เกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำ
คราซินสกี้ตั้งข้อสังเกตว่า...
“มันเป็นหนังเกี่ยวกับชนบทของประเทศเรา ดังนั้น มันก็เมคเซนส์ที่เราจะไปในชนบทและถ่ายทำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ น่ะครับ ดังนั้น Promised Land จึงถูกถ่ายทำทั้งหมดในโลเกชั่นจริงในชนบทของเพนซิลวาเนียตะวันตก ที่นั่นทั้งงดงาม เพอร์เฟ็กต์และไร้มลทินครับ” ฮอลบรู๊คกล่าวชื่นชม “ผมทึ่งกับภาพหุบเขาเขียวขจีที่ตัดกับท้องฟ้า มันเป็นที่ที่เราจากมาครับ ชนบทแบบนี้ การทำงานในเพนซิลวาเนียเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจกับตัวละคร มันมีการพูดกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีนี้ในบริเวณนี้ คุณสามารถซึมซับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้
ผู้ออกแบบงานสร้าง แดเนียล แคลนซี ผู้ซึ่งมีสายใยผูกพันทางครอบครัวกับรัฐอิลลินอยส์ เล่าถึงมุมมองที่ว่า
“พอคุณขึ้นไปบนซาวน์สเตจ คุณก็จะสูญเสียเซนส์ของความเป็นจริง คุณจะได้สัมผัสเท็กซ์เจอร์จริงๆ ความดิบเถื่อนจริงๆ ของสถานที่นั้นๆ กัสให้ความสำคัญกับภาพวิชวลมากๆ ดังนั้น เขากับผมก็เลยคิดอ่านเหมือนกันครับ มันมีปัจจัยสามอย่างในการตัดสินใจเลือกโลเกชั่น หนึ่งคือในเรื่องความสร้างสรรค์ มันมีลุคอย่างที่คุณอยากให้หนังเป็นรึเปล่า สองคือความรู้สึกยิ่งใหญ่ของมัน ถ้าคุณให้นักแสดงและทีมงานอยู่ในสถานที่ที่เหมือนกับสถานที่จริงๆ ที่เรื่องราวกำลังเกิดขึ้น และห้อมล้อมพวกเขาด้วยคนท้องถิ่นจากละแวกนั้นให้มารับบทเล็กๆ หรือมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน มันก็ยิ่งดีใหญ่ ส่วนเหตุผลที่สามคือทางด้านการเงิน รัฐต่างๆ มีสิทธิพิเศษทางภาษีที่จะจูงใจให้คุณถ่ายทำหนังที่นั่น แม้ว่าคุณอยากจะไปทำงานในที่ที่เห็นคุณค่าของคนที่สร้างหนังก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษีเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ว่า ชาวเมืองจะยอมให้คุณไปถ่ายทำในโบสถ์ท้องถิ่นรึเปล่า ใน Promised Land ปัจจัยทั้งสามอย่างนั้นมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวครับ ทุ่งนารอบๆ ถนนสเลท ลิคที่ถูกใช้ในเรื่อง ถูกเลือกเพราะความสวยงาม ความอบอุ่นและความเป็นธรรมชาติของพวกมัน นอกจากนั้น ยังมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาจริงๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญต่อธีมของเรื่องด้วย รีอาห์ ฟาร์ม ซึ่งเป็นทุ่งนาของเยทส์ในเรื่อง เป็นของครอบครัวรีอาห์มาสี่ชั่วอายุคนแล้ว และตัวโรงนาเองก็มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี และถูกสร้างขึ้นเมื่อสองชั่วอายุคนที่แล้ว ปัจจุบัน มีการเลี้ยงแพะ นกอีมูและวัวภายในพื้นที่ และมีการทำฟางข้าวด้วย ปัจจุบันนี้ คนจำนวนมากไม่รู้หรอกว่าชนบทอเมริกาเป็นยังไง คุณอาจจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองโดยไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นห่างจากที่ที่คุณใช้ชีวิตอยู่เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นี่เป็นเรื่องราวสำคัญที่เราจะบอกเล่าครับ”
เมื่อกองถ่ายเข้ามา พวกเขาก็ได้สร้างป้ายและภาพหน้าร้านขึ้นมาใหม่สำหรับร้านค้าบนถนนอินเดีย อะเวนิวในแม็คคินลีย์ ทั้งร้านขนมปัง ร้านขายของชำ ร้านของโครงการช่วยเหลือทหารผ่านศึก ไปรษณีย์และ ฯลฯ ร้านร็อบส์ กันส์, โกรเซอรีส์, กีตาร์ส แอนด์ แก๊ส ถูกสร้างขึ้นจากพื้นที่ว่างเปล่า บาร์มาย บัดดี้ส์ เพลซ ของเอวอนมอร์ ถูกปรับเปลี่ยนเล็กน้อยให้กลายเป็นบาร์บัดดี้ส์ เพลซ
มีการประกาศระดมนักแสดงหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็มีคนเข้าออดิชันหลายร้อยคน ท้ายที่สุดแล้ว ทีมงานได้เลือกคนประมาณ 500 คนให้เป็นตัวประกอบ นอกจากนี้ ทีมงานยังเลือกนักแสดงอาชีพในท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงนักแสดงเด็ก ที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวละครที่อายุน้อยที่สุดด้วย
ไม่ว่าจะได้เข้ากล้องหรือไม่ก็ตาม ชาวเมืองอ้าแขนต้อนรับทีมงานถ่ายทำด้วยความยินดี เพ็นนี ดันไมร์ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในเอวอนมอร์มาตลอดชีวิต และผู้ดำรงตำแหน่งเลขาของสมาคมชุมชนเอวอนมอร์กล่าวว่า “อุตสาหกรรมล่าสุดของเราคือการท่องเที่ยว ที่มีการพายเรือคายัคและแคนูไปตามแม่น้ำ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ชักนำผู้คนมากมายให้เดินทางมายังเมืองนี้เป็นครั้งแรก คนที่วิเศษสุดกับเรามาก”
“มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราภาคภูมิใจว่าหนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นในเอวอนมอร์ คุณคงไม่อยากจะเชื่อถึงความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นหรอกค่ะ ทุกคนต่างก็ลุ้นไปกับกระบวนการถ่ายทำ”
เกี่ยวกับการออกแบบเครื่องแต่งกาย
สำหรับ Promised Land กระบวนการทำงานของแวน แซงต์และผู้กำกับภาพลีนัส แซนด์เกรนคือการรักษาลุคให้เคร่งขรึม ก่อนจะค่อยๆ เติมแต้มสีสันตรงนี้นิด ตรงนั้นหน่อยเข้าไปเมื่อเรื่องราวเดินหน้า
ผู้กำกับกล่าวว่า
“ผมมีนโยบายที่จะไม่ใช่สีสันเลย แต่ผมรู้ว่าทีมงานอาจจะเห็นว่าการจัดระเบียบสีสันซักระดับหนึ่งเป็นเรื่องง่ายกว่าก็ได้ครับ”
ระดับสีสัน หรือการขาดสีสัน ถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันโดยผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย จูเลียต โพลซา และทีมงานของเธอ ที่ได้ร่วมงานกับแคลนซีและทีมงานของเขา เธอเล่าว่า
“ฉันอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ทางอัพสเตทของนิวยอร์ก ดังนั้น บทหนังเรื่องนี้ก็เลยโดนใจฉันมากๆ ค่ะ เราใช้สิ่งที่ฉันเรียกว่า ‘สีสันสบายๆ’ เสื้อผ้าที่ชาวเมืองแม็คคินลีย์สวมจะดูใหม่ สดใสหรือสะอาดสะอ้านเกินไปไม่ได้” ในการพยายามถ่ายทอดถึงความเป็นจริงทางด้านเศรษฐกิจในปัจจุบันออกมา แผนกเครื่องแต่งกายจึงหันหลังให้กับกระแสแฟชั่นปัจจุบัน โพลซ่าให้ความเห็นว่า เทรนด์ปัจจุบันในการใช้สีสันสว่างๆ ไม่เหมาะกับลุคของหนังเรื่องนี้เลยค่ะ ฉันไปเยี่ยมชมร้านเสื้อผ้ามือสองหลายร้านแต่พวกมันก็ไม่ได้ขายเสื้อผ้าที่ดูผ่านการใส่มาอย่างโชกโชนหรือขาดรุ่งริ่งซักเท่าไหร่ คุณจะต้องระวังในเรื่องของการ ‘เพิ่มอายุ’ ให้กับเสื้อผ้าบนหน้าจอ หรือการทำให้มันสกปรกค่ะเพราะมันอาจดูเป็นของปลอมได้ง่ายๆ”
ในลักษณะที่สอดคล้องกับตัวประกอบ ชุดส่วนตัวของทีมนักแสดงเองก็ถูกนำมาใช้ด้วยเช่นกัน โพลซ่าเล่าว่า …
“กัสมีไอเดียที่จะให้นักแสดงสวมเสื้อผ้าของตัวเอง เมื่อคุณรู้สึกสบายในเสื้อผ้าของตัวเอง มันก็จะทำให้คุณรู้สึกสบายกับการสวมบทบาทนี้มากขึ้นค่ะ” เธอคุยกับนักแสดงเพื่อหาว่าเสื้อผ้าแบบไหนของพวกเขาที่น่าจะใช้ได้ และที่พวกเขาจะเต็มใจใส่ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เสื้อกั๊กของสามีฉันกลายเป็นหนึ่งในเสื้อผ้าไม่กี่ตัวที่แฟรงค์ เยทส์สวม และไม่ได้เป็นของฮัล ฮอลบรู๊คเองน่ะค่ะ เขาบอกฉันว่า เขามีกางเกงยีนส์ตัวเก่าและเสื้อเชิ้ตโทรมๆ ตัวหนึ่ง ที่เขายังไม่พร้อมจะโยนทิ้ง ซึ่งเขาก็สวมมันทำงานบ้านและทำสวนค่ะ เขาส่งเสื้อผ้าพวกนี้มาให้ฉัน และฉันก็เตรียมมันให้พร้อมสำหรับการเสริมสร้างลุคของแฟรงค์ กัสมาดูการลองชุดของฮัล เขาสวมกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตของเขา ส่วนฉันก็สวมเสื้อกั๊กให้เขา และตัวละครตัวนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วค่ะ”
ในการขัดเกลาการสวมบทสตีฟ บัตเลอร์ แมทท์ เดม่อน ได้ใช้กระบวนการอันยาวนานในการรวมเอาองค์ประกอบต่างๆ ที่จะเสริมสร้างความสมจริงให้กับการแสดงของเขาโดยที่ผู้ชมอาจจะไม่ได้เห็นมันชัดเจนซักเท่าไหร่ เขาได้ศึกษาจากการค้นคว้าข้อมูลของโพลซา เนื่องด้วยเราได้เห็นสตีฟเป็นครั้งแรกในสิ่งแวดล้อมของบริษัท ก่อนที่เขาจะเดินทางไปอยู่ในแม็คคินลีย์ “เราคุยกันถึง ‘ชุดทำงานลำลอง’ และ ‘ชุดวันศุกร์ลำลอง’ น่ะค่ะ” โพลซ่าตั้งข้อสังเกต “การเปลี่ยนแปลงในเรื่องเสื้อผ้าของสตีฟจะต้องฉับไวมากกว่า เพื่อสะท้อนถึงสัญชาตญาณความเป็นนักขายของเขาค่ะ”
ตามบท สตีฟจะต้องสวมรองเท้าบู๊ทคาวบอยแพงระยับคู่ใหม่ มีการเตรียมรองเท้าไว้เรียบร้อย แต่โพลซาและเดมอนก็กังวลว่า มันอาจไม่เหมาะสมที่ตัวละครตัวนี้จะสวมเดินไปมาในแม็คคินลีย์ มีการปรับแก้บท และโพลซ่าก็ไปจัดหารองเท้าบู๊ททำงานมาอีกคู่
แต่ไม่กี่วันก่อนหน้าการถ่ายทำ โพลซ่า “มองเข้าไปข้างในและเจอว่ามันมาจากประเทศบังกลาเทศ แต่ในบทเขียนเอาไว้ว่ามันเป็นรองเท้าที่ทำขึ้นในอเมริกา ตอนนี้ ฉันก็เลยต้องหารองเท้าที่ดูวินเทจและทำในอเมริกาด้วย ฉันซื้อรองเท้าบู๊ทเรด วิงมาจากอีเบย์ แล้วภาวนาให้มันมาทันเวลา ซึ่งก็ทันจริงๆ แมทท์ได้สวมมันก่อนหน้าการถ่ายทำพอดิบพอดีเลยค่ะ มันดีพอๆ กับถ้าให้ฉันออกแบบและเพิ่มอายุให้มันเลยค่ะ มันเป็นส่วนหนึ่งของสตีฟ คุณไม่สามารถออกแบบตัวละครตัวนี้และตัดให้เขาเหลือแต่ท่อนบนจากเข่าขึ้นไปหรอกนะคะ”
แผนกของแคลนซียังคงรักษา“สีสันสบายๆ” ของโพลซ่าเอาไว้ใช้สำหรับเรื่องของยานพาหนะ เฟอร์นิเจอร์และฉากทั้งภายในและภายนอก เขาตั้งข้อสังเกตว่า “มันเหมือนภาพวาดของแอนดรูว์ ไวเอธ ที่สีเหลือง น้ำตาลและเขียวจะถูกทำให้ซีดจาง เพื่อแสดงถึงความเสื่อมโทรม สีสันที่โดดออกมาส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง ขาวและน้ำเงิน ซึ่งเป็นธีมที่ไม่เด่นชัดนักน่ะครับ กัสอยากได้ลุคที่สมจริง ที่แสดงถึงอายุการใช้งานที่ชัดเจน และไม่มีอะไรที่สวยเกินจริง เราใช้ไม้บุฝาผนังและสิ่งที่เรามีอยู่จำนวนมาก เพื่อทำให้มันสมจริง และดูไม่สวยงามเกินไปน่ะครับ”
องค์ประกอบที่ถูกใส่เพิ่มเติมเข้าในในเรื่องราวมากขึ้นคือน้ำทรัพยากรยังชีพอันมีค่า ที่ไม่สามารถมองข้ามได้อีกแล้ว ซึ่งรวมถึง ในเมืองเล็กๆ ที่พยายามจะพยุงตัวให้รอดด้วย แคลนซี เล่าว่า
“เราใส่น้ำเข้าไปในทุกที่เท่าที่เราทำได้ คุณจะเห็นแอ่งน้ำตามทุ่งนาเด็กๆ เล่นกับสายยางฉีดน้ำ สตีฟเอาน้ำลูบหน้า และเขากับซูก็มักจะพกขวดน้ำติดตัวเสมอ แล้วมันก็มีเอาท์บอร์ด มอเตอร์ในทุ่งนาด้วย และตัวโรงแรม ซึ่งภายในเป็นบ้านพักรับรองในเอวอนมอร์ ที่เราแปลงโฉมให้ใหม่และที่เจ้าของในตอนนี้อยากจะคงการปรับเปลี่ยนของเราเอาไว้ ถูกตั้งชื่อว่าโรงแรมมิลเลอร์ ฟอลส์ครับ”
นักแสดงเปิดใจถึงผู้กำกับ
โดยรวมแล้ว แวน แซงต์ “เป็นผู้กำกับประเภทที่จะไม่พูดจนกว่าจะมีอะไรพูด และเมื่อคนพวกนี้พูด คนจะฟังพวกเขาค่ะ” ฟรานซิส แม็คดอร์มานด์บอก
ผู้กำกับผู้นี้จะปล่อยให้ทีมงานและนักแสดงแสดงความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ก่อนจะเข้ามาปรับอะไรบางอย่างที่เฉพาะเจาะจงลงไป ซึ่งวิธีการนี้ก็ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกร่วมแรงร่วมใจกันในภาพยนตร์ของเขาเป็นอย่างดี
มัวร์เล่าว่า “หลังจากทำงานในหนังด้วยกันมาหลายเรื่อง กัสและแมทท์ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและพวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นคนสบายๆ ในฐานะผู้กำกับและดารานำของเรื่อง พวกเขาเป็นคนที่กำหนดจังหวะและการเดินเรื่องครับ แต่คนจะกลับมาทำงานให้กับกัส ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหรือทีมงานเพราะเขามีความอ่อนน้อมแต่ก็แสดงถึงความเชื่อมั่ นอย่างแรงกล้าด้วยเขาทั้งคอยให้ความามช่วยเหลือ เป็นคนโอบอ้อมอารีและตลก เขากระตุ้นให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจครับ”
เดม่อนกล่าวว่า “ผมไว้ใจเขาอย่างยิ่ง เขามีความเข้าอกเข้าใจคนอื่นอย่างเหลือเฟือ ในฐานะนักแสดง เมื่อคุณได้อยู่กับเขา คุณก็มีคนดีๆ คอยดูแลคุณแล้วครับ แค่ดูการแสดงในหนังของเขาคุณก็จะมองเห็นเรื่องนั้นแล้วครับ”
มัวร์เล่าว่า “หนังของเขาถ่ายทอดถึงสถานที่ เวลาและตัวละคร ผมต้องบอกว่าเขาเป็นผู้ศึกษาความเป็นมนุษย์ครับ”
เดม่อนกล่าวเสริมว่า “เขาไม่ชอบของเทียมครับ วันแรกที่ผมเข้าฉาก เขาบอกว่า ‘คุณแต่งหน้ามารึเปล่า’ ผมก็บอกว่า ‘นิดหน่อยนะ’ แล้วเขาก็ให้ผมล้างออกครับ”
คราซินสกี้ตั้งข้อสังเกต “กัสมีความมั่นใจอย่างเหลือเชื่อครับ เขาเป็นคนเงียบขรึม พูดจานุ่มนวล เพราะกระบวนการมันเกิดขึ้นภายในความคิดของเขาระหว่างที่เขาคาดหวังให้คนทำงานของตัวเองครับ”
ฮอลบรู๊คให้ความเห็นว่า “ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดสรุปอะไรเอาไว้ล่วงหน้าว่ามันน่าจะเป็นยังไง แต่เขาดูเหมือนจะเตรียมพร้อมและเปิดกว้างต่อทุกอย่างที่คุณคิดขึ้นมาได้”
เดอวิทท์ขยายความว่า “นักแสดงและทีมงานมีอำนาจค่ะ กัสรับรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกอย่างจะบ่งบอกถึงฉากนั้นๆ สำหรับเขา และทำให้มันเป็นจริงมากขึ้น เขาจะนั่งอยู่ข้างๆ กล้องค่ะ”
แซนด์เกรนเล่าว่า “เราจะขยายความฉากนั้นๆ และพูดคุยกันถึงไอเดียและสัญชาตญาณต่างๆ แรงจูงใจสำหรับการที่กล้องจะทำอะไรในแต่ละฉากมาจากนักแสดงครับ มันเป็นสิ่งที่กัสบอกผมว่ามาจากหนังยุค 70s ของ [ผู้กำกับเบอร์นาโด้] แบร์โตลุชชีและ [ผู้กำกับภาพวิตโตริโอ] สโตราโรครับ กัสไม่อยากจะดูหนัง แต่เขาอยากจะดูของจริง”
แม็คแนรี่กล่าวเสริมว่า “กัสมองมาที่คุณ ไม่ใช่ที่มอนิเตอร์ คำถามแรกของผมในกองถ่ายคือ ‘แผงจอมอนิเตอร์อยู่ไหน’ ‘ไม่มีหรอก’ ‘จริงเหรอครับ มันเป็นบรรยากาศที่น่าทำงาน ทำให้คุณสามารถสำรวจอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้นเพราะคุณไม่มีคนมารุมล้อมรอบจอมอนิเตอร์และเล่นเพลย์แบ็คอยู่นานสองนานน่ะครับ”
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำภายใต้ตารางการถ่ายทำ 30 วันที่กระชับ มัวร์ตั้งข้อสังเกตว่า “ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ผมสังเกตว่ากัสเข้าใจดีถึงกระบวนการถ่ายทำและกระบวนการงานสร้างสรรค์ครับ”
“หนังใหญ่เรื่องแรกของผมคือ Good Will Hunting และผมก็อยากให้ทุกกองถ่ายหลังจากนั้นเป็นเหมือนการถ่ายทำของกัส แวน แซงต์ครับ กัสจะเป็นคนตัดสินใจโดยคำนึงถึงทีมงาน และจะไม่เสียเวลาถ่ายทำสิ่งที่เขาไม่ต้องการครับ”
ในผลงานเรื่องล่าสุด แวน แซงต์ได้ใช้เทคนิคที่เขายกย่องเครดิตให้กับผู้กำกับเทอร์เรนซ์ มาลิค นั่นคือเทคเงียบ มันคือการถ่ายทำฉากที่มีนักแสดง แต่ไม่มีการพูดไดอะล็อคใดๆ แต่ปล่อยให้นักแสดงนึกถึงบทพูดในใจและถ่ายทอดอารมณ์ออกมาทางสีหน้าแทน “เทอร์รีอาจจะใช้มันในลักษณะที่ต่างออกไป แต่มันก็กลายเป็นเทคนิคที่มีค่ามากสำหรับผมครับ” แวน แซงต์กล่าว
เดอวิทท์ขยายความว่า “มันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่กัสรู้สึกว่าเราสำเร็จจากฉากหนึ่งและกำลังจะขยับไปยังอีกฉากหนึ่ง เขาจะถ่ายเทคเงียบ ที่ไม่มีคำพูด แต่ก็ไม่ใช่การทำแพนโทไมม์ มันหมายถึงเราจะต้องคิดตามความคิดของตัวละครหรือรู้สึกในความรู้สึกของพวกเขา คุณจะต้องกระตุ้นให้นักแสดงอีกคนทำแบบเดียวกัน ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสนุกดีค่ะ”
แม็คดอร์มานด์เล่าว่า “ยิ่งไอเดียมันยิ่งใหญ่แค่ไหน ด้วยความที่คุณไม่ได้มีการปลดปล่อยออกมา คุณก็จะได้กรอบที่ใหญ่ขึ้นสำหรับฉากนั้นๆ ค่ะ”
“ผมคิดว่าเทคเงียบทำให้ผมเป็นนักแสดงที่ดีขึ้นครับ” ทีทัส เวลลิเวอร์บอก “ในการแสดงฉากโดยไม่มีไดอะล็อค คุณจะต้องหาความนัยโดยไม่สามารถใช้ภาษาสื่อสารได้ คุณต้องฟังในระดับของอารมณ์เพราะไม่มีการพูดอะไรออกมาเลย ในฐานะนักแสดง มันเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ แต่พอผมทำไปแล้ว ผมก็พบว่ามันเป็นสิ่งที่ผมอยากทำอีกครั้งครับ”