เกี่ยวกับงานสร้างภาพยนตร์
Hysteria [ฮิ-สเตอร์-อี-เออ, -สเตียร์-] คำนาม 1.ตามประวัติศาสตร์ หมายถึงความผิดปกติที่ผู้ป่วยมีอาการตื่นเต้น หงุดหงิด ประพฤติผิดปกติและมีอารมณ์แบบสุดโต่ง เกิดขึ้นโดยมากในผู้หญิง และ 2.ความขำขันแบบฉับพลัน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ขณะที่อุปกรณ์และสิ่งประดิษฐ์แปลกใหม่กำลังหล่อหลอมโลกอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน ได้ติดตามเรื่องราวการประดิษฐ์ ไวเบรเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่ขายดีที่สุด ที่ไม่กล้าประกาศวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นมากกว่าเรื่องราวตลกน่าขบขัน HYSTERIA เป็นเรื่องราวความรักแสบซ่าส์ และการล้วงลึกเข้าไปในประวัติศาสตร์ที่ถูกซ่อนเร้น การสำรวจอารมณ์รักใคร่ของผู้หญิงและการยกย่องนักคิดหัวก้าวหน้า ที่คอยผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในหมู่มวลมนุษยชาติมาโดยตลอด
ด้วยทีมนักแสดงที่นำทีมโดยแม็กกี้ จิลเลนฮาล (CRAZY HEART) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและพระเอกของเรื่อง ฮิวจ์ แดนซี (MY IDIOT BROTHER) ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นท่ามกลางอดีตที่ขบขันและสดใสของยุคเคร่งศีลธรรมวิคตอเรียน หญิงสาวที่ถูกเข้าใจผิดและวิธีการรักษาที่น่าตื่นตะลึง แต่มันก็ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับทัศนคติทางเพศ เกี่ยวกับผู้ชายและผู้หญิง และวิธีการใช้ชีวิตอย่างพึงพอใจ ในแบบที่ยังคงสร้างความตกตะลึงในปัจจุบัน
บทภาพยนตร์
ประกายวูบวาบของ HYSTERIA เริ่มต้นขึ้นด้วยเกร็ดประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นที่รู้จักนัก ความจริงที่ว่าไวเบรเตอร์ที่ใช้แบตเตอรี่ถูกจดสิทธิบัตรในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยโจเซฟ มอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ แพทย์ชาวอังกฤษ ผู้ได้รับการยกย่องอย่างสูง เขาเป็นผู้ออกแบบอุปกรณ์ชนิดนี้ขึ้นอย่างจริงจังเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ แกรนวิลล์ได้โฆษณาเครื่องมือของเขา ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ “ค้อนของแกรนวิลล์” ว่าใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่ไม่นานมันก็ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ในขณะนั้น แพทย์หลายคนมองว่าเป็นวิธีการรักษาที่เชื่อถือได้เพียงหนึ่งเดียวสำหรับอาการผิดปกติที่ลึกลับและระบาดไปทั่วในหมู่ผู้หญิง ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ 'ฮิสทีเรีย' วิธีการรักษานี้คือ “การนวดทางการแพทย์” อวัยวะผู้หญิง “จนถึงขั้นสุดยอด” ซึ่งตามมุมมองในยุควิคตอเรียน มันเป็นการปลดปล่อยของระบบประสาททางการแพทย์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการถึงจุดสุดยอดทางเพศและไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องทางเพศเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่ 'ฮิสทีเรีย' จะถูกตีแผ่ (ในหนึ่งร้อยปีให้หลัง) ว่าเป็นตำนานเก่าแก่ 4,000 ปี และเป็นผลการวินิจฉัยสำหรับอาการผิดปกติทุกรูปแบบ ไวเบรเตอร์ก็ได้ช่วยผลักดันให้เกิดโลกใหม่ ที่ซึ่งผู้หญิงมีอิสระที่จะสำรวจพลังทางเพศของตัวเองเสียที
เมื่อผู้อำนวยการสร้างเทรซีย์ เบ็คเกอร์ เจ้าของผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์เรื่อง Finding Neverland (ที่เล่าเรื่องต้นกำเนิดวรณกรรมเรื่อง Peter Pan ของเจ.เอ็ม. แบร์รีย์) ได้ยินเรื่องของแกรนวิลล์จากนักเขียนโฮเวิร์ด เกนส์เลอร์เป็นครั้งแรก ตอนแรกเธอก็นึกขำ แต่แล้วเธอก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา ไอเดียของการที่แพทย์ผู้ตึงเครียดและรักธรรมเนียมในยุควิคอตอเรียน ได้ประดิษฐ์สิ่งที่กลายเป็นเซ็กส์ทอยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ฟังดูเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์สมัยใหม่
“แต่มันจะไม่เป็นหนังชีวประวัติน่าเบื่ออีกเรื่องหนึ่งหรอกค่ะ” เบ็คเกอร์กล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่มันจะเป็นโรแมนติกคอมเมดี้ที่สว่างไสว และเรื่องราวที่เกี่ยวกับการประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ และจิตวิญญาณของความเปลี่ยนแปลงค่ะ”
เบ็คเกอร์ได้เสนอไอเดียนี้ให้กับผู้กำกับทันยา เว็กซ์เลอร์ และทั้งคู่ก็ได้นำไอเดียนี้ไปคุยกับทีมเขียนบท สตีเฟน ไดเออร์และโจนาห์ ลิซา ไดเออร์ ผู้ไม่อาจอดใจไม่ให้ชื่นชอบความเรียบง่ายที่น่าตื่นตะลึงของไอเดียนี้ได้ แม้ว่ามันจะกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้นก็ตาม “เทรซีย์และทันยาได้นำคอนเซ็ปต์ตลกที่ยอดเยี่ยม ซึ่งคุณสามารถพูดถึงได้ด้วยประโยคเดียวว่า 'แพทย์ยุควิคตอเรียนได้ประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ขึ้นมา' และเราก็ได้แต่ตอบว่า 'ได้เลย เราจะทำ' ทันที และตอนนั้นเองที่เราเริ่มสงสัยว่า นี่เราไปพัวพันกับเรื่องอะไรล่ะเนี่ย น่ะครับ” สตีเฟนกล่าวพลางหัวเราะ “มันเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยม แต่มันก็ต้องมีการสร้างตัวละคร สถานการณ์ โลกทั้งใบและโครงสร้างเรื่องราวขึ้นมาอีกน่ะครับ”
เบ็คเกอร์กล่าวว่า “เรารู้ว่าเราจะต้องหาโทนที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวในศตวรรษที่ 19 แต่เนื้อหานี้ก็ยังคงทำให้พวกเราเขินอายได้ในปี 2011 ฉันคิดว่าคู่ไดเออร์ได้ขับเน้นความตลกในการสร้างเรื่องราวความจริงแบบเมอร์แชนท์ ไอวอรีขึ้นมาเป็นผิวหน้า และมีคอมเมดี้สุดฮาอยู่ด้านล่าง แทนที่จะใช้มุขแบบทุบหัวเข้าบ้าน พวกเขากลับทำให้อารมณ์ขันเกิดขึ้นจากเหตุการณ์พิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้น ห้อมล้อมตัวละครที่มีเสน่ห์และเข้าถึงได้เหล่านี้น่ะค่ะ”
ไดเออร์ทั้งสองได้ลงมือค้นคว้าข้อมูล และได้ค้นพบช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างขนบธรรมเนียมดั้งเดิมและความตื่นตะลึงของสิ่งใหม่ๆ ยุคสมัยที่แพทย์จะเริ่มถอยห่างจากความเชื่อในการใช้สารระเหยและปลิงไปสู่ความเข้าใจในทฤษฎีเชื้อโรคและจิตวิทยา ในตอนที่โลกที่เคยสว่างไสวด้วยแรงเทียนและแก๊สเปลี่ยนไปเป็นโลกที่น่าตื่นตาตื่นใจด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า ยุคสมัยที่ผู้หญิงคนกล้าเริ่มต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง
ท่ามกลางเรื่องราวเหล่านี้ พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับช่วงเวลาที่แปลกประหลาดในแวดวงการแพทย์ศตวรรษที่ 19 เมื่อเกือบหนึ่งส่วนสี่ของประชากรหญิงในลอนดอนถูกวินิจฉัยว่ามีอาการของ 'ฮิสทีเรีย' นี่เป็นคำที่ถูกใช้กับความผิดปกติที่หลากหลายของผู้หญิง ซึ่งรวมถึงปริศนาลึกลับที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเช่นความไร้สุข ความกระสับกระส่าย ความไม่เชื่อฟัง การประพฤติตัวไม่เหมาะสม การให้ความสนใจเรื่องเพศน้อยหรือมากเกินไป หรือแม้กระทั่งความปรารถนาที่จะได้รับสิทธิในการโหวต (แม้ว่าในที่สุดคำวินิจฉัยนี้จะตกไปในยุค 50s กระทั่งทุกวันนี้ เรายังพูดอยู่เลยว่า “อย่าเป็นฮิสทีเรียสิ!” เพื่อเตือนสติผู้หญิงที่กำลังคลั่ง)
นับตั้งแต่ยุคแพทย์กรีกโบราณ อาการฮิสทีเรียอย่างใดอย่างหนึ่งมีประวัติที่ยาวนานและแปลกประหลาดในการถูกรักษาด้วย “การนวดเชิงกราน,” “การควบคุมแบบดิจิตอล” หรือการบำบัดที่สร้างสรรค์อย่างการขี่ม้าหรือการอาบน้ำอวัยวะส่วนล่าง แต่เมื่อแพทย์ยุควิคตอเรียนเชื่อว่าพวกเขากำลังรับมือกับความบ้าคลั่งของผู้หญิงที่เป็นโรคระบาด วิธีการรักษาก็แพร่ไปทั่วอังกฤษอย่างที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน มันก่อให้เกิดหลักการที่ว่า การรักษาเช่นนั้นไม่มีความอีโรติคเลย ในทางตรงกันข้าม มันเป็นวิธีการบำบัดทางประสาทแต่เพียงอย่างเดียว ปฏิกิริยาทางกายภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างสามีและภรรยาเท่านั้น แต่มันเป็นการปลดปล่อยทางการแพทย์ ที่ทำให้ความตึงเครียดและสารพิษเหือดแห้งไปจากระบบประสาทต่างหาก
ยิ่งไดเออร์อ่านเรื่องเกี่ยวกับฮิสทีเรียและการรักษาอาการนี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งทึ่งกับมันมากเท่านั้น “พอเราเริ่มเจาะลึกลงไปในประวัติศาสร์ เราก็ได้รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นพันๆ ปีแล้ว ที่ผู้หญิงจะต้องเข้ารับการรักษาด้วยการขี่ม้าหรือการบำบัดทางน้ำ แต่ต้องหลีกเลี่ยงกับข้อเสนอแนะที่ว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ” โจนาห์ ลิซาบอก “มันเป็นความเชื่อจนกระทั่งเร็วๆ นี้ ว่าผู้หญิงไม่อาจมีความสุขสมได้หากปราศจากการสอดใส่ของผู้ชาย ดังนั้น แพทย์ผู้ชายก็เลยสามารถแบ่งแยกวิธีการรักษาพวกนี้จากเรื่องทางเพศได้ แต่ผู้หญิงสมัยนี้รู้แล้วว่ามันเป็นยังไงน่ะค่ะ!”
จริงๆ แล้ว การค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการปลุกเร้าผู้หญิงนำไปสู่ต้นแบบแรกๆ ของไวเบรเตอร์ และเมื่อมอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ได้ประดิษฐ์ “ค้อน” ของเขา เขาก็รู้ดีว่ามันอาจจะถูกใช้บำบัดผู้หญิงที่มีอาการ 'ฮิสทีเรีย' มันกลายเป็นฐานสำหรับคอมเมดี้ในเรื่องเมื่อคู่ไดเออร์เริ่มลงมือเขียน แม้ว่าพวกเขาจะได้สืบค้นประวัติที่ค่อนข้างเคร่งเครียดของแกรนวิลล์ตัวจริง แต่พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะแต่งเรื่องสมมติในชีวิตและความสัมพันธ์ของเขา ซึ่งรวมถึงอาการพังผืดกดทับเส้นประสาทที่มือ ซึ่งนำโชคร้ายมาให้เขา สัมพันธ์รักระหว่างเขากับลูกสาวสองคนของเจ้านายเขา และที่สำคัญที่สุด ความขัดแย้งภายในจิตใจของเขาเอง ว่าจะพอใจกับความสำเร็จแบบดั้งเดิมหรือว่าจะกล้าที่จะทำตามความเชื่อมั่น...และหัวใจของตัวเอง
“การเดินทางของมอร์ติเมอร์จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของผู้ชายที่เชื่อในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ผู้ต้องการจะเปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ แต่ก็ต้องสูญเสียทั้งหมดเมื่อเขาเริ่มรักษาอาการฮิสทีเรียของผู้หญิงครับ” สตีเฟนอธิบาย “เขาทำมันพังจนกระทั่งเขาได้พบกับชาร์ล็อตต์ ดัลริมเพิล หญิงสาวน่าทึ่ง ที่รับบทโดยแม็กกี้ จิลเลนฮาล และเธอก็บีบให้เขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขาสามารถรับได้และรับไม่ได้กับการกระทำของตัวเอง”
โจนาห์ ลิซากล่าวต่ออีกว่า “เราชื่นชอบไอเดียที่ว่ามอร์ติเมอร์เป็นคนหนุ่มผู้มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้าเกินกว่ายุคสมัยของเขาและรู้สึกเหมือนว่าถูกสังคมดึงรั้งเอาไว้ นี่เป็นยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความก้าวหน้าและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ มีคนมากมายที่ผลักดันขอบเขตและความเสี่ยงของการทำเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ สำหรับเรา”
สำหรับมอร์ติเมอร์ ความเสี่ยงและผลตอบแทนในการท้าทายขนบของยุควิคตอเรียนเห็นได้จากการตัดสินใจเลือกระหว่างพี่น้องดัลริมเพิลสองคน ผู้ซึ่งมุมมองเกี่ยวกับชีวิตหญิงสาวชาววิคตอเรียนของพวกเธอได้เนรมิตชีวิตและความมีชีวิตชีวาให้กับเรื่องราว
“เอมิลีเป็นหญิงสาววิคตอเรียนในอุดมคติ เธอทั้งเชื่อฟัง เรียบร้อยและประพฤติตัวอย่างดี” สตีเฟนตั้งข้อสังเกต “ในทางกลับกัน ชาร์ล็อตต์เป็นคนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีอย่างเด็ดเดี่ยวและเธอก็ใช้เงินของพ่อเธอเพื่อยกระดับชีวิตของผู้หญิงให้พ้นจากความยากจน มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับมอร์ติเมอร์ครับ”
ไม่นานนัก ชาร์ล็อตต์ก็กลายเป็นหนามทิ่มแทงมอร์ติเมอร์ ด้วยผลลัพธ์ที่เย้ายวนใจ “ฉันชื่นชอบการสร้างตัวละครตัวนี้ค่ะ เพราะเธอเป็นตัวละครสมัยใหม่มากๆ” โจนาห์ ลิซากล่าว “เธอเชื่อในสิ่งเหล่านี้จริงๆ และเธอก็ทำให้มอร์ติเมอร์หวั่นไหวและทำให้เขาคิดขึ้นได้ว่าเขาก็เคยมีความเชื่อเหมือนกัน เธอทำให้เขาเกิดความรู้สึกผูกพันและการปะทะคารมระหว่างพวกเขาก็ยิ่งพัดไฟรักของพวกเขาให้ลุกโชนขึ้น มันเป็นความสัมพันธ์ที่น่าขบขันและเหนื่อยเอาการ แต่มันก็เป็นเรื่องรักจริงๆ ด้วยเพราะท้ายที่สุดแล้ว มอร์ติเมอร์ก็พบว่าเขาเต็มใจที่จะสละชีวิตที่สมบูรณ์แบบและปลอดภัยของเขาเพื่อชาร์ล็อตต์น่ะค่ะ”
เมื่อเรื่องราวดำเนินไป คอมเมดี้และเรื่องรักก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้น คู่สามีภรรยาไดเออร์ก็ได้ให้ความสำคัญกับความสมจริงเป็นอันดับแรก “ทันยา, เทรซีย์, โจนาห์ ลิซาและผมมักจินตนาการถึงหนังที่จะดูเหมือน HOWARD'S END ในเรื่องความใส่ใจรายละเอียด แต่ก็มีโทนเหมือนกับFOUR WEDDINGS AND A FUNERAL มากกว่าน่ะครับ” สตีเฟนอธิบาย “และนั่นก็คือสิ่งที่ทันยาได้สร้างขึ้นมาจริงๆ”
ทีมงานสร้าง
เป็นเรื่องเหมาะสมอย่างยิ่งที่ HYSTERIA จะถูกเนรมิตชีวิตขึ้นมาได้โดยทีมงานหญิง และผู้อำนวยการสร้างเทรซีย์ เบ็คเกอร์และผู้กำกับทันยา เว็กซ์เลอร์ ก็ได้ร่วมงานกับทีมงานหญิงที่ประสบความสำเร็จอีกสองคนคือผู้อำนวยการสร้างชาวอังกฤษ ซาราห์ เคอร์ติสและผู้อำนวยการสร้างชาวอเมริกัน จูดี้ ไคโร ผู้นำความชำนาญและความรักในแบบของตัวเองมาใส่ในโปรเจ็กต์นี้
เว็กซ์เลอร์เคยกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นชื่อดังมาหลายเรื่องระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและเธอก็เปิดตัวด้วยภาพยนตร์อินดีทุนต่ำสองเรื่อง (FINDING NORTH, BALL IN THE HOUSE) ก่อนจะพักงานถ่ายทำมาสร้างครอบครัว ในความจริงแล้ว เว็กซ์เลอร์ได้พบกับเทรซีย์ เบ็คเกอร์ในตอนที่เธอได้ไปเยี่ยมชมร้านขายของเล่นในเวสต์ วิลเลจ ที่เบ็คเกอร์บริหารงานกับสามีของเธอ
“มันเป็นการพบกันที่ไม่ธรรมดามากๆ ค่ะ” เบ็คเกอร์เล่า “เราเริ่มคุยกันโดยที่เราไม่รู้เลยว่าเราเป็นคนทำหนังทั้งคู่ แต่เรามารู้เรื่องนี้เอาทีหลังน่ะค่ะ”
แต่เมื่อทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนกัน เบ็คเกอร์ก็เริ่มมองเห็นว่าเว็กซ์เลอร์เป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับ HYSTERIA เบ็คเกอร์กล่าวต่อว่า “ฉันเห็นทันยาว่าเป็นพลังธรรมชาติค่ะ เธอฉลาดมาก แต่ก็เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และสัญชาตญาณที่เฉียบคมด้วย ตอนที่ฉันได้ดูหนังเรื่องแรกๆ ของเธอ ฉันก็ตระหนักว่าไม่เพียงแต่เธอจะเป็นคนที่จริงใจเท่านั้น แต่เธอยังเป็นนักเล่าเรื่องตามธรรมชาติด้วยค่ะ”
ทันทีที่เบ็คเกอร์ได้เสนอแนะไอเดียสำหรับภาพยนตร์เกี่ยวกับการประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ เว็กซ์เลอร์ก็ตอบรับมันทันที “พอเธอได้ยินไอเดียนี้ แววตาเธอก็ทอแสงระยิบระยับเหมือนดอกไม้ไฟเลยค่ะ” เบ็คเกอร์เล่า “เธอเริ่มค้นคว้าข้อมูลต่างๆ มากจนเธอสามารถเขียนหนังสือเกี่ยวกับหลักความเชื่อทางเพศยุควิคตอเรียนของตัวเองได้เลยล่ะค่ะ”
เว็กซ์เลอร์เองตื่นเต้นเกี่ยวกับ HYSTERIA มากๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอมองเห็นว่ามันเป็นลูกผสมระหว่างแนวภาพยนตร์สองแนวที่เธอโปรดปราน “ฉันเป็นแฟนของหนังดราม่าคอสตูมอังกฤษ แต่ฉันก็ชอบคอมเมดี้สมัยใหม่ที่ซับซ้อนด้วยค่ะ” เธออธิบาย “ดังนั้น ตอนแรกที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันก็คิดว่า ฉันจะต้องสร้างหนังเรื่องนี้ให้ได้ มันคงตลกน่าดูถ้าจะสร้างความแตกต่างระหว่างโลกยุควิคตอเรียนที่เต็มไปด้วยชนชั้นสูงและขนบธรรมเนียม และการรักษาผู้หญิงด้วยวิธีที่ปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศมากๆ แต่พวกเขากลับยืนกรานว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องทางเพศเลยแม้แต่น้อยน่ะค่ะ”
เธอได้พัฒนาวิสัยทัศน์ของตัวเธอเองที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะแนะนำเบ็คเกอร์ให้รู้จักกับสตีเฟนและโจนาห์ ลิซา ไดเออร์ ผู้ที่เธอเคยร่วมงานด้วยมาก่อนในผลงานเรื่องอื่นๆ “ฉันรู้ว่าหนังเรื่องนี้จะต้องต่อยอดจากขนบของหนังคลาสสิกในอดีต แล้วเติมสีสันแปลกใหม่เข้าไป เราต้องการความเฉียบคมแบบโรแมนติกคอมเมดี้ยุค 30s และ 40s ที่นำแสดงโดยแคทเธอรีน เฮพเบิร์นและแครี แกรนท์ ที่มีการปะทะคารมไปมาและการสร้างปฏิกิริยาเคมีทางเพศขึ้นมา..เราต้องการแบบดีไซน์สวยๆ ของดราม่าคอสตูมที่สง่างามสไตล์เมอร์แชนท์-ไอวอรี และจังหวะของคอมเมดี้สมัยใหม่ค่ะ” เธออธิบาย “สำหรับฉัน แก่นของเรื่องราวนี้คือหมอหนุ่มหัวก้าวหน้า ผู้ซึ่งชีวิตพลิกผันด้วยผู้หญิงที่กระตุ้นและท้าทายเขาในทุกย่างก้าวค่ะ”
เว็กซ์เลอร์รู้สึกเสมอว่า ชาร์ล็อตต์ ดัลริมเพิลเป็นหัวใจด้านอารมณ์ของเรื่อง “เธอเป็นตัวละครที่รอบรู้และมีชีวิตชีวาอย่างมากค่ะ” เธอบอก “เธอมีแง่มุมที่น่าขบขัน แต่ฉันก็ชอบที่เธอได้รับแรงบันดาลใจจากนักเคลื่อนไหวผู้หญิงจริงๆ ในศตวรรษที่ 20 นักผจญภัยและผู้ปลุกระดมให้คนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งคนกล้าผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี ผู้ที่ทำตามความเชื่อของตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็สั่นคลอนชีวิตส่วนตัวของพวกเธอเองด้วยค่ะ”
อย่างไรก็ดี ชีวิตสังคมที่แทบไม่มีอยู่ของชาร์ล็อตต์ก็กลับพลิกตารปัตรเมื่อเธอได้พบกับมอร์ติเมอร์ “พวกเขามีความไม่ลงรอยกันตามแบบโรแมนติกคอมเมดี้ที่คลาสสิกค่ะ” เว็กซ์เลอร์ตั้งข้อสังเกต “มอร์ติเมอร์ตอบรับระเบียบแบบแผน ซึ่งก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา ในขณะที่ชาร์ล็อตต์ให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นๆ มากกว่าความรัก แต่เมื่อทั้งคู่ได้พบกัน แผนการทุกอย่างของพวกเขาก็พังทลายลง”
เมื่อเว็กซ์เลอร์, เบ็คเกอร์และคู่สามีภรรยาไดเออร์ได้บทภาพยนตร์ฉบับสมบูรณ์แล้ว พวกเขาก็มีโอกาสได้ส่งมันไปให้กับหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อินดี้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของอังกฤษ ซึ่งมีผลงานทั้ง MRS. BROWN, MANSFIELD PARK และ THE GOVERNESS เธอก็คือซาราห์ เคอร์ติส
“ฉันทึ่งมากที่นักเขียนบทได้ถ่ายทอดลักษณะเฉพาะของอังกฤษออกมาได้ดีเหลือเกิน” เคอร์ติสบอก “บอกตามตรงนะคะ ฉันค่อนข้างหวั่นใจกับมันเพราะพวกเขาไม่น่าจะทำได้ แต่ฉันก็พบว่าพวกเขาถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างถูกต้องอย่างเหลือเชื่อ เนื้อหานี้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างชาญฉลาดและราบรื่น และมันก็มีธีมที่น่าสนใจมากมาย มันอาจจะเป็นเรื่องราวมุขเดียวก็ได้ แต่นี่เป็นตรงข้ามกันเลย”
เว็กซ์เลอร์เล่าว่า “เทรซีย์กับฉันตื่นเต้นมากที่ได้ผู้อำนวยการสร้างที่มีประสบการณ์อย่างซาราห์มาร่วมทีมด้วย ฉันเป็นแฟนหนังของเธอค่ะ ฉันดูหนังของเธอหลายเรื่องเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับ HYSTERIA ก่อนที่ฉันจะได้พบกับเธอเสียอีกค่ะ”
ไม่นานหลังจากที่เคอร์ติสตกหลุมรักบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เบ็คเกอร์, เว็กซ์เลอร์และเคอร์ติสก็เริ่มต้นหาเงินทุนในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ และสองสิ่งที่พวกเขาขาดอยู่ในขณะนี้คือนักแสดงและเงินทุน
“สิ่งแรกที่เราต้องการคือทีมนักแสดงมากความสามารถ ผู้มีสัญชาตญาณการแสดงตลกเป็นเลิศค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างเคอร์ติสบอก ทีมงานได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดง เกบี้ เคสเตอร์ (FLASHBACKS OF A FOOL, CHEERFUL WEATHER FOR THE WEDDING) ในการดึงตัวโจนาธาน ไพรซ์และรูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์มาร่วมงานด้วย “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยตอนที่ซาราห์และเทรซีย์บอกฉันว่าพวกเขาเอาด้วย มันเป็นความฝันที่เป็นจริงเลยค่ะ” เว็กซ์เลอร์กล่าว เอฟเวอร์เร็ตต์และไพรซ์มาร่วมงานในโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกและพวกเขาก็อยู่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ตลอดช่วงเวลาขาขึ้นและขาลงในการระดมเงินทุน เคอร์ติสอธิบายว่า “ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสภาวะการให้เงินทุนภาพยนตร์ เรารู้ว่าเราต้องการหุ้นส่วนที่จะเชื่อในโปรเจ็กต์นี้มากพอๆ กับเรา เราโชคดีมากๆ ที่ได้รับการสนับสนุนและเสียงตอบรับจากผู้ร่วมอำนวยการสร้างชาวฝรั่งเศสของเรา อนูค โนรา (บาย อัลเทอร์เนทีฟ พิคเจอร์ส) อนูคได้แนะนำโปรเจ็กต์นี้ให้กับมิเชล ริลแล็ค หัวหน้าอาร์เต ฟรองซ์ ซีเนมา ผู้กลายเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของเรื่องตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก เมื่อได้การสนับสนุนจากมิเชลและอนูคแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับ 'แกรนด์ แอคคอร์ด' (จากบรรดา 1,500 เรื่อง) ในแต่ละปี มีภาพยนตร์เพียง 6 เรื่องเท่านั้นที่ได้รับเครื่องหมายอันทรงเกียตินี้จาก อาร์เต ฟรองซ์และอาร์เต เยอรมนี/ดับบลิวดีอาร์ โลรองต์ ฮัสซิดจากคานัล พลัส ฟรานซ์ยังกลายเป็นผู้สนับสนุนของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย และการสนับสนุนของคานัล พลัสที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้ทีมผู้อำนวยการสร้างสร้างฐานสนับสนุนสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาได้ ในฝรั่งเศส อนูคได้เรียกใช้งานโอต์ เอ กูท์ บริษัทจัดจำหน่ายฝรั่งเศสด้วย ซึ่งอนูคก็อธิบายว่า “หนังเรื่องนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับทันยา เธอฉลาด มีไหวพริบและอ่อนไหว ฉันเชื่อเสมอว่าเธอจะต้องสร้างหนังดีๆ ขึ้นมาได้ ฉันก็เลยกระตือรือร้นแบบ 100% เต็ม และความรู้สึกนี้ก็แบ่งปันได้อย่างง่ายดายด้วยค่ะ” นอกจากนี้ เธอยังได้นำแอล ไดรเวอร์ บริษัทจัดจำหน่ายในต่างประเทศสัญชาติฝรั่งเศสเข้ามาร่วมงานด้วย แอล ไดรเวอร์ บริหารงานโดยแอดเดอลีนและอีวา ผู้ที่ก็ตกหลุมรักบทภาพยนตร์เรื่องนี้และแสดงออกถึงพลังงานและความกระตือรือร้นแบบเดียวกันตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งก็ทำให้พวกเธอเหมาะกับโปรเจ็กต์นี้อย่างดี
หุ้นส่วนชาวลักเซมเบิร์ก จิมมี เดอ บราแบนท์และบ็อบ เบลเลียนจากดีลักซ์ โปรดักชันส์ ได้อ่านโปรเจ็กต์นี้และพวกเขาก็ได้เสนอไอเดียที่จะให้ถ่ายทำในสตูดิโอที่ลักเซมเบิร์ก ผู้อำนวยการสร้างเคอร์ติสอธิบายว่า “โปรเจ็กต์นี้เหมาะกับดีลักซ์ โปรดักชั่นส์อย่างมาก เรารู้ว่าส่วนใหญ่ของเรื่องจะต้องถ่ายทำในสตูดิโอและลักเซมเบิร์กก็มีสตูดิโอชั้นเยี่ยมและทีมงานเก่งๆ ในทุกแผนก ดีลักซ์ โปรดักชั่นส์ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยระดมทุนสำหรับหนังเรื่องนี้ค่ะ” เมื่อได้แอล ไดรเวอร์ บริษัทจัดจำหน่ายสัญชาติฝรั่งเศส ที่บริหารงานโดยอีวา ดีเดอริกซ์และแอดเดอลิน ฟอนแทน เทซเซาร์ เข้ามา ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เริ่มได้รับความสนใจจากผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ในประเทศอื่นๆ แม้กระทั่งในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองของปีที่ผ่านมา
และในขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการนี้เอง จูดี้ ไคโร ที่เพิ่งเสร็จจากการอำนวยการสร้าง CRAZY HEART ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ก็ตกหลุมรักบทภาพยนตร์เรื่องนี้และเข้าร่วมทีมนี้
“ฉันได้รับบทหนังประมาณ 100 เรื่องต่อสัปดาห์ และหนังเรื่องนี้ก็ถูกส่งตรงเข้าแฟ้มสแปมของฉัน แต่พอฉันเห็นมัน อะไรบางอย่างก็ทำให้ฉันอยากจะเปิดอีเมล์นี้ ตั้งแต่หน้าแรกฉันก็รู้ทันทีเลยว่าฉันจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้ให้ได้” ไคโรบอก “มันเป็นเรื่องราวยอดเยี่ยมที่ทำให้คุณหัวเราะตั้งแต่หน้าแรก และทำให้คุณยังหัวเราะอยู่ในอีก 100 หน้าถัดไป แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้คุณประทับใจ ทำให้คุณปลื้มไปกับความรักและเผยสิ่งต่างๆ ให้คุณได้รู้ ฉันรู้สึกว่ามันน่าจะโดนใจผู้ชมร่วมสมัยได้จริงๆ น่ะค่ะ”
เธอกล่าวต่ออีกว่า “มีบทพูดบรรทัดหนึ่งที่ทำให้ฉันประทับใจเป็นพิเศษ ตอนที่ชาร์ล็อตต์พูดถึงงานของเธอเกี่ยวกับผู้หญิงด้อยโอกาสว่า 'ฉันได้จากพวกเธอมากกว่าที่ฉันให้ออกไปอีก' ไวเบรเตอร์อาจจะเป็นหมัดเด็ดของหนังเรื่องนี้ก็จริง แต่สำหรับฉัน มันเป็นธีมของเรื่องค่ะ นี่เป็นเรื่องราวที่ทำให้คุณหัวเราะคิกคักแต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับแง่มุมตลกของความปรารถนามากกว่า และมันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปรารถนาในตัวเราทุกคนที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นประโยชน์น่ะค่ะ”
ไคโรหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้ผู้ชมหัวเราะและพูดคุยกัน อาจจะในเรื่องที่พวกเขาไม่ค่อยได้พูดถึงกัน “มันยังคงเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงมีเซ็กส์อย่างเปิดเผยน่ะค่ะ” เธอตั้งข้อสังเกต “หวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นข้อยกเว้นนะคะ”
ไคโรและทีมอินฟอร์แมนท์ มีเดียของเธอได้พบว่า พวกเธอสามารถดึงดูดแรงสนับสนุนสำคัญที่จะมาเติมเต็มเงินทุนในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว “บทหนังคุณภาพสูงแบบนี้หาได้ยากค่ะและคนก็จะตกหลุมรักมัน” เธอสรุป “มันดึงดูดทีมงานและนักแสดงที่ทุ่มเทให้กับงานอย่างเหลือเชื่อค่ะ”
โลกแห่งประกายไฟฟ้า: งานสร้าง
เมื่อได้นักแสดงมาแล้ว ทีมผู้สร้างก็เริ่มหันหน้าเข้าสู่ความท้าทายในการสร้างโลกที่เฉพาะเจาะจงและไม่เคยปรากฏมาก่อนของ HYSTERIA มุมซ่อนเร้นของลอนดอนยุควิคตอเรียน ที่ซึ่งแพทย์ได้นวดส่วนลับให้กับคนไข้หญิงของพวกเขา
ตั้งแต่เริ่มต้น ทันยา เว็กซ์เลอร์รู้ว่าเธอต้องการจะถ่ายทอดแง่มุมทั้งสองด้านของชีวิตยุควิคตอเรียน แง่มุมของขนบธรรมเนียมประเพณีที่เหมาะสม ตามที่มันมีชื่อเสียง รวมถึงกลิ่นไอของความเปลี่ยนแปลงที่แผ่ซ่านอยู่ในอากาศ เพราะนี่เป็นยุคสมัยที่สิ่งประดิษฐ์และความคิดที่ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเหนือจินตนาการกำลังเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมดั้งเดิมต่างๆ ด้วยความรวดเร็วจนน่าตื่นตะลึง นอกเหนือจากไวเบรเตอร์แล้ว สิ่งประดิษฐ์ในยุคนั้นยังรวมถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบอย่างเครื่องจักรเย็บผ้าที่บ้าน โถส้วมชักโครกสาธารณะ การพาสเจอร์ไรซ์อาหาร รถไฟใต้ดิน เครื่องพิมพ์ดีด โทรศัพท์ เครื่องเล่น
วิคตอเรียน(Victorians) vs โมเดิร์น(Moderns) : ทีมนักแสดงและตัวละคร
ทีมผู้สร้างตื่นเต้นกับทีมนักแสดงที่พวกเขารวบรวมมาได้ “ในช่วงเริ่มแรก เราเขียนลิสต์รายชื่อที่พวกเราต้องการ และกลายเป็นว่าพวกเขาทุกคนก็ได้มาอยู่ในหนังเรื่องนี้” ทันยา เว็กซ์เลอร์บอก “ส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นเพราะวิธีการบอกเล่าเรื่องราวในบท ในตอนที่คนได้ยิน คอนเซ็ปต์ของ HYSTERIA เป็นครั้งแรก พวกเขาก็คาดหวังว่ามันจะเป็นคอมเมดี้สุดฮา แต่สิ่งที่พวกเขาเจอกลับเป็นหนังตลก ที่สะเทือนอารมณ์ และมีความอบอุ่นหัวใจจริงๆ มันทำให้นักแสดงแปลกใจและพอใจ และฉันคิดว่า มันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาโปรเจ็กต์นี้ด้วยค่ะ”
มันเป็นความจริงสำหรับทีมงานทุกคน ขณะที่ทีมนักแสดงได้สวมบทตัวละครที่เป็นคนยุควิคตอเรียนตามแบบฉบับ ที่เคร่งขนบธรรมเนียม หรือตัวละครดุเดือด หัวก้าวหน้า ที่ค้านกับยุคสมัย ซึ่งนักแสดงเหล่านี้ได้แก่
Hugh Dancy (ฮิวจ์ แดนซี) รับบท Mortimer Granville (มอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์)
สำหรับบทมอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ ทีมผู้สร้าง HYSTERIA ได้ค้นหาพระเอกที่เป็นอังกฤษแท้ๆ คนที่สามารถรับบทแพทย์มาดเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วแห่งศตวรรษที่ 19 ผู้ที่ชีวิตที่เป็นแบบแผนของเขาค่อยๆ พังทลายด้วยหญิงสาวคนงาม ผู้เยาะเย้ยงาน “นวด” คนไข้หญิงชั้นสูงของเขา นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการนักแสดงผู้วางตัวเงียบขรึมแม้กระทั่งระหว่างการประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ขึ้นมาได้
พวกเขาพบคุณสมบัตินั้นในตัวของนักแสดงดาวรุ่งชาวอังกฤษ ฮิวจ์ แดนซี แดนซีเป็นที่รู้จักของผู้ชมทั่วโลกจากบทบาทการแสดงมากมาย ซึ่งรวมถึงบทดาร์ตาญังใน YOUNG BLADES, บทหมอเคิร์ท ชมิดท์ใน BLACK HAWK DOWN, บทบัดดี้ใน EVENNING (ที่เขาได้พบกับภรรยาของเขา แคลร์ เดนส์), กาลาฮัดใน KING ARTHUR และบทอดัม ผู้ใจบุญใน ADAM ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันโดดเด่นในการสับเปลี่ยนระหว่างการแสดงดราม่า คอมเมดี้ แอ็กชั่นและพีเรียดได้
ทันยา เว็กซ์เลอร์ค้นหามอร์ติเมอร์ของเธอมานานในตอนที่เธอเห็นแดนซีแสดงละครบรอดเวย์เรื่อง Journey’s End ซึ่งเป็นละครอังกฤษคลาสสิกโดยอาร์.ซี. เชอร์ริฟ “เขาแสดงบทบาทที่จริงจังมากๆ ไม่เหมือนกับบทมอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์เลย แต่พอฉันได้เห็นเขา ฉันก็บอกว่า 'นั่นแหละเขา' ค่ะ” เธอเล่า “ฉันรู้เลยล่ะ”
ผู้อำนวยการสร้างกล่าวเห็นด้วย จูดี้ ไคโรกล่าว “ฮิวจ์เหมือนกับมอร์ติเมอร์ตรงที่ว่าเขาเป็นคนฉลาดและเป็นคนดีมากๆ ด้วย แต่เขาก็มีแง่มุมซุกซน และเป็นคนที่ตลกได้ด้วย ฉันคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในนักแสดงหนุ่มที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในปัจจุบัน และเขาก็เป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกับแม็กกี้ในการปะทะคารมแบบยุค 40s ฉันคิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครที่ดีกว่านี้ที่จะมารับบทมอร์ติเมอร์ได้รึเปล่า”
แดนซีเล่าว่าเขาแปลกใจเกือบจะทันทีหลังจากที่ได้เปิดบทภาพยนตร์อ่าน “ผมรู้เรื่องนี้น้อยมาก และปฏิกิริยาของผมแน่นอนคือเสียงหัวเราะ” เขาสารภาพ “แต่พอผมอ่านต่อไป ผมก็ชอบโทนที่ผสมผสานกัน มันมีฉากตลกโปกฮา มีความรักจริงๆ สอดแทรกอยู่ในนั้น และมันก็มีไอเดียที่วิเศษสุดและซีเรียสบางอย่างอยู่ด้วย ในขณะเดียวกัน ก็มีอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา ร่วมสมัยและสนุกสนานเกี่ยวกับมันครับ”
สำหรับแดนซี บทบาทนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยคอมเมดี้เท่านั้นแต่ยังเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในมุมมองของมอร์ติเมอร์ด้วย เพราะเขาเริ่มต้นเรื่องเป็นหมอหัวก้าวหน้า ที่ค้านกับความเชื่อดั้งเดิมทางการแพทย์ที่ว่า การติดเชื้อเกิดจากสิ่งคลุมเครืออย่าง “อากาศไม่ดี” และ “อากาศปนเปื้อน” (ทฤษฎีเชื้อโรคยังคงเป็นความเชื่อที่อันตรายในยุควิคตอเรียน อิกนัซ ฟิลลิป เซมเมลไวส์ แพทย์ศตวรรษที่ 19 ถูกล้อเลียนจากความเชื่อของเขาที่ว่า แพทย์ควรจะล้างมือตัวเอง มากเสียจนเขาสติแตกและถูกส่งตัวไปรักษายังสถานบำบัดโรคจิต) แต่เมื่อเขาได้รับการหยิบยื่นข้อเสนอชีวิตที่สุขสบาย พร้อมกับการทำให้คนไข้ของเขามีความสุขสม...ใครจะอดใจไหวล่ะ แน่นอนว่าไม่ใช่มอร์ติเมอร์ อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนแรก
แดนซีทึ่งที่ได้รู้ว่า แพทย์ยุควิคตอเรียนที่น่าเคารพได้รักษาผู้หญิงด้วยการนวดเฉพาะส่วนเป็นประจำ แต่เขาก็มองว่ามันเป็นเรื่องของความคิดอ่านที่แตกต่างออกไปนั่นเอง “ผมคิดว่าพวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขากำลังทำการรักษาอยู่จริงๆ” เขาให้ความเห็น “พวกเขาไม่โง่ และมันก็ไม่ใช่แค่ว่าพวกเขาไม่ได้มีความรู้แบบที่พวกเรามีอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยา แต่มันเป็นเรื่องของจุดยืนทางศีลธรรมที่ทำให้มันสมเหตุสมผลสำหรับพวกเขา แต่แน่นอนว่าจากมุมมองทางคอมเมดี้ คงไม่มีอะไรที่น่าขันยิ่งไปกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในเวลานั้นหรอกนะครับ!”
สำหรับสิ่งที่มอร์ติเมอร์คิดเกี่ยวกับคนไข้หญิงของเขา แดนซีกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกเธอทำให้เขาเหนื่อยครับ แต่การที่เขาไม่สามารถทำการรักษาประจำวันของเขาได้นำเขาไปสู่การคิดประดิษฐ์ที่น่าทึ่งนี้”
แดนซีมองมอร์ติเมอร์ว่าเป็นคนที่ต้องการจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยอมจำนนต่อสิ่งที่ดูเหมือนเป็นชีวิตที่ดีเป็นการชั่วคราว “ผมคิดว่าลึกลงไปแล้ว มอร์ติเมอร์มองตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์หัวก้าวหน้า แต่เมื่อเขาได้รับการหยิบยื่นข้อเสนองานที่มั่นคง มันก็เป็นเรื่องแสนง่ายดายที่จะละทิ้งความทะเยอทะยานและความฝันของตัวเอง จนกระทั่งชาร์ล็อตต์บีบบังคับให้เขาระลึกถึงมันอีกครั้ง” เขาบอก
บางทีสิ่งที่ตลกที่สุดสำหรับแดนซีคือการกลับไปกลับมาระหว่างพี่น้องดัลริมเพิลที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว “เขาคิดอะไรมากมายในหัวครับ” เขากล่าวพลางหัวเราะ “ในแง่หนึ่ง เอมิลีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาใฝ่ฝัน เธอน่ารัก เชื่อฟัง และทำทุกอย่างตามที่พ่อเธอขอ แม้ว่าเธอจะเล่นเปียโนไม่ได้เรื่องและเป็นนักวิจัยกะโหลกศีรษะก็ตาม ในทางกลับกัน ชาร์ล็อตต์ทำให้เขากลัวตั้งแต่แรก เธอเป็นภัยคุกคามทุกอย่างที่เขาคิดว่าเขาต้องการ และเป็นตัวยุ่งอยู่เสมอ แต่แน่นอนว่าเขากลับไม่อาจสลัดเธอออกจากความคิดเขาได้เลย”
Maggie Gyllenhaal (แม็กกี้ จิลเลนฮาล) รับบท Charlotte Dalrymple ชาร์ล็อตต์ ดัลริมเพิล
สำหรับผู้รับบท ชาร์ล็อตต์ นางเอกผู้ไม่เป็นฮิสทีเรียอย่างแน่นอนของ HYSTERIA ทีมผู้สร้างได้เลือกนักแสดงหญิงผู้ดูเหมือนจะมีความเฉลียวฉลาดและมีชีวิตชีวาเทียบเท่ากับตัวละครที่มีสีสันจัดจ้านตัวนี้ได้ เธอคนนั้นคือแม็กกี้ จิลเลนฮาล ดาราขวัญใจคอหนังอินดีและผู้เพิ่งได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดหมาดๆ จากบทซิงเกิลมัมผู้ตกหลุมรักดาราตกอับใน CRAZY HEART ประกบเจฟฟ์ บริดเจส
“สำหรับชาร์ล็อตต์ เราคิดถึงว่าใครที่พวกผู้หญิงอยากจะเห็นบนหน้าจอ และแม็กกี้ก็เป็นอันดับแรกของลิสต์นั้นค่ะ” เว็กซ์เลอร์ตั้งข้อสังเกต “โชคดีที่จูดี้ ไคโรเพิ่งร่วมงานกับเธอมาและสามารถส่งบทหนังเรื่องนี้ไปให้เธอได้ ซึ่งเธอก็ชอบมัน พอเธอรับบทนี้ มันก็เหมือนกับบทนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเธอเลยค่ะ”
แม้ว่านี่จะเป็นบทที่แตกต่างออกไปอย่างมากสำหรับจิลเลนฮาล ไคโรก็รู้ว่าเธอสามารถตอบรับความท้าทายครั้งนี้ได้ “แม็กกี้คือชาร์ล็อตต์ค่ะ เธอแสบ มีพลังงานเหลือล้น ฉลาด มีความโอบอ้อมอารีและความมีชีวิตชีวา และเธอก็เป็นนักแสดงหญิงที่น่าทึ่งซะด้วย ฉันรู้ว่าด้วยความที่แม็กกี้เองก็เป็นผู้หญิงแกร่งอยู่แล้ว เธอก็สามารถสวมบทบาทของชาร์ล็อตต์ หญิงสาวยุควิคตอเรียนได้ทันที และเธอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยค่ะ”
บทภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้จิลเลนฮาลต้องอึ้งในครั้งแรกที่อ่าน “มันไม่มีจุดอ่อนเลยและฉลาดมากๆ ค่ะ” เธอบอก “มันเป็น โรแมนติกคอมเมดี้ที่เต็มไปด้วยความรักและความเบาสมอง แต่มันก็ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งสำคัญอย่างเรื่องทางเพศของผู้หญิงและการทำดีเพื่อคนอื่นด้วย หนังโรแมนติกคอมเมดี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณสมบัติอื่นๆ เหล่านี้ ซึ่งก็คือสิ่งที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดฉันอย่างแรง นอกจากนี้ ฉันยังชื่นชอบการที่ไฟของหนังเรื่องนี้ถูกจุดประกายขื้นมาจากผู้หญิง ชาร์ล็อตต์เป็นตัวละครยอดเยี่ยม เป็นผู้ใหญ่จริงๆ ที่ช่วยให้ผู้หญิงพวกนี้ได้เห็นถึงพลังที่พวกเธอมี และผู้ที่เชื่อว่าผู้หญิงคู่ควรที่จะมีชีวิตที่มีความสุขและสำคัญได้น่ะค่ะ”
สำหรับจิลเลนฮาล ชาร์ล็อตต์เป็นตัวแทนของฮีโรหญิงที่ไม่ค่อยปรากฏในภาพยนตร์บ่อยนัก “เธอสู้เพื่อหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันคิดว่าพวกเราในปัจจุบันมองข้ามคุณค่าของมันไป” เธอบอก “ฉันพบว่ามันน่าตื่นเต้นมากๆ ที่ได้เห็นว่าสิทธิที่พวกเรามีความสุขกับมันอยู่ถูกต่อสู้เพื่อให้ได้มันมาอย่างไร มันบอกอะไรบางอย่างกับเราเกี่ยวกับตัวตนของเราและที่มาของเรา คนอย่างชาร์ล็อตต์ไม่เคยเชื่อว่าฮิสทีเรียเป็นโรคร้ายเพราะเธอตระหนักดีว่าผู้หญิงมีเหตุผลที่จริงแท้มากมายที่จะซึมเศร้าหรือไร้สุข และในสายตาของเธอ นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะถูกพูดถึงค่ะ”
ถ้าชาร์ล็อตต์เป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอ เรื่องทางเพศต่างๆ ใน HYSTERIA ก็ทำให้เธอเขินอายจนหน้าแดง แต่จิลเลนฮาลก็กล่าวว่า นั่นคือประเด็นสำคัญ “ฉันรู้สึกเขินและตลกหน่อยๆ เวลาที่พูดถึงหนังเรื่องนี้” เธอสารภาพ “มันแสดงให้เห็นว่าเราเองยังไม่รู้วิธีที่จะพูดถึงเรื่องเพศของผู้หญิงอย่างเปิดเผย ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้คนพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นอีกหน่อยเพราะมันเป็นมุมมองที่สนุกและน่าขบขันเหลือเกินค่ะ”
จิลเลนฮาลทุ่มเทให้กับการรับบทชาร์ล็อตต์อย่างสมจริงในฐานะผู้หญิงอเมริกันยุคใหม่ให้มากที่สุด “ฉันฝึกกับโค้ชสอนสำเนียงคนเก่ง เพื่อฝึกสำเนียงของฉันและฉันก็พูดด้วยสำเนียงนั้นเกือบตลอดการถ่ายทำ” เธอตั้งข้อสังเกต “มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันที่ชาร์ล็อตต์จะให้ความรู้สึกเหมือนคนจริงๆ ที่มีลมหายใจและมีเลือดเนื้อ ราวกับเธออยู่ที่นี่ในปี 2011 น่ะค่ะ”
ผู้ที่ช่วยเธอในเรื่องนั้นคือทันยา เว็กซ์เลอร์ “ทันยาเยี่ยมมากค่ะ” จิลเลนฮาลกล่าวสรุป “และเธอก็พบวิธีในการผลักดันให้ฉันรับบทเป็นผู้หญิงที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเองคนนี้ด้วย!”
Jonathan Pryce (โจนาธาน ไพรซ์) รับบท Dr. Dalrymple ดร.ดัลริมเพิล
ความไร้กฎระเบียบและความคิดเห็นของชาร์ล็อตต์อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับบางคน แต่มันเป็นเหมือนยาพิษสำหรับตัวตนของพ่อเธอ และเป็นรอยด่างพร้อยในธุรกิจที่กำลังเฟื่องฟูของเขาในฐานะหนึ่งในแพทย์ผู้รักษาผู้หญิงทีมีอาการฮิสทีเรีย ผู้โด่งดังที่สุดของลอนดอน ผู้ที่รับบทชายอนุรักษ์นิยม ผู้ที่ยืนอยู่แถวหน้าในการนวดคลึงส่วนลับของผู้หญิงก็คือหนึ่งในนักแสดงละครเวทีและจอเงินที่มากความสามารถที่สุดของอังกฤษ โจนาธาน ไพรซ์ เจ้าของสองรางวัลโทนี อวอร์ด ผู้ซึ่งผลงานล่าสุดของเขามีตั้งแต่ภาพยนตร์โดยเทอร์เรนซ์ มาลิคเรื่อง THE NEW WORLD ไปจนถึงบล็อกบัสเตอร์เรื่อง PIRATES OF THE CARRIBEAN
“โจนาธานเป็นนักแสดงอัจฉริยะค่ะ” เว็กซ์เลอร์บอก “สิ่งที่ฉันชื่นชอบเกี่ยวกับการที่เขามารับบทนี้คือเขามีจังหวะการแสดงตลกที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว เขาก็ถ่ายทอดความจริงออกมาด้วยค่ะ”
ในตอนแรก ไพรซ์รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับบทภาพยนตร์อยู่บ้าง แต่พอเขาได้อ่านมัน เขาก็เปลี่ยนใจ “พอผมหายช็อคจากไอเดียนี้แล้ว ผมก็พบว่ามันเป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นได้ดีทีเดียว ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ของชายและหญิง ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นประเด็นที่มีความเป็นสากลสุดๆ เลยนะครับ” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ
ภารกิจของเขาในฐานะดร.ดัลริมเพิลคือการแสดงราวกับว่าไม่มีอะไรน่าขันหรือแปลกประหลาดเกี่ยวกับวิธีการรักษาผู้หญิงของเขาเลย “เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นคอมเมดี้ เราแสดงมันอย่างตรงไปตรงมา เพราะตัวสถานการณ์เองก็น่าขบขันอยู่แล้วครับ” ไพรซ์อธิบาย “ในความคิดของดัลริมเพิล นี่เป็นวิธีการรักษาทางกาแพทย์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากจนเขาดูแลธุรกิจตัวเองไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะครับ”
อย่างไรก็ดี แม้ว่าตัวละครของเขาอาจจะทำตัวอย่างธรรมดาและตีหน้าปกติ ตัวไพรซ์เองยอมรับว่าเขาเองสนุกกับบทนี้ “นักแสดงหญิงที่วิเศษสุดหลายคนเข้ามารับการรักษา และสิ่งที่ผมสนุกก็คือการได้เห็นว่าพวกเธอมีปฏิกิริยาแตกต่างกันอย่างไรน่ะครับ” เขารำพึง
Felicity Jones (เฟลิซิตี้ โจนส์) รับบท Emily Dalrymple (เอมิลี ดัลริมเพิล)
ความสำเร็จในหน้าที่การงานของดร.ดัลริมเพิลยังเป็นประโยชน์ต่อเอมิลี ลูกสาวคนโปรดของเขา ผู้ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับชาร์ล็อตต์ ผู้เอาแต่ใจและควบคุมไม่ได้ เอมิลีเป็นตัวแทนของความอ่อนโยนเชื่อฟังโดยแท้ ผู้ที่รับบทนี้คือเฟลิซิตี้ โจนส์ นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ ผู้ที่ผลงานเรื่อง LIKE CRAZY ของเธอเป็นภาพยนตร์ฮิตม้ามืดในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปีนี้ โจนส์ ผู้เป็นที่รู้จักจากเรื่อง CHALET GIRL และพีเรียดดราม่าอย่าง NORTHANGER ABBEY และ CHERI เป็นหนึ่งในดาราดาวรุ่งในรุ่นของเธอ โจนส์กล่าวว่า HYSTERIA ไม่เหมือนกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ “ความงดงามของบทหนังเรื่องนี้คือมันมีลักษณะเหมือนกับดราม่าคอสตูมทั่วๆ ไป แต่คุณก็จะตระหนักได้ว่า มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปเกิดขึ้นค่ะ” เธอกล่าวกลั้วหัวเราะ
โดยหัวใจแล้ว เอมิลีเป็นหญิงสาววิคตอเรียนนตามแบบฉบับ ผู้ทำตามหน้าที่ของตัวเองด้วยการยินดีตกลงกับสามีที่พ่อเธอเป็นผู้เลือก แทนที่จะคิดด้วยตัวเอง และโจนส์ก็แสดงบทนี้เช่นนั้น “พี่สาวเธอทั้งกล้าหาญและมั่นใจ ฉันคิดว่ามันทำให้เอมิลียิ่งระวังตัวและทำตัวตามแบบแผนมากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้พ่อของเธอพอใจมากที่สุด” โจนส์ตั้งข้อสังเกต “เธอสร้างตัวเองให้กลายเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นกุลสตรีมากที่สุดเท่าที่เธอจะจินตนาการได้ และในตอนแรก มอร์ติเมอร์ก็ค่อนข้างจะประทับใจกับภาพลักษณ์นั้นค่ะ”
แต่แล้ว โฉมหน้านั้นก็เริ่มปริแตกออกเมื่อมอร์ติเมอร์เริ่มมองเห็นว่าเขาคู่ควรกับชาร์ล็อตต์มากกว่า “สำหรับฉัน ฉันรู้สึกสนุกมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรักสามเส้านี้ค่ะ” โจนส์บอก “ส่วนหนึ่งของคอมเมดี้ในหนังเรื่องนี้เกิดจากการที่ผู้หญิงคู่นี้ต่างก็มีเสน่ห์ดึงดูดแง่มุมคนละด้านของเขาน่ะค่ะ”
สำหรับการเตรียมตัวรับบทนี้ โจนส์ได้อ่านขนบธรรมเนียมของศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะงานอดิเรกของเอมิลีในการทายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ มันเป็นศาสตร์ที่เคยได้รับความนิยมเกี่ยวกับการ “อ่าน” นิสัยของคนจากรูปทรงกะโหลกศีรษะ แต่ไม่มีอะไรสามารถเตรียมโจนส์สำหรับทรงผมสุดอลังการของเอมิลี ที่เธอทำเพื่อสร้างความประทับใจในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองการหมั้นระหว่างเธอกับมอร์ติเมอร์ได้”เราเรียกมันว่า 'หอคอยเหลือเชื่อ' ค่ะ” โจนส์กล่าวกลั้วหัวเราะ “มันเป็นทรงผมที่น่าทึ่งและโดดเด่นมากๆ แต่มันก็ไม่ได้จบสวยเลยสำหรับเอมิลี!”
Rupert Everett (รูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์) รับบท Edmundเอ็ดมันด์
ผู้ที่รับบทสำคัญใน HYSTERIA คือนักแสดงอีกคนหนึ่งที่โด่งดังจากบทย้อนยุคที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอามณ์ขำขันประชดประชัน รูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์ เอ็ดมันด์ (เอฟเวอร์เร็ตต์) เป็นชนชั้นสูงผู้เป็นเพื่อนรักของมอร์ติเมอร์ ผู้ที่แผนการที่จะสร้างที่ปัดฝุ่นไฟฟ้าถูกนำพาไปยังทิศทางที่ไม่คาดฝัน
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เอฟเวอร์เร็ตต์ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของคอนเซ็ปต์เบื้องหลัง HYSTERIA ได้เลย “คนที่คุณเล่าหนังเรื่องนี้ให้ฟังจะยิ้มในทันที มันมีกลิ่นไอแบบคอมเมดี้เอลลิงในยุค 30s หรือ 40s ครับ” เขาตั้งข้อสังเกตถึงสไตล์ความเป็นอังกฤษแท้ๆ ในคอมเมดี้หลังสงคราม ซึ่งขึ้นชื่อในการผสมผสานความสนุกแบบไร้ขอบเขตเข้ากับการเสียดสีประชดประชัน
ยิ่งไปกว่านั้น เอฟเวอร์เร็ตต์เองก็รู้สึกชื่นชอบยุคสมัยดังกล่าวด้วย “ฉากเรื่องนี้ ในยุคสมัยที่ผู้หญิงเพิ่งเริ่มเป็นตัวของตัวเองและอาณาจักรอังกฤษเริ่มจะยุติบทบาท ทำให้อารมณ์ขันนี้มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกครับ”
สำหรับตัวละครของเขา เอฟเวอร์เร็ตต์พูดถึงเขาว่าเป็น “นักประดิษฐ์สุภาพบุรุษตามแบบฉบับ ผู้ใช้ชีวิตเยี่ยงอภิสิทธิชน และมีอิสระที่จะมีความคิดก้าวหน้า” เขากล่าวต่ออีกว่า “ในหลายๆ แง่มุม เขาและมอร์ติเมอร์เป็นเหมือนพี่น้องกัน และพวกเขาก็เป็นเพื่อนรักกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นครับ”
Ashley Jensen (แอชลีย์ เจนเซน) รับบท Fanny (แฟนนี) และแนะนำ
Sheridan Smith (เชอริแดน สมิธ) ในบท Molly the Lolly (มอลลี เดอะ โลลลี)
ผู้ที่มารับบทตัวละครหลักที่เหลือคือผู้หญิงสองคนจากชนชั้นแรงงานในลอนดอน แฟนนี ผู้พักอาศัยในบ้านเช่า คนสนิทของชาร์ล็อตต์ ที่รับบทโดยแอชลีย์ เจนเซน (UGLY BETTY และซีรีส์เอชบีโอ EXTRAS) และอดีตโสเภณี “มอลลี เดอะ โลลลี”ที่รับบทโดยนักแสดงคอมเมดี้ชาวอังกฤษเจ้าของรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ด เชอริแดน สมิธ ผู้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการแสดงละครเวทีเรื่อง Legally Blonde, The Musical
เจนเซนพูดถึงแฟนนีว่าเป็น “ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรซักอย่าง เว้นแต่สามีขี้เหล้า ที่ทุบตีเธอ! เธอตรงข้ามกับผู้หญิงทุกคนที่มาเข้ารับการรักษากับมอร์ติเมอร์ค่ะ” ในความเป็นจริงแล้ว แฟนนีได้ช่วยชาร์ล็อตต์ในการทำให้มอร์ติเมอร์มองเห็นว่า ในขณะที่หญิงสาวร่ำรวยได้รับการนวดเฟ้นสำหรับอาการผิดปกติที่ลึกลับนี้ หญิงสาวชนชั้นแรงงานกลับต้องการการรักษาทางการแพทย์จริงๆ
นอกจากนี้ เจนเซนยังได้พัวพันกับประวัติศาสตร์อื่นๆ ของเรื่องราวด้วย “สิ่งที่ฉันคิดว่าเยี่ยมมากเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นที่ซีเรียสบางอย่าง นอกเหนือจากไวเบรเตอร์ ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่ซีเรียสด้วยตัวของมันเองก็ได้! แต่มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่สละตัวเองเพื่อที่เราจะได้มีสิทธิพลเมืองเทียบเท่ากับผู้ชายน่ะค่ะ” เธอกล่าว “และฉันก็ชอบที่ว่าผู้หญิงหลายคนได้มีตำแหน่งใหญ่โตในหนังเรื่องนี้ มันวิเศษมากที่มีหนังเกี่ยวกับเรื่องทางเพศของผู้หญิงและสิทธิของผู้หญิง ที่สร้างโดยผู้หญิงน่ะค่ะ”
และสำหรับสมิธ เธอกล่าวว่า เธอสนุกมากกับบทเปิดตัวในการเป็น “หนูทดลอง” ที่เข้ารับการทดสอบไวเบรเตอร์รุ่นแรกๆ “มันสนุกสุดๆ เลยค่ะ” เธอให้ความเห็น “มันเป็นหนังเรื่องแรกของฉัน ฉันก็เลยทึ่งมากที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงชั้นนำกลุ่มนี้ เราต่างก็สวมคอสตูมและ วิกของเรา แล้วเราก็เปลี่ยนกลายเป็นอีกคนเลยล่ะค่ะ!”
แม้ว่าสมิธจะตื่นเต้นกับตัวละครตัวนี้ เธอก็กล่าวว่า ตัวละครที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเธอคือชาร์ล็อตต์ “ฉันคิดว่าเราทุกคนต่างก็ตกหลุมรักเธอค่ะ” เธอสรุป “ลักษณะที่แม็กกี้เล่นเป็นเธอ เธอเป็นนักสู้เหลือเกินและเธอก็ทำให้คุณนึกถึงว่าการเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่เป็นอย่างไรน่ะค่ะ”