enjoyjam.net

ภาพยนตร์ => ข่าวภาพยนตร์ => Topic started by: FB on February 24, 2013, 05:01:32 PM

Title: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on February 24, 2013, 05:01:32 PM
“ขุนพันธ์” ภาพยนตร์แอ๊คชั่นฟอร์มยักษ์ผลงานเรื่องใหม่ของ “ก้องเกียรติ โขมศิริ” “อนันดา-น้อย วงพรู” นำทีมนักแสดงบวงสรวงคับคั่ง



          ใคร ที่เป็นแฟนหนังของสุดยอดผู้กำกับของเมืองไทย “ก้องเกียรติ โขมศิริ” เตรียมล้างตาดูผลงานเรื่องใหม่ของเขากันไว้ได้เลย เพราะล่าสุดผลงานเรื่องใหม่ที่มีชื่อว่า “ขุนพันธ์” ภาพยนตร์แอ๊คชั่นฟอร์มยักษ์ประจำปีของค่ายใบโพธิ์ “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” ร่วมกับ “บาแรมยู” ก็ได้ฤกษ์บวงสรวงไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งงานนี้เหล่านักแสดงคุณภาพก็มาร่วมพิธีกันอย่างครบครัน นำทีมโดย “อนันดา เอเวอริ่งแฮม” ที่มาสวมบท “ขุนพันธ์” ตำนานยอดตำรวจวีรบุรุษที่มีฉายาว่า “นายพลหนังเหนียว” ผู้มีตัวตนจริงอยู่ในประวัติศาสตร์ ร่วมด้วย “กฤษดา สุโกศล แคลปป์” ที่มาสวมบทวายร้ายคู่ปรับของขุนพันธ์ รวมไปถึงนักแสดง เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง, กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร, แฟรงค์เดอะสตาร์-ภคชนก์ โวอ่อนศรี, สนธยา ชิตมณี, กานต์พิสชา เกตมณี ซึ่งในหนังเรื่องนี้ได้เล่าถึง ขุนพันธ์ ผู้เป็นทั้ง นักสืบ มือปราบ และ จอมขมังเวทย์ ซึ่งยังคงเป็นที่เคารพและศรัทธาของเหล่าตำรวจ และ เป็นสัญลักษณ์ของความดีในสมัยนั้น ซึ่ง “ก้องเกียรติ โขมศิริ” พูดถึงแรงบันดาลใจในการหยิบยกเรื่องราวของบุคคลในตำนานมาสร้างเป็นหนังว่า

          “แรง บันดาลใจมาจาการที่ผมอยากทำเรื่องของคนดีๆ คนหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะมีแรงบีบคั้นจากบ้านเมือง จากภาวะต่างๆ แต่เค้าก็เชื่อมั่นที่จะทำความดี เพื่อแผ่นดิน ทำเพื่อในหลวง คือมีอยู่ภาพหนึ่งในหนังสืองานศพ ที่ท่านต่อเทียนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วขุนพันธ์ต่อเทียนเล่มนั้นมา ผมก็เรียกทีมงานมาแล้วบอกว่าเราจะสร้างหนังเรื่องนี้จากภาพๆ นี้ เราจะเป็นเทียนเล่มต่อไป เราจะเป็นเทียนต่อจากท่านนะ แต่เราจะไม่ทำหนังแบบยัดเยียดแบบว่าให้คนรู้ว่าท่านคือคนดีนะ แต่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เจอปัญหาจริงๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่หนักกว่าสมัยนี้มาก เราตั้งใจจะต่อเทียนเล่มนั้นต่อจากท่าน ในฐานะคนทำหนัง หลายๆ ครั้ง

          ที่ เราทำเพื่อบำบัดตัวเอง แต่จังหวะหนึ่งในชีวิตเราก็คิดว่า เราจะทำหนังยังไงให้เกิดประโยชน์กับคนอื่นในแบบที่เราถนัดนะ เราจะให้อะไรกับคนดู นอกจากความบันเทิง ความมันส์ที่ต้องให้กับคนดูอยู่แล้ว เราก็คิดว่าคุณงามความดีที่อยู่ในตัวหนังนี้จะมีผลต่อประเทศชาติ ตอนนี้ผมเชื่อว่าบ้านเมืองเราต้องการสัญลักษณ์ที่จะบอกว่าคนดีมีที่อยู่ ไม่ใช้คนขี้โกงที่มีพื้นที่”

          นอกจากนี้ “ก้องเกียรติ โขมศิริ” ยังพูดถึงการจับเอาสุดยอดนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทย อย่าง “อนันดา เอเวอริ่งแฮม” และ “น้อย วงพรู” มาเป็นคู่ปรับกันในหนังเรื่องนี้ว่า

          “คือจริงๆ มันจะเป็นแอ๊คชั่น ซึ่งสัดส่วนของความเป็นดราม่ามันก็ยังมีอยู่บ้าง ผมยกตัวอย่างอย่างเรื่องฮีทที่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง อัลปาชิโน่ กับ โรเบิต เดนีโร อันนี้คือการเปรียบเทียบ แต่ตอนนี้ถ้านึกถึงนักแสดงที่มีอินเนอร์มากๆ ในประเทศไทย ก็คืออนันดาที่มารับบทขุนพันธ์ ตัวร้ายคือพี่น้อยวงพรูที่ชื่อว่าอะแวสะดอ แค่นี้มันก็ก่อให้เกิดดราม่าโดยธรรมชาติแล้ว พลังงานของสองคนนี้มาเจอกันมันก็เกิดแอ๊คชั่นได้แล้ว”

          ใครที่ รอดูผลงานของสุดยอดผู้กำกับ “ก้องเกียรติ โขมศิริ” และเหล่าสุดยอดนักแสดงของเมืองไทย ต้องอดใจรอ “ขุนพันธ์” ปีนี้ได้ดูกันแน่
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์"
Post by: FB on March 21, 2013, 06:28:21 PM
“อนันดา” เผยขอผู้กำกับเลือก “น้อย” ดวลฝีมือใน “ขุนพันธ์” ยอมรับกดดันถ่ายทอดบทบาทบุคคลในตำนาน



          ถือ เป็นนักแสดงมากฝีมือที่สวมบทบาทมาแล้วมากมาย สำหรับ “อนันดา เอเวอริ่งแฮม” แต่พอต้องมารับบทบาทบุคคลตำนานในภาพยนตร์แอ๊คชั่นฟอร์มยักษ์ “ขุนพันธ์” ของค่ายใบโพธิ์ “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” และ “บาแรมยู” ผลงานของสุดยอดผู้กำกับ “ก้องเกียรติ โขมศิริ” เจ้าตัวก็ยอมรับว่ากดดันไม่น้อย ที่ต้องมาสวมบท ขุนพันธ์ ผู้เป็นทั้ง นักสืบ มือปราบ และ จอมขมังเวทย์ ซึ่งยังคงเป็นที่เคารพและศรัทธาของเหล่าตำรวจ และ เป็นสัญลักษณ์ของความดีในสมัยก่อน เพราะงานนี้นอกจากจะต้องเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของตำนานที่มีตัวตนอยู่จริง ให้ดูใกล้เคียงที่สุดแล้ว ยังต้องปะทะกับสุดยอดนักแสดงแถวหน้าเมืองไทยที่ขนกันมาปะทะฝีมือกันอย่างคับ คั่ง ซี่งหนึ่งในนั้นคือ “น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์” ที่เจ้าตัวแอบเผยว่าเป็นคนแนะผู้กำกับให้น้อยมาสวมบทบาท “อะแวสะดอ” ขุนโจรจอมวายร้าย คู่ปรับคนสำคัญของขุนพันธ์ ซึ่ง อนันดา เอเวอริ่งแฮม พูดถึงการได้มารับบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ รวมไปถึงการต้องมาปะทะการแสดงสุดเข้มข้นกับ น้อย-กฤษดา ว่า

          “คือ จริงๆ ผมเป็นแฟนหนังของพี่โขมอยู่ แล้วก็รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เราได้คุยกันหลายครั้งแล้ว จริงๆ ต้องถามพี่โขมว่าทำไมถึงเลือกผม ใจผมพี่โขมอยากให้เล่นอะไรผมเล่นอยู่แล้ว สำหรับตัวละครขุนพันธ์ผมว่า เป็นตำนานสำหรับคนไทย แล้วก็มีตัวตนอยู่จริงๆ จุดที่ผมอินที่สุดคือมันค่อนข้างต่างจากตัวผมบ้าง มีเนื้อหาบางอย่างของตัวละครตัวนี้ที่ผมไม่รู้จักเลย จับต้องยากสำหรับผม เหมือนเป็นการผลักดันให้เราพัฒนาตัวเอง ขยายโลกทัศน์ให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วเราก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในตำนานของขุนพันธ์ด้วย สำหรับคาแรกเตอร์ของขุนพันธ์ ก็เป็นคนที่กล้าหาญมุ่งมั่น ดุดัน ซื่อสัตย์ มีคุณธรรมเป็นตัวอย่างที่ดีของบ้านเมือง แต่ในขณะเดียวกันท่านก็มีอะไรบางอย่างที่พิเศษด้วย ยอมรับว่าเรื่องนี้ยาก มีสิ่งที่ต้องทำหลายอย่างมาก ต้องเก่งอาวุธหลายอย่าง ต้องยิงปืนคล่องแคล่ว ต้องฟันดาบเป็น ต่อสู้ระยะใกล้ชิด ภาษาใต้เยอะมาก แค่คิดก็ยากแล้ว ที่หนักใจคือการพูดใต้เพราะผมติดสำเนียงฝรั่ง ถือว่าเป็นบทที่ยากที่สุดที่เคยเล่นมา ส่วนการได้มาร่วมงานกับพี่น้อย คือต้องบอกว่าผมเป็นแฟนคลับพี่น้อยอยู่แล้ว จริงๆ คือผมเป็นคนที่แอบขอพี่โขมเองด้วยว่าตัวละครตัวนี้ต้องเป็นพี่น้อย ผมชื่นชมแกมานานแล้ว ก็รู้สึกว่าแฮปปี้ ก็รู้สึกดีใจที่ได้มาเล่นคู่กับพี่น้อยครับ”

          ใครที่ชื่นชอบ ฝีมือทางการแสดงของ “อนันดา เอเวอริ่งแฮม” ต้องติดตามกันให้ดีๆ กับบทบาทล่าสุดที่เจ้าตัวบอกว่ายากที่สุดในชีวิตการแสดง ล้างตารอดูความมันส์ กับ “ขุนพันธ์” ปีนี้ได้ดูกันแน่นอน
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on April 20, 2016, 08:51:01 AM
แรงกระสุน หรือจะสู้แรงศรัทธา โปสเตอร์แรกจาก “ขุนพันธ์”



          #‎ขุนพันธ์ ‪#‎KhunPun
          ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์​เป็นการนำเอาประวัติชีวิตของ "พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย มือปราบผู้มีอายุยืนยาวถึง 108 ปี ที่แม้แต่ขุนโจรยังเคารพ ศรัทธาและให้การนับถือ มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่นแฟนตาซี โดย ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยเรื่องราวของขุนพันธ์ ที่รับบทโดย อนันดา เอเวอริงแฮม ต้องต่อกรกับมหาโจรจอมขมังเวทย์ รับบทโดย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ อัดแน่นไปด้วยความมันส์​ และความศรัทธา ที่พร้อมให้ทุกคนพิสูจน์พร้อมกันในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on April 20, 2016, 08:54:52 AM
Movie Guide: สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ส่งตัวอย่างแรก “ขุนพันธ์” ให้แฟนหนังชาวไทยได้ชม วางโปรแกรมฉาย 14 กรกฏาคม 2559


ทีเซอร์แรก ขุนพันธ์ (Official Teaser)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=MK3jxgnkbZM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=MK3jxgnkbZM</a>

          ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์​เป็นการนำเอาประวัติชีวิตของ "พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย มือปราบผู้มีอายุยืนยาวถึง 108 ปี ที่แม้แต่ขุนโจรยังเคารพ ศรัทธาและให้การนับถือ มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่นแฟนตาซี โดย ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยเรื่องราวของขุนพันธ์ ที่รับบทโดย อนันดา เอเวอริงแฮม ต้องต่อกรกับมหาโจรจอมขมังเวทย์ รับบทโดย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ อัดแน่นไปด้วยความมันส์​ และความศรัทธา ที่พร้อมให้ทุกคนพิสูจน์พร้อมกันในโรงภาพยนตร์

          แฟนหนังชาวไทยเตรียมชมภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์พร้อมกันทั้งประเทศ 14 กรกฏาคม 2559
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on May 18, 2016, 09:08:52 AM
สหมงคลฟิล์มฯ เตรียมฉาย “ขุนพันธ์” หนังแอ็คชั่นไทยเรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี ขีดสุดความมันส์แอ็คชั่นไล่ล่าของ “นายตำรวจที่ฆ่าไม่ได้ และมหาโจรที่ตายไม่เป็น”









          เตรียมพบปรากฏการณ์ความมันส์แอ็คชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ของ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ที่สร้างจากแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ "พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" อดีตนายตำรวจมือปราบชื่อดัง เจ้าของฉายา นายพลหนังเหนียว, ขุนพันธ์ดาบแดง, นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว, รายอกะจิ (อัศวินพริกขี้หนู) ฯลฯ ผู้กำราบปราบเสือร้ายในตำนานที่โด่งดังในแฟ้มอาชญากรรมของกรมตำรวจอย่าง เสือมเหศวร, เสือฝ้าย, เสือดำ, เสือใบ และอีกต่อหลายคน ต้นแบบของตำรวจดีผู้ผดุงความยุติธรรม สู่ภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ประจำปี 2559 ผลงานการกำกับและเขียนบทที่ทุ่มเทที่สุดของผู้กำกับเลือดแอ็คชั่น "ก้องเกียรติ โขมศิริ"

          การเชือดเฉือนบทบาทสุดเข้มข้นของ 2 นักแสดงแถวหน้าของเมืองไทย อย่าง "อนันดา เอเวอริงแฮม" ในบท "ขุนพันธ์" นายตำรวจที่ต่อสู้ทุกลมหายใจด้วยพลังแห่งศรัทธา และ "น้อย-กฤษฎา สุโกศล แคลปป์" ในคาแรคเตอร์มหาโจร "อัลฮาวียะลู" ที่ไม่เคยมีอาวุธใดทำร้ายเขาได้ ร่วมด้วยทัพนักแสดงคุณภาพ เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง, แฟรงค์เดอะสตาร์-ภคชนก์ โวอ่อนศรี , สนธยา ชิตมณี, กบ-พิมลรัตน์ พิศลยบุตร และ อ้อม-กานต์พิสชา เกตุมณี จาก แม่เบี้ย

          โดยเนรมิตฉากหลังของเรื่องราวดำเนินเรื่องในช่วงปีพ.ศ.2481- 2485 ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ท่านขุนพันธ์ยังคงเป็นนายร้อยฝึกหัด ก่อนที่เสนอตัวมุ่งหน้าสู่ดินแดนที่เต็มไปด้วยภยันตราย และไม่เคยมีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์คนใดในประวัติศาสตร์ย่างกรายไปถึง ในภารกิจสยบมหาโจรซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นที่ยำเกรงและหวาดกลัวมากที่สุด และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวยิ่งใหญ่แห่งการไล่ล่าของคู่แค้นที่ต้อง สู้กันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน อาคมต่ออาคม ของนายตำรวจคงกระพันที่ฆ่าไม่ได้ และมหาโจรหนังเหนียวที่ตายไม่เป็น ในปรากฏการณ์แห่งภาพยนตร์ที่คนไทยทั้งประเทศจับตามอง "ขุนพันธ์" วีรบุรุษที่เกิดมาเพื่อเป็นตำนาน 14 กรกฎาคมนี้ มาร่วมพิสูจน์กันว่าแรงกระสุนปืนหรือจะหาญสู้แรงศรัทธา ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on May 27, 2016, 09:29:59 AM
Movie Guide: ทำไมต้อง “ขุนพันธ์”



          คนดีมีอยู่จริงหรือ
          จากเรื่องราวของ "พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" มือปราบผู้ใช้อาคมสยบเหล่าโจรชื่อดัง สู่ผลงานภาพยนตร์ "ขุนพันธ์" ภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ โดย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
          อนันดา เอเวอริงแฮม รับบท ขุนพันธ์
          กฤษดา สุโกศล แคลปป์ รับบท มหาโจรจอมขมังเวทย์ "อัลฮาวียะลู"
          ภาพยนตร์โดย ก้องเกียรติ โขมศิริ
          14 กรกฎาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 01, 2016, 09:27:18 AM
“ขุนพันธ์” วีรบุรุษมือปราบกำราบโจรคงกระพัน ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ตาต่อตา อาคมต่ออาคม







          "หนวดเขี้ยว" อาจเป็นภาพจำที่ทุกคนนึกถึง "ท่านขุนพันธ์ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ท่านคือวีรบุรุษมือปราบ คือนายตำรวจหนังเหนียวผู้มีจิตศรัทธาอันแรงกล้า ในการผดุงความยุติธรรม ไม่ก้มหัวให้คนเลวหน้าไหน เป็นตัวอย่างและต้นแบบของตำรวจดีๆ ที่เคยมีอยู่จริงในประเทศไทย นอกจากความดีอันเป็นที่ตั้งแล้ว การรับมือกับศัตรูที่คงกระพันหนังเหนียว ยิงแทงไม่เข้า ท่านก็มีวิชามีความสามารถพิเศษ เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน อาคมต่ออาคม ที่เหล่าโจรร้ายเลื่องชื่อในประวัติศาสตร์ ยังต้องก้มหัว เมื่อเป็นภาพยนตร์ของวีรบุรุษมือปราบ 108 ปี ผู้เป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ ย่อมเป็นตัวจุดประกาย และสร้างแรงบันดาลใจให้คนอีกหลายล้านคนได้ตระหนัก และเห็นพ้องต้องกันที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อประกาศให้รู้ว่า "คนดี" ยังมีอยู่ และมีเยอะกว่า "คนเลว" ซึ่ง อนันดา เอเวอริงแฮม ซุปเปอร์สตาร์ชายที่ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถ บทไหน แสดงเรื่องอะไร ยอมทุ่มสุดตัว ไม่ห่วงลุค ผู้รับบท "ขุนพันธ์" ก็ถือเป็นเกรียติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ถ่ายทอดบางช่วงบางตอน ของเรื่องราวในชีวิตท่าน

          " ตัวขุนพันธ์เองท่านเป็นคนที่แลกทุกอย่างด้วยความดีครับ ท่านไม่ใช่คนธรรมดา เอาแค่จำนวนของโจรที่ท่านปราบนี่คือเป็นหลักร้อย คือท่านเป็นนายตำรวจ ที่อาจจะนับว่าสุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็ว่าได้ ถ้าให้คำจำกัดความ ท่านขุนพันธ์คือนักสู้ นักล่า แล้วก็นักต่อรองครับ อาวุธหลักของท่านก็จะมีปืนแล้วก็ดาบ ตัวท่านขุนพันธ์เองจะมีประโยคเด็ดของท่านเวลาไปจับโจร เป็นประโยคที่ผมชอบมากครับ ถ้าพวกมึงสัญญาเลิกเป็นโจรแล้วไปบวชซะ กูสัญญาว่าจะจับเป็นพวกมึง เป็นประโยคที่เท่มากของขุนพันธ์ครับ ชอบมาก คือมันก็ได้เห็นว่า ขุนพันธ์เอง ท่านก็เป็นคนที่เหี้ยม แต่ว่าก็แฟร์ ซึ่งอันนี้ก็มาจากประวัติศาสตร์จริงด้วย นอกจากนั้นก็จะมีความพิเศษอยู่ตรงที่ว่าท่านเป็นคนที่มีวิชาอาคม ยึดมั่นในความดี และนับถือความถูกต้อง ก็นับว่าเป็นเกียรติมากที่ได้มารับเล่น เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต โชคดีมากครับที่เขาเลือกผม ความประทับใจที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้มีเยอะมาก เพราะนับได้ว่าเป็นหนังสุดเกือบทุกทาง ตัวละครเราได้ทำในสิ่งที่ค่อนข้างพิเศษมาก แอ๊คชั่นที่ดุเดือด ที่สู้กันด้วยคาถาอาคม ซึ่งมันก็ให้อีกมิติหนึ่ง ซึ่งผมว่ามันไม่ค่อยได้เห็น ผมว่าสำหรับคนไทยมันจะเป็นฉากบู๊ที่พิเศษมาก การไล่ล่าระหว่าง 2 ตัวละครที่จะมีวิชาอาคมมีความสามารถเท่าเทียมกัน ฆ่าไม่ตายทั้งคู่ คือขุนพันธ์ ที่ต้องปราบอัลฮาวียะลูหัวหน้าโจรร้ายที่โหดเหี้ยม และยังไม่เคยมีใครสยบลงได้ซึ่งแสดงโดย พี่น้อย กฤษดา สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือต่างคนก็ทำด้วยเหตุผลที่ตนเองรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าในโลกของ 2 คนมันอยู่ทั้งคู่ไม่ได้ สุดท้ายมันก็ต้องตายสักคนหนึ่ง มันต้องมีผู้แพ้ ซึ่งจุดนี้น่าสนใจมากอยากให้ได้ดูกันเพราะทุกคนยอมเหนื่อยและทุ่มสุดตัวมากๆ ในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ครับ"

          เตรียมพบกับบทบาทล่าสุดของ อนันดา ในการสวมชีวิตเป็น "ขุนพันธ์" สุดยอดโปรเจกต์ภาพยนตร์แอ๊คชั่นฟอร์มยักษ์สุดมันส์ ที่ว่ากันว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่เรียกศรัทธา และตอกย้ำหน้าที่ที่พึงมีของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ บนผืนแผ่นดินนี้อย่างไร 14 กรกฎาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 01, 2016, 09:34:59 AM
Movie Guide: ทีเซอร์ 2 “ขุนพันธ์”

ทีเซอร์ 2 ขุนพันธ์ (Official Teaser 2 )
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Rdhrf2fgkAA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Rdhrf2fgkAA</a>

ทำไมต้องเป็น "ขุนพันธ์"
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=SlJJIj3L11I" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=SlJJIj3L11I</a>

          เมื่อแผ่นดินไม่มีความสงบสุข ประชาชนต่างเกรงภัยจากเหล่าโจรร้าย จะมีผู้ใดหาญกล้าปราบเหล่าเสือร้ายนอกกฏหม­าย
          จากเรื่องราวของ "พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" มือปราบผู้ใช้อาคมสยบเหล่าโจรชื่อดัง สู่ผลงานภาพยนตร์ "ขุนพันธ์" ภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ โดย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
          อนันดา เอเวอริงแฮม รับบท ขุนพันธ์
          กฤษดา สุโกศล แคลปป์ รับบท มหาโจรจอมขมังเวทย์ "อัลฮาวียะลู"
          ภาพยนตร์โดย ก้องเกียรติ โขมศิริ

          14 กรกฎาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 02, 2016, 09:21:22 AM
เรายังเชื่อเรื่องความดีกันอยู่ไหม เรายังหลงเชื่อเรื่องฮีโร่กันอยู่หรือเปล่า? เราตั้งคำถามเกี่ยวกับความดีกับความเลวไว้เยอะ เรารู้สึกว่าเราอยากทำไอคอนคนๆ หนึ่งที่มีตัวตนจริงๆ และเป็นคนดี 14 ก.ค. “ขุนพันธ์” ตำนานมือปราบ 108 ปีจะกลับมามีชีวิต

สู่ภาพยนตร์ระดับมาสเตอร์พีซที่สุดในชีวิตของ ก้องเกียรติ โขมศิริ เพราะงานที่มันยากก็ต้องยิ่งอาศัยศรัทธาที่สูง เราคิดว่า....โปรเจกต์ "ขุนพันธ์" คือการพิสูจน์ศรัทธาของเรากับทีมงาน







Q. แรงบันดาลใจ และที่มาที่ไปทำให้เกิดเป็นโปรเจกต์ "ขุนพันธ์" ภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ที่กำลังอยู่ในความสนใจ และเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดอยู่ในขณะนี้
A. สวัสดีครับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ครับ ตอนนี้มีผลงานเรื่องล่าสุด "ขุนพันธ์" รับหน้าที่ผู้เขียนบท และผู้กำกับครับ สำหรับแรงบันดาลใจ คือตั้งแต่สมัยที่ยุคจตุคามเฟื่องฟู หรือด้วยชื่อเสียงของท่านขุนพันธ์ ทำให้ผมชอบ รู้สึกอยากทำเรื่องนี้ เหมือนว่าการเป็นฮีโร่ในแบบไทยแบบนี้มันเท่จังเลย ตอนนั้นภาพแรกที่เห็น เราเห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่ยักรั้ง ใส่เสื้อราชปะแตน สะพายดาบ ขี่ช้างถือปืนไล่ล่าโจรอะไรอย่างนี้ ภาพแรกที่ปรากฎขึ้นนะครับ จนวันหนึ่งเสี่ยเจียง คุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ก็เรียกเข้าไปบอกว่ามีโปรเจกต์ให้ดู แล้วก็พอพูดชื่อเรื่องขุนพันธ์ออกมา เราก็แบบ เฮ้ย เขาเลือกให้เราทำ ท่านเลือกให้เราทำมั้ง คือได้ยินว่ามีการผ่านมือหลายคนมากที่จะทำโปรเจกต์นี้ อาจจะถอดใจไปแล้ว แต่เสี่ยเลือกให้เราที่จะทำโปรเจกต์นี้ คือเรารู้สึกว่าเราอยากทำไอคอนคนๆหนึ่งที่มีตัวตนจริงๆและเป็นคนดี คือในยุคที่เราต้องพูดตรงๆว่าบ้านเมืองเราเจอสถานการณ์เยอะมาก โลกไปเร็วมากจนบางทีเราก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับความดีกับความเลวไว้เยอะ เราตั้งคำถามเกี่ยวกับศรัทธาในชีวิต เรายังเชื่อเรื่องความดีได้อยู่ไหม เรายังหลงเชื่อเรื่องฮีโร่อยู่หรือเปล่า ก็ได้สืบ อ่าน ค้นคว้าเรื่องราวของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชอย่างจริงจัง ยิ่งอ่านก็ยิ่งสนุก เป็นความสนุกแบบเดียวกับที่เราอ่านล่องไพร หลายเรื่องที่มันมีอยู่จริง การจับไอ้เสือ บุคคลคนนี้มีอยู่จริง ไม่ว่าบ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้น ชาวบ้านเดือดร้อน เราเป็นตำรวจ เราต้องปราบปราม ด้วยเรื่องราว ในยุคที่ก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านเมืองแร้นแค้น ทุกข์ยากแสนเข็ญสุดๆ ข้าราชการพึ่งพาไม่ได้ โกงกินทุกอย่าง รอบทิศรอบทางมีแต่ศัตรู คนๆหนึ่งลุกขึ้นต่อสู้ เครื่องมือคือ ใจกับคาถาอาคม บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึหรือเปล่า แต่สำหรับเราเรารู้สึกว่ามันเมจิกมากเลยนะ มันเป็นสิ่งที่ฝรั่งเก็ทนะ พออ่านเรื่องขุนพันธ์เสร็จ เราเรียกมันว่าเมจิคอลเรียลลิส บนความรู้สึกของหนังที่เราไม่ได้เห็นหนังรสชาดแบบนี้ เรื่องของฮีโร่คนหนึ่งที่ไปเจอกับผู้ร้ายคนหนึ่งซึ่งมีวิชาอาคมไม่แพ้กัน แล้วมันคือการที่คนที่ยิงไม่ตาย 2 คนต่อยกันนะ หนังเหนียว 2 คนอัดกัน มันเป็นเรื่องชิงไหวชิงพริบ หรือการที่ตัวละครตำรวจถูกท้าทายโดยโจรว่า มึงกับกูมันต่างกันแค่เสื้อผ้า หนังเรื่องนี้พยายามจะพูดในทัศนะเรื่องความดีความเลว หรือการเลือกศรัทธาด้านสว่างหรือด้านมืด เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าแรงบันดาลใจสำหรับเรื่องนี้ก็คือการสร้างไอคอนแห่งความดีที่จริงที่สุด โดยเรามีภาพที่เราใช้เป็นแรงบันดาลใจตั้งแต่เริ่มต้นเขียนบทเรื่องนี้ก็คือ เป็นภาพที่ขุนพันธ์นั่งลงแล้วก็ต่อเทียนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นะครับ เหมือนอัศวินฝรั่งที่แบบว่ากษัตริย์กำลังเอาดาบแปะที่ไหล่แล้วก็บอกว่าจงรับภารกิจนี้นะ จงทำภารกิจของเจ้าต่อไป มันคือการต่อเทียน ขุนพันธ์ก็เหมือนเทียนเล่มหนึ่งที่ผมในฐานะคนทำงาน ผมรู้สึกว่าการทำหนังเรื่องนี้เหมือนว่าพวกเราก็เหมือนกันที่เรากำลังต่อเทียนเล่มนั้นต่อมา โดยมีหัวใจของเรื่องมันก็คือการไล่ล่ากันของคน 2 ฝั่งที่เรียกว่าเจ็บไม่ได้ตายไม่เป็นกันทั้งคู่ครับ

Q. เรียกได้ว่าทั้งยาก และเต็มไปด้วยความท้าทายของทีมงานในทุกๆ ฝ่ายตลอดจนนักแสดงจนถึงผู้กำกับ เป็นเหมือนโปรเจกต์ที่พิสูจน์สิ่งที่เรียกว่า "ศรัทธา" ของคนทำหนังเรื่องนี้ทุกคน
A. เราว่ามันพิสูจน์อะไรหลายๆอย่างในตัวเราและก็ทีมงานเยอะมากคือ มันพิสูจน์ศรัทธา โปรเจกต์นี้มันใหญ่โตมโหฬาร และมันยาวนานมาก เขียนบทอีกเป็นปี ถ่ายทำ มีกระบวนการขั้นตอนที่กินเวลายาวนานมาก มันคือความท้าทาย เหมือนขุนพันธ์นะครับที่ท่านตะลุย ท่านบุกขนาดไหนในชีวิต กว่าจะปราบโจรสักคนหนึ่ง เราลงไปที่บ้านท่านแล้วก็ไปไหว้ท่าน ไปขอหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างว่า ดลบันดาลใจให้เราทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด และไม่เลิกที่จะทำ ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคอะไรก็แล้วแต่ เราจะมีรูปขุนพันธ์อยู่ข้างโต๊ะทำงาน มีดาบแดงอันหนึ่ง เราก็จะหันไปมองตลอด ถ้ายังมีเวลาเราจะทำให้มันดีที่สุด ไม่มีนักแสดงหรือทีมงานคนไหนถอดใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้เลย อันนี้ก็น่าประหลาดเหมือนกันครับผม

Q. "ขุนพันธ์" คือใคร ภาพของนายตำรวจมือปราบคนนี้เป็นอย่างไร
A. ขุนพันธ์เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งทุกคนรู้จักกันในนามมือปราบหนวดเขี้ยว เขามีหลายฉายามากนะครับ มือปราบหนวดเขี้ยว นายพลหนังเหนียว มือปราบหนังเหนียว มือปราบดาบแดง เพราะว่าในชีวิตจะใช้ดาบอันหนึ่ง ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นดาบของพระยาพิชัย เป็นดาบสีแดงเวลาออกรบก็จะใช้ เวลาออกปราบโจรก็จะมีดาบไขว้หลังอยู่ตลอดเวลา ทางมาเลเซียตั้งฉายาไว้ให้ว่า ระยอจี แปลว่าผู้ที่มีลักษณะตัวเล็กแต่ว่ามีอิทธิฤทธิ์ เล็กพริกขี้หนู ท่านเป็นชาวใต้จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านจบการศึกษานักเรียนนายร้อยตำรวจ ท่านเป็นลูกศิษย์เขาอ้อนะครับ ถ้าเราค้นคว้าเราจะรู้ว่า เป็นสำนักตักศิลา ที่เรียกว่าวัดเขาอ้อ เป็นสำนักที่ฝึกสิ่งที่เป็นไสยศาสตร์ วิชาอาคม การสัก เหมือนเส้าหลินนะครับที่นอกจากเป็นวัดแล้วยังมีการฝึกเรื่องว่าน เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยที่สอนเรื่องนี้โดยเฉพาะ ขุนพันธ์เป็นลูกศิษย์ของที่นี่ แล้วก็มีวิชาอาคมเก่งกล้ามาก

Q. ในด้านชื่อเสียง และได้รับการยอมรับนั่นคือการเป็นนายตำรวจคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปราบเสือดังๆ ที่ยังไม่เคยมีใครปราบได้มาก่อนเพราะมีของดีวิชาดี
A .ท่านปราบเสือดังๆในประเทศทั้งนั้น เสือไบ เสือมเหศวร เสือดำอะไรอย่างนี้ มีการยืนยันจากการที่เขาขนานนามว่าเป็นตำรวจที่โจรทั้งกลัวทั้งนับถือ คือได้ยินว่าเมื่อไหร่ขุนพันธ์ย้ายมาปราบประจำที่ไหน โจรที่นั่นจะหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ไม่ก่อการกันพักใหญ่ๆ อะไรอย่างนี้เลย แล้วก็เลือกที่จะเป็นตำรวจสายทำงานมากกว่าสายนั่งโต๊ะ เลือกที่จะใช้ความดี ความอดทนมากกว่าการใช้เส้นสายในการทำงานนะครับ เพราะว่าถ้าตามประวัติจริงๆ แล้ว ความดีความชอบของสิ่งที่ขุนพันธ์ทำที่ออกไปปราบโจรหลายๆ ครั้ง บางครั้งก็มีตำรวจหรือข้าราชการด้วยกันก็อิจฉา ไม่ชอบหน้า แล้วก็มีการเขียนใบสนเท่ห์ร้องเรียนว่าทำเกินกว่าเหตุ โหดร้าย มีวิชาอาคม เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ท่านเลือกที่จะเป็นตำรวจเล็กๆ คนหนึ่งที่ยังคงออกทำงานตลอดเวลา ปราบกับโจรแบบมึงฟันมากูฟันไป มึงหายตัวได้กูก็หายตัวได้ มึงเหนียวกูก็เหนียว นี่มันเป็นเรื่องของแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน พอเราศึกษาพวกรายละเอียดข้อมูลต่างๆ เยอะ ถ้าคนที่มีจิตที่ดีจิตที่สะอาดจริงๆ มันก็เหมือนวิชาอาคม ยิ่งเสริมให้มันแกร่ง เหมือนพระเกจิดังๆ ที่เก่งๆ จิตดีสมาธิดี เขาก็จะมีญาณบางอย่างที่วิเศษกว่าคนปกติทั่วไป มันเป็นหลักธรรมชาตินะ เพราะฉะนั้นขุนพันธ์น่าจะเป็นคนจิตดี จึงฝึกวิชาพวกนี้เพื่อเอาไว้ใช้ปราบปราม ปกป้อง วิชาอาคมพวกนี้มันมี 2 มุม
          ในสมัยก่อนที่เล่าเรื่องเขาอ้อ คือสอนไปแล้วนี่ ใครจะไปเป็นโจรใครจะไปเป็นตำรวจ ไม่รู้ล่ะ แต่มีวิชาอาคมติดตัวกันไปหมด อยู่ที่ฝึกดีไม่ดีอะไรอย่างนี้ก็ว่ากันไป ขุนพันธ์ก็เหมือนกันก็ต้องใช้สิ่งที่โจรมี ตำรวจมีปืนโจรก็มีปืนสมัยก่อน โจรมีคาถาอาคม ยิงไม่เข้า ตำรวจคนอื่นกลัว แต่ขุนพันธ์เหนียวพออะไรอย่างนี้ มันเป็นเรื่องของการบลัฟกันด้วย เหมือนคิดว่าตัวเองเหนียวก็เลยเหิมเกริม พอตำรวจคนนี้มาเหนียวเหมือนกันนี่หว่า ในสายคนที่เขาเล่นของพวกนี้เขารู้กันอยู่ว่านี่ของจริง แต่ก็คือเราต้องบอกก่อนว่าเราศรัทธาในฐานะท่านเป็นมนุษย์ที่มีอยู่จริง ในภาพยนตร์มีบทที่ขุนพันธ์พูดว่า ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันถูกหรือผิด แต่ผมแค่รู้ว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง สิ่งที่ขุนพันธ์เคยทำมาตลอดทั้งชีวิต คือการทำอะไรสักอย่าง การลงมือทำสิ่งที่ดีสิ่งที่เชื่ออยู่แล้วตั้งแต่แรก แค่อย่าแกว่งแค่นั้นเอง

Q."ขุนพันธ์" ในฉบับภาพยนตร์ผ่านการเขียนบท และกำกับภาพยนตร์ โดยก้องเกียรติ โขมศิริ จะออกมาเป็นอย่างไร
A. มันเป็นโปรเจกต์ที่เราภูมิใจนำเสนอ เราทำสิ่งที่ยากเกือบทุกสิ่งเลย มันถึงกินเวลามาหลายปีมาก สิ่งที่หนังไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฉาก เรื่องของเอฟเฟกต์ เรื่องของการดีไซน์คิวแอคชั่น บทมัน แก่นหลักของเรื่องเมจิคอลเรียลลิสเนี่ยแหละ เราต้องอาศัยการทำงานที่ประชุมแล้วประชุมอีก และบางทีเราถ่ายได้น้อยมาก ฉากแอคชั่นมันยากอยู่แล้ว เราต้องแข่งกับหลายๆอย่างแล้วโชคดีมากที่เราได้ทีมนักแสดง ทีมงาน ฝ่าฟันกันผมว่าโปรเจกต์นี้มันเหมือนหน่วยทหารที่พอเสร็จแล้วก็คงรักกันไปอีกนาน ถ่าย 24 ชั่วโมง พี่น้อยกับอนันดาเนี่ย ต่อยกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าวันนี้จนไปถึง 6 โมงเช้าอีกวันหนึ่ง แอคชั่นทั้งวัน 2 คน ก็ลุยกัน นับถือสปิริตมาก เรามีดีไซน์ที่ฉูดฉาด เรามีประเด็นในสไตล์ของหนังแบบโขมที่รุนแรงพอที่จะกระทบความรู้สึกคนในทุกๆ ด้านนะครับ ผมว่ามันก็น่าจะเป็นเวอร์ชั่นเข้มข้น แล้วก็น่าจะเป็นหนังที่เราอาจจะเคยเจอกับความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่สมัย 2499 หนังก็ยังมีกลิ่นอายแบบนั้นอยู่ เราอยากให้ความรู้สึกของหนังไทยแบบนั้นน่ะ ทำการบ้านกันสูงมากสำหรับเรื่องนี้ครับ

Q. ขีดระดับความท้าทายในการทำโปรเจกต์มหากาพย์ขนาดนี้
A. มันเป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่แล้วก็ตัวบุคคลที่เลือกทำเป็นบุคคลจริงมีตัวตนจริง มีประวัติศาสตร์รองรับมีหลักฐานยืนยันเราก็เลือกการถ่วงดุลระหว่างความจริงแค่ไหน กับความเป็นภาพยนตร์ แน่นอนละ เราไม่ได้ทำสารคดี มันคงไม่ใช่เรื่องราวตรงไปซะ 100% ทั้งหมด เพียงแต่ว่าใดๆ เรารักษาหัวใจของความเป็นขุนพันธ์ไว้ได้ให้ได้เยอะที่สุด เรื่องแอคชั่นกับเมจิค การผสมกัน แล้วมันมีดราม่าเข้าไปอยู่ในนี้ด้วย การรักษาบาลานซ์สมดุลของสิ่งเหล่านี้มันเป็นงานที่ท้าทายนะครับ มันต้องยกย้อนกลับไป คือธีมของเรื่องเลยก็คือศรัทธานะครับ งานที่มันยากก็ต้องยิ่งอาศัยศรัทธาที่สูง ทีมงานเองก็ใช้วิธีนี้กับชีวิตเหมือนกัน เราเรียนรู้จากหนังตัวเองเหมือนกันว่า เฮ้ย อย่าหยุด อย่าหยุดศรัทธาลงมือทำอะไรสักอย่าง โดยคาแรคเตอร์หลักๆ เรายังจับหัวใจความเป็นขุนพันธ์อยู่ในเรื่องนี้แต่ว่าเนื่องจากมันเป็นภาพยนตร์ ในฐานะคนที่เลือกที่จะทำ เป็นเมจิคอลเรียลลิสซึ่ม สัจนิยมมหัศจรรย์ถ้ามาแปลตามภาษาแล้วเนี่ย เราจะต้องขยายความหรือว่าเพิ่มบางอย่างที่เป็นเรื่องของภาพยนตร์ลงไป แต่ทั้งหมดในนั้นน่ะ เราไม่ได้หักข้อมูลเก่าทิ้ง ไม่ได้โกหก ข้อมูล เรื่อง คาแรคเตอร์ หนวดเขี้ยว การไปปราบโจรที่นู่นที่นี่ หรือแม้กระทั่งเวิร์ดดิ้งที่ท่านขุนพันธ์พูด โจรจะพูดกันหมดเสมอว่าก่อนแกจะปราบแกจะพูดว่า เฮ้ย ถ้ามึงบวชแล้วเลิกเป็นโจรซะ กูจะจับเป็นมึง แต่ถ้ามึงไม่บวช กูก็ยิงกัน เราก็จับหัวใจ สิ่งนี้ยังมีอยู่แบบนักเลง คนที่เป็นนักเลงแบบนี้ยังมีอยู่ ยังอยู่ในเรื่องทั้งหมด นี่ไม่ใช่หนังอัตชีวประวัติ อันนี้เป็นหนังที่ถูกสร้างเพื่อความบันเทิง โดยได้ตัวละครขุนพันธ์เป็นต้นแบบ ให้เป็นไอคอนมากกว่าเป็นแค่หนังสือประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่ง

Q.เรื่องราวของขุนพันธ์ในภาพยนตร์
A. เนื่องจากเรื่องราวของท่านขุนพันธ์มีหลายสเต็ปมีหลายภาคมาก แต่เราเลือกที่จะทำภาคแรกที่เหตุการณ์ซึ่งเป็นภารกิจแรกในชีวิตคือการปราบปรามโจรใต้ ตั้งแต่เป็นนายร้อยจบมาใหม่ๆ แล้วก็ได้รับภารกิจ เสนอตัวที่ไม่มีใครทำเลยก็คือการปราบโจรร้ายที่โด่งดังที่สุดที่ชื่อว่า อัลฮาวียะลู ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นผีแห่งหุบเขาบูโด คือเป็นโจรที่มีวิชาอาคมมาก ฆ่าคน ด้วยกริชอันหนึ่ง โหดร้าย ได้ยินว่าพอชาวบ้านคนไหนไม่ร่วมด้วยก็จะเอากริชผ่าปากคนพวกนั้น ชื่อเสียงโด่งดังมาก จึงไม่มีตำรวจคนไหนอาสา และนอกนั้นก็ยังมีสมุนเก่งๆ อย่างพวก เสือกลับ คำทอง หรือเสือสัง ซึ่งเล่นโดยเดี่ยว ชูพงษ์นะครับ ก็มีเหล่าลูกสมุนอีกหลายคนซึ่งเป็นมือซ้ายขวา จนขุนพันธ์ได้รับภารกิจให้ปลอมตัวเข้าไปจัดการกับโจรคนนี้ ในดินแดนที่โจรคนนี้ปกครองอยู่ทั้งหมด แล้วคนทั้งภูเขาแห่งนั้นถูกเรียกว่าเป็นโจรชาวบ้านชาวช่องเป็นโจรหมด คราวนี้มันก็เกิดกระบวนการว่า ตำรวจอย่างขุนพันธ์จะต้องเรียนรู้ว่า การปราบอัลฮาวียะลู การปราบโจรหุบเขาแห่งนี้ รวมทั้งทำไมคนทั้งหมดถึงลุกขึ้นมาเป็นโจร ทำไม ผู้ร้ายตัวจริงมันคืออะไรกันแน่ หรือขุนพันธ์แทนที่จะไปไล่ล่าเขา กลับถูกไล่ล่าเสียเอง มันก็คือการเผชิญหน้ากันของยอดฝีมือ 2 ทาง ขุนพันธ์เจอจอมโจรที่เก่งทั้งวิชาอาคมทั้งบู๊ไม่แพ้ตัวเอง เพราะอัลฮาวียะลูนี่โดนขุนพันธ์เอาปืนยิงใส่หน้าระยะเมตรหนึ่ง ยิงๆๆ เสร็จ อมลูกกระสุนไว้ในปากหมดเลย ทำอะไรไม่ได้ ก็เสร็จแล้วพอเข้าไปแฝงตัวอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ขุนพันธ์ก็ได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วมันก็เต็มไปด้วยนักการเมืองท้องถิ่นที่เลวๆ ทั้งถือรัฐเอาเปรียบประชาชนเสมออะไรอย่างนี้
Q. สิ่งที่สำคัญและน่าสนใจคือการคัดเลือกนักแสดงที่จะมาสวมชีวิต และจิตวิญญาณถ่ายทอดคาแรคเตอร์ต่างๆในภาพยนตร์ให้โลดแล่นอย่างสมจริง
A. อย่างขุนพันธ์นะครับ ก็ได้อนันดามาเล่น ซึ่งอย่างที่บอกเราต้องการไอคอน เราต้องการคนที่มีลักษณะของการถูกจำได้ เป็นต้นแบบ การแสดงที่ดี ดราม่าที่ดี ก็ลองติดกับหนวดเขี้ยวเข้าไปวันแรกที่เราทำงานกัน เรารู้สึกว่า เฮ้ย มันใช่เลย พอติดหนวดเขี้ยวเข้าไป หน้านี้ถูกต้องเลย มันมีความแข็งบางอย่างอยู่ ความสู้คน เอาจริงเอาจัง นี่คือสิ่งที่ท่านขุนพันธ์มีดูแววตา เขาบอกนายพลตาเสือ ถามว่าตาอนันดาเป็นตาเสือไหม ก็เป็นตาเสือ เมื่อติดหนวดเขี้ยวเข้าไปเรารู้สึกถึงความดุที่อยู่ในตัวคน แล้วอนันดาเองเป็นนักแสดงมืออาชีพเขาเต็มร้อย เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็ไม่ได้แอคชั่นธรรมดา จ่อยไม่เคยหยุดการขี่ม้า พยายามจะขอขี่ม้าตลอดเวลา ตกม้าไปรอบหนึ่ง สปิริตรุนแรงทั้งคู่ครับ เหมือนหนัง 2 คาแรคเตอร์ นอกจากในเรื่องที่มันจะพูดว่าการฉะกันในแง่ของแอคชั่น และไสยศาสตร์แล้ว การเจอกันในแง่ของการแสดง เหมือนโรเบิร์ต เดอนีโร เจอกับอัล ปาชิโนในหนังเรื่อง HEAT อะไรอย่างนี้ เราก็ตั้งใจว่าการเผชิญหน้าระหว่างขุนพันธ์ กับอัลฮาวียะลู มันก็คือการเผชิญหน้าของตัวแทนของ 2 ฝั่งซึ่งมันไม่ได้มีมิติเดียวนะครับ ขุนพันธ์ก็มีแผล อัลฮาวีก็มีแผล คน 2 คนใส่เสื้อคนละแบบกัน แต่ว่ามันต้องถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความดีด้วยกัน ความดีความเลวด้วยกันทั้งคู่ว่าอะไรกันแน่ที่ถูกนะครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 02, 2016, 09:21:48 AM
Q. พูดถึงการเชือดเฉือนบทบาท แอ็คชั่น และการแสดงอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนของ 2 ซูเปอร์สตาร์ชายอย่าง อนันดากับ น้อย กฤษดา
A. คือตัวละคร 2 ตัวนี้ถูกดีไซน์ให้เป็นคู่เหมือนที่แตกต่าง ตัวอนันดากับพี่น้อย แน่นอนคือพาวเวอร์ของนักแสดงทั้งคู่มีการปล่อยพลังใส่กันแน่ๆ อยู่แล้ว การดีไซน์ภาพลักษณ์เราอยากให้พี่น้อยเท่ แต่เปลี่ยนแบบ ปกติตัวจริงๆพี่น้อยจะเป็นคนคูลๆ สุภาพ เพราะฉะนั้นเราจะใส่วิญญาณของปีศาจร้ายลงไปในเขาได้ยังไง เราเชื่อว่าเขาพร้อมที่จะเป็นอะไรก็ได้นะ อินเนอร์ของพี่น้อยเขามากมายอยู่แล้ว เราเริ่มจากการใส่ฟอร์มลงไป ใส่เสื้อผ้า หน้าผม เครา เราไม่เคยเห็นพี่น้อยในลุคนี้เลย หรืออนันดาที่อยู่ในลุคหนวดเขี้ยว ซึ่งมันเข้มเหลือเกิน ผมเชื่อว่าพระเอกก็เจ๋ง ผู้ร้ายก็เจ๋ง แน่นอนมันก็จะทำให้เป็นคู่ที่ผมเชื่อว่ายิ่งใหญ่ แสดงว่าเป็นมวยถูกคู่ เป็นมวยที่ทุกคนรอดูว่า เมื่อ 2 คนปะทะกันในแง่ของทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเป็นเคมีที่ดีที่คนดูได้ดู 2 นักแสดง สปิริตดีๆ เล่นด้วยกันนะครับ

Q. นอกจากนั้นยังมีเหล่านักแสดงหลักๆอีกอย่างน้อย 5 ชีวิตที่พร้อมใจกัน มาร่วมถ่ายทอดการแสดงได้อย่างเกินร้อย
A. ใช่ครับ อย่างการดีไซน์คาแรคเตอร์ตัว หลวงโอฬาร คุณแฟรงค์ (ภคชนก์ โวอ่อนศรี) ก็จะเป็นตัวแทนของระบบข้าราชการที่ อาศัยความที่รู้มากกว่าเอาเปรียบคน การกะล่อนปลิ้นปล้อนตอแหล การฉ้อราษฎร์บังหลวง การสร้างภาพ ว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นพยายามจะบอกว่า เราต้องใส่หมวก เราจงแต่งตัวแบบนี้ เพราะเราจะเป็นอารยประเทศ เราจะเป็นประเทศที่ฝรั่งเห็นแล้วชื่นชม แต่จริงๆแล้ว เราไม่ได้ทำสิ่งนั้นอยู่ มันเป็นคนมีความรู้แหละ ต้องจบนอกสมัยก่อน แต่ทำไมถึงถูกมาอยู่ในที่แบบนี้ แสดงว่ามันอาจไม่ได้เป็นคนดีหรอกนะ เราจะดีไซน์ยังไงให้ดูแบบ รวย เจ้าเล่ห์ สุภาพ แสนดี เห็นจังหวะที่จะเอาเปรียบคนได้ตลอดเวลา คือแฟรงค์ทำงานกับเรามาหลายเรื่องละ หลายคนถ้าเคยเข้าฉากกับแฟรงค์จะรู้ว่า ถ้านักแสดงคนนั้นไม่มีสมาธิพออาจจะโดนจู่โจมจากการแสดงของแฟรงค์ เขาสามารถสร้างคาแรคเตอร์ที่เขารับบทบาทได้ เกลียดเราก็จะเกลียดมันจนแบบว่า หรือไอ้นี่น่าหมั่นไส้ อาจจะเพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันด้วย เรารู้ แฟรงค์มุมนี้ดีกว่าลองเล่นแบบนี้ดู นักแสดงทุกคนเหมือนกันหมด เป็นหนังที่ผมตอบคำถามนักแสดงเยอะมาก เพราะนักแสดงช่างถามมาก โห เขาทำการบ้านกันละเอียดมาก พี่น้อยนี่ในวันฟิตติ้งเขาบอกกับผมว่าตัวละครตัวนี้มันทุกข์ว่ะ เหมือนมันแบกของหนักอยู่ตลอดเวลา เข่ามันไม่ดี หลังมันเหมือนคนพิการ พี่น้อยตีความบอกว่าเราว่ามันเหมือนคนพิการ พิการจากในจิต แล้วมันออกมาด้วยรูปทรงการข้างนอก การเดินการเหินมันเหมือนคนที่เก็บอะไรเอาไว้ตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งอนันดาที่ในความดุ ก็มีเมตตา คือคนที่พูดกับโจรว่ามึงไปบวชซะ แล้วกูก็จะจับเป็นมึง แล้ว 3 วินาทีหลังจากนั้น ถ้าโจรไม่ไปบวชหรือไปคุยดีๆ กัน ตาเปลี่ยนเป็นเสืออีกคนหนึ่งที่พร้อมจะจับกูหรือยิงสวนกูทันทีนี่วินาทีแบบนี้ มันก็เป็นการประชันกันของนักแสดงมากบทบาทหลายคนนะครับ เราได้อย่างนางเอกของเรื่อง น้องอ้อม (กานต์พิสชา เกตุมณี)นะครับ ตอนนี้มีสาวๆ 2 คน กับน้องกบ (พิมลรัตน์ พิศลยบุตร) จริงๆอ้อมก็เป็นลูกศิษย์หม่อมน้อยนะครับได้เล่นในแม่เบี้ยมา ผ่านประสบการณ์หลายสิ่งหลายอย่างมาแหละ คือชุมชนเขาบูโดทั้งหมดที่บอกว่าเป็นโจร ทุกคนมีเหตุผลในการลุกขึ้นมาเป็นโจร และเหตุผลของทุกคนน่าฟังทั้งนั้น ทำไมตัวบุหงา (กบ พิมลรัตน์) ผู้หญิงแสนสวยที่ซ่อนตัวเองเอาไว้ในร่างของความเป็นชาย หรือว่าความเป็นแม่เสือสาวเขาต้องเอาความเป็นโจรนี่มาปิดบังตัวเขาไว้ หรือตัวมาลัย (อ้อม กานต์พิสชา) เอง ซึ่งเหมือนกับดอกไม้ที่มันสวยงามในถิ่นนี้ ดอกไม้ป่าซึ่งเธอเป็นนักร้อง แต่ชีวิตจริงๆ เธอเป็นอะไร เธอเป็นนกต่อ เธอเป็นเครื่องมือฆ่าคน เธอเป็นดอกไม้ซึ่งเธอมีพิษ หรือแม้กระทั่งตัว ไข่โถ (สน สนธยา ชิดมณี) เป็นตัวแทนของประชาชนที่บอกว่า ทำไมเราจะไม่เป็นโจรละเป็นหนี้ขนาดนี้ เราไปไหนไม่ได้ บทอันนึงที่ตัวละครไข่โถพูดว่า เมื่อก่อนเราหิวเราก็ลงทะเลหาปลา เดี๋ยวนี้เราหิวเราก็ต้องไปกู้เงินมัน นี่ก็เป็นเหตุผลที่แต่ละตัวละครมันก็มีมิติที่สะท้อนเหตุผล คือการตั้งคำถามว่า แล้วโจรเกิดขึ้นด้วยอะไร ตัวละครพวกนี้มันก็จะถูกดีไซน์มาเพื่อรองรับประเด็นเหล่านี้ไว้ครับ
สำหรับทั้ง 3 คนนะครับ ทั้งสน,น้องกบ,น้องอ้อม ต้องแบบว่าเป็นเกียรติมากที่ได้ทำงานกันมาเสมอ กับสนนี่เราไม่รู้ เราว่ามันเป็นซิกเนเจอร์ดี คืออาจจะเพราะว่าเรื่องที่มันเป็นบริบทที่ภาคใต้ด้วยแหละ เราชอบดูสนสำหรับบทดราม่าหรือบทที่ว่าเขาต้องเข้ามารองรับความกดดันหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างนี่เราว่าสนทำได้ดี แล้วเขาก็เป็นคนใต้จริงๆ ด้วย เขาอินกับขุนพันธ์จริงๆ ด้วยอะไรอย่างนี้โดยเลือดแล้วนี่ อ้อมเป็นเรื่องแรกแต่เราก็บอกว่า อ้อม พี่ไม่สามารถประนีประนอมได้ ถ้าอ้อมถูกล้อมไว้ด้วยคนเหล่านี้ ถ้าอ้อมเบาหรือดรอป ตัวน้องก็รู้เขาพยายามแล้วก็ทุ่มเทมากๆ ที่จะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นปัญหา อ้อมก็ตามได้ทันนะครับ ส่วนกบผ่านงานมาเยอะ เล่นหนังมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็จะเหมือนกับนักแสดงมืออาชีพทุกคน ก็คือกบหาความหมายในการกระทำทุกอย่าง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุและผล คือเราทำงานกันเหมือนแบบนั่งคุยกันเหมือนว่าเราจะสร้างตัวละครนี้ด้วยกัน กบก็จะถาม เฮ้ยมันดูดบุหรี่ไหม แบคกราวน์คืออะไร ตัวละครนี้เป็นยังไง ทำไมมันจะต้องแต่งตัวแบบนี้ มันสูบบุหรี่ไหม มันมีไฟแช็ค มันชอบเล่นอะไรเกี่ยวกับไฟแช๊คไหม การดีไซน์คาแรคเตอร์ซึ่งสนุกมากเวลาทำงานครับ
มาจนถึงเดี่ยวคือในบ้านเราผมว่า นักแสดงสายแอคชั่น เรามีกันไม่กี่คน เรามีจาพนม เรามีพี่พันนา แล้วก็มีเดี่ยว-ชูพงษ์ เมื่อก่อนเราจะเห็นเป็นพระเอกแอคชั่นเล่นเป็นคนดี เรารู้สึกว่า เฮ้ย จริงๆ แล้วตัวร้ายซึ่งแบบ เก่งสุดๆ เลย บู๊เก่งสุดๆ เลย แล้วมึงร้ายแบบน่ากลัว เรารู้สึกว่าเดี่ยวมันมีมุมแบบนี้ แล้วมันจะทำได้ดี เราก็ไปบอกเดี่ยว ลองเล่นแบบนี้ดูไหม ก็ดีไซน์เต็มเหนี่ยวเลย มันมีลักษณะเหมือนเผ่าของสัตว์ป่าบางอย่างอยู่ ในเรื่อง ชื่อว่าเสือสัง มีอาคมเป็นพวกลิงลม เป็นพวกเคลื่อนไหวเร็วเรียกว่าเป็นคู่ปรับสำคัญ ไฮไลต์เลยของเดี่ยวก็คือการเผชิญหน้ากับขุนพันธ์ แล้วก็สู้กันด้วยคารัมบิต ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของเขา กับขุนพันธ์ใช้มีด ดวลกันแบบบนรถไฟอะไรอย่างนี้ ถือว่าเป็นซีนที่ยากอยู่ครับ

Q. ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์มีวิชวลทางด้านภาพที่ค่อนข้างแตกต่างจากภาพยนตร์แอ็คชั่น หรือพีเรียดทั่วๆไปที่ผ่านมา ในการทำงานมีฉากไหนที่ยิ่งใหญ่ ท้าทาย หวือหวา แปลกใหม่ ที่อยากพูดถึง
A. โปรเจกต์นี้มันเต็มไปด้วยฉากใหญ่ๆ หลายฉากมาก มันถูกดีไซน์มาตั้งแต่ตัวหนังสือ จริงๆ 4 ฉากที่เราจดจำมันนะครับ ที่เรากว่าจะผ่านมันไปได้มันยากเหลือเกิน มันคือ ฉากแรกในเรื่องเลย เป็นฉากที่เมื่อขุนพันธ์ออกเริ่มปฏิบัติการแล้วถูกเสือกลับ คำทอง 1 ในสมุนของอัลฮาวี ล้อมเอาไว้ ก็คือที่ผ่านมาเราเคยแต่เห็นตำรวจล้อมโจร แต่นี่โจรล้อมตำรวจอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง แล้วก็เกิดการถูกปิดล้อมแล้วก็สู้กัน การเซตฉากขึ้นมาแล้วก็ระเบิดระเบ้อกัน บู๊กันในนั้น อีกอันก็คือ ฉากการสู้กันบนรถไฟ ที่มีการขี่ม้าไล่ล่ากันตั้งแต่ข้างล่างขึ้นไปบนรถไฟ เอาม้าเทียบรถไฟ ปีนขึ้นรถไฟ ขึ้นไปอัดกันใน ก็ต้องเซตรถไฟกันขึ้นมาแล้วก็ทำงานร่วมกับกราฟฟิคในหลายๆ ส่วน อันนี้ก็ยาก เพราะว่าทุกอย่างมันเคลื่อนไหวหมด ทั้งม้าทั้งสตั้นท์ทั้งคิวรถไฟวิ่ง พวกนี้มันผิดคิวนิดเดียวมันก็ทั้งอันตรายและอาจไม่ได้ในสิ่งที่เราอยากได้ ถ่ายกันหลายวันครับ 3. ซีนตัวอัลฮาวียะลูล้อมฆ่าตำรวจที่ถูกส่งมาทางใต้ ก็เป็นการปิดป่าแล้วก็ยิงกันนะครับ และฉากไฮไลต์ของเรื่อง ก็คือการถล่มกันเขาเรียกว่าเป็นบ่อนงาช้าง ซึ่งมันเหมือนคลับเฮาส์ของหลวงโอฬารนะครับ แล้วก็เกิดการถล่มกันในนั้น อันนี้ก็เรียกว่าอนันดาจมฝุ่น ทั้งพี่น้อย 24 ชม. ระเบิดกันทั้งวัน เหมือนอยู่ในสงครามจริงๆ อะไรอย่างนี้ ทั้ง 4 ฉาก จริงๆ แล้วฉากที่เหลือมันก็ไม่ได้ง่ายไปกว่านี้ มันก็เต็มไปด้วยความยากต่างกันไป

Q. จากสัญญาลูกผู้ชายระหว่างผกก. กับนักแสดงนำไปสู่ความบ้าพลัง ในการถ่ายทำฉากแอ็คชั่นแห่งปรากฎการณ์ของอนันดา ที่ต้องบู๊กับสตันท์มากกว่า 20 คนในแบบ One long Take
A. เราคุยกันตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่าอนันดา เนื่องจากยูไม่ใช่จา-พนม เพราะฉะนั้นยูจะไปแอคชั่นสู้เขาไม่ได้หรอก สมมติว่ามันมี one take จะพูดว่ามี One Take เลย แล้วปล่อยให้คุณโชว์คิวบู๊ยาวๆ ลุยกับคน 20-30 คน ด้วยมีดเล่มหนึ่งได้ แล้วคุณทำให้คนดูเห็นว่าเป็นคุณจริงๆ เล่น มันจะเจ๋งแค่ไหน โชคดีที่อนันดามันก็บ้าจี้เอาด้วย ก็ซ้อมคิว เหนื่อยนะเรียกว่าพอถ่ายอันนี้เสร็จอนันดาลงไปนอนแผ่กับพื้นหมดแรง คือทีมงานต้องมีถังออกซิเจนไว้ข้างๆ พอถ่ายเสร็จปุ๊บออกซิเจนเข้าทันที ซึ่งมันก็ได้ภาพที่ถูกใจออกมาครับ แล้วคือวันนั้นมัน 9 เทคทั้งหมด แล้วก็มันเป็นสปิริตสัญญาของลูกผู้ชายว่ามันจะเอาให้ได้ ผ่านไป 4-5 เทค เราเห็นแบบอัดออกซิเจนก็แล้ว มันก็เหนื่อยจนแบบ เราก็เลยพอไหม แต่มันก็แบบว่ามานั่งดูเทปด้วยกัน แล้วเช็คฟุตเทจด้วยกัน อนันดาเป็นคนบอกเองว่าขออีก จนกว่ามันจะดีที่สุด
เราเชื่อว่าสำหรับอนันดาอันนี้น่าจะเป็นหนังแอคชั่นที่สุด ที่อนันดาเคยเล่นมาละในชีวิต ปกติแล้วเราจะรู้จักอนันดาจากความหล่อ แต่อันนี้เขาขายการแสดงขายแอคชั่นที่เต็มเหนี่ยวขึ้น เราจะได้เห็นการแอคชั่นแทบจะทุกรูปแบบของอนันดาบนรถไฟ การแอคชั่นกลางสายฝน หรือการสู้ด้วยมีด ดาบ ปืน อาคม เมื่อไหร่ที่คนดูเห็นอนันดากับพี่น้อยประชันบทบาทกันนะ เราเชื่อว่าคนดูจะจับได้ถึงเคมีของคน 2 คนซึ่งมอบการแสดงที่ดีมากๆ ไว้

Q. เป็นการกลับมาร่วมกันครั้งที่ 2 กับน้อย-กฤษดา อยากพูดอะไรถึงนักแสดงที่พร้อมทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างให้คนดูบ้าง
A. สำหรับพี่น้อยเรายกย่องแล้วก็ขอบคุณพี่เสมอมา ว่าพี่ให้การแสดงที่ดีที่สุดสำหรับคนดู พี่ทุ่มเทอินเนอร์ของพี่ทุกอย่าง การเปิดตัวคาแรคเตอร์ตัวนี้ ที่พี่น้อยกำลังนั่งให้พระองค์หนึ่งสักอยู่ แล้วก็ของขึ้น ผมจำได้ว่าพี่เคยมาถามผมว่าของขึ้นคืออะไร เขาเป็นฝรั่งนะ ก็อธิบายให้เขาฟัง ในสปิริตนักแสดงของเขา เขาก็ถ่ายทอดออกมาได้ ความบ้าคลั่งของตัวละครอัลฮาวียะลู ได้อย่างน่ากลัวที่สุดก็คือ อัลฮาวียะลูชื่อนี้มันมีความหมายนะ มันแปลว่าหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง เหมือนหุบเหวที่ไร้จุดที่สิ้นสุด มันลึกมาก เป็นตัวละครที่กดดันแล้วก็นักแสดงคนไหนที่รับบทลักษณะนี่มันมืด มันเหนื่อย เพราะว่ามันแบกชะตากรรมที่หนักมากของตัวละครเอาไว้ ซึ่งพี่น้อยทำได้ดีทั้งหมด แม้กระทั่งการเผชิญหน้ากันกับตำรวจ กับขุนพันธ์ซึ่งทุกๆ ไดอะล็อกมันมีการปะทะการเชือดเฉือนกันอยู่ตลอดเวลา แทบทั้งเรื่องที่ตัวละคร 2 คนนี้ที่ต้องปะทะกัน

Q. ในทุกๆ ดราม่าล้วนมีแอ็คชั่น และในทุกๆ แอ็คชั่นก็มีความลุ่มลึกในมิติความรู้สึกของตัวละคร ที่ว่ากันว่าเป็นลายเซนต์ของผู้กำกับมือเขียนบทอย่างก้องเกียรติ โขมศิริ
A. คือเราพยายามให้ตัวละครทุกตัวละครมันมีมิติ ไม่ได้เป็นตัวละครชั้นเดียว มีเหตุมีผลมีที่มาที่ไปว่าทำไมเขาถึงเป็นสิ่งนี้ อย่างแต่ละฉากก็จะมีเรื่องราวในตัวมันเอง ยกตัวอย่างตัวบุหงา (กบ พิมลรัตน์) เล่นอย่างที่บอกคือเราได้เห็นในด้านที่เขาเป็นผู้หญิงที่สวยงามมาก แต่เขาเคลือบตัวเองไว้ด้วยเสื้อผ้าที่ มันดูเป็นผู้ชายมากๆ หรือการเป็นการเป็นโจรในเรื่อง มันก็มีเหตุผลในเรื่องว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเลือกที่จะเป็นอย่างนั้น และการเป็นโจรของเขามีเหตุผล แต่สิ่งที่เขาได้เจอกับขุนพันธ์ และทำให้ขุนพันธ์รับรู้เรื่องของเขาเนี่ย การเลือกฝั่งดีมันก็มีเหตุผลของมันอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นบางทีกบอาจจะเป็นตัวละครที่ยืนอยู่ 2 ฝั่งว่าฉันเป็นตัวละครที่ฉันจะเลือกฝั่งเลวหรือเลือกฝั่งดีหนอ ตัวละครทุกตัวมันจะสะท้อนมิติพวกนี้ออกมาไว้เกือบทุกอันครับ

Q. ท้ายนี้อยากฝากอะไรกับผู้ชมและสิ่งที่คนดูจะได้รับจากภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์อย่างแน่นอน
A. ผมเชื่อว่านี่คือหนังที่คนไทยรอคอย มันมีความสนุก มันเป็นการประชันบทบาทของดารายอดฝีมือ ที่เวลาบทในการปะฉะดะกันอย่างเมามันส์แน่นอนนะครับ ความเป็นแฟนตาซีแอคชั่นของมัน มันยังมีความจริงอยู่ว่านี่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ แต่เราจะทำยังไงให้มีสีสันขึ้นมา ก็คือแม้กระทั่งตัวขุนพันธ์เอง เรายังมีดีไซน์ถึง 4 ดีไซน์ด้วยกัน คือตัวละครเราจะเห็นตั้งแต่เป็นตำรวจเริ่มต้น ยังไม่มีหนวดเขี้ยวเลย จนเริ่มทำงานเข้าไปฝังตัวเป็นสปาย กลายเป็นคนจรหมอนหมิ่น จนกลับเริ่มมีหนวดเขี้ยวจนออกปราบปราม จนสุดท้ายเป็นที่มาของภาพขุนพันธ์ที่แบบนายพลหนวดเขี้ยว เขาทำหน้าที่อธิบายพาร์ตของหนังแต่ละพาร์ตๆ และนอกจากความสนุกแล้ว ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นตามสไตล์หนังของผมนะครับว่าเราไม่แค่ตีต่อยกันแล้วก็จบ มันมีประเด็นให้เราขบคิดในหนังด้วยว่า บางทีหนังอาจจะสะท้อนว่าบ้านเมืองเราเกิดอะไรขึ้น และคนดีมีอยู่จริงไหม หนังเรื่องนี้อาจจะตั้งคำถามกับศรัทธาของเราในปัจจุบันได้ เราเดินออกจากโรงเรารู้สึกว่า เฮ้ย คนไทยมีฮีโร่ 1 คน ก็ขอชวนมาดูกันครับ ฝากหนังเรื่องขุนพันธ์ด้วยครับ ขอบพระคุณครับ

Q. และในวันที่5กรกฏาคมที่จะถึงนี้ ก็จะใกล้ๆครบรอบวันเสียชีวิตของท่านขุนพันธ์ อยากให้เป็นตัวแทนของภาพยนตร์กล่าวอะไรสักนิด
A. 5 กรกฎานี้นะครับก็จะครบรอบ 10 ปีของการเสียชีวิตไปของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชนะครับ ก็รับปากไว้กับรูปเคารพของท่านนะครับว่าเมื่อทำภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จ ก็จะขอให้ดลบันดาลใจเกิดสิ่งดีๆ ให้ประสบความสำเร็จ ตัวผมเองจะบวชเพื่อถวายท่านนะครับ หมายถึงบวชเพื่อเพราะผมรู้สึกว่าโปรเจกต์นี้ อย่างที่บอกไม่รู้อะไรดลใจกันให้เราได้ทำนะครับ เพราะฉะนั้นก็อยากจะทำให้ทุกอย่างมันสัมฤทธิ์ผล แล้วก็ขอบพระคุณท่านนะครับที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ขอบคุณครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 03, 2016, 09:14:12 AM
Movie Guide: “ขุนพันธ์” ปล่อยของส่งโปสเตอร์คาแรคเตอร์ นับถอยหลังปลุกตำนานยอดตำรวจวีรบุรุษ



ทีเซอร์ 2 ขุนพันธ์ (Official Teaser 2 )
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Rdhrf2fgkAA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Rdhrf2fgkAA</a>

          หลังจากปล่อยทีเซอร์และโปสเตอร์แบบพิเศษเรียกน้ำย่อยไปแล้ว "ขุนพันธ์" ภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปีของ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ภายใต้การกำกับของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่หยิบยกเอาเรื่องจริงของมือปราบไทย ผู้เต็มไปด้วยศรัทธาแห่งความดีงาม ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของ "พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" มือปราบผู้ใช้อาคมสยบเหล่าโจรชื่อดัง พร้อมออกสู่สายตาผู้ชมทั้งประเทศในต้นเดือนกรกฏาคมที่จะถึงนี้

          โดย "ขุนพันธ์" ได้ปล่อยโปสเตอร์คาแรคเตอร์นักแสดงนำออกมากระตุ้นต่อมความอยากรับชมอย่างโปสเตอร์คาแรคเตอร์ "ขุนพันธ์" นายตำรวจไฟแรง คนจริงผู้ไม่เกรงต่ออำนาจใดๆ มุ่งมั่น เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม มีวิชาอาคมแกร่งกล้า คงกระพัน มีปืนและดาบแดงเป็นอาวุธ รับบทโดย อนันดา เอเวอริงแฮม ที่ต้องมาปราบมหาโจรอย่าง "อัลฮาวียะลู" มหาโจรผู้ไร้ซึ่งความปรานี ฆ่าไม่ได้ ตายไม่เป็น คงกระพัน และไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด มีกริชและปืนเป็นอาวุธในการต่อสู้ รับบทโดย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ที่มาพร้อมสมุนคู่ใจอย่าง "เสือสัง" ลูกน้องคนสนิทของมหาโจรอัลฮาวียะลู เก่ง นิ่ง โหด และภักดี รับบทโดย เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง และ "บุหงา" นักฆ่าสาวผู้มีอดีต เชียวชาญมีดและปืนสั้น เก่งต่อสู้ประชิดตัว รับบทโดย กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร นอกจากนี้ยังมี "หลวงโอฬาร" ข้าราชารโกงกิน ผู้ไต่สู่อำนาจด้วยจากประจบสอพลอ รับบทโดย แฟรงค์เดอะสตาร์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี, "มาลัย" สาวชาวบ้านผู้อ่อนหวาน แต่อีกด้านเธอคือนางนกต่อที่ให้ความช่วยเหลือขุนพันธ์ รับบทโดย อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี และ "ไข่โถ" หนุ่มใต้คนซื่อ แต่เมื่อถึงคราวต้องสู้ก็ไม่เคยกลัวใคร รับบทโดย สนธยา ชิตมณี

          เตรียมพิสูจน์ศรัทธา "ขุนพันธ์" พร้อมกัน 14 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 06, 2016, 01:56:57 PM
แรงบันดาลใจสำคัญอันเป็นต้นกำเนิดของ “ขุนพันธ์” ภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ประจำปี พ.ศ.2559 ของ สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล







          "เมื่อตอนได้ข้อมูลของท่านมาเป็นหนังสืองานศพ ในหนังสือเราจะเห็นว่ามีพวงหรีด จากในหลวง พระราชินี และ เชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ จนเปิดไปด้านใน เราได้เห็นรูปถ่ายจริงรูปหนึ่ง เป็นภาพของท่านขุนพันธ์ใส่ชุดนายตำรวจ ห้อยกระบี่ที่เอว ย่อตัวลงกำลังยื่นมือต่อเทียนเล่มหนึ่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว..... ในความรู้สึกเราท่านคือ อัศวิน ท่านคือ ทหารพระราชา... จากภาพนั้นทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละคืองานเรา นี่ละโปรเจกต์นี้ ต่อเทียน เราสู้สุดชีวิตละ เราจะต่อเทียนกันต่อไป"
          ก้องเกียรติ โขมศิริ
          ผู้กำกับและเขียนบท

เรื่องราวของ ขุนพันธ์

จากเรื่องราวชีวิตของ ท่านขุนพันธ์ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช (บุตร์ พันธรักษ์) ยอดตำรวจวีรบุรุษ ผู้มีตัวตนจริงอยู่ในประวัติศาสตร์ด้วยอายุยืนยาวถึง 108 ปี ผู้เป็นทั้งนักสืบ, มือปราบ และจอมขมังเวทย์ คือนายตำรวจผู้แกร่งกล้าด้วยอาคม บ่มเพาะความดี และมีจิตยึดมั่นในพลังแห่งศรัทธา เพื่อปราบปรามคนเลวที่ต้องการตัวมากที่สุดในแฟ้มอาชญากรรมของกรมตำรวจที่มีนับไม่ถ้วน

สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล และ บาแรมยู ภูมิใจเรียกศรัทธาอันแรงกล้าคืนกลับผืนดินไทย สู่ปรากฎการณ์ "ขุนพันธ์" สุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี จากฝีมือเขียนบท-กำกับภาพยนตร์โดย ก้องเกียรติ โขมศิริ (ลองของ,ไชยา,เฉือน,อันธพาล) ควบคุมงานสร้างโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว พร้อมระดมทีมงานสร้างระดับแถวหน้าของเมืองไทยร่วมเนรมิตความยิ่งใหญ่ในโลกภาพยนตร์

ครั้งแรกของการเผชิญหน้าทางด้านการแสดงในระดับสุดยอดที่ทุกคนต้องขนลุก พร้อมการปะทะบทบาทแอ็คชั่นทุ่มสุดตัว ของ "อนันดา เอเวอริงแฮม" ในบท "ขุนพันธ์" และ "กฤษดา สุโกศล แคลปป์" ในบท "อัลฮาวียะลู" พร้อมเชือดเฉือนบทบาทสุดเข้มข้นกับเหล่านักแสดงคุณภาพอย่าง เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง, กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร, แฟรงค์เดอะสตาร์-ภคชนก์ โวอ่อนศรี, สนธยา ชิตมณี พร้อมด้วย กานต์พิสชา เกตุมณี จาก แม่เบี้ย

ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังก่อตัวขึ้น ญี่ปุ่นเริ่มแผ่ขยายอำนาจรุกรานทั่วเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยที่กำลังเกิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่เพื่อเตรียมก้าวสู่โลกอารยะ เมื่อความเจริญเริ่มรุกล้ำแต่ผู้คนกลับขัดสนยากจน ถูกกดหัวอยู่ภายใต้อาณัติของเหล่าชุมโจรเสือร้ายที่ก่อร่างสร้างอิทธิพลไปทั่วหาได้หวั่นเกรงต่อกฎหมายแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะมีข้าราชการใจคดขายชาติคอยชักใยหนุนหลังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่

จังหวัดชุมพร ปีพ.ศ.2481 ทั้งๆที่ปืนในมือเหลือกระสุนเพียงนัดเดียวแต่นายบุตร์ หรือ ร้อยตำรวจโท ขุนพันธ์รักษ์ราชเดช (อนันดา เอเวอริงแฮม) นายร้อยตำรวจหนุ่มฝึกหัดก็ได้อาศัยความสามารถ และวิชาที่บ่มเพาะติดตัวมาเด็ดชีพ เสือสายหัวหน้าโจรผาแดง พร้อมลูกสมุนที่อุกอาจฮึกเหิมบุกเข้ามาปิดเมืองล้อมตำรวจได้เป็นผลสำเร็จ ขุนพันธ์เลือกที่จะทำในสิ่งที่ยังไม่เคยมีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์รายใดในประวัติศาสตร์เคยทำมาก่อน นั่นคือเสนอตัวในภารกิจลับที่เสี่ยงที่สุด อันตรายที่สุด โดยทิ้งชีวิตที่เหลืออยู่เป็นเดิมพันนั่นคือ การเสาะหาและออกไล่ล่าเพื่อปิดตำนานของ "อัลฮาวียะลู" (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) มหาโจรผู้โหดเหี้ยม ดุดัน แกร่งกล้า ฆ่าไม่ตาย ครองอิทธิพล แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วภาคใต้ เป็นที่เลื่องลือกันว่ามหาโจรผู้นี้แกร่งกล้า

เพราะมีวิชาและของดีอยู่ในตัว สามารถเข้าไปในจิตของคู่ต่อสู้ มีกริชเป็นอาวุธ และมีวิธีสังหารเหยื่อพิสดารในดินแดนที่เต็มไปด้วยภยันตรายถิ่นฐานของ"อัลฮาวียะลู" ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจาก 2 พี่น้องชาวประมง ไข่โถ (สนธยา ชิตมณี) และ มาลัย (กานต์พิสชา เกตุมณี) ไม่เพียงให้ที่พักแต่ยังฝากงานในสโมสรงาช้างของหลวงโอฬาร (ภคชนก์ โวอ่อนศรี) ข้าราชการใหญ่ที่ทุกคนเคารพและยำเกรงให้อีกด้วย นอกจากนี้ขุนพันธ์ต้องเผชิญหน้ากับ 2 มือสังหารข้างกายของมหาโจรที่ว่ากันว่าคือนักฆ่าเลือดเย็น และไร้ความปราณีอย่าง เสือสัง (ชูพงษ์ ช่างปรุง) และบุหงา (พิมลรัตน์ พิศลยบุตร) พร้อมด้วยเหล่าทัพเสือโจรร้าย

ขุนพันธ์ได้รู้ความจริงว่าเมืองทั้งเมืองคือ ชุมโจรขนาดใหญ่ ชาวบ้านตกเป็นเครื่องมือโดยมีนักการเมืองใหญ่ ข้าราชการท้องถิ่นคอยชักโยงและอยู่เบื้องหลังเพื่อกอบโกยผลประโยชน์โกงกิน และขายชาติ การไล่ล่าและเผชิญหน้าระหว่างสุดยอดมือปราบ และมหาโจรฆ่าไม่ตายจึงอุบัติขึ้นท่ามกลางห่ากระสุน คาวเลือด และการต่อสู้

อาคมต่ออาคม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก เขาจะพิสูจน์ให้รู้ว่าแรงกระสุน หรือ จะสู้แรงศรัทธา

14 กรกฎาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 14, 2016, 09:21:25 AM
“สหมงคลฟิล์ม” ปล่อยโปสเตอร์ธีม เปิดตัวการปะทะกันครั้งยิ่งใหญ่ของ “ขุนพันธ์” และ “อัลฮาวียะลู”



          ได้เวลานับถอยหลังสู่ปรากฎการณ์หนังแอคชั่นฟอร์มยักษ์สุดยิ่งใหญ่ หลังจากที่ปล่อยทีเซอร์ และโปสเตอร์คาแรคเตอร์นักแสดงนำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ล่าสุด บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เผยโปสเตอร์หลักของภาพยนตร์เรื่อง  "ขุนพันธ์"  พร้อมเปิดตัวการปะทะกันทางสีหน้า แววตา และอารมณ์สุดเข้มข้น พร้อมต่อสู้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน อาคมต่ออาคม ของ ขุนพันธ์ (อนันดา เอเวอริงแฮม) นายตำรวจหนังเหนียวผู้มีจิตศรัทธาและอาคมอันแรงกล้า ในการผดุงความยุติธรรม ไม่ก้มหัวให้คนเลวหน้าไหน และ อัลฮาวียะลู (กฤษดา สุโกศล แคลปป์)  มหาโจรผู้กล้าแกร่งไสยเวทย์ ผู้ที่พร้อมกำจัดทุกอย่างที่เข้ามาขัดเป้าหมายของตนเอง

          เตรียมพบกับ "ขุนพันธ์" ภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ ผลงานการกำกับของ  ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่จะนำผู้ชมเดินทางเข้าสู่โลกของการไล่ล่าของ 2 คู่แค้นที่ฆ่าไมได้ ตายไม่เป็น ความมันส์แห่งภาพยนตร์แอคชั่นที่ปะทะกันของอาคมเหนืออาคม 14 กรกฎาคม นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 08:54:49 AM
จัดใหญ่พิธีพุทธาภิเษก “เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด หลังขุนพันธ์ ปี 2559” เต็มรูปแบบ เตรียมมอบให้เป็นพิเศษกับผู้ชมภาพยนตร์ “ขุนพันธ์”









          ด้วยความเลื่อมใสในความดีของพระอริยสงฆ์ที่คนไทยโดยเฉพาะชาวใต้ต่างศรัทธา "หลวงปู่ทวด" และบุคคลผู้ยึดมั่นในความดีจนเป็นตำนานนาม "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันมหามงคล ณ วัดลาดปลาดุก อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี จึงได้จัดพิธีพุทธาภิเษก "เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด หลังขุนพันธ์ ปี 2559" เป็นวาระที่ 3 หลังจากในวาระแรกนั้นได้มีการทำพิธีไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยเป็นการบวงสรวงบอกกล่าวแก่หลวงปู่ทวด และท่านขุนพันธ์พร้อมกับปลุกเสกชนวนมวลสารที่ศาลพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ซึ่งป็นศาลเก่าแก่อายุ 200 กว่าปี ที่ จ.นครศรีธรรมราช และวาระที่ 2 เป็นการรวมเกจิอาจารย์สายภาคใต้ และสายเขาอ้อมาร่วมทำพิธีปลุกเสกแบบดั้งเดิมโบราณ 8 ทิศ ที่พระอุโบสถ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ดินแดนบ้านเกิดของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

          โดยในพิธีครั้งนี้ได้นิมนต์พระอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพี่น้องประชาชนรวม 19 รูป โดยมี พระพิมลศรีลาจารย์ วัดลาดปลาดุก เป็นประธานจุดเทียนชัย, พระครูพิพิธชลธรรม (หลวงพ่อหลาย วัดนาจอมเทียน) เป็นผู้จุดเทียนที่ขันสาคร และ พระนันทวิริยาภรณ์ (หลวงพ่ออ่าง วัดใหญ่สว่างอารมณ์) เป็นผู้ดับเทียนชัย

          พร้อมด้วย พระครูไพบูลย์รัตนาภรณ์ (หลวงพ่อสมบูรณ์ วัดหงส์รัตนาราม ), พระครูสรภาสโฆษิต วัดบางแวก, พระครูใบฎีกาจิรพงษ์ ธีรวโร วัดจอมเกษ, พระครูปลัดยุทธนา วัดบางพุทธโธ, พระครูสุทธิสารโสภิต วัดพุตะเคียน, พระครูวีรกาญจนกิจ (หลวงพ่อสุรเจตน์ วัดหนองหิน ), พระครูสมุห์อวยพร วัดดอนยายหอม, พระครูสังฆรักษ์สมพงษ์ สารคนฺโท วัดโพธิ์ทองล่าง, พระอธิการ อภิชัย ธีรญาโณ วัดวังกระดี่ทอง, พระอาจารย์สุรสิทธิ์ สุรสิทโธ วัดไทร, พระอาจารย์สมเกียรติ สุรญาโณ วัดราษฎร์ศรัทธาราม, พระอาจารย์ชลเทพ อติจีโล พุทธอุทยานธรรมโกศล, พระอาจารย์วีระยุทธ์ อาภากโร วัดขรัวตาหนู, พระอาจารย์อำนาจ ขันติโก วัดถาวรวราราม, พระอาจารย์ภัคคพงฐ์ ติณฺณ วฎฺโฎ วัดดุสิดารามราชวิหาร, พระปลัดเอกสิษฏ์มงคล มหาวีโร วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร นั่งปรก

          สำหรับการทำพิธีพุทธาภิเษก "เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด หลังขุนพันธ์ ปี 2559" ที่สร้างขึ้นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบให้กับผู้ชมภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" เพื่อให้เป็นที่ระลึกถึงคุณงามความดีและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ได้รับ โดยจัดทำขึ้นในจำนวนจำกัด และไม่มีการวางจำหน่ายที่ใด โดยสามารถติดตามรายละเอียดการแจกเหรียญเสมานี้ได้เร็วๆนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:02:25 AM
เสี่ยเจียงไฟเขียว “ก้องเกียรติ โขมศิริ” แรงบันดาลใจแห่งศรัทธากับก้าวที่กล้า “ต่อเทียนแห่งความดี”





          "ขุนพันธ์" คือ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับบล็อกบัสเตอร์สุดยิ่งใหญ่และกำลังเป็นที่ถูกจับตามองมากที่สุดประจำปี พ.ศ. 2559 ของ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล โดยนำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์แอคชั่นเหนือจินตนาการ จากผลงานการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์โดย "ก้องเกียรติ โขมศิริ" ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ลองของ, เฉือน, ไชยา, อันธพาล ฯลฯ (มือเขียนบทระดับแนวหน้าของเมืองไทยอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แอคชั่นหลายต่อหลายเรื่องอาทิ องค์บาก, บางระจัน, ขุนแผน, 7 ประจัญบาน 1-2 ฯลฯ เจ้าของรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมสุพรรณหงส์ทองคำจากภาพยนตร์เรื่อง เฉือน และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและกำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเรื่องไชยา) ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นโปรเจกต์ภาพยนตร์ที่ได้รับความสนใจจากเหล่าบรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ โปรดิวเซอร์ และสตูดิโอต่างๆมาโดยตลอด โดยการนำมาเอาเรื่องราวของ "พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" อดีตนายตำรวจมือปราบชื่อดังที่สามารถกำราบ และสยบเสือร้ายในตำนานที่โด่งดังในแฟ้มอาชญากรรมของกรมตำรวจอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดปราบปรามลงได้มาก่อน อย่าง เสือมเหศวร, เสือฝ้าย, เสือดำ, เสือใบ และเหล่าเสือร้ายในประวัติศาสตร์อีกนับไม่ถ้วนมาทำในรูปแบบภาพยนตร์และละครโทรทัศน์

          "เคยคุยกับเพื่อนที่เขียนบทด้วยกัน สมัยยังทำหนังอยู่กับพี่ปื๊ด (ธนิตย์ จิตนุกูล) เรื่องขุนแผน รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าทำมาก เรานึกถึงคีย์วิช่วลที่เป็นภาพแรกคือ คนใส่โจงกระเบนแบบหยักรั้ง (อาการนุ่งผ้าถุงหรือผ้าโสร่งรั้งผ้าทางด้านข้างมาเหน็บเอวทั้ง 2 ข้างให้ชายผ้าร่นสูงขึ้น) แล้วก็ใส่เสื้อราชปะแตน สะพายดาบข้าง สะพายปืนข้าง ขี่ช้างไล่จับโจร มันเท่ห์มากเลย เรารู้สึกว่ามันแกรนด์ มันดูเอ็กซ์โซติกมากๆ โดยมีคีย์เวิร์ดคือ "ขี่ช้างจับโจร" แต่ก็ไม่ได้ทำ หลังจากนั้นก็ได้ยินมาโดยตลอดว่าจะมีคนทำ เป็นละครบ้าง เป็นหนังบ้าง ได้ยินว่า พี่ปื๊ด(ธนิตย์ จิตนุกล)จะทำ หรืออยู่ๆ พี่เฉลิม วงค์พิมพ์ (ผกก. 7 ประจัญบาน) ก็โทรมาบอกเราว่าพี่คิดว่าพี่จะทำ ซึ่งเราบอก เอาเลยพี่ ใครทำก็ได้เราอยากเห็นเรื่องนี้ เพราะเรื่องของท่านเป็นเรื่องที่น่าทำ"

          แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่า "ก้องเกียรติ โขมศิริ" คือ "ตัวเลือกเดียว (The Chosen One)" ที่จะมาเป็นผู้รับหน้าที่ "ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์" ถึงแม้ว่าความฝันครั้งนี้เดินทางด้วยระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษ เมื่อ เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ประธานบริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้อำนวยการสร้าง ยื่นโปรเจกต์ให้พร้อมกับเปิดไฟเขียวให้รับหน้าที่เขียนบทและกำกับภาพยนตร์ จนเป็นจุดเริ่มต้นของการถือกำเนิดของภาพยนตร์แอคชั่นเหนือจินตนาการฟอร์มยักษ์ระดับมาสเตอร์พีซเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด ยากที่สุด และท้าทายที่สุดในชีวิตของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่มาพร้อมกับแนวทางอย่างชัดเจนถึงรูปแบบของภาพยนตร์ที่จะถูกนำเสนอโดยเฉพาะอย่างยิ่งศรัทธาและความตั้งใจอันแรงกล้า ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้

          "อยู่มาวันหนึ่งเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ประธาน บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์) ก็เรียกโขมให้เข้ามาเจอกันหน่อย แล้วก็ยื่นหนังสือซึ่งเป็นหนังสือที่ระลึกงานศพของท่านขุนพันธ์ให้ เสี่ยบอกว่าจะทำเรื่องนี้โปรเจกต์ขุนพันธ์ โขมเอ็งสนใจอยากทำมั้ย รู้จักมั้ย เราก็บอก เราอยากทำมานานแล้วโปรเจกต์นี้ เสี่ยก็เลย เริ่มกัน แล้วพูดว่า ถ้างั้นเอ็งต้องทำให้ดี เพราะว่า 2 คำแรกที่เสี่ยพูดกับเราเป้าหมายคือ 1. เราอยากเชิดชูคนดี เราอยากเชิดชูตำรวจดีๆ 2. คือเสี่ยอยากทำหนังเรื่องนี้ให้เป็นที่ถูกจดจำในประเทศนี้ เราก็รู้สึกดี รู้สึกหัวใจพองโตที่เสี่ยมองในมุมว่า มันจะเป็นหนังที่จะเป็นเหมือนสัญลักษณ์ บางอย่างที่จะกระตุ้นให้คนไทยรู้สึกได้ว่า เฮ้ยคนดีๆ คนหนึ่งมีอยู่ ตำรวจดีๆคนหนึ่งมีอยู่จริงๆ แล้วในหนังสือเล่มนี้ที่เสี่ยยื่นให้ พอเราเปิดเข้าไปจากรูปที่ปรากฎในหนังสือเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ทำไมบุคคลธรรมดาคนหนึ่งถึงมีพวงหรีดจากราชวงศ์ทุกพระองค์ส่งให้ในงานพระราชทานเพลิงศพ แล้วที่สุดยอดคือ รูปเก่าๆ สมัยที่ท่านปฏิบัติงาน มีอยู่รูปหนึ่งที่ท่านขุนพันธ์ต่อเทียนจากในหลวงจากมือเลย มันเหมือนกับภาพอัศวินในอุดมคติที่ยืนอยู่หน้าพระมหากษัตริย์ของตัวเองแล้วก็ต่อเทียนเล่มนั้น แล้วเราก็นั่งดู สั่งกับทีมงานให้สแกนภาพนี้ขยายแล้วติดที่ห้องทำงาน เวลาที่ทุกคนเดินเข้าเดินออกมองภาพนี้ไว้ นี่แหละคืองานเรา โปรเจกต์นี้ต่อเทียน ถูกต้องไม่ถูกต้องเราไม่รู้แต่เราสู้สุดชีวิตเราจะต่อเทียนกันต่อไป แล้วทุกครั้งถ้าเรารู้สึกเหนื่อยกับอุปสรรคต่างๆ เราก็จะหันมาดูชีวิตท่าน จากเรื่องราวที่ได้รวบรวมศึกษาค้นคว้าระหว่างเขียนบทการเข้าไปจับโจรในสมัยก่อนไม่ได้มีหน่วยซีลเหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนหุงข้าวเหนียวปั้นหนึ่งแล้วก็ยัดใส่กระเป๋า แล้วก็เข้าป่าหายไปเป็นเดือนไปสุ่มจับโจร ไปตามสืบ นี่แหละชีวิตคนต่อเทียน ชีวิตอัศวิน แล้วถามว่าท่านหยุดทำความดีมั้ย ไม่ หลายคนถามท่านขุนไม่เหนื่อยเหรอ ท่านขุนพูดคำเดียวเลยว่า เพราะเราเป็นตำรวจ เราว่านี่คือธีมที่แข็งแรงมากของหนังและของคนๆ หนึ่งที่ชัดเจนว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ทำอะไรเพื่อแผ่นดินและรู้ตัวตนบทบาทหน้าที่ของตัวเองว่าฉันทำอะไร"

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:03:45 AM
ระดมทีมนักแสดงคุณภาพเปลี่ยนลุคแปลงโฉม ทุ่มสุดตัว พร้อมปล่อยของ จัดเต็ม แอคชั่นเข้มทุกฉากทุกซีน







          แต่ไม่เพียงเท่านั้นเพราะงานนี้ นอกจาก 2 คาแรคเตอร์หลักอย่าง ขุนพันธ์ และอัลฮาวียะลู ซึ่งได้ 2ซูเปอร์สตาร์ระดับแม่เหล็กอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม และ น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ มาสวมชีวิตถ่ายทอดผลงานระดับมาสเตอร์พีซกันแล้ว สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เป็นที่จับตามองยิ่งๆขึ้นไปอีก คือการที่ได้เหล่านักแสดงคุณภาพระดับฝีมือชั้นแนวหน้าของเมืองไทยที่มีความลุ่มหลงในการแสดงมาร่วมสวมชีวิตและจิตวิญญาณ พลิกบทบาทครั้งสำคัญเป็นอีก 5 คาแรคเตอร์ตัวละครหลักร่วมขับเคลื่อนเรื่องราวพร้อมโชว์ศักยภาพทางด้านการแสดงอย่างจัดเต็ม ทั้งเชือดเฉือน ปะทะทั้งบทบาทและอารมณ์ความรู้สึก รวมไปถึงตะลุยแอคชั่นเดือดร่วมกันได้อย่างอลังการในทุกๆฉากทุกๆซีนให้สมกับที่ "ขุนพันธ์" คือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่จะกลับมาเรียกศรัทธาผู้ชมอย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็น เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง พระเอกแอคชั่นสตันท์เสี่ยงตายที่ก่อนหน้านี้เราจะได้สัมผัสถึงความเข้มข้น จริงใจ ในบทบาทของนักสู้ที่ยืนหยัดในความถูกต้องมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ผู้กำกับก้องเกียรติ ตั้งใจจับเดี่ยวมาพลิกบทบาทเป็น เสือสัง นักฆ่าผู้ไร้ความปราณีเหี้ยมโหด ดุดัน ราวกับสัตว์ป่า สมุนมือซ้ายคนสำคัญของอัลฮาวียะลู พร้อมกับปล่อยให้เดี่ยวโชว์คิวแอคชั่นปล่อยของในงานแอคชั่นเสี่ยงตายในทางถนัดในวิช่วลการต่อสู้กับขุนพันธ์โดยเฉพาะจนเกิดเป็นสารพัดคิวแอคชั่นมันส์ๆไม่ว่าจะเป็นแอคชั่นบนหลังม้า, แอคชั่นบนรถไฟ ฯลฯ ที่เราจะได้เห็นเดี่ยวชูพงษ์ซัดอนันดาจนน่วมกันเลยทีเดียว

          "ในบ้านเราผมว่า นักแสดงสายแอคชั่น เรามีกันไม่กี่คน เรามีจาพนม เรามีพี่พันนา แล้วก็มีเดี่ยว ชูพงษ์ เมื่อก่อนเราจะเห็นเดี่ยวเป็นพระเอกแอคชั่นเล่นเป็นคนดี เรารู้สึกว่า เฮ้ย จริงๆแล้วตัวร้ายซึ่งแบบ เก่งสุดๆเลย บู๊เก่งสุดๆเลย แล้วร้ายแบบน่ากลัว เรารู้สึกว่าเดี่ยวมันมีมุมแบบนี้ แล้วมันจะทำได้ดี เราก็ไปบอกเดี่ยว ลองเล่นแบบนี้ดูไหม ก็ดีไซน์เต็มเหนี่ยวเลย มันมีลักษณะเหมือนเผ่าของสัตว์ป่าบางอย่างอยู่ ในเรื่อง ชื่อว่าเสือสัง มีอาคมเป็นพวกลิงลม เป็นพวกเคลื่อนไหวเร็วเรียกว่าเป็นคู่ปรับสำคัญ ไฮไลต์เลยของเดี่ยวก็คือการเผชิญหน้ากับขุนพันธ์ แล้วก็สู้กันด้วยคารัมบิต ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของเขา กับขุนพันธ์ใช้มีด ดวลกันแบบบนรถไฟ มีแอคชั่นบนหลังม้า ซึ่งแต่ละซีนถือว่ายากเลยทีเดียวครับ"

          ถึงแม้จะเป็นการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรกกับผู้กำกับก้องเกียรติ และคิวบู๊หรือฉากแอคชั่นดีไซน์ที่ปรากฎในแต่ละฉากของขุนพันธ์ ไม่มีฉากไหนที่ง่ายเลย แต่ถึงกระนั้นเดี่ยวเองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าการที่พลิกบทบาทมาเป็นผู้ร้ายเต็มๆตัวในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์คือประสบการณ์การทำงานที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ทำงานที่แวดล้อมไปด้วยนักแสดงระดับยอดฝีมือไม่ว่าจะเป็นอนันดา, กฤษดา,แฟรงค์ ภคชนก์, สนธยา, กานต์พิสชา และพิมลรัตน์ โดยเป็นการกลับมาร่วมงานกับอนันดาอีกครั้งหลังจาก "ปืนใหญ่จอมสลัด" เพียงแต่ครั้งนี้ต้องมาเผชิญหน้าปะทะกันในฐานะผู้ร้ายกับตำรวจ พร้อมกับความตั้งใจของตัวละครเสือสังที่ว่าจะต้องพิชิตขุนพันธ์ให้ได้

          "ก็ถือว่ายากครับ ต้องศึกษา เพราะว่าเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเสือสมัยก่อนเขามีวิถีเป็นยังไง ต้องทำการรีเสิร์ชแล้วก็อ่านบท ทำความเข้าใจกับบทที่เราต้องถ่ายทอดอย่างมากครับ ซึ่งก็ได้พี่โขมที่ให้คำแนะนำตลอด ก็เลยทำให้เราสามารถที่จะถ่ายทอดอารมณ์ตรงนั้นออกมาได้ครับผม แล้วในทุกครั้งของการถ่ายทำกว่าที่จะออกมาเป็นเสือสังอย่างที่เห็นก็จะต้องมีการแปลงลุคเปลี่ยนโฉมกันพอสมควรเลยคือ การแต่งตัวจะยากมาก แล้วก็ต้องมีการลงรอยสัก มีการแต่งหน้าทำผมอะไรทุกๆอย่าง รวมๆแล้วก็ประมาณ 4-5 ชั่วโมงครับต่อวัน นอกจากนั้นก็มีการฝึกคารัมบิตครับ แล้วก็มีพวกปันจักสีลัต ประสบการณ์จากหนังเรื่องขุนพันธ์สำหรับผมแล้วสิ่งที่กลายเป็นความพิเศษด้วยก็คือ การได้เล่น ได้เข้าฉากร่วมกับนักแสดงที่เก่งๆ อย่างพี่น้อย กฤษดาและ พี่จ่อย-อนันดา มันทำให้เราได้เรียนรู้ มันเหมือนเป็นการส่งต่อความสามารถทางด้านการแสดงผ่านมาที่ตัวเรา มันทำให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆเลยครับสำหรับผม ส่วนฉากแอคชั่นในภาพยนตร์มีหลายฉากมาก และแต่ละฉากก็ยากทั้งสิ้น แค่เฉพาะฉากเดียวก็ซ้อมเป็นเดือนแล้วครับต้องคิดต้องดีไซน์ทำเวิร์คชอพ แล้วพอถ่ายจริงก็อีก 3-4 วัน ความยากนะครับ คือมันต้องสู้กันบนหลังคารถไฟ มันจะไม่ใช่พื้นที่เรียบๆมันจะเป็นแบบโค้งๆเวลายืน คอนโทรลตัวเองจะยากมาก อากาศที่ร้อนมากๆ คิวที่ยากเลยทำให้ทุกอย่างทวีคูณยิ่งขึ้นแต่ก็ออกมาได้อย่างที่ทุกคนหายเหนื่อยเลยครับ"

          ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของภาพยนตร์ผู้ชมจะได้สัมผัสกับการเล่าเรื่องผ่านอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ว่ากันว่าเป็นอีกความสามารถทาด้านการแสดงของ แฟรงค์-ภคชนก์ โวอ่อนศรี สุดยอดนักแสดงจอมขโมยซีนที่ก่อนหน้านี้สร้างความฮือฮา และเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากมายกับบทบาทของตัวร้ายสุดเหี้ยมใน"อันธพาล" จนกวาดเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างถ้วนหน้า ซึ่งการกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับก้องเกียรติอีกครั้งในบทหลวงโอฬาร นักการเมืองตัวร้าย คนขายชาติที่พร้อมกอบโกยและเอาเปรียบทุกคนแม้กระทั่งแผ่นดินเกิดที่ผู้ชมจะได้สัมผัสกับอีกขั้นของการแสดงที่ฉีกรูปแบบของการรับบทตัวร้ายอย่างที่เราคาดไม่ถึง

          "คาแรคเตอร์ตัว หลวงโอฬาร รับบทโดยแฟรงค์ (ภคชนก์ โวอ่อนศรี) ก็จะเป็นตัวแทนของระบบข้าราชการที่อาศัยความที่รู้มากกว่าเอาเปรียบคน การกะล่อนปลิ้นปล้อนตอแหล การฉ้อราษฎร์บังหลวง การสร้างภาพ ว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นพยายามจะบอกว่า เราต้องใส่หมวก เราต้องแต่งตัวแบบนี้ เพราะเราจะเป็นอารยประเทศ เราจะเป็นประเทศที่ฝรั่งเห็นแล้วชื่นชม แต่จริงๆแล้ว เราไม่ได้ทำสิ่งนั้นอยู่ มันเป็นคนมีความรู้แหละ ต้องจบนอกสมัยก่อน แต่ทำไมถึงถูกมาอยู่ในที่แบบนี้ แสดงว่ามันอาจไม่ได้เป็นคนดีหรอกนะ เราจะดีไซน์ยังไงให้ดูแบบ รวย เจ้าเล่ห์ สุภาพ แสนดี เห็นจังหวะที่จะเอาเปรียบคนได้ตลอดเวลา คือ แฟรงค์ทำงานกับเรามาหลายเรื่องละ หลายคนถ้าเคยเข้าฉากกับแฟรงค์จะรู้ว่า ถ้านักแสดงคนนั้นไม่มีสมาธิพอ อาจจะโดนจู่โจมจากการแสดงของแฟรงค์ เขาสามารถสร้างคาแรคเตอร์ที่เขารับบทบาทได้ เกลียดเราก็จะเกลียดมันจนแบบว่า หรือไอ้นี่น่าหมั่นไส้ อาจจะเพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันด้วย เรารู้ แฟรงค์มุมนี้ดีกว่าลองเล่นแบบนี้ดู นักแสดงทุกคนเหมือนกันหมด เป็นหนังที่ผมตอบคำถามนักแสดงเยอะมาก เพราะนักแสดงช่างถามมาก โห เขาทำการบ้านกันละเอียดมาก"

          ในการถ่ายทอดบทบาทของหลวงโอฬารออกมาให้สมบูรณ์ที่สุดทางกองถ่ายต้องส่งล่ามมาให้ แฟรงค์หัดเรียนรู้การพูดภาษาญี่ปุ่น และฝรั่งเศสโดยมีหนังสือ 3 เล่มที่ต้องศึกษาควบคู่ไปด้วยนั่นคือ "100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว" ของ "กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกวซ", "การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผู้นำไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ถึงพุทธศักราช 2475" ของ "อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์" และ "BANGKOK 230 ปีมหานครหลากชีวิต" โดย "ราชศักดิ์ นิลศิริ"

          "สำหรับบทหลวงโอฬารมันมีความยากตรงที่หลวงโอฬารจะเป็นคนที่รู้อะไรก่อนที่ทุกคนในเรื่องนี้จะรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะมีคนของส่วนกลางเข้ามา ไม่ว่ากองกำลังของญี่ปุ่นกำลังตีนานกิงได้แล้ว ในเรื่องมันเป็นคนใฝ่รู้ มันเลยทำให้มีความรู้มากมายและก็รู้ข่าวความเคลื่อนไหวของทุกมุมโลกต่างๆ มันเป็นยุคเดียวกันกับที่คนไทยยังพัฒนาใหม่ๆ คนที่รู้ว่าโลกนี้กลมยังมีไม่เยอะมากในประเทศนี้ และด้วยความรู้ที่มีมากกว่าทุกคน เข้าใจถึงสถานการณ์ของโลกมากกว่า รู้ภาษาอื่นๆหลายภาษามากกว่า ทำให้รู้ว่าสถานการณ์ของสงครามโลกไปถึงไหนแล้ว สภาวะข้าวยากหมากแพงจะมาเมื่อไหร่ เราควรจะกักตุนอาหารไว้เมื่อไหร่ไว้รอสงครามมาแล้วขึ้นราคามัน อันนี้คือข้อได้เปรียบของตัวละครนี้ แล้วมันทำให้เราสนุกสนานว่า เมื่อเราเล่นฉากนี้ไป ฉากนี้คนดูรู้อะไรแล้ว เรารู้อะไรไปแล้วที่คนดูยังไม่รู้ แล้วเราจะเก็บไว้ยังไงให้ทั้งคนดูก็ไม่รู้ ทั้งคนที่เล่นกับเราก็ไม่รู้ว่าเรารู้ อันนี้คือสิ่งที่เราต้องมาทบทวนโดยตลอดทุกครั้ง และสิ่งที่เป็นที่สุด อีกอย่างหนึ่งในคาแรคเตอร์นี้ก็คือ หลวงโอฬารเป็นคนที่รู้เยอะ มีความรู้รอบตัวเยอะ แล้วก็มีความทะเยอทะยานด้วย บุคลิกของเขาก็เลยมีพลัง เหมือนจะเป็นพลังของรอยยิ้ม เหมือนจะเป็นพลังด้านบวก แต่มันถูกขับออกมาจากความกระหายภายใน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันสนุกในการเก็บซ่อนเอาไว้ เขาจะไม่ทำอะไรตรงๆเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาเลย แต่เขาจะทำสิ่งหนึ่งเพื่อให้เกิดผลขึ้นมาอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งนั่นแหละเป็นสิ่งที่ยากแล้วก็ต้องพูดหลายภาษามากเป็นนักการเมืองชาวใต้ก็ต้องพูดภาษาใต้ได้ ซึ่งภาษาใต้ยากที่สุด เพราะว่าสำเนียงมันยากนะครับภาษาใต้ แล้วถ้าเกิดพูดผิดมันจะกลายเป็นล้อ เหมือนล้อทันที เราก็พยายามที่จะพูดให้ชัดทันที แล้วก็ภาษาญี่ปุ่น ต้องพูดภาษาญี่ปุ่น ต้องร้องเพลงญี่ปุ่น มีกงสุลฝรั่งเศสเข้ามาก็ต้องพูดภาษาฝรั่งเศส ซึ่งพูดจริงๆคือไม่มีความรู้เรื่องภาษาเหล่านี้เลยนะ แต่ก็อาศัยว่ามีเจ้าของภาษา มาอธิบาย แต่ละพยางค์ แต่ละประโยคว่ามันหมายถึงอะไร แล้วก็พยายามที่จะพูดอะไรให้มันสื่อสารให้ได้ในจังหวะจะโคนที่มันถูกต้อง ก็ค่อนข้างพอใจนะครับ สนุกสนานนะครับ มันทำให้เราตื่นขึ้นมาทำงานในทุกวัน เอาละว่าวันนี้เจออะไรบ้าง ต้องทำอะไรบ้าง"

          อีกหนึ่งตัวละครสำคัญในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์และเป็นการกลับมาร่วมงานกันเป็นครั้งที่ 4 ของสน เดอะสตาร์ หรือ สนธยา ชิตมณี (ไชยา, เฉือน, อันธพาล) และผู้กำกับโขมก้องเกียรติ โดยครั้งนี้ให้มารับบท ไข่โถ ชาวเลที่อยู่ใต้อาณัติของนักการเมืองชั่ว "ทำไมเราจะไม่เป็นโจรละเป็นหนี้ขนาดนี้เราไปไหนไม่ได้ ประโยคหนึ่งที่ตัวละครไข่โถพูดไว้ในภาพยนตร์สะท้อนให้รู้ว่าเมื่อก่อนเราหิวเราก็ลงทะเลหาปลา เดี๋ยวนี้เราหิวเราก็ต้องไปกู้เงินมัน นี่ก็เป็นเหตุผลที่แต่ละตัวละครมันก็มีมิติที่สะท้อนเหตุผล คือการตั้งคำถามว่า แล้วโจรเกิดขึ้นด้วยอะไร ตัวละครพวกนี้มันก็จะถูกดีไซน์มาเพื่อรองรับประเด็นเหล่านี้ไว้ครับ"

          และในขณะเดียวกันนี่คือตัวละครที่ผู้กำกับก้องเกียรติเขียนขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้สนได้ใช้ศักยภาพและความหลงใหลทางด้านการแสดงปล่อยของออกมาชนิดที่พูดได้ว่าไม่มีฉากไหนที่ไม่ได้รีดศักยภาพ และเรียกหาความสามารถในการเป็นนักแสดงของ สนธยา ชิตมณี ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าบทที่ได้รับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เขาได้รับจากภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์

          "ถือได้ว่าบทไข่โถในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เป็นโจทย์ที่ใหญ่ขึ้น ต้องตีโจทย์เยอะ และเป็นการแสดงที่ยากขึ้นครับ มีหลายมิติในตัวอารมณ์ของการแสดง ดีใจมากเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พี่โขมได้ให้โอกาสมอบบทที่เป็นการท้าทายความสามารถที่ให้เราได้พัฒนาการแสดงยิ่งๆขึ้นไปอีก เพราะความท้าทายในผลงานหลายๆเรื่องที่ผ่านมาที่ได้สัมผัสการทำงานร่วมกับพี่โขมไม่ว่าจะเป็นไชยา, เฉือน, อันธพาล ก็ถือว่ายากระดับหนึ่งแล้วละ ยาก แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอแบบที่ต้องขยี้อารมณ์ขนาดนี้ และทุกฉากที่มีไข่โถ ต้องเป็นซีนอารมณ์ทุกซีนทุกฉาก เริ่มต้นอาจเข้าทางตัวเองหน่อยคือเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง ร้องเพลง ร้องลิเกฮูลู เกิดมาก็ไม่เคยร้องครับลิเกฮูลู ครั้งแรกในชีวิต แต่หลังจากนั้นพอมาถึงจุดเปลี่ยนของหนัง ตัวละครเกิดความสูญเสีย ทุกฉากทุกซีนที่ไข่โถปรากฎตัวอยู่บนแผ่นฟิล์ม มันต้องมาจากอารมณ์ล้วนๆ มันไม่ใช่เรื่องของแค่การแสดงอย่างเดียว มันต้องรู้สึกจริงๆ มันต้องเข้าใจจริงๆ แล้ว มันยากมากครับ เพราะระดับอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาแต่ละซีนจะมีความแตกต่างของอารมณ์ไม่เท่ากันในแต่ละความสูญเสียที่เกิดขึ้น"

          มาจนถึง 2 ตัวละครสุดท้ายใน 7 คาแรคเตอร์หลักที่ได้ 2 นักแสดงสาวมากความสามารถมาถ่ายทอดบทบาทของตัวละครหญิงในภาพยนตร์แอคชั่นผู้ชายๆจากมุมมองของผู้กำกับโขมก้องเกียติที่มีชื่อเป็นดอกไม้ที่สวยงาม แต่ความงามของเธอมาพร้อมกับพิษที่พร้อมจะลุกขึ้นมาเล่นงานผู้ชายทั่วๆไปได้อย่างไม่กลัวเกรง

          "ในภาพยนตร์เรามีนักแสดงหญิง 2 คน นั่นคือ น้องอ้อม (กานต์พิสชา เกตุมณี) นะครับ กับ น้องกบ (พิมลรัตน์ พิศลยบุตร) จริงๆอ้อมก็เป็นลูกศิษย์หม่อมน้อยซึ่งคนส่วนใหญ่ได้เห็นอ้อมเล่นในแม่เบี้ยมา ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เราจะเห็นชุมชนในหุบเขาทั้งหมดที่บอกว่าเป็นโจร ทุกคนมีเหตุผลในการลุกขึ้นมาเป็นโจร และเหตุผลของทุกคนน่าฟังทั้งนั้น ทำไมตัวบุหงา (กบ พิมลรัตน์) ผู้หญิงแสนสวยที่ซ่อนตัวเองเอาไว้ในร่างของความเป็นชาย หรือ ตัวมาลัย (อ้อม กานต์พิสชา)เอง ซึ่งเหมือนกับดอกไม้ที่มันสวยงามในถิ่นนี้ ดอกไม้ป่าซึ่งเธอเป็นนักร้อง แต่ชีวิตจริงๆเธอเป็นอะไร เธอเป็นนกต่อ เธอเป็นเครื่องมือฆ่าคน เธอเป็นดอกไม้ซึ่งเธอมีพิษ แม้จะเป็นผลงานเรื่องแรกเราก็ไม่สามารถประนีประนอมได้ ถ้าอ้อมถูกล้อมไว้ด้วยคนเหล่านี้ ถ้าอ้อมเบาหรือดรอป ตัวน้องก็รู้เขาพยายามแล้วก็ทุ่มเทมากๆ ที่จะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นปัญหา อ้อมก็ตามได้ทันนะครับ ส่วนกบผ่านงานมาเยอะ เล่นหนังมาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็จะเหมือนกับนักแสดงมืออาชีพทุกคน ก็คือกบหาความหมายในการกระทำทุกอย่าง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุและผล คือเราทำงานกันเหมือนนั่งคุย เหมือนเราจะสร้างตัวละครนี้ด้วยกัน กบก็จะถาม เฮ้ยมันดูดบุหรี่ไหม แบคกราวน์คืออะไร ตัวละครนี้เป็นยังไง ทำไมมันจะต้องแต่งตัวแบบนี้ มันมีไฟแช็ก มันชอบเล่นอะไรเกี่ยวกับไฟแช็กไหม ผ่านการดีไซน์คาแรคเตอร์ในทุกรายละเอียดหลอมรวมออกมาเป็นตัวละครซึ่งสนุกมากครับเวลาที่เราทำงานกัน"

          แต่ด้วยความตั้งใจเกินร้อยและทุ่มเทสุดชีวิตสุดตัวทำให้บทมาลัยไม่เพียงฉายเสน่ห์ทางด้านการแสดง แต่ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถทางด้านการแสดงในบทบาทที่ทั้งยาก ท้าทายและเต็มไปด้วยความหลากหลายทางด้านอารมณ์สำหรับนางเอกสาวอย่างอ้อมกานต์พิสชา

          "สำหรับบทมาลัยนะคะ ต้องขอบคุณพี่โขมที่พี่โขมเขียนบทให้ตัวมาลัยมีความซับซ้อน มีหลายคาแรคเตอร์ มีทั้งร่าเริง สนุกสนาน ให้ความสุขกับคนที่มาลัยได้เกี่ยวข้องต่างๆไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือลิเกฮูลู หรือว่าจะเป็นพาร์ทที่ลึกซึ้ง กระชากอารมณ์ พาร์ทแบบรู้สึกเสียใจ แต่ละวันบางทีก็มีทั้งซีนที่ต้องร้องไห้หนักสุดๆถึงขนาดบางทีกลับไปบ้านแล้วก็มีปวดหัว เพราะวันนี้มีการใช้อารมณ์ค่อนข้างเยอะ ก็มีเครียดบ้าง แล้วก็ยังมีซีนโรแมนติกหรือแม้แต่ฉากแอคชั่นต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ถือว่าเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่ค่อนข้างมีมิติหรือมีอารมณ์การแสดงที่ชัดเจน แน่นอนในเรื่องเป็นสาวใต้ ก็เลยจะต้องมีการเรียนพูดภาษาใต้ด้วย ทั้งๆที่ตัวจริงก็ไม่ได้เป็นคนใต้ แต่พอเล่นเป็นคนใต้ก็ต้องมีบทพูดภาษาใต้ ก็ได้หัดพูดกับพี่อนันดา นอกจากนั้นทุกครั้งก่อนเข้าฉากหรือเข้าซีนก็จะต้องมีทาผิวให้เป็นผิวสีแทนตามแบบฉบับของชาวใต้ เวลาแต่งตัวเข้าฉากก็เลยต้องใช้เวลานาน นอกจากมีผิวแล้วก็ต้องทำผมให้เป็นผมหยิกๆ อย่างที่พี่โขมขอมาเลยคืออยากให้ตัวมาลัยเป็นสาวใต้เลย ผมหยิก ผิวแทนๆๆ เพื่อที่จะต้องการทำให้ตัวบุคลิกของมาลัยชัดเจนขึ้น ก็ถือว่าเป็นความท้าทายสำหรับตัวเรายิ่งทำงานกับนักแสดงที่ล้วนแล้วแต่มีฝีมือทุกๆคนเลย ก็ยิ่งทำให้ต้องตั้งใจมากๆ ถ้าดูจากภายนอกจะเป็นตัวละครที่เปรียบเหมือนกับดอกไม้ที่คอยสร้างสีสันมอบความสุขให้กับทุกคนเพราะฉะนั้นก็จะเห็นมาลัยมีทั้งแต่งตัวใส่ชุดมีสีสันต่างๆ ตอนทำงานอยู่ในสโมสรนอกเหนือจากลุคชาวบ้านชาวเลแต่จริงๆแล้ว มาลัยเขาค่อนข้างที่จะมีความซับซ้อนอยู่ในตัว หลายครั้งสิ่งที่มาลัยต้องทำไปโดยที่ตัวเองก็ไม่มีความสุขแต่ก็ต้องทำเพื่อคนอื่น คือนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองหรือบางพาร์ทจะมีความสับสน ระหว่างจะเป็นคนดีดีหรือจะเป็นคนไม่ดีดี หรืออยากจะเห็นแก่ตัวมีความรักดี ซึ่งอารมณ์ก็จะหลากหลายมากๆ เราก็ต้องทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวมาลัยต้องเจอถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ"

          และในขณะเดียวกันที่จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่เซอร์ไพรส์สำหรับผู้ชมนั่นคือการได้เห็น กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร การพลิกบทบาทมารับบทบุหงานักฆ่าสาวผู้ซ่อนเร้นบาดแผลแห่งอดีต สมุนมือขวาของอัลฮาวียะลู

          "คาแรคเตอร์ของบุหงาก็จะเป็นนักฆ่าหรือมือสังหารซึ่งเป็นมือขวาของอัลฮาวียะลูซึ่งรับบทโดยพี่น้อยวงพรู บุหงาจริงๆแล้วเขาเป็นผู้หญิงนะคะ แต่ว่าด้วยเรื่องราวในชีวิตหลายๆอย่างที่เคยเจอมาในวัยเด็กทำให้หล่อหลอมให้กลายเป็นคนที่มีคาแรคเตอร์ที่ถ้าดูด้วยการแต่งตัว ด้วยอะไรหลายๆอย่างจากเครื่องประดับทำให้รู้สึกว่าตัวบุหงาไม่รู้ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย การวางตัวของเขาในฐานะนักฆ่ามือสังหาร การใช้ชีวิตของเขา วิธีคิดของเขา ซึ่งแตกต่างมากเลยจากตัวกบ ส่วนตัวหลังจากอ่านบทก็รู้สึกว่าคาแรคเตอร์เจ๋งดี ไม่เคยเล่นบทแบบนี้เลย ใช้เวลาอยู่นานในการค้นหาตัวละครตัวนี้ที่มีมิติหรือตัวตนลึกๆที่เราต้องทำความรู้จักเยอะ ว่าเหตุและผลในการกระทำของตัวละครตัวนี้ ทำไมต้องมีรีแอ็คแบบนี้หรือแสดงออกแบบนี้ในทุกๆ การกระทำ มีความคิดอย่างไร หรือมีอะไรแฝงอยู่ในความเจ็บปวด การฆ่าของบุหงาก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำแต่มันเป็นการฆ่าที่มันถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก มันทำด้วยความจำเป็น บุหงาจะเป็นผู้หญิงที่พูดน้อยมาก หลายครั้งเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ บุคลิกภายนอกที่เห็นชัดที่สุดก็คือแว่นตาสีดำที่สวมใส่อยู่ตลอดเวลาเพื่อซ่อนปกปิดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แล้วก็จะมีซิการ์ตัวหนึ่งกับไฟแช็ก ทุกครั้งในการสูบซิการ์หรือจุดไฟแช็กจะบ่งบอกถึงความเครียดของผู้หญิงคนนี้ มันจะเหมือนเป็นการระบายถ้าเป็นฉากอารมณ์ของบุหงาก็คือจะสูบบุหรี่ นั่นคือเครียด อาวุธประจำตัวของบุหงาก็คือมีดสั้นค่ะ เขาจะเป็นคนที่ชำนาญในเรื่องของการใช้มีดสั้น นอกจากการค้นหาตัวละครแล้วนะคะ การจะเป็นบุหงาก็ต้องมีไปเรียนคิวบู๊ เบสิกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นขี่ม้ายิงปืน ฝึกแอคชั่น ทำทุกอย่างเพื่อให้เราอยู่ในSkillของนักสู้นักฆ่า เขาเรียกว่ามูฟเมนท์ของตัวละคร ซึ่งเป็นพื้นฐานในการรีแอ็คของคาแรคเตอร์ในการสู้กับโจร ซึ่งในเบื้องต้นที่กบต้องเรียนรู้เลยก็คือเรียนอาวุธ เรียนการต่อสู้ เรียนขี่ม้า เพื่อให้เราดูชำนาญ ดูเป็นนักฆ่า"

          และแน่นอนว่าทุกตัวละครที่ปรากฎขึ้นบนจอภาพยนตร์จะมาพร้อมกับเรื่องราวที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงบทบาทและคาแรคเตอร์ของแต่ละตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยสีสัน และความเข้มข้น ซึ่งจะมีความเชื่อมโยง และสะท้อนมิติให้แต่ละตัวละคร แต่ละความสัมพันธ์ ชัดเจนและถูกขับเน้นให้เข้มข้นขึ้น ส่งผลให้เรื่องราวของขุนพันธ์นอกจากจะเต็มไปด้วยสีสัน และมีมิติที่จับต้องได้แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึง ศรัทธา ความดี ที่เป็นแก่นหัวใจของภาพยนตร์ให้ปรากฎชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านทุกบทบาททุกตัวละคร

          "คือเราพยายามให้ตัวละครทุกตัวละครมันมีมิติ ไม่ได้เป็นตัวละครชั้นเดียว มีเหตุมีผลมีที่มาที่ไปว่าทำไมเขาถึงเป็นสิ่งนี้ อย่างแต่ละฉากก็จะมีเรื่องราวในตัวมันเอง ยกตัวอย่างตัวบุหงา ตัวละครที่น้องกบพิมลรัตน์เล่นอย่างที่บอกคือเราได้เห็นในด้านที่เขาเป็นผู้หญิงที่สวยงามมาก แต่เขาเคลือบตัวเองไว้ด้วยเสื้อผ้าที่มันดูเป็นผู้ชายมากๆ หรือการเป็นผู้ร้าย การเป็นโจรในเรื่องมันก็มีเหตุผลว่าทำไมคนผู้นี้ถึงเลือกที่จะเป็นอย่างนั้น และการเป็นโจรของเขามีเหตุผลอะไร แต่สิ่งที่เขาได้เจอกับขุนพันธ์ และทำให้ขุนพันธ์รับรู้เรื่องของเขา การเลือกฝั่งดีมันก็มีเหตุผลของมันอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นบางทีเราอาจจะเป็นตัวละครที่ยืนอยู่ 2 ฝั่งว่าฉันเป็นตัวละครที่ฉันจะเลือกฝั่งเลวหรือเลือกฝั่งดีหนอ ตัวละครทุกตัวมันจะสะท้อนมิติพวกนี้ออกมาไว้เกือบทุกอันครับ"

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:04:55 AM
ครั้งแรกของ 2 ซูเปอร์สตาร์มือรางวัล “อนันดา VS. น้อย กฤษดา” จากอินเนอร์ที่ลึกที่สุดสู่การเผชิญหน้าและท้าทายทางด้านการแสดงและแอคชั่นสุดชีวิต



          เมื่อมือปราบปะทะมหาโจร คงกระพัน แกร่งกล้า

          เหนืออาคมต่ออาคม วัดกันด้วยพลังศรัทธา

          การวางตัว 2 นักแสดงซูเปอร์สตาร์ชายมือรางวัลระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม (เจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสุพรรณหงส์ทองคำจาก "แฮปปี้เบิร์ดเดย์" และ "ชั่วฟ้าดินสลาย") รับบท "ขุนพันธ์" และ "น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์" (เจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสุพรรณหงส์ทองคำจาก "13 เกมสยอง") รับบท "อัลฮาวียะลู" มหาโจรผู้กล้าแกร่งด้วยอาคม เสือร้ายที่ขุนพันธ์ยากจะต่อกร โดยเป็นครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวของการเผชิญหน้าทั้งในส่วนของการเชือดเฉือนบทบาททางด้านการแสดงสุดเข้มข้นรวมไปถึงการปะทะความมันส์ในทุกๆฉากแอคชั่นอย่างเต็มรูปแบบของทั้งคู่ร่วมกัน

          "อย่างตัวขุนพันธ์ เราต้องการไอคอน เราต้องการคนที่มีลักษณะของการถูกจำได้ เป็นต้นแบบเป็นโมเดล แล้วได้การแสดงที่ดี ดราม่าที่ดี เพราะฉะนั้นการเอาอนันดามาแล้วพอติดหนวดเขี้ยวเข้าไปวันแรกที่เราทำงานกันเรารู้สึกว่ามันใช่เลย หน้านี้ถูกต้องเลยมันมีความสู้คน ความเอาจริงเอาจัง นี่คือสิ่งที่ท่านขุนพันธ์มี ดูแววตา เขาบอกนายพลตาเสืออย่างนี้ เพราะฉะนั้นถามว่าตาอนันดาเป็นตาเสือไหม ก็เป็นตาเสือ เมื่อติดหนวดเขี้ยวเข้าไป เรารู้สึกถึงความดุที่มันอยู่ในตัวคน ท่านขุนพันธ์ก็จะเป็นลักษณะนั้น สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้จากนักแสดงอย่างอนันดามันคือการแสดงที่ดี แล้วอนันดาเองเป็นนักแสดงมืออาชีพ ซึ่งเขาเต็มร้อย เพราะในความเป็นแอคชั่นของภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่ได้แอคชั่นธรรมดา มันแอคชั่นกันแบบว่าทั้งวันทั้งคืน จ่อย (อนันดา) ไม่เคยหยุดการขี่ม้า ทั้งๆ ก็ตกม้าไปรอบหนึ่ง สปิริตรุนแรงทั้งคู่ครับ ผมเชื่อว่าสำหรับอนันดาขุนพันธ์เป็นหนังแอคชั่นที่สุดที่เคยเล่นมาในชีวิต ปกติเราจะรู้จักอนันดาจากหน้าตาความหล่อ แต่อันนี้เขาขายฝีมือขายการแสดงขายแอคชั่นที่เต็มเหนี่ยวขึ้น เราจะได้เห็นอนันดาเล่นแอคชั่นทุกรูปแบบ ทั้งต่อสู้บนรถไฟ แอคชั่นดวลกันกลางสายฝน หรือการสู้ด้วยมีดด้วยดาบด้วยปืนด้วยคาถาอาคม เราเชื่อว่าอนันดาทำได้ดี คือเมื่อไหร่ที่คนดูเห็นอนันดากับพี่น้อยประชันบทบาทกันนะ เราเชื่อว่าคนดูจะจับได้ถึงเคมีของคน 2 คนซึ่งมอบการแสดงที่ดีมากๆไว้"

          ในขณะที่ตัวอนันดาเองเล่าให้ฟังถึงครั้งแรกที่ได้ยินชื่อโปรเจกต์ขุนพันธ์จากการทาบทามของผู้กำกับที่หาโอกาสร่วมงานกันมานานอย่างก้องเกียรติว่า

          "จำได้ว่าตอนที่คุยโปรเจกต์ขุนพันธ์ครั้งแรกกับพี่โขม จ่อยพี่ขอสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่พี่จะปล่อยของจริงๆ พอได้ยินจากพี่โขมว่าเขาเอาสุด เต็มที่สำหรับเรื่องนี้ก็ตื่นเต้น แรกๆอาจตกใจนิดหน่อย หลังๆ ก็ตื่นเต้น ตื่นเต้นกลายเป็นสนุก เพราะว่าเราได้เริ่มเข้าบทบาท เริ่มซ้อมคิวแอคชั่นอะไรทุกอย่าง ได้ฟิตติ้ง เริ่มติดหนวด ทุกอย่างมันก็เริ่มจริงขึ้น หลังจากนั้นความตื่นเต้นนั้นกลายเป็นความอินครับ คือการที่เราต้องเล่นเป็นคนที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนพอสมควร คือการที่ตัวผมเป็นนักแสดงคนหนึ่ง มีหน้าที่เป็นนักแสดง แต่งานนี้เราก็ต้องเคารพต่อประวัติชีวิตของท่านเองด้วย ก็เลยได้ไปศึกษาพอไปลงลึกก็เห็นว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา จำนวนของโจรที่ท่านปราบนี่คือแบบเป็นหลักร้อยหรือเปล่าคือมันเป็นประวัติหรือเรื่องราวของนายตำรวจที่อาจจะนับว่าสุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็ว่าได้ ถ้าให้คำจำกัดความ ท่านขุนพันธ์คือนักสู้ นักล่า นักต่อรอง อาวุธหลักที่ท่านใช้ก็เป็นดาบกับปืน ขุนพันธ์มีประโยคเด็ดอยู่ว่า ถ้าพวกมึงยอมสัญญาว่าเลิกเป็นโจร แล้วไปบวชซะ กูจะจับเป็นพวกมึง เป็นประโยคที่ผมชอบมาก ได้เห็นว่าขุนพันธ์เองท่านก็เป็นคนที่เหี้ยมแต่ว่าก็แฟร์ซึ่งอันนี้ก็มาจากประวัติศาสตร์จริงด้วย นอกจากนั้นท่านขุนพันธ์ก็จะมีความพิเศษอยู่ตรงที่ท่านเป็นคนมีวิชาอาคมยึดมั่นในความดีและนับถือความถูกต้อง แล้วก็อยู่ได้ด้วยความศรัทธา สำหรับในภาพยนตร์จริงๆ แล้วขุนพันธ์เวอร์ชั่นนี้เราจะตีความให้มันเป็นแฟนตาซีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เพราะถ้าจะให้ตรงกับตัวจริงของท่านคือท่านโด่งดังเรื่องการที่ท่านเป็นคนที่ตัวเล็ก พี่โขมก็รู้สึกว่าอยากให้ขุนพันธ์เวอร์ชั่นเราเป็นคล้ายๆกับขุนพันธ์ในเวอร์ชั่นที่คนเขาร่ำลือกัน ใหญ่กว่าชีวิตจริงหน่อย ซึ่งพอเราได้ศึกษาบท ประวัติของท่าน เราก็ค่อยมาปั้นตัวละครขุนพันธ์อีกทีหนึ่ง ซึ่งในภาพยนตร์ก็จะมีหลายเวอร์ชั่นก็จะเริ่มตั้งแต่เป็นนายร้อยตำรวจฝึกหัด แล้วก็ค่อยมีการเติบโตของตัวละคร คือในหนังเราไม่ได้ตีความว่าเปิดมาแล้วท่านได้เป็นขุนพันธ์ที่เราร่ำลือกันลย ผมก็เลยพยายามมองคาแรคเตอร์ ที่ตีความไว้คือพยายามคิดให้เป็นมนุษย์ให้มากที่สุด เราก็ต้องไปหาเหตุผลว่าทำไม เกิดเหตุอะไรที่ทำให้ท่านต้องกลายเป็นขุนพันธ์ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตแล้วก็โชคดีมากครับที่เขาเลือกผม ขอบคุณครับพี่โขม"

          ในขณะที่ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ เองยอมรับว่าติดใจในการร่วมงานกับผู้กำกับ โขม ก้องเกียรติจากผลงานก่อนหน้าอย่างอันธพาลไม่น้อย เพราะนอกจากกวาดทั้งเสียงยกย่องจากทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์ทุกสถาบันที่มีการแจกรางวัลรวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำในสาขานักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยมแล้ว การร่วมงานกับผู้กำกับในสไตล์เพอร์เฟคชั่นนิสต์แบบนี้ยังเปิดพื้นที่ในการแสดงให้เขาได้จัดเต็มอย่างเต็มที่ และพอรู้ว่าก้องเกียรติเจาะจงตั้งใจเลือกและส่งบท "อัลฮาวียะลู" มหาโจรคงกระพันผู้เหี้ยมโหดคู่ปรับของขุนพันธ์มาให้ ยังไม่ทันอ่านบทก็ตกปากรับคำทันที และพอได้ศึกษาบทก็พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิด และคงเสียใจถ้าไม่ได้รับบทนี้

          "เชื่อว่านักแสดงหลาย ๆ คนมองหาโอกาสที่จะได้เล่นบทร้ายสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพียงแต่ว่าบทร้ายแบบนี้เราจะเล่นอย่างไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากครับ บทอัลฮาวียะลูครั้งนี้เป็นการพลิกและเปลี่ยนคาแรคเตอร์ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาครับ เป็นตัวละครที่ค่อนข้างห่างไกลจากคาแรคเตอร์ตัวจริงผมเหลือเกิน ผมเองก็ไม่เคยเล่นหนังพีเรียดมาก่อน แต่ด้วยที่ตัวบทภาพยนตร์เรื่องนี้มันมีมิติเหลือเกิน แล้วเราก็พยายามเบสคาแรคเตอร์ของเรากับโจรที่เป็นคู่ปรับของขุนพันธ์ตัวจริง มันก็เลยเกิดการตีความ 2 อย่างกับบทนี้ เราก็พยายามทั้งศึกษาว่าโจรสมัยโน้นเขาเชื่อมั่นในสิ่งอะไร จุดยืนเขาอยู่ที่ไหน เขาเกิดมาเป็นอย่างไรถึงคิดกลายเป็นโจร แต่ว่าอีกมุมหนึ่งเราก็พยายามใช้จินตนาการ การตีความ มาสร้างตัวละครตัวนี้ มันก็ยิ่งสนุก มันสามารถสร้างสีสันได้ เราก็พยายามดูว่าเราจะสามารถทำอะไรตรงนี้ได้ อัลฮาวียะลูเขาคือคู่ปรับของขุนพันธ์ เป็นมหาโจรที่ฆ่าไม่ได้ ตายไม่เป็น ขุนพันธ์อาจจะล่าเราได้แต่ฆ่าเราไม่ได้ เพราะตัวอัลฮาวียะลูเองมีรอยสักที่ป้องกันเขาได้ มีอาวุธ มีอาคม คงกระพัน ฉลาดมีไหวพริบ และมีอุดมการณ์ของตัวเอง สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา แล้วชื่ออัลฮาวียะลู แปลว่าหลุมที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งขุนพันธ์จะต้องเข้าไปในหลุมนี้ที่ลึกเหลือเกินเพื่อที่จะปราบอัลฮาวียะลูให้ได้ซึ่งในฉากแอคชั่นสุดท้ายของภาพยนตร์เราจะได้เห็นกันว่าขุนพันธ์ทำได้หรือไม่ ก็คงต้องขอขอบคุณโขม สหมงคลฟิล์ม และบาแรมยู ที่ให้โอกาสเราเล่นบทนี้ เวลาที่เราเป็นนักแสดง เรารู้ว่าการหาโอกาสได้เล่นบท ได้เปลี่ยนคาแรคเตอร์อย่างนี้ เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะมีมาอีกเมื่อไหร่ มันอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ เวลาบทอย่างนี้มา อย่าพลาด พลาดไม่ได้นะ ไม่ว่าจะล้มหรือจะยืนขึ้น ไม่ว่าจะออกมาเป็นยังไง เราก็เลยต้องเต็มที่ แล้วก็จับมัน อย่าปล่อยมัน แล้วผลมันจะออกมาเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่คุณต้องทำให้ดีที่สุดเต็มที่ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงาน1ซีนในสไตล์ของโขมมันจะมีทั้งดราม่าอยู่ในแอคชั่นด้วย ต้องทำทั้ง 2 อย่างให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดง รับบทพูดระหว่างกัน ไปจนถึงแอคชั่นกับการชกต่อยกันจริง ๆ มันคือการถ่ายทอด 2 อย่างในซีนเดียวกัน ซึ่งสำหรับโขมแล้วนี่คือสิ่งที่นักแสดงต้องทำให้ได้ เราต้องเข้าใจว่าเวลาเราเล่นหนังมันมีโอกาสครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นมันก็จะอยู่ไปตลอดชีวิต นั่นคือผลงานของเรา"

          ในขณะที่ผู้กำกับก้องเกียรติเองได้พูดถึงความเต็มร้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังทางด้านการแสดงที่น้อยกฤษดาได้มอบให้

          "สำหรับพี่น้อยเรายกย่องแล้วก็ขอบคุณพี่เสมอมา กับการที่พี่ให้การแสดงที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนและสำหรับผมเสมอๆ พี่ทุ่มเทอินเนอร์ของพี่ทุกอย่าง การเปิดตัวคาแรคเตอร์ที่พี่น้อยกำลังนั่งให้พระองค์หนึ่งสักอยู่ แล้วก็ของขึ้น ผมจำได้ว่าพี่เคยมาถามผมว่าของขึ้นคืออะไร เขาเป็นฝรั่งนะ ก็อธิบายให้เขาฟัง ในสปิริตนักแสดงของเขา เขาสามารถถ่ายทอดออกมาความบ้าคลั่งของตัวละครอัลฮาวียะลูได้อย่างน่ากลัวที่สุด อัลฮาวียะลูชื่อนี้มีความหมายแปลว่าหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง เหมือนหุบเหวที่ไร้จุดที่สิ้นสุด มันลึกมาก เพราะฉะนั้นความลึกของตัวละครตัวนี้มันจมดิ่งมากๆ มันเป็นตัวละครที่กดดันแล้วก็นักแสดงคนไหนที่รับบทลักษณะนี่มันมืด มันเหนื่อย เพราะว่ามันแบกชะตากรรมที่หนักมากของตัวละครเอาไว้ ซึ่งพี่น้อยทำได้ดีทั้งหมด แม้กระทั่งการเผชิญหน้ากันกับตำรวจ หรือการเผชิญหน้ากับขุนพันธ์ซึ่งทุกๆ ไดอะล็อกมันมีการปะทะ การเชือดเฉือนกันอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะห็นว่ามันไม่ใช่แค่เพียงฉากเดียวที่ 2 คนมาเผชิญหน้ากันแล้วก็ไป แต่ว่าแทบทั้งเรื่องที่ตัวละคร 2 คนนี้ที่ขุนพันธ์กับอัลฮาวียะลูต้องปะทะกันเกือบทั้งเรื่อง เพราะฉะนั้นพี่น้อยรับบทหนักมากพอๆ กัน เราถือว่าถึงชื่อหนังจะชื่อเรื่องขุนพันธ์ก็จริงแต่ว่าอัลฮาวียะลูในเรื่องนี้เป็นบทร้ายที่เทียบเท่ากันในทุกมิติครับ"

          และแน่นอนว่าเมื่อ 2 คาแรคเตอร์ที่ถูกออกแบบดีไซน์มาให้มีความทัดเทียมกัน ทั้งความสามารถ สติปัญญา ไหวพริบสติปัญญา แกร่งกล้าสามารถด้วยอาคม และการต่อสู้ รวมทั้งคงกระพันหนังเหนียวต้องมาเผชิญหน้ากันภายใต้มุมมองการเล่าเรื่องของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่มีลายเซ็นและสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่จะดึงอารมณ์ดราม่าของนักแสดง มาผสมผสานการเล่นแอคชั่นได้อย่างลงตัวที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ 2 สุดยอดซูเปอร์สตาร์ที่เอ่อล้นด้วยพลังดาราแม่เหล็ก อัดแน่นด้วยอินเนอร์และความบ้าพลังทางด้านการแสดงดอย่าง อนันดา และ กฤษดา ด้วยแล้ว ย่อมเป็นการปะทะกันที่ต้องจับตามอง

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:06:05 AM
แอคชั่นกันแบบมาราธอนต่อเนื่อง น้อยกับอนันดาต่อยกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าวันนี้จนไปถึง 6 โมงเช้าอีกวันหนึ่งจนเลยไปถึงเกือบเที่ยง



          "มันเป็นโปรเจกต์ที่เราภูมิใจนำเสนอ เราทำสิ่งที่ยากเกือบทุกสิ่งเลยสำหรับหนังไทยเรื่องหนึ่ง มันถึงกินเวลามาหลายปีมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฉาก เรื่องของเอฟเฟกต์ เรื่องของการดีไซน์คิวแอคชั่น เพราะฉากแอคชั่นหรือสิ่งที่เราคิดมันยากอยู่แล้ว แต่ต้องบอกว่าเราโชคดีมากๆที่เราได้ทีมนักแสดง ทีมงาน ที่ทุกคนต่างให้ใจ ทุ่มชีวิตฝ่าฟันกัน ผมว่าโปรเจกต์นี้มันเหมือนหน่วยทหารที่พอเสร็จแล้วก็คงรักกันไปอีกนาน เราผ่านการถ่ายทำฉากแอคชั่นกันแบบมาราธอนต่อเนื่อง 24-36 ชั่วโมงก็เคยมาแล้ว พี่น้อยกับอนันดานี่ต่อยกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าวันนี้จนไปถึง 6 โมงเช้าอีกวันหนึ่งจนถึงเกือบเที่ยง แอคชั่นทั้งวัน 2 คน ก็ลุยกันมาแล้ว นับถือสปิริตมาก เรามีดีไซน์ที่ฉูดฉาด เรามีประเด็นในสไตล์ของหนังแบบโขมที่รุนแรงพอที่จะกระทบความรู้สึกคนในทุกๆด้านนะครับ ผมว่ามันก็น่าจะเป็นเวอร์ชั่นเข้มข้น แล้วก็น่าจะเป็นหนังที่เราอาจจะเคยเจอกับความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่สมัย 2499 อันธพาลครองเมือง ซึ่งหนังเรื่องขุนพันธ์ก็ยังมีกลิ่นอายแบบนั้นอยู่ เราอยากให้ความรู้สึกของหนังไทยแบบนั้นกลับมาน่ะ"

          "เราทำการบ้านกันสูงมากสำหรับเรื่องนี้ครับ โดยเฉพาะบทซึ่งเป็นแก่นหลักของเรื่อง เขียนบทเป็นปี เราต้องอาศัยการทำงานที่ผ่านการประชุมแล้วประชุมอีก เราว่ามันพิสูจน์อะไรหลายๆอย่างในตัวเราและก็ทีมงานเยอะมาก โปรเจกต์นี้มันใหญ่โตมโหฬาร การถ่ายทำมีกระบวนการขั้นตอนที่กินเวลายาวนานมาก มันคือความท้าทาย มันพิสูจน์ศรัทธา เหมือนขุนพันธ์นะครับที่ท่านตะลุย ท่านบุกขนาดไหนในชีวิต กว่าจะปราบโจรสักคนหนึ่ง เราลงไปที่บ้านท่านแล้วก็ไปไหว้ท่าน ไปขอหลายๆสิ่งหลายๆอย่างว่า ดลบันดาลใจให้เราทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด และไม่เลิกที่จะทำ ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคอะไรก็แล้วแต่ เราจะมีรูปขุนพันธ์อยู่ข้างโต๊ะทำงาน มีดาบแดงอันหนึ่ง เราก็จะหันไปมองตลอด ถ้ายังมีเวลาเราจะทำให้มันดีที่สุด ไม่มีนักแสดงหรือทีมงานคนไหนถอดใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้เลย"

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:07:04 AM
ใส่ความจริงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ บวกจินตนาการผู้กำกับ และทีมบทเข้าไปเพื่อให้เป็นภาพยนตร์ที่ทั้งบันเทิงและสมจริงที่สุด





          "เราเลือกที่จะนำเสนอเหตุการณ์ซึ่งเป็นภารกิจแรกในชีวิตคือการปราบปรามโจรใต้ ตั้งแต่เป็นนายร้อยจบมาใหม่ๆ แล้วขอเสนอตัวรับภารกิจลับเลือกทำในสิ่งที่ไม่มีนายตำรวจคนไหนเคยทำสำเร็จ หรือทำมาก่อนเลยคือการปราบโจรร้ายที่โด่งดังที่สุด โหดเหี้ยมที่สุดที่ชื่อว่า อัลฮาวียะลู คือเป็นโจรที่มีวิชาอาคมมาก ฆ่าคน ด้วยกริชอันหนึ่ง โหดร้าย ได้ยินว่าพอชาวบ้านคนไหนไม่ร่วมด้วยก็จะเอากริชผ่าปากคนพวกนั้น ชื่อเสียงโด่งดังมาก จึงไม่มีตำรวจคนไหนอาสา และนอกนั้นก็ยังมีสมุนเก่งๆอย่างพวก เสือกลับ คำทอง หรือเสือสัง และก็ยังมีเหล่าลูกสมุนอีกหลายคนซึ่งเป็นมือซ้ายขวาที่ขุนพันธ์จะต้องรับมือ โดยตัวภาพยนตร์จะถ่ายทอดเรื่องราวของขุนพันธ์ที่ได้รับภารกิจให้ปลอมตัวเข้าไปจัดการกับโจรคนนี้ ในดินแดนที่ถูกปกครองอยู่ภายใต้อิทธิพลทั้งหมด ซึ่งตำรวจอย่างขุนพันธ์จะต้องเรียนรู้ว่าทำไมคนทั้งภูเขาแห่งนั้นถึงลุกขึ้นมาเป็นโจร ผู้ร้ายตัวจริงมันคืออะไรกันแน่ หรือขุนพันธ์แทนที่จะไปไล่ล่าเขา กลับถูกไล่ล่าเสียเอง นำไปสู่การเผชิญหน้ากันของยอดฝีมือ2ทาง ขุนพันธ์ต้องเผชิญหน้ากับจอมโจรที่เก่งทั้งวิชาอาคมทั้งบู๊ไม่แพ้ตัวเอง เพราะอัลฮาวียะลูนี่โดนขุนพันธ์เอาปืนยิงใส่หน้าระยะเมตรหนึ่ง ยิงๆๆเสร็จ อมลูกกระสุนไว้ในปากหมดเลย ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องมาดู มาพิสูจน์กันว่าระหว่างศรัทธาแห่งความดีกับอานุภาพของกระสุนปืนอะไรจะเหนือกว่ากัน"

          แน่นอนว่าก่อนที่จะสรุปออกมาเป็นแนวทางที่ชัดเจนของภาพยนตร์ ไปจนถึงทิศทางของเรื่องราวที่จะถูกนำเสนอออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวบทภาพยนตร์ที่ผ่านการบ่มเพาะทางความคิด ไอเดียในการสร้างสรรค์จนเกิดเป็นวิช่วลทางด้านภาพซึ่งปรากฎออกมาเป็นภาพยนตร์แอคชั่นเหนือจินตนาการจากมุมมองของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่ทั้งเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ได้นั้นจะต้องผ่านการรวบรวมและค้นคว้าข้อมูลนับแรมปีจากบทบันทึกที่มีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ ข้อมูล ข่าวสาร สารคดี แฟ้มข่าว ตลอดจนรายการวิทยุและโทรทัศน์ เรื่องเล่าอันเป็นตำนาน บทสัมภาษณ์จากบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดรอบตัวไปจนถึงอดีตเสือร้ายซึ่งเป็นคู่ปรับคนสำคัญของ "ขุนพันธ์" ที่ได้รับการบันทึกไว้ รวมถึงการเดินทางไปยังบ้านเกิดของท่านขุนพันธ์ได้ศึกษาถึงที่มาที่ไป หลักคุณธรรมความดีของตัวท่าน ศึกษาถึงชีวิตความเป็นอยู่ วิถีปฏิบัติ แนวความคิด ตัวตน รอยสัก เรื่องราวต่างๆตลอดจนอาวุธประจำตัวท่านซึ่งเป็นที่กล่าวขานหรือแม้กระทั่งวิธีการปราบเสือร้ายโจรซุ่มในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "วัดเขาอ้อ" สำนักตักศิลาที่ซึ่งบ่มเพาะเหล่ายอดฝีมือทางไสยเวทย์ที่มีการสืบทอดมานับพันปีซึ่งท่านขุนพันธ์เองได้ศึกษาและฝากตัวเป็นศิษย์เอกรวมทั้งได้มีโอกาสสักการะบวงสรวงต่อหน้ารูปปั้นอนุเสาวรีย์ท่านขุนพันธ์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชขอพรเอาฤกษ์เอาชัย เพื่อจุดประกายก่อเกิดแรงบันดาลใจก่อนที่จะเริ่มต้นทุ่มชีวิตและจิตวิญญาณทั้งหมดให้กับโปรเจกต์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท้าทายมากที่สุดในชีวิตการเป็นคนทำหนัง

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:07:31 AM
แอคชั่นจัดเต็ม กับทีมงานมือหนึ่งให้สมกับที่เป็นภาพยนตร์มือปราบไทยแห่งอาคม



          ความใหญ่โตของโปรเจกต์ที่มาพร้อมกับความเป็นภาพยนตร์แอคชั่นอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้งานไอเดียในการออกแบบฉากแอคชั่นที่จะปรากฎอยู่ในภาพยนตร์ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ภายใต้โจทย์ที่ถูกวางไว้ถึงความต่างของรายละเอียดและรูปแบบของสไตล์แอคชั่นจากในภาพยนตร์แอคชั่นปกติทั่วไปซึ่งงานนี้ได้ ท็อป วีระพล ภูมาตย์ฝน ผู้กำกับและออกแบบฉากแอคชั่น ศิษย์เอกของ พันนา ฤทธิไกร ปรมาจารย์ผู้กำกับคิวบู๊มือ1ของเมืองไทยที่อยู่เบื้องหลังการดีไซน์ในทุกฉากแอคชั่นสตาร์อย่าง จาพนม ยีรัมย์ และ จีจ้า ญาณิน

          "ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ70ปีที่แล้ว และมีการต่อสู้ด้วยอาคม เรื่องคงกระพันหนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้า ส่งผลให้รูปแบบของคิวบู๊หรือฉากแอคชั่นที่เกิดขึ้นก็จะมีรูปแบบเฉพาะตัวเราต้องมาคิดค้นว่าวิธีการที่เขาจะสู้กันดวลกันด้วยอาวุธในยุคนั้นปืนหรือมีดหรือกริชจะเป็นอย่างไร ให้รู้สึกพิเศษ ให้เห็นถึงความแกร่งกล้าหนังเหนียวของทั้งสองคน เราจะเห็นตัวละครอัลฮาวียะลูของพี่น้อย เสือสัง ของ เดี่ยว ชูพงษ์ หรือ บุหงา นักฆ่าที่ใช้มีดสั้นเป็นอาวุธของกบ หรือกระทั่งขุนพันธ์ของอนันดา รวมไปถึงไฮไลท์ซีนที่เกี่ยวกับแอคชั่นบนหลังม้าทั้งหมด เราจะได้เห็นฉากดีไซน์คิวบู๊ยากๆ อาทิ ขุนพันธ์ขี่ม้ากระโดดขึ้นไปต่อสู้กับพวกเสือสังบนรถไฟ เห็นนักแสดงซูเปอร์สตาร์อย่างอนันดาถือมีดถือปืนสู้กับเสือสังบนรถไฟ และแอ๊คชั่นอีกหลาหลายฉาก บางฉากกินเวลาเป็นสิบนาทีชั่วโมง พูดได้ว่าเป็นหนังแอคชั่นที่มีครบทุกรสชาติจริงๆ และได้สปิริตของทุกๆคนที่ล้วนแล้วต่างทุ่มเทแรงใจให้กับภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ให้ออกมาลงตัวที่สุด"

          พร้อมกับระดมเหล่าทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังและเชี่ยวชาญพิเศษในสายงานเฉพาะของแอคชั่นในแขนงต่างๆมารวมตัวกันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ จนกล่าวได้ว่าเป็นการรวมตัวของทีมสตันท์ที่เยอะที่สุดเพื่อรองรับกับฉากแอคชั่นดีไซน์ที่จะเกิดขึ้นแม้กระทั่งทีมสตันท์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับไฟโดยเฉพาะในฉากที่ตัวละครต้องถูกไฟเผาลุกท่วมร่างกาย, ในฉากแอคชั่นบนหลังม้าโดยได้ ครูแอ้นท์ม้าทมิฬ (วัชรชัย สุนทรศิริ)ผู้เชี่ยวชาญพิเศษในการควบคุมม้าและฝึกฝนสตันท์ม้าที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนในภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศซึ่งดูแล และฝึกฝนนักแสดงในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อยู่เบื้องหลังการรับผิดชอบในฉากแอคชั่นการต่อสู้บนหลังม้าของบางระจัน, ข้าบดินทร์, ชาติพยัคฆ์, นายทองดีฟันขาว มาดูแลในส่วนของฉากแอคชั่นม้าทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากที่ขุนพันธ์ซึ่งรับบทโดยอนันดา,อัลฮาวียะลูโดยกฤษดา,เสือสัง โดย เดี่ยว ชูพงษ์, บุหงา โดย กบพิมลรัตน์ และเหล่านักแสดงสมทบทั้งหมดที่ต้องมีฉากแอคชั่นต่อสู้บนหลังม้า รวมถึงคิวบู๊ที่เหล่าสตันท์โจรจะต้องเสี่ยงตายตกม้า

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:08:07 AM
สุดยอดโลเคชั่น ที่ทั้งต้องตอบโจทย์เรื่องยุคสมัย ความสมจริง และ ความมหัศจรรย์



          ธนะ เมฆาอัมพุท (เจ้าของรางวัลกำกับศิลป์ยอดเยี่ยมจากไชยา และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาเดียวกันจากอันธพาล)ผู้รับผิดชอบในส่วนของการออกแบบงานสร้างทั้งหมดที่จะปรากฎขึ้นในโลกของภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ฉาก เหตุการณ์ สถานที่ต่างๆรวมไปถึงบรรยากาศตามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ท่านขุนพันธ์ยังเป็นตำรวจนายร้อยฝึกหัด ไปจนถึงเสนอตัวเพื่อออกปฎิบัติการลับ แฝงตัวเข้าไปยังดินแดนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของ "อัลฮาวียะลู" มหาโจรผู้โหดเหี้ยวแห่งภาคใต้ โดยผนึกกำลัง กวี จันทรพลพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายสถานที่ในการถ่ายทำ เดินทางเพื่อค้นหาโลเกชั่นในหลายจังหวัดทั่วประเทศเพื่อเลือกหาสถานที่ที่หมาะสมที่สุดโดยมีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นโลเกชั่นหลักในการถ่ายทำเพื่อให้ทีมงานในส่วนออกแบบงานสร้างเนรมิตงานสร้างต่างๆขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ

          ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดผ่านฝีมือการกำกับภาพของ ทิวา เมยไธสง และ ปราเมศวร์ ชาญกระแส สองผู้กำกับภาพมือรางวัลที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวของ ขุนพันธ์ ฉบับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งการถ่ายฉากแอ็คชั่นบนหลังม้า บนรถไฟ และ อีกหลากหลายวิช่วลใหม่ๆ ที่รับรองว่าไม่เคยได้เห็นในภาพยนตร์ไทยเรื่องไหนมาก่อน

          อารมณ์ที่ต้องสื่อสารความรู้สึกของเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างลึกซึ้ง อ้างว้าง ตรึงเครียด กดดันในสถานการณ์ต่างๆซึ่งรวมไปถึงการนำเสนอมุมมองของแอคชั่นเหนือจินตนาการ การสื่อความรู้สึกถึงการหยั่งรู้ การต่อสู้ทางจิต ความคงกระพันหนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้าซึ่งเป็นความสามารถพิเศษของตัวละครขุนพันธ์และอัลฮาวียะลู ซึ่งล้วนแล้วต้องอาศัยกระบวนการคิดสร้างสรรค์ในงานการออกแบบทางด้านการกำกับภาพที่เป็นส่วนสำคัญในการถ่ายทอด และสื่อความหมายแทบทั้งสิ้นจนออกมาตรงตามความตั้งใจของผกก.ก้องเกียรติ โขมศิริมากที่สุดตอบโจทย์ให้ "ขุนพันธ์" เป็นภาพยนตร์แอคชั่น-เหนือจินตนาการเรื่องยิ่งใหญ่ประจำปีของสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ล้วนแล้วผ่านความตั้งใจจริงจากการทุ่มเทชีวิต หยาดเหงื่อ และจิตวิญญาณจากทุกส่วนของทีมงานนักแสดงที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างพลังแห่งศรัทธาผ่านเรื่องราวของท่านขุนพันธ์ พร้อมกับพิสูจน์ให้รู้ว่า "ศรัทธาแห่งความดีอย่างที่ท่านขุนพันธ์เลือกที่จะทำและเป็น" คือ สิ่งที่ทุกชีวิตบนผืนดินนี้ควรตระหนักและยึดถือไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงไหนก็ตาม

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:08:46 AM
สหมงคลฟิล์มฯเลือกเชิดชู วีรบุรุษมือปราบ108ปี ไม่ใช่ภาพยนตร์อัตชีวประวัติหรือหนังสารคดี แต่คือภาพยนตร์แอคชั่นเหนือจินตนาการที่มี “ขุนพันธ์” เป็นตัวแทนของสัญลักษณ์แห่ง “ความดี”



          ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" จะหยิบเอาเรื่องราวและเกร็ดประวัติเละตัวตนของ "พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ตลอดจนภารกิจในการปราบโจรผู้ร้ายเสือดังๆที่เลื่องชื่อซึ่งถูกบันทึกว่ามีอยู่จริงในประวัติศาสตร์มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ แต่แนวทางของภาพยนตร์คือการนำเสนอในรูปแบบของภาพยนตร์แอคชั่นที่เน้นอรรถรสความบันเทิงในลักษณะเหนือจริงโดยสร้างอยู่บนความเคารพ และศรัทธาในตัวท่านขุนพันธ์ โดยหยิบเอาเรื่องราวและภารกิจที่มีสีสันของท่านขุนพันธ์ในการปราบโจรมาถ่ายทอดโดยเปรียบท่านขุนพันธ์เป็นดั่งตัวแทนของความดี

          "มันเป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่แล้วก็ตัวบุคคลที่เลือกทำเป็นบุคคลจริงมีตัวตนจริง มีประวัติศาสตร์รองรับมีหลักฐานยืนยันเราก็เลือกการถ่วงดุลระหว่างความจริงแค่ไหนกับความเป็นภาพยนตร์ แน่นอนว่าเราไม่ได้ทำสารคดี มันคงไม่ใช่เรื่องราวตรงไปซะ 100% ทั้งหมด แต่ว่าเรารักษาหัวใจของความเป็นขุนพันธ์ไว้ให้ได้เยอะที่สุด เรื่องแอคชั่นกับเมจิค การผสมกันแล้วมันมีดราม่าเข้าไปอยู่ในนี้ด้วย การรักษาสมดุลย์ของสิ่งเหล่านี้มันเป็นงานที่ท้าทายนะครับ มันต้องยกย้อนกลับไปที่ธีมของเรื่องเลยก็คือศรัทธา งานที่มันยากก็ต้องยิ่งอาศัยศรัทธาที่สูง คาแรคเตอร์หลักๆเรายังจับหัวใจความเป็นขุนพันธ์อยู่ในเรื่องนี้ เราเลือกนำเสนอในรูปแบบของความเป็นภาพยนตร์ที่เรียกว่าเมจิคอลเรียลลิสซึ่มหรือสัจนิยมมหัศจรรย์ โดยการขยายความหรือว่าเพิ่มบางอย่างที่เป็นเรื่องของภาพยนตร์ลงไป แต่ทั้งหมดในนั้นเราไม่ได้หักข้อมูลเก่าทิ้ง ไม่ได้โกหก ข้อมูลเรื่องคาแรคเตอร์หนวดเขี้ยว การไปปราบโจรที่โน่นที่นี่ หรือแม้กระทั่งเวิร์ดดิ้งประโยคประจำตัวที่ท่านขุนพันธ์พูดตอนไปจับโจร ซึ่งโจรจะพูดเหมือนกันหมดว่าก่อนท่านขุนพันธ์จะปราบจะพูดว่า เฮ้ย ถ้ามึงบวชแล้วเลิกเป็นโจรซะ กูจะจับเป็นมึง แต่ถ้ามึงไม่บวช ก็ยิงกัน เราก็จับหัวใจของสิ่งนี้ที่เป็นแบบนักเลง ก็ยังมียังอยู่ในเรื่องทั้งหมด นี่ไม่ใช่หนังอัตชีวประวัติ แต่เป็นหนังที่ถูกสร้างเพื่อความบันเทิง โดยได้ตัวละครขุนพันธ์เป็นต้นแบบ ให้เป็นไอคอน (สัญลักษณ์) เรื่องของฮีโร่คนหนึ่งที่ไปเจอกับผู้ร้ายคนหนึ่งซึ่งมีวิชาอาคมไม่แพ้กัน แล้วมันคือการที่คนที่ยิงไม่ตาย 2 คนเผชิญหน้ากัน คนหนังเหนียว 2 คนต่อสู้กัน มันเป็นเรื่องของการชิงไหวชิงพริบ หรือการที่ตัวละครตำรวจถูกท้าทายโดยโจรว่า มึงกับกูมันต่างกันแค่เสื้อผ้า หนังเรื่องนี้พยายามจะพูดในทัศนะเรื่องความดีความเลว หรือการเลือกศรัทธาด้านสว่างหรือด้านมืด เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าแรงบันดาลใจสำหรับเรื่องนี้ก็คือการสร้างไอคอนแห่งความดีที่จริงที่สุดโดยมีหัวใจของเรื่องมันก็คือการไล่ล่ากันของคน 2 ฝั่งที่เรียกว่าเจ็บไม่ได้ตายไม่เป็นกันทั้งคู่ครับ" ซึ่งเป็นธีมสำคัญของภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ที่ผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ตั้งใจนำเสนอ

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:10:09 AM
Movie Guide: อาคมแห่งการต่อสู้ ฤาจะต่อกรกับความดี



ทีเซอร์แรก ขุนพันธ์ (Official Teaser)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=MK3jxgnkbZM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=MK3jxgnkbZM</a>

   เสือโจรทั้งหลายที่โด่งดังในปฐพี......ล้วนถูกปราบโดยนายตำรวจคนหนึ่งเหนือพลังแห่งศรัทธา คือการมุ่งมั่นและยืนหยัดในการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
          คือยอดตำรวจวีรบุรุษ
          คือมือปราบสิบทิศ
          คือมือปราบหนวดเขี้ยว
          คือนายพลหนังเหนียว
          คือ ขุนพันธ์

          ขุนพันธ์

          แรงบันดาลใจสำคัญอันเป็นต้นกำเนิดของ "ขุนพันธ์"
          ภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์ประจำปีพ.ศ. 2559 ของ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
          "เมื่อตอนได้ข้อมูลของท่านมาเป็นหนังสือที่ระลึกงานศพ ในหนังสือเราจะเห็นว่ามีพวงหรีดจากในหลวง พระราชินี และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ พลิกเข้าไปด้านในเราได้เห็นรูปถ่ายจริงรูปหนึ่ง เป็นภาพของท่านขุนพันธ์ใส่ชุดนายตำรวจห้อยกระบี่ที่เอวย่อตัวลงกำลังยื่นมือต่อเทียนเล่มหนึ่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในความรู้สึกเราท่านคืออัศวิน ท่านคือทหารพระราชา จากภาพนั้นทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละคือ งานเรา นี่ละโปรเจกต์ต่อเทียน ถูกต้องไม่ถูกต้องเราไม่รู้ แต่เราสู้สุดชีวิต เราจะต่อเทียนกันต่อไป"
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 17, 2016, 09:11:39 AM
Movie: ภาพยนตร์ ขุนพันธ์









กำหนดฉาย 14 กรกฎาคม 2559
แนวภาพยนตร์ แอคชั่นเหนือจินตนาการ
บริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัทดำเนินงานสร้าง บาแรมยู
กำกับภาพยนตร์ ก้องเกียรติ โขมศิริ
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควมคุมการสร้าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว, สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์
ร่วมควบคุมการสร้าง สิตา วอสเบียน
ประสานงานสร้าง จันทพร ธนโกเศศ
เรื่องและบทภาพยนตร์ ก้องเกียรติ โขมศิริ
ออกแบบและกำกับฉากต่อสู้ วีระพล ภูมาตย์ฝน
ควบคุมดูแลแอคชั่นบนหลังม้า ครูแอ้นท์ ม้าทมิฬ(วัชรชัย สุนทรศิริ)
กำกับภาพ ทิวา เมยไธสง และปราเมศวร์ ชาญกระแส
ลำดับภาพ ปัญญ์สุนิตย์ อัศวินิกุล
ดนตรีประกอบและออกแบบเสียง เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน
บันทึกเสียง ห้องบันทึกเสียงรามอินทรา
ฟิล์มแลบส์ สยามพัฒนาฟิล์ม
ออกแบบเครื่องแต่งกาย นิรชรา วรรณาลัย
ออกแบบงานสร้าง ธนะ เมฆาอัมพุท
แต่งหน้า-เมคอัพเอฟเฟกต์ ศิวกร สุขลังการ
ออกแบบทรงผม เทิด ยอดทอง
ออกแบบและสร้างรอยสัก นิติธร สะอาดดี, ชนัญชิดา ทรงโฉม
นักแสดง อนันดา เอเวอริงแฮม, กฤษดา สุโกศล แคลปป์, เดี่ยว ชู พงษ์ ช่างปรุง, กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร, แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี, สนธยา ชิตมณี, กานต์พิสชา เกตุมณี

          เรื่องย่อ ขุนพันธ์
          ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังก่อตัวขึ้น ญี่ปุ่นเริ่มแผ่ขยายอำนาจรุกรานทั่วเอเชีย รวมทั้ง ประเทศไทยที่กำลังเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่เพื่อเตรียมก้าวเข้าสู่โลกอารยะ ความเจริญเริ่มรุกล้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าผู้คนกลับขัดสนยากจน ถูกกดหัวอยู่ภายใต้อาณัติของเหล่าชุมโจรเสือร้ายที่ก่อร่างสร้างอิทธิพลไปทั่วทุกหัวระแหงโดยหาได้หวั่นเกรงต่อกฎหมายแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าผืนปฐพีจะไร้ซึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่สัตย์ซื่อ ภักดีในความถูกต้อง และยึดมั่นในความยุติธรรม
          จังหวัดชุมพร ปี พ.ศ. 2481 ภายหลังจากเด็ดชีพ เสือกลับ คำทอง และพวกพ้องที่อุกอาจปิดเมืองทั้งเมืองและจับสารวัตรดำเกิงผู้บังคับบัญชาเป็นตัวประกัน "นายบุตร์" หรือ "ร้อยตำรวจโท ขุนพันธรักษ์ราชเดช" (อนันดา เอเวอริงแฮม) นายร้อยตำรวจหนุ่มฝึกหัดก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าด้วยกระสุนเพียงนัดก็สามารถกำราบเสือร้ายเลื่องชื่อได้เป็นผลสำเร็จ นั่นเป็นเพราะความสามารถเฉพาะตัวและวิชาที่บ่มเพาะติดตัวมา ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ยังไม่เคยมีนายตำรวจมือปราบรายใดในประวัติศาสตร์เคยทำมาก่อน นั่นคือเสนอตัวเข้ารับผิดชอบในภารกิจลับที่เสี่ยงที่สุด อันตรายที่สุด ซึ่งอาจใช้เวลานับเดือนหรือแรมปีโดยต้องทิ้งชีวิตที่เหลืออยู่เป็นเดิมพัน นั่นคือ การเสาะหาและออกไล่ล่าเพื่อปิดตำนานของ "อัลฮาวียะลู" (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) มหาโจรผู้โหดเหี้ยม ดุดัน แกร่งกล้า ฆ่าไม่ตาย หนำซ้ำ ยังคงกระพันหนังเหนียว ครองอิทธิพล แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วภาคใต้ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือกันว่าแกร่งกล้าเพราะมีวิชาและของดีอยู่ในตัว
          ขุนพันธ์ในคราบของนายบุตร์จึงแอบแฝงตัวเข้าไปสืบข่าวโดยได้รับความช่วยเหลือจาก "ไข่โถ" (สนธยา ชิตมณี) และ "มาลัย" (กานต์พิสชา เกตุมณี) 2 พี่น้องครอบครัวชาวประมงที่ทำงานในสโมสรงาช้างของ "หลวงโอฬาร" (ภคชนก์ โวอ่อนศรี) ข้าราชการใหญ่ผู้ทรงอำนาจและอิทธิพลจนทุกคนต้องเคารพและยำเกรง ซึ่งทำให้ต้องเผชิญกับ "เสือสัง" (เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง) และ "บุหงา" (กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร) 2 มือสังหารข้างกายของมหาโจรที่ว่ากันว่าคือนักฆ่าเลือดเย็นและไร้ความปรานีอย่างที่สุด พร้อมด้วยเหล่าทัพเสือโจรร้ายนับไม่ถ้วน
          ณ ดินแดนแห่งนี้นี่เองที่ทำให้ขุนพันธ์ได้รู้ความจริงว่า เมืองทั้งเมืองคือชุมโจรขนาดใหญ่ ชาวบ้านตกเป็นเครื่องมือโดยมีนักการเมือง ข้าราชการท้องถิ่นรู้เห็นกับมหาโจร คอยชักโยงและอยู่เบื้องหลังเพื่อกอบโกยผลประโยชน์โกงกินและขายชาติ กระทั่งความจริงปรากฎ พวกโจรรู้ว่าขุนพันธ์แฝงตัวเข้ามา การไล่ล่าและเผชิญหน้าระหว่างสุดยอดมือปราบและมหาโจรฆ่าไม่ตายจึงอุบัติขึ้นท่ามกลางห่ากระสุน คาวเลือด และการต่อสู้ อาคมต่ออาคม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ขุนพันธ์ต้องเลือกระหว่างหนีเพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด หรือกลับไปช่วยเหลือและเปลี่ยนหัวใจชาวบ้านให้ลุกขึ้นมาสู้กับโจร.... สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับเมืองนี้... และเพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าแรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธา
          14 กรกฎาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

          บทบาทและคาแรคเตอร์ตัวละครใน "ขุนพันธ์"
          ขุนพันธ์ รับบทโดย อนันดา เอเวอริงแฮม
          ร้อยตำรวจหนุ่มอายุ 30 ปี เป็นคนมุ่งมั่น กล้าหาญ จริงจังและเปี่ยมด้วยคุณธรรม ยึดมั่นในความดี ศรัทธาในความถูกต้อง ผู้พร้อมจะล้างกฏหมู่ด้วยกฏหมายขุนพันธ์เป็นทั้งนักสู้ นักวางแผน และนักต่อรอง ผู้มีวิชาอาคมแกร่งกล้า คงกระพัน ถนัดในการใช้ปืนและมีดเป็นอาวุธ ปราบเสือมาแล้วมากมาย จนกระทั่งได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกันที่สุด คู่ต่อสู้ที่จับเป็นยังไม่ได้ จับตายแทบไม่มีทาง เขาคือมหาโจร "อัลฮาวียะลู"
          อัลฮาวียะลู รับบทโดย กฤษดา สุโกศล แคลปป์
          มหาโจรผู้มีวิถีความเชื่อตามอุดมการณ์ที่ยึดถือ ผู้ยึดครองดูแลทุกอณูพื้นที่แห่งเทือกเขาบูโด โหด สุขุม เลือดเย็น ฉลาด มีไหวพริบ มีอุดมการณ์ พร้อมจะเชือดทุกคนที่ขวางทางได้อย่างไร้ซึ่งความปรานี มีกริชเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสักและร่องรอยการต่อสู้ทั่วร่าง มหาโจรอย่างอัลฮาวียะลูเป็นคนมีของและอาคมชั้นสูง คงกระพัน เป็นคู่ต่อกรของขุนพันธ์ที่กินกันไม่ลง ทุกครั้งที่ได้เจอกันจะมีการปะทะเชือดเฉือนกันอย่างดุเดือด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน อาคมต่ออาคม
          เสือสัง รับบทโดย เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง
          โจรอำมหิต นิ่ง เลือดเย็น ลูกน้องคนสนิทของอัลฮาวียะลูที่ฆ่าคนได้โดยไม่ลังเล บ้าคลั่งในการต่อสู้ สักยันต์ทั้งตัว ตั้งแต่หน้า คอ แขน หลัง อาวุธหลักของเสือสังคือคารัมบิต ทุกงานที่อัลฮาวียะลูไม่ได้ลงมือจะมีเสือสังเป็นคนจัดการและสำเร็จทุกครั้งไป จนกระทั่งเจอขุนพันธ์ที่มาขวางทางปืน เมื่อถูกสั่งให้ล่าตำรวจหนังเหนียวคนนี้ เสือสังจะไม่ยอมหยุดล่าจนกว่าจะตายกันไปข้างนึง
          บุหงา รับบทโดย กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร
          หนึ่งในนักฆ่าที่อยู่ใต้อำนาจของอัลฮาวียะลู สวย เท่ห์ โหด พูดน้อย ทำได้ทุกอย่างที่ไม่ต่างกับที่ผู้ชายอย่างเสือสัง เธอซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ใต้แว่นดำ ชุดทะมัดทะแมงคล้ายบุรุษมีมีดสั้นเป็นอาวุธและเก่งการสู้ประชิดตัว และเมื่อเขาพบขุนพันธ์ บุหงาก็รู้เลยว่าคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ธรรมดา
          หลวงโอฬาร รับบทโดย แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี
          ข้าราชการขี้ฉ้อ เลวในกมลสันดาน เจ้าเล่ห์ ช่างประจบสอพลอ ซ่อนความเลวใต้รอยยิ้ม ขายชาติเพื่อความสุขของตัวเองโดยใช้อารยะ ความเจริญ และการเมืองไต่เต้าสู่ความสำเร็จ เก่งเรื่องการวางหมากชั่วช้า เป็นคนบงการเรื่องเลวๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองนี้โดยไม่สนเรื่องความถูกต้อง ร่วมมือกับอัลฮาวียะลูทำเรื่องผิดกฏหมาย และพร้อมจะจัดการทุกคน จนมาเจอก้างชิ้นใหญ่อย่างขุนพันธ์ เขาจึงต้องการกำจัดนายตำรวจคนนี้ออกไปให้เร็วที่สุด
          มาลัย รับบทโดย กานต์พิสชา เกตุมณี
          สาวชาวบ้านที่อ่อนหวาน บริสุทธิ์ ที่เก็บความรู้สึกแสนเศร้าไว้ข้างใน ด้านหนึ่งเธอคือน้องสาวที่อ่อนโยนสดใสของ ไข่โถ พี่ชายคนเดียวที่เธอมีอยู่ ส่วนอีกด้านเธอคือนักร้องเสียงดีประจำสโมสรงาช้างของหลวงโอฬาร ชีวิตเธอวนเวียนอยู่ซ้ำๆ จนกระทั่งขุนพันธ์ก้าวเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้
          ไข่โถ รับบทโดย สนธยา ชิตมณี
          พี่ชายของมาลัย ชาวเลจิตใจดี ผู้สืบสานวิถีอันดีของชาวใต้ อีกทั้งยังเป็นหลักที่พึ่งพิงทางจิตใจของหมู่บ้านชาวประมง ถูกอำนาจและอิทธิพลครอบงำมาช้านาน จนกระทั่งถึงเวลาที่เขาต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องผืนน้ำ และแผ่นดินเกิดของตน
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 18, 2016, 09:26:22 PM
อนันดา-กฤษดา ยกทีม 7 นักแสดง ทุ่มสุดตัว ชวนนับถอยหลัง 30วัน เตรียมดู “ขุนพันธ์” สุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปี









          เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ "ขุนพันธ์" สุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่นเหนือจินตนาการฟอร์มยักษ์ที่ทุกคนรอคอย โดย บ.สหมงคฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมี คุณอวิกา เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด และคุณจาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายสื่อสารการตลาด พร้อมโปรดิวเซอร์ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ และเหล่าซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าของเมืองไทยอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม, กฤษดา สุโกศล แคลปป์, แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี, สนธยา ชิตมณี, เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง, อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี และ กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร รวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่ในงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ณ สตูดิโอ G-Village Co-Creation Hub ลาดพร้าว18 ให้พี่น้องสื่อมวลชนได้ร่วมเก็บภาพบรรยากาศ และบอกเล่าเรื่องราวของตัวละครที่เรียกได้ว่ายากที่สุดและท้าทายที่สุด เป็นประสบการณ์การทำงานทางด้านภาพยนตร์ที่สร้างความภูมิใจ และมีค่าที่สุดในชีวิต

          เป็นงานแถลงข่าวที่ให้ความรู้สึก และบรรยากาศย้อนกลับไปถึงการทำงานที่สุดโหด เหนื่อยยาก ของแต่ละคน ตั้งแต่การที่ผู้กำกับก้องเกียรติ ต้องเปลี่ยนทั้ง 7 คาแรคเตอร์ให้เป็น วีรบุรุษมือปราบ, มหาโจรคงกระพัน, นักฆ่าผู้ไร้ความปราณี, นักการเมืองฉ้อฉล, มือสังหารสาว, หนุ่มชาวเลผู้สูญเสีย, หญิงสาวที่ยอมเสียสละทุกอย่างในชีวิต กลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีซ ถึงแม้บางฉากต้องพึ่งออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจในการถ่ายทำ การพลิกบทบาทในการรับบทตัวร้ายที่ถ่ายทอดออกมาในแบบที่หลายคนคาดไม่ถึง การเป็นสุดยอดนักแสดงแอ็คชั่นในทุกรูปแบบ และเพิ่มดีกรีความยากกับการต่อสู้ในทุกสถานการณ์ตั้งแต่ภาคพื้นดิน, บนหลังม้า, บนหลังคารถไฟ นอกจากนี้ในบรรยากาศของงานแถลงข่าวได้มีการแนะนำทีเซอร์เทรลเลอร์ พร้อมด้วยสกู๊ปพิเศษ "ทำไมต้องเป็นขุนพันธ์" พร้อมกับภาพโปรโมทหลักของภาพยนตร์ และภาพของทั้ง 7 คาแรคเตอร์ของภาพยนตร์อยู่ทั่วบริเวณงาน เรียกได้ว่า จัดหนักจัดเต็มให้สมกับความยิ่งใหญ่ที่สุดของภาพยนตร์ไทยประจำปีนี้ ก่อนที่ช่วงท้ายเหล่านักแสดงทั้ง 7 และผู้กำกับพร้อมด้วย โปรดิวเซอร์จากภาพยนตร์ และ ผู้บริหารจากสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนลจะร่วมถ่ายรูปพร้อมกัน

          เตรียมนับถอยหลังเพื่อสัมผัสกับ "ขุนพันธ์" สุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่นเหนือจินตนาการที่ทุกคนรอคอยพร้อมกัน 14กรกฎาคมนี้ ร่วมพิสูจน์กันว่า "พลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่" ของ ยอดตำรวจวีรบุรุษหนังเหนียว ที่สร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ และเป็นต้นแบบคำว่า "ตำรวจดี" ยังคงมีอยู่บนผืนดินนี้ร่วมกัน ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 24, 2016, 08:30:41 AM
บทสัมภาษณ์ “อนันดา เอเวอริงแฮม จากภ.ขุนพันธ์









          เป็นมากกว่า การแสดง
          เป็นมากกว่า แอ็คชั่น
          เป็นมากกว่า ตัวละคร
          ทุ่มชีวิตและจิตวิญญาณสู่ศรัทธาอันมุ่งมั่น
          เมื่อ "อนันดา เอเวอริงแฮม" เป็น "ขุนพันธ์"
          " คือ4นาทีที่ต้องจำคิวเป๊ะๆ เป็นลองเทคแบบที่ไม่มีคัท โชว์แอ็คชั่นรวดเดียวเลย เป็นฉากยากมากแล้วก็ถอยไม่ได้ เพราะว่าเราสัญญากับพี่โขมไว้แล้ว เฮ้ย มาซะขนาดนี้แล้ว ต้องแมนต้องทำให้ได้ กี่เทคเราก็ต้องทำให้ได้ ในฉากนั้นต้องสู้กับสตั้นท์อยู่ 20 กว่าคนพอเราใช้พลังเต็มที่ มาถึงศัตรู2-3 คนสุดท้ายนี่คือหมดแม็กจริงๆ มันคือเฮือกสุดท้าย อีกนิดเดียวจะเป็นลมอยู่แล้ว รู้สึกว่าถ่ายไป 9 เทค พอเล่นเสร็จก็จะมีทีมเข้ามาพร้อมกับถังออกซิเจน ถ้าให้พูดถึงก็น่าจะเป็นวันที่เหนื่อยที่สุดในเรื่องนี้"

          Q. ความรู้สึกครั้งแรก หลังจากที่ถูกทาบทามให้เข้ามามีส่วนร่วมสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์"
          A. สวัสดีครับ ผมอนันดา เอเวอริงแฮม สำหรับเรื่องนี้ผมเล่นเป็นขุนพันธรักษ์ราชเดชครับ คือจริงๆแล้ว สำหรับผมครั้งแรกที่ผมได้ยินหรือการเอ่ยชื่อถึงท่านขุนพันธ์ ก็คือจะเป็นเรื่องของจตุคามใช่เปล่า ซึ่งตัวผมเองก็อาจจะไม่ใช่คนที่ได้รู้จักอะไรเกี่ยวกับตัวท่านมากไปกว่านั้น เคยได้ยินถึงขุนพันธ์ วันหนึ่งพี่โขม(ก้องเกียรติ โขมศิริ)เขาเอาบทมาให้เขาก็เล่าให้ฟังว่าก็คือคนนั้นแหละ ซึ่งสำหรับตัวผมเองโดยส่วนตัวอยากทำงานกับพี่โขมอยู่แล้ว ลึกๆถึงแม้ผมอาจจะไม่ได้บอกพี่โขม เหมือนในใจก็ได้รับไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นเราก็อาจยังไม่รู้ว่าหนังเกี่ยวข้องกับ ได้รู้จักพี่โขมมานาน ยิ่งคราวนี้ได้รู้ว่ามีพี่น้อยเล่นอีกคนหนึ่งก็ยิ่งอยากเล่นเข้าไปใหญ่ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นนักแสดงที่ผมชื่นชอบ นับถือมาตั้งนานก็เลยอยากจะเล่นคู่กับเขา พอกลับไปอ่านบท ก็รู้สึกเลยว่าเป็นบทที่พี่โขมเขาทุ่มเทมาก เขาปล่อยหมดแม็กจริงๆนะครับ ครั้งแรกที่อ่านก็แบบตายแล้ว นี่มันหนังแบบ Pirate of the Caribbean ก็เลยต้องมานั่งคุยกับพี่เขาอีกทีหนึ่งว่า โห พี่จะเอาขนาดนี้เลยเหรอ เขาก็จ่อย พี่ขอสักครั้งหนึ่งในชีวิตพี่ที่จะปล่อยของจริงๆอะไรอย่างนี้ ก็เลยพอได้ยินจากพี่โขมว่าเขาเอาสุดเอาเต็มที่สำหรับเรื่องนี้ก็ตื่นเต้น แรกๆก็อาจจะมีตกใจนิดหน่อย กลายเป็นสนุก เพราะว่าเราได้ไปเริ่มเข้าบทบาท ได้เริ่มซ้อมคิวแอคชั่น พอได้เริ่มฟิตติ้ง เริ่มติดหนวด ทุกอย่างมันก็เริ่มจริงขึ้นก็กลายเป็นความอินครับ
          Q. ความรู้สึกของนักแสดงอย่างอนันดา ที่มีต่อท่านขุนพันธ์...
          A. คือทุกครั้งที่เราต้องเล่นเป็นคนที่มีจริงในประวัติศาสตร์ มันก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนพอสมควร ผมรู้ว่าการที่ผมเป็นนักแสดงคนหนึ่งมีหน้าที่เป็นนักแสดง คือเราก็ต้องเคารพต่อประวัติศาสตร์ของท่านเองด้วย ก็เลยได้ไปศึกษา ผมเองก็ไม่ได้รู้ลึกถึงเรื่องพวกอาคม ก็จะคุยกับพี่โขมตลอดว่าท่านเป็นคนสำคัญต่อประวัติศาสตร์มาก ผมก็รู้สึกว่าเราควรจะต้องเข้าใจประวัติของท่าน ก็พอไปลงลึกก็เห็น หูย ท่านไม่ใช่คนธรรมดาจำนวนของโจรที่ท่านปราบนี่คือแบบเป็นหลักร้อยหรือเปล่า คือมันเป็นประวัติศาสตร์ของนายตำรวจที่อาจจะนับว่าสุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็ว่าได้
          Q.ความประทับใจพิเศษที่เกิดขึ้นต่อภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์"
          A. ครับ ก็จากที่ผมเข้าใจก็คือ สหมงคลฟิล์มเองก็อยากจะมีตัวละครที่เป็นสไตล์เจมส์ บอนด์ ซึ่งก็นี่ละครับขุนพันธ์ ก็เป็นเหมือนเจมส์ บอนด์ของจริง อาจจะเรียกว่ายิ่งกว่าเจมส์ บอนด์ ที่แน่นอนก็คือโหดกว่าเจมส์ บอนด์ครับ ความประทับใจที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้มีเยอะมาก เพราะนับได้ว่าเป็นหนังสุดเกือบทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นฉาก เป็นแอคชั่น ตัวละคร มันครบถ้วนจริงๆ พอได้รับบทบาทอย่างนี้เหมือนได้กลับไปเล่นเกมตอนเด็กๆ ไล่จับโจร ทุกครั้งที่ใส่หนวดมันจะมีแบบความรู้สึกที่ค่อนข้างพิเศษหน่อย เหมือนเราได้แปลงร่างครับ ได้มาติดหนวดเขี้ยว จะรู้สึกว่า..เราได้ทำในสิ่งที่ค่อนข้างพิเศษมาก
          Q. คำนิยามเมื่อเอ่ยชื่อท่านขุนพันธ์
          A. ตัวขุนพันธ์เองท่านเป็นคนที่แลกทุกอย่างด้วยความดีครับ ถ้าให้คำจำกัดความ ท่านขุนพันธ์คือนักสู้ นักล่า นักต่อรอง อาวุธหลักที่ท่านใช้ก็เป็นดาบกับปืน แต่นอกเหนือจากนั้นท่านก็จะมีวิชาอาคม
          Q. อนันดามีการกำหนดบทบาท ตีความ และให้ความสำคัญกับ คาแรคเตอร์ตัวละคร ขุนพันธ์ อย่างไร
          A. คาแรคเตอร์ของขุนพันธ์ก็จะเป็นนักสู้ นักล่า แล้วก็นักต่อรองครับ อาวุธหลักของท่านก็จะมีปืนแล้วก็ดาบ ตัวท่านขุนพันธ์เองจะมีประโยคเด็ดของท่านเป็นประโยคที่ผมชอบมากครับ ก็คือ ถ้าพวกมึงสัญญาเลิกเป็นโจรแล้วไปบวชซะ กูสัญญาว่าจะจับเป็นพวกมึง เป็นประโยคที่เท่มากของขุนพันธ์ครับ คือก็ได้เห็นว่า ขุนพันธ์เอง ท่านก็เป็นคนที่เหี้ยม แต่ว่าก็แฟร์ ซึ่งอันนี้ก็มาจากประวัติศาสตร์จริงด้วย นอกจากนั้นท่านขุนพันธ์ก็จะมีความพิเศษอยู่ตรงที่ว่าท่านเป็นคนที่มีวิชาอาคม ยึดมั่นในความดีและนับถือความถูกต้อง แล้วก็อยู่ได้ด้วยความศรัทธา สำหรับในภาพยนตร์จริงๆแล้ว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับขุนพันธ์ก็คือมาจากพี่โขม แต่สำหรับขุนพันธ์เวอร์ชั่นนี้คือเราจะตีความให้มันเป็นแฟนตาซีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เพราะถ้าจะให้ตรงกับตัวจริงของท่าน คือท่านโด่งดังเรื่องการที่ท่านเป็นคนที่ตัวเล็ก พี่โขมก็รู้สึกว่าอยากให้ขุนพันธ์เวอร์ชั่นเราเป็นคล้ายๆกับขุนพันธ์ในเวอร์ชั่นที่คนเขาร่ำลือกัน ใหญ่กว่าชีวิตจริงหน่อย ซึ่งพอเราได้ศึกษาบท ประวัติของท่าน ซึ่งตัวขุนพันธ์เองในหนังเรื่องนี้ก็จะมีหลายเวอร์ชั่น ก็จะเริ่มตั้งแต่เป็นนายตำรวจอ่อนหัด แล้วก็ค่อยมีการเติบโตของตัวละคร คือในหนังเราไม่ได้ตีความว่าเปิดมาแล้วท่านได้เป็นขุนพันธ์ที่เราร่ำลือกันลย ผมก็เลยพยายามมองคาแรคเตอร์ที่ตีความไว้ คือพยายามคิดให้เป็นมนุษย์ให้มากที่สุด เราก็ต้องไปหาเหตุผลว่าทำไม เกิดเหตุอะไรที่ทำให้ท่านต้องกลายเป็นขุนพันธ์
          สำหรับในการถ่ายทอดคาแรคเตอร์ขุนพันธ์ ที่พยายามทำการบ้านและตีความออกมานี่ คือสิ่งที่ผมเองอยากจะเล่า อยากจะเล่นออกมาให้คนเห็นว่าท่านเอง หรือตัวละครที่เราต้องการสื่อออกมามีการเติบโตเหมือนกัน คือไม่ได้แบบอยู่ดีๆก็มีอาคม อยู่ดีๆก็เป็นคนที่โหดเหี้ยม มันมาจากการที่เขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมรอบตัวเขา ชาวบ้านที่ได้ถูกฆ่าและรังแกหรือทารุณ ไอ้ตรงนั้นมันจุดประกายที่เขารู้สึกว่านี่คือการสู้ไฟด้วยไฟ คือเขารู้สึกว่ามันเป็นทางออกเดียว ณ ตรงนั้น เหมือนผมพยายามจะเพิ่มความแค้นของตัวละครเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เข้าเซ็ตกับพี่น้อย ผมก็จะพยายามดึงของเขามาใช้ เพียงแต่ว่าด้วยกฎของขุนพันธ์นี่คือกฎกติกาของกฎหมาย มันจะมีเส้นบางๆที่มันสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างขุนพันธ์ กับตัวอัลฮาวียะลูที่พี่น้อยเขาเล่น ศัตรูของขุนพันธ์ คือผมรู้สึกมันร้อนเท่ากัน เดือดเท่ากัน เพียงแต่ว่าของขุนพันธ์ต้องมีต้องคุมมันได้ อาศัยกฎหมายที่เป็นหลักการของเขา ผมไม่ได้ตีความว่าขุนพันธ์เป็นพระเอก หรือเป็นคนดีหรือไม่ดี ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นคือเขาเป็นคนที่เดือดพอสมควร เพียงแต่ว่าเขามีกฎหมายที่เป็นหลักการของชีวิต ความถูกต้องของเขา
          Q. เราจะได้เห็นการทำงานในพาร์ทแอ็คชั่นดีไซน์เดือด ชนิดทุ่มเกินร้อยของอนันดาในบทขุนพันธ์ที่ทุกคนคาดไม่ถึง
          A. ด้วยความเป็นหนังแอคชั่นเต็มรูปแบบทำให้ในภาพยนตร์จะมีฉากแอคชั่นที่สำคัญๆ และน่าสนใจเยอะมากอย่าง ฉากที่ขุนพันธ์ต้องสู้กับ เสือสัง(เดี่ยว ชูพงษ์) มาจากการหลวงโอฬาร(แฟรงค์ ภคชนก์) ได้ให้ อัลฮาวียะลู(น้อย กฤษดา) มาจัดการกับขุนพันธ์แต่จัดการไม่ได้ ก็เลยไปเอาเสือสังมาจัดการกับขุนพันธ์อีกที เมื่อเกิดอันตรายในหมู่บ้านขึ้นมา ขุนพันธ์ก็พยายามจะเอาชาวบ้านหนีขึ้นรถไฟ เกิดการต่อสู้บนโบกี้รถไฟกับเสือสังระหว่างที่ขุนพันธ์พยายามจะเอาชาวบ้านหนี ถือเป็นฉากแอคชั่นใหญ่โตมโหฬารในการไล่ล่า เป็นฉากสู้กับพี่เดี่ยวที่เดือดฮะ ร้อนมาก เกือบตายครับ ผมก็ไม่เข้าใจนะ หนังพวกนี้ทำไมไม่ไปถ่ายในเขาเย็นๆกันบ้าง ต้องไปอยู่ในทุ่งร้อนๆคลุกกับดินคลุกทราย ในพาร์ทที่ต้องต่อสู้กับพี่เดี่ยวมันจะผ่านการต่อสู้กันหลายที่ สู้กันทั้งในโบกี้รถไฟ บนหลังคารถไฟ แล้วก็มีช่วงที่ตกจากรถไฟ กระโดดขึ้นรถไฟอีกรอบ ขี่ม้าตามรถไฟ โอ้โฮ มันเป็นซีเควนซ์ที่ค่อนข้างยาวพอสมควร คือมันอาศัยความถึกนะ ผมว่าผมก็เล่นหนังแอคชั่นมาเยอะพอสมควร ก็อาจจะไม่เคยเจออะไรที่มันเหนื่อยขนาดนี้ ก็พอเล่นเสร็จก็สลบ แบบไม่พูดอะไรกันนะ ไม่มี เฮ้ย ดีนะนาย คือเล่นเสร็จ คัท บางคิวนี่ถึงกับมีออกซิเจนมาด้วย มาสแตนบายเผื่อ เพราะมันจะมีคิวที่ผมต้องเล่นแบบone long takeสู้กับโจร 20-25 คน ทีมงานมีการเตรียมถังออกซิเจนมาเลย พอคัทเสร็จคือหน้ากากหายใจออกซิเจนมา มันโหดร้ายมาก โลเคชั่นที่เขาเลือกกันน่ะ คือมันร้อนจริงๆ ก็ทุกวันอาจจะเสียน้ำไปเป็นแบบสิบๆลิตร พอเหงื่อมันออกพวกเมคอัพพวกหนวด มันก็จะเริ่มหลุดไปทีละอย่างๆ บางทีก็จะอึดอัด เพราะว่าพอเขาคัททุกคนก็จะรุม บางทีเราก็บอกว่า ขอแป๊บนึง ขอหายใจสักสิบวิ แล้วค่อยมารุมต่อ นับว่าเป็นหนังที่ใช้พลังงานสูงมาก ด้วยทักษะการสู้คือจริงๆตัวละครเราจะไม่เท่ากับตัวละครของพี่เดี่ยวเขา ของพี่เดี่ยวเขาก็จะเน้นเร็วและลีลา ของผมก็จะหนักหน่วงแล้วก็จะโดนเขาเยอะฮะ ของเราก็จะเน้นเป็นแบบทีเดียวตายเลย ขอโดนทีเดียวตายแน่นอน แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นก็คือโดนเยอะมากเลย พี่เดี่ยวเขาก็จะมีอาวุธเป็นคารัมบิต คือเขาเน้นใช้ความเร็ว ก็จะมีพลาดกันบ่อย คือนิ้วแหกนิ้วบวมก็ได้เสียเลือดกันบ่อยเหมือนกันกับพี่เดี่ยว แต่ก็เป็นฉากที่น่าสนใจมากเพราะว่ามันได้โชว์หลายอย่างจริงๆ ได้โชว์แอคชั่นแบบที่ใช้อาวุธ ใช้พรอพ ได้โชว์แอคชั่นแบบที่เน้นลีลา ได้โชว์แอคชั่นแบบที่ใช้สลิง มันครบเลย คิวแอคชั่นที่องค์ประกอบมันเยอะ ส่วนมากเราต้องต่อสู้นอกจากตัวละครจะเยอะ เราต้องสู้กับคิวที่จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ค่อนข้างซับซ้อน เพราะบางทีเราต้องสู้ทีแบบ 3-4 คนพร้อมกัน แล้วก็พื้นที่อาจจะจำกัดอย่างเช่นอยู่ในโบกี้รถไฟ พื้นที่มันก็มีอยู่แค่นั้น หลายๆครั้งก็ ถ้าดูในหนังมันก็เป็นคิวที่มันคิดสดเหมือนกัน บางทีเราก็แบบ เฮ้ยมันมีของตรงนี้ เราหยิบไอ้นี่มาทุ่มไหม หรือแบบเรากระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้ตัวนี้ แล้วก็ค่อยกระโดดลงมาฟันหรือเปล่า บางทีดีไซน์สดเลย เดี๋ยวโดดออกหน้าต่าง ขึ้นหลังคาโบกี้แล้วค่อยกลับลงมาอีกฝั่ง แต่ที่เจอกับพี่เดี่ยวจะเป็นฉากบู๊ที่ค่อนข้างยาวมาก
          Q. เมื่ออนันดาพูดถึง น้อย กฤษดา ความลงตัวของเคมีทางด้านการแสดงระหว่าง2นักแสดงพลังล้นเหลือคือ
          A. ส่วนหนึ่งที่รับเรื่องนี้ก็เพราะมีพี่น้อยเล่นอยู่ ได้ยินมาเยอะแล้วไงว่าเขาไม่ธรรมดาซึ่งก็ได้เห็น ผมว่าผมไม่เคยเจอนักแสดงคนไหนที่จะสวมบทบาทได้ลึกขนาดที่แกทำ บางทีมันถึงขั้นน่ากลัวด้วยซ้ำไป บางที่ผมไม่รู้ว่า..เรียกว่าควบคุมตัวเองไม่อยู่รึเปล่า บางคิวที่แบบทุกคนเป็นห่วงว่า เฮ้ย ตอนคิวสู้กันจะรอดไหม เพราะว่าพี่น้อยเขาจะเล่นแบบสุดตัวจริงๆ เขาก็ห่วงเดี๋ยวจะโดนกันจริง มันก็มีโดนกันจริงหลายรอบ ก็ขอโทษกันไป แต่ว่าสิ่งที่ผมว่ามันน่าสนใจในอัลฮาวียะลู นั้นคือไอ้ความเดือดนั้นมันจะออกมาได้อย่างไร ซึ่งผมว่าพี่น้อยเขาทำได้ดีมาก ทุกวันที่เข้าฉากกับพี่น้อยก็คือผมไม่เตรียมอะไรเลย ตัวละครของผม ผมมีกฎกติกาของผมอย่างนี้ นี่คือสิ่งที่ตัวละครขุนพันธ์ทำได้ แล้วเราก็จะมาดูว่าพี่น้อยจะมาด้วยอะไร แล้วค่อยรีแอ็คตามเขา เพราะไม่มีทางที่เราจะรู้ว่าแกจะเล่นแบบไหน บางทีแกเปลี่ยนเทคต่อเทคเลยอะไรอย่างนี้ ซึ่งผมว่ามันทำให้ตัวละครเขาน่าสนใจ เดี๋ยวเงียบเดี๋ยวดูสุขุม เดี๋ยวโหวกเหวกโวยวายขึ้นมา คือเราก็ต้องเตรียมพร้อมด้วย เพราะขุนพันธ์เองก็ต้องค่อนข้างแกร่ง จิตต้องแกร่งเหมือนกัน แล้ว2ตัวละครนี้ก็ต้องมาสู้กันด้วยจิตด้วย ซึ่งตอนผมเล่นก็ต้องอย่าไปคล้อยตามแกมากเกินไป คือถึงแม้ว่าเขาเป็นคู่ปรับของเรา แล้วเราแพ้ทางเขาในบางส่วน มันก็ต้องมีบางจุดที่ต้องคอยเตือนตัวเองว่า เฮ้ย อันนี้เราต้องหยุดต้องนิ่งกว่านี้ ไม่ใช่เขาเล่นมาแรงแล้วเราก็พยายามจะปะทะเขาอย่างเดียว เราก็ต้องหาจุดที่มันพอดี ระหว่างเล่นมันต้องมีสมาธิตลอด
          Q. การทำงานร่วมกันกับผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ
          A. เรารู้จักกันมานานแล้ว ก่อนรู้ว่าจะได้ทำโปรเจกต์นี้ ไม่ต้องมาปรับตัว หรือต้องมาเข้าใจกันอะไรมากมาย เราก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนยังไง เขาจริงจังแค่ไหนกับงานของเขา แล้วเขาเป็นคนที่ค่อนข้างอินกับบท และตัวละคร เขาชอบตีความด้านลึกของตัวละคร คือเขาพยายามจะขุดขึ้นมาให้ได้ว่าตัวละครคือใคร ปมคืออะไร ซึ่งผมก็ชอบมาก ก็สนุก เราก็จะมีช่วงเวลาหลายเดือนก่อนถ่าย เขาจะไปดูโลเคชั่นเลยปราณบุรีลงไป กุยบุรีแถวนั้นนะครับ ก็จะมีบ้านของพี่โปรดิวเซอร์คนหนึ่งที่เป็นจุดที่ทีมเขาจะไปประชุมกันคุยกันเรื่องของตัวละคร โลเคชั่น การเตรียมงาน ผมจะชอบไป ก็เป็นช่วงเวลาที่ตัวละครของขุนพันธ์มันเริ่มกลมขึ้น เริ่มกลายเป็นคนขึ้นมากเรื่อยๆ ซึ่งทำงานมันจะสนุก มันคือการแชร์กันแล้วก็หาทางออกที่ดีที่สุด ครั้งแรกที่เราอ่านเราว่าเรื่องมันสนุก แต่ว่าตัวละครหลายตัวนี่มันอาจจะยัง เหมือนเราแค่ได้อยู่ผิวเผิน แต่พอในช่วงเวลาที่เราได้ไปคุยกันเยอะๆนั่นก็คือช่วงที่ตัวละครตัวนี้มันจะมีชีวิตขึ้นมา
          Q. เล่าถึงฉากแอ็คชั่นสำคัญที่ทั้งท้าทาย และเปรียบดั่งสัญญาลูกผู้ชายของ ก้องเกียรติ โขมศิริ และอนันดา เอเวอริงแฮม
          A. มันจะมีฉากแอคชั่นอยู่ฉากหนึ่งที่ผมกับพี่โขมเคยคุยกันไว้ มันเกิดมาจากการที่เราถกกัน เราต้องมีสักฉากหนึ่งไหมที่เป็นฉากจำ หรืออย่างน้อยเป็นฉากที่แตกต่างไปจากหนังแอคชั่นทั่วไป ถ้าจะให้ล้ำจริงต้องเป็นเทคเดียวอยู่ แบบที่ไม่มีคัท คือรวดเดียวโชว์แอคชั่นแบบล้วนๆเลย เราก็เลยนึกถึงหนังเรื่องOld Boy ที่มันจะเป็นการแทรคตัวละครเคลื่อนไปด้านข้างของเฟรมกล้อง แล้วก็สู้กับศัตรูเป็นสิบๆ ก็เลยเกิดการดีไซน์ฉากนี้ขึ้นมาก็ได้ซ้อมกับทีมสตั้นท์ แต่บางทีในห้องซ้อมกับหน้าเซตมันจะต่างกัน พอถึงหน้าเซตนี่แทบจะต้องเริ่มต้นใหม่ ฉากที่อยู่ในโบกี้รถไฟที่เขาผ่าโบกี้รถไฟเป็นครึ่งเพื่อที่เราจะได้เห็นด้านใน แล้วก็เป็นตัวละครสู้จากท้ายโบกี้มาหัวโบกี้ โดยที่ระหว่างนั้นก็จะมีทีมสตั้นท์คอยเข้ามาทีมละ 3-4 คน ทั้งหมดซีนนั้นใช้เวลาประมาณ 4 นาที โดยที่เป็น 4 นาทีที่ต้องจำคิวเป๊ะๆ เราก็ต้องปรับตัวเข้าฉากใช่ไหม หลายอย่างที่เราซ้อมไว้ก็ต้องแก้ไข ปรับ แล้วก็คิดใหม่ ก็เป็นฉากที่นับว่ามันยากมากแล้วมันก็ถอยไม่ได้ เพราะว่าเราก็สัญญากับพี่โขมไว้แล้วว่า เฮ้ย มาซะขนาดนี้แล้ว ต้องแมนต้องทำให้ได้ กี่เทคเราก็ต้องทำให้ได้ แต่บางทีเราลืมไปว่า 4 นาทีนั้นพอเราใช้พลังเต็มที่ พอมาถึงศัตรูแบบ 2-3 คนสุดท้ายนี่คือหมดแม็กจริงๆ ถ้าดูในหนัง ผมว่ามันจะเห็นว่าพอมาถึง 3-4 คนสุดท้าย มันคือแบบเฮือกสุดท้ายจริงๆ อีกนิดเดียวจะเป็นลมอยู่แล้ว พอเล่นเสร็จก็จะมีทีมเข้ามาพร้อมกับออกซิเจน รู้สึกว่าถ่ายไป 9 เทคนะถ้าจำไม่ผิด ถ้าให้พูดถึงก็น่าจะเป็นวันที่เหนื่อยที่สุดในเรื่องนี้ก็หวังว่าพี่โขมไม่ใช้เทคแรกนะ ใช้เทคแรกผมฉุนเลยนะ แต่ก็ยากมากฮะ เพราะว่าผิดพลาดทีก็ต้องเริ่มต้นใหม่แต่พอทำได้ก็เป็นฉากจำสำหรับผม เป็นฉากที่ภาคภูมิใจมาก ในฉากนั้นน่าจะมีสตั้นท์อยู่ 20 กว่าคนนะ ก็คือสตั้นท์ทั้งหมดทีมสตั้นท์น่ะ(ขำ)
          Q. ความน่าตื่นตาตื่นใจที่คนดูจะได้สัมผัสในความเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเหนือจินตนาการซึ่งแตกต่างจากภาพยนตร์แอ็คชั่นทั่วไปที่เราได้ดูกัน
          A. นอกจากแอคชั่นที่ดุเดือด จะมีแอคชั่นที่สู้กันด้วยคาถาอาคม ซึ่งมันก็ให้อีกมิติหนึ่งในเรื่องนี้ ซึ่งผมว่ามันไม่ค่อยได้เห็น ผมว่าสำหรับคนไทยมันจะเป็นฉากที่พิเศษมาก เรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องของการไล่ล่าระหว่าง 2 ตัวละครที่จะมีวิชาอาคมมีความสามารถพอๆกันเลย ฆ่าไม่ตายทั้งคู่ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือต่างคนก็ทำด้วยเหตุผลที่ตนเองรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าในโลกของ 2 คนมันอยู่ทั้งคู่ไม่ได้ สุดท้ายมันก็ต้องตายสักคนหนึ่ง มันต้องมีผู้แพ้ ซึ่งจุดนี้น่าสนใจมาก
          Q.เรื่องราวของขุนพันธ์
          A. เรื่องของขุนพันธ์จะเกี่ยวข้องกับนายตำรวจคนหนึ่งที่ตัวเขาเอง ได้ข่าวเรื่องของโจรที่โหดเหี้ยมในเมืองหนึ่ง ก็เลยเดินทางไปที่เมืองนั้น ผมว่ามันจะมี 2 มุมคือเขาจะมีมุมที่เขาอยากจะไปดึงความศรัทธานั้นกลับมาให้ได้ ศรัทธาในความถูกต้องในกฎหมาย แต่พอเขาเข้าไปที่เมืองนั้น ตอนนั้นตัวขุนพันธ์เองก็ยังไม่ได้เป็นขุนพันธ์หนวดเขี้ยวอย่างที่เห็นตอนนี้ เราก็จะเล่าเรื่องของนายตำรวจคนหนึ่งที่เขาไปแฝงตัวอยู่ในสังคมหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่ง เขาที่จะไปปราบโจรอัลฮาวียะลูนี่ละ เขาก็ไปปลอมตัวเป็นไอ้บุตร์ ในเรื่องนี้ผมจะมีหลายลุคมาก รู้สึกว่าจะมี 4-5 ลุคได้มั้ง จะมีนิกเนมสำหรับแต่ละลุค พอเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านเขาก็ได้เห็นว่าในหมู่บ้านนั้นก็ถูกกดขี่ด้วยคอรัปชั่น ด้วยโจร ด้วยตัวละครของอัลฮาวียะลู เขาได้เห็นว่าหมู่บ้านนั้นน่ะก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย ของนักการเมืองท้องถิ่นตรงนั้น ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้พบกับบุหงา(กบ พิมลรัตน์) คือตอนที่ยังเป็นบุตย์เขาก็ได้สนิทกับหลายคนในหมู่บ้าน รวมถึงมาลัย(อ้อม กานต์พิสชา) ซึ่งก็มีเกิดสปาร์ค วันหนึ่งพอเขามาเปิดตัวว่าจริงๆแล้วเขาคือตำรวจ มันก็เกิดเรื่องราวในหมู่บ้านนี้ ณ จุดนั้นคือเขายอมไม่ได้แล้ว เขารู้สึกว่าเขาต้องขึ้นมาเป็นกฎหมายของสังคมนี้ นั่นคือครั้งแรกที่เขาจะไว้หนวดเขี้ยวแล้วก็เป็นขุนพันธ์อย่างเต็มตัว ก็จะเข้าความเข้มข้นระหว่างขุนพันธ์กับอัลฮาวียะลูก็เป็นจากจุดนั้นเป็นต้นไป ก็คือเขาเป็นคู่ปรับกันเป็นเรื่องเป็นราว เขาก็จะสู้กันด้วยหลายวิธีจะมีทั้งดาบทั้งปืน ทั้งสู้กันด้วยจิต ด้วยอาคมอะไรอย่างนี้
          Q.ท้ายนี้ อนันดา อยากพูดอะไรถึงท่านขุนพันธ์
          A. ครับ ท่านก็เป็นคนที่ไม่ธรรมดานะ ก็อยู่มาได้ถึง 108 ปี เราขอสัก 70 เราก็แฮปปี้แล้ว แต่ที่สำคัญสุดก็คือต้องขอบคุณท่าน แล้วก็ขอบคุณทุกๆคนครอบครัวท่าน ทีมงานทุกคนที่ได้ให้โอกาสผมมาเล่นเป็นขุนพันธรักษ์ราชเดช เพราะว่า ก็นับว่าท่านเป็นคนสำคัญมากสำหรับประวัติศาสตร์ไทย ก็ขอบคุณครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 27, 2016, 03:39:42 PM
Movie Guide: กฤษดา สุโกศล แคลปป์ เป็น อัลฮาวียะลู คู่ปรับที่น่ากลัวที่สุดของขุนพันธ์









[ตัวอย่างเต็ม ขุนพันธ์ (Official Trailer)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=J3yjBYtFg68" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=J3yjBYtFg68</a>

          Q. เมื่อได้ยินชื่อโปรเจกต์ครั้งแรก และถูกทาบทามให้มาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์
          A. หลายคนทราบว่าผมก็เล่นอันธพาลกับโขมมาก่อน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมากสำหรับผม ตอนที่โขมโทรมาชวนรับทันทีเลยครับ พอได้คุยกันปั๊บ ก็ยิ่งอยากเล่น มันเป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้นะครับ ตอนแรกที่พอได้อ่านบทก็รู้สึกว่ามันท้าทายมากเลย จะทำได้เปล่า จะทำถึงเปล่า มันยากนะ จำได้ว่ามีซีนหนึ่ง ไม่ใช่ซีนแอคชั่น ส่วนมากน้อยจะเริ่มเครียด และเริ่มคิดว่าจะทำได้เปล่า เป็นซีนที่ต้องพูดเยอะมาก เป็นซีนที่น้อยเผชิญหน้ากับอนันดาครั้งที่ 2 ที่นั่งด้วยกัน ซึ่งเป็นซีนที่หลายคนได้เห็นในทีเซอร์ที่กินลูกกระสุน สิ่งที่ผมต้องพูดกับอนันดานี่เยอะมากเลย เกือบหน้าหนึ่งนะครับ ซึ่งคำที่ใช้ ศัพท์ที่ใช้ เป็นภาษาไทยสมัยก่อนด้วยผมก็เหนื่อย ผมก็ โอ้โห(หัวเราะ)
          Q. ทราบว่าขุนพันธ์เป็นภาพยนตร์แอคชั่นเต็มรูปแบบ ทั้งส่วนของเอฟเฟกต์ ระเบิดกระสุน ไปจนถึงการแสดงที่ต้องเชือดเฉือนกันแบบมันส์หยดเลยทีเดียว โดยเฉพาะน้อย-กฤษดา กับ อนันดา
          A. ใช่ครับอย่างตอนเราอ่านบท ซีนนี้แอคชั่นมันส์แน่เราอยากเล่น แต่นี่เป็นซีนที่เผชิญหน้ากันระหว่าง2ตัวละครสำคัญซึ่งเป็นคู่ปรับกัน แล้วคำที่เราพูดมันลึกเหลือเกิน คือว่าไดอะล็อคมันดีมาก โมโนล็อคมันดีมาก แล้วมันแรงเหลือเกิน มันขึ้นมาจากข้างใน แต่เรานิ่งนะครับ มันเหมือนเปรียบเป็นแอคชั่นในตัวของเรา เพียงแต่เวลาเราพูดจะนิ่งหน่อย สำหรับนักแสดงมันท้าทายมากนะ ทั้งน่ากลัวแล้วก็ทั้งมันส์ ก็เลยตื่นเต้นกับซีนนี้มากเป็นพิเศษเลยครับ
          Q. คาแรคเตอร์ "อัลฮาวียะลู" มหาโจรผู้เหี้ยมโหด ที่ถ่ายทอดการแสดงแบบเกินร้อยของน้อย กฤษดา เป็นอย่างไร
          A. อัลฮาวียะลู ก็คือคู่ปรับของขุนพันธ์ เป็นโจรทางภาคใต้ เขาจะปกครองดูแล และคุ้มครองผู้คนในเขตพื้นที่ของเขานะครับ ในอดีตที่ผ่านมาตัวเขาเอง ครอบครัวได้ผ่านเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ชีวิตเขาเองจะค่อนข้างโดดเดี่ยว หวาดระแวง ไม่ไว้วางใจใครสักเท่าไหร่ สำหรับเขาแล้วรู้เพียงอย่างเดียวว่านี่คือพื้นที่ของเขา คนพวกนี้เป็นชาวบ้านของเขา เป็นคนของเขา ที่เขาต้องคุ้มครอง และในพื้นที่ของเขาใครจะเข้ามาเขาไม่สน แต่เขาพร้อมจะลุกขึ้นปกป้อง และป้องกัน โดยจะทำทุกอย่างครับ เขาเป็นคนที่มองทุกอย่างเป็นแค่ขาว-ดำเท่านั้น เวลาผมอ่านบทก็จะรู้สึกได้ว่าทุกสิ่งที่เขาพูดมันจะเป็นแบบเหมือนกับการออกคำสั่ง อืม อืม อืม แรงเสมอ
          Q.ถ้าให้คำจำกัดความของอัลฮาวียะลู
          A. อัลฮาวียะลู มหาโจรที่ฆ่าไม่ได้ ตายไม่เป็น ขุนพันธ์อาจจะล่าเราได้แต่ฆ่าเราไม่ได้ เพราะตัวอัลฮาวียะลูเอง มีทั้งความโหดเหี้ยม โหดร้าย คือเป็นโจรที่ฉลาดด้วยนะครับ สามารถฆ่าคนโดยที่ไม่คิดอะไร แต่จะมีอุดมการณ์ของตัวเอง ถ้าเกิดนี่คือที่ของเขาคุณก็จะตายทันที ชื่อของเขาอัลฮาวียะลู แปลว่าหลุมที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งตัวขุนพันธ์ (อนันดา) จะต้องเข้าไปในหลุมนี้ที่ลึกเหลือเกิน เพื่อที่จะดึงความเป็นปมบางอย่างของอัลฮาวียะลู เพื่อที่จะปราบอัลฮาวียะลู เราจะได้เห็นกันว่าขุนพันธ์ทำได้หรือไม่
          Q. เป็นตัวละครที่ไม่ธรรมดา มีทั้งความสามารถพิเศษเฉพาะตัว โดยเฉพาะเรื่องยิงไม่เข้า คงกระพันและมีอาวุธที่ใช้ประจำตัว
          A. อัลฮาวียะลู เขาก็จะมีอาวุธในหลายรูปแบบ นอกเหนือจากการที่เล่นของอยู่แล้ว จะมีกริช มีรอยสักซึ่งเป็นสิ่งที่ป้องกันเขาได้ จริงๆโขมก็เป็นคนบอกมาเองนะครับว่า เวลาเปรียบเทียบพี่น้อยจริงๆแล้วมันไม่ต่างจาก ลอร์ดเวเดอร์นะ ซึ่งจะต้องมีไลท์เซเบอร์ การใช้บังคับคนด้วยจิตได้อะไรอย่างนี้ มีอาวุธ มีอาคม คงกระพัน จริงๆเขาจะค่อนข้างมีทุกอย่างครบถ้วนในคาแรคเตอร์ของเขา และในสุดท้ายเขาจะรู้สึกอย่างนั้นว่าเขาอาจจะไม่ได้เป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ สำหรับผมแล้วคิดว่าตัวขุนพันธ์ไม่น่ามาปะทะกับโจรคนไหนที่มีครบทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆอย่างอัลฮาวียะลู เพราะเขาตายไม่เป็น เวลาเราเล่นบทอัลฮาวียะลูนี่รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นทั้งวิญญาณ เป็นมนุษย์ ซึ่งผมว่าขุนพันธ์เองก็น่าจะไม่เคยเจอมาก่อนนะครับ
          Q.ในการที่ต้องถ่ายทอดตัว "อัลฮาวียะลู" หัวหน้าโจรผู้โหดเหี้ยม ที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับตัวตนของ น้อย กฤษดา เลย ต้องมีการเตรียมตัวหรือทำอะไรเป็นพิเศษบ้าง
          A.การเตรียมพร้อมก็จะเริ่มตั้งแต่ยังไม่เปิดกล้อง แล้วพอมาถึงในช่วงของการถ่ายทำ ในแต่ละฉากก่อนเล่น ก็ต้องมีการเตรียมตัว เตรียมพร้อมอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบท อัลฮาวียะลู ซึ่งเป็นตัวละครที่ค่อนข้างห่างไกลจากคาแรคเตอร์เรามาก การที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้มันมีมิติเหลือเกิน แล้วอัลฮาวียะลูเอง อาจไม่ได้เป็นคาแรคเตอร์จริงอย่างขุนพันธ์ แต่ว่าก็ยังมีโจรอีกหลายต่อหลายคน ที่ในชีวิตจริงขุนพันธ์เคยปราบมาแล้วนะครับ เราก็พยายามเบสคาแรคเตอร์ของเรา กับโจรที่เป็นจริงเหล่านั้นครับ เลยเกิดการตีความ 2 อย่างเราก็พยายามทั้งศึกษาว่า โจรสมัยโน้นเขาเชื่อมั่นในสิ่งอะไร จุดยืนเขาอยู่ที่ไหน เขาเกิดมาเป็นอย่างไรถึงคิดกลายเป็นโจรอย่างนั้น อีกอย่างหนึ่งเราก็พยายามใช้จินตนาการ การตีความ อย่างการที่คาแรคเตอร์เราก็ไม่ได้เป็นจริงด้วย เราก็สามารถใช้อิมเมจิเนชั่นมาสร้าง มันสามารถสร้างสีสันได้ เพราะอย่างในเรื่องก็มีคาแรคเตอร์ของอัลฮาวียะลู ที่คล้ายๆของขุนพันธ์ด้วยใช่ไหมครับ ผมก็แบบแอบดูว่าอนันดาเขาเดินยังไง ขาเขาจะเป็นยังนี่ ไม่รู้ว่าภาษาไทยเขาจะเรียกยังไงฮะ ขาเขาจะเขย่งครับ น้อยก็จะเริ่มเดินเหมือนอนันดานิดหน่อยแล้วกัน ให้มีอะไรใกล้เคียงกันในการมูฟเม้นท์นิดหน่อยนะครับ(หัวเราะ)
          Q. ถ้าเปรียบเป็นมวยก็ถือได้ว่าถูกคู่และสมศักดิ์ศรี อนันดา กับน้อย-กฤษดาจับคู่ทางด้านการแสดงรวมไปถึงบู๊แอคชั่น อยากให้พูดถึงการทำงานกับอนันดา
          A. ผมจะอายุมากกว่าอนันดา ห่างกันเกือบเจนเนอเรชั่นหนึ่งด้วยซ้ำ แต่เหมือนอนันดาเข้ามาในวงการก่อนน้อย ก่อนเป็นน้อยวงพรูผมก็จะเห็นอนันดาอยู่แล้ว แล้วเราก็ยังติดภาพมองเขาเป็นซุปเปอร์สตาร์นะครับ แต่ผมก็พอรู้ว่านิสัยเขาเป็นยังไงอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่ติดดินมากครับ แต่ผมจะตื่นเต้นเสมอนะครับ ไม่ว่าจะแสดงกับใครก็ตาม แต่ถ้าเกิดเป็นพวกดาราแบบใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นอนันดา หรือว่าชาคริต ผมจะตื่นเต้นเสมอ ผมยังมองเขาเป็นสตาร์ครับ จนกว่ามาเล่นซีนด้วยกันซึ่งอันนั้นผมก็ต้องเริ่มมีสมาธิจริงแล้ว เวลาที่ผมเล่นในขณะนั้นข้างในผมหัวใจกำลังเต้นไวอยู่นะ มันตื่นเต้น โดยเฉพาะซีนแรกครับ สิ่งที่ผมชื่นชม ผมอิจฉานิดหน่อยกับอนันดา เขาเป็นนักแสดงที่รีแลกซ์มากครับ ตั้งใจ เป็นคนที่คอนเซนเทรตได้ทันทีนะครับ การแสดงมันก็สนุกตรงนี้ การรับบทต่อกันแล้วเราก็จะเริ่มเรียนรู้คนนี้แสดงดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอนันดา ซึ่งสิ่งที่เขาทำได้ดี มันเหมือนกับว่าเราเองก็รู้ว่านี่เป็นอนันดาที่เล่นอยู่ใช่ไหมครับ เราจะเชื่อว่าเขาเป็นคาแรคเตอร์นั้น เวลาเขาเล่นบทเป็นขุนพันธ์ เราก็เชื่อว่าเขาเป็นขุนพันธ์ ถึงแม้เราจะรู้ว่านั่นคืออนันดานะ นั่นคือสัญลักษณ์ของนักแสดงที่ดี ที่มีพรสวรรค์ ความสามารถที่พิเศษ ซึ่งบางทีอนันดาอาจจะนิ่งไม่ต้องพูดอะไรมากก็ได้ มันก็เป็นสิ่งที่ผมสังเกตเวลาเล่นกับอนันดานะครับ พลังเขาออกมา แม้เขาจะนิ่งๆ แล้วพอเราแสดงด้วยกันเราก็เริ่มรู้แล้วว่า จะจ้องตากัน สบตากัน หรือจะชกต่อยกัน จะรับกันยังไง เพราะคาแรคเตอร์ผมก็จะแรงเสมอ อนันดาก็จะรับ
          Q. เล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังของการทำงานในฉากยากๆว่าเหนื่อยขนาดไหน สาหัสอย่างไร
          A.จริงๆมันก็มี 2 ฉากนะครับ ก็คือฉากไคล์แมกซ์ของภาพยนตร์ที่ต้องสู้กัน ที่ 2 คนต้องมาแรงใส่กัน แล้วมันก็เหนื่อยจริงๆ ฉากแรกที่ผมเจอเขา เขายังปลอมตัวอยู่ ฉากที่ 2 นี่รู้แล้วว่ามึงเป็นใคร แล้วผมเตรียมตัวแบบ รู้ว่า โอเค ยูตื่นเต้นไม่ได้ ยูต้องโฟกัสนะ ตอนนั้นเราก็ถ่ายที่กุยบุรี มันเหมือนเวลาจะขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ที่อิมแพ็คอะไรอย่างนี้ บางทีมันก็ซ้อมก็คิดมาเยอะแล้ว พอถึงจุดนั้นอย่าตื่นเต้น อย่าไปคิดมากเกินไปให้มันรีแลกซ์ เราก็แสดงได้ดีขึ้น ซีนนั้น ผมก็บอกทุกคนว่าผมขอขับรถผมไปได้ไหม ขอขับรถดูวิวของกุยบุรีที่มันมีภูเขา เริ่มต้องเตรียมพร้อมต้องอินแล้วกับซีนนี้ แล้วผมก็เปิดเพลงของเดอะคิลเลอร์ เพลงแร็ป เหมือนกับมันเป็นเพลงสกอร์ภาพยนตร์ให้กับคาแรคเตอร์ผมครับ แล้วเพลงก็แบบแรง ผมก็กำลังมา แล้วผมก็บอกทีมงานว่า เวลาพร้อมก็โทรมาหาน้อยนะ น้อยรีบขับกลับมาเลย ผมก็แต่งตัวอย่างนี้ในชุดอัลฮาวียะลู ผมก็อินกับคาแรคเตอร์แล้ว มาแล้วเว้ย แล้วพอไปถึงฉากมันต้องโฟกัสมากเลยฮะ นั่นก็เลยเป็นฉากที่มันส์ดีแต่ก็เหนื่อยมาก ประมาณ 2-3 เทคฮะ เริ่มไม่พร้อม เหนื่อยแล้วๆ แต่พอเสร็จแล้วอนันดาก็บอก เฮ้ยทุกคน..เป็นไง(หัวเราะ)
          Q. ในภาพยนตร์ขุนพันธ์แล้ว ยังมีอีกตัวละครที่มีความสำคัญมากๆที่จะต้องเกี่ยวพันกับตัวอัลฮาวียะลู นั่นคือหลวงโอฬาร ซึ่งรับบทโดย แฟรงค์ ภคชนม์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันครั้งที่2แล้วหลังจากอันธพาล
          A. กับแฟรงค์นี่เป็นนักแสดงที่ผมให้ความนับถือมากๆครับ ถ้าเกิดที่เมืองนอกเขาจะเรียกว่าคาแรคเตอร์แอคเตอร์ เขาอาจจะไม่ได้เป็นแบรด พิตต์ แต่ละคนที่มีฝีมือเยอะเหลือเกินมีโอกาสให้เขาได้โชว์ฝีมือที่เขาเล่นอย่างนี้ครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นกับแฟรงค์มาก่อนในอันธพาล แล้วพอมาในเรื่องนี้บทก็ไม่เหมือนกันเลย แล้วเวลาผมแสดงกับเขา ผมก็รู้สึกได้เลยว่านี่เป็นนักแสดงที่แท้จริง เขาเหมือนเป็นนักแสดงแล้วพอเขาเปลี่ยนมาเล่นบทอะไรก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง สามารถพลิกบทบาทได้ ให้ตัวละครตัวนั้นโดดเด่น อย่างเรื่องอันธพาลแฟรงค์ก็เป็นตัวไม่ดี อันนี้ก็อีกคาแรคเตอร์หนึ่ง แล้วเขาทำได้ดีมากครับ ผมก็อยากร่วมงานกับแฟรงค์อีกนะครับ
          Q.จากการทำงานที่ผ่านมาในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์คิดว่าฉากไหนยากที่สุด.
          A. สำหรับฉากที่ยากมันก็จะมี 2 สไตล์ มันจะมีทั้งฉากที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวเลย แค่พูดกันแล้วส่งบทกัน ต้องมีสมาธิมากๆ ซึ่งฉากพวกนั้นจะยากมากอยู่แล้ว อีกฉากหนึ่งก็น่าจะเป็นฉากที่มันเหนื่อยครับ แล้วผมก็ไม่เคยเลยจริงๆนะครับ แสดงอยู่บนเซต ไม่ใช่แค่ 24 ชั่วโมงนะ 36 ชั่วโมง ผมจำได้ถ่ายตั้งแต่เจอกัน 6 โมงเช้า เป็นฉากแอคชั่นสุดท้ายนะครับ6 โมงเช้า ผมก็นึกว่าจะเสร็จภายใน 6 โมงเย็นอย่างนั้น แล้วก็ไปเรื่อยๆอีก จนถึงเที่ยงคืนแล้ว ผมก็เริ่มเหนื่อยแล้ว จนบางที ซีนหนึ่งนี่แสดงๆกันไป แล้วพอคัท เทค 1 เสร็จแล้วก็รอเทค 2 ใหม่ นั่งรอแล้วก็นั่งหลับ เทค 2 โอเค อีกทีหนึ่ง จนต่อถึงเที่ยงวันต่อไป จริงๆนะครับไม่ใช่แค่น้อยคนเดียวนะครับแต่คนอื่นด้วย แต่มันต้องทำให้เสร็จครับ วันนั้นเหนื่อยมากเลย ผมไม่เคยเล่นหนังที่เหนื่อยขนาดนี้มาก่อน มันก็สมควรเหนื่อยนะครับกับฉากนี้ เพราะว่าตอนถ่ายวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายด้วย แล้วก็ซีนแอคชั่นสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย และการที่ต้องมาชกต่อยกัน ยิง แทงกันครับ ก็เหมือนกับเป็นฉากแอคชั่นที่เหนือจริงที่มโหฬาร แล้วมันเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนการที่นอกเหนือจากการยิงกัน แทงกัน ชกๆๆ แล้วมันก็มีการที่ต้องยกมอเตอร์ไซค์ให้มันลอย ผมเริ่มรู้สึกเหมือนอเวนเจอร์อย่างนี้ (ขำ) เวลาที่เขาไปโพสต์โปรดักชั่นของเขา เราก็ตื่นเต้นนะครับ อยากดูจริงๆว่ามันจะออกมาเป็นยังไง รอบตัวเรามองไปทางไหนก็มีแต่คนเสียชีวิต ที่แบบเลือดไหลอะไรอย่างนี้ แล้วการที่ต้องถ่ายทำกันไปแบบ 16 ชั่วโมง 20 ชั่วโมง มันเหนื่อยแต่มันคุ้มครับแล้วมันคุ้มค่าจริงๆ
          Q.ฟังๆดูแล้วเป็นฉากแอ็คชั่นที่นอกจากยิ่งใหญ่อลังการแล้ว ยังมีรายละอียดค่อนข้างเยอะมากในฉากนี้
          A. ก็คือในซีนนั้นที่เราถ่ายทำไปใน36 ชั่วโมง ถึงแม้ว่ามันก็เหมือนกับเป็นการถ่ายหนังซีนหนึ่ง แต่พอมันคือ1ซีนในสไตล์ของโขมนี่ มันจะยิ่งมีดราม่าในแอคชั่นนะครับ และมันต้องทำทั้ง 2 อย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นดราม่าการแสดง แม้แต่แค่รับบทระหว่างกันและกัน กับการชกต่อยกัน คือการถ่ายทอด 2 อย่างในซีนเดียวกัน ซึ่งสำหรับโขมนี่มันต้องได้ เราต้องเข้าใจว่าเวลาเราเล่นหนังมันมีโอกาสครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นมันก็จะอยู่ในจอ มันจะอยู่ตลอดชีวิตนั่นคือผลงานของเรานะครับ เลยต้องทำให้ถึงทำให้ได้ครับ หลายครั้งถึงเราจะเหนื่อย บางทีเราแสดงก็จะรู้สึกว่าผมอินมาก แต่กลายเป็นไฟดันไม่ได้ บางทีการจะอินแบบ 3-4 เทคก็ยาก ทุกคนไม่ว่าจะเป็นไฟ ทีมงาน นักแสดงทั้ง 2 คน มันต้องลงล็อคพอดีเลยครับ ยิ่งสำหรับโขมอย่างพวกเราทุกคนนี่ ฉากแอคชั่นมันก็อาจจะยากกว่าด้วยซ้ำ ทั้งรถไฟ มอเตอร์ไซค์ มันต้องมาชนกันในจุดนั้นพอดี มันก็เลยเหนื่อยนะครับ แต่ว่าเวลาทำถึงแล้วเราก็รู้สึกดีจริงๆครับ มันก็คุ้มค่ากับการที่เราตั้งใจหรือทุ่มเททำกัน เลยทำให้เวลาเราอิน แล้วปรากฎว่ามีการสั่งคัท เราก็แบบคัททำไม(หัวเราะ) เวลาเล่นผมก็จะคอยสังเกต ซึ่งผมไม่ได้เป็นนักแสดงระดับโลก อย่างคริสเตียน เบล หรือว่า แดเนี่ยล เดย์ ลูอิส ที่ผมได้ข่าวว่าเขาจะอินทั้งวันเลย แต่ผมจะอินแค่ช่วงเวลาถ่ายซีนนั้นนะ แบบเวลาคัท ผมก็อาจจะบางทีผมก็ยังเป็นคาแรคเตอร์อัลฮาวียะลูตอบโขมอยู่ (เสียงใหญ่) อะไรนะ อยากให้ทำอะไรอีกนะ โอเคๆ ได้ๆ ซึ่งกลายเป็นว่าผมยังอยู่ในคาแรคเตอร์นั้นนะฮะ (หัวเราะ)
          Q. ความประทับใจที่เกิดขึ้นกับการทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้
          A. มันก็มีฉากประทับใจหลายรูปแบบนะครับ เพราะว่าสิ่งที่โขมเขาทำให้มันดีมากๆสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือเขาสามารถผสมผสานแอคชั่นกับดราม่าได้อย่างดี และลงตัวทีเดียว เวลาเราไปเล่นหนังเขานี่ เราจะสามารถรู้หรือสัมผัส ได้รับรสชาติในการแสดงที่หลากหลายทีเดียว ฉากแอคชั่นที่มันส์นี่ มันไม่ใช่แค่ผมสู้กับอนันดาเท่านั้นนะครับ อย่างมันเป็นเพียงแค่ฉากที่ทำให้เราได้มีโอกาสได้ขี่ม้า จริงๆผมเองก็เหมือนกับนักแสดง เหมือนผู้ชายทุกคน เด็กๆฝันขี่ม้า อยากยิงปืน การเป็นนักแสดงเราโชคดีจริงๆที่ได้มีโอกาสเล่นขี่ม้า ยิงปืน เป็นโจรอย่างนี้ครับ ข้างในเราก็มีความเป็นเด็ก ก่อนที่จะแสดงก็ไปหัดขี่ม้ากัน แล้วเป็นฉากแรกของการถ่ายทำในหนังที่ผมได้ขี่ม้ามาลุย มาปราบพวกตำรวจ แล้วก็ยิงๆ แล้วเราเองไม่ใช่แค่เริ่มมีความสัมพันธ์กับนักแสดงคนอื่นๆ แต่เราก็เริ่มมีกับม้าของเราด้วยนะครับ ม้าของเราตัวไหน อยากได้ตัวเดิมนะ มันก็มีความเป็นเด็กของเรานะครับที่แบบขี่แล้วจะเท่ ยิงปืน ผมก็เลยประทับใจกับความรู้สึกตรงนี้ด้วยนะครับ
          Q.ในภาพยนตร์จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่ผู้ชมจะได้เห็นความเป็นอัลฮาวียะลู และเป็นอีกฉากที่ผู้ชมจะได้เห็นการแสดงของน้อย กฤษดาที่เข้มข้นมากๆ..
          A. ก็มีฉากหนึ่งซึ่งรู้สึกว่าเป็นฉากเปิดเผยคาแรคเตอร์อัลฮาวียะลูนะครับ ซึ่งคนที่เล่นของ เขาจะทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะมีอำนาจ เขาจะเป็นคนที่ทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อที่จะมีพลังมากขึ้นนะครับ ซึ่งเป็นซีนที่เขามาเผชิญหน้ากับพระรูปหนึ่ง แต่พระรูปนี้ก็มีของ ของอันนั้นก็คือฟันที่งอกขึ้นอยู่ในเพดานของปาก ซึ่งถ้าเกิดรวมกับอีก 2-3 อย่างนี่ มันสามารถให้เขาเพิ่มพลังได้อย่างสูงทีเดียวครับ ซึ่งต้องรอไปดู ผมก็ไม่เคยแสดงฉากนี้มาก่อน ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่คนดูอาจจะได้พบกับพลังของอัลฮาวียะลูครับ ในเบื้องหลังในการเตรียมตัวทำงานก่อนจะเล่นซีนนี้ ผมก็เริ่มฟังเพลง แต่ผมไม่ได้ฟังเพลงน้อย วงพรูนะ แต่ละซีนผมจะมีซาวน์แทรค ครั้งนี้ผมจะฟัง M&M ครับ เพลงแร็พครับเขาจะเหมือนว่าคนนี้กำลังโกรธอยู่ ฟังแล้วก่อนจะเล่นผมก็แบบเตรียมพร้อมมาละ แอคชั่น เวลาที่เราแสดงมันไม่ใช่แค่คิดเกี่ยวกับว่า ได้รับฟันจากเพดานปากนั้นมานะ ผมก็กำลังคิดถึง M&M กับพลังกับเสียงอันแรงของเพลง มันก็บิ้วท์ในสไตล์นี้ครับ สนุกดีครับ
          Q. ขุนพันธ์คือโปรเจกต์แห่งความเป็นที่สุด
          A. ในหนังของโขมนะครับ เขาจะมีบทที่นักแสดงทุกคนอยาก หรือตื่นเต้นที่จะเล่น มีบทที่น่าสนใจเยอะครับ แล้วมันจะสนุก เวลาเราได้เห็นพัฒนาของนักแสดงแต่ละคนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นอย่างอ้อม (กานต์พิสชา เกตุมณี) อย่างนี้นะครับ ซึ่งเธอก็เล่นขุนพันธ์ก่อนมาแสดงแม่เบี้ยด้วยซ้ำ การที่เป็นหนังเรื่องแรกของอ้อมนี่ ตอนนี้เธอก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้น เราก็ได้เห็นเธอเดินออกไปเรื่อยๆ มันเหมือนกับสมัยก่อนที่ผมเคยเล่น 13 เกมสยองกับมะเดี่ยว หลังจากถ่ายกันเสร็จก็เจอมาริโอ้ มะเดี่ยวบอกกำลังมีรักแห่งสยาม เด็กคนนี้ก็มีแวว ตอนนี้แบบ โห เป็นซุปเปอร์สตาร์ เวลาเราเห็น เราก็จะติดภาพอนันดาเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เวลาเรามาแสดงกับอนันดา มัน โอ้โฮ คนนี้มันเคลื่อนไหวได้คล่องตัว ผมก็รู้สึกว่า เอ๊ะ ผมก็เคลื่อนไหวเก่งนะ ผมน้อย วงพรูนะเว้ย ผมเต้นเก่งนะ(หัวเราะ) ผมเคลื่อนไหวได้เยอะนะ แต่มันจะอีกแบบหนึ่งครับ แล้วก็อย่างแฟรงค์ที่ผมก็รักมากอยู่แล้วนี่ สำหรับเขาอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย แต่ถ้าเกิดผมได้เล่นบทเป็นนักการเมืองนี่ มันท้าทายมากกว่าสำหรับเขาอย่างนั้นนะครับ คือทุกคนสามารถมีโอกาสได้พลิก(ล็อค)บทได้ในหนังของโขมนะครับ แล้วผมก็สนุกมากกับการแสดงกับทุกคนนะครับ ได้เห็นสไตล์ใหม่ของแต่ละคน แม้แต่อนันดาก็อาจจะดูเท่มากเวลาชกต่อยแต่ว่ามันก็เป็นการแสดง ส่วนเดี่ยวเขาก็มาทางแอคชั่นอยู่แล้วนะครับ ก่อนที่เราจะเปิดกล้องถ่ายทำหนังเรื่องขุนพันธ์นี้ ผม อนันดา เดี่ยว กบ ก็ไปฝึกขี่ม้ากัน ฝึกชกมวยกันด้วย แต่สำหรับเดี่ยว คือเขาเกิดมาเพื่อเดินสายนี้โดยตรงเขาธรรมชาติ แล้วเราก็ได้เรียนรู้จากเขาเยอะมากทีเดียวด้วย ผมว่าเดี่ยวเขาก็มักจะได้เป็นคนดีในหนังแอคชั่นของเขา แต่คราวนี้ขอโทษนะ เดี่ยวก็เป็นมือขวาของน้อยนะครับ ที่มาปะทะกับอนันดา และการแสดงด้วยกันกับเดี่ยวส่วนมากก็จะสื่อสารผ่านสายตา ก็แบบเคลียร์ๆ "ฆ่ามัน"
          Q. เราจะได้เห็นอินเนอร์และการทุ่มเทการแสดงแบบสุดตัว ของนักแสดงทุกๆคน รวมทั้ง น้อย กฤษดา ที่ถึงขนาดว่าติดคาแรคเตอร์ความเกรี้ยวกราดของอัลฮาวียะลูกลับบ้านด้วย
          A. ในการทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะกับบทบาทนี้ บางทีเราเองก็เริ่มลืมไปแล้วว่า ตอนนั้นเราอินไปกับบทมากขนาดไหน ผมก็ไม่นึกว่าผมจะเป็นนักแสดงที่เอาบทกลับมาบ้าน เอาคาแรคเตอร์อัลฮาวียะลูบทนี้ติดกลับมาด้วยนะครับ จนมาวันหนึ่งในขณะที่ผมอยู่ที่บ้าน แล้วก็ทะเลาะกับภรรรยาเล็กน้อย แล้วผมก็เริ่มแบบ ชี้หน้า น่าเกลียดมากเลยครับ ผมก็ไม่จริง แล้วภรรยาผมก็ เฮ้ย ยูไม่เคยชี้หน้าไออย่างนี้มาก่อนนะ นี่มันแรงมากเลยนะ ผมลืมไปๆเพราะว่าบทอัลฮาวียะลูเป็นคนที่ชี้บ่อยมาก เป็นคนที่พูดอะไรมักจะออกมาเป็นคำสั่งเสมอ อาจแค่ส่งสายตาอยากให้เบิ้ลความแรงก็จะชี้ ผมก็ขอโทษภรรยา ไอผิด มันไม่ใช่น้อย มันเป็นอัลฮาวียะลู บางทีมันก็เอากลับมาบ้านด้วย ผมไม่นึกว่ามันจะเป็นถึงขนาดนั้นครับ มันเหมือนกับแค่เวลาพูดมันก็เหนื่อยแล้ว เวลาเล่นคาแรคเตอร์นี้ มันก็เป็นความกลัวนิดหน่อยด้วย เวลาแสดงจนไม่กล้าไปดูมอนิเตอร์ รู้สึกแบบมองตัวเองแรง รู้สึกมันไม่ใช่เราอย่างนั้นนะครับ ผมก็รู้สึกว่าหนังไทยบ้านเราช่วงนี้ก็จะเน้นหนังวัยรุ่นเยอะนะครับ ผมก็ไม่ได้เป็นวัยรุ่นแล้วโอกาสที่จะได้เล่นบท ได้เปลี่ยนคาแรคเตอร์อย่างนี้ โอกาสมันจะมีอีกเมื่อไหร่ มันอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ จนกว่าโขมทำหนังอีกเรื่องหนึ่ง จนกว่าสหมงคลฟิล์ม บาแรมยูชวนผมมาเล่นครับ เรารู้ว่าเวลานักแสดงรู้ว่าเวลาบทอย่างนี้มา พลาดไม่ได้นะ ไม่ว่ายูจะล้มหรือจะยืนขึ้น ยูจะพลาดไม่ได้อย่างนี้ครับ เราก็เลยต้องเต็มที่ แล้วก็จับมัน อย่าปล่อยมัน
          Q. ท้ายนี้ น้อย อยากฝากอะไรกับ "ขุนพันธ์"
          A. เราก็รู้สึกว่าเราเป็นนักแสดงที่โชคดีจริงๆนะครับ ที่โขมเขามาให้โอกาสเราเล่นบทนี้ เหมือนกับพวกหนังตลกผมก็เคยลองแสดงมาบ้าง หนังโรแมนติกก็เคยมาบ้าง นักแสดงหลายๆคนก็อยากมีโอกาสได้เล่นบทร้ายสักเรื่องหนึ่งนะครับ แต่ว่าบทร้ายนี่ เราจะได้เล่นอย่างไร ออกมาเป็นอย่างไร นั่นมันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากครับ บทร้ายนี่จะ...(ร้ายอย่างไร) ซึ่งมันก็เป็นความสนุกของการแสดงนะครับ เสียงน้อยก็เสียงนิ่มๆอยู่แล้วด้วย แต่เวลาอ่านบทแล้วก็ไปทิศทางนั้นไม่ได้นะครับ มันก็ต้องลองเสี่ยงละกัน ลองเสี่ยงแบบให้เอาแรงที่สุดที่จะแรงให้ได้แล้วกัน ซึ่งลึกๆแล้วผมก็รู้ว่าโขมอยากให้ผมรุนแรง ก็ต้องหัดพูดให้มันแรงกว่านี้ ผมก็ต้องเริ่มแบบดัดเสียงให้ได้ ซึ่งมันก็ยากนะครับ บางวันก็ เอ๊ะ ทำไมวันนี้เสียงมันไม่มา ผมก็ต้องไปฝึกให้ได้ แต่นี่ผมก็เป็นนักร้องนะแต่มันก็ยากครับ สำหรับบทอัลฮาวียะลูครั้งนี้เป็นการพลิก และเปลี่ยนคาแรคเตอร์ที่สุดที่ผมเคยทำมาครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 28, 2016, 08:10:07 AM
Movie Guide: เปิดตัวอย่างเต็ม จากตำนานวีรบุรุษ สู่ภาพยนตร์ไทยแอคชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปี “ขุนพันธ์”



ตัวอย่างเต็ม ขุนพันธ์ (Official Trailer)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=J3yjBYtFg68" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=J3yjBYtFg68</a>

          หลังปล่อยทีเซอร์บอกเล่าถึงมือปราบแห่งตำนานและมหาโจรผู้เหี้ยมโหดทั้ง 2 ตัวออกมาสร้างกระแสสนั่นโลกโซเชี่ยล และเป็นที่พูดถึงปากต่อปากในวงกว้าง สำหรับภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปีของสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนลเรื่อง "ขุนพันธ์" ฝีมือการกำกับและเขียนบทโดย "ก้องเกียรติ โขมศิริ" กับการไล่ล่า เชือดเฉือนความเข้มข้นด้วยอาคมต่ออาคมระหว่าง ขุนพันธ์ ที่รับบทโดย อนันดา เอเวอริงแฮม และ อัลฮาวียะลู ที่รับบทโดยกฤษดา สุโกศล แคลปป์ 2 คู่แค้นที่ฆ่าไม่ได้ และตายไม่เป็น

          ล่าสุดกับตัวอย่างเต็ม ที่ประกาศศักดาความความมันส์แบบเต็มสตรีม กับเรื่องราวเข้มข้น ฉากต่อสู้ดุเดือดสุดท้าทายแบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และอาคมต่ออาคม ของ 2 คู่เหมือนที่แตกต่าง คนหนึ่งต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ส่วนอีกคนสู้เพื่ออุดมการณ์ แต่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะอยู่ได้ พิสูจน์ความมันส์แบบ อาคมเหนืออาคม แห่ง "ขุนพันธ์" พร้อมกัน 14 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on June 29, 2016, 04:11:52 PM
เสาร์ที่ 2 ก.ค.นี้ ชาวนครศรีธรรมราชเตรียมเสียงกรี๊ดให้พร้อม 3 ซูเปอร์สตาร์ อนันดา-กฤษดา-สนธยา พร้อมผู้กำกับจาก “ขุนพันธ์” ประกาศบุกโรงพบแฟนๆ แบบใกล้ชิด!



          วันเดียวเท่านั้นที่ชาวนครศรีธรรมราช ผู้ที่มีจิตศรัทธายึดมั่นในแบบอย่างแห่งความดีของ "ขุนพันธ์" ยอดตำรวจวีรบุรุษหนังเหนียวผู้เป็นตำนานจะได้กระทบไหล่นักแสดงและร่วมสนุกพร้อมรับของที่ระลึกจากมือของ 3 ซูเปอร์สตาร์ อนันดา เอเวอริงแฮม ผู้รับบท ขุนพันธ์, กฤษดา สุโกศล แคลปป์ (น้อย-วงพรู) ผู้รับบท อัลฮาวียะลู และ สนธยา ชิตมณี (สน-เดอะสตาร์) ผู้รับบท ไข่โถ พร้อมด้วย ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" อย่างใกล้ชิด ในวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม นี้

          13.30 น. ที่โรงภาพยนตร์ SF cinema โรบินสัน นครศรีธรรมราช

          15.30 น. ที่โรงภาพยนตร์ Major Cineplex สหไทยพลาซ่า นครศรีธรรมราช

          แล้วเตรียมตัวนับถอยหลังสู่ภาพยนตร์แอคชั่นอาคมเหนืออาคมเรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี "ขุนพันธ์" 14 ก.ค.นี้ พิสูจน์ "แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาแห่งความดีอันยิ่งใหญ่ของขุนพันธ์" พร้อมกันในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on July 05, 2016, 09:05:22 AM
“สหมงคลฟิล์ม” แจก “เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ 59” พิเศษเฉพาะผู้ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้า “ขุนพันธ์” เปิดขายวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ จำนวนจำกัด 10,000 ชุด ทั่วประเทศ





          สหมงคลฟิล์ม จัดใหญ่ไม่เหมือนใคร พร้อมมอบ "เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่น ขุนพันธ์ 59" เป็นพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้า (Advance ticket) "ขุนพันธ์" ทุก 2 ที่นั่ง จะได้รับเหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ 59 จำนวน 1 เหรียญ โดยขอสงวนสิทธิ์เฉพาะการซื้อตั๋วที่หน้าโรงภาพยนตร์เท่านั้น (ยกเว้น การซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์) เปิดขายในวันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 59 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป ทุกโรงภาพยนตร์ ทุกสาขา ทั่วประเทศ จำนวนจำกัด เพียง 10,000 ชุดแรกเท่านั้น โดยไม่มีการวางจำหน่ายที่ใดทั้งสิ้น มาก่อนมีสิทธิ์ก่อน

          "เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ ปี 59" พิเศษนี้จัดทำเพื่อผู้ชมที่ตั้งตารอภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปี "ขุนพันธ์" โดยจัดพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งด้านหน้าของเหรียญเป็นรูปพระอริยสงฆ์ที่คนไทยต่างศรัทธา "หลวงปู่ทวด" ส่วนด้านหลังเป็นรูปของ "ขุนพันธ์" ตำรวจมือปราบผู้ผดุงคุณธรรมและศรัทธาในความดี ซึ่งเหรียญฯ มีพิธีพุทธาภิเษกแล้วถึง 3 วาระ ครั้งแรกที่ศาลพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง จ.นครศรีธรรมราช ดินแดนบ้านเกิดของขุนพันธรักษ์ราชเดช ครั้งที่ 2 ทำพิธีปลุกเสกแบบโบราณ 8 ทิศ ที่ วัดพระมหาธาตุฯ จ.นครศรีธรรมราช โดยคณาจารย์สายเขาอ้อและภาคใต้ และครั้งที่ 3 นับเป็นการพุทธาภิเษกครั้งสุดท้าย ไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่วัดลาดปลาดุก โดยมีพระอาจารย์ร่วมนั่งปรกเจริญพระพุทธมนต์รวม 19 รูป

          เตรียมพบกับภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์ เรื่องราวของมือปราบแห่งอาคมใน "ขุนพันธ์" 14 กรกฎาคม นี้ทุกโรงภาพยนตร์

          รายชื่อโรงภาพยนตร์ที่ร่วมโปรโมชั่น ได้แก่ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป , โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ , เซ็นจูรี่ , ธนา ซีนีเพล็กซ์ , MVP , เนวาด้า , โคลีเซียม และเครืออื่นๆ (ยกเว้น โรงภาพในเครือ เมเจอร์ ฮอลลีวูด)
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on July 05, 2016, 09:11:02 AM
5 นักแสดงมากฝีมือ แฟรงค์,เดี่ยว,สน,กบ ,อ้อม ทุ่มสุดตัวประชันคาแรคเตอร์เข้มข้นใน “ขุนพันธ์”







          เพราะทุกมิติตัวละครที่จะปรากฎอยู่ใน "ขุนพันธ์" ภาพยนตร์แอคชั่นเหนือจินตนาการฟอร์มยักษ์แห่งปี ของสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ล้วนมีส่วนสำคัญ และความเข้มข้น เพราะเป็นความตั้งใจ ผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่ระดมเหล่านักแสดงระดับฝีมือทั้ง อนันดา เอเวอริงแฮม, กฤษดา สุโกศล แคลปป์ มาพลิกคาแรคเตอร์ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทุ่มแบบสุดตัวของเหล่านักแสดง แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี, สนธยา ชิตมณี, เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง, กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร และอ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี เพื่อถ่ายทอดตัวละครสะท้อนมุมมืดมุมสว่าง ในเรื่องของความดี ความเลว ในภาพยนตร์

          เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง พระเอกแอคชั่นเสี่ยงตาย (เกิดมาลุย, คนไฟบิน, เร็วทะลุเร็ว) เป็นผู้ร้ายเต็มตัวรับบท เสือสัง นักฆ่าสุดเหี้ยม ไร้ความปรานี เนื้อตัวหน้าตาเต็มไปด้วยรอยสัก มือขวาของมหาโจรอัลฮาวียะลู เป้าหมายคือเด็ดคอขุนพันธ์ เดี่ยวจัดหนักจัดเต็มกับลีลาแอคชั่นในทุกรูปแบบ พร้อมอาวุธอย่างคารัมบิต, ศิลปะการต่อสู้ทางภาคใต้อย่างปันจักสีลัต และคิวบู๊โหดๆ เสี่ยงๆ ทั้งแอคชั่นบนหลังม้า, หลังคารถไฟให้ได้ลุ้นกันทั้งเรื่อง

          กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร จากสาวหวานในภาพยนตร์สุริโยไท ต้องแปลงลุคตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก ที่ต้องมอคตัวดำ สวมแว่นดำถือไฟแช็ก ถนัดในการใช้มีดสั้น ขี่ม้า ยิงปืนไม่ต่างจากบุรุษ เป็นตัวละครที่พูดน้อย แต่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา นี่คือตัวคาแรคเตอร์ บุหงา มือสังหารที่มีความสามารถในการล่าในฐานะสมุนมือซ้ายของอัลฮาวียะลู

          แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี นักแสดงหนุ่มมากฝีมือที่น้อย กฤษดา ยกให้เป็นสุดยอดนักแสดงในสายแอคเตอร์ ในการรับบท หลวงโอฬาร นอกจากศึกษาจากหนังสือหลายเล่มเพื่อเข้าใจบทบาท และคาแรคเตอร์ของผู้นำในยุคสมัยก่อนสงครามโลกแล้ว ยังเรียนรู้การพูดภาษาญี่ปุ่นและฝรั่งเศส หนุ่มแฟรงค์ได้มีส่วนร่วมสำคัญในการสร้างคาแรคเตอร์ข้าราชการตัวร้าย ที่ภายนอกมาพร้อมรอยยิ้ม สุภาพ เป็นผู้นำมาซึ่งความดีงามความเจริญมายังผู้คนและประเทศ แต่ลึกๆจริงๆคือนักการเมืองขี้ฉ้อ ฉกฉวยผลประโยชน์ส่วนตน ทำทุกอย่างได้กระทั่งขายชาติ

          อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี แจ้งเกิดจาก "แม่เบี้ย" ในภาพยนตร์ขุนพันธ์เธอต้องปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นสาวผิวคล้ำทั้งตัว ดัดผมหยิกให้มีความคมในแบบฉบับสาวใต้ เรียนการพูดภาษาใต้ และการแสดงอารมณ์ที่มีมิติเพิ่มขึ้น เพื่อ รับบท มาลัย กลางวันคือสาวชาวบ้านหมู่บ้านชาวเล จิตใจดี อ่อนโยน กลางคืนคือนักร้องสาวสวยประจำคลับสโมสรหรูของหลวงโอฬาร แต่มีความเศร้าอยู่ในแววตา

          สนธยา ชิตมณี การเล่นบทดราม่าอารมณ์หนักๆ จากหนัง 3 เรื่องก่อนหน้า ที่ร่วมงานกับ โขม-ก้องเกียรติ อย่าง ไชยา, เฉือน, อันธพาล แล้ว ในเรื่องขุนพันธ์ กับบท ไข่โถ หนุ่มใต้ชาวบ้านอารมณ์ดีที่อาศัยอยู่กับน้องสาวอย่างมาลัย และมะลิ ลูกสาว ที่ต้องเผชิญกับความสูญเสีย ยังเป็นครั้งแรกกับการแอคชั่นหนักทั้ง เอฟเฟกต์กระสุนปืนนับร้อย และการปล่อยของทั้งในส่วนการแสดงที่หนักที่สุด และแอคชั่นสุดตัวจนต้องกายภาพบำบัดหลังจากถ่ายหนังกันเลยทีเดียว
ซึ่งโขม ก้องเกียรติ ผู้กำกับผู้เลือกนักแสดงให้มารับบทบาทเหล่านี้กล่าวว่า

          "เราพยายามให้ทุกตัวละครมันมีมิติ ไม่ได้เป็นตัวละครชั้นเดียว มีเหตุมีผลมีที่มาที่ไปว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ อย่างแต่ละฉากจะมีเรื่องราวในตัวมันเอง เราจะได้เห็นว่าการเป็นผู้ร้าย เป็นโจรในเรื่องมันก็มีเหตุและผลในตัวมันเอง อย่างบทหลวงโอฬาร ข้าราชการที่ทรงอิทธิพลในดินแดนแห่งนี้ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่ภายในแฝงลึกซ่อนเร้นของการที่พร้อมจะเอาเปรียบและมอมเมาผู้คนซึ่งแสดงได้ยอดเยี่ยมมากโดยแฟรงค์ ภคชนก์รวมไปถึง เดี่ยว ชูพงษ์ เมื่อก่อนเห็นเดี่ยวเป็นพระเอกแอคชั่นเล่นเป็นคนดี เรารู้สึกว่าจริงๆ เอาเดี่ยวมาเป็นตัวร้ายซึ่งเก่งสุดๆเลย บู๊สุดๆเลย แล้วร้ายแบบน่ากลัว ก็ดีไซน์เต็มเหนี่ยวเลย เป็นคู่ปรับสำคัญไฮไลต์เลยคือเผชิญหน้าขุนพันธ์ ดวลกันบนรถไฟแอคชั่นบนหลังม้าซึ่งแต่ละซีนถือว่ายากเลยทีเดียวครับ คนดูจะได้เห็นการเลือกฝั่ง จะเลวหรือดี ทุกตัวจะสะท้อนมิติพวกนี้ออกมาไว้หมดเลยครับ เป็นการประชันบทบาทของดารายอดฝีมือที่เวลาปะฉะดะกันสนุกมันส์แน่นอนครับ และนอกจากสนุกแล้ว ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นตามสไตล์หนังของผมนะครับ ให้เราขบคิดในหนังด้วยว่าบางทีหนังอาจจะสะท้อนว่าบ้านเมืองเราเกิดอะไรขึ้น และคนดีมีอยู่จริงไหม หนังเรื่องนี้อาจจะตั้งคำถามกับศรัทธาของเราในปัจจุบันได้ เราเดินออกจากโรงเรารู้สึกว่า เฮ้ยคนไทยมีฮีโร่ 1 คน ฮีโร่ตัวเป็นๆ หนังเหนียวด้วย ก็ขอชวนมาดูกันครับ 14 ก.ค.ฝากหนังเรื่องขุนพันธ์ด้วยครับ ขอบพระคุณครับ"
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on July 08, 2016, 09:08:55 AM
แรงใจเต็มเปี่ยม นักแสดง-ผู้กำกับ พร้อมผู้บริหารสหมงคลฟิล์ม ยกทีมสู่นครศรีธรรมราชกราบสักการะ “ท่านขุนพันธ์” ตั้งใจทำหนังดีพิสูจน์พลังแห่งศรัทธา ปลื้มและฟินสุดๆแฟนๆแห่ต้อนรับอย่างล้นหลาม





          2 ก.ค.ที่ผ่านมา สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล นำโดย อวิกา เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด และ จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายสื่อสารการตลาด พร้อมผู้กำกับภาพยนตร์ ก้องเกียรติ โขมศิริ และ 3 นักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" อนันดา เอเวอริงแฮม ผู้รับบท ขุนพันธ์, กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ผู้รับบท อัลฮาวียะลู และ สนธยา ชิตมณี ผู้รับบท ไข่โถ เดินทางมายังจังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องในวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ ตรงกับวันคล้ายวันครบรอบการเสียชีวิตของพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ยอดตำรวจวีรบุรุษ ผู้เป็นตำนานและเป็นที่รักของชาวใต้ซึ่งได้จากไปครบ10ปี เพื่อทำบุญถวายภัตตาหารเพล และถวายสังฆฑานแด่พระสงฆ์จำนวน 9 รูป ณ ศาลา100ปี วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยมีพระเทพวินยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุฯเป็นประธานสงฆ์ มี นาย ณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช บุตรชายพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดชและภรรยาร่วมในพิธี พร้อมกันนี้ยังได้สักการะองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช และองค์จตุคามรามเทพ ณ วิหารพระทรงม้า ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง

          จากนั้นเดินทางไปสักการะอนุสาวรีย์ขุนพันธรักษ์ราชเดชที่หน้ากองบังคับการตำรวจภูธร จังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนที่ทีมงานจากภาพยนตร์ทั้งหมดได้มีโอกาสร่วมสักการะอัฐิ และรูปปั้นท่านขุนพันธ์ ณ บ้านพันธรักษ์ราชเดช พร้อมชมอาวุธประจำตัวที่เคยใช้จริงของท่านขุนพันธ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากที่ทุกคนได้ผ่านการร่วมแรงกายแรงใจ ฟันฝ่าความท้าทาย แต่ด้วยแรงศรัทธาอันเต็มเปี่ยม เพื่อที่จะมุ่งสานต่อ และเชิดชูเรื่องราวความดีตลอดจนวีรกรรมหาญกล้าของท่านขุนพันธ์ จนถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ได้อย่างเสร็จสมบูรณ์พร้อมที่จะเข้าฉายในวันที่14ก.ค.นี้แล้ว และได้มาบอกกล่าวกับท่านขุนพันธ์ด้วยตัวเองในครั้งนี้โดยผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริเป็นตัวแทนนักแสดงและทีมงาน

          "ก็ตลอดระยะเวลาในการทำหนังเรื่องนี้มาทุกคนทุกฝั่งฝ่ายทั้งทีมงานตลอดจนนักแสดงเองที่ได้มาวันนี้หรือที่ไม่ได้มาแต่ฝากใจฝากความระลึกถึงท่านขุนพันธ์ทุกคน ผมเชื่อว่าทุกคนเต็มที่กับการทำเรื่องนี้เพื่อเป็นการประกาศคุณงามความดีของท่านขุนพันธ์ เราเชื่อว่าตลอดระยะเวลา3ปีที่เราทำ มันต้องใช้เวลาขนาดนั้นจริงๆ เพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุด เพื่อทำเรื่องของท่านให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ เสี่ยเจียง คุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ตั้งใจให้ทำหนังเรื่องนี้ คืออยากประกาศคุณงามความดีของท่านให้ถูกจารึกได้จริงๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะบอกว่าคนดีมีอยู่จริง ถ้าสิ่งที่ท่านศรัทธา สิ่งที่ท่านทำไว้ พวกเราเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆที่จะต่อเทียนความดีของท่านต่อไปครับ เราและทีมงานก็ขอมาสักการะท่านเพื่อเป็นสิริมงคลกับทีมงานทุกคน ยังไงก็ฝากหนังเรื่องขุนพันธ์ครับ 14 ก.ค นี้"

          หลังจากนั้น 3 นักแสดงนำ อนันดา, กฤษดา, สนธยา พร้อมด้วย ก้องเกียรติ ผู้กำกับภาพยนตร์ และชาวคณะได้เดินทางไปยัง โรงภาพยนตร์ SF cinema โรบินสัน นครศรีธรรมราช และโรงภาพยนตร์ Major Cineplex สหไทยพลาซ่า นครศรีธรรมราช เพื่อพบปะแฟนๆชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ต่างมาเฝ้ารอนักแสดงคนโปรด ทำเอาฟินกันถ้วนหน้าทั้งตัวนักแสดงที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เต็มไปด้วยความประทับใจ และในขณะเดียวกันเหล่าแฟนๆก็ได้มีโอกาสกระทบไหล่ใกล้ชิดและสวมกอดกับนักแสดงคนโปรดอย่างเป็นกันเอง พร้อมกันนี้ยังได้รับของที่ระลึกสุดพิเศษจากมือของทั้งนักแสดงและผู้กำกับโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ร่วมถ่ายรูปเซลฟี่เอ็กซ์คลูซีฟกันอย่างจุใจ

          สำหรับภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" ถ่ายทอดจากเรื่องราวชีวิตของ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ยอดตำรวจวีรบุรุษมือปราบผู้มีตัวตนจริงอยู่ในประวัติศาสตร์ ต้นแบบของตำรวจดีผู้ใช้พลังศรัทธาแห่งความดีผสมผสานกับวิชาอาคมในการปราบโจรร้ายซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ เป็นที่มาของสุดยอดภาพยนตร์แอคชั่นอาคมเหนืออาคมฟอร์มยักษ์เรื่องยิ่งใหญ่แห่งปีที่คนไทยทุกคนรอคอย 14 กรกฎาคมนี้ มาพิสูจน์กันว่า "แรงกระสุนหรือจะสู่แรงศรัทธาแห่งความดีอันยิ่งใหญ่ของขุนพันธ์" ได้ในทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on July 13, 2016, 02:19:12 PM
สัญญาลูกผู้ชาย อนันดาสวมจิตวิญญาณเป็นขุนพันธ์ เล่นจริงแอคชั่น Long Take ปะทะ 25 สตันท์ระดับพระกาฬ





          ด้วยสัญญาลูกผู้ชายระหว่าง อนันดา เอเวอริงแฮม และผู้กำกับโขม-ก้องเกียรติ นำไปสู่ฉากแอคชั่นเหนือความคาดหมายที่แฟนๆจะได้เห็นพระเอกหนุ่มอย่างอนันดาบู๊ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่ายากที่สุด เหนื่อยที่สุดหนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิต อนันดาต้องถูกส่งไปเข้าคลาสซ้อมคิวแอคชั่นก่อนการถ่ายทำจริงร่วมกับทีมสตันท์แมนซุปเปอร์สตาร์ที่ไปสร้างชื่อเสียงระดับโลกมาแล้ว จากภาพยนตร์เรื่องโคตรสู้โคตรโสที่ศิษย์เอกของปรมาจารย์คิวบู๊พันนา ฤทธิไกร เพื่อร่วมเป็นส่วนสำคัญในฉากแอคชั่นแห่งปรากฎการณ์ภายใต้การควบคุมดูแลโดย วีระพล ภูมาตย์ฝน ผู้กำกับและออกแบบฉากแอคชั่นภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ระดับโลก (ต้มยำกุ้ง2-3D,ช็อกโกแลต,จีจ้าดื้อสวยดุ ฯลฯ) มารับผิดชอบในการออกแบบและกำกับฉากแอคชั่นทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์

          "มันจะมีฉากแอคชั่นอยู่ฉากหนึ่งที่ผมกับพี่โขมเคยคุยกันไว้ ว่าเราควรต้องมีสักฉากหนึ่งไหมที่เป็นฉากจำ หรืออย่างน้อยที่สุดแตกต่างจากหนังแอคชั่นทั่วไป เป็นเทคเดียวอยู่ เป็นการถ่ายทำแบบLong Take เป็นการถ่ายแบบรวดเดียวโชว์แอคชั่นแบบล้วนๆเลย มันจะเป็นการเคลื่อนตัวละครไปด้านข้างของเฟรมกล้อง แล้วก็สู้กับศัตรูเป็นสิบๆคนในฉากเดียว ก็เลยเกิดการดีไซน์ฉากนี้ขึ้นมา ไปซ้อมกับทีมสตั้นท์เพียงแต่ในห้องซ้อมกับหน้าเซตมันจะต่างกัน เพราะว่าตอนเราซ้อม ชุดที่เราใส่อยู่มันไม่ใช่ชุดที่เราใส่ในหนังจริงๆ กางเกงวอร์ม เสื้อกล้าม อุปสรรคของฉากก็ไม่มี แต่พอถึงหน้าเซตนี่แทบจะต้องเริ่มต้นใหม่ เป็นฉากที่อยู่ในโบกี้รถไฟเราต้องสู้จากท้ายโบกี้มาหัวโบกี้ ระหว่างนั้นก็จะมีทีมสตั้นท์เข้ามาทีมละ 3-4 คน รวมทั้งหมด25คน ซีนนี้จะเห็นในภาพยนตร์ประมาณ 4 นาที เป็น 4 นาทีที่ต้องจำคิวเป๊ะๆ เราต้องปรับตัวเข้าฉาก หลายอย่างที่เราซ้อมไว้ก็ต้องแก้ไข เป็นฉากที่นับว่ามันยากมากแล้วมันก็ถอยไม่ได้ เพราะว่าเราก็สัญญากับพี่โขมไว้แล้วว่า เฮ้ย มาซะขนาดนี้แล้ว ต้องทำให้ได้ กี่เทคเราก็ต้องทำให้ได้ แต่บางทีเราลืมไปว่า 4 นาทีนั้นพอเราใช้พลังเต็มที่ พอมาถึงศัตรูแบบ 2-3 คนสุดท้ายนี่คือหมดแม็ก มันคือแบบเฮือกสุดท้ายจริงๆ อีกนิดเดียวจะเป็นลมอยู่แล้ว พอเล่นเสร็จก็จะมีทีมเข้ามาพร้อมกับถังออกซิเจน มาให้เราหายใจ รู้สึกว่าถ่ายไป 9 เทคนะถ้าจำไม่ผิด พูดได้ว่าเป็นวันที่ถ่ายทำที่เหนื่อยที่สุดในหนังเรื่องนี้ ผิดพลาดทีก็ต้องเริ่มต้นใหม่แต่พอทำได้ก็เป็นฉากที่น่าจดจำสำหรับผม เป็นฉากที่ภาคภูมิใจมาก เป็นการยกทีมสตั้นท์ฝีมือดีลูกศิษย์พี่พันนามาทั้งหมดเลยในซีนนี้"

          เป็นการยืนยันและการันตีว่า สปิริท ความรัก และการทุ่มเทในการถ่ายทอดจิตวิญญาณเป็น "ขุนพันธ์" วีรบุรุษมือปราบที่ผดุงความยุติธรรม และเป็นที่ยำเกรงของเสือร้ายโจรซุ่มเลื่องชื่อที่ถูกบันทึกในแฟ้มอาชญากรรมของไทย จากนักแสดงซุปเปอร์สตาร์อย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม รวมไปถึงนักแสดงแอคชั่นตลอดจนทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดที่มาร่วมกันถ่ายทอดจินตนาการสุดฝีมือ ในภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" 14 ก.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on July 13, 2016, 02:47:57 PM
ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ “ขุนพันธ์” ล่วงหน้า รับฟรี “เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ 59” จำนวนจำกัด



           สหมงคลฟิล์ม พร้อมมอบสิทธิพิเศษ ให้กับลูกค้าที่ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้า (Advance ticket) "ขุนพันธ์" ทุก 2 ที่นั่ง จะได้รับเหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ 59 จำนวน 1 เหรียญ โดยขอสงวนสิทธิ์เฉพาะการซื้อตั๋วที่หน้าโรงภาพยนตร์เท่านั้น (ยกเว้น การซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์) เปิดขายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกโรงภาพยนตร์ ทุกสาขา ทั่วประเทศ จำนวนจำกัด เพียง 10,000 ชุดแรกเท่านั้น โดยไม่มีการวางจำหน่ายที่ใดทั้งสิ้น มาก่อนมีสิทธิ์ก่อน

          เตรียมพบกับภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์ เรื่องราวของมือปราบแห่งอาคมใน "ขุนพันธ์" 14 กรกฎาคม นี้ทุกโรงภาพยนตร์

          ***รายชื่อโรงภาพยนตร์ที่ร่วมโปรโมชั่น ได้แก่ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป, โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ, เซ็นจูรี่, MVP, เนวาด้า, โคลีเซียม และเครืออื่นๆ (ยกเว้น โรงภาพยนตร์ในเครือ เมเจอร์ ฮอลลีวูดและธนา ซีนีเพล็กซ์)
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on July 13, 2016, 02:51:39 PM
“หลวงโอฬาร” ตัวร้ายในมิติที่ลึกยิ่งกว่าคู่ปรับของ “ขุนพันธ์” บทนี้ต้อง “แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี”เท่านั้น จาก “อันธพาล” สู่ “ขุนพันธ์” การกลับมาร่วมงานครั้งสำคัญกับ “ก้องเกียรติ โขมศิริ” กับอีกหนึ่งบทบาทที่ทุกคนต้องจับตา





          "พี่โขมเป็นคนที่ใช้ความมืดมาบีบคั้นคนดูเพื่อให้เห็นคุณค่าของแสงสว่าง เขาใช้ความมืดกดดันเพื่อให้คนดูหิวกระหายความสว่าง และเมื่อความสว่างโผล่ออกมาเมื่อไหร่มันจะดื่มด่ำขึ้นมาทันที มันจะโอ้ว มันสว่างแล้ว และนี่คือวิธีการของพี่โขมที่ผมชอบความละเมียดละไมแบบนี้มาก กดดันให้คนหิวความสว่าง กดดันให้คนหิวความสดใส พอมันถึงความสว่างขึ้นมาปุ๊บ อ๋อมันสว่างขึ้นมาจริงๆ"
มุมมองของ "แฟรงค์ " ที่มีต่อลายเซ็นต์ในการกำกับของ "ผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ"

Q.ครั้งแรกที่ได้รู้จักท่านขุนพันธ์
          A. รู้จักท่านขุนพันธ์ครั้งแรกจากหนังสือพิมพ์ครับ จากรายการทีวี จากหลายๆแหล่งที่ต่างพูดเหมือนกันว่าท่านคือตำรวจที่ดี แล้วก็ทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ที่โดนใจมากเลยก็คือเรื่องของการมีอาคม คือคนสมัยก่อน สภาวะแวดล้อมสิ่งต่างๆมันไม่เหมือนสมัยนี้ มันก็จำเป็นที่ต้องมีคาถาอาคม อย่างผมเองมีโอกาสที่ได้ทันคุณทวดของผมซึ่งเป็นคุณยายของคุณพ่อ คุณทวดจะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่งซึ่งในนั้นก็จะมีคาถามากมาย อย่างเช่น เวลาที่คุณโดนของร้อนไฟลวกนะคุณก็ต้องเป่าคาถานี้นะ เวลาคุณเดินไปในพงหญ้าคุณกลัวงูคุณก็ต้องท่องคาถานี้นะ พออ่านเรื่องของขุนพันธ์ว่าท่านมีคาถาอาคมก็เลยยิ่งอินเข้าไปใหญ่ เมื่อก่อนมีความศรัทธาทางด้านนี้ เขามีวิชาอย่างนี้อยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าท่านเป็นตัวแทนของคนไทยในยุคนั้น ท่านก็เป็นตำรวจตัวแทนของด้านสว่าง ถ้าในวันวานคนทุกคนมีอาคม คุณจะใช้อาคมของคุณไปในทางไหนล่ะ ท่านมีพลังอาคมอันแก่กล้าแล้ว ท่านใช้ไปในทางที่ดี นี่คือฮีโร่ของยุคนั้นครับผม แล้วพอได้มีโอกาสมาร่วมงานภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ ความรู้สึกที่มีต่อขุนพันธ์เมื่อสัมผัสแรกยิ่งเข้มข้นมากขึ้นด้วยความชื่นชม และประทับใจจากการได้รู้เรื่องราวในส่วนประวัติของท่าน ว่าท่านปราบเสือ ปราบโจรร้ายมาหลายที่ ด้วยพลังของความดี

Q. ทราบมาว่าในการที่ได้มีโอกาสเป็น1ในตัวละครสำคัญ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อรับบทนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงกับศึกษาบรรยากาศแวดล้อมของยุคสมัยของภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว
          A. ผมก็ต้องไปหาว่ายุคนั้น ยุคก่อนสงครามโลกบ้านเมืองมันเป็นอย่างไร ความวุ่นวายมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็มีการอ่านหนังสืออยู่ 3 เล่มครับ(หัวเราะ) เพื่อดูภาพของความเป็นอยู่ตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ จนถึงช่วงเวลาที่ขุนพันธ์มีชีวิตครับ เล่มที่ 2 พูดถึงเรื่องความคิดของชนชั้นปกครองที่เปลี่ยนไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4-รัชกาลที่ 7 ตอนที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เล่มที่ 3 อ่าน100ปีแห่งความโดดเดี่ยว มันเป็นหนังสือที่เป็นเรียกว่าเป็นแนวหรือประเภท Magical realismซึ่งเป็นแนวเดียวกับหนังเหมือนกัน ก็เลยได้คำตอบว่าสังคม ความคิดของคนมันไม่เหมือนตอนนี้ คนไทยยังคิดเรื่องเหตุผลแบบไตรภูมิอยู่ครับ แบบเวียนว่ายเกิดแก่เจ็บตาย ฉันเป็นผู้น้อยเพราะว่าฉันทำบุญมาน้อยในชาติที่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันความคิดแบบใหม่มันกำลังวิ่งเข้ามาในเมืองไทย แบบการศึกษา คิดแบบฝรั่ง ณ ยุคหนึ่งของขุนพันธ์ คนเรามีมีสิทธิ์ที่จะหาความรู้ได้ เราเริ่มมองข้ามความคิดแบบบาปบุญคุณโทษ เรารวยได้เราเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ มันเลยเป็นช่วงจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่ทำให้เกิดโจรไง แบบหลวงโอฬารทำไม่ดีใส่ กดขี่ข่มเหง การสอดส่องปกครองยังไม่ทั่วถึง การจะออกจากกรุงเทพฯไปแค่ราชบุรีมันใช้เวลาวันหนึ่งนะครับคุณ เมื่อสังคมข้างบนมันเต็มไปด้วยคนที่คิดที่จะดึงผลประโยชน์ต่างๆเข้าหาตัวเอง นั่นแหละครับมันเลยทำให้เกิดฮีโร่ขึ้นมา ขุนพันธ์เป็นคนที่ไม่ยอมที่จะทำตัวไม่ดี เชื่อมั่นในความดี แล้วออกไปปราบเหล่าเสือร้าย ในที่สุดเท่าที่อ่านมา ณ จุดนั้นเสือร้ายบางคนไม่ใช่โจรร้าย บางคนทำด้วยคุณธรรมด้วยซ้ำไป นี่แหละครับ ท่านเป็นคนที่เชื่อมั่นในพลังของความดีแล้วพลังความดีก็ปกป้องท่าน ถามว่าเสือร้ายต่างๆมีอาคมมั้ย มี แต่ว่าสิ่งที่เป็นอาคมที่มีพลังที่สุดคือความดีของท่าน มันเป็นเรื่องยากมากที่คนมีพลังขนาดนั้นจะดึงตัวเองให้อยู่ในด้านสว่างตลอดเวลาครับผม

Q. การกลับมาร่วมงานกับก้องเกียรติ โขมศิริ เป็นครั้งที่2 ได้มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
          A.ตอนแรกพอได้ทราบว่าจะได้เล่นเรื่องขุนพันธ์ ผมก็เตรียมตัวโดยการเอาหนังสือประวัติศาสตร์มาอ่าน ผมอยากจะดูสภาพแวดล้อมของประเทศเป็นอย่างไร การคมนาคมจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งลำบากยากเย็นขนาดไหน และมันทำให้เรารู้ว่าการเดินทางจากพระนครไปเมืองใต้ มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลยนะ มันเป็นเหมือนการเดินทางไปจาริกแสวงบุญด้วยซ้ำไปเพราะว่ามันเป็นการเดินทางที่ไกลมาก คนๆหนึ่งที่จะสามารถไปตรงนั้นด้วยปฏิบัติการลับได้ จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจมุ่งมั่นจริงๆสำหรับการทำความดี สำหรับการทำหน้าที่ของตัวเองซึ่งผมก็ดีใจครับที่ได้มีโอกาสเป็นตัวละครซึ่งเป็นปรปักษ์กับขุนพันธ์ เป็นคนที่จะต้องสู้กับอำนาจของความดีที่บริสุทธิ์ขนาดนั้น ในเมื่อเรามีโอกาสได้รู้ว่าเราจะต้องสู้กับคนดีมากๆ มันทำให้ผมต้องไปเตรียมตัวว่าเลวแค่ไหน เพื่อที่พอจะสู้กับคุณธรรมของคนอย่างนี้ให้ได้ เป็นเกียรติที่ได้นำเสนอเรื่องของท่านให้คนได้รู้ว่าคนที่รักประเทศชาตินี้และมีอุดมการณ์ที่แท้จริงเคยอยู่ในประเทศนี้ แล้วผมก็หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คนได้กลับมาสู่ยุคสมัยที่ผู้คนต่างมีอุดมการณ์กลับมาอีกครั้งหนึ่งครับ

Q.เรื่องราวของท่านขุนพันธ์จากมุมมองของแฟรงค์
          A. เรื่องราวของขุนพันธ์เป็นเรื่องของข้าราชการตำรวจท่านหนึ่งครับซึ่งมียศเป็นท่านขุน ท่านเป็นมือปราบโจรดังๆมากมาย มีเรื่องเล่ามากมายว่าท่านเป็นนายตำรวจหนังเหนียว เป็นตำรวจซึ่งถ้าจับโจรได้แล้วจะเอาหัวกะโหลกของโจรมาไว้ใต้บันไดเป็นการตัดไม้ข่มนาม เป็นตำรวจซึ่งสามารถปราบเสือร้าย ซึ่งใครบอกว่าคงกระพันชาตรีก็ปราบได้ มีเวทย์มนต์ท่านก็ปราบได้ แต่สิ่งที่ผมมองไปมากกว่าการมีเวทย์มนต์ หรือเรื่องมนต์ดำคือท่านมีจิตใจที่มุ่งมั่นในความดี และท่านก็มีความศรัทธาในสิ่งที่ท่านทำว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกที่ต้อง พระถึงคุ้มครองท่าน
Q. ที่เราจะได้เห็นฝีไม้ลายมือทางด้านการแสดง ของนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทย มาเฉือดเชือนตั้งแต่นักแสดงหลักอย่างอนันดา ,น้อย-กฤษดา ไปจนถึงนักแสดงสมทบ
          A. ใช่ครับ ผมดีใจมาก ผมเห็นนักแสดงแต่ละคน ล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงที่มีพลังทางการแสดงสูงครับ ตัวละครที่เป็นนักแสดงสมทบในบทนายตำรวจเผือก หรือสารวัตรดำเกิง หรือใครอีกหลายคนซึ่งล้วนต่างมีความกระหายที่จะแสดง น้องอ้อม-กานต์พิสชา(แม่เบี้ย) ซึ่งมันทำให้เข้มข้น แล้วบทของพี่โขมที่เขียนมามันจะพลิกไปตลอดเรื่อง เรื่องที่คุณคิดว่าคุณรู้แล้ว สิ่งที่เฉลยออกมามันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง คือมันจะมีตลอดทั้งเรื่องให้เราได้ติดตามกัน และแน่นอนว่าทีมแอ็คชั่น นักแสดงคิวบู๊ต่างๆแต่ละคนก็ทุ่มเทจริงๆครับ คิวบู๊อลังการมาก รับรองว่าคุณจะได้ทั้งความสนุกสนานทางด้านแอ็คชั่น ได้ความเข้มข้นของการเชือดเฉือนของบท แต่ที่ท้าทายมากๆคือการที่ต้องเล่นกับนักแสดงที่มีความสามารถสูงๆ อย่างอนันดา พี่น้อย เขาจะต้องปะทะกันด้วยอารมณ์ด้วยคารม บางฉากมันมีการพูดกันน้อยมาก บางฉากขุนพันเดินขึ้นมาบนโรงพักเพื่อที่จะปลดหลวงโอฬารออกจากตำแหน่งคืออนันดาเขาก็มาเต็มไง เพราะเขาทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องทำอย่างไรให้เอาอยู่ สามารถตอบโต้เล่นโต้กันได้ ก็ดีใจครับที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงที่มีฝีมือ ก็เลยทำให้เราอยากจะพัฒนาฝีมือให้มากกว่านี้ เลยรู้สึกว่าเราค่อนข้างได้บทที่ค่อนข้างโชคดี แล้วก็มีสีสันมากๆเลย

Q.คงต้องเล่าให้ฟังแล้วถึงบทบาทที่ได้รับในภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์
          A. ผมรับบทเป็นหลวงโอฬาร เป็นข้าราชการที่อยากเป็นใหญ่ ด้วยการให้ผลประโยชน์แก่คนต่างๆโดยที่ไม่ได้มอบสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ มอบสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อเกินจำเป็นมันก็เลยทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเหล่านี้เสียไป เบื้องหน้าอาจจะดูเป็นคนที่ดูใจดีดูเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ความช่วยเหลือคนอื่น แต่ที่จริงแล้วหวังสิ่งตอบแทน ไม่ได้เพราะใจเมตตา จุดเริ่มต้นของตัวหลวงโอฬารก็คล้ายๆกับข้าราชการ แต่เขาก็รู้ว่าอุดมการณ์ที่ดีมันก็ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นจริงได้ง่าย ในโลกของความเป็นจริง เขาก็เลยเลือกทำความเลวทำได้ง่ายกว่า ตัวหลวงโอฬารกลับมองที่ความสุขคือรูปร่างภายนอก ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดๆเป็นข้าราชการที่ขี้ฉ้อโกงกิน ขายชาติ ต่ำช้า ด้วยความคิดที่ว่า ทุกคนสามารถเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาได้ เมื่อหลวงโอฬารได้ถูกย้ายไปที่ที่ทุรกันดารห่างไกลด้วยความคิดที่แสนชาญฉลาดและเลวร้าย ในเมื่อเราไม่ได้อยู่ในที่ที่เจริญ เราก็สร้างความเจริญขึ้นมาใหม่สิ หลวงโอฬารเป็นคนที่เรียนนอกมา อันนี้เป็นแบคกราวด์ข้างหลังของตัวละครไม่ได้ถูกเอามาเล่าในหนัง เรียนปีนังมา อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ อ่านภาษาฝรั่งเศสได้ มีความคิดแบบฝรั่งเศสที่แบบเป็นนักปฏิวัติ ฉันสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ มีความรู้ทางการเมือง สงครามโลกกำลังจะมาใกล้แค่ไหน ฮิตเลอร์อยู่ตรงไหนของโลกแล้ว เขาใช้ช่องว่างนี้ในการเอาเปรียบคน เขาสร้างท่าเรือขึ้นมาเพื่อให้สินค้าเข้า เขาทำให้มีฝรั่งเข้ามาตรงจุดนี้ เพื่อให้มันมีวิถีชีวิตแบบชาวฝรั่ง และก็ดึงคนในชุมชน ดึงคนในเมืองเข้ามาทำงานรับใช้ฝรั่ง เพื่อให้คนที่มีชีวิตแบบเดิมได้เห็นถึงชีวิตแบบศิวิไลซ์ เขาสร้างบ่อนขึ้นมาเพื่อให้วงจรชีวิตของคนในนั้นต้องมาติดกับเขา เขาก็จะเป็นเจ้าของเงินตราติดลบของทุกคนในชุมชน สร้างสโมสรงาช้างเพื่อเป็นแหล่งที่จะทำให้มีฝรั่งมีชาวญี่ปุ่นทำให้สโมสรนี้เป็นจุดศูนย์รวมของโลก แล้วก็ตบตาคนทั้งเมืองว่าสิ่งที่เขานำมานั้นคือความเจริญ โดยมีศูนย์กลางที่เมืองเมืองนี้ เหมือนกับคนที่ถูกบีบให้ไปอยู่ชายขอบ เขาก็จะกลายเป็นโจรนั้นก็คืออัลฮาวียะลู หลวงโอฬารเลือกที่จะใช้โจรเป็นกองกำลังของตัวเองในการนำสินค้าเข้า ในการนำสินค้าหนีภาษีเข้า เอามาขายในราคาแพงในสโมสรงาช้างของตัวเอง ลูกสาวของคนที่ไม่มีหนี้ที่จะใช้ก็ต้องกลายไปเป็นโสเภณี ซึ่งจริงๆพวกเขาไม่ใช่โจร เมืองนี้ไม่ให้มีการตรวจสอบจากรัฐบาลกลางมาโดยตลอด จนขุนพันธ์เข้ามาทุกอย่างก็เลยเกิดขึ้น ขุนพันธ์มาเป็นฮีโร่

Q.เห็นว่าผู้กำกับก้องเกียรติใส่ใจในทุกรายละเอียดของตัวละคร ถึงขนาดที่ว่าเราสามารถสัมผัสได้ถึงบุคลิกคาแรคเตอร์ของตัวละครสะท้อนผ่านจากชุดหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่เลยทีเดียว
          A. การแต่งตัวของหลวงโอฬารก็จะสะท้อนถึงบุคลิกของเขา ที่จะใส่ใจหรือสนใจแต่เรื่องภายนอก ข้างในมันจะเป็นอย่างไรไม่ได้สนใจ จากการแต่งตัวดูมีอารยะ เหมือนกับที่เขาเอาความเจริญมาใส่ให้ ความเจริญฟู่ฟ่า แต่จริงๆแล้วคนต้องการรึเปล่า ผมใส่ครั้งแรกแล้วผมแบบ ยืนกลางกองแล้ว ฮาๆๆ เสื้อฉันขาวกว่าใครเพราะว่าฉันรับสบู่จากปีนังมาใช้ เอาสบู่จากปีนังมั้ยล่ะก้อนละ 20 บาทเอง ทองบาทละตั้ง 20 เขาเดินไปไหนเขาก็จะมีกล้องตัวหนึ่งตาม เขาสามารถที่จะซื้อกล้องเข้ามานะ พอทำคาแรคเตอร์กับพี่โขมไปประมาณหนึ่งด้วยการนั่งคุยกัน ผมอ่านหนังสือเล่มนี้มา ผมสามารถทำท่าน่าหมันไส้ได้อย่างไม่เคอะเขิน

Q.ฟังดูแล้วเป็นตัวละครสำคัญที่พูดได้ว่าเป็นทั้งตัวแปร และเป็นตัวละครที่มีสีสันมากเลยทีเดียว ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับอีกตัวละครสำคัญอย่าง "อัลฮาวียะลู" คู่ปรับคนสำคัญของขุนพันธ์
          A. "อัลฮาวียะลู" ที่แสดงโดยพี่น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ในภาพยนตร์เขาเป็นทายาทโจรมาตั้งแต่แรก เราเห็นเขามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เราเห็นแววความมุ่งมั่นของเขาในการทำเพื่อส่วนรวม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนหัวอ่อนซึ่งๆสามารถเกลี่ยกล่อมได้ง่าย เพราะว่าจิตใจเขาดีบริสุทธิ์ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่หลวงโอฬารใช้ความบริสุทธิ์ของคนรอบตัวของ "อัลฮาวียะลู" มาเป็นเครื่องมือโดยการร่วมมือกัน สิ่งที่"อัลฮาวียะลู" ปล้นมาได้ก็จะนำมาเป็นกำลังทรัพย์ของหลวงโอฬารเพื่อที่จะเลี้ยงกองกำลังของ"อัลฮาวียะลู" ต่อไป เพื่อที่จะปกป้องเขาบูโดนี้ให้อยู่ใต้อาณัติของหลวงโอฬาร เงินที่ได้ก็เอามาสร้างสโมสรงาช้างเป็นที่ที่ผลิตเงินจากสิ่งนอกกฎหมายมากมาย จนกระทั่งวันหนึ่งที่ขุนพันธ์สามารถเข้ามาในเขตนี้ได้ มันทำให้ตัวหลวงโอฬารต้องปรับตัวกับการสั่นคลอนของอำนาจ เพราะว่าตัวขุนพันธ์ก็เอาจริงเอาจังและในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถจะปราบเขาลงได้เหมือนกับผู้ตรวจการคนอื่นๆที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเราก็คงต้องชนกัน แต่ หลวงโอฬารวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว โดยใช้กองกำลังของอัลฮาวียะลูเป็นตัวต้านทานขุนพันธ์ นี่คือสิ่งหนึ่งที่สะท้อนในตัวคาแรคเตอร์ที่ว่าเขาพร้อมจะไปทุกอย่าง มีช่องทางไหนที่เขาจะเติบโตได้ ที่จะใหญ่ได้ เขาพร้อมที่จะทำ และพร้อมที่จะเปลี่ยนเหตุผลให้ตัวเองได้เสมอๆเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น

Q. ถือได้ว่าเป็นตัวร้ายในภาพยนตร์แอ็คชั่นที่มีมิติและเต็มไปด้วยความซับซ้อนเลยทีเดียวในฐานะนักแสดงแล้วบทนี้ทั้งยากและท้าทายการแสดงอย่างไรบ้าง
          A. พอเมื่ออ่านบทผมเชื่อว่าบทของหลวงโอฬารเป็นตัวแทนของความเลว และผมก็ทำการสดุดีความดีของขุนพันธ์ ด้วยการทำตัวหลวงโอฬารให้เลวที่สุดอย่างสมเหตุสมผลในทุกๆมิติ อย่างมีที่มาที่ไป ผมเชื่อว่าถ้าตัวละครของหลวงโอฬารยิ่งเลวเท่าไหร่พลังงานความดีของขุนพันธ์จะยิ่งส่องแสงได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พี่โขมบอกว่าหนังเรื่องนี้พี่โขมอยากจะให้คนได้เห็นคุณค่าของความดี พี่โขมจะเล่าถึงความมืดมนที่มันเกิดขึ้นจนท่านผู้ชมกระหายอยากความสว่าง ผมได้รับบทเป็นความมืดมนสีขาว ที่มันดูช่างสะอาดเหลือเกิน เพราะฉะนั้นยิ่งผมไปได้สุดเท่าไหร่มันยิ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อท่านขุนพันธ์มากแค่นั้น ผมพยายามทำสุดฝีมือ สำหรับบทหลวงโอฬาร มันมีความยากอยู่อย่างหนึ่งคือ หลวงโอฬารจะเป็นคนที่รู้อะไรก่อนที่ทุกคนในเรื่องนี้จะรู้ทุกอย่าง อันนี้คือข้อได้เปรียบของตัวละครนี้ แล้วมันทำให้เราสนุกสนานว่า แล้วเราจะเก็บไว้ยังไงให้ทั้งคนดูก็ไม่รู้ทั้งคนที่เล่นกับเราก็ไม่รู้ว่าเรารู้ ความท้าทายที่สุดมันคือ มันคือการต้องอยู่ในยุคนั้นให้ได้ เมื่อก่อนการที่คนจะรู้ข่าวสารรอบๆได้นั้น มันไม่มีหนังสือพิมพ์ ประเทศไทยไม่มีวิทยุ ส่วนมากคนเราจะได้รับข่าวสารจากลิเก หนังตะลุง ลำตัด คณะโน้นคณะนี้ที่เวียนกันมาแล้วก็เล่าขานด้วยภาษาไทย แต่หลวงโอฬารมีช่องทางการรับรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ แสดงว่าเขาจะต้องมีความรู้เรื่องภาษา ในเรื่องก็จะมีชาวฝรั่งเศสเข้ามาสโมสรงาช้าง ต้องพูดหลายภาษามากเป็นนักการเมืองชาวใต้ก็ต้องพูดภาษาใต้ได้ ซึ่งภาษาใต้ยากที่สุดเพราะว่าสำเนียงมันยาก แล้วถ้าเกิดพูดผิดมันจะกลายเป็นล้อ เราก็พยายามที่จะพูดให้ชัดทันที ต้องพูดภาษาญี่ปุ่น ร้องเพลงญี่ปุ่น มีกงสุลฝรั่งเศสเข้ามาก็ต้องพูดภาษาฝรั่งเศส อาศัยว่ามีเจ้าของภาษา มาอธิบาย แต่ละพยางค์ แต่ละประโยคว่ามันหมายถึงอะไร แล้วก็พยายามที่จะสื่อสารให้ได้ในจังหวะจะโคนที่มันถูกต้อง พี่โขมส่งครูฝรั่งเศสมาให้ก็เขียนคำภาษาไทย ไปหาหนังฝรั่งเศสมาดู เขามีวิธีการออกเสียงกันอย่างไร ญี่ปุ่นนี่ตอนแรกไม่ต้องได้พูดหรอก แต่ว่าคุยกับพี่โขมว่าพอถึงไลน์ที่เสนอขายชาติเราพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นกลับไป มันจะดีมั้ยพี่ พี่เขาบอกเอาๆ แล้วก็ได้ฉากนี้มาเขาก็สอนให้ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย แต่ที่ยากที่สุด ภาคใต้ครับผม มันจะต้องมีฉากปราศรัย แล้วบทมันก็เป็นภาษาไทยภาษาภาคกลางนี่แหละ พี่โขมบอกว่า เฮ้ยแฟร้งค์เคยเห็นนักการเมืองมั้ยเวลาไปไหนเขาจะพูดภาษานั้นนะ คุณเป็นคนกรุงเทพแต่ว่าสิ่งที่อยากได้คือเป็นนักการเมืองแบบน่ารัก พูดภาษาใต้เลย แล้วมันอันตรายมากคือภาษาใต้ถ้าเราพูดไม่ตรงมันจะเหมือนล้อเลียนทองแดง ก็ได้คุณครูสน อัดวีดีโอคุณครูสนเลยให้อ่านให้ฟังแล้วก็เหมือนร้องเพลงเลย เนี่ยแหละความท้าทาย และสิ่งที่เป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่งในคาแรคเตอร์นี้ก็คือ หลวงโอฬารเป็นคนที่รู้เยอะ มีความทะเยอทะยานด้วย บุคลิกของเขาก็เลยมีพลัง มันคือการที่ผมศรัทธาในความดีของขุนพันธ์ครับ
Q.ฉากที่เป็นความประทับใจในการทำงานในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์
          A.มีหลายฉากครับที่ประทับใจ ฉากโรงพัก เป็นการพบกันครั้งแรกของหลวงโอฬารกับขุนพันธ์ หลังจากที่หลวงโอฬารไปฆ่าจเรตำรวจมาแล้ว รู้ข่าวว่าจเรตำรวจจะมา เอาอัลฮาวียะรู และสมุนออกไปฆ่า คนที่เล็ดรอดมาได้คือขุนพันธ์ แล้วก็อยู่ในสโมสรงาช้างมาตลอดจนวันหนึ่งเขาจึงปรากฏตัวในเครื่องแบบมาที่โรงพัก แล้วไล่หลวงโอฬารออกจากราชการ ด้วยพลังของความดี และความเลวก้อนใหญ่ๆ พอมันชนกัน คือฉากนั้นเล่นมันมาก คือแบบว่าคุณรู้ว่าผมเลว ผมรู้ว่าคุณดี เรามาพิสูจน์กันว่าความดีหรือความเลวหรืออำนาจกันแน่ที่จะข่มกันอยู่อย่างนี้ แล้วเป็นครั้งแรกที่เล่นกับอนันดา เราได้สัมผัสเขามีพลังอยู่ข้างใน วันนั้นผมไม่ออกจากกองเลย ผมประทับใจ ผมเดินตามอนันดาเดินดูว่าอนันดาแสดงอะไรต่อ อีกฉากหนึ่งที่ประทับใจเลย อันนี้เป็นเรื่องงานสร้างย้อนกลับไปพอผมอ่านหนังสือสามเล่ม ผมได้เห็นภาพของเมืองของบ้านของคน ปลูกอย่างไรใช้วัสดุอะไรในการปลูก แล้วพอผมได้เห็นสโมสรงาช้างผมขนลุกเลยนะ หลวงโอฬารเป็นเจ้าของสิ่งนี้คือมันรวยมากนะมันมหาอำนาจ แล้วสวยงาม มีระเบียงศิลปะแบบโคโรเนียล ยุคล่าอาณานิคมอะไรแบบนี้ คือมันทำให้ยิ่งตัวละครผมมันทำได้ลึกขึ้น คือยุคอาณานิคมนะ ทุกอย่างมันมีศิลปะ วัฒนธรรม ในความฝรั่งมันมีความจีน ในความจีนมันมีรูปไทยๆ หรือในคลับซึ่งมีนักดนตรีสากลมาเล่น ในขณะที่นอกคลับงาช้างนี้ยังเป็นลำมะนา ปี่พาทย์กัน มีเปียโน มันยิ่งเสริมสิ่งที่เราทำการบ้านมาคราวนี้พลิ้วเลย รวมไปถึงงานอาร์ตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย ไม้ถือ หมวก อะไรแบบนี้ครับ พอยิ่งฉากเยอะๆ เช่นฉากสร้างทางรถไฟ พอเราไปยืนอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่เหมือนเรา คนแต่งตัวชาวบ้านชาวช่องเรายิ่งรู้สึกว่าโอ้โหตัวละครนี้มันช่างศิวิไลซ์จริงๆ มันช่างมีอำนาจซะเหลือเกิน

Q. การทำงานร่วมกับผู้กำกับอย่างก้องเกียรติ โขมศิริ
          A. พี่โขมหลายคนอาจจะบอกว่าเป็นผกก.เลือดสาด แต่จริงๆก่อนที่จะมาเจอจุดเลือดสาดมันจะมีความละเมียดละไมครับ พี่โขมเป็นคนที่ใช้ความมืดมาบีบคั้นคนดูเพื่อให้เห็นคุณค่าของแสงสว่าง แล้วมันทำให้เกิดผลของความรู้สึกทางอารมณ์ที่มันรุนแรงครับ การทำงานกับพี่โขมสนุกครับ ที่ผ่านมาเพราะว่าผมกับพี่โขมสนิทกันมาตั้งแต่เด็กน้อยตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง 14 ตุลาสงครามประชาชน ตอนนั้นพี่โขมเป็นพรอพ ทำน้ำป่าอยู่ เป็นคนเขย่าเข่งให้น้ำกลายเป็นสีแดง แล้วก็โตมาก็มีโอกาสได้เจอกัน พี่โขมทำงานด้วยหัวใจจริงๆ เขารักในการเล่าเรื่อง เขารักที่จะสร้างชิ้นงานที่เป็นมหรสพให้กับท่านผู้ชม เขาจะทุ่มเทกับทุกงานและเราก็จะสนิทกัน แล้วเราก็จะค่อยๆเพิ่มตัวละครทีละนิด งานมันถูกเตรียมเป็นปี ตั้งแต่บทถูกสร้างขึ้นมาจนกระทั่งบทเสร็จ แล้วพอไปในกองปั๊บเราไม่ต้องกังวลเราไม่ต้องคิดเรื่องอื่นเลย มันสามารถเล่นไปได้เลย คราวนี้มันก็ยิ่งสนุก ฉากนี้เล่นแบบนี้ดีกว่า 4-5 ฉาก ทำให้ได้เห็นแง่มุมในความคิดต่างๆ ความรู้สึกต่างๆ การปะทะกับคนต่างๆในมิติที่แตกต่างกันหลวงโอฬารจะเจอกับน้องมาลัยก็จะทำตัวแบบหนึ่ง เจอกับอัลฮาวียะรูก็ทำตัวอีกแบบหนึ่ง เจอกับพี่สนก็ทำแบบหนึง อะไรแบบนี้ครับ

Q.ความรู้สึกที่มีต่อนักแสดงอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม
          A. ไม่ค่อยได้มีฉากชนๆกับพี่อนันดาเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นพี่น้อย แต่ว่าผมชอบอยู่กองไง เราไปถ่ายกันที่ต่างจังหวัดส่วนมากจะเป็นกุยบุรี เมื่อถ่ายเสร็จปุ๊บเราก็จะอยู่ที่นั่นเพื่อรอถ่ายวันรุ่งขึ้น เขาเท่มากเลยครับ คืออนันดาไม่ได้เป็นแบบที่เราเห็นนะครับ เขาเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งไงที่เดินกุ๊กกิ๊กๆ เฮ้ยพี่ทำอะไร แต่พออยู่ในบทปุ๊บต่อให้ติดหนวดแล้วนะรูปลักษณ์เสร็จแล้วนะเขาก็ยังเป็นเด็กกุ๊กกิ๊กๆ แต่พอเขาเริ่มจะเล่นปั๊บคือเขามาเลย เฮ้ยเยี่ยมว่ะ เขามีมาดพระเอกอย่างไอ้ฉากที่เปิดเรื่องที่ยิงกันที่ปัดกระสุนปืนที่เป็นทีเซอร์ตัวแรกเลย ผมมีโอกาสได้ไปนั่งดูด้วยคือเท่ห์ พลังเขาสูงมาก เราได้เรียนรู้จากคนเก่งๆ ไม่มีข้อสงสัยกับการที่อนันดาเป็นขุนพันธ์ อนันดาเป็นคนที่ใส จิตใจดี รู้จักหาความงามของโลกใบนี้ เมื่อมันไปประกอบกับการแสดงที่เขาร่ำเรียนมาที่เขาทำความเข้าใจมาตลอดในวิชาชีพของเขา ความดีที่มีอยู่ในตัวอนันดาบวกกับความดีของขุนพันธ์ที่เป็นแบบอย่างมันจึงเชื่อมกันได้อย่างไม่เป็นปัญหา เขารู้ว่าคนเราดีไปเพื่ออะไร อนันดารู้จักและรู้สึกได้ถึงความงดงามของความดี เหมือนที่อนันดาเป็นนักแสดงแล้วก็ทำงานอย่างมีคุณภาพมาตลอด แต่ในคราวนี้เขาจะสวมบทบาทของคนที่รักในงานเหมือนกัน และงานนั้นคืองานที่ทำลาย ปราบปรามและสยบความชั่วร้าย

Q.อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย พี่น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์กับการร่วมงานกันเป็นครั้งที่หลังจากอันธพาล
          A. พี่น้อยร่วมงานกันมาตั้งแต่อันธพาลแล้ว รักพี่เขาอยู่แล้ว พี่น้อยเป็นอาร์ททิสต์ครับ คือเขาเป็นเครื่องมือในการนำพลังจากศิลปะแล้วถ่ายทอดออกมาได้เป็นคนที่มีธรรมชาติแบบนั้นอยู่แล้ว นั่นทำให้ทุกครั้งที่พี่น้อยแสดงมันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น แน่นอนพี่น้อยต้องทำการบ้านมา แต่ว่า ณ ขณะนั้น แล้วเวลาเราเล่นอยู่กับพี่น้อย เราจะต้องเปิดสมาธิอย่างมาก และเขาก็จะรอเรานะ เขาก็จะดูว่าเราเล่นจะต้องเล่นเบอร์นี้ แต่ว่าเมื่อเราเล่นกับพี่น้อย เราเปิดรับกันสดๆ มาเบอร์นี้หรอ ฉันผลักกลับเบอร์นั้นอย่างงั้นหรอ มันเหมือนเกิดขึ้นจริงๆ เวลาเล่นกับพี่น้อยมันเหมือนเรามีเรื่องราวด้วยกันจริงๆ พี่น้อยเป็นกองกำลังของเราจริงๆ เรามีความกริ่งเกรงกันในแต่ละด้านของกันจริงๆ ถ้าหลวงโอฬารเป็นเหมือนผู้นำ อัลฮาวียะลูจะเป็นเหมือนแม่ทัพ แน่นอนผู้นำขาดแม่ทัพไม่ได้ และแม่ทัพก็ขาดผู้น้ไม่ได้เช่นเดียวกัน

Q.ประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานและสิ่งที่อยากจะพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ "ขุนพันธ์"
          A. หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การถ่ายทำหนังธรรมดา ไม่ใช่แค่หนังแอคชั่นที่จะมีบู๊เลือดสาดกันอย่างเดียว แต่มันเป็นหนังที่บอกถึงปัญหาของประเทศเราครับ บอกถึงปัญหาของความคิดของคน อย่างเช่นเมื่อก่อนที่นี่เคยมีความสุขอย่างมากก็มีแค่ความจนที่เป็นปัญหา แต่พอหลวงโอฬารเข้ามาสร้างความหรูหราอะไรต่างๆความจนไม่ได้เป็นปัญหาต่อไปละ สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือหนี้สิน ซึ่งมันเลวร้ายกว่าความจนอีก แล้วคุณก็ตกอยู่ใต้ระบบของเศรษฐกิจ อยากให้มาดูและฉุกคิดว่าที่จริงแล้วอะไรคือความสุขที่จะอยู่กับเราไปได้โดยตลอด ถ้าเกิดมองความสุขแต่เพียงเปลือกนอก ข้างหลังเปลือกนั้นก็จะไม่ได้รับความสนใจ

Q.ทำไมต้องไปดูหนังเรื่องนี้...
          A. เพราะมันสนุกแน่นอน เพราะว่าConflictมันแรงมันชัด ความดีกับความเลวมาปะทะกัน ความศรัทธาในความดี พลังของจิตใจมันจะปะทะกันในเรื่องนี้ ผมเชื่ออย่างนี้ว่า เมื่อได้ดูคุณจะรู้ว่าคุณจะยืนอยู่ฝั่งไหน มันอาจจะทำให้คุณกระตุกคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นชีวิตที่เรากำลังเดินกันอยู่มันไปถูกทางแล้วเหรอ แน่นอนคนเรามีเสรีภาพแต่มันไม่ควรมาเป็นข้ออ้างในการทำชั่ว เลือกเอาคุณจะใช้เสรีภาพของคุณอย่างไร ศรัทธาในความดีแล้วชีวิตเราก็จะมีแต่สิ่งดีดี

Q.เนื่องในวันที่ 5 กค. จะเป็นวันคล้ายวันครบรอบ10ปีที่ท่านขุนพันธ์เสียชีวิต อยากให้พูดอะไรถึงท่านขุนพันธ์"
          A. ถึงแม้ว่าท่านขุนพันธ์จะเสียไปแล้ว ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าคนที่ได้ศึกษาประวัติท่าน ได้อ่านเรื่องราวของท่าน หลายคนอาจจะชื่นชอบนะกับคาถาอาคมของท่าน มีฤทธิ์ปราบ เอาหัวกะโหลกมาไว้ใต้บันได คนอาจจะชื่นชอบกับสิ่งเหล่านั้น แต่ที่จริงแล้ว การที่อาคมแก่กล้าขนาดนั้น สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นมือปราบที่หนังเหนียวได้ เป็นเพราะว่าสิ่งที่ท่านศรัทธาก็คือความดีความถูกต้อง หลายคนที่บูชาท่านอยู่ห้อยท่านอยู่ ก็น่าจะสัมผัสได้ ได้ระลึกว่าคนธรรมดาถ้าอยากจะถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แล้วและให้ลูกหลานพูดถึงอย่างสมเกียรติต่อไปสิ่งที่คุณต้องทำในวันนี้คือความดี
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on July 13, 2016, 02:58:15 PM
“อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี แจ้งเกิดจาก “แม่เบี้ย” สู่ความท้าทายทางการแสดงครั้งใหม่ใน “ขุนพันธ์” กับบทบาท “มาลัย” กลางวันคือสาวชาวบ้านผู้อ่อนหวาน แสนดี กลางคืนคือนักร้องสาวที่คอยขับกล่อมความสุขให้กับทุกผู้คน







Q.แนะนำตัวเองและเล่าให้ฟังถึงบทบาทที่ได้รับในภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์"
          A. สวัสดีค่ะ อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี ค่ะ ในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์อ้อมรับบทเป็น มาลัย ค่ะ เป็นสาวใต้ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี นิสัยร่าเริง ดี สวยธรรมดาแบบชาวบ้าน โดยในเรื่องจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านกับพี่ชายชื่อ ไข่โถ (สนเดอะสตาร์)และลูกของพี่ชายชื่อ มะลิ มาลัยก็จะเป็นคนที่คอยดูแลทั้งพี่ชายและหลานนะคะ ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นอีกพาร์ทหนึ่งของมาลัยเป็นหญิงสาวที่แต่งตัวสวยงาม เพราะว่าต้องรับบทเป็นนักร้องประจำอยู่ในสโมสรงาช้าง ที่อยู่ภายใต้อาณัติของหลวงโอฬาร(แฟรงค์ ภคชนก์) ซึ่งพี่ชายเองก็ทำงานที่นี่ด้วย ซึ่งไม่ว่าหลวงโอฬาจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ เพื่อที่หมู่บ้านของเราจะได้สงบสุข ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนหลากหลายชาวต่างชาติ หลายชาติมากเลย

Q.ความสัมพันธ์ของตัว"มาลัย" กับ "ขุนพันธ์"
          A. อีกหนึ่งตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของมาลัย ซึ่งก็คือนายบุตร หรือว่าตัวขุนพันธ์ ที่เข้ามาในหมู่บ้านมาทำให้ชาวบ้านหรือชุมชนแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ตอนแรกมาลัยไม่รู้เลยว่านายบุตรคือขุนพันธ์ ซึ่งเป็นนายตำรวจที่ปลอมตัวมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของเรา โดยในบทนี่เขาจะเป็นคนๆหนึ่งที่เอาใจใส่ครอบครัวเรา ช่วยเหลือคนในหมู่บ้านของเรา ซึ่งพอชีวิตมีนายบุตรเข้ามามันก็ทำให้เหมือนมาลัยเป็นดอกไม้มีน้ำ มีน้ำฝนตกลงมาซึ่งทำให้ชีวิตมาลัยมีความสุขขึ้นไปอีก แต่พอหลังจากนั้นมาลัยรู้แล้วว่านายบุตรคือขุนพันธ์ มันก็จะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวของอารมณ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นกลัวคนในหมู่บ้านของเราจะเดือดร้อน เพราะว่าผู้คนในหมู่บ้านของเราตกอยู่ในอาณัติของหลวงโอฬาร ที่เราต้องยอมให้คนเหล่านี้เข้ามาหาผลประโยชน์ในหมู่บ้านของเรา แต่เขาเป็นตำรวจนะ แล้วจะทำยังไงดีกับตัวมาลัย ชีวิตก็สับสนไปหมดจะกล้าพอมั้ย ซึ่งมันก็ป็นความซับซ้อนของอารมณ์ที่มาลัยต้องรับตรงนั้นแล้วก็ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าต้องคอยติดตามว่าตัวละครตัวมาลัยจะรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร

Q.เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่เรียกได้ว่าต้องมีการเตรียมตัวค่อนข้างเยอะ และเรียกได้ว่าท้าทายความสามารถมากเลยทีเดียว
          A. สำหรับบทมาลัยที่อ้อมต้องถ่ายทอดก็มีทั้งหลายบุคลิก มีหลายความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือลิเกฮูลู คือมันไม่ได้มีเฉพาะแค่พาร์ทที่มีความสุขอย่างเดียว พาร์ทที่ต้องมีการแสดงออกในความลึกซึ้งทางด้านอารมณ์ก็มี ซึ่งก็ต้องมีการไปฝึกเตรียมตัวร้องเพลงใช้เวลาอยู่ประมาณ2-3เดือน จะต้องมีการเรียนพูดภาษาใต้ด้วย ทั้งๆที่ตัวจริงก็ไม่ได้เป็นคนใต้ ได้หัดพูดกับพี่อนันดา เพราะในบทต้องมีพูดเป็นภาษาใต้กับพี่อนันดาด้วยนะคะ เวลาเข้าฉากหรือเข้าซีนก็จะต้องมีทำผิวให้เป็นผิวสีแทน อย่างที่พี่โขมขอมาเลยคืออยากให้ตัวมาลัยเป็นสาวใต้เลย ผมหยิก ผิวแทนๆ เพื่อที่จะต้องการทำให้ตัวบุคลิกของมาลัยชัดเจนขึ้น แม้แต่ในด้านการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวมาลัยเอง อ้อมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่โดยทั่วไปเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น มาลัยก็จะเป็นคนที่คอยให้ความสุขให้กับคนอื่น แต่ว่าลึกๆแล้ว ในตัวละครมาลัยเองก็จะมีปมจะมีสิ่งที่มาลัยซ่อนไว้แต่ต้องติดตามดูนะคะว่ามาลัยจะซ่อนอะไรไว้ในความรู้สึก เรียกได้ว่าเป็นสีสันเดียวในเรื่องค่ะ เพราะฉะนั้นก็จะมีการแต่งตัว มีชุดสีนั้นสีนี้

Q. ตอนที่อ่านบทครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง
          A. เขาก็จะมีทั้งด้านที่อารมณ์ซับซ้อน พาร์ทที่ตัวมาลัยต้องทำสิ่งที่จริงๆตัวเองอาจจะไม่มีความสุขที่จะทำ แต่เราก็ทำสิ่งนั้นเพื่อคนอื่นนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ตัวมาลัยในบทค่อนข้างกล่าวไว้ละเอียดว่าในอดีตเคยเจออะไรมาบ้าง เพราะฉะนั้นอ้อมก็จะนึกถึงย้อนกลับไปในอดีตของตัวมาลัยว่าถ้ามาลัยเจอเหตุการณ์นี้ในชีวิต มันจะตื้นตันแค่ไหน หรือเขาจะรู้สึกเศร้าแค่ไหน เหมือนเราเข้าไปเป็นตัวละครเป็นตัวมาลัยเลยเขาอาจจะรู้สึกว่าชีวิตไม่ไหวแล้วอยากร้องไห้ หรือบางพาร์ทจะเป็นที่อารมณ์ความสับสน ระหว่างจะเป็นคนดีๆหรือจะเป็นคนไม่ดีดี ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ว่าถามว่ากลัวมั้ย เรื่องซีนอารมณ์ไม่กลัวเท่าไหร่ จะกลัวซีนที่ต้องร้องเพลง หรือต้องทำเป็นแบบเขินๆ เพราะบุคลิกอ้อมตัวจริงแล้วเป็นคนห้าวๆ แต่ว่ากลับต้องมาเข้าซีนที่แต่งตัวสวยๆหวานเซ็กซี่ ก็จะเป็นอะไรที่ยากนิดนึงค่ะ

Q.ถือได้ว่าเป็นบทบาทที่เรียกได้ว่าเป็นนางเอกเต็มตัวเรื่องแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง
          A. ถือว่าเป็นบทนางเอกครั้งแรกในชีวิตของอ้อมนะคะ แต่ละวันก็มีทั้งซีนที่ทั้งร้องไห้หนักสุดๆถึงขนาดบางทีกลับไปบ้านแล้วก็มีปวดหัว เพราะวันนี้มีการใช้อารมณ์ค่อนข้างเยอะ ก็มีเครียดบ้าง แล้วก็ส่วนใหญ่บทพูดจะไม่ค่อยติดเท่าไหร่ ด้วยความที่ว่าเราได้หัดพูดใต้ ก็จะจำคำพูดได้แม่น แล้วก็สิ่งที่ทำให้เรานอนไม่หลับ วิตกกังวลหรือเครียดมากๆก็คือบทที่ต้องร้องเพลง(หัวเราะ) เครียดตั้งแต่ก่อนที่จะถ่ายเลยด้วยซ้ำก็จะวิตกเกี่ยวกับบทร้องเพลงนี่แหละค่ะ

Q.พูดถึงบทเพลงในภาพยนตร์ที่เราจะได้ฟังกัน
          A. ก็สำหรับเพลงที่ร้องในเรื่องชื่อเพลงว่า "ริมน้ำคืนหนึ่ง" บางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน เป็นเพลงกึ่งลูกกรุงเนื้อเพลงอารมณ์แบบอยู่ในความฝัน ซึ้งๆ น่ารักๆ สิ่งที่เกร็งคือ เราไม่เคยร้องเพลงเลย จะต้องทำท่าอย่างไร หรือว่าจะต้องอารมณ์ถึงแค่ไหน เราก็จะทำการบ้านจำเนื้อร้องได้หมดแล้ว นึกถึงภาพจำของมาลัยก็น่าจะเป็นอันนี้นะคะ

Q. กดดันมั้ยในการทำงานกับผู้กำกับอย่างก้องเกียรติ โขมศิริ
          A. พี่โขมไม่ค่อยกดดันเขาจะให้พื้นที่นักแสดงในการครีเอทความคิด พอสั่งคัทพี่โขมก็จะค่อยบอกว่าเพิ่มตรงนั้นลดตรงนี้ พี่โขมถือว่าให้พื้นที่ให้นักแสดงได้แสดงก่อน อ้อมรู้สึกว่าการได้ทำงานกับพี่โขมถือว่าเป็นการทำงานที่ท้าทาย เพราะอ้อมได้ติดตามการทำงานของพี่โขมไม่ว่าจะเป็นเฉือน อันธพาล ซึ่งทำออกมาแล้วเท่ห์ สำหรับเรื่องขุนพันธ์อ้อมก็เชื่อว่าจะเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นสไตล์ของพี่โขม พี่โขมจะทำให้อ้อมมั่นใจว่าตัวอ้อมจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวมาลัยในเรื่องนี้ได้ดีนะคะ ก็รู้สึกแฮปปี้ที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้

Q. ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อโปรเจกต์ "ขุนพันธ์"
          A. ตอนแรกต้องยอมรับเลยว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็ได้รับคำอธิบายมาว่าท่านเก่งมากปราบโจรๆในสมัยก่อน ปราบเสือต่างๆ เป็นตำรวจที่มีคุณธรรม ช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน อันที่รู้สึกภูมิใจมากจริงๆคือท่านมีตัวตนที่มีอยู่จริงๆ ถือว่าเป็นฮีโร่ของเมืองไทย โปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์ใหญ่ ตัวละครมีอยู่จริงมีความดี ความเท่ห์ ความเก่งในการช่วยเหลือผู้คน ยิ่งรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งก่อนเข้าฉากก็จะมีนึกถึงท่าน ขออนุญาตท่าน ไม่ได้แปลว่าทุกเหตุการณ์ในเรื่องจะมีอยู่จริง แต่ตัวท่านมีอยู่จริง ซึ่งเราก็จะขออนุญาตแล้วก็นึกถึงท่านให้ทุกสิ่งทุกอย่างออกมาให้ดีค่ะ

Q.การทำงานร่วมกับ2นักแสดงชายระดับมือรางวัลอย่าง อนันดา และ น้อย กฤษดา
          A. สำหรับพี่น้อยกับพี่อนันดานะคะ เราร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือขนาดนี้ เรารู้สึกว่าเราเตรียมตัวเยอะมากเลย เราอ่านบท วิเคราะห์คาแรคเตอร์ของตัวนักแสดงเราคิดแล้วคิดอีกคิดลึกหลายชั้นมาก บางทีเราก็มีพาร์ทที่เรากังวลของเราเองเหมือนกัน ก่อนเข้าฉากกับเข้าฉากพี่ๆเขาแบบมีสนุกสนาน แต่พอแอคชั่นปุ๊บ พี่เขาเป็นตัวละคร ซึ่งอ้อมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่นักแสดงมืออาชีพเขาเป็นเราทึ่งมาก แสดงว่าเขาเตรียมตัวดีมาก เปรียบกับเราที่เป็นนักแสดงใหม่ก็ยิ่งรู้สึกดีใจที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงเก่งๆเหล่านี้และทึ่งในความสามารถของพี่ๆเขาค่ะ

Q.ท้ายนี้ทำไมภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" ถึงเป็นภาพยนตร์ไทยประจำปี2559ที่ไม่ควรพลาด
          A. อ้อมเชื่อว่าพี่อนันดาจะทำให้ตัวขุนพันธ์เป็นฮีโร่ให้คนไทยต้องจดจำ และเชื่อว่าการที่มีพี่โขมเป็นผู้กำกับจะทำให้ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เรื่องนี้ติดตาตรึงใจของใครหลายๆคนในความที่เป็นหนังแอคชั่น เป็นหนังไม่เชิงประวัติศาสตร์ แต่เป็นเรื่องราวของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงก็เชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะมีเสน่ห์สำหรับใครหลายๆคนที่ชอบแอคชั่นภาพสวยๆเท่ห์ๆ ต้องคอยติดตามชมภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 14 กรกฎาคม 2559
Post by: FB on July 21, 2016, 02:29:35 PM
“สหมงคลฟิล์ม” เปิดรอบปฐมทัศน์ “ขุนพันธ์” อลังการผู้กำกับ นักแสดง สื่อมวลชน ร่วมใจเชียร์ภาพยนตร์แอคชั่นสุดมันส์แห่งปี







          เปิดตัวด้วยความยิ่งใหญ่กับงานกาล่าพรีเมียร์ของ "ขุนพันธ์" ภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์เหนือจินตนาการแห่งปีที่คนไทยทั้งประเทศรอคอย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ผู้กำกับ นักแสดง และผู้สร้างต่างทุ่มเทใจสร้างสรรค์ด้วยแรงศรัทธาเพื่อเชิดชูความดีของ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช (บุตร์ พันธรักษ์) พร้อมเปิดฉายรอบปฐมทัศน์อย่างเป็นทางการท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติ นักแสดง ผู้กำกับ และพี่น้องสื่อมวลชนในวงการบันเทิงที่ต่างมาให้กำลังใจ และร่วมชมภาพยนตร์อย่างคับคั่งไม่ว่าจะเป็น สุเชาว์ พงษ์วิไล, ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม, เกรซ มหาดำรงค์กุล, น.ท.จงเจต วัชรานันท์, ธนิตย์ จิตนุกูล, อังเคิล อดิเรก วัฏลีลา, นนทรีย์ นิมิบุตร, อาทิตย์ อัสสรัตน์ ,ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเปิดตัวภาพยนตร์ไทยที่เท่ห์ และคลาสสิคที่สุดเข้ากับบรรยากาศภาพยนตร์ในธีมวีรบุรุษในตำนาน ซึ่งเปิดตัว ณ โถงชั้น 2 ของโรงภาพยนตร์สกาล่า พร้อมขับกล่อมด้วยเพลงคลาสสิคจาก วงสตริงควอเตท (String Quartet) วงเครื่องสาย 4 ชิ้น ที่มาร่วมต้อนรับทุกคนภายในงาน

          บรรยากาศในงานเริ่มด้วยการเปิดตัว 6 นักแสดงนำ และผู้กำกับที่มีส่วนสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" โดยเริ่มจาก อ้อม-กานต์พิสชา เกตุมณี กับ สนธยา ชิตมณี ตามด้วย กบ-พิมลรัตน์ พิศลยบุตร ควงคู่กับ เดี่ยว-ชูพงษ์ ช่างปรุง และปิดท้ายกับ อนันดา เอเวอริงแฮม, น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์ และ ก้องเกียรติ โขมศิริ งานนี้ขาดอีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมืออย่าง แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี ที่ไม่สามารถมาร่วมงานในวันนี้ได้ นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก คุณปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย , คุณเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการ และคุณชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย บริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ,คุณอัครพล เตชะรัตนประเสริฐ กรรมการผู้จัดการบริษัท Happy Home Entertainment จำกัด ร่วมถ่ายรูป ก่อนที่ทั้งหมดพร้อมด้วยสื่อมวลชนทยอยเข้าไปในโรงภาพยนตร์เพื่อเริ่มงานบนเวทีภายในโรงภาพยนตร์เปิดโอกาสให้นักแสดง และผู้กำกับได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดมาตลอด3ปีเพื่อให้ภาพยนตร์ไทยแห่งศรัทธาเรื่อง ขุนพันธ์ได้ประจักษ์สู่สายตาทุกคน

          "ก้องเกียรติ : ตั้งแต่ทำหนังมานี่เป็นหนังเรื่องที่เหนื่อยที่สุดพยายามที่สุดเต็มที่ที่สุด เหนื่อยเป็นร้อยๆครั้ง ยอมแพ้ไปแล้วเป็นสิบๆครั้ง ขอบคุณท่านขุนพันธ์ที่เลือกพวกเราทำ ขอบคุณสหมงคลฯ ขอบคุณทุกๆอย่างจริงๆที่ทำให้พวกเราเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ มันไม่ง่ายกับโปรเจกต์หนึ่งที่ต้องใช้เวลาถึง3ปีที่ไม่ว่าเราจะเรียกทุกๆคนกลับมากี่ครั้ง ทุกๆคนก็กลับมาแล้วก็เต็มที่กับมันเสมอ เชื่อว่าคนดูจะได้รับความบันเทิงที่ดีที่สุดพวกเราภูมิใจ นับตั้งแต่วันแรกที่ได้คุยกับคุณสมศักดิ์ เสี่ยเจียง สหมงคลฟิล์มและได้เห็นหนังสืองานศพ และได้เห็นรูปที่ท่านขุนพันธ์ต่อเทียนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วก็บอกกับทีมงาน พูดกับทุกๆคนว่า นี่คือโปรเจกต์ของเราก็คือต่อเทียนเล่มนี้ต่อไป เทียนที่เชื่อว่าถ้าเราทำสิ่งที่ดีก็จะได้ดีใจที่กระแสตอบรับออกมาดีมากๆ ผมเชื่อว่าไม่ใช่แค่ตัวผมเองถามนักแสดงทุกคน ทีมงานทุกคน เมื่อมันมีกระแสตอบรับกลับมาแบบนี้ทุกคนภูมิใจ สิ่งที่ทุกคนจะได้ชมคือความเป็นเอนเตอร์เทนเมนท์ครับ เป็นหนังที่เน้นความบันเทิงไม่ใช่หนังอัตชีวประวัติยังไงได้ดูความแอคชั่นสนุกแน่นอนครับ 2 คู่ปรับระหว่าง ขุนพันธ์ โดยคุณอนันดา และ อัลฮาวียะลูโดยพี่น้อย นี่คือการประชันบทบาทของ2นักแสดงยอดฝีมือซึ่ งเรียกได้ว่าคนดูมีแต่กำไรครับทั้งในแง่การแสดงและทั้งในแง่ของการแอคชั่นไม่ธรรมดาครับ อยากจะบอกว่าที่เห็นในทีเซอร์หรือตัวอย่างมันแค่น้ำจิ้มครับ อยากให้ทุกคนลองดูของจริงดีกว่า แล้วยิ่งวันนี้เราได้มายืนอยู่บนโรงสกาล่ารู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจ สิ่งที่ผมอยากทำที่สุดคือโค้งคำนับ ขอบคุณทุกคนจริงๆครับ"

          จากนั้น คุณเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการ บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จก. ได้มอบช่อดอกไม้ให้กับก้องเกียรติ โขมศิริผู้กำกับภาพยนตร์ พร้อมด้วยอนันดา เอเวอริงแฮมในฐานะตัวแทนทีมนักแสดง "ทีมขุนพันธ์" และ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ตัวแทนของทีมอัลฮาวียะลูเพื่อแสดงความชื่นชมและเป็นกำลังใจ ก่อนทั้งหมดจะถ่ายภาพร่วมกันเป็นการปิดท้ายงาน โดยมีคุณจุไรรัตน์ ศิลปอุไร ผู้จัดการทั่วไป โรงภาพยนตร์สกาล่า คุณชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย บริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ,คุณอัครพล เตชะรัตนประเสริฐ กรรมการผู้จัดการบริษัทHappy Home Entertainment จำกัด ปรัชญา ปิ่นแก้ว โปรดิวเซอร์ พร้อมด้วย นะโม ทองกำเนิด,สุนทร มีศรี,ชัชวิน แซ่ตัน, นฑี งามแนวพรม,สิชฌ์ษัญจ์ ภิญโญธีรโชติ,ด.ญ.ธัญชนก เอียดปลื้ม นักแสดงที่มีส่วนร่วมสำคัญในภาพยนตร์ร่วมถ่ายภาพ

          ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เปิดฉายอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 14 กรกฎาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ