BOYHOOD
ภาพยนตร์โดยริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์
วันเข้าฉาย : 4 กันยายน ปี 2014
จัดจำหน่าย : บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)
เรื่องย่อ
Boyhood ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในช่วงระยะเวลาสั้นระหว่างปี 2002 – 2013 เป็นประสบการณ์ภาพยนตร์แปลกใหม่ ที่บันทึกช่วงเวลา 12 ปีในชีวิตครอบครัวหนึ่ง ตัวเอกของเรื่องคือเมสัน ผู้ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางอารมณ์ผ่านช่วงเวลาหลายปี จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่
เกี่ยวกับภาพยนตร์
“เวลาคือธารน้ำที่พัดพาผมไปด้วย
แต่ผมคือธารน้ำ” – จอร์จ หลุยส์ บอร์เจส
BOYHOOD โดยริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ เป็นดรามาสมมติ ที่ใช้นักแสดงกลุ่มเดิมตลอดช่วงระยะเวลา 12 ปี ได้นำผู้ชมร่วมการเดินทางที่ไม่มีใครเหมือน ที่ทั้งยิ่งใหญ่แต่ก็ลึกซึ้ง ผ่านความมีชีวิตชีวาของวัยเด็ก การเปลี่ยนแปลงของครอบครัวสมัยใหม่และการไหลเวียนของกาลเวลา
ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตาม เมสัน (เอลลาร์ โคลเทรน) เด็กชายวัย 6 ขวบ ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่มีความพลิกผันอย่างรวดเร็วที่สุดในช่วงชีวิตของเรา ผ่านทางวังวนที่เราคุ้นเคยกันดีของการย้ายบ้านของครอบครัว เรื่องทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว ชีวิตคู่ที่พังพินาศ การแต่งงานใหม่ โรงเรียนใหม่ รักแรก อกหัก ช่วงเวลาดีๆ ช่วงเวลาน่ากลัวและเรื่องราวที่ผสมผสานระหว่างหัวใจสลายและความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คาดเดาไม่ได้ ในตอนที่ช่วงเวลาหนึ่งร้อยเรียงต่อเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่ง ผสมผสานกลมกลืนกลายเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเหตุการณ์ที่ขัดเกลาเราในตอนที่เราโตขึ้น และธรรมชาติชีวิตเราที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ในตอนที่เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมสัน เด็กชายช่างฝัน ที่เผชิญหน้ากับความวุ่นวาย โอลิเวีย(แพทริเซีย อาร์เควทท์) แม่ผู้เลี้ยงเขามาคนเดียวอย่างเหนื่อยยาก ตัดสินใจพาเขาและซาแมนธา (ลอเรไล ลิงค์เลเตอร์) พี่สาวของเขาย้ายไปฮูสตัน ในตอนที่เมสัน ซีเนียร์ (อีธาน ฮอว์ค) พ่อผู้ห่างหายไปนานของพวกเขากลับจากอลาสก้ามาสู่ชีวิตของพวกเขาอีกครั้ง นั่นเองคือจุดเริ่มต้นกระแสการดำเนินของชีวิตที่ไม่หยุดยั้ง อย่างไรก็ดี ท่ามกลางคลื่นถาโถมของพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เด็กผู้หญิง ครู หัวโจก อันตราย ความปรารถนา แรงสร้างสรรค์ เมสันก็เริ่มจะเดินไปบนเส้นทางของตัวเอง
ไอเอฟซี ฟิล์มส์ ภูมิใจเสนอ BOYHOOD ผลงานสร้างโดยเดอทัวร์ ฟิล์ม เขียนบทและกำกับโดยริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ (BEFORE MIDNIGHT, BERNIE) และนำแสดงโดยแพทริเซีย อาร์เควทท์, อีธาน ฮอว์ค, เอลลาร์ โคลเทรนและลอเรไล ลิงค์เลเตอร์ โดยมีริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์, แคธลีน ซุทเธอร์แลนด์, โจนาธาน เซห์ริงและจอห์น สลอส อำนวยการสร้าง ผู้กำกับภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้คือลี แดเนียลและเชน เคลลี ผู้ออกแบบงานสร้างคือร็อดนีย์ เบ็คเกอร์และลำดับภาพโดยแซนดรา อาแดร์
การเล่นกับเวลา
ภาพยนตร์เป็นเรื่องของการเล่นกับเวลาเสมอมา ทั้งความพยายามที่จะฉกฉวยช่วงเวลาที่ไหลผ่านชีวิตประจำวันของเราอย่างไม่หยุดยั้ง และกลั่นกรองมันจนเหลือแต่ช่วงเวลาที่เราจะได้เห็นมุมมองอะไรบางอย่าง หรือการดำดิ่งเข้าสู่มิติที่ลึกลับราวห้วงฝัน ที่ซึ่งเวลาถูกจับใส่เครื่องปั่น ถึงกระนั้น ด้วยความจำเป็น ภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องสมมติเกือบทั้งหมด จะถูกสร้างขึ้นภายในช่วงเวลาไม่กี่เดือนหรือไม่กี่สัปดาห์
แต่ดรามาร่วมสมัยจะถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่านั้นได้หรือเปล่า อาจจะเป็นภายในช่วงเวลาที่เด็กผู้ชายตัวน้อยคนหนึ่งจะเติบโต ปีแล้วปีเล่า การเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ไปสู่การเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ได้
นั่นเป็นคำถามที่ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ตัดสินใจจะตอบในตอนที่เขาเริ่มต้นสร้าง BOYHOOD เมื่อ 12 ปีก่อน มันเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ผู้กำกับผู้นี้ต้องการจะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับอารมณ์ส่วนตัวหนึ่งเดียวและประสบการณ์ที่ยากจะอธิบายของวัยเด็ก แต่วัยเด็กก็เป็นประเด็นที่กว้างขวางเหลือเกินจนเขาไม่มั่นใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี และเขาก็เกิดปิ๊งไอเดียหนึ่งขึ้นมา
“ทำไมไม่นำเสนอมันทั้งหมดล่ะ” เขาจำได้ว่าถามตัวเองแบบนั้น
ลิงค์เลเตอร์รู้ว่ามันมีเหตุผลมากมายว่าทำไมเรื่องแบบนั้นถึงแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ท้าทายความคิดสร้างสรรค์มากๆ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยทางการเงิน ไม่มีนักแสดง และทีมงาน หรือแม้แต่ค่ายหนังไหน จะสามารถทุ่มเทให้กับงานๆ เดียวเป็นระยะเวลานานๆ แบบไม่แน่นอนได้ และมันก็ค้านกับลักษณะการทำงานทุกอย่างของแวดวงภาพยนตร์สมัยใหม่
“มันเหมือนการเชื่อในอนาคตน่ะครับ” ลิงค์เลเตอร์รำพึง “ความพยายามสร้างงานศิลป์ส่วนใหญ่พยายามจะยึดเหนี่ยวอำนาจควบคุมบางอย่างเอาไว้ แต่มีองค์ประกอบหลายอย่างของหนังเรื่องนี้ที่จะอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของทุกคน จะมีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์เกิดขึ้น และเราก็ต้องยอมรับมัน ผมพร้อมที่จะยอมรับการผสมผสานระหว่างไอเดียเริ่มแรกที่ผมมีสำหรับหนังเรื่องนี้และความจริงของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนักแสดงในระหว่างนั้น ในแง่หนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นการร่วมมือกับเวลาเอง และเวลาก็สามารถเป็นผู้ร่วมมือที่ดีได้ แต่ก็ไม่ใช่ผู้ร่วมมือที่คาดเดาได้เสมอหรอกนะครับ”
แทนที่จะใช้บทภาพยนตร์ตามแบบฉบับ ลิงค์เลเตอร์เริ่มต้นด้วยสิ่งที่คล้ายคลึงกับแบบพิมพ์เขียวโครงสร้าง และสิ่งนี้ก็สามารถทำให้เขาได้รับการสนับสนุนระยะยาวจากไอเอฟซี ฟิล์มส์ ผู้ที่ยึดมั่นกับโปรเจ็กต์ตลอดการถ่ายทำที่ยาวนานหนึ่งทศวรรษหลังจากนั้นได้ หลังจากนั้น เขาก็เริ่มต้นทาบทามทีมงานและทีมนักแสดงที่เป็นไปได้ และอธิบายให้พวกเขาฟังว่าตารางการถ่ายทำที่ไม่ปกติจะเป็นไปอย่างไร ในทุกปี พวกเขาจะรวมตัวกันทุกเมื่อที่พวกเขาสามารถจัดแจงตารางการทำงานที่วุ่นวายของพวกเขาให้ลงตัวสำหรับการถ่ายทำ 3-4 วัน หลังจากนั้น ลิงค์เลเตอร์ก็จะเขียนบทและลำดับภาพ (ร่วมกับเพื่อนผู้ร่วมงานมานานอย่างแซนดรา อาแดร์) ไประหว่างนั้นด้วย ไม่มีใครนอกเหนือจากผู้เกี่ยวข้องจะรับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาได้สร้างขึ้นตลอด 144 เดือน และหลังจากการถ่ายทำครั้งสุดท้ายเท่านั้นที่มุมมองที่เปิดกว้างของภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกนำเสนอสู่สายตาผู้ชมได้
ลิงค์เลเตอร์ซาบซึ้งที่ได้พบว่าผู้คนจำนวนมากพร้อมจะเสี่ยงไปกับเขา “มันเป็นเรื่องบ้ามากๆ ที่ไอเอฟซีจะมาทุ่มเทให้กับเรื่องนี้และผมก็รู้ว่าโจนาธาน เซห์นริง [ประธานไอเอฟซี ฟิล์มส์] สู้เพื่อมันจริงๆ” เขากล่าว “เขาต้องอธิบายในแต่ละปีว่าค่าใช้จ่ายนี้เป็นค่าอะไร และทำไมถึงจะไม่มีอะไรโชว์ไปอีกหลายปี ผมโชคดีจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้น หนังเรื่องนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ”
ความทุ่มเทที่นักแสดงใน BOYHOOD จำเป็นต้องมีเป็นสิ่งที่แตกต่างจากการถ่ายทำภาพยนตร์หรือซีรีส์โทรทัศน์ตามปกติโดยสิ้นเชิง ในด้านโลจิสติกแล้ว พวกเขาจะต้องจัดการกับตารางการทำงานของพวกเขาเพื่อหาเวลาถ่ายทำในอีก 12 ปีข้างหน้า แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น พวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมที่จะสำรวจตัวละครของพวกเขา ไม่ใช่แค่ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่เข้มข้นเท่านั้น แต่มันยังต้องครอบคลุมระยะเวลาที่ยาวนานมากๆ เกินกว่าชีวิตของตัวละครในละครเวที ภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์ส่วนใหญ่ โดยพวกเขาจะต้องล้วงลึกเข้าไปในตัวละครมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่พวกเขากลับไปรับบทเดิมอีกครั้งในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ในแต่ละปี
“มันเป็นกระบวนการที่แตกต่างออกไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ค่ะ” แพทริเซีย อาร์เควทท์ ผู้รับบท โอลิเวีย คุณแม่ผู้เป็นกาวประสานครอบครัวนี้ไว้ด้วยกัน ซึ่งบางครั้งก็ด้วยความเข้มงวดเกินพอดี กล่าว
“ไม่มีทีมงานหรือนักแสดงคนไหนเคยทำงานแบบนี้เลยครับ” ลิงค์เลเตอร์ยอมรับ “ในวงการนี้ ไม่มีสัญญา 12 ปีหรอก มันก็เลยเป็นการขอให้คนยอมเสี่ยงด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจและความมุ่งมั่นน่ะครับ”
มันไม่ใช่แค่เรื่องของการเชื่อใจเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความอดทน การมองระยะยาว ซึ่งไม่ใช่หลักการทำงานตามปกติของฮอลลีวูดเลย มันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะอธิบายว่าเขากำลังทำอะไร เพราะลิงค์เลเตอร์ก็ค่อนข้างปิดปากเงียบเรื่องนี้ แม้กระทั่งในตอนที่เขาสร้างภาพยนตร์เรื่องอื่นก็ตาม
ในตอนที่การถ่ายทำเริ่มต้นในปี 2002 ลิงค์เลเตอร์กลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่โดดเด่นที่สุดในแวดวงภาพยนตร์อเมริกันไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยผลงานภาพยนตร์อินดียอดนิยมอย่าง SLACKER และ DAZED AND CONFUSED รวมถึงภาพยนตร์อนิเมชันยอดนิยมอย่าง WAKING LIFE และภาพยนตร์รางวัล BEFORE SUNRISE ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่เล่นกับรูปแบบอย่างงดงามและกลายเป็นเรื่องราวส่วนตัวสำหรับผู้ชม แต่ผลงานของเขาก็ยิ่งเพิ่มเติมความหลากหลายมากขึ้นตลอด 12 ปีหลังจากนั้น ด้วยผลงานภาพยนตร์ที่มีทั้งคอเมดีกระแสหลักอย่าง SCHOOL OF ROCK และคอเมดีตลกร้ายที่ได้รับรางวัล BERNIE นอกจากนี้ เขายังมีผลงานเป็นไตรภาพดังที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างสูง BEFORE SUNSET, BEFORE MIDNIGHT และ BEFORE SUNRISE ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในชื่อของแฟรนไชส์ BEFORE
นอกจากนี้ แฟรนไชส์ BEFORE ยังได้สำรวจผลกระทบที่เวลามีต่อชีวิตประจำวัน ด้วยการไปเยือนคู่รักคู่หนึ่งในสามช่วงเวลาในความสัมพันธ์ที่ดำเนินต่อเนื่องของพวกเขา แต่มันก็เป็นอะไรที่แตกต่างจาก BOYHOOD มากๆ “เห็นได้ชัดว่าเวลาเป็นองค์ประกอบสำคัญในแฟรนไชส์ BEFORE ครับ” ลิงค์เลเตอร์ตั้งข้อสังเกต “แต่พวกมันเป็นช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงเวลาหนึ่งๆ แต่นี่เป็นการดึงเอาช่วงเวลาจากระยะเวลาที่ยาวนาน และนำเสนอโดยตรงเลยว่าเวลาส่งผลต่อเราอย่างช้าๆ และค่อยเป็นค่อยยังไง” แน่นอนว่าปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของเวลาคือมันมาพร้อมกับโอกาสและความไม่แน่นอน ดังนั้น มันก็เลยมีความเสี่ยงมหาศาล “มันมีความกลัวตามปกติ หรือเรื่องทำนองว่า ‘แล้วถ้าเอลลาร์ย้ายไปออสเตรเลีย หรืออะไรทำนองนั้น’ น่ะครับ” ลิงค์เลเตอร์รำพึง “จนถึงตอนสุดท้าย ผมยังคิดด้วยว่า ‘อีธาน ถ้าผมตาย คุณก็ต้องทำหนังเรื่องนี้ต่อไปให้จบ’ น่ะครับ”
แต่เวลายังเอื้อให้ลิงค์เลเตอร์เกิดความคิดสร้างสรรค์แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนด้วย นั่นคือความสามารถที่จะครุ่นคำนึงถึงทุกองค์ประกอบในภาพยนตร์ในช่วงเวลาที่ยาวนานในชีวิตของเขาเอง “มันเหลือเชื่อมากที่มีเวลาเหลือเฟือแบบนี้น่ะครับ” เขาให้ความเห็น “มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน และผมก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง”


เด็กชาย
หนึ่งในสิ่งสำคัญช่วงเริ่มแรกของงานสร้าง BOYHOOD คือการหาเด็กชายตัวเอกของเรื่อง “เรามองหาคนที่จะมาร่วมงานกับเรา 12 ปี ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เด็กสามารถทำความเข้าใจได้ตอนอายุ 6-7 ขวบ” ลิงค์เลเตอร์ตั้งข้อสังเกต “มันก็เลยเป็นงานที่บ้ามากๆ ผมจะมองไปที่พวกเด็กๆ แล้วสงสัยว่า ‘เธอจะเป็นใครตอนที่เธอโตขึ้น แล้วชีวิตของเธอจะเป็นยังไงนะ’ น่ะครับ”
เขาพบคำตอบโดยสัญชาตญาณในตอนที่เขาได้ออดิชัน เอลลาร์ โคลเทรน หนูน้อยชาวออสติน “ผมรู้สึกว่าเอลลาร์จะต้องเป็นศิลปินแขนงไหนซักอย่างแม้ตอนที่เขายังอายุเท่านั้นก็ตาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพ่อแม่ของเขาก็เป็นศิลปินทั้งคู่ แต่มันยังมีคุณสมบัติบางอย่างของเขาที่โดดเด่นออกมา” ลิงค์เลเตอร์เล่า “และผมก็รู้สึกว่าโลกที่เขาเติบโตขึ้นจะช่วยในสิ่งที่เราทำอยู่ด้วย มันยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเอลลาร์ฉลาดและน่าสนใจขนาดไหน และผมก็รู้สึกยินดีกับการได้เห็นชีวิตของเขาดำเนินไป เขากลายเป็นผู้ร่วมงานที่มีส่วนร่วมมากขึ้นทุกปีๆ ครับ”
สำหรับโคลเทรน การเป็นส่วนหนึ่งของ BOYHOOD หมายถึงการมีวัยเด็กที่แตกต่างจากคนอื่น ที่ท้ายที่สุดแล้วก็จะเปิดเผยบนจอเงินอย่างหมดเปลือก แต่ในตอนเริ่มต้น เขาไม่รู้เลยว่าเขามาแสดงเพื่ออะไรหรือมันมีความหมายอย่างไร “ผมไม่สามารถนึกถึงมันได้เลยครับ” เขาอธิบาย “12 ปีเป็นช่วงเวลาที่มากกว่าช่วงชีวิตผมในตอนที่เราเริ่มต้นกันเป็น 2 เท่าแล้ว ตอนนี้ การนึกถึงเรื่องอีก 12 ปีข้างหน้ายังเป็นเรื่องยากเลยสำหรับผม หรือตอนไหนๆ ก็ตาม แต่ในตอนนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย มันต้องผ่านไปหลายปีผมถึงจะเริ่มตระหนักว่า หนังเรื่องนี้เป็นแบบไหนหรือทำไมมันถึงแตกต่างขนาดนี้”
ในขณะเดียวกัน โคลเทรนได้มองย้อนกลับไปในตอนนี้ และรู้สึกยินดีที่เขาสามารถทำงานในช่วงเวลาหลายปีนั้นภายในพื้นที่ส่วนตัวที่คนภายนอกไม่เห็น “ผมซาบซึ้งมากๆ ที่สามารถถ่วงเวลาการได้เห็นตัวเองบนหน้าจอและการมีคนอื่นเห็นผมออกไปได้” เขาให้ความเห็น “มันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าตอนนี้ ผมพร้อมกับมันมากกว่าตอนที่ผมเริ่มต้นทำงานนี้น่ะครับ”
แม้กระทั่งความทรงจำที่เขามีต่อการถ่ายทำช่วงเริ่มแรกก็ยังมีความคลุมเครือแบบวัยเด็กอยู่ ทำให้เขามีความทรงจำที่ชัดเจนเพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น เขาเล่าว่าในตอนแรก เขาได้รับคำแนะนำจากลิงค์เลเตอร์แบบตรงๆ และต้องทำการท่องจำหลายเรื่อง แต่พอเขาโตขึ้นพร้อมๆ กับเมสัน กระบวนการก็ค่อยๆ เปิดกว้าง เขาเริ่มใช้สัญชาตญาณเชิงสร้างสรรค์ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ”
“ปกติแล้ว ผมกับริคจะเริ่มต้นปีใหม่กันด้วยการคุยกันว่าชีวิตผมตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วก็ใส่เรื่องราวพวกนั้นเข้าไปในตัวละครครับ” เขาเล่า “พอเวลาผ่านไป ชีวิตของผมและชีวิตของตัวละครก็เริ่มประสานเข้าด้วยกัน ผมกลายเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเมสันขึ้นมา แน่นอนว่าตอนเป็นเด็ก ทุกอย่างให้ความรู้สึกที่เรียบง่ายกว่านี้ แต่ตอนนี้ มันมีอะไรมากมายที่ผมเห็นแล้วว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวนี้มันซับซ้อนและเต็มไปด้วยรายละเอียดมากแค่ไหน ผมคิดว่าในหลายแง่มุมแล้ว การเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ทำให้ผมเกิดมุมมองบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่ของผม ซึ่งก็ซับซ้อนเหมือนกับของเมสันนั่นแหละครับ”
ลิงค์เลเตอร์กล่าวว่า ในหลายๆ แง่มุมแล้ว โคลเทรนพัฒนามาไกลเกินกว่าที่ผมคิดว่าเมสันจะเป็น แต่โคลเทรนก็ให้ความเห็นว่า “มีหลายครั้ง ที่ผมจะแสดงเป็นตัวเองออกไปบ้างนิดๆ แต่ผมคิดว่าในแง่หนึ่งแล้ว ความคิดอ่านของผมจะนิ่งสงบกว่า ส่วนของเมสันจะเปิดกว้างกว่าครับ”
การได้อยู่กับทีมงานและนักแสดงชุดเดิมทุกปีในช่วงเวลาเกือบตลอดชีวิตเขาทำให้โคลเทรนเหมือนมีครอบครัวที่สอง “แม้กระทั่งตอนนี้ ผมก็ยังมองว่าริค ลอเรไลและคนอื่นๆ จากกองถ่ายเป็นส่วนหนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุดของผม” เขากล่าว “ผมคิดว่าความสัมพันธ์มากมายในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ เพราะพวกเราก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันครับ”
การหานักแสดงสำหรับบท แซม พี่สาวของเมสัน เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเพราะลิงค์เลเตอร์รู้จักคนใกล้ตัวที่อยากจะรับบทนี้อยู่แล้ว เธอคือลอเรไล ลูกสาวของเขาที่ตอนนั้นอายุ 9 ขวบนั่นเอง “เธอถึงช่วงอายุที่เธอจะร้องเพลง เต้นรำ กล้าแสดงออก และตอนนั้น เธอก็อยากจะแสดงจริงๆ” เขาเล่า “มันเป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลด้วยเพราะอย่างน้อย ผมก็สามารถควบคุมคิวของเธอได้”
อย่างไรก็ดี ลิงค์เลเตอร์ก็คาดเดาไม่ได้ว่าลูกสาวของเขาจะเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเธอที่มีต่อโปรเจ็กต์นี้ ในช่วงเวลาหลังจากนั้น “พอถ่ายทำไปได้สองสามปี เธอก็เริ่มสนใจศิลปะวิชวลมากขึ้น ซึ่งเธอก็มีพรสวรรค์มาก และสนใจเรื่องการแสดงน้อยลง ถึงจุดหนึ่ง ในตอนที่เธอไม่อยากจะแต่งตัวในแบบหนึ่ง เธอก็ถามผมว่า ‘ให้ตัวละครของหนูตายได้มั้ย’ น่ะครับ” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ในหลายๆ แง่มุม ลอเรไลไม่เหมือนแซมเลย แต่การได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ก็มีความหมายที่แตกต่างออกไปสำหรับเธอในช่วงเวลาต่างๆ ผมคิดว่าท้ายที่สุดแล้ว ความเป็นศิลปินในตัวเธอก็ชื่นชมสโคปของหนังเรื่องนี้ที่เธอได้แสดง แม้ว่ามันจะน่าอึดอัดในบางครั้งก็ตาม”
สายสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างลอเรไลและเอลลาร์ก็เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งก็สะท้อนถึงพัฒนาการละเอียดอ่อนที่มักเกิดขึ้นกับผู้เป็นพี่น้อง “พี่สาวและน้องชายจะมีความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดในตอนเป็นเด็ก และตอนเริ่มต้น เราก็เป็นแบบนั้น เพราะตอนแรก เราก็จะรู้สึกแปลกแยกต่อกัน แล้วมันก็มีความรู้สึกของการเป็นปรปักษ์กันด้วย แต่พอเราโตขึ้น มันก็เปลี่ยนแปลงไปมาก” โคลเทรนอธิบาย “ทุกวันนี้ ผมเห็นคุณค่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลอเรไลเพราะเธอเป็นอีกคนหนึ่งที่มีประสบการณ์แปลกประหลาดในการโตมากับหนังเรื่องนี้เหมือนผม และเข้าใจว่ามันเป็นยังไง ในการก้าวผ่านเรื่องนี้และออกมาที่ปลายอีกด้านหนึ่ง การมีเธอไว้คุยด้วยเป็นเรื่องวิเศษสุดครับ”
สำหรับแพทริเซีย อาร์เควทท์ การร่วมงานกับทั้งเอลลาร์และลอเรไลทำให้เธอได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ “ฉันพูดได้ไม่จบเลยว่าพวกเขายอดเยี่ยมแค่ไหน” เธอบอก “มันเจ๋งมากที่ได้เห็นพวกเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและงดงามตรงหน้าพวกเราน่ะค่ะ”