enjoyjam.net

news & activity => news & activity => Topic started by: du_sit on September 25, 2020, 08:18:33 PM

Title: กรมอนามัยร่วมกับไบเออร์ไทย รณรงค์สังคมไทยหยุดท้องไม่พร้อม
Post by: du_sit on September 25, 2020, 08:18:33 PM
กรมอนามัยร่วมกับไบเออร์ไทย รณรงค์สังคมไทยหยุดท้องไม่พร้อม
 
สนับสนุนการตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพในวันคุมกำเนิดโลก 2563





นายแพทย์พีระยุทธ สานุกูล ผู้อำนวยการสำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข


25 กันยายน 2563 กรุงเทพฯ – สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด ร่วมรณรงค์ลดปัญหาการท้องไม่พร้อมในวัยรุ่นไทย พร้อมสร้างการตระหนักถึงการวางแผนครอบครัวเพื่อส่งเสริมให้เกิดการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในวันคุมกำเนิดโลก 2563 (ซึ่งตรงกับวันที่ 26 กันยายน ของทุกปี)

นายแพทย์พีระยุทธ สานุกูล ผู้อำนวยการสำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือท้องไม่พร้อมในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นยังเป็นปัญหาที่น่าวิตกและจำเป็นต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้มีการเกิดอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้เกิดการวางแผนครอบครัวอย่างยั่งยืนในสังคมไทย

กรมอนามัย พบว่า ในปี 2562 สถิติการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น อายุ 15-19 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 169 คน โดยมีวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 15 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 6 คน เปรียบเทียบกับ ปี  2543 พบว่าวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 240 คน และในอายุต่ำกว่า 15 ปี คลอดบุตรวันละ 4 คน

ทั้งนี้ในปี 2562 พบว่า จำนวนหญิงคลอดอายุต่ำกว่า 20 ปี มีอยู่ 63,831 ราย โดยแยกหญิงคลอดอายุระหว่าง 15-19 ปี มีจำนวน 61,651 ราย หญิงคลอดอายุต่ำกว่า 15 ปี มีจำนวน 2,180 ราย และยังพบว่าหญิงตั้งครรภ์ซ้ำและคลอดอายุต่ำกว่า 20 ปี มีถึง 5,222 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.2

              “แม้ว่าสถานการณ์ท้องไม่พร้อมในวัยรุ่นจะมีแนวโน้มพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกันป้องกันปัญหาทางสังคมที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้เรื่องปัญหาที่เป็นผลตามมาจากการท้องไม่พร้อม การเป็นคุณแม่วัยใสอาจส่งผลกระทบต่อการเรียน รวมถึงสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจของคุณแม่ที่อายุน้อยอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนให้วัยรุ่นสามารถปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิดกับผู้ปกครองหรือเภสัชกรได้อย่างเปิดเผยมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าอาย แต่เป็นการทำเพื่ออนาคตของตัวเอง”





แพทย์หญิง ปานียา สูตะบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด


              ด้าน แพทย์หญิง ปานียา สูตะบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไบเออร์ในฐานะหนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านเภสัชกรรมที่มีความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพผู้หญิงและยาฮอร์โมนคุมกำเนิด กล่าวว่า ไบเออร์มีนโยบายสนับสนุนโครงการวางแผนครอบครัวโดยร่วมมือกับเครือข่ายภาครัฐและภาคประชาสังคมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และมีเจตนารมณ์ในการร่วมกันลดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งพบการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรและตั้งครรภ์ซ้ำ สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งคือการขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการคุมกำเนิดอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในปีนี้ เป็นวาระครบรอบ 60 ปี ของการคิดค้นยาเม็ดคุมกำเนิด โดยหลังจากมีการแนะนำยาเม็ดคุมกำเนิดครั้งแรกในปีพ.ศ. 2503 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสในการวางแผนชีวิตและครอบครัวได้ดีมากยิ่งขึ้น 

พญ.ปานียา กล่าวว่า ยาเม็ดคุมกำเนิดสามารถช่วยให้ผู้หญิงสามารถควบคุมการวางแผนครอบครัวได้ดีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในภาพรวมกลับยังพบว่าในระหว่างปี 2553-2557 มีจำนวนผู้หญิงที่ตั้งท้องไม่พึงประสงค์ถึง 99 ล้านคน ซึ่งโดยประมาณร้อยละ 56 เลือกที่จะทำแท้ง นอกจากนั้นมีการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญประมาณการว่าสถิติร้อยละ 44 ของผู้หญิงตั้งครรภ์ทั่วโลก เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยสถิติการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ ร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับสถิติในประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่ร้อยละ 45
 
สำหรับเรื่องการรณรงค์ส่งเสริมให้ความรู้ต่อเยาวชนและผู้หญิงวัยทำงาน สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัยได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการให้ความรู้ในโรงเรียน และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นี้ ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมสัมมนาในสถานที่ดังกล่าวได้ จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมมาใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้นผ่านทาง facebook.com/younglovethailand และ Line@YoungLove เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกับกลุ่มวัยรุ่น ที่หันมาใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิดมากยิ่งขึ้น   

กิจกรรมที่จัดขึ้นจะมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ที่ถูกต้องแก่กลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้ได้รับข้อมูลในการป้องกันตนเองจากปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ด้วยวิธีการที่หลากหลายและปลอดภัย ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน อาทิ ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย ฯลฯ  พร้อมส่งเสริมการมีบุตรเมื่อพร้อม





แพทย์หญิง วรมา เกษมพิพัฒน์ชัย โรงพยาบาลจุฬาภรณ์


สำหรับในวันคุมกำเนิดโลก ปี 2563 นับเป็นปีที่ 13 แห่งความร่วมมือที่ สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย ร่วมกับ ไบเออร์ ไทย จัดกิจกรรมรณรงค์ลดปัญหาการท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น โดยจัดให้มีกิจกรรม Facebook Live ผ่าน facebook “Young Love รักเป็น ปลอดภัย” ในวันที่ 24 กันยายน 2563 ได้รับเกียรติจากแพทย์หญิงวรมา เกษมพิพัฒน์ชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นวิทยากร และดำเนินรายการโดยคุณกวาง อริศรา เจ้าของเพจ Deerlong (เดียร์ลอง) เพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้เรื่องการคุมกำเนิดที่เหมาะสมในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถคลิกเข้าไปรับชมวิดีโอ และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ facebook.com/younglovethailand และ Line@YoungLove

แพทย์หญิง วรมา เกษมพิพัฒน์ชัย โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวถึง ทางเลือกของการคุมกำเนิด ในสังคมยุคปัจจุบัน ควรมีการเน้นย้ำเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (safe sex) โดยต้องปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ เพราะฉะนั้นวิธีการคุมกำเนิดที่ดีที่สุด คือการใช้วิธีคุมกำเนิด 2 วิธี (dual protection) โดยใช้ถุงยางอนามัยร่วมกับวิธีอื่นอีก 1 วิธี การคุมกำเนิดวิธีอื่นๆ ได้แก่ ยาฝังคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด และยาเม็ดคุมกำเนิดที่เรารู้จักกันดี ซึ่งวิธีคุมกำเนิดแต่ละวิธีก็มีข้อดี ข้อเสีย สามารถเลือกนำมาใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือมีช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและบริการรับการปรึกษาวิธีการคุมกำเนิดต่างๆได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง

เนื่องในโอกาสวันคุมกำเนิดโลก 2563 หรือWorld Contraception Day 2020 ในต่างประเทศ ไบเออร์ ยังร่วมกับ 15 องค์กรพันธมิตรนานาชาติ ดำเนินการผ่านโครงการ Your Life จัดให้มีกิจกรรมรณรงค์เพื่อลดปัญหาท้องไม่พึงประสงค์และส่งเสริมให้เกิดความรู้การคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง ภายใต้แนวคิด #60YRSOFEMPOWERMENT ทางเว็บไซต์ www.yourlife.com นับเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นขององค์กรภาคีที่ดำเนินกิจกรรมนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 พร้อมกันใน 70 ประเทศทั่วโลก