“มีความลึกลับเสมอระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง”
ถาม-ตอบ กับผู้เขียนบทและผู้กำกับ โซเฟีย คอปโปลา
ถาม: คุณเคยพูดว่าคุณพยายามทำหนังที่มีความเป็นส่วนตัว อะไรคือความเป็นส่วนตัวสำหรับคุณเกี่ยวกับ The Beguiled
โซเฟีย คอปโปลา: กับหนังเรื่องไหนก็ตาม ฉันไม่เคยรู้จนกระทั่งหลังจากนั้น สิ่งต่างๆที่ฉันเคยเห็นมา ผู้คนที่ฉันรู้จักกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
แต่ฉันมักสนใจวิธีที่ผู้หญิงมีปฏิสัมพันธ์กัน และฉันได้เห็นว่าบางครั้งพวกเธอเปลี่ยนไปยังไงเวลาที่มีผู้ชายอยู่
ถาม: ถ้าอย่างนั้น The Beguiled คือการกลับไปการทำงานที่มีธีมเกี่ยวกับกลุ่มผู้หญิง หรือชุมชนของผู้หญิงที่พัฒนาไป หรือกำลังเปลี่ยนแปลงไปใช่มั้ย ใน The Virgin Suicides มีพี่น้องผู้หญิงในชุมชน ใน Marie Antoinette มีราชสำนักที่เป็นโลกของตัวเอง และใน The Bling Ring ก็มีกลุ่มของตัวเองที่ลงเอยด้วยการทำผิดกฎหมาย
คอปโปลา: ใช่ ฉันมักจะชอบสังเกตความกระตือรือร้นของคนที่อยู่กันเป็นกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้หญิง ฉันรู้สึกว่าพลังในกลุ่มผู้หญิงสามารถซ่อนเร้นไว้ข้างในได้มากและแยบยล ในขณะที่ผู้ชายจะชัดเจนมากกว่า
เรื่องนี้ก็เลยดึงดูดใจฉัน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง และทำให้ฉันนึกถึง The Virgin Suicides นิดหน่อย จากการที่พวกผู้หญิงถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และเพราะจริงๆแล้วฉันไม่เคยทำหนังเกี่ยวกับผู้หญิงหลากหลายวัยในจุดที่ต่างกันของชีวิต และพวกเธอสัมพันธ์กับแต่ละคนยังไง ในเรื่องนี้ ผู้หญิงแต่ละคนสัมพันธ์กับผู้ชายคนนี้แตกต่างกัน
ถาม: มีกลุ่มอายุแตกต่างกันสี่รุ่น คือมิสมาร์ธา, เอ็ดวินา, อลิเชีย และรุ่นเด็กลงมาหน่อย
คอปโปลา: แต่ละคนมีความสัมพันธ์ของตัวเองกับแม็คเบอร์นีย์
ถาม: คุณพบข้อมูลต้นเรื่องอย่างนิยายเรื่อง The Beguiled ของโทมัส คัลลิแนนตอนไหนและเจอได้ยังไง
คอปโปลา: เพื่อนฉันและคนออกแบบงานสร้าง แอนน์ รอสส์ เคยบอกฉันเกี่ยวกับหนังเรื่อง The Beguiled ซึ่งฉันไม่เคยดู แต่รู้ว่าเป็นหนังที่ได้รับการชืนชมอย่างมาก พอฉันดูหนัง เรื่องราวในหนังก็ค้างคาใจฉัน ตรงที่มันแปลกและการพลิกผันก็คาดไม่ถึง ฉันไม่เคยคิดจะเอาหนังเก่ามาสร้างใหม่ แต่ฉันอยากรู้ เลยไปเอาหนังสือที่เป็นต้นเรื่องมา
ฉันคิดในใจว่า ถ่ายทอดเรื่องราวนี้อีกครั้งจากมุมมองของผู้หญิงดีมั้ย ดังนั้น The Beguiled จะเป็นการตีความใหม่ เต็มไปด้วยสมมุติฐาน เพราะพลังและความมีชีวิตชีวาระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงมันเป็นสากล มีความลึกลับเสมอระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง “โอ ทำไมเขาพูดแบบนั้น (หัวเราะ)”
ถาม: คุณคิดเรื่องเปลี่ยนฉากของเหตุการณ์ในหนังสือมั้ย
คอปโปลา: คนพูดกับฉันว่า “คุณอาจจะเปลี่ยนฉากเป็นเหตุการณ์อื่นก็ได้” แต่ฉันรู้สึกสนใจภาคใต้ยุคสงครามกลางเมือง และวิธีที่ผู้หญิงถูกเลี้ยงดูมาในสมัยนั้น เรืองความสัมพันธ์กับผู้ชาย เรื่องการต้องเป็นคนอ่อนช้อยและมีเสน่ห์ และการเป็นเจ้าบ้านที่ดี บทบาททั้งหมดของพวกเธอเกี่ยวข้องกับผู้ชาย แต่แล้วพวกผู้ชายก็ไม่อยู่ มันเป็นยังไงบ้างสำหรับพวกเธอ กับการถูกทิ้งให้ต้องดำรงชีวิตและประคองตัวให้รอดด้วยตัวเอง
ถาม: งั้นนี่ก็ไม่ใช่หนังรีเมค แต่เป็นการดัดแปลงจากหนังสือมากกว่า ซึ่งคุณเคยทำมาก่อน หนังสือบอกเล่าเรื่องราวจากมุมมองของผู้ชายหรือเปล่า
คอปโปลา: เปล่า หนังสือเขียนโดยผู้ชายแต่ถ่ายทอดผ่านมุมมองของผู้หญิง แต่ละบทก็จะเป็นผู้หญิงคนหนึ่งมาบอกเล่าเรื่องราวของเธอ
ถาม: อะไรจากหนังสือที่คุณเลือกที่จะนำเสนอ หรือในทางกลับกัน เลือกที่จะตัดทิ้ง
คอปโปลา: มีบางส่วนที่ฉันรู้สึกว่ามันมากเกินไป ถึงแม้เรื่องราวจะแรงขึ้นพอสมควร ฉันอยากให้รู้สึกสมจริงและสัมผัสได้มากที่สุดที่เป็นไปได้
ในหนังสือ ทหารเป็นคนไอริช ตอนฉันพบกับโคลิน ฟาร์เรลล์และได้ยินสำเนียงไอริชปกติของเขา ฉันคิดว่าถ้าคงไว้ในหนังคงจะเยี่ยมมาก และทำให้แม็คเบอร์นีย์เป็นคนต่างถิ่นยิ่งขึ้นสำหรับพวกผู้หญิง และเราก็สร้างเรื่องอ้างอิงว่าเขาเป็นทหารรับจ้างที่ถูกจ้างให้มาทำหน้าที่แทนทหารคนอื่น (ในฐานะทหารฝ่ายเหนือ) แต่ฉันอยากให้เขาดูมีเสน่ห์ ไม่อยากให้ชัดเจนว่าเขาจะเป็นตัวปัญหา จากมุมมองของพวกผู้หญิง มันคือ “ฉันอยากเชื่อเขา” ซึ่งกับโคลิน เขาให้สิ่งนั้นได้
ถาม: ใช่ การดูพวกเธอกับเขาบนจอ คุณได้ความรู้สึก...ถ้าไม่เชิงหวังนะ ว่าสิ่งต่างๆอาจจะไม่เลวร้ายลงและระเบิดออกมา
คอปโปลา: พวกผู้หญิงต้องรู้สึกหวัง โดยเฉพาะตัวละครเอ็ดวินาของเคียร์สเตน ดันสต์ สำหรับแม็คเบอร์นีย์ เขาได้ตามเป้าหมายและมีความสุขมาก พวกเธอทุกคนช่วยดูแลเขา และแต่งตัวสวยๆเพื่อเขา
เราพูดถึงพวกผู้ชายที่มีเสน่ห์แต่เป็นคนที่คุณไม่ควรจะไว้ใจ ถึงแม้คุณอยากจะไว้ใจใช่มั้ย ฉันรู้สึกว่าทุกคนเข้าใจเรื่องนั้นได้ ทุกคนเคยเจอมาก่อน
ถาม: ในหนังเวอร์ชั่นปี 1971 มีตัวละครที่เป็นอาฟริกัน-อเมริกัน คือแฮลลี แสดงโดยเม เมอร์เซอร์ คุณคิดเรื่องถ่ายทอดเรื่องราวของเธอในหนังมั้ย
คอปโปลา: ฉันไม่อยากให้มีตัวละครที่เป็นทาสใน The Beguiled เพราะนั่นเป็นประเด็นที่สำคัญมาก และฉันไม่อยากนำเสนอแค่ผิวเผิน หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ถูกทอดทิ้งในช่วงสงคราม
ถาม: และในหนังของคุณมีเด็กผู้หญิงอยู่ที่โรงเรียนน้อยกว่าใน The Beguiled...
คอปโปลา: ความคิดของเราคือคนส่วนใหญ่ไปจากโรงเรียนแล้ว
ถาม: คุณให้มิสมาร์ธาพูดถึงเรื่องที่เธอส่งเด็กนักเรียนส่วนใหญ่กลับบ้านแล้ว
คอปโปลา: ใช่ มันเลยยิ่งรู้สึกถูกทอดทิ้ง
ถาม: เมื่อกี้คุณพูดว่าเรื่องราวของหนังมันแรงขึ้น คุณสนุกมั้ยในการก้าวเข้าไปในส่วนที่เป็นความตื่นเต้นของโครงเรื่อง
คอปโปลา: ฉันนึกถึงหนังเรื่อง Misery ในเรื่องนั้นผู้ชายเป็นแขกและนักโทษ เป็นหนังปี 1990 ที่ฉันได้ดูตอนออกฉาย หนังเรื่องนั้นติดอยู่ในใจฉัน แต่มันเป็นความท้าทาย เพราะฉันไม่เคยทำอะไรแบบเรื่องนี้มาก่อนเลย มันอยู่นอกขอบเขตความเคยชินของฉัน แต่ฉันก็ยังคงทำในแบบของฉันอยู่ ฉันต้องรีดสิ่งต่างๆออกมามากขึ้น เพราะปกติแล้วฉันจะยั้งไว้ มันสนุกที่มีพล็อตและฉากที่สวยงามราวบทกวีอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน (หัวเราะ)
ถาม: คุณเคยทำหนังเรื่องอื่นๆที่มีฉากของเหตุการณ์อยู่ในอดีต เนื่องจากคุณต้องการคงเหตุการณ์สงครามกลางเมืองตามที่เป็นในหนังสือ อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณประหลาดใจเกี่ยวกับยุคนั้น ที่คุณได้เรียนรู้ในระหว่างหาข้อมูล
คอปโปลา: ฉันประหลาดใจว่าพวกเธออยู่กันได้ยังไงในเวลาที่สิ่งต่างๆขาดแคลนมาก เรามีภาพจำลองเหตุการณ์สงครามกลางเมืองที่สอนวิธีการรักษาพยาบาลในสมัยนั้น นิโคล คิดแมนเรียนรู้เกี่ยวกับการพันผ้าพันแผล และงานฝีมือ งานเย็บปักถักร้อย กระดาษของพวกเธอหมด และต้องเขียนตามขอบหนังสือ
เราอ่านหนังสือมารยาทสังคมในสมัยนั้น ตัวอย่างหนึ่งจากหนังสือพวกนั้นคือผู้หญิงไม่ควรรับคำชม เพราะนั่นจะไปกระตุ้นให้เกิดความหยิ่งยโส ต้องแสดงออกและเน้นย้ำบทบาทของผู้หญิงที่เป็นสุภาพสตรี แต่ผู้หญิงเหล่านี้เริ่มเบื่อกับการถูกวุ่นวายแบบนี้
ถาม: มีความเป็นพิธีรีตองมาก รวมถึงการเรียกกันและกันว่า “คุณ” และตามด้วยชื่อแรก ทำให้บทสนทนามีความเป็นบทกวีมากขึ้น
คอปโปลา: ใช่ และฉันชอบมาก แม้กระทั่งจะไปถึงตอนจบของหนัง ที่พวกเธอทำ...สิ่งต่างๆ (หัวเราะ) พวกเธอมีหน้ากากของความมีมารยาทแบบสุภาพสตรีและการคุยเรื่องสัพเพเหระแบบนี้อยู่ตลอด
ยังคงมีมารยาทจากยุคนั้นหลายอย่างในภาคใต้สมัยนี้ และแสดงออกด้วยท่าทางมากมายแบบนั้นเหมือนกัน
ถาม: อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ภาพของคุณ
คอปโปลา: หลายอย่างรวมกัน จากทุกที่ เราดูภาพคนในช่วงสงครามกลางเมือง แต่ก็ดูภาพถ่ายเด็กผู้หญิงรวมกลุ่มกันของวิลเลียม เอ็กเกิลสตันจากยุคทศวรรษที่ 70 เช่นกัน และดูหนังเรื่อง Tess (1979, กำกับโดยโรมัน โปลันสกี) และหนังของอัลเฟรด ฮิทช์ค็อกสำหรับอารมณ์แบบระทึกใจ
ถาม: ขณะที่โปรเจ็คต์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทำไมคุณตัดสินใจเลือกฟิลิปป์ เลอ ซูร์ดมาเป็นผู้กำกับภาพของคุณ นี่เป็นหนังเรื่องแรกของเขากับคุณ
คอปโปลา: ฉันเคยทำงานกับเขามาก่อนในหนังโฆษณาสองสามชิ้น เขามีความเป็นศิลปินมาก ฉันรู้สึกว่าเขาสามารถนำสิ่งที่สวยงามมาให้กับ The Beguiled ได้
ฉันมีความสุขมากที่ได้ถ่ายทำด้วยฟิล์มภาพยนตร์ และใช้เลนส์แบบเก่า เพราะเป็นสิ่งที่หายากขึ้นทุกวัน ภาพของหนังเรื่องนี้ต้องซอฟต์และโปร่ง แต่ก็ต้องมีแดดมากในฉากที่ร้อนและมีควันมากด้วยเช่นกัน ตัวละครมีอาการหายใจไม่ออก นั่นรวมถึงการเก็บกดความรู้สึกทางเพศไว้ด้วย
ถาม: สถานที่นั้นในหนังให้ความรู้สึกที่สัมผัสได้มากๆเลย
คอปโปลา: ใช่ สถานที่ถ่ายทำจริงมีต้นโอ้คและมอสสเปน เมดวู้ดเป็นสถานที่ถ่ายทำที่สวยมาก แต่ก็มีความลึกลับซ่อนอยู่ภายใต้เช่นกัน เพราะประวัติของมันที่เคยเป็นบ้านไร่
ฉันอยากให้รู้สึกถึงพวกแมลงที่มีอยู่ที่นั่นและความเขียวครึ้ม ผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่สามารถทำให้สถานที่นี้ดูสะอาดสะอ้านได้อีกต่อไป เพราะพวกเธอมีคนไม่มากพอและคนดูแลสวนก็ไปจากโรงเรียนแล้ว ดังนั้นจึงมีเถาวัลย์เลื้อยขึ้นไป และเพิ่มความรู้สึกถึงอันตราย ถึงแม้พวกเธอจะพยายามดูแลม่านลูกไม้และข้าวของสวยงามภายในบ้าน มันดูมีความขัดแย้ง บ้านหลังนี้สวยงามมาก แต่ธรรมชาติภายนอกกลับมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบและดูเป็นป่า
และก็มีความขัดแย้งระหว่างแม็คเบอร์นีย์กับพวกผู้หญิง พวกเธอใส่ชุดเสื้อผ้าสีอ่อนจาง แล้วผู้ชายสกปรกมอมแมมคนนี้ก็มาถึง พวกเธอใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ร้อนมาก แต่ไม่สามารถใส่ชุดหน้าร้อนได้ ต้องติดกระดุมถึงคอตลอดในสภาพอากาศที่ร้อน
สเตซี แบทแทท (คนออกแบบเสื้อผ้า) กับฉัน ตัดสินใจกันว่าพวกผู้หญิงคงจะไม่ใส่กระโปรงแบบสุ่มไก่อันใหญ่ๆอีกแล้ว พวกเธอใส่แค่กระโปรงที่ไม่มีสุ่มไก่พวกนั้น ดังนั้นชุดจะดูเหมือนชุดแบบที่เราอาจจะใส่กันในสมัยนี้ ฉันอยากให้รู้สึกว่าเสื้อผ้าสมจริงตามยุคสมัย แต่คนดูก็สามารถเข้าถึงได้ด้วย มีความน่าเชื่อถือ แต่ก็น่าสนใจสำหรับสายตาคนยุคใหม่ด้วย
ทุกสิ่งมันซีดจางมากจนสีมันกลืนเข้าด้วยกัน และพวกเธอยิ่งดูเหมือนกองกำลังผู้หญิงมากยิ่งขึ้น สเตซีไม่เคยทำหนังย้อนยุคมาก่อน ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งใหม่สำหรับเธอ
ถาม: อย่างแอนน์ รอสส์ เธอทำหนังกับคุณมาหลายเรื่อง
คอปโปลา: แอนน์กับฉันทำมู้ดบอร์ดรวมแนวคิดและแรงบันดาลใจของเราที่สเตซีกับฟิลิปป์จะสามารถตรวจสอบ เพื่อทุกคนจะได้เข้าใจตรงกัน การทำงานกับทีมที่ฉันรู้จักมานาน ทำให้พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังคิด และมีวิธีการสั้นๆง่ายๆในการอ้างอิง
ถาม: นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่คุณสามารถถ่ายหนังเรื่องนี้เสร็จใน 26 วัน
คอปโปลา: และเรามีทีมงานท้องถิ่นในหลุยเซียนาที่เก่งมาก
ถาม: ซาราห์ แฟล็คคนตัดต่อของคุณที่ร่วมงานกันมานาน ตัดต่อตั้งแต่เริ่มถ่ายทำเลยหรือเปล่า
คอปโปลา: ใช่ ซาราห์จะได้ฟิลม์หนังตอนเราถ่ายเสร็จ และตัดต่อหนังไปในขณะที่เราถ่ายทำ มันคงดีถ้ามีเวลามากกว่านี้ แต่กับการทำหนังทุนต่ำ คุณต้องทำงานให้เร็วที่สุดที่จะทำได้
ถาม: คุณพูดถึงพวกแมลงที่อยู่ที่บ้านหลังนั้น และพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบเสียงใน The Beguiled มีดนตรีในหนังน้อยมาก เหมือนว่าดนตรีประกอบคือเสียงกลองของการระเบิดที่ดังอยู่ไกลหลายไมล์ แต่จริงๆแล้วไม่ไกลขนาดนั้น
คอปโปลา: ชีวิตของคนกลุ่มนี้เรียบง่ายมาก จนมันคงไม่สมเหตุผลสมผลที่จะมีดนตรีประกอบแบบยิ่งใหญ่ ฉันอยากคงให้มันน้อยที่สุดไว้
ฉันคิดว่าคงจะตึงเครียดมากขึ้นสำหรับคนดู กับความรู้สึกว่าพวกเธอทุกคนติดอยู่กับเสียงจั๊กจั่นที่ดังแทบไม่หยุด และเสียงปืนใหญ่ดังแว่วอยู่ไกลๆ สงครามดำเนินต่อเนื่องยาวนาน และมันดังมาให้ได้ยิน พวกผู้หญิงเริ่มชินกับมันแล้ว
ถาม: คนดูก็เช่นเดียวกับตัวละคร คุณจะสังเกตเสียงปืนใหญ่ จนคุณไม่สังเกต แล้วคุณก็อาจจะสังเกตว่าได้ยินเสียงมันอีก เพราะมันดังอยู่ทุกวัน
คอปโปลา: มันกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของพวกเธอ เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อม
ถาม: อะไรทำให้นิโคล คิดแมนมีคุณสมบัติที่มีความพิเศษในการเล่นเป็นมิสมาร์ธา ตามที่คุณจินตนาการตัวละครตัวนี้ขึ้นอีกครั้ง
คอปโปลา: ฉันชอบการแสดงของนิโคลมานานแล้ว โดยเฉพาะตอนเล่นบทที่มีความแปลกนิดๆอย่างใน To Die For ฉันอยากร่วมงานกับเธอมาตลอด และตอนที่เขียนบท ฉันก็นึกเป็นภาพเธอ ซึ่งนั่นช่วยฉันได้มาก ฉันรู้ว่าเธอจะนำหลายสิ่งหลายอย่างมาให้กับบทมิสมาร์ธา รวมทั้งอารมณ์ขันและความสะเทือนใจ นิโคลเล่นได้มีอำนาจมากจนคุณรู้เลยว่าเธอเป็นผู้ควบคุมคนทั้งกลุ่ม
ถาม: เป็นอย่างนั้นมากๆเลย ในบางฉากกับแม็คเบอร์นีย์ เหมือนมิสมาร์ธาเป็นนายพลและเขาเป็นทหารที่มาเยือน
คอปโปลา: ใช่ แต่ฉันไม่อยากได้ภาพแบบเดิมๆของครูใหญ่ผู้หญิงที่น่ากลัว ผู้หญิงทุกรุ่นในหนังเรื่องนี้เป็นสาวชาวใต้ที่หน้าตาสะสวย ถึงแม้ช่วงเวลาของการเป็นสาวสวยชาวใต้ของมิสมาร์ธาจะผ่านไปแล้ว และงานเลี้ยงจบลงแล้ว สิ่งที่กลายเป็นความเป็นจริงสำหรับเธอคือการปกป้องเด็กๆ เธอต้องเข้มแข็งในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ถาม: คุณกลับมาร่วมงานกับเคียร์สเตน ดันสต์อีกครั้ง และหนังทุกเรื่องของคุณที่มีเธอนำแสดง เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต
คอปโปลา: ฉันไม่เคยนึกเรื่องนั้นมาก่อนเลย เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ถาม: ถึงแม้เธอจะมีบทนิดหน่อยใน The Bling Ring
คอปโปลา: บทรับเชิญ อันนั้นไม่นับ ฉันสนุกกับการทำงานกับเคียร์สเตน ฉันเลยอยากทำงานร่วมกับเธออีก
ถาม: เธอเหมาะยังไงกับการรับบทเป็นผุ้หญิงหลายคน ต่างยุคสมัยกัน ต่างสถานที่กัน
คอปโปลา: เคียร์สเตนมีคุณสมบัติที่ทำให้ดูน่าเชื่อว่าเป็นคนในสมัยอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นคนร่วมสมัยไม่ได้นะ แต่เวลาที่เธอใส่ชุดแบบสมัยก่อน ฉันก็เชื่อได้เลย ว่าเธอเป็นคนยุคนั้นจริงๆ
สำหรับใน The Beguiled ฉันอยากให้เธอเล่นเป็นเอ็ดวินา ครูที่อ่อนแอ เพราะเธอไม่ได้เป็นแบบนั้น ตัวละครนี้เก็บกดและเปราะบาง และนั่นไม่ใช่เคียร์สเตนเลย
และเป็นแบบเดียวกันกับการให้แอลล์ แฟนนิง ซึ่งเป็นคนน่ารักมากและมีน้ำใจมาก มาเล่นเป็น “สาวร้าย” ฉันคิดว่ามันคงสนุกดี ฉันชอบเห็นนักแสดงหญิงเล่นบทที่ตรงข้ามกับที่คุณคาดหวังจากพวกเธอ
ถาม: ตอนนี้แอลล์มีความสามารถมากขึ้นยังไงบ้างในฐานะนักแสดง จากครั้งสุดท้ายที่คุณทำงานกับเธอเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ใน Somewhere
คอปโปลา: เธออายุ 11 ตอนเราทำเรื่อง Somewhere และน่าทึ่งมากที่เธออายุ 18 ตอนถ่ายทำ The Beguiled เธอยังมีบุคลิกภาพเหมือนเดิม และยังเป็นคนเดิม แต่เป็นเวอร์ชั่นที่โตขึ้น ยังมีความมีชีวิตชีวาแบบเด็กๆเหมือนเดิม และเป็นธรรมชาติมาก ตอนนั้นฉันประทับใจเธอมากในฐานะนักแสดง ตอนนี้ยิ่งประทับใจกว่าเดิม
แอลล์ให้หลายสิ่งหลายอย่างมากในการรับบทตัวละครอลิเชีย และแสดงให้เห็นตัวละครที่เห็นแก่ตัวและหลงตัวเอง อลิเชียรู้ดีว่าเธอเสนอตัวเองมากแค่ไหน อย่างตอนที่แหวกกระโปรงออกตอนที่ทุกคนนั่งลงอยู่กับแม็คเบอร์นีย์ และเธอมองดูเขา ในหนังสือ ตัวละครตัวนี้ถูกเลี้ยงดูมาเพือจับผู้ชายจริงๆ
ถาม: แอลล์มักถูกห้อมล้อมด้วยนักแสดงรุ่นเด็กกว่าของหนัง คุณพบเธอทั้งสี่คนและเลือกพวกเธอมาแสดงเป็นกลุ่มเด็กได้ยังไง
คอปโปลา: ฉันมีทีมคัดเลือกนักแสดงที่เก่งมาก การได้นักแสดงที่มีอายุตรงตามตัวละครเป็นสิ่งสำคัญ ฉันต้องการเลือกอย่างละเอียดถี่ถ้วน เราได้พบกับนักแสดงเด็กๆที่มีช่วงอายุตามนั้นเยอะมาก
จากนั้นเราก็เริ่มเอารูปของนักแสดงหลายๆคนติดบนผนังเพื่อดูว่าเวลารวมกลุ่มแล้วพวกเธอจะเป็นยังไง หน้าตาจะดูคล้ายกันเกินไปหรือเปล่า เพื่อคนดูจะได้ไม่สับสน แต่ละคนยังต้องมีบุคลิกลักษณะที่ชัดเจนและต้องแยกออกว่าใครเป็นใคร เราเริ่มเอาคนที่เราชอบมาวางไว้ด้วยกัน และดูว่ารวมกลุ่มแล้วเข้ากันได้มั้ย นักแสดงสี่คนนี้โดดเด่นมาก
สองคนในนั้น อูนา ลอเรนซ์ กับเอ็มมา ฮาเวิร์ด เคยเล่นละครบรอดเวย์เรื่อง Matilda อูนาเป็นเอมี ร้องเพลงได้ และเอ็มมาเป็นเอมิลี เธอดูเหมือนภาพวาดจากยุคของหนังเลย
แองกาวรี ไรซ์มาจากออสเตรเลีย และเก่งมาก ฉันให้เธอเล่นเป็นเจนที่เจ้าระเบียบ แอดดิสัน ริคกีที่เล่นเป็นมารีก็ตลกมาก ฉันไม่รู้จนหลังจากได้เจอเธอแล้ว ว่าเธอแสดงในซีรีส์เรื่อง The Thundermans ซึ่งลูกๆฉันชอบดูมาก
ทุกคนเข้ากันได้ดี เวลาอยู่ในหนัง ฉันคิดว่าคุณรู้สึกเลยว่าพวกเธออยู่กลุ่มเดียวกัน
ถาม: คุณเน้นย้ำเรื่องความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นในหนัง ด้วยการแสดงให้เห็นเด็กผู้หญิงมานอนบนเตียงเดียวกัน
คอปโปลา: ใช่ เราคิดว่าเด็กสาวที่มาอยู่ไกลครอบครัวคงจะนอนห้องเดียวกัน แล้วก็จะมีบางคนที่มานอนด้วยที่ห้อง เพราะในบ้านใหญ่หลังนี้น่ากลัว พวกเธอเป็นเด็ก และเกาะติดกันแจ
ถาม: คุณพัฒนาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในกลุ่มพวกเธอเลยหรือเปล่า เพื่อให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
คอปโปลา: ใช่ เรามีช่วงที่เราซ้อม พวกเธอก็เลยเรียนเต้นรำ และเรียนรู้เรื่องมารยาทและการเย็บปักถักร้อย สิ่งที่เด็กสาวๆในสมัยนั้นทำกัน การใช้เวลาด้วยกันในกิจกรรมทั้งหมดเหล่านี้ ทำให้พวกเธอสร้างสายสัมพันธ์ต่อกัน
ในระหว่างการถ่ายทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเราอยู่ที่เมดวู้ด พวกเธอจะสังสรรค์กันและกลายเป็นเพื่อนกัน พวกเธอออกไปขอขนมตามบ้านในวันฮัลโลวีนด้วยกันในเมืองที่เราอยู่ตอนนั้น
ฉันคิดว่ามีความรู้สึกของความเป็นเพื่อน หรือการไปเข้าค่ายพักแรมด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทีมงานและทีมนักแสดงกลุ่มเล็กๆในหนังทุนต่ำ เป็นความรู้สึกเวลาที่ทุกคนอยู่ที่สถานที่ถ่ายทำ เพราะคุณไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตปกติหลังจากถ่ายทำเสร็จในแต่ละคืน
ใน The Beguiled เราทุกคนพักที่แฮมป์ตัน อินน์ และเราอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมในชุดนอน ตอนเราถ่ายทำฉากภายในที่บ้านในนิวออร์ลีนส์ จะมีเฉลียงที่มีโต๊ะยาวตัวใหญ่และกลายเป็นที่ที่เรามานั่งสังสรรค์กัน หรือที่สนามหลังบ้าน บรรยากาศน่ารักมาก