ที่มาของภาพยนตร์
“…ตอนที่ผมอ่านหนังสือเรื่องนี้ ผมชอบที่ว่าสิ่งที่อยู่ในลิสต์ของเทสซ่าไม่ใช่ความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่อลังการ มันเป็นแค่ประสบการณ์ทั่วๆ ไปที่เด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ ต้องการและควรจะได้รับ เว้นแต่ว่ามันถูกคาดหวังด้วยความจริงจังของคนที่รู้ว่าชีวิตเธอกำลังจะจบสิ้นลงครับ…” ผู้กำกับและมือเขียนบท โอล ปาร์คเกอร์ บอก เขายอมรับว่าการพบกับผู้อำนวยการสร้าง พีท เชอร์นิน และ เกรแฮม บรอดเบนท์ เพื่อคุยถึงโปรเจ็กต์นี้ครั้งแรกไม่น่าประทับใจเลย “…ในตอนที่พวกเขาเสนอผมถึงหนังเกี่ยวกับเด็กสาววัยรุ่นที่มีชื่อว่า ‘Before I Die’ ผมก็เกือบจะบอกปฏิเสธไปก่อนที่จะจบมีตติ้งครั้งนั้นเสียอีก แต่พวกเขาก็เกลี้ยกล่อมให้ผมอ่านหนังสือเล่มนั้น และผมก็พบตัวเองร้องไห้เป็นเผาเต่าตอนตีสอง ผมส่งข้อความไปหาพวกเขาว่าผมจะต้องได้เขียนบทและกำกับหนังเรื่องนี้ครับ…” เขาอธิบาย “…หนังสือเรื่องนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ งดงามและเฉียบคมและน่าแปลกที่มันช่วยสร้างความหนักแน่นให้กับชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ความมีชีวิตชีวาและความดุเดือดที่เทสซ่าใช้ชีวิตของเธอเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจจริงๆ ทั้งกับตัวละครในเรื่องและทุกคนที่ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ ผมรู้ว่าจะเขียนอะไรและจะเขียนยังไง ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักหรอกครับ…”
จุดเริ่มต้นสำคัญคือการเปลี่ยนชื่อเรื่องจาก“Before I Die” ไปเป็น Now is Good ปาร์คเกอร์ กล่าวว่า “...มันเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดเน้นย้ำใหม่ มันเป็นคำสั่ง คำยืนกราน ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน...” เขากำหนดให้เรื่องราวเกิดขึ้นในไบรท์ตัน “...ผมรู้ว่ามันควรจะเกิดขึ้นในไบรท์ตัน ซึ่งจะสร้างความสมจริงให้กับสิ่งแวดล้อมของเทสซ่า มีความปกติธรรมของย่านชานเมือง แต่ก็มีทิวทัศน์กว้างไกล ทางหลบหนีทีไล่และทะเลอยู่ใกล้ๆ น่ะครับ...”
ก่อนหน้าที่เขาจะเริ่มดัดแปลงบท ปาร์คเกอร์ จะต้องเขียนบทภาพยนตร์อีกเรื่องให้เสร็จก่อน ซึ่งก็คือ Best Exotic Marigold Hotel ซึ่งกำกับโดย จอห์น แมดเดน และนำแสดงโดย จูดี้ เดนช์ และ แม็กกี้ สมิธ เขาอธิบายว่า “...หนังเรื่องนั้นเกี่ยวกับคนชราที่เผชิญหน้ากับความแก่เฒ่าของตัวเอง และผมก็ไม่ได้ทำการเชื่อมโยงจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ แต่มันหมายถึงว่าผมใช้เวลาครุ่นคิดถึงความจริงจังในการใช้ชีวิตของคุณเมื่อคุณรู้ว่าเวลาของคุณมีจำกัดน่ะครับ...”
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นสี่ปีหลังจากที่เทสซ่าได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นลูคิวเมีย เมื่อเธอได้รับแจ้งว่า โรคของเธอรุนแรงถึงชีวิต เธอตัดสินใจที่จะไม่ทำการรักษา ที่แม้จะยืดชีวิตของเธอ แต่ก็จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของเธอ “...เธอเลือกทางเลือกที่สั้นกว่า จริงจังกว่าและหวังว่าจะเติมเต็มชีวิตของเธอมากกว่า ด้วยการให้ความสำคัญกับการยินดีกับปัจจุบันมากกว่าจะมองไปที่อนาคตน่ะครับ...” ปาร์คเกอร์ กล่าว “...เราไม่ได้ใช้การเดินเรื่องที่ชัดเจนกว่านี้ของการได้เห็นเด็กสาวคนนี้รู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย แต่เราเริ่มต้นเรื่องตอนที่เธอรู้ว่าเธอกำลังจะตายในไม่ช้านี้น่ะครับ...”
ผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ เชอร์นิน ยอมรับว่า การเสนอภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กับนายทุนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้ว่านิยายเรื่อง “Before I Die” ของเจนนี่ ดาวแนม จะขายดีทั่วโลกก็ตาม “แต่” เขากล่าว “...พอเราได้บทของ โอลมา คนก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับ และเราก็ได้คำมั่นจากดาโกต้า ที่อยู่กับเราตลอดกระบวนการ” เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องรวมทีมนักแสดงชาวอังกฤษมากประสบการณ์มาต่อกรกับประสบการณ์ของดาโกต้า “เจเรมี่เป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์ดึงดูดบนหน้าจอ เช่นเดียวกับแพ็ดดี้และโอลิเวีย และเราก็โชคดีที่ได้คายา สโคเดลาริโอมารับบทโซอี้ เพื่อนสนิทของเทสซ่า เธอกำลังจะดังครับ และเธอก็มีความทะเล้นแบบอังกฤษ ที่เข้ากันได้ดีกับดาโกต้าด้วย...”
เชอร์นิน กล่าวชื่นชมผู้กำกับภาพ อีริค วิลสัน ในการเปิดแง่มุมวิชวลของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กว้างขวาง “...อีริคเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยังอายุน้อย และเขากับโอลก็ทำให้แน่ใจว่าธรรมชาติจะมีบทบาทสำคัญในเรื่อง เรื่องราวส่วนมากเกิดขึ้นในบริเวณที่น่าอึดอัดภายในบ้านหรือโรงพยาบาล และมันก็เป็นเรื่องสำคัญที่ได้เห็นเทสซ่ามีความสุขกับโลกภายนอกในทุกโอกาส เราได้เห็นเธอมีความสุขในโลกขณะที่เธอใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ครับ...”
ปาร์คเกอร์ กล่าวสรุปถึงเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่มีต่อผู้ชมว่า “...ผมพบว่าพลังงานและความรักพิเศษสุดที่เทสซ่ามีต่อการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างแสนสั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงการมีชีวิตอยู่ได้อย่างน่าทึ่ง เธอเป็นตัวละครที่น่าทึ่ง เธอใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และนั่นก็เป็นตัวอย่างที่เหลือเชื่อสำหรับเราทุกคน ผมหวังว่าผมจะมีความกล้าหาญ ความฉลาด ไหวพริบและความรู้สึกรุนแรงซักหนึ่งในสิบของเธอ แต่ผมก็พยายามสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาราวกับว่าผมมีคุณสมบัติเหล่านั้นจริงๆ เราทุกคนต่างก็หวังว่าเราได้สร้างหนังที่เป็นกำลังใจแง่บวกอย่างแท้จริง ที่เคลือบไปด้วยความเศร้าสร้อย แต่กลับเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองอย่างน่าประหลาดครับ...”
เปิดใจผู้กำกับเกี่ยวกับนักแสดง
สำหรับบท เทสซ่า ปาร์คเกอร์ เดินทางไปลอสแองเจลิส เพื่อพบกับดาโกต้า แฟนนิ่ง ผู้ซึ่งเขาพูดถึงว่า “…มีพรสวรรค์เกินอายุอย่างเหลือเชื่อ เธอเป็นนักแสดงที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดง เธอมีผลงานการแสดงมากมาย และตอนนี้ เธอก็อายุได้ 17 ปีแล้ว…” ผู้กำกับยอมรับว่า ในตอนแรก เขารู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะเลือกนักแสดงที่ไม่ใช่คนอังกฤษ แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดทันทีที่เขาได้พบกับ ดาโกต้า “…ผมไปดื่มน้ำชา กับเธอในโรงแรมที่แอลเอ และเธอก็มาถึงก่อน ผมมารู้ทีหลังว่า ดาโกต้าไปก่อนเวลานัดเสมอ และเธอก็จะเป็นผู้ควบคุม สิ่งรอบข้าง ผมขอให้เธอรับบทเทสซ่าก่อนที่น้ำชาจะถูก เทเสียอีก เธอเฉียบคม ตลก ประชดประชัน จริงจัง น่ารักน่าเอ็นดู และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เธอเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์สูงมาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะบางครั้ง เทสซ่าจะต้องเป็นคนที่เรารักไม่ค่อยลง และคุณก็ต้องอาศัยนักแสดงที่เก่ง ในการแสดงให้เราเห็นถึงความเจ็บปวดเบื้องหลังการกระทำที่มักจะเห็นแก่ตัวของเธอ ดาโกต้าเข้าใจเรื่องนั้น เธอรักหนังสือเล่มนี้รักบทและอยากจะมาอังกฤษเพื่อแสดงหนังเรื่องนี้โดยไม่เรียกร้องอะไร แม้ว่าผมคิดว่าเอเจนท์ของเธอคงไม่อยากให้เธอพูดอย่างสุดท้ายนั่นหรอกครับ…”
เมื่อการถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น ปาร์คเกอร์ ตระหนักได้ว่าความมั่นใจที่เขามีต่อ ดาโกต้า ไม่ได้ผิดไปเลย “…ดาโกต้าทั้งฉลาดเฉลียวและเต็มไปด้วยอารมณ์ ซึ่งเธอก็นำคุณสมบัติทั้งหมดนั่น บวกกับความเข้าใจด้านเทคนิคมาสู่กองถ่ายทุกวัน ในฐานะนักแสดง เธอมุ่งมั่นต่อความสมจริงของฉากอย่างที่สุด แล้วเธอก็ไม่เคยเผยความเสแสร้งบนหน้าจอเลย มันเป็นเรื่องเยี่ยมสำหรับผู้กำกับ เพราะมันไม่มีเรื่องของอารมณ์อ่อนไหวเข้ามาเลย ตามคำนิยามของผม อารมณ์อ่อนไหวคือความเสแสร้ง ความพยายามให้ได้มาซึ่งผลโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น คุณก็จะได้การแสดงที่สมจริง น่าประทับใจอย่างลึกซึ้งและให้กำลังใจในแง่บวกอย่างดีครับ…”
“…ดาโกต้า เป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์และสัญชาตญาณเฉียบคมจนเธอสามารถทำความเข้าใจและเผยถึงความเจ็บปวดและความโกรธ เบื้องหลังพฤติกรรมที่ไม่รู้สึกรู้สาของเทสซ่าในช่วงเริ่มต้นเรื่องได้ในทันที แต่พอเทสซ่าได้พบกับอดัมและเริ่มเปิดใจและไว้วางใจเขา เธอก็พาเราสู่การเดินทางนั้น และค่อยๆ เชื้อเชิญเราเข้าไปด้วยความสามารถมากล้นของเธอน่ะครับ…”