จีเอ็ม เผยผลประกอบการไตรมาสแรกทะลุเป้า กวาดรายได้สุทธิรวม 900 ล้านเหรียญและมีกำไรต่อหุ้นคิดเป็น 1.66 เหรียญ
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอมพานี ประกาศผลประกอบการของไตรมาสที่หนึ่งประจำปี 2553 วันนี้ โดยมีรายรับสุทธิรวม 31,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1,020,600 ล้านบาท) และรายได้จากการดำเนินธุรกิจรวม 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (38,880 ล้านบาท) ส่วนรายได้สุทธิตามมูลค่ามาตรฐานสำหรับผู้ถือหุ้นทั่วไปคิดเป็น 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (29,160 ล้านบาท) ส่งผลให้มีกำไรปรับลดต่อหุ้น (Diluted EPS) อยู่ที่ 1.66 เหรียญสหรัฐฯ (53.78 บาท)
รายรับก่อนการหักดอกเบี้ยและภาษีในไตรมาสแรกของจีเอ็ม (EBIT) คิดเป็นมูลค่า 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (55,080 ล้านบาท) โดยไม่รวมถึงผลกระทบเชิงบวก ที่เกิดจากการขายแบรนด์ซาบบ์ของบริษัทฯ
จีเอ็ม อเมริกาเหนือ มีมูลค่ารายรับก่อนการหักดอกเบี้ยและภาษีในไตรมาสแรกของปี 2553 จำนวน 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (38,880 ล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากความสูญเสียมูลค่า 3,400 ล้านเหรียญ (110,160 ล้านบาท) ในไตรมาสที่สี่ของปี 2552 ที่ผ่านมา ส่วนทางจีเอ็ม ยุโรป มีมูลค่าความสูญเสียก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเป็นจำนวน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (16,200 ล้านบาท) ซึ่งเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 300 ล้านเหรียญ (9,720 ล้านบาท) จากไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้ว ในส่วนของจีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่นส์ ได้บันทึกมูลค่ารายรับก่อนการหักดอกเบี้ยและภาษีจำนวน 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (38,880 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (16,200 ล้านบาท) จากไตรมาสที่สี่ของปี 2552
กระแสเงินสดจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจคิดเป็นมูลค่า 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (55,080 ล้านบาท) และหลังจากมีการปรับเปลี่ยนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจำนวน 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (22,680 ล้านบาท) แล้ว กระแสเงินสดที่เหลืออยู่หลังจากกิจกรรมต่างๆทางการค้าคิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (32,400 ล้านบาท) จีเอ็มปิดไตรมาสที่หนึ่งอย่างสวยงามด้วยเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดคิดเป็นมูลค่า 35,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1,156,680 ล้านบาท)
“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับผลประกอบการของเราในไตรมาสแรก ซึ่งสามารถทำกำไรได้อย่างประสบความสำเร็จ” มร. คริส ลิดเดลล์ รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน กล่าว “ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ เราจะมีการเพิ่มการผลิตเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในทั้งสี่ แบรนด์ของเรา นอกจากนี้เรายังสร้างความเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอในตลาดใหม่ ด้วยการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ภายใต้เป้าหมาย พร้อมทั้งสร้างกระแสเงินสดให้อยู่ในสภาพคล่องและรักษาบัญชีงบดุลของเราให้มีความเหมาะสม เหล่านี้คือก้าวย่างที่สำคัญในการปูพื้นฐานเพื่อความสำเร็จให้กับจีเอ็ม”
ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีเอ็มยังคงรักษาความมั่นคงของธุรกิจด้วยแผนกลยุทธ์สร้างความเติบโตในด้านต่างๆ โดยที่ตลาดทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทย มีการบันทึกความเติบโตสูงขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2553 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
มร. มาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการ ประธานกรรมการ จีเอ็ม ประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงความคิดเห็นว่า “สำหรับในประเทศไทยเองแล้ว เราได้บันทึกอัตราการเติบโตถึง 42% ในสี่เดือนแรกของปี 2553 นี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงมีการเติบโตโดยเฉลี่ยคิดเป็น 40% ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย”
“สามโครงการหลักของเรา ไม่ว่าจะเป็น โรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซล รถกระบะสายพันธุ์ใหม่ และรถเอนกประสงค์สายพันธุ์ใหม่ ทั้งหมดยังอยู่ในระหว่างการดำเนินงานตามแผนที่ได้วางไว้ พันธะสัญญาของเราที่มีต่อประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง” มร. แอพเฟล กล่าวเสริม
เกี่ยวกับ เจนเนอรัล มอเตอร์ส
เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอมพานี หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2451 มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองดีทรอยท์ จีเอ็ม มีพนักงาน 217,000 คนใน 140 ประเทศทุกในภูมิภาคทั่วโลก จีเอ็ม มีฐานการผลิตรถยนต์ และรถปิกอัพอยู่ใน 34 ประเทศ และจำหน่ายรถแบรนด์ที่มีชื่อเสียง อย่าง บูอิค คาดิลแลค เชฟโรเลต เอฟเอดับเบิลยู จีเอ็มซี จีเอ็มแดวู โฮลเด้น โอเปิล วอกซ์ฮอลล์ และวูหลิง ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของจีเอ็ม อยู่ในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยจีน บราซิล เยอรมนี สหราชอาณาจักร แคนาดา และอิตาลี แผนกออนสตาร์ของจีเอ็ม นั่นถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมความปลอดภัย และการให้บริการข้อมูลในรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ดำเนินงานแทนเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจีเอ็ม ใหม่ คลิกเข้าชมได้ที่
www.gm.com