Hyde Park on Hudson
จัดจำหน่ายโดย เอ็ม พิคเจอร์ส
ชื่อภาษาไทย แกร่งสุดมหาบุรุษรูสเวลท์
ภาพยนตร์แนว คอเมดี้-ดราม่า
จากประเทศ อังกฤษ
กำหนดฉาย 10 มกราคม 2553
ณ โรงภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์เครือเอเพ็กซ์และพารากอน
ผู้กำกับ Roger Michell (โรเจอร์ มิเชลล์)
อำนวยการสร้าง DAVID AUKIN (เดวิด ออคิน)
Kevin Loader (เควิน เลาเดอร์)
นักแสดง
Bill Murray (บิล เมอร์เรย์) จาก Moonrise Kingdom, Charlie’s Angels , Losting Translation , City of Ember
Laura Linney (ลอร่า ลินนี่ย์) จาก The Savages ,The Truman Show,The Exorcism of Emily Rose, Love Actually
Olivia Williams (โอลิเวีย วิลเลียมส์) จาก Now is Good , The Sixth Sense , An Education , Rushmore , The Postman
Samuel West (ซามวล เวสต์) จาก Van Helsing, Notting Hill , Howards End , Carrington
Olivia Colman (โอลิเวีย โคลแมน) จากภาพยนตร์เรื่อง The Iron Lady , Tyranosaur , Hot Fuzz
Elizabeth Wilson (อลิซาเบธ วิลสัน) จากภาพยนตร์ Rocky Road , The Graduate , The Addams Family , The Birds
จุดเด่น
Hyde Park on Hudson (ไฮปาร์ค ออน ฮัดสัน) เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ที่ตีแผ่เบื้องลึกเบื้องหลังทุกแง่มุมของผู้นำคนสำคัญอย่างประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt (แฟรงค์ลิน เดลาโน รูสเวลท์) ที่ถูกหบิยยกเอาเรื่องราวของการเป็นบุคคลสาธารณะและเรื่องราวของชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัวที่ยิ่ง ใหญ่เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์สำคัญ รวมถึงกลเม็ดการชักจูงใจของประธานาธิบดี Franklin (แฟรงค์ลิน) ในการยื้อแย่งอำนาจในช่วงจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ โดยงานนี้ได้สองนักแสดงฝีมือระดับพระกาฬที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง Bill Murray (บิล เมอร์เรย์) และ Laura Linney (ลอรา ลินนีย์) มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวที่ผสมผสานทั้งดราม่าและเฉียบคม กำกับการแสดงโดย ROGER MICHELL (โรเจอร์ มิเชล) และเขียนบทภาพยนตร์โดย Richard Nelson (ริชาร์ด เนลสัน)
เรื่องย่อ
ในเดือนมิถุนายน ปี 1939 ประธานาธิบดีแฟรงค์ลิน เดลาโน รูสเวลท์ (รับบทโดยเมอร์เรย์) ได้เตรียมพร้อมที่จะต้อนรับกษัตริย์และพระราชินีแห่งอังกฤษ (ซามวล เวสต์และโอลิเวีย โคลแมน) ในช่วงสุดสัปดาห์ที่บ้านรูสเวลท์ ณ ไฮด์ปาร์ค ออน ฮัดสัน ในย่านทางตอนเหนือของนิวยอร์ก ซึ่งนี่นับเป็นการเสด็จเยือนอเมริกาครั้งแรกของทั้งคู่ ขณะที่อังกฤษกำลังเผชิญหน้ากับเงาสงครามกับเยอรมนี ทั้งสองต้องการให้เอฟดีอาร์หยิบยื่นการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาให้
แต่เรื่องของกิจการระหว่างประเทศจะต้องถูกจัดการควบคู่ไปกับความซับซ้อนภายในที่พำนักของเอฟดีอาร์เอง เมื่ออีลีนอร์ (โอลิเวีย วิลเลียมส์) ภรรยาของเขา, ซารา แม่ของเขา (อลิซาเบธ วิลสัน) และมิสซี่ เลขาของเขา (อลิซาเบธ มาร์เวล) ต่างก็มีบทบาทในการทำให้สุดสัปดาห์นี้กลายเป็นความทรงจำที่ลืมไม่ลง
สุดสัปดาห์นี้ ที่ถูกมองผ่านสายตาของเดซี่ (ลินนีย์) เพื่อนบ้านและคนสนิทของแฟรงค์ลิน ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์พิเศษระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่เท่านั้น แต่สำหรับเดซี่ และสำหรับพวกเราเอง ผ่านทางตัวเธอ มันจะก่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในเรื่องปริศนาของความรักและมิตรภาพ
สารจากผู้กำกับ เกี่ยวกับเอฟดีอาร์
หลังจากเสร็จงานภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมบังเอิญได้ไปอ่าน Berlin Diary ของวิลเลี่ยม แอล. เชียร์เรอร์ ฉบับเปื้อนน้ำ ช าของพ่อผมอีกครั้ง….
“…เชียร์เรอร์เป็นนักข่าวชาวอเมริกัน ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ถ่ายทอดสัญญาณจากเบอร์ลินอย่างกล้าหาญ สำหรับบันทึกวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 1940 เขาได้พูดถึงการที่เอฟดีอาร์ได้รับการเสนอชื่ออีกครั้งใน ชิคาโกเป็นวาระที่สาม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สื่อของนาซีพูดถึงว่าเกิดขึ้นได้ด้วยวิธี ที่ถูกประนามจากพยานทุกคน ฮิตเลอร์กลัวรูสเวลท์เขาเพิ่งเริ่มจะเข้าใจว่าการสนับสนุนอังกฤษของรูสเวลท์เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่อังกฤษปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเสนอสันติภาพของเขา…”
จากนั้น เชียร์เรอร์ก็อ้างข้อความต่อไปนี้จากแฟรงค์เฟิร์ต ไซตุ้งว่า :
“…รูสเวลท์เป็นบิดาของภาพมายาอังกฤษเกี่ยวกับสงครามนี้ อาจเป็นว่าลูกไม้ที่อ่อนหัดของรูสเวลท์เป็นอะไรที่เกินกว่าชาวอเมริกันจะรับได้ เขาอาจจะไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นประธานนาธิบดีใหม่อีกครั้งหรืออาจจะได้รับเลือก รูสเวลท์ยึดติดอยู่กับนโยบายที่ไม่แทรกแซงด้วยการกระทำ แต่เขาเลือกที่จะแทรกแซงด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ที่มีเล่ห์เหลี่ยม และโฆษณาชวนเชื่อที่ทรงพลัง ในการเลือกตั้งที่จะขัดแย้งกับผลประโยชน์นานับประการ เอฟดีอาร์ได้หยิบยื่นความหวังที่แท้จริงให้กับอังกฤษ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ในขณะนั้นคงจะดูเหมือนสถานการณ์ที่สิ้นหวัง หลายคนอาจจะมองว่าการสงบศึกกับฮิตเลอร์เป็นหนทางที่สมเหตุสมผลเพียงหนึ่งเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการถูกรุกรานได้...”
ช่วงเวลาสุดสัปดาห์ที่ไฮด์ปาร์ค ออน ฮัดสัน สิบสองสัปดาห์ก่อนหน้าสงครามจะอุบัติขึ้น และในความคิดของผม ประเด็นสำหรับภาพยนตร์ของเราก็กลายเป็นยิ่งกว่าจุดแกนกลางทางประวัติศาสตร์ มันเป็นช่วงเวลาที่การกระทำที่เล็กน้อยที่สุดส่งเสียงสะท้อนก้องกังวานมากที่สุด มันเหมือนทฤษฎีเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ที่เสนอว่าการกระพือปีกของผีเสื้ออาจก่อให้เกิดพายุร้ายได้โดยไร้ขีดจำกัด เช่นเดียวกับฮ็อตด็อกเต็มคำ (ไส้กรอกแฟรงค์เฟิร์ตซะด้วย) ที่ส่งผลกระทบถึงชายหาดโอมาฮาและวันเฉลิมฉลองการสิ้นสุดสงครามในยุโรป
บทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมของริชาร์ด เนลสันได้จับคู่ความแตกต่างระหว่างเรื่องสาธารณะกับเรื่องส่วนบุคคล ชีวิตครอบครัวและชีวิตที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นการถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญรวมถึงพลังการชักจูงใจของบุคคลสำคัญในการยื้อแย่งอำนาจในช่วงจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์
พ่อผมขับเครื่องแลนคาสเตอร์ผ่านเบอร์ลิน ถูกยิงร่วงลงไป และกลายเป็นนักโทษสงคราม เขาเสียชีวิตไปนานแล้วครับ ผมเก็บบันทึกเชียร์เรอร์ของเขากลับไปไว้บนชั้นเหมือนเดิม และรู้สึกว่าเสียงจากการปิคนิคที่คิงส์ ท็อป คอทเทจ ยังคงก้องกังวานอยู่รอบตัวผม…
โรเจอร์ มิเชล
ลอนดอน สหราชอาณาจักร
มิถุนายน ปี 2012
สารจากมือเขียนบท เกี่ยวกับเดซี่
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80s เพื่อนของผมได้เชิญผมไปเยือนสถานที่ที่เป็นที่พำนักส่วนตัวในเมืองไรน์เบค, นิวยอร์ก มันเพิ่งถูกบริจาคเพื่อใช้ประโยชน์ต่อสาธารณะโดยเจ้าของชรา ภายใต้ข้อแม้ว่าเธอจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอ
บ้านหลังนั้นมองออกไปเห็นแม่น้ำฮัดสัน และดูเหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยายที่มืดหม่น มันชำรุดทรุดโทรมสีซี๊ดจาง ผมคิดว่า วิลเดอร์สไตน์ ซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวซุคลีย์มาอย่างน้อยสองชั่วอายุคนอาจเรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างสำหรับความยากจนของพวกผู้ดีในอเมริกา เพื่อนผมพาผมไปทัวร์ชั้นแรกแบบคร่าวๆ ระหว่างเดินผ่านห้องนั่งเล่น ที่มีวอลล์เปเปอร์หลุดลอก โซฟาหย่อนยาน ผมได้เห็นเดซี ซุคลีย์ นางเอกของเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ผมคิดว่าเธอนั่งอยู่ตามลำพัง อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ โดยไม่สำเหนียกถึงคนแปลกหน้าที่เดินผ่านไป ไม่นานหลังจากนั้น เดซี่ก็เสียชีวิตด้วยวัยหนึ่งร้อยปี
วิลเดอร์สไตน์ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นกลายเป็นสวนสาธารณะและกำลังอยู่ในขั้นตอนการบูรณะให้กลับไปงดงามเหมือนในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้าอีกครั้ง เป็นเพียงหนึ่งในมรดกสองอย่างที่เดซี่ได้ทิ้งเอาไว้ให้กับเรา อีกอย่างหนึ่งคือกระเป๋าเดินทางใบเล็กใต้เตียง ที่ถูกพบหลังจากการเสียชีวิตของเธอ ในกระเป๋าใบนั้นได้เก็บจดหมายส่วนตัวถึงและจากแฟรงค์ลิน รูสเวลท์ ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ห้าของเธอ และบันทึกที่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เอาไว้ มันเป็นความสัมพันธ์ที่ถูกเก็บเป็นความลับจนกระทั่งเธอเสียชีวิต มีหน้ากระดาษบางหน้าหาย(หรือถูกเผา?) จากทั้งจดหมายและบันทึก แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็สะท้อนถึงความรักที่น่าประทับใจและงดงามระหว่างผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าเป็น“นกกระจิบน้อย” และผู้มองตัวเองวว่าเป็น “ส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์” และหนึ่งในบุรุษผู้ทรงเสน่ห์ ทรงอิทธิพลและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ การอ่านจดหมายและบันทึกเหล่านี้ได้เปิดประตูไปสู่โลกที่เราได้แต่จินตนาการเท่านั้น โลกเบื้องหลังโฉมหน้าของตำแหน่งประธานาธิบดีที่ทุกฝ่ายต่างสมคบคิดกันที่จะซ่อนความเปราะบางและความอ่อนแอของเขาเอาไว้ ตอนนี้ เหมือนจะชัดเจนแล้วว่า เดซีเป็นคนที่แฟรงค์ลินจะรู้สึกผ่อนคลายด้วยได้ เขาสามารถลืมโลกภายนอก ลืมงาน ลืมปัญหา และแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้เมื่ออยู่กับเธอ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยที่ภาพถ่ายของแฟรงค์ลิน รูสเวลท์ในรถเข็นที่เรามีอยู่ในปัจจุบันจะถูกถ่ายโดยเดซี ซุคลีย์
การค้นพบจดหมายและบันทึกเหล่านี้เป็นตัวจุดประกายให้เกิด Hyde Park on Hudson บันทึกตอนหนึ่งของเดซี่เป็นตัวสร้างเรื่องราวให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ การที่เดซี่ได้เขียนด้วยความกระตือรือร้นและตื่นเต้นเกี่ยวกับการมาเยือนบ้านที่ไฮด์ปาร์คของรูสเวลท์ของกษัตริย์และพระราชินีแห่งอังกฤษในเดือนมิถุนายน ปี 1939 นี่เป็นการเยือนโลกตะวันตกครั้งแรกของราชวงศ์อังกฤษ เธอเขียนว่าตัวเองตื่นเต้นที่ได้เห็นเรื่องทั้งหมดนี้ต่อหน้าต่อตา ในฐานะแขกของสิ่งที่กลายเป็นที่รู้จักในชื่อของ “ปิคนิค ฮ็อตด็อก”
ในเดือนมิถุนายน ปี 1939 อังกฤษกำลังจะทำสงครามกับเยอรมนี และมันก็ต้องการการสนับสนุนของอเมริกาอย่างยิ่ง เพื่อการนี้ กษัตริย์และพระราชินีแห่งอังกฤษจึงถูกส่งตัวไปอเมริกาและรูสเวลท์ก็ได้เชิญทั้งสองไปยังไฮด์ปาร์ค เพื่อช่วยเหลือในเรื่องนี้ แต่ชาวอเมริกาส่วนใหญ่ต้องอาศัยการชักจูงใจ อารมณ์ของประเทศนี้คือการหลีกให้ห่างจากสงครามยุโรปอีกครั้ง เสริมด้วยการสงวนท่าทีแต่ดั้งเดิม (และเข้าใจได้) ที่ชาวอเมริกันรู้สึกต่อราชวงศ์อังกฤษและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ และมันก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้นด้วยการสละบัลลังก์ของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่แปด ที่ถูกบีบบังคับจากการที่พระองค์ปรารถนาจะอภิเษกกับหญิงแม่ม่าย (วัลลิส ซิมป์สัน) แถม “ซ้ำร้าย” ยังเป็น “ชาวอเมริกันอีกต่างหาก” ตามมุมมองของเรา กษัตริย์จอร์จที่หก หรือเบอร์ตี้ ที่ไร้ประสบการณ์และได้ขึ้นครองราชย์โดยบังเอิญ จำเป็นต้องแสดงให้ชาวอเมริกันเห็นว่าเขาชื่นชมประเทศของเราและพลเมืองของเรา และเคารพเราในฐานะผู้ที่เท่าเทียมกัน นั่นเป็นภารกิจของเขา และแฟรงค์ลิน รูสเวลท์ก็ได้มอบโอกาสนั้นแก่เขา ด้วยการเสิร์ฟฮ็อตด็อกให้เขา!
เรื่องราวทั้งสองเรื่อง ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเดซีและช่วงเวลาสุดสัปดาห์กับกษัตริย์และราชินี เป็นศูนย์กลางภาพยนตร์ของเรา ขณะที่ผมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เรื่องราวทั้งสองก็ได้สอดประสานเข้าด้วยกัน และแต่ละเรื่องก็เติมเต็มกันและกัน หญิงสาวที่เจ็บปวดจากการเรียนรู้ความจริงเบื้องหลังภาพลักษณ์ของคนรักเธอ ที่โด่งดังระดับโลก และกษัตริย์ผู้ได้เรียนรู้ที่จะซ่อนความไม่มั่นใจและแสดงออกซึ่งความกล้าหาญ มันทำให้เราสำรวจความจำเป็นที่จะนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีเพื่อปกป้องประเทศของคุณ รวมถึงการตระหนักได้ว่าชายที่คุณรักอาจไม่ได้เป็นคนที่คุณคิดก็ได้
ท้ายที่สุด Hyde Park on Hudson ก็เป็นเรื่องราวส่วนตัวด้วยเช่นกัน ผมใช้ชีวิตอยู่ในไรน์เบ็ค บ้านเกิดของเดซี มากว่าสามสิบปี และผมก็มีครอบครัวที่นี่ แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องราวที่มีการแตกกิ่งก้านสาขาไปทั่วโลก และเกี่ยวกับบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย มันก็ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งจากหมู่บ้านผม ผู้หญิงที่ผมเคยเห็นนั่งอยู่บนโซฟา ผู้มีโอกาสได้เห็นโลก ทั้งสาธารณะและส่วนตัว ผ่านทางดวงตาที่ไร้เดียงสาของเธอด้วยครับ
ริชาร์ด เนลสัน
ไรน์เบค, นิวยอร์ก
มิถุนายน ปี 2012
เกี่ยวกับงานสร้าง...
ไซม่อน โบว์เลส ผู้ออกแบบงานสร้าง กล่าวว่า...
“…ตอนที่ผมถูกทาบทามให้มาทำงานในโปรเจ็กต์นี้ครั้งแรก ผมตระหนักได้ว่ามันสำคัญแค่ไหนที่จะได้ไปเยี่ยมชมสปริงวู้ด ซึ่งเป็นตัวบ้านหลัก และท็อปคอทเทจ รวมถึงเมืองและชนบทใกล้ๆ ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์ก็จริง แต่มันก็ไม่เหมือนกับการได้ไปที่นั่นและได้เห็นด้วยสองตาคุณจริงๆ มันมีรายละเอียดมากมาย แล้วมันก็เป็นโอกาสที่จะได้พบกับริชาร์ด เนลสันด้วย
ตั้งแต่ที่สปริงวู้ดถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในยุค 40s ก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เราไปในห้องครัว ห้องนอน ห้องทำงาน...รายละเอียดจากยุคนั้นยังคงอยู่ให้เราได้เห็น ของต่างๆ ในบ้านหลังนี้แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของครอบครัวและบ่งชี้ถึงนิสัยของซาราและอิทธิพลของเธอด้วย มันมีภาพถ่ายของบ้านหลังนี้ในปี 1939 ปีที่หนังเรื่องนี้เกิดขึ้น ซึ่งบันทึกการตกแต่งภายในเอาไว้ แต่มันก็เป็นภาพขาวดำ ซึ่งการไปที่นั่นก็ทำให้เราได้เห็นสีสันของมันแบบเต็มๆ ผมวัดขนาดและถ่ายรูปกลับไปอังกฤษ ที่ซึ่งจะมีการสร้างสปริงวู้ดขึ้นมาที่คฤหาสน์ส่วนตัว ผมได้ถ่ายรูปช่องระบายอากาศในปสริงวู้ด และเราก็ติดตั้งมันเข้าไป แล้วก็มีนกสตัฟฟ์ ที่เอฟดีอาร์ทำเอาไว้ในตอนเขาเป็นวัยรุ่น ที่เราใส่เข้าไปด้วยเหมือนกัน ในบ้านหลังนี้ มันก็เป็นการผสมผสานที่ยอดเยี่ยม มากกว่าที่คุณคิดไว้เสียอีก อย่าลืมนะครับว่านี่เป็นบ้านของแม่เอฟดีอาร์และแม้แต่ตัวเขาก็ยังเป็นแขกของที่นั่นเลย
สำหรับฉาก “การพูดคุยข้างเตาผิง” ที่เอฟดีอาร์พูดกับคนทั้งประเทศระหว่างนั่งอยู่ที่โต๊ะ เราได้นำไมค์มาจากอเมริกา ส่วนบนโต๊ะของเขา แผนกอุปกรณ์ประกอบฉากที่วิเศษสุดของผมได้ค้นคว้าข้อมูลเพื่อหาว่าคอลเล็กชันแสตมป์มีหน้าตาเป็นแบบไหน เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญในตอนที่เดซี่มาเห็นเอฟดีอาร์เป็นครั้งแรก รวมถึงหนังสือที่สะสมแสตมป์นั้นมีลักษณะอย่างไรด้วย มันมีหลักฐานทางภาพถ่ายบางอย่าง แต่คอลเล็กชันของเอฟดีอาร์ถูกขายในงานประมูลเมื่อหลายปีก่อน และแสตมป์ก็มีค่าไม่เท่าไหร่ เพราะเขาไม่ได้สะสมแสตมป์พิเศษ แต่มันเป็นงานอดิเรกมากกว่าน่ะครับ
เราต้องมีภาพสีน้ำมันของเอฟดีอาร์ ที่แขวนอยู่ในห้องทำงานของเขา ดังนั้น ช่างภาพนิโคลา โดฟ ก็เลย จัดท่าบิลให้เหมือนกับในภาพวาดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขามักจะพูดและแสดงท่าทางเหมือนเป็นตัวละครตัวนี้ ระหว่างที่ถูกถ่ายภาพ ซึ่งมันต้องอาศัยความอดทนอย่างสูง แต่เขาก็ยินดี เขาเป็นคนเสนอความคิดเห็นเพื่อช่วยให้ได้ภาพที่เหมือนจริงออกมา จากนั้นเราก็ถ่ายภาพภาพวาดที่เสร็จสมบูรณ์ เพื่อทำให้มันลงผืนผ้าใบ มันดูเหมือนของจริงเลยครับ
ในการจำลองท็อป คอทเทจ ซึ่งเป็นที่พักของประธานาธิบดีในตอนที่เขาอยากจะเขียนนิยายนักสืบ ขึ้นมา เราได้สร้างบ้านทั้งหลังขึ้นมาใหม่ ในลานโล่งในป่าแถบชิลเทรนส์ (หุบเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ) เรามีภาพสเก็ตช์และแบบโมเดล รวมถึงหุ่นพลาสติกรูปคนตัวเล็กๆ สำหรับกระบวนการนี้ มันเป็นฉากที่น่าประทับใจมาก ตัวโรเจอร์เองจะนั่งอยู่ที่ระเบียงและอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยครับ ที่โลเกชันนั้น เราต้องรู้ว่าทุกอย่างจะต้องอยู่ตรงไหนสำหรับการปิคนิค มันมีบันทึกตารางเวลา เพื่อที่จะได้ไม่มีเรื่องประหลาดใจเกิดขึ้น “เครื่องดื่มจะถูกตระเตรียมที่นี่ จานจะอยู่ตรงนี้...” เราจะต้องรู้ว่าตัวละครจะนั่งที่ไหนด้วย เหมือนอย่างวันนั้นในปี 1939 น่ะครับ ผมติดภาพถ่ายจากปิคนิคครั้งนั้นบนผนัง ทุกคนจะดูภาพพวกนั้นเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิง บางคนได้ถ่ายภาพลูกๆ ของเขาที่แสดงถึงความตื่นเต้น “ในแบ็คกราวน์” ด้วยเหมือนกัน และคุณก็จะได้เห็นช่วงเวลาระหว่างกษัตริย์และราชินีครับ
นอกจากนี้เราอยากจะจำลองรถเข็นที่เอฟดีอาร์ใช้ขึ้นมา แต่เราก็พบว่าเขาใช้รถเข็นหลายแบบ เราตัดสินใจใช้รถเข็นที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้ที่สปริงวู้ด ใกล้ๆ กับโต๊ะของเขาในห้องสมุด คุณคิดว่าการสร้างรถเข็นขึ้นมาซักคันเป็นเรื่องง่าย แต่เปล่าเลย ล้อรถเข็นจะต้องมาจากฮอลแลนด์ และเราก็ต้องตัดเก้าอี้ห้องครัวที่สั่งทำเป็นพิเศษ เพื่อออกแบบเก้าอี้ที่จะมีด้านข้างคู่ขนานกันเพื่อที่ล้อจะผ่านไปได้ โครงสร้างเหล็กด้านใต้ก็จะต้องถูกสร้างขึ้นเหมือนกัน เราต้องตัดสินใจว่าเราจะใช้โอ๊คชนิดไหนและจะใช้สีอะไร รวมถึงต้องตรวจดูพวกน็อตหรือตะปูด้วย...”


ฝ่ายคอสตูม
Dinah Collin (ไดน่าห์ คอลลิน) คอสตูม ดีไซน์ กล่าวว่า...
“...ฉันมีแหล่งข้อมูลมากมายในการทำงาน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เราจะสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นในอังกฤษ ฉันก็เลยรู้ตั้งแต่ต้นว่า สต็อคเครื่องแต่งกายทั้งหมดของเราจะต้องมาจากอเมริกา ฉันเดินทางไปลอสแองเจลิสสองสัปดาห์และพบชุด เดรสน่ารักๆ หมวก และชุดสูทในร้านขายเสื้อผ้าที่นั่น และเราก็ส่งเสื้อผ้าทั้งหมด 54 กล่องมาที่นี่ค่ะ เดซีไม่ค่อยมีภาพมากนัก ฉันก็เลยต้องอาศัยภาพถ่ายของผู้หญิงอเมริกันในช่วงปลายยุค 30s แทนเสื้อผ้าเก่าๆ บางตัวเป็นการสานต่อการเดินทางที่น่ามหัศจรรย์ค่ะ เครื่องแต่งกายพวกนี้จะทำให้นักแสดงกลายเป็นตัวละครตัวนั้น เพื่อที่ผู้ชมจะได้เชื่อในตัวพวกเขา มันอาจจะเป็นยุคสมัยก่อนก็จริง แต่คุณก็ต้องจินตนาการถึงใครซักคนในชุดเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ว่าใครเป็นคนสวมพวกมันในตอนแรก แต่รวมถึงตัวละครในเรื่อง หรือแม้กระทั่งตัวคุณเองด้วยค่ะ
ฉันได้พบกับบิล เมอร์เรย์ครั้งแรกในบอสตัน ใกล้ๆ กับที่ที่เขากำลังถ่ายทำ Moonrise Kingdom ตอนลองชุด เราคุยกันว่าประธานาธิบดีรูสเวลท์มีร่างกายส่วนบนที่ล่ำหนา เพราะเขาได้ออกกำลังกายส่วนนั้น ส่วนชุดของลอรา ลินนีย์ ฉันนำชุดเดรสชุดหนึ่งยุคเก่าที่ฉันนำมาด้วยมาดัดแปลงควบคู่ไปกับเนื้อผ้าที่มีการผลิตขึ้นมาใหม่ ใส่คู่กับรองเท้าสีขาวที่มีการร้อยเชือกสูง และตัวแป๊บขนาดเล็ก ซึ่งมันเข้ากับลอราได้พอดีเลยล่ะค่ะ...”
ฝ่ายเมคอัพและแฮร์ สไตล์ลิส
Morag Ross (โมแร็ค รอส) ผู้ออกแบบแต่งหน้า กล่าวว่า...
“…หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับคนกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษก็จริง แต่การมีข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับชีวิตโดยปกติของชาวอเมริกาในขณะนั้นก็ช่วยได้มากเหมือนกัน สำหรับเมคอัพ เราใช้ผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ ซึ่งดีกับผิวมากกว่า เพื่อสร้างลุคแบบย้อนยุคขึ้นมาค่ะ อย่างเช่น โอลิเวีย เธอดูแตกต่างและอายุน้อยกว่าอีลีนอร์ มันก็เลยเป็นความท้าทายค่ะ ฉันกับโรเจอร์เห็นพ้องกันว่าเราจะต้องอาศัยความละเอียดอ่อน ฉันก็เลยทำให้ผิวสวยๆ ของเธอดูมีอายุมากขึ้นและเปลี่ยนฟันของเธอให้เหมือนกับอีลีนอร์ โรเจอร์พบภาพหนึ่งของอีลีนอร์ตอนปิคนิค ที่เธอปล่อยผมสยาย เป็นอิสระ และบอกว่าเขาอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกเป็นอิสระนั้นและไม่ต้องทำผมทรงอะไรทั้งนั้นน่ะค่ะ...”
นอร์มา เว็บบ์ ผู้ออกแบบทรงผม กล่าวว่า...
“…ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉันจะไม่เน้นให้นักแสดงใช้วิก แต่จะใช้การดัดแปลงและให้สีผมจริงๆ ของนักแสดงแทนการสวมวิก เพราะโรเจอร์อยากให้ผมของพวกเขาดูเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กษัตริย์และราชินีจะดูเรียบร้อยและเนี้ยบกว่าชาวอเมริกัน ฉันชอบการได้เห็นแซม เวสต์และโอลิเวีย โคลแมนในลุคพีเรียดสำคัญแบบนี้และคิดในใจว่า“มันเวิร์คด้วย!”แต่โรเจอร์ก็ไม่อยากให้ทุกอย่างเหมือนเปี๊ยบมันเป็นเรื่องของความพยายามถ่ายทอดแก่นแท้ของคนที่มีเลือดเนื้อจริงๆ เหล่านี้ออกมา ใบหน้าของเอฟดีอาร์เป็นที่รู้จักดี ฉันก็เลยทำโมลด์เล็กๆ สำหรับบิล เมอร์เรย์ในส่วนเนื้องอกตรงคิ้วด้านซ้าย และไฝตรงแก้มขวา บิลขอให้เขาดูเหมือนคนที่ออกแดดบ่อยๆ เพราะเอฟดีอาร์ชอบอาบแดดบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้น่ะค่ะ มันน่าพึงพอใจมากๆ ที่ได้เดินเข้าไปในฉากสมบูรณ์ในวันนั้น มันให้ความรู้สึกของความสำเร็จยิ่งใหญ่ และคุณก็จะได้เห็นผลของความอุตสาหะของทุกคน ของทีมงานมากมายน่ะค่ะ ส่วนลุคของลอราในหนังเรื่องนี้จะดูมีอิสระมากกว่าเดซีตัวจริง เดซีของเราจะเป็นธรรมชาติมากกว่าในขณะที่เดซีตัวจริงจะเป็นคนเนี้ยบที่ไม่เคยปล่อยให้ผมซักเส้นหลุดจากที่น่ะค่ะ…”