END OF WATCH
จัดจำหน่ายโดย เอ็ม พิคเจอร์ส
ชื่อภาษาไทย คู่ปราบกำราบนรก
ภาพยนตร์แนว แอ็คชั่น
จากประเทศ สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย 27 กันยายน 2555
ณ โรงภาพยนตร์ ทุกโรงภาพยนตร์
ผู้กำกับ David Ayer (เดวิด เอเยอร์)
อำนวยการสร้าง David Ayer (เดวิด เอเยอร์)
เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์ http://www.youtube.com/watch?v=S6aQkgHHLtc&feature=plcp
นักแสดง JAKE GYLLENHAAL (เจค จิลเลนฮัล) จาก Brokeback Mountain , Donnie Darco , Zodiac
MICHAEL PEÑA (ไมเคิล เพนยา) จาก Shooter , Million Dollar Baby , The Lincoln Lawyer
AMERICA FERRERA (อเมริกา เฟอร์เรรา) จาก Ugly Betty , Hoe to Train Your Dragon
ANNA KENDRICK (แอนนา เคนดริค) จาก Up in the Air , 50/50 , Twilight
NATALIE MARTINEZ (นาตาลี มาร์ติเนซ) จาก Dath Race , Magic City Memoirs
จุดเด่น
David Ayer (เดวิด เอเยอร์ ) ผู้กำกับ , มือเขียนบท และ ผู้อำนวยการสร้าง มีแรงผลักดันที่จะนำเสนอเรื่องราวของตำรวจลอสแองเจลิสอย่าง “ถูกต้อง” และเปิดประตูให้ผู้ชมได้เห็นโลกของผู้บังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีใครเห็นบ่อยนัก ที่เต็มไปด้วยความจริง ความดิบเถื่อนและความเห็นอกเห็นใจ ด้วยทีมนักแสดงที่นำทีมโดยเจค จิลเลนฮัลและไมเคิล เพนา ร่วมด้วยแอนนา เคนดริค, อเมริกา เฟอร์เรรา, โคดี้ ฮอร์น, นาตาลี มาร์ติเนซและแฟรงค์ กริลโล END OF WATCH เป็นเรื่องราวที่ทรงพลังเกี่ยวกับครอบครัว มิตรภาพ ความรัก เกียรติยศและความกล้าหาญ
เรื่องย่อ
ในภารกิจเพื่อยึดมั่นตามคำสัตย์สาบานที่พวกเขาได้ให้ไว้ว่าจะรับใช้และคุ้มครอง เจ้าหน้าที่ไบรอัน เทย์เลอร์ (เจค จิลเลนฮัล) และเจ้าหน้าที่ไมค์ ซาวาลา (ไมเคิล เพนยา) ได้สานสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นฉันพี่น้องท้องเดียวกัน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยเพื่อเสร็จสิ้นภารกิจ สิ่งที่เป็นหลักประกันเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเจ้าหน้าที่เหล่านี้คือมันไม่มีหลักประกันใดๆ เลยในตอนที่พวกเขาลาดตระเวนตามท้องถนนในเขตเซาธ์ เซ็นทรัล, ลอสแองเจลิส
ระหว่างแสงสีฟ้า เสียงไซเรนที่แผดร้องกึกก้องและแอ็กชันที่กระตุ้นอะดรีนาลินพลุ่งพล่าน ยังมีการปะทะคารมที่น่าขบขันและตรงไปตรงมาระหว่างคู่หู ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการนั่งรอการเรียกในรถตำรวจ พวกเขาได้สานสายสัมพันธ์กันในแบบที่ทำให้พวกเขาทำงานร่วมกันเป็นทีมเดียวกันได้เมื่อเผชิญกับภยันตราย โดยพวกเขารู้ดีแก่ใจว่า พวกเขาอาจถูกเรียกตัวให้ไปเสี่ยงชีวิตได้ทุกชั่วขณะ แอ็กชันที่ลุ้นระทึกได้ถูกเผยผ่านทางฟุตเตจจากกล้องแฮนด์เฮลด์ ที่ถ่ายทำจากมุมมองของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สมาชิกแก๊ง กล้องวงจรปิด แดชแคมและประชาชนผู้ติดอยู่ตรงกลางระหว่างการต่อสู้ มุมมองแบบ 360 องศานี้ได้ก่อให้เกิดภาพสะท้อนที่น่าติดตามและลุ้นระทึกของท้องถนนและตรอกซอกซอยที่รุนแรงที่สุดและมืดหม่นที่สุดของเมือง รวมถึงวีรบุรุษและวีรสตรีคนกล้าผู้ทำหน้าที่ลาดตระเวนย่านนั้นด้วย
เกี่ยวกับงานสร้าง
“เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดกะ เขาก็จะมีสมุดบันทึกไว้ลงรายงาน เช่นตรงนี้มีรหัสหก หยุดผู้ชายคนนี้ได้ กักขังผู้ต้องสงสัยไว้…
สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาเขียนลงไปคือ ‘EOW’ และเวลา
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานมานานจะบอกคุณได้ว่า มีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำในทุกกะ
นั่นคือ EOW เลิกกะ และกลับบ้าน ถ้าคุณไม่กลับบ้าน มันก็เรียกว่าเลิกกะได้เหมือนกัน” –เดวิด เอเยอร์
ด้วยการเติบโตมาบนท้องถนนในย่านเซาธ์ เซ็นทรัลของลอสแองเจลิส ชีวิตของมือเขียนบท/ผู้กำกับเดวิด เอเยอร์ อาจออกมาแตกต่างจากที่เป็นอยู่ก็ได้ เขาได้เห็นว่าย่านที่อยู่อาศัยนั้นต้องสั่นสะเทือนจากความรุนแรงของแก๊งอันธพาลอย่างไร แต่แทนที่เขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับมัน เขากลับนำเอาประสบการณ์เหล่านั้นใส่ลงไปในเรื่องราว ระหว่างที่เขาเข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ เรื่องราวของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและท้ายที่สุดก็กลายเป็นบทภาพยนตร์ เช่นภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่าง Training Day
“ในหลายๆ แง่มุม การเคลื่อนจาก Training Day ไปสู่ End of Watch เป็นเหมือนการเดินครบรอบวงกลมครับ” เอเยอร์กล่าว “มีบางสิ่งเกี่ยวกับการเขียนถึงตำรวจที่ทำให้มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับผม ผมมีสายเลือดที่ทำให้ผมเขียนเกี่ยวกับตำรวจได้ง่ายๆ ครับ” เนื่องจากผลงานภาพยนตร์ที่ตามมาเป็นทิวแถวหลังจาก Training Day ซึ่งรวมถึง S.W.A.T. และ Street Kings เอเยอร์ก็กังวลถึงเรื่องการถูกจัดประเภทในฮอลลีวูด และเริ่มถอยห่างจากภาพยนตร์แนวนี้ไปซักพัก “ชัดเจนว่าผมกำลังมุ่งหน้าไปยังถนนสายหนึ่งสายใด” เอเยอร์บอก “แต่ครูคนหนึ่งของผม (เวสลีย์ สตริค มือเขียนบทชื่อดัง) บอกให้ผมหาแนวถนัดของตัวเองและใช้ประโยชน์จากมัน ตอนนั้นเองที่ผมบอกกับตัวเองว่า ฉันรู้เรื่องนี้ และฉันก็จะกลับไปหาเรื่องนี้ น่ะครับ”
แต่ครั้งนี้ เอเยอร์จะใช้วิธีที่แตกต่างออกไปอย่างมาก ด้วยความที่เขาเป็นเพื่อนกับเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายหลายคน เขาก็เลยต้องการจะบอกเล่า “เรื่องราวของพวกเขา” ในขณะที่ผลงานเรื่องก่อนๆ ของเขาจะให้น้ำหนักไปที่ตำรวจเลวหรือตำรวจขี้ฉ้อ บทภาพยนตร์เรื่องนี้จะสะท้อนว่างานนี้จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร
“มีข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับหนังตำรวจคือเราจะไม่ได้เห็นว่าพวกเขาทำงานจริงๆ อย่างไร” เอเยอร์กล่าว “เราได้เห็นในสิ่งที่ฮอลลีวูดคิดว่าพวกเขาทำ เราได้ดูหนังตำรวจทุกเรื่อง...ที่คุณจะมีฉากที่ตำรวจสองนายเถียงกันเรื่องเขตอำนาจ”
ในการสัมภาษณ์ครั้งก่อนๆ เอเยอร์เองเคยบอกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกังฉินเป็นหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดสำหรับภาพยนตร์ตำรวจ END OF WATCH ทำให้เขาครุ่นคิดถึงความรู้สึกเหล่านั้นใหม่ “ในที่สุด ผมก็พิสูจน์กับตัวเองได้แล้วว่ามันไม่จริง” เอเยอร์กล่าว “และผมก็คิดว่าผมได้พิสูจน์ให้คนอื่นๆ เห็นแล้วว่ามันไม่จริง” สำหรับเอเยอร์ อันตรายในการทำงานประจำวันของตำรวจ บวกกับ “การต้องกลับบ้านและมีความสัมพันธ์ตามปกติ” กับคู่ชีวิตของคุณ เป็นแนวทางในการสร้างเรื่องของเขา
“คนพวกนี้เห็นความวุ่นวายและการฆ่าฟันมาและต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ทำลายสุขภาพจิตอย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่พวกเขาจะต้องกลับบ้านแล้วต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์นั้นให้คงอยู่ให้ได้” เอเยอร์กล่าว “คนที่สามารถทำแบบนั้นได้สำเร็จสำหรับผมแล้วเป็นคนที่น่าทึ่งครับ”
ผลงานที่เอเยอร์หวนคืนสู่แนวตำรวจลอสแองเจลิสอีกครั้งคือบทภาพยนตร์สำหรับ END OF WATCH ที่เขาเขียนขึ้นภายในเวลาหกวัน เอเยอร์ได้ใช้ทักษะทั้งหมดที่เขาได้เรียนรู้มาโดยตลอดในการบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นไปตามขนบมากๆ แต่ยังไม่เคยถูกบอกเล่าจนหมดมาก่อน “ผมอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวของกลุ่มคนที่ออกปราบเหล่าร้าย ทำงานหนักเพื่อปฏิบัติการกิจ และโดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนดีครับ” เอเยอร์กล่าว “สิ่งที่เราถูกฝึกให้คาดหวังจากหนังตำรวจจะไม่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ แต่นี่คือความจริงครับ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ว่าคนเราผูกพันกันอย่างไร ตำรวจมีสายสัมพันธ์กันอย่างไร หนังเรื่องนี้เหมือนการที่เราได้เข้าไปสู่โลกเร้นลับนั้นครับ”
วิธีการของเอเยอร์ในการพลิกโฉมหน้าของประเด็นเดิมๆในภาพยนตร์ตำรวจดึงดูดความสนใจของผู้อำนวยการสร้าง จอห์น เลเชอร์ “สิ่งที่ผมคิดว่าพิเศษเกี่ยวกับบทของเอเยอร์คือมันไม่ได้เป็นหนังตำรวจแบบทั่วๆ ไปหรือเป็นหนังเกี่ยวกับตำรวจกังฉิน” เลเชอร์บอก “แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนรักสองคนและสิ่งที่พวกเขาพบเจอในการเป็นตำรวจ หนังเรื่องนี้มีทั้งแอ็กชันและความรุนแรง และท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพ ครอบครัวและธีมสากลทั้งหลาย ที่เข้าถึงทุกคนครับ”
ในฐานะที่ปรึกษาด้านเทคนิคตำรวจในภาพยนตร์เรื่องนี้และผู้ที่เคยเป็นตำรวจในสังกัดกรมตำรวจแอลเอมานานถึงสิบห้าปี เจมี ฟิทซ์ไซมอนส์ชื่นชมความตั้งใจของเอเยอร์ที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่สมจริง “ผมคิดว่าลักษณะที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำและลักษณะที่เดวิดเขียนบทขึ้นมา ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและคนในสังคมพอดูหนังเรื่องนี้แล้วจะเกิดความคิดว่า ‘ในที่สุด’ น่ะครับ” ฟิทซ์ไซมอนส์กล่าว “ในที่สุด ก็มีคนแสดงให้เห็นถึงทั้งสองด้านว่าการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้เป็นยังไงและการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่เป็นเพื่อนรักกันมาลาดตระเวนในชุมชนแบบนี้เป็นยังไง เอเยอร์เข้าใจความสำคัญของการเป็นคู่หูของพวกเขาจริงๆ ว่ามันมีความหมายอย่างไรสำหรับคนที่พวกเขารักและครอบครัวของพวกเขา ซึ่งครอบคลุมทุกแง่มุมในชีวิตของนายตำรวจทั้งสองนายนี้น่ะครับ”
แอ็กชันใน END OF WATCH ดำเนินไปเหมือนกับสารคดี เอเยอร์ได้พัฒนาภาพยนตร์เรื่องนี้ให้มีภาพที่น่าตื่นเต้นเพื่อดึงผู้ชมให้รู้สึกเหมือนอยู่ในทุกฉาก “ผมจะใช้มุมมองตามของจริงครับ” เอเยอร์กล่าว “ผมอยากให้มันเป็นเหมือนกับการดู YouTube ที่มีบางสิ่งในหัวคุณบอกคุณว่านี่เป็นของจริง หนังเรื่องนี้เป็นเหมือน YouTube ปะทะ Training Day ในหลายๆ แง่มุมครับ” ตลอดการถ่ายทำ เอเยอร์ได้วางลำดับแต่ละช็อตเพื่อที่ผู้ชมจะดำดิ่งลงไปในโลกใบนี้ลึกลงไปเรื่อยๆ สำหรับเอเยอร์ END OF WATCH ได้ผสมผสานคุณค่าด้านการถ่ายทำชั้นเลิศเข้ากับความรู้สึกของความสมจริงและตื่นเต้นของ YouTube
“ผมสนใจความทะเยอทะยานของเอเยอร์ที่จะสร้างลุคที่สมจริงของการอยู่ในกรมตำรวจน่ะครับ” เลเชอร์กล่าว “เทคนิคการถ่ายทำของเขาให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาและไม่เหมือนกับสิ่งที่ผมเคยเห็นมาก่อนเลย”
จากความสัมพันธ์ของบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปจนถึงโลเกชันที่มีอยู่จริงและมุมกล้องที่กว้างไกล ความสมจริงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความสำเร็จของ END OF WATCH ในการทำให้แอ็กชันมีความลุ้นระทึกและทำให้ผู้ชมจดจ่อกับเรื่องอย่างเต็มที่ กล้องจะถ่ายทำภาพแอ็กชันเสมือน 360 องศา ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม จะมีกล้องสี่ตัวทำงานตลอด ซึ่งรวมถึงกล้องสองตัวที่ติดอยู่กับตัวของนักแสดง เจค จิลเลนฮัลและไมเคิล เพนยา เพื่อขับเน้นความสมจริงของฉาก (ตัววละครของจิลเลนฮัลกำลังเรียนคอร์สภาพยนตร์ในฐานะส่วนหนึ่งของการเตรียมพร้อมเพื่อศึกษากฎหมายของเขา และกล้องก็จะปรากฏให้เห็นและถูกร้อยเรียงเข้าไปในเรื่องราวด้วย)
“คนจะรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับไบรอัน เทย์เลอร์และไมค์ ซาวาลาครับ” เจมี ฟิทซ์ไซมอนส์ ที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิคบอก “พวกเขาจะรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน ในแง่มุมตำรวจของเรื่องนี้ ในความเป็นคู่หูนี้ รวมถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเขาด้วยครับ”
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นด้วยฉากไล่ล่าทางรถยนต์ที่บีบหัวใจเมื่อเจ้าหน้าที่ไบรอัน เทย์เลอร์ (เจค จิลเลนฮัล) และเจ้าหน้าที่ไมค์ ซาวาลา (ไมเคิล เพนยา) ต้องรีบเร่งผ่านตรอกซอกซอยในเขตนิวตันของเซาธ์ เซ็นทรัล ลอสแองเจลิส เพื่อพยายามไล่จับรถที่เต็มไปด้วยสมาชิกแก๊ง ขณะที่กล้องแดชแคมจากรถตำรวจของเทย์เลอร์และซาวาลาได้บันทึกภาพการไล่ล่านั้นเอาไว้ทุกช็อต มันลงเอยด้วยกระสุนห่าใหญ่ ซึ่งมีนัดหนึ่งฝังอยู่ในเสื้อเกราะเคฟลาร์ของเทย์เลอร์ มันเป็นแค่หนึ่งในอันตรายที่พวกเขาต้องเจอในการทำงานเท่านั้นเอง
การออกปฏิบัติหน้าที่แต่ละครั้งจะตามมาด้วยความไม่แน่นอน ความท้าทายครั้งใหม่ และความรีบเร่งสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มสองนาย เช่นตัวป่วนประจำซอยไปมีปัญหากับบุรุษไปรษณีย์, สาวขี้ยาที่ทำลูก “หาย” แต่เทย์เลอร์กับซาวาลาไปเจอเด็กพวกนั้นถูกเทปกาวมัดไว้ในตู้เสื้อผ้า, พวกเขาจับ “คาวบอยเม็กซิกัน” ได้พร้อมกับรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยอาวุธและเงินสด, พวกเขาช่วยเหลือเด็กๆ จากตึกที่ไฟกำลังไหม้ได้อย่างกล้าหาญ, พวกเขาค้นพบเซฟเฮาส์ที่ถูกใช้ในการค้ามนุษย์ และการเยี่ยมเยือนบ้านของหญิงชราก็นำไปสู่การยึดยาเสพติดล็อตใหญ่ และในตอนเลิกกะทุกครั้ง พวกเขาก็ลงบันทึกว่า “EOW” ในบันทึกประจำวันก่อนจะมุ่งหน้ากลับบ้าน
เจ้าหน้าที่เทย์เลอร์ ผู้เป็น “นักรัก” มายาวนาน กำลังตกหลุมรัก เจเน็ต (แอนนา เคนดริค) หญิงสาวสวย ส่วนเจ้าหน้าที่ซาวาลาก็เพิ่งมีลูกคนแรกกับแก็บบี้ (นาตาลี มาร์ติเนซ) ภรรยาของเขา ขณะที่พวกเขารอการเรียกตัวครั้งถัดไป พวกเขาก็คุยกันอย่างสนิทสนมเกี่ยวกับความเสี่ยงในอาชีพการงาน และความตื่นเต้นและความกลัวที่เกิดขึ้นตามมา บทสนทนานี้ค้านกับการพูดคุยเกี่ยวกับหญิงสาวในชีวิตของพวกเขาและช่วงเวลาที่อ่อนโยนเกี่ยวกับความหวังที่พวกเขามีต่อครอบครัวของตัวเอง
ในอีกด้านหนึ่งของกฎหมาย เราได้ทำความรู้จักกับคนนอกกฎหมายจากแก๊งค้ายาซินาลัวและแก๊งข้างถนนของแอลเอ ที่มีชื่อเหมือนมาจากนิยายภาพ ได้แก่บิ๊ก อีวิล, วิคเค็ด, ลา ลา และ ดีมอน ท่ามกลาง “พวกอันธพาลและขี้ยา” อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ขณะที่สมาชิกแก๊งลัดเลี้ยวไปทางเซาธ์แลนด์ กล้องวิดีโอส่วนตัวก็ได้บันทึกภาพพวกเขาขณะสร้างความฉิบหายวายป่วงในละแวกนั้นอย่างไร้ศีลธรรม
“เทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงงานของตำรวจครับ ตอนนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่ตำรวจจะพกกล้องวิดีโอ ไมโครโฟนและเทปบันทึกเสียง” ฟิทซ์ไซมอนส์กล่าว “คุณจะได้เห็นมันจากฝั่งของแก๊งด้วยเหมือนกัน ลองดูที่ YouTube สิครับ ตอนนี้ พวกแก๊งบันทึกภาพทุกอย่างเอาไว้ทั้งนั้นแหละครับ”
เปิดใจนักแสดงนำ...
เจ้าหน้าที่ตำรวจ
“เรายืนหยัดด้วยกัน เป็นเส้นบางๆ สีฟ้า ที่คอยคุ้มครองเหยื่อจากผู้ล่า คนดีจากคนเลว เราคือตำรวจ”
“คุณสามารถสร้างหนังที่ใช้เทคนิคเลิศหรูอลังการมากๆ และถ่ายทำมันอย่างสวยงามได้ แต่ถ้าคุณไม่ได้นักแสดงที่ใช่ คุณก็ไม่สามารถสร้างหัวใจของหนังขึ้นมาได้หรอกครับ” เอเยอร์กล่าว “เราได้ตัวนักแสดงพรสวรรค์ ผู้เต็มใจทุ่มสุดตัวเพื่อหนังเรื่องนี้จริงๆ ครับ”
เจค จิลเลนฮัลเป็นนักแสดงคนแรกที่ร่วมทีมนักแสดงของ END OF WATCH จิลเลนฮัลพูดถึงบทภาพยนตร์ของเอเยอร์ว่า “ผมคิดว่าในตอนแรกผมประทับใจว่าผมพลิกแต่ละหน้าเร็วแค่ไหน หนังเรื่องนี้มีโครงสร้างเรื่องราวที่คลาสสิก แต่มันถูกซ่อนไว้ภายใต้การเล่าเรื่องที่แปลกใหม่และน่าทึ่ง ในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนครับ”
จิลเลนฮัล ผู้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่องด้วย มุ่งมั่นทำงานในโปรเจ็กต์นี้นานห้าเดือน ซึ่งในช่วงเวลานั้น เขาก็ได้เข้ารับการฝึกตำรวจอย่างเข้มข้นและเตรียมตัวสำหรับบทนี้ “เจคเป็นนักแสดงที่เหลือเชื่อ และมุ่งมั่นอย่างน่าทึ่งครับ” เลเชอร์กล่าว “เขาแข็งแกร่ง แต่ก็อ่อนไหวได้ในตอนที่จำเป็น เขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาสำหรับหนังเรื่องนี้จริงๆ เขาเป็นกัปตันของทีมนักแสดง ที่ดึงทุกคนมาร่วมงานและซ้อมกับทีมนักแสดงอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ เขายังเป็นหุ้นส่วนที่ยอดเยี่ยมในฐานะผู้อำนวยการสร้างด้วย และเขาก็ทุ่มให้กับงาน 150% เลย เขาสามารถเข้าถึงผู้คนและสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหลือเชื่อครับ”
“หลังจากที่ผมอ่านบท ผมก็คิดว่าเอเยอร์ได้ยกระดับความเสี่ยงสูงสุดสำหรับหนังแนวนี้” จิลเลนฮัลกล่าว “มันเป็นเส้นแบ่งบางๆ ว่าคุณจะสามารถสร้างสิ่งที่เหมือนคลิป YouTube ให้เป็นประสบการณ์ภาพยนตร์ได้รึเปล่า และเอเยอร์ก็ทำได้ ผมเริ่มนึกว่าทำไมไม่มีคนสร้างหนังแบบนี้มาก่อนล่ะน่ะครับ”
หลังจากจิลเลนฮัลแล้ว ไมเคิล เพนยาก็ถูกนำตัวเข้ามา หลังจากที่เอเยอร์และผู้อำนวยการสร้างได้พิจารณานักแสดงคนอื่นๆ สำหรับบทนี้ “เราชื่นชมผลงานของไมเคิลมาโดยตลอดครับ” เลเชอร์กล่าว “และเราก็พิจารณาเขาหลายรอบ จนกระทั่งเราได้เห็นเขาใน Lincoln Lawyer ซึ่งทำให้เราเชื่อในการแสดงของเขาครับ”
“End of Watch จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และซาวาลา และเมื่อคุณอ่านบท คุณจะรู้สึกทันทีเลยว่า เรื่องราวนี้จะไม่เวิร์คหรือดินไปข้างหน้าได้ถ้าไม่มีแง่มุมสำคัญนั้นน่ะครับ” จิลเลนฮัลกล่าว “ไมค์เป็นอีกครึ่งหนึ่งของผม และเขาก็สวมบทบาทนั้นได้อย่างพิเศษสุด ผมเคยเล่นหนังที่ตัวละครของผมเป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมด และจะต้องแบกรับน้ำหนักของทุกฉากเอาไว้ แต่หนังเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน เราเป็นครึ่งหนึ่งของมัน มันจะไม่เวิร์คถ้าขาดพวกเราคนใดคนหนึ่งครับ”
นอกจากนี้ เพนยายังสนใจบทของเอเยอร์ ซึ่งไม่ได้มีการเล่าเรื่องแบบทั่วๆ ไปด้วย เรื่องราวเกี่ยวกับคู่หูสองคนกระทบใจเพนยาและเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ “แง่มุมความเป็นพี่น้องของเรื่อง ว่ามันสมจริงขนาดไหน โดนใจผมอย่างจังครับ” เพนยาบอก “ฉากแอ็กชันบางฉากพออ่านแล้วตื่นเต้นมาก แต่มันก็มีบางฉากที่ตัวละครสองตัวนี้พูดคุยกันเฉยๆ ซึ่งมันน่าสนใจในแบบเดียวกับละครของเดวิด มาเม็ตเลยล่ะครับ”
เพนยาเข้าใจดีว่าการเล่นเป็นเพื่อนสนิทกันในภาพยนตร์คงไม่ใช่เรื่องง่าย “มันค่อนข้างยากเพราะคุณต้องทำตัวเหมือนพี่น้องกันครับ” เพนยากล่าว “คุณต้องแสดงความสนิทสนมในแบบที่เสแสร้งไม่ได้ คุณจะต้องมีความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
ทั้งคู่ใช้เวลาห้าเดือนในการฝึกฝนแบบตำรวจ การฝึกการต่อสู้และการฝึกกลยุทธ รวมทั้งการนั่งรถไปกับตำรวจด้วย จิลเลนฮัลและเพนยาได้สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันผ่านทางประสบการณ์ที่หาได้ยากนี้ ทั้งคู่ได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการผูกสัมพันธ์และซักซ้อมการแสดงเพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักกันและกันอย่างลึกซึ้ง และเอเยอร์ก็ผลักดันพวกเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“เจคและไมเคิลให้เวลากับผมมากกว่าที่พวกเขาอาจจะให้กับหนังเรื่องอื่นๆ ในชีวิตนักแสดงของพวกเขาเลยก็ได้ครับ” เอเยอร์กล่าว “ผมได้เวลาพวกเขามาห้าเดือนและในช่วงหลายเดือนนั้น คุณก็จะเริ่มเชื่อในมิตรภาพระหว่างพวกเขาและเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขาเป็นตำรวจคู่หูกันจริงๆ พวกเขาคือหนังเรื่องนี้ครับ”
ระหว่างการเตรียมตัวสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงเวลาหลายเดือนนี้เองที่จิลเลนฮัลและเพนยาได้สานมิตรภาพที่แท้จริงขึ้นมา ซึ่งทำให้ปฏิกิริยาเคมีระหว่างทั้งคู่บนหน้าจอดูเป็นเรื่องธรรมชาติ “ทุกอย่างที่คุณต้องเจอในตอนที่คุณเป็นเพื่อนกับใครซักคน เป็นเพื่อนสนิทใครซักคน เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาห้าเดือนครับ” จิลเลนฮัลบอก “ความไว้วางใจที่เกิดขึ้นจากการผ่านการฝึกอาวุธด้วยกันทำให้เราเข้าใจว่าการไว้วางใจอีกฝ่ายด้วยชีวิตเป็นอย่างไร และท้ายที่สุดแล้ว มิตรภาพนั้นก็กลายเป็นของจริงครับ”
แอนนา เคนดริค ผู้รับบทคนรักของเทย์เลอร์ในเรื่อง สังเกตเห็นถึงมิตรภาพที่ดูเป็นธรรมชาตินั้นทันที “พวกเขาเยี่ยมมากเพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนช่วงเวลาที่เส้นแบ่งระหว่างความจริงและหนังเลือนลางไป จนถึงขั้นที่ฉันไม่แน่ใจเลยว่าเทย์เลอร์และซาวาลาหรือเจคและไมเคิลกันแน่ที่เป็นคนพูดอยู่น่ะค่ะ”
ในฐานะตัวละคร เจ้าหน้าที่ไบรอัน เทย์เลอร์และเจ้าหน้าที่ไมค์ ซาวาลาเป็นคนที่แตกต่างกันอย่างมาก พวกเขาโตขึ้นมาในโลกที่แตกต่างกันและมาเป็นคู่หูกันในกรมตำรวจ ผู้ซึ่งไม่เพียงแต่คุ้มครองคนอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังคุ้มครองกันและกันด้วย ไบรอัน เทย์เลอร์ ตัวละครของจิลเลนฮัลมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยในดาเวนพอร์ต, ไอโอวา เขาสมัครเข้ากองทัพเรือเพื่อต่อต้านพ่อแม่ตัวเองและหลังจากนั้น เขาก็ตัดสินใจมาแอลเอเพื่อเป็นตำรวจ ที่นี่เองที่เขาได้พบกับซาวาลาที่โรงเรียนตำรวจ ซาวาลามาจากท้องถนนอีสต์แอลเอ เขาเป็นนักมวยสมัครเล่น ผู้เต่งงานกับหวานใจสมัยเรียน แก็บบี้ ตั้งแต่ตอนอายุ 18 ปี
“ไบรอัน เทย์เลอร์ เป็นคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่เย็นชาครับ” เอเยอร์กล่าว “เขาพบกับซาวาลาที่มีชีวิตครอบครัวอบอุ่นและโลกที่อึกทึกครึกโครม มันเต็มไปด้วยความรัก อาหารและผู้คนดีๆ และเทย์เลอร์ก็รู้สึกถูกดึงดูดเข้าหามันในทันทีครับ”
“คนพวกนี้เป็นคู่หูและเพื่อนรักกันในชีวิตของกันและกันครับ” เพนยากล่าว “ตอนที่ผมอ่านบทครั้งแรก ผมมองเห็นเรื่องราวที่เป็นสากลของคนสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลายเป็นเหมือนพี่น้องกัน และหลายครั้ง เรื่องแบบนั้นก็เกิดขึ้นในกองทัพและกรมตำรวจเพราะธรรมชาติของเนื้องานน่ะครับ”
“พวกเขาเป็นคนสองคนที่เต็มใจจะสละชีวิตเพื่อกันและกัน” จิลเลนฮัลกล่าว “แค่นั้นเลยจริงๆ และสิ่งที่น่าขันก็คือพวกเขาพบมิตรภาพนี้ในสถานที่ที่อันตรายที่สุดและมิตรภาพนั้นก็อาจถูกคุกคามและสูญหายไปได้ตลอดเวลา”
ตามที่ฟิทซ์ไซมอนส์อธิบาย สิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอสะท้อนถึงสายสัมพันธ์ที่มักจะปรากฏในกรมตำรวจจริงๆ “เมื่อคุณใกล้ชิดกันอย่างเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และซาวาลา คุณอาจจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าที่คุณได้ใช้เวลาอยู่กับภรรยาตัวเองเสียอีก มันเป็นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขนาดนั้นเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็จะทำให้แน่ใจว่าคู่หูของคุณจะได้กลับบ้านไปในตอนเลิกกะน่ะครับ”
ตัวละครสองตัวที่คงอยู่ตลอดทั้งเรื่องแม้กระทั่งในตอนที่พวกเขาไม่ได้อยู่บนหน้าจอคือเจเน็ต (แอนนา เคนดริค) และแก็บบี้ (นาตาลี มาร์ติเนซ) หญิงคนรักของเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และซาวาลา นอกจากความกดดันพิเศษที่เกิดขึ้นกับงานประจำวันของพวกเขาแล้ว ชายทั้งคู่ยังต้องรับมือกับปัญหาความสัมพันธ์ที่แสนธรรมดาด้วย ตัวละครของจิลเลนฮัลมาถึงจุดในชีวิตที่เขาพร้อมจะลงหลักปักฐานแล้ว และเขาก็ได้พบกับเจเน็ต หญิงสาวฉลาดเซ็กซี ผู้ซึ่งแตกต่างจากบรรดาผู้หญิง (เช่นพวกคลั่งตำรวจ) ในอดีตของเขา เจเน็ตเป็นนักศึกษาและพวกเขาก็ได้พบกันระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์ สำหรับบทเจเน็ต ผู้กำกับเดวิด เอเยอร์เลือกแอนนา เคนดริค (Up in the Air, The Twilight Films)
“แอนนาเยี่ยมมาก เธอมีชีวิตชีวาและน่าสนใจในทุกเทค” เอเยอร์กล่าว “เธอเข้าคู่กันได้ดีกับเจค ที่เป็นคนฉลาดเหมือนกัน เธอทำให้เขาตื่นตัวอยู่เสมอ และมีคุณสมบัติที่น่าเห็นใจแต่เกือบจะน่าขบขัน เธอทั้งน่าเอ็นดูและสดใส และมันก็มีเรื่องฮาร์ดคอร์บางอย่างในหนังเรื่องนี้ด้วย ดังนั้น โอกาสในการได้แสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นหัวใจและความรักเล็กๆ ความสดใสและความอ่อนโยนเล็กๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ ครับ”
“เจเน็ตไม่รู้หรอกค่ะว่าเธอไปพัวพันกับอะไร” เคนดริคบอก “เธอจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสายสัมพันธ์แบบพี่น้องนี้ และสานสายสัมพันธ์ในแวดวงที่สนิทสนมกลมเกลียวกัน ฉันไม่แน่ใจว่าเธอจะยอมคบกับเขารึเปล่าถ้าเขาสวมยูนิฟอร์มในครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน ฉันคิดว่ามันคงทำให้เธอสติแตกนิดๆ น่ะค่ะ”
“เหมือนคำที่คนเค้าพูดกันแหละครับว่าเขารักเธอมากจนปวดหัวใจ” จิลเลนฮัลบอก “แอนนาเป็นคนน่ารักและเซ็กซีในแบบที่คุณไม่เคยเห็นเธอมาก่อน สำหรับไบรอัน เทย์เลอร์ เจเน็ตเป็นตัวแทนของความสงบที่เขาไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต”
“ไบรอันเป็นคนฉลาด เจเน็ตเป็นผู้หญิงฉลาด และฉันก็คิดว่าทั้งคู่ต่างก็มีบาดแผลที่พวกเขาไม่อยากแสดงให้คนอื่นเห็น” เคนดริคกล่าว “แต่พวกเขารู้สึกกล้าพอที่จะแสดงให้กันและกันเห็นและความซื่อสัตย์แบบนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา มันหมายถึงความเข้าใจความนึกคิดและความกลัวของอีกคน การให้อภัยอดีตของใครซักคนเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะคะ”
เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ความสัมพันธ์ระหว่างเจเน็ตและเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์ก็พัฒนาขึ้น และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ระบุเวลาตามหลักไมล์ในความสัมพันธ์ของพวกเขา พวกเขาไปดื่มกาแฟกันที่สตาร์บัคส์ พวกเขาเดทกัน มันพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและเธอก็ได้พบกับซาวาลาและแก็บบี้ ภรรยาของเขา มีค่ำคืนที่อ่อนโยนที่ห้องของเขา ที่ตัวละครของเคนดริคเก็บกล้องวิดีโอในตอนเช้าและเล่าความรู้สึกของเธอให้เขารู้ ในช่วงท้ายเรื่อง มันมีฉากงานเลี้ยงแต่งงานที่แสนสุข ที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเต้นรำแบบช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพน่าประหลาดใจที่พวกเขาเริ่มวาดลวดลายเต้นแบบสุดเหวี่ยง เหมือนวิดีโอยอดนิยมทั้งหลายที่ส่งต่อๆ กัน
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่เทย์เลอร์และเจเน็ตผลิบาน ความสัมพันธ์ที่น่าสนใจก็เกิดขึ้นระหว่างเทย์เลอร์และซาวาลา ซาวาลา ที่ใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงคนเดียวมาตั้งแต่ไฮสคูล เริ่มสอนเทย์เลอร์เกี่ยวกับความรักในแบบพี่ชายสอนน้องชาย เขาอยากเห็นน้องชายของเขามีความสุขและเป็นที่รักเหมือนเวลาเขาอยู่กับแก็บบี้
สำหรับแก็บบี้ เอเยอร์เลือกนาตาลี มาร์ติเนซ (Death Race, Detroit 1-8-7) มารับบทนี้ “นาตาลีวิเศษสุดครับ” เอเยอร์กล่าว “ผมมองว่าแก็บบี้เป็นคนเข้มแข็ง เห็นได้ชัดว่าเธอรักเขาอย่างสุดซึ้ง แต่เธอก็เป็นคนมีอำนาจภายในบ้าน ผมชอบไอเดียของตำรวจผู้แข็งแกร่ง ที่ไล่ปราบเหล่าร้าย แต่พอกลับไปบ้าน เขาก็แบบ ‘ได้จ้ะ ที่รัก’ เขายอมเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกร่วมกันครับ”
“นาตาลีมีพลังงานที่มหัศจรรย์ครับ” เพนยากล่าว “การรักเธอเป็นเรื่องง่าย ตัวละครของเรารู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต และผมกับนาตาลีก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ เพื่อสร้างความรู้สึกสบายใจนั้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาครับ”
ความสัมพันธ์ของซาวาลาเริ่มขั้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาคบกันในสมัยเรียน เขาเรียนตำรวจส่วนเธอก็เป็นครู “พวกเขาอยากจะสร้างชีวิต เป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ” มาร์ติเนซบอก ในเรื่อง แก็บบี้ตั้งครรภ์ได้หกเดือน และเมื่อเรื่องราวดำเนินไป เธอก็ให้กำเนิดลูก ซึ่งมันก็ก่อให้เกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นจากอาชีพของสามีเธอด้วย
“ฉันคิดว่ามันเป็นอาจเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่ากลัวที่สุดของการเป็นภรรยาตำรวจก็ได้ การที่คุณไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะกลับบ้าน” มาร์ติเนซบอก และเหนือสิ่งอื่นใด ในตอนที่พวกเขากลับบ้านพร้อมด้วยอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ คุณก็จะต้องต้อนรับเขากลับบ้านด้วยความรักและพาสามีของคุณออกห่างจากโลกภายนอกนั่น และเมื่อพวกเขาเดินออกจากบ้านอีกครั้ง คุณก็ต้องรู้ว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ที่คุณจะได้พูดว่า ‘ไปดีนะคะ’ ค่ะ”