาสอนแบบสำเนียงอีสาน ซึ่งผมว่าฝรั่งเค้าให้ความสนใจกันมากเลยนะครับ เพราะคงไม่ค่อยมีใครมาสอนมาชวนให้พูดแบบนี้ มันเป็นสำเนียงที่มีสเน่ห์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ ยิ่งเวลาสอนให้เค้าพูดบอกรักแบบภาษาอีสานจะยิ่งน่ารักมาก เห็นได้จากฝรั่งคู่รักที่ผมกับเปรี้ยวสอนให้เค้าพูด ข่อยฮักเจ้า เค้ามีแอบเขินเล็กน้อยด้วยครับ แต่ทุกคนจะให้เห็นลีลาการจีบกันเป็นภาษาอีสานกันแน่นอนครับในภาพยนตร์อีนางเอ๊ย เขยฝรั่ง หวังว่าทุกคนจะมาติดตามนะครับ”

          เปรี้ยว “วันนี้บัคมาร์ค (รอนในเรื่อง) ปฏิวัติแล้วคะ ไม่ตกภาษาอังกฤษแล้ว เพราะวันนี้ได้มาเป็นติวเตอร์ให้นักท่องเที่ยวที่ถนนข้าวสาร Speak อิงลิช Speak กันไฟแล่บ (ฮ่าๆๆๆๆๆ) ต้องบอกว่าสนุกมากแล้วก็ดีใจมากที่ฝรั่งให้ความสนใจกับภาษาไทยโดยเฉพาะภาษาอีสานของเรา แต่ละประโยคที่สอนเค้าก็สามารถเอาไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เอาไว้จีบสาวยังได้เลย ขนาดฝรั่งเค้ายังให้ความสนใจอีนางเอ้ย เขยฝรั่งกันขนาดนี้ ยังไงเปรี้ยวก็ขอฝากให้คนไทยมาช่วยกันติดตามภาพยนตร์ไทยน่ารักๆสไตล์อีสานเรื่องนี้ด้วยนะคะ “

เรามารอดูกันซิว่าหนุ่มรอนและสาวเปรี้ยวจะเว่าอีสานกันดุเด็ดเผ็ดมันแค่ไหน ยังไงแฟนๆ ก็อย่าลืมไปให้กำลังใจกันได้ใน “อีนางเอ๊ย เขยฝรั่ง” 12 พฤษภาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: May 10, 2011, 12:08:18 PM by PR »