บทสัมภาษณ์มือเขียนบท/ผู้กำกับ
“สมดุลที่แปลกประหลาด:” บทสัมภาษณ์มือเขียนบท/ผู้กำกับพอล ไวซ์
Q: ในตอนที่คุณเริ่มเตรียมงาน Being Flynn ในปี 2004 คุณได้เป็นมือเขียนบท/ผู้กำกับของเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ/ลูกชาย ที่ไม่มีสายเลือดเดียวกันจริงๆ ใน About A Boy และกำลังอยู่ระหว่างช่วงโพสต์โปรดักชั่นของเรื่องที่สอง In Good Company การที่หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของพ่อ/ลูกจริงๆ ดึงดูดคุณมากขึ้นรึเปล่า
A: มันไม่ใช่สิ่งที่ผมนึกถึงเป็นพิเศษครับ ผมได้อ่านหนังสือของนิค และผมก็ติดใจเรื่องราวของมัน ผมคิดว่าไอเดียของความย้อนแย้งระหว่างพ่อผู้ทรงพลัง และการได้เห็นพวกเขาดำเนินชีวิตในโลกใบนี้เป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของใครหลายคนครับ
อย่างแรก แม้ว่าพ่อผม [จอห์น ไวซ์ ผู้ล่วงลับ] จะเป็นแฟชั่น ดีไซเนอร์ ผู้ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็อยากเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนมากกว่า เขาเคยเขียนหนังสือชีวประวัตินอนฟิคชั่นและนิยายสองสามเรื่อง ที่ได้รับการตีพิมพ์ ผมคิดว่าเขาทั้งถูกผลักดันและถูกครอบงำด้วยความใฝ่ฝันในการอยากเป็นนักเขียน ตัวผมเองก็สงสัยว่าสิ่งที่ผลักดันให้คุณทำงานเป็นเรื่องของอีโก้มากน้อยแค่ไหน และเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์กว่านั้นมากน้อยแค่ไหนน่ะครับ
สถานการณ์ของเรื่องคือชายหนุ่มกับพ่อ ผู้ฝันว่าตัวเองเป็นนักเขียนดัง แต่จริงๆ แล้ว ไม่เคยเขียนอะไรเสร็จซักอย่าง ไอเดียที่ว่านิคมีพ่อที่มองงานเขียนแบบมีอีโก้ซึ่งไม่เป็นผลดีกับตัวเองและการที่นิคลงเอยด้วยการเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ และการทำเรื่องธรรมดาๆ ที่น่าเบื่อหน่าย เพื่อลงมือเขียนงานจริงๆ เป็นสิ่งที่ผมสนใจครับ
ผมคิดว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราทำงานในฮอลลีวูด หรือการที่เราเขียนวรรณกรรมบริสุทธิ์ซักเรื่อง คุณก็จะต้องตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมคุณถึงทำในสิ่งที่คุณทำอยู่ เพื่อความสำเร็จ? หรือเป็นเพราะคุณอยากได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม? หรือเป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและสำคัญกว่านั้น ในแง่ของการสร้างสรรค์อะไรบางอย่างน่ะครับ
Q: มีประเด็นอะไรน่าสนใจอื่นๆ อีกนอกเหนือจากเรื่องของประวัติครอบครัวและความคิดสร้างสรรค์บ้าง
A: แง่มุมของการติดยาและการติดเหล้าในเรื่องก็โดนใจผมเหมือนกัน พ่อผมเป็นคนในยุคที่อาจจะดื่มชีวาส รีกัลตอน 11 โมงเช้าเป็นครั้งคราว และตอนที่ผมอายุน้อยกว่านี้ ผมก็ต้องเผชิญหน้ากับความคิดที่ว่าผมรู้สึกต้องการกำจัดความเกี่ยวข้องระหว่างผมกับเหล้าและยาเสพติด แง่มุมของการกำจัดความเป็นตัวเองที่ผูกติดกับอีโก้และกับความคิดสร้างสรรค์เป็นองค์ประกอบสำคัญของหนังเรื่องนี้ สำหรับผม มันไม่ใช่แค่เรื่องราวระหว่างพ่อกับลูก แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสุขและหลุมพรางของความคิดสร้างสรรค์ด้วยครับ
นิคเป็นกวี และหนังสือเรื่องนี้ก็งดงามมากด้วย มันเป็นหนึ่งในหนังสือไม่กี่เรื่องที่ผมอ่าน ซึ่งยิ่งผมอ่านบ่อยเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมองเห็นแบบแผนมากยิ่งขึ้น มันคงเป็นเรื่องที่เหนื่อยแสนสาหัสถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวนิคเองเป็นคนที่กระตุ้นความหวังแบบนี้ เขาอนุญาตให้ผมสร้างเรื่องราวของเขาในเวอร์ชั่นที่เป็นส่วนตัวสำหรับผม
Q: คุณรู้สึกว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้นิค ฟลินน์ไว้ใจคุณ ในปี 2004 ที่พวกคุณได้พบกันครั้งแรก
A: มันเป็นสมดุลที่แปลกประหลาดครับ ผมสามารถทำในเรื่องบางอย่างในเรื่องราวนี้เป็นเรื่องส่วนตัวได้ แม้ว่าผมจะไม่เคยนำประสบการณ์ของคนอื่นมาเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของตัวเอง แต่ผมก็สามารถพูดถึงเหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกกับมันอย่างลึกซึ้ง
ระหว่างประสบการณ์ทั้งหมดนี้ เราก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนกันและผมก็ยินดีที่ผมไม่ได้หลอกลวงนิคเกี่ยวกับการได้สร้างหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่านิคอ่านดราฟท์เกือบจะ 30 ครั้งได้ [หัวเราะ] แม้กระทั่งดราฟท์ที่ไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่ผมหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นก็ตาม นิคก็เหมือนกับคนฉลาดๆ ส่วนใหญ่ที่เคยผ่านการทดลองสิ่งต่างๆ มามากมาย ตรงที่เขาเป็นคนยืดหยุ่นครับ เขาเข้าใจมุขในระดับที่จำเป็น เขารู้สึกว่าผมเห็นคุณค่าของแก่นแท้ของเรื่องที่เขาทำด้วยการเขียนหนังสือเรื่องนี้ เขาเป็นคนน่ารักมากครับและผมก็สามารถทำให้เขาหยุดเรื่องส่วนใหญ่ในชีวิตเพื่อมาดูระหว่างถ่ายทำ เพราะบ็อบ เดอ นีโร, พอล ดาโนและผมรู้สึกว่าน่าจะมีใครซักคนที่บอกเราได้ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระรึเปล่าน่ะครับ
ตอนที่ผมพบกับนิคครั้งแรก ผมบอกว่า “ผมอยากขออะไรคุณหน่อย ผมอยากจะคุยถึงตัวละครที่ชื่อนิค ฟลินน์ ผมจะไม่บอกว่า ‘คุณทำอย่างนี้’ หรือ ‘คุณทำอย่างนั้น’ มันจะเป็น ‘นิคทำอย่างนี้’ หรือ ‘นิคทำอย่างนั้น’ มันโอเครึเปล่า” และนิคก็โอเคครับ แม้ว่าผมคิดว่าเขากำลังเขียนบันทึกเกี่ยวกับประสบการณ์ของการสร้างหนัง…
เขาสามารถดึงความรู้สึกให้ถอยห่างจากสิ่งต่างๆ และสะกดอีโก้ของตัวเองเอาไว้ เพื่อที่เขาจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้บ้าง การที่เขาเชื่อในไอเดียที่ว่า นิค ฟลินน์ในหนังเป็นตัวละครตัวหนึ่งทำให้ผมมีอิสระที่จะให้ตัวละครตัวนี้พูดและทำในสิ่งที่นิคไม่เคยทำหรือพูดน่ะครับ
เพียงแค่การเขียนบันทึกก็เป็นการก้าวออกห่างจากสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความจริงแล้วล่ะครับ นิคเข้าใจว่า แม้กระทั่งในการเขียนบันทึก มันก็เป็นการสร้างตัวละครขึ้นมา มันทำให้เขาแตกต่างจากคนในวงการวรรณกรรมที่ตอนหลังถูกเปิดเผยว่าโกหกเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของพวกเขาน่ะครับ
สิ่งที่เหมือนๆ กันสำหรับเราคือความรู้สึกที่ว่าพวกเราต่างก็กระหายใคร่รู้ว่าตัวเราได้สืบทอดสิ่งต่างๆ มามากมายแค่ไหน แล้วเราสามารถสร้างตัวเราได้มากแค่ไหน เราทั้งคู่อยากจะทำตัวไม่เสแสร้ง [หัวเราะ] ผมอยากจะไปถึงจุดนั้น แต่ผมก็คิดว่านิคทำสำเร็จแล้วครับ
เมื่อคุณโตขึ้น คุณก็จะเกิดความรู้สึกที่ว่าคุณไม่ได้มีเพื่อนใหม่เลย แต่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนมิตรภาพที่มีคุณค่า ว่านิคเป็นเพื่อนทางไกลน่ะครับ
Q: คุณทำงานกับเขาแบบทางไกลในเรื่องของบทนานหลายปี
A: เมื่อคุณเขียนดราฟท์มากมายมาเป็นเวลาเจ็ดปี คุณก็จะเกิดความคิดว่าคุณอาจต้องเขียนรีไรท์ไม่รู้จักจบจักสิ้น โดยไม่ได้สร้างเป็นหนังก็ได้ ซึ่งฟังดูมันอาจเป็นเรื่องเลวร้าย แต่จริงๆ แล้ว มันก็เป็นเรื่องที่สร้างความมั่นใจทีเดียวนะครับ เพราะถ้าคุณไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ คุณก็ไม่ต้องทนกับหนังที่อาจจะไม่เป็นไปตามศักยภาพเท่าที่คุณเห็น
โชคดีที่ผมไม่ต้องใช้เวลาสร้างหนังเรื่องนี้สี่ปี เพราะนั่นคงต้องเป็นหนังในสตูดิโอที่มีภารกิจในการสร้างหนังเมนสตรีม ซึ่งคงเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับหนังเรื่องนี้ พวกเขาเป็นทีมผู้สร้างที่รังสรรค์งานของตัวเองในถ้ำสูญญากาศและไม่คำนึงถึงเรื่องเชิงการค้าเลย แต่ผมไม่ได้อยู่ในถ้ำสูญญากาศนั้นครับ [หัวเราะ] ผมได้เรียนรู้มากมายจากข้อผิดพลาดของผม รวมทั้งสิ่งที่ผมทำได้อย่างถูกต้อง ระหว่างที่ผมกำลังถ่ายทำ Being Flynn ผมก็รู้สึกว่าผมได้ใช้ความรู้ทั้งหมดที่ผมได้เรียนรู้มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมาในการสร้างหนัง ในการสร้างหนังเรื่องนี้ให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
พอถึงเวลาที่หนังเรื่องนี้ได้สร้างขึ้นจริงๆ ผมก็มั่นใจในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ของผม ซึ่งทำให้ผมสามารถถ่ายทำ Being Flynn ได้อย่างรวดเร็ว ภายในตารางการทำงานที่เร่งรีบน่ะครับ
Q: ในแง่ของการดัดแปลง ดราฟท์สุดท้ายที่ถูกถ่ายทำ อะไรคือความเปลี่ยนแปลงหรือการขยายที่ชัดเจนที่สุดที่คุณต้องทำล่ะ
A: ผมต้องยอมรับว่าด้วยความที่ทุนเราน้อย ผมก็ไม่สามารถถ่ายทำอะไรหลายๆ อย่างที่จะไม่อยู่ในหนังได้ ผมจะไม่สามารถทดลองอะไรบางอย่างได้ ผมจะต้องยึดเอาแต่แกนกลางของมันล้วนๆ ครับ
ซึ่งแกนกลางที่ว่าเท่าที่ผมเห็นก็รวมถึงสิ่งในบันทึกที่นิคอาจไม่จำเป็นต้องพูดถึง เช่นเหตุผลในการเกลียดตัวเอง และการที่เรารับมือกับมัน ผมคิดว่านิคไม่ได้จงใจจะพูดถึงเรื่องนั้น แต่ในบันทึกเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง มันก็จะต้องรวมอยู่ในนั้นด้วยครับ
Q: คุณจะต้องใส่เอามุมมองเข้าไปด้วย ไม่อย่างนั้น คุณคงสร้างหนังไม่ได้หรอก
A: แน่นอนครับ แต่ผมก็อยากจะให้เกียรติโครงสร้างแบบบทกวีของหนังสือเรื่องนี้ด้วย มีคำอุปมาอุปมัยบางอย่างจากหนังสือซึ่งถูกตัดออกไปเพื่อแทนที่ด้วยคำอุปมาอุปมัยอื่นๆ จากหนังสือ
มีส่วนหนึ่งในหนังสือที่นิคพบว่าปู่เขาเป็นผู้ประดิษฐ์เรือชูชีพ และอีกตอนหนึ่งที่นิคใช้ชีวิตอยู่บนเรือยอทช์และซ่อมแซมมัน ผมใส่เอาเรื่องนั้นอยู่ในดราฟท์สองสามครั้งก่อนที่จะตระหนักว่าผมจะต้องโฟกัสไปที่อีกช่วงเวลา ตอนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ใน “โซนสงคราม” ในบอสตันน่ะครับ
Q: และอยู่บนบกด้วย
A: [หัวเราะ] ครับ…ผมมั่นใจว่ามีหลายเรื่องที่ผมตัดออกไป แต่ผมก็นึกไม่ออกครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบพวกตอนที่ผมตัดออกไป แต่คุณใส่เรื่องราวเข้าไปในหนังได้จำกัดน่ะครับ
Q: คุณพูดถึงบอสตัน การค้นคว้าข้อมูลกับนิคที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง มันทำให้คุณยิ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ หรือคุณกลัวกับสิ่งที่คุณพบรึเปล่า
A: ผมก็มีความรู้สึกที่จะมองมันอย่างคนเร่ร่อน วิธีการของผมคือนี่ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับคนเร่ร่อน แต่เกี่ยวกับปัจเจกบุคคล นิคสนใจในแทบทุกคนที่เขาได้เจอ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามจะเป็นด้วยเช่นกันครับ ทุกคนต้องรับมือกับปีศาจของตัวเองครับ
การที่เราไปเยือนที่นั้นช่วยขจัดความกังวลของเราเพราะผมสามารถอัพเดทให้นิคฟังถึงการทำงานและผมก็เริ่มเก็บข้อมูลเพื่อเติมเต็มวิสัยทัศน์ของตัวเองได้ เรากลับไปที่นั่นหลายปี หลังจากที่นิคอยู่ที่นั่น ทำงานในที่พักพิงเต็มเวลา และการตั้งชื่อใหม่ให้กับที่พักพิงในเรื่องก็ทำให้เรามีอิสระมากขึ้น ในแง่ของการใช้เวลากับคนตามท้องถนน ผมเคยทำแบบนี้มาก่อน ดังนั้น มันก็เลยน่าหวาดหวั่นน้อยลงครับ
Q: พูดถึงความน่าหวาดหวั่น คุณคิดภาพโจนาธาน ฟลินน์ไว้ว่าอย่างไรก่อนที่จะได้เจอกับเขาตัวเป็นๆ
A: เขาเป็นอย่างคำร่ำลือครับ [หัวเราะ] ครั้งแรกที่ผมได้พบกับเขา เรานั่งอยู่ในอพาร์ทเมนต์ของเขา เราคุยกัน แล้วตอนหนึ่ง เขาก็ดึงเอามีดขนาดใหญ่ ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่าเป็นมีดทำครัวรึเปล่า แต่มันยาวประมาณสองในสามของมีดพร้า…คือมันเป็นมีดใหญ่นั่นแหละครับ แล้วเขาก็กวัดแกว่งมันตรงหน้าผม เพื่อดูว่าผมจะมีปฏิกิริยายังไงมั้งครับ [หัวเราะ] ผมไม่กระดุกกระดิกเลย
ผมสนุกกับการได้พูดคุยกับเขา สิ่งสำคัญที่ติดในใจผม ซึ่งคล้ายกับพ่อของผม คือการพูดจาที่คล่องแคล่วของเขา เขาพูดในแบบที่คนสมัยนี้ไม่พูดกันน่ะครับ
เขาเป็นนักเล่าเรื่อง และในระดับหนึ่ง หนังเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับการเล่าเรื่องในฐานะกลไกในการเอาชีวิตรอด โจนาธานในชีวิตจริงและตัวละครในเรื่องให้ความรู้สึกของการเป็นนักเล่าเรื่อง ด้วยการประมวลสิ่งที่พวกเขาพบเจอและท้ายที่สุด ก็ได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นศิลปะ มันทำให้เขาแบ่งแยกตัวเองออกจากคนอื่นๆ รอบด้าน ในที่พักพิงคนเร่ร่อนหรือในการใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน เขามีชะตากรรมยิ่งใหญ่ เขาเป็นนักสังเกตการณ์ที่รู้สึกขบขัน สิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นสถานการณ์เศร้าสลด เขาก็เปลี่ยนให้กลายเป็น King Lear เพียงแต่เขาไม่ใช่กษัตริย์เลียร์ แต่เขาเป็นคนเขียนเรื่อง King Lear ครับ
Q: คุณเคยร่วมงานกับโรเบิร์ต เดอ นีโรมาก่อนและเขาก็ถูกทาบทามสำหรับโปรเจ็กต์นี้มาได้ซักพักแล้ว มันคงทำให้คุณคุ้นเคยกับเขาดี แต่การได้กำกับเขาในฐานะโจนาธาน ฟลินน์จริงๆ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง
A: ผมดีใจครับ และดีใจที่เขาแคร์มากแค่ไหน ผมประทับใจที่ว่าเขาทำงานหนักแค่ไหนและเขาให้ความเคารพกับทุกคนมากแค่ไหน โดยเฉพาะกับนิคและสิ่งที่นิคได้สร้างสรรค์ขึ้นมา นอกจากนี้ เขายังให้ความเคารพกับศิลปะของเขาด้วยการพูดถึงมัน ก่อนแต่ละเทค ผมจะเห็นเขาแยกตัวออกไปเพื่อทำสมาธิในการเข้าสู่ช่วงเวลานั้นและตัวละครตัวนี้ ผมพยายามจะสังเกตว่าเมื่อไหรที่เขาอยากจะอยู่คนเดียว เพื่อที่จะไม่เกะกะขวางทางเขาน่ะครับ
โจนาธานมีโมโนล็อคยืดยาวที่ขบขัน ตอนที่มันเป็นตัวอักษร มันก็จะยาวกว่าสิ่งที่จะปรากฏในหนัง การมีโมโนล็อคยาวๆ เป็นจุดอ้างอิงให้บ็อบเข้าไปและออกมา บางครั้งผมก็จะพูดกับเขาว่า “คุณอยากจะทำส่วนนี้ของตรงนี้ ที่ผมรู้สึกว่าจะอยู่ใน [ฉบับสมบูรณ์] รึเปล่า” แต่เขาก็จะจดจำพวกประโยคพูดกับตัวเองทุกคำพูดได้แล้ว เขาอยากจะคงคาแรกเตอร์เอาไว้ ซึ่งก็เป็นเรื่องเยี่ยมมาก
Q: พอล ดาโน ไม่เหมือนกับโรเบิร์ต เดอ นีโร ตรงที่เขาไม่ได้ถูกวางตัวสำหรับโปรเจ็กต์นี้นานหลายปี คุณได้ทำความเข้าใจกับดาโนถึงวิสัยทัศน์ที่คุณขัดเกลาสำหรับบทเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
A: ผมได้พบกับพอลเมื่อหลายปีก่อน ผมชอบผลงานของเขาใน The Ballad of Jack and Rose และ L.I.E มากจนผมพาเขาไปกินอาหารเที่ยง [หัวเราะ] ด้วยความหวังว่าซักวันหนึ่งเราจะได้ทำงานด้วยกัน และเราก็ได้ทำงานร่วมกันจริงๆ ครับ!
ในฐานะนักแสดง พอลกระตือรือร้นที่จะไม่หงอใครทั้งนั้น ซึ่งคุณก็คงรู้สึกได้จากผลงานของเขาใน There Will Be Blood ในขณะเดียวกัน เขาก็สุภาพ ฉลาด และสามารถวิเคราะห์เรื่องราวได้ กับพอล ผมได้คุยเรื่องบทแทบจะบรรทัดต่อบรรทัด เราคุยกับถึงสิ่งที่เราคิดว่าเกิดขึ้น ถ้ามีตอนไหนที่เขาไม่เข้าใจหรือคิดว่าไม่ดี ผมก็จะเถียงกับเขาหรือไม่ก็เห็นด้วยกับเขา ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็เห็นด้วยกับเขาครับ
นิคเป็นตัวละครที่คลุมเครือกว่าโจนาธานสำหรับผม อาจเป็นเพราะนิคเป็นคนยุคเดียวกับผม มันมีอันตรายของการที่ตัวละครตัวนี้จะกลายเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ไม่เคลื่อนไหว เพราะโจนาธานเป็นคนที่เคลื่อนไหวและสร้างความวุ่นวายเหลือเกิน พอลเป็นนักแสดงที่เฉพาะเจาะจงและมีเอกลักษณ์อย่างมาก ผมรู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งและก็ถือว่าผมโชคดีครับ
Q: คุณได้รับแรงกระตุ้นที่จะนำคนทั่วไปจริงๆ ไม่ใช่นักแสดง มาอยู่ในฉากที่พักพิงและฉากศูนย์บำบัดยาเสพติดนิรนาม มันเป็นอย่างไรบ้าง
A: มันออกมาเยี่ยมเลยครับ คนที่ไม่ใช่นักแสดงก็ต้องรับมือกับประเด็นเดียวกับนักแสดง ซึ่งก็คือมันเป็นเรื่องยากที่จะรักษาบางสิ่งให้สดใหม่ พวกเขาไม่เคยชินกับการที่คุณอาจต้องแสดงฉากนั้น 10 ครั้งโดยที่กล้องหันไปจากคุณ แล้วคุณก็ต้องแสดงเวลาที่มีกล้องจับจ้องมาที่คุณด้วย ถ้าผมต้องพูดแบบง่ายๆ ก็คือคงเป็นเพราะว่าพวกเขารู้ว่าอะไรปลอมหรือไม่ปลอมน่ะครับ
Q: ในการทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพดีแคลน ควินน์ ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์อินดีมาแล้วหลายเรื่อง คุณพบว่าตัวเองได้สร้างสไตล์การถ่ายทำใหม่ขึ้นมาสำหรับ Being Flynn รึเปล่า
A: เราได้กำหนดทุกอย่างไว้ล่วงหน้าครับ บางอย่างที่เราทำก็ให้ความรู้สึกท้าทาย เมื่อดูจากตารางการทำงานแล้ว ตอนที่ผมได้พบกับดีแคลนครั้งแรก เราคุยกันถึงสุนทรียศาสตร์ของ The 400 Blows ซึ่งให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการถ่ายทำที่กระชับ และผ่านการวางแผนมาอย่างงดงามและเหลือเชื่อ เป็นการลำดับภาพโดยไม่ต้องมีการคัทน่ะครับ
ผมชอบลักษณะที่ดีแคลนจัดองค์ประกอบของช็อตแฮนด์เฮลใน In America ตัว Being Flynn เองต้องมีความรู้สึกแบบแฮนด์เฮลบ้าง แต่ตอนนี้แฮนด์เฮลก็กลายเป็นความรู้สึกที่เฝือไปแล้วเพราะมันถูกใช้ในจอแก้วบ่อยๆ ผมก็เลยอยากได้ส่วนผสมของทุกอย่างที่ถูกวางแผนเอาไว้ และสิ่งที่เกิดจากความรู้สึกข้างในครับ
Q: คุณรู้สึกว่าคุณอาจนำสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ไปใช้ในหนังเรื่องถัดไปของคุณบ้างรึเปล่า
A: ผมคิดว่าอย่างนั้นนะครับ มันมีหลายวิธีมากที่จะทำให้ประสบการณ์การถ่ายทำหนังเป็นเรื่องเฉยชา ถ้าพวกมันมีความหมายบางอย่าง ชัยชนะก็จะต้องเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณนึกถึงว่าจะต้องมีคนมองเห็นอะไรบางอย่าง คุณก็แพ้ไปเรียบร้อยแล้วครับ ผมหวังว่าผมจะทำงานด้วยความกลัวที่น้อยกว่าที่ผมรู้สึกในอดีตนะครับ
การเขียนบทละครเวที อย่างที่ผมทำมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นมุมมองดีๆ ที่ใส่เข้าไปในการถ่ายทำหนังได้เหมือนกัน โดยธรรมชาติแล้ว ผู้ชมมีขนาดเล็กกว่า และความต้องการรูปแบบก็แตกต่างกันเหลือเกิน ปกติแล้ว ผมไม่ได้กำกับละครที่ผมเขียนบท ในฐานะนักเขียนบทละคร คุณเป็นนายตัวเองและสามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปได้มากเท่าที่คุณต้องการ โดยมีผู้กำกับที่วิเศษสุดครับ
Q: ช่วงเวลาไหนบ้างที่คุณชื่นชอบในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้
A: ในวันแรกที่ผมถ่ายทำกับบ็อบ ผมยื่นโน้ตให้เขา ฉากนั้นเป็นฉากทที่โจนาธานมาที่ศาลหลังจากโดนยึดใบอนุญาตขับขี่รถแท็กซี และเขาก็สงสัยว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนเพราะเขานอนในรถแท็กซีของตัวเองมาโดยตลอด ผมสนับสนุนให้บ็อบทำอะไรที่โอเวอร์เพราะโจนาธานมีนิสัยแบบนั้น ผมก็เลยขอให้เขายกมือขึ้นเหนือหัว เหมือนไชโยหลอกๆ น่ะครับ บ็อบบอกว่า “มันเป็นวันแรกของผม ผมกังวลว่าจะแสดงโอเวอร์เกินไป” เราถอยออกมาแล้วไปกันที่ช็อตอื่น แล้วตลอดทั้งวัน ผมก็พยายามกำกับเขาให้เขาชูมือขึ้นเหนือหัวน่ะครับ [หัวเราะ]
แล้วการได้รู้ว่าพอลทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาทำในฐานะนักแสดงมากแค่ไหนก็เป็นเรื่องเยี่ยมมาก ในแง่ที่ว่าเขาทุ่มสุดตัวเลย การคุยเรื่องบทกับคนอื่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเห็นพวกเขาไม่ถือเนื้อถือตัวเลยในการค้นหาความจริงในบทนั้นๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แทบทุกวันผมจะเจอสิ่งที่ผมถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ
Q: ในช่วงโพสต์โปรดักชัน คุณทำงานกับแบดลี ดรอว์น บอย ผู้ซึ่งคุณเคยร่วมงานมาก่อนในดนตรีประกอบ
A: ผมสนุกกับการร่วมงานกับเขาใน About a Boy และผมก็ฟังอัลบัมระหว่างนั้นของเขา แล้วก็ได้ฟังอัลบัมล่าสุดของเขาหลายครั้งระหว่างที่ผมถ่ายทำ Being Flynn ในหลายๆ แง่มุม ตอนนี้ ดนตรีของเขามืดหม่นลง ผมคิดว่าทั้งผมและเขาต่างก็ตื่นเต้น แต่ก็กังวลหน่อยๆ ว่าเราจะคิดอะไรขึ้นมาได้ แต่เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราว การที่สร้างสรรค์เพลงที่จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีหนังเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เดมอนสามารถแต่งทำนองประกอบที่ภายหลังได้กลายมาเป็นเพลงเต็มรูปแบบครับ
Q: หลังจากการทำงานหลายปีและดราฟท์มากมาย แล้วก็มาเจอกับตารางการถ่ายทำที่เร่งรีบ งบประมาณที่จำกัด การทำงานในห้องลำดับภาพเป็นอย่างไรบ้าง
A: ผมแฮปปี้กับหนังที่ออกมาครับ ผมคิดว่าผมแปลกใจว่ามันใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมหวังว่ามันจะเป็นแค่ไหน ว่าผมมีความเป็นส่วนตัวพอที่ผมจะสามารถทำในสิ่งที่ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะทำได้ ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ประนีประนอมเลย คุณไม่สามารถขออะไรมากกว่านั้นได้ การที่มันจะได้รับการตอบรับอย่างไรไม่ใช่ประเด็นสำคัญครับ ผมแปลกใจว่าผมต้องตัดอะไรออกไปน้อยแค่ไหน และก็แปลกใจที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นครับ