enjoyjam.net
ภาพยนตร์ => ข่าวภาพยนตร์ => Topic started by: FB on February 23, 2012, 05:25:46 PM
-
“มะเดี่ยว” การันตี 2 นักแสดงใหม่วัยรุ่น บทดราม่าสุดหินแค่ไหนก็ “เอาอยู่”



กว่าจะคัดนักแสดงมารับบทนักเรียนมัธยม 2 คน ที่ต้องมีบทพูดสนทนากันยาวเหยียด แถมยังต้องแสดงออกทางด้านอารมณ์ให้กับคนดูได้อินไปกับสองคนนี้ให้ได้ ทีมงานและผู้กำกับก็เฟ้นหาได้มาอย่างเลือดตาแทบกระเด็น เพราะบทของ “เน” นักเรียนม.6 ที่กำลังจะจบการศึกษาแต่รักการถ่ายภาพที่ขาดมิตรภาพจากเพื่อนตลอดการศึกษาและ “บีม” นักเรียนชั้นม.3 นักบาสโรงเรียนที่ย้ายโรงเรียนบ่อยเกินกว่าจะมีเพื่อนสนิทในภาพยนตร์เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” แนวดราม่าเรื่องล่าสุดจากค่ายสหมงคลฟิล์ม ถือเป็นบทที่ท้าทายความสามารถของนักแสดงอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะระดับมืออาชีพขนาดไหน แต่เมื่อต้องเจอแต่บทสนทนาที่ต้องต่อกันยาวเหยียดบวกกับความรู้สึกที่ต้องเล่นลึกลงไปมากกว่าคำพูดที่ถ่ายทอดออกมาแล้ว ก็เล่นเอาต้องใช้เวลาในการจดจำและความเข้าใจเฉพาะตัวอย่างแท้จริง
ซึ่งครั้งนี้ “มะเดี่ยว” ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ยอมรับเลยว่าเป็นบทที่หานักแสดงมือใหม่มารับบทได้ยากมาก แถมบทยังหินแบบสุดๆ นักแสดงแค่เพียงพูดบทสนทนาก็ต้องตรึงผู้ชมให้อยู่หมัดให้ได้ และกว่าจะได้ “มาร์ช” จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล นักศึกษาจากชั้นปี 1 คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมารับบทเป็น “เน” และ “แจ็ค” กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณะ นักเรียน นักบาส นักดนตรีวงโยธวาทิต ชั้นม. 6 โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) มารับบทเป็น “บีม” ได้นั้น ต้องผ่านการแคสติ้งนักแสดงมาจากจำนวนนับร้อยคน และต้องเทรนกันแบบตัวต่อตัวตั้งแต่คัดเลือกมาจนถึงวันถ่ายทำจริง ซึ่งทั้งคู่เล่นประสานงานกันออกมาได้ผลดีเกินคาด เพราะด้วยความที่ต้องเจอกัน
บ่อยต้องต่อบทด้วยกันตลอดเวลา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเหมือนพี่น้องหรือเพื่อนที่สนิทกันไปเลย ความเข้าใจในตัวละครเวลามาเล่นจริงทุกอย่างเลยลงตัว
และเรื่องนี้ก็พิสูจน์สปิริตของนักแสดงหน้าใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะทั้ง 2 คนมีแต่ฉากที่ต้องเล่นตอนกลางคืนทั้งนั้น เริ่มทำงานกันตอนหัวค่ำเลิกกองตอนเช้าทุกครั้ง แล้วไม่มีอิดออดแม้ว่าโดยปรกติมาร์ชจะใช้ชีวิตในการอ่านหนังสือสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยมาตลอดตอนกลางวัน หรือแจ็คต้องทุ่มเวลาซ้อมวงโยฯ ซ้อมบาสในฐานะนักกีฬาโรงเรียนมาอย่างสาหัสก็ตาม เลยมั่นใจว่าเมื่อหนังได้ถูกฉายออกไปแล้ว สองคนนี้ถือเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก
“นักแสดงใหม่ของเรา 2 คน น้องแจ็คกับน้องมาร์ช ผ่านการคัดเลือกมาจากนักแสดงนับร้อยนับพัน ทุกครั้งที่เราทำหนังคือถ้าเกิดเป็นนักแสดงใหม่ก็ต้องแคสติ้งแบบหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เพื่อที่จะได้คนที่มันดูแล้วใช่ แล้วยิ่งเป็นคนที่มีความใกล้เคียงกับเนื้อเรื่องเราก็ยิ่งมีความน่าสนใจ แล้วเราเลือกคนที่มีการแสดงที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด มีเสน่ห์มากที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ ซึ่งน้องทั้ง2คนกว่าจะผ่านการแคสติ้งเข้ามาจากหลายๆ รอบได้ก็ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก พอผ่านมาแล้วก็ต้องมีการ workshop และหนังเรื่องนี้ก็มีความยากที่ว่าเป็นบทสนทนากันหลายนาที พูดกัน 2 คนแบบยาวเหยียดถ้าเกิดทั้งสองคนเล่นไม่ดีจะเอาไม่อยู่ แล้วก็ต้องเป็นตัวตนของคนๆ นั้นด้วย คือมันไม่สามารถจะท่องแต่บทได้แค่เพียงอย่างเดียว แต่มันต้องเอาตัวตนไปเป็นคนๆ นั้นจริง กำลังสวมบทบาทอยู่ก็จริงแต่ก็ต้องเหมือนว่าเป็นเรื่องราวของตัวเองจริงๆ
ซึ่งใช้เวลาทำงานด้วยกันกับ 2 คนนี้มาด้วยกันค่อนข้างนาน กว่าจะได้ออกมาขนาดนี้ ทั้ง 2 เข้าขากันมาก พวกเราทำการบ้านด้วยกันมาอย่างหนักหนาสาหัสกว่าเราจะได้เห็นเขาเล่นด้วยกันได้อย่างดีขนาดนี้ แล้วเขาก็มีความเอาใจใส่กับสิ่งที่เขาทำอยู่ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงานได้อย่างลงตัวทั้งคู่อยากให้ไปชมความสามารถของเด็ก 2 คนนี้กันครับ”
พบกับ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ได้ 29 มีนาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
-
จาก “รักแห่งสยาม” สู่ “โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ถึงห่างกัน 5 ปี แต่ไม่มีผิดหวังแน่นอน

เตรียมตัวกันให้ดีสำหรับใครที่ชื่นชอบผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” จาก “รักแห่งสยาม” และเป็นแฟนคลับตัวยงของ “พิช” วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล” เพราะปลายมีนาคมนี้จะได้พบกับภาพยนตร์แนวดราม่าใหม่หมาดๆ จากค่ายสหมงคลฟิล์ม เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงน้องพิชคนเดียวเท่านั้นแต่ยังเต็มไปด้วยขบวนนักแสดงมากฝีมือร่วมถ่ายทอดเรื่องราวสุดประทับใจจากเบื้องลึกแห่งความทรงจำของผู้กำกับออกสู่แผ่นฟิล์ม เช่น “นุ่น” ศิรพันธ์ วัฒนจินดา, “เจมส์” เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, “ต่าย” เพ็ญพักตร์ ศิริกุล, “ลิฟท์” สุพจน์ จันทร์เจริญ, “อาตุ่ย” พุทธชาต พงศ์สุชาติ, “แมว” จารุณี บุญเสก และ 2 นักแสดงหน้าใหม่แกะกล่องที่น่าจับตามองในปีนี้อย่าง “มาร์ช” จุฑาวุธ ภัทรกำพล กับ “แจ๊ค” กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณะ
โฮม เป็นเรื่องราวที่ความทรงจำที่เลือกออกมาจากประสบการณ์คนรอบข้างที่ประทับใจ และไม่อาจเลือนหายไปได้ของผู้กำกับตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาที่เต็มไปด้วย มิตรภาพ ความผูกพัน ความอบอุ่น ความรัก หรือแม้แต่การสูญเสียที่อยู่รอบตัวเรา ซึ่งผู้กำกับรุ่นใหม่ผู้กวาดรางวัลจากหลายสถาบันมาแล้วอย่าง “มะเดี่ยว” ได้เลือกเฟ้นความทรงจำเหล่านี้ออกมาเล่าได้อย่างมีชั้นเชิงและกินใจ เหมือนอย่างที่เคยฝากความประทับใจกันมาแล้วจาก “รักแห่งสยาม” ภาพยนตร์ที่ทำกระแสแรงที่สุดแห่งปี แม้ผ่านวันคืนนั้นมาแล้วกว่า 5 ปี แต่ “โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ก็พร้อมแล้วที่จะออกมาพิสูจน์ความฉกาจของภาพยนตร์ที่จะกินใจผู้ชมที่รอคอยกันไปอีกนานเท่านาน ปลายเดือนมีนาคมนี้แน่นอน
-
วันที่สวยงาม Ost.HOME ค.รัก ค.สุข ค.ทรงจำHOME ความรัก ความสุข ความทรงจำ ( อัลบั้ม )

-
แฟนคลับเตรียมกรี๊ด “พิช รักแห่งสยาม” เล่นดราม่า ประกบ “นุ่น-ศิรพันธ์” และ “เจมส์-เรืองศักดิ์”

แฟนคลับไทยและเทศเตรียมกรี๊ดกันอีกครั้ง สำหรับการสวมบทบาทใหม่ของนักแสดงขวัญใจวัยรุ่นยอดนิยมที่เคยทำสนามบินเมืองจีนแทบแตกมาแล้วอย่าง “น้องพิช” วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล (มิว จากรักแห่งสยาม) หรือ พิช วงออกัส เพราะล่าสุดพิชมารับบทเป็น “เลี่ยม” น้องชายวัยมหาวิทยาลัยช่างพูดช่างคุยของปรียา (นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) ในภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่องใหม่ล่าสุดของค่ายสหมงคลฟิล์ม เรื่อง “ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ผลงานกำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
ซึ่งบทบาทที่น้องพิชได้รับคราวนี้ เป็นบทของ “เลี่ยม” นักศึกษารั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่โดนเพื่อนตั้งฉายาให้ว่าเลี่ยม (ภาษาเชียงใหม่ แปลว่า ช่างพูดช่างคุย) ที่กำลังเตรียมตัวจัดงานแต่งงานให้กับ ”ปรียา” แสดงโดย “นุ่น” ศิรพันธ์ วัฒนจินดา พี่สาวคนเดียว ซึ่งกำลังจะแต่งงานกับ “เสี่ยเล้ง” แสดงโดย “เจมส์” เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ หนุ่มเศรษฐีจากเมืองภูเก็ต แต่งานแต่งงานที่ตัวเองจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดีจะพังแหลไม่พังแหล เพราะอดีตที่ฝังใจของพี่สาวตัวดีกำลังจะทำป่วน ด้วยความที่เป็นน้องชายและรู้ความลับบางอย่างของพี่สาว ทำให้พี่น้องสองคนอึดอัดกับเหตุการณ์ดังกล่าว บทบาทคราวนี้ของพิชก็เลยเครียดกว่าที่เคยได้รับเล่นมา เพราะนอกจากในเรื่องจะต้องพูดภาษาเหนือ พูดมากเหมือนฉายาในหนังแล้ว พิชก็ต้องเล่นบทเฉือนอารมณ์กับรุ่นใหญ่อย่างนุ่นและเจมส์อีกต่างหาก ถึงขนาดว่าแฟนคลับอาจได้เห็นน้ำตาหนุ่มน้อยอาบแก้มกันเลยแน่ๆ และเพื่อไม่ให้เป็นการผิดหวัง ไหนๆ ก็กลับมาร่วมงานกับมะเดี่ยวอีกครั้ง เรื่องนี้พิชก็ยังฝากฝังผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ประดับวงการแถมให้อีกต่างหาก
“เรื่องนี้พิชมารับบทเป็น “เลี่ยม” เป็นนักศึกษาอยู่ที่เชียงใหม่ เลี่ยมเป็นฉายาคนเหนือเขาหมายถึง พูดมากพูดไปเรื่อย ในเรื่องนี้พิชก็ต้องพูดภาษาเหนือด้วย ซึ่งพิชก็พูดได้อยู่แล้วเพราะเกิดและเรียนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เล่นเข้าฉากกับพี่นุ่น ศิรพันธ์ , พี่เจมส์ เรืองศักดิ์, อาตุ่ย พุทธชาต ในเรื่องก็คือจะเล่นเป็นน้องพี่นุ่น สองคนจะสนิทกันเรารักพี่คนนี้มากก็เลยอยากจะจัดงานแต่งด้วยตัวเองให้กับพี่สาวเป็นของขวัญแต่งงาน แต่พี่สาวยังสับสน ยังมีอดีตที่ฝังใจและเป็นคนคิดมาก แล้วบังเอิญว่าเลี่ยมไปรู้ความลับอะไรบางอย่างของพี่สาวคนนี้ เราก็จะเครียดกับเรื่องราว มองหน้าว่าที่พี่เขยไม่ติด แล้วงานแต่งที่เราอุตส่าห์ตั้งใจจัดขึ้นก็ไม่รู้จะไปรอดหรือเปล่า เหตุการณ์มันเลยเครียดไปหมด ตัวละครตัวนี้ก็เล่นเหมือนจะปนๆ กันระหว่างความสดใสร่างเริงในตัวเองกับความกังวลของงานแต่งพี่ ก็จะมีเห็นพิชเล่นทั้งสองแบบ มีทั้งดราม่ามากๆ มีทั้งสบายๆ มีฉากที่เสียใจดีใจรับส่งกับพี่นุ่นพี่เจมส์ ซึ่งท้าทายดีครับได้เล่นกับพี่นุ่นพี่เจมส์ เพราะสองคนนี้เขามืออาชีพเวลาเหตุการณ์ที่มันบีบๆ ในเรื่องเขาก็จะส่งมาให้กับเราทำให้ราอินไปกับเรื่องราวจริงมาก แฟนๆ ที่รอคอยภาพยนตร์ของพิชก็รอชมได้เลยครับ เรื่องนี้พิชก็เต็มที่มากทั้งเรื่องการแสดงและเพลงประกอบที่พิชทั้งร้องและแต่งเองด้วยอยากให้ทุกคนได้ชมกัน”
แฟนคลับหนัง และ แฟนคลับเพลงเตรียมตัวกรี๊ดรับกับของขวัญชิ้นโบว์แดงอีกชิ้นของน้องพิช นักแสดงหน้าใสเสียงชวนฝันคนนี้ได้เร็วๆ นี้ ในภาพยนตร์เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ปลายเดือนมีนาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
-
MOVIE GUIDE: ตัวอย่าง “HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำ”
ภาพยนตร์ที่จะทำให้คุณมีความสุขและได้สัมผัสกับความรัก
ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
อย่าแค่รู้จัก...รัก แต่ให้รู้สึก...รักมากขึ้น
ภาพยนตร์รักที่ไม่ได้ทำให้แค่…รู้จัก “รัก”
แต่จะทำให้ทั้งหัวใจ…รู้สึก และ สัมผัส ถึง “รัก” ไปพร้อมๆ กัน
19 เมษายน 2555
หาคำตอบด้วยหัวใจคุณเอง
-
Movie: Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ

HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำ
เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ รับบทเป็น “เสี่ยเล้ง”
คาแรกเตอร์ที่ได้รับเล่นเป็นยังไง
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “Home” ความรัก ความสุข ความทรงจำ ผมมารับบทเป็น “เสี่ยเล้ง” ในพาร์ทของเรื่อง “แต่งงาน” คาแรกเตอร์ของเสี่ยเล้งในเรื่องนี้ก็คือ เราจะเป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังกับการทำงาน บุคลิกจะเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ จนคนจะไม่สามารถเดาอารมณ์ถูกได้ว่าเราคิดอะไรอยู่ แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนที่มีความรัก ความเชื่อใจเชื่อมั่นกับคนที่เรารักสูงมาก แล้วก็เป็นคนที่รับผิดชอบต่อทุกสิ่งๆ ทุกๆอย่าง เพราะว่าตำแหน่งที่เขายืน เหมือนว่าต้องมารับตำแหน่งเจ้าของโรงงานหรือดูแลกิจการใหญ่โตตั้งแต่หนุ่มๆ เลยทำให้เสี่ยเล้งต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย พอวัยเริ่มจะต้องมีครอบครัวก็เลยต้องกลายเป็นผู้นำอยู่เสมอเพิ่มขึ้นไปอีก จุดที่เขาอยู่มันผลักดันให้ชีวิตเขาต้องแสดงออกแบบนั้น เพราะว่าการที่เขาต้องดูแลคนเยอะๆ ต้องทำงานต้องดูแลลูกน้อง เขาจึงเป็นคนที่ค่อนข้างเด็ดขาดมาก เด็ดขาดทุกเรื่องครับ และก็ในเรื่องเสี่ยเล้งเป็นคนใต้ บุคลิกของคนใต้ก็สั้นๆ เด็ดขาดอยู่แล้ว จะไม่เหมือนกับตัวปรียาซึ่งเป็นผู้หญิงด้วย เป็นคนเหนือด้วย เขาจะอ่อนไหวและแสดงออกได้มากกว่าเรา ตัวปรียาเขามาทำงานกับเสี่ยเล้งที่ใต้ ทำไปทำมาก็ตกลงแต่งงานกัน แต่เลือกมาแต่งที่เชียงใหม่แทน เสี่ยเล้งก็ต้องขนครอบครัวขึ้นมาไกลถึงเชียงใหม่ด้วย เรื่องราวก็จะเกิดขึ้นที่นี่ทั้งหมด
เรื่องนี้นิ่งมาก จนนักแสดงบอกกันว่าเจมส์นิ่งมาก อันนี้นิ่งสุดในเรื่องที่ได้รับบทมาเลยหรือเปล่า?
ใช่ น่าจะได้บทที่นิ่งเงียบที่สุดแล้วตั้งแต่รับงานมา เพราะว่าความจริงแล้วเป็นความต้องการของผู้กำกับ อยากให้คนดูลุ้นไปกับตัวแสดงตัวอื่นๆ หรือว่าตัวแสดงที่เป็นเสียเล้งเองด้วยว่าเขาจะตัดสินใจยังไงกับเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นกับเขา เพราะฉะนั้นวิธีการแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่แล้วจะต้องกลืนความรู้สึกให้หมดนะครับ ด้วยคาแรกเตอร์แล้ว ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตามที่เสี่ยเล้งก็จะไม่แสดงอาการ อย่างเจอเรื่องราวที่ต้องโมโห หรือว่าต้องอะไรก็ตาม แม้จะเจ็บปวดหรือรุนแรงแค่ไหนแต่ก็ต้องกลืนความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ข้างใน แต่สิ่งที่พูดออกไปหรือว่าแววตาที่ส่งออกมามันต้องมีความอำมหิตซ่อนอยู่เล็กน้อย เพื่อเราจะได้เห็นการตัดสินใจของตัวเสี่ยเล้ง ว่าเขาจะตัดสินใจยังไงกับเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นทั้งหมด กับเหตุการณ์ที่เขาต้องรับฟังรับรู้ทั้งหมด มันจะไปบีบเกร็งคนดูเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจ
ทำไมถึงตอบรับเล่นเรื่องนี้กับมะเดี่ยว
มันเริ่มต้นมาจากว่า โดยส่วนตัวของผมแล้วผมชอบผลงานของมะเดี่ยวอยู่แล้ว ติดตามเขามาแล้วหลายเรื่อง แล้วก็มีโอกาสได้ร่วมงานกันในละครเรื่องวนาลีที่ออกอากาศจบไป มะเดี่ยวก็คงเห็นวิธีการแสดงของเราแล้ว เห็นการทำงานเราแล้วว่าเป็นยังไง วันนึงมะเดี่ยวก็บอกว่ามีบทภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เขาเขียนเอง อยากให้พี่เจมส์มาลองเล่นดู เราก็เอาเลยไม่อ่านบทด้วย (หัวเราะ) ก็สนใจทันทีเลย มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยเป็นเพราะความชื่นชอบส่วนตัวล้วนๆ แล้วตัวเองไม่ได้เล่นภาพยนตร์มา 10 กว่าปีแล้วครับ ก็เลยคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่เล่นครับ
พอหลังจากที่รับเล่นแล้ว อ่านบทแล้วรู้สึกยังไงในตอนนั้น
อ่านบทครั้งแรกก็อ่านผ่านๆ ก่อน อ่านผ่านๆ ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่พออ่านรอบที่ 2-3 เริ่มใส่ใจกับรายละเอียดของแต่ละบรรทัดของแต่ละประโยค เริ่มใส่ใจแต่ละเหตุการณ์ เลยรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่เล่นยากมากอีกตัวหนึ่งเท่าที่เคยผ่านบทมา ไม่ว่าเราจะเคยเล่นบทเป็นสาวประเภทสอง หรือไปเป็นคนแก่ ไปเป็นตัวร้ายอะไรก็ตาม มันก็ยังเป็นการแสดงที่คิดแล้วแสดงออกเลย ออกมาจากร่างกาย ออกมาจากข้างใน
แต่ตัวละครตัวนี้แสดงออกทันทีเลยไม่ได้ คิดแล้วต้องเก็บไว้ข้างในแล้วแสดงออกมาแค่นิดเดียว แต่ไอ้นิดเดียวนั้นเป็นอะไรที่แบบไม่ว่าจะเป็นคนดู หรือตัวละครที่เข้าร่วมด้วย เขาจะรู้สึกว่า “เฮ้ยคิดไรอยู่ว่ะ” ทำไมถึงเป็นแบบนี้ พูดกันออกมา เคลียร์กันเลยดีกว่าไหมอะไรประมาณนี้ ซึ่งอันนี้มันค่อนข้างยาก เมื่อไรที่รับการแสดงที่พูดน้อยจะเล่นยาก แต่ว่าเราก็พยายามไม่คิดว่ามันยาก วิธีการก็คือว่าปล่อยตัวเองไปตามบทละครเรื่องนี้ ปล่อยตัวเองไปตามเหตุการณ์ที่เจอ ปล่อยตัวเองไปตามคู่แสดงของเรา มันก็จะเป็นไปเองตามอัตโนมัติ อ่านบทเสร็จแล้วก็เริ่มอินกับมันขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมาเล่นแล้วก็ยิ่งต้องทำการบ้านยิ่งต้องเข้าใจบทมากยิ่งขึ้น
ร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งนี้แตกต่างหรือน่าสนใจยังไงบ้าง
ผมชอบเขานะครับสำหรับตัวมะเดี่ยว ตัวเขาเองเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจในเรื่องของบทสูงนะครับ จุดแข็งของมะเดี่ยวอยู่ตรงที่เขาเป็นคนทางบท และวิธีการเขียนบท หรือว่าวิธีการเล่าเรื่องต่างๆ นานา บ้างทีมันดูเหมือนเรียบง่ายเหมือนไม่มีอะไร แต่ในความไม่มีอะไรจะซ่อนคมดาบไว้ตลอดในแต่ละฉาก แต่ละซีนหรือในแต่ละประโยค ซึ่งมันเป็นวิธีการที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่สามารถจะดูแล้วเข้าใจไปได้ง่ายๆ นะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเด็กรุ่นใหม่เขาจะถูกซึมซับสิ่งดีๆ สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อผ่านทางบท
ในส่วนเรื่องการทำงานมะเดี่ยวก็เป็นคนที่เฮฮา สนุกสนานตามประสาตามวัยของเขา เขาจะมีแก๊งค์ มีเพื่อนแซวเพื่อนเม้าท์เหมือนวัยรุ่นทั่วไปคนนึง เขาก็จะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทีมงานได้ตลอดเวลา ตัวผมเองก็ชอบแซวเขาเลยครับว่าจะเอายังไงแน่ยะ (หัวเราะ) ชอบแซวมะเดี่ยว เขาเป็นน้องที่น่ารักอีกคนหนึ่ง แล้วก็เป็นคนที่เก่ง ที่สำคัญคือเขาเป็นนักดนตรี เวลาเราคุยกันเรื่องดนตรีหรือว่าเราคุยกันอะไรต่างๆนาๆ มันจะรู้สึกเลยว่าเราเป็นคนประเภทเดียวกัน รักในเสียงดนตรี เข้าใจกันง่ายมากขึ้น เขาไม่ได้วางตัวว่าเป็นผู้กำกับยิ่งใหญ่อะไร เหมือนเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องอะไรอย่างนี้มากกว่า ถึงแม้ว่าการทำงานจะมีจริงจังบ้างอะไรบ้าง แต่มันก็เป็นการทำงานกันจริงๆ ไม่ได้มามีบทบาทอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเข้ากันไม่ถึง สบายมากเลยทำงานกับมะเดี่ยว
แล้วนี่เป็นครั้งแรกไหมที่ได้ร่วมงานกับนุ่น (ศิรพันธ์ วัฒนจินดา)
ใช่ครับ เป็นครั้งแรกที่ร่วมงานกับนุ่น ผมว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถอีกคนหนึ่งเลยล่ะ ซึ่งเราไม่ค่อยรู้เพราะว่าเราอาจจะไม่ค่อยได้ติดตามผลงานของน้องเขาเท่าไหร่นัก อันนี้ต้องยอมรับตรงๆ ว่าแทบไม่ได้ติดตามงานของนุ่นเลย แต่ว่ารู้จักว่าน้องว่าเขาเป็นคนสวยคนหนึ่งซึ่งน่ารัก มีแฟนแล้ว (หัวเราะ) ก็น้องเขาเป็นคนน่ารักดีครับ แต่ว่าพอได้แสดงร่วมกับเขาแล้วมีความรู้สึกว่า เนื่องจากเรามีโอกาสได้ทำงานกับนางเอก และนักแสดงผู้หญิงมาหลายคน แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็จะมีความเข้าใจต่างกัน แต่ว่าผมมองว่าเขาเป็นคนที่มีความเข้าใจด้านการแสดงสูงทีเดียว สามารถที่จะแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วก็มีความลึกในการแสดงคือ เขาทำการบ้านค่อนข้างเยอะ แล้วก็เวลาที่เขาเล่นมีความรู้สึกว่าเขาสามารถที่จะสวมวิญญาณของตัวละครตัวนั้นได้อย่างเต็มที่ แล้วเล่นแล้วดูน่าสนใจ
นุ่นเขาจะใส่ใจกับรายละเอียด และค่อนข้างจะอ่อนไหวกับเนื้อหาของเรื่อง ว่าง่ายๆ คือเขาจะอินกับมันจะทุ่มเทกับบทกับการทำงาน อย่างเขาเคยบอกว่ามีปัญหาเรื่องการพูดสำเนียงของคนเชียงใหม่ เขาก็มีความพยายามมาก ว่างก็จะเห็นนั่งติวคำเมืองกับน้องพิช ใครมาที่กองก็จะเห็นสองคนนี้นั่งพูดคำเมืองกันสองคนตลอดเวลา เห็นความพยายามของเขาเลยครับ
ร่วมงานกับน้องพิช (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล)ล่ะเป็นยังไงบ้าง
จริงๆ ณ วันนี้ยังไม่ได้เข้าฉากกับน้องพิชอย่างจริงจัง จะมีเข้าฉากด้วยกันก็นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่เข้าฉากอะไรกันมาก แต่ผมเห็นพิชมาตั้งแต่เล่นภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามแล้วนะครับ ก็คิดว่าเขาเป็นเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งมีความตั้งใจในการทำงานค่อนข้างสูง อย่างที่บอกผมสังเกตเวลาพักกองเขาจะนั่งอ่านบท เขาจะนั่งทำการบ้านดูว่าเขาจะเล่นในฉากต่อไปยังไง อันนี้ก็เป็นแบบอย่างที่ดีของนักแสดงรุ่นใหม่ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเวลาที่เขาแสดงก็รู้สึกกับบทนั้นจริงๆ เขาก็เต็มทีกับมันจริงๆ เขาจะไม่ไปไหนห่างจากกองถ่ายเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีฉากที่ต้องเข้า แต่เขาจะถือบทอ่านบทอยู่ใกล้ๆ มะเดี่ยว ไม่เข้าใจอะไรตรงไหนก็ถามตลอด ขยันมากครับ ผมว่าน้องพิชไปได้อีกไกลเลยทีเดียวสำหรับการเล่นภาพยนตร์ และเท่าที่ทราบมาคือพิชก็เป็นนักร้องนักดนตรีนักแต่งเพลงด้วย ความสามารถเขาค่อนข้างหลากหลาย เลยทำให้รู้สึกว่าน้องคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถ ทำอะไรก็ดูตั้งใจกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เสมอ
เรื่องนี้ได้ทำงานกับอาตุ่ย (พุทธชาต พงษ์สุชาติ) ด้วย เป็นยังไงบ้างฮากันตลอดเลยไหมในการทำงานด้วยกัน
(หัวเราะ)กับอาตุ่ยหรือครับ ผมไม่เคยดูอาตุ่ยแสดงจริงๆ เลย เห็นแต่บทบาทเป็นดีเจ พิธีกร นี่ถือเป็นครั้งแรก เลยได้รับรู้ว่าเออจริงๆ แล้วอาตุ่ยเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านการแสดงอยู่ไม่น้อยเลยนะ ทั้งเรื่องของเสียง ทั้งเรื่องของการแสดงออกทางสีหน้าแววตา คือเขาเป็น entertainer คนหนึ่งเลย บทตัวน้าอรที่เขาเล่น ผมว่านี้แหละเป็นสีสันที่น่าสนใจมากของภาพยนตร์เรื่องนี้ ในบทน้าอรที่อาตุ่ยรับคือเป็นบทหนึ่งซึ่งผมคิดว่าน่าจะเรียกรอยยิ้มจากคนดูได้ หลังจากที่เรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะมีความเครียด ความซึ้งความเศร้า ความอะไรก็ตามที แต่น้าอรโผล่มาก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูมีสีสัน อาตุ่ยเป็นคนหนึ่งซึ่งเป็นนักแสดงที่สามารถมาก ดูเผินๆ เหมือนจะมากระชากอารมณ์หนังให้สนุกสนาน แต่จริงๆ แล้วอาตุ่ยเขาเล่นแบบอินมาก เขาสามารถทำให้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อหาได้อย่างแนบเนียน บนความสนุกเขาก็มีความห่วงหาห่วงใยหลาน หรือห่วงกับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นตรงนั้นอย่างแท้จริง เขาก็ไม่ใช่ว่าจะเอาฮาอย่างเดียว อาตุ่ยเล่นได้สมกับบทที่ได้รับเลยล่ะครับ
-
เรื่องนี้ทุกคนพูดภาษาเหนือกันหมด แล้วเสี่ยเล้งเป็นคนใต้มีต้องพูดใต้กับเขาบ้างไหม
พูดครับ ภาษาใต้ในเรื่องนี้ใช้สำเนียงไปทางจังหวัดภูเก็ต ซึ่งแตกกต่างจากบ้านเกิดของผมที่อยู่นครศรีธรรมราช จะต่างกันตรงเสียงสูง-ต่ำนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากมาย ด้วยการที่ได้ใช้ภาษาใต้กลับทำให้รู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นภาษาถิ่นของเราเอง ก็ได้พูดเพราะในเรื่องเสี่ยเล้งยกญาติ พ่อแม่พี่น้องขึ้นมาจากใต้กันหมดเพื่อมางานแต่งงานที่จัดกันที่เชียงใหม่ เวลาที่แม่มาหรือคุยกับญาติเราก็ต้องใช้ภาษาใต้กันเพื่อให้มันดูเหมือนจริง เรื่องพูดใต้เราพูดใต้ได้อยู่แล้ว เวลาที่นักแสดงคนอื่นเขาพูดเหนือกันเราก็ฟัง แล้วก็พยายามทำความเข้าใจว่าเขาพูดอะไรกัน จำบ้างไม่จำบ้าง แต่ว่าอาตุ่ยนี่สิเป็นคนนึงเลยที่พูดได้ทั้ง 2 ภาษา เป็นเหมือนโรงเรียนสอนภาษาเลย (หัวเราะ) ก็สนุกดีครับ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลายๆ อย่างในความเป็นเชียงใหม่ จากเพื่อนๆ นักแสดง จากสถานที่ จากเหตุการณ์ที่เราต้องถ่ายทำกัน
แล้วเวลาที่ใต้มาเจอกับเหนือความสับสนความมันส์มันก็จะคละกันไป หันไปทางนั้นทีนี่ก็พูดเหนือใส่ หันไปทางโน้นทีนี่ก็พูดใต้อีก มันก็จะแปลกไปอีกแบบ เป็นสีสันของเรื่องนี้ที่สนุกดีครับอยากให้ติดตามดูกัน
มีฉากไหนที่เล่นแล้วประทับเป็นพิเศษสำหรับเรื่องนี้
ฉากประทับใจเป็นฉากที่ไม่สามารถจะเล่าให้ฟังได้ แต่ประทับใจในการแสดงและเรื่องราวของมันมากว่า นุ่นเขาจะเล่นได้แบบเข้าถึงบทบาทมากๆ บอกใบ้ได้นิดนึงว่าเป็นฉากที่ตัวปรียามาสำนึกผิดกับเสี่ยเล้ง แต่รายละเอียดไปดูเอาว่าสำนึกผิดจากเหตุการณ์อะไรยังไง แล้วหนทางออกของทั้งคู่จะเป็นยังไง มันเป็นซีนที่คนดูจะต้องลุ้นเอาเองว่าเสี่ยเล้งจะทำให้มันออกหัวหรือออกก้อย ชีวิตคู่จะเป็นยังไงกันต่อไปสำหรับสองคนนี้ มันเป็นฉากที่เนื้อหากินอารมณ์มาก มันบีบคนดู มันลุ้นอยู่อย่างเกร็งๆ
ในเรื่องนี้มะเดี่ยวหยิบยกมาจากประสบการณ์ของตัวเองที่เขาอยากจะถ่ายทอดออกมา แล้วความรักความทรงจำของเจมส์ที่อยากจะพูดถึงมีบ้างไหม
เรื่องที่เรากำลังแสดงอยู่ จริงๆ มันคล้ายชีวิตจริงผมมากเลย ก็คือว่าเรื่องราวของความรักต่างๆ บางครั้งเราก็ไม่ได้อยู่กับคนที่เพอร์เฟ็คที่สุด แต่ว่าเราอยู่กับคนที่เรารู้แล้วว่าจุดด้อย ข้อผิดพลาดเขามีอะไรบ้าง มันดีกว่าเราจะไปอยู่กับคนที่เราไม่รู้เลยว่าเขามีจุดด้อยตรงไหน ไม่เคยรู้แล้วมารู้ตอนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วยกันแล้ว จริงๆ เป็นชีวิตจริงของทุกคนแหละผมว่า บทบาทของตัวเสี่ยเล้งเอง ผมว่ามีความใกล้เคียงกับผมมาก ตัวผมเองเวลาอยู่ต่อหน้ากล้อง อาจจะดูเป็นคนสนุกสนานเฮฮา แต่ชีวิตจริงก็เป็นนิ่งๆเหมือนเสี่ยเล้งไง เลยมีความรู้สึกว่าพอได้เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วมันหวนให้มองตัวเอง หวนให้คิดถึงเรื่องราวตัวเองหลายเรื่อง ทั้งเรื่องความรัก เรื่องของชีวิตของตัวเอง ก็เลยคิดว่าบางครั้งเหมือนเราไม่ได้แสดงอะไร (หัวเราะ) เดินเข้าฉากก็เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นเสี่ยเล้งเท่านั้นเอง
นิยามคำว่ารักของเจมส์มีไหม เป็นยังไง
ความรัก คือ เหมือนกับว่าเราสามารถที่จะยอมรับทุกอย่างของเขาได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ บางวันที่อาจจะไม่สวยเลย หรือบางวันเขาอาจจะประสบอุบัติเหตุเป็นง่อย เราต้องเลี้ยงเขา หรือว่านิสัยโกรธ หงุดหงิดง่าย นิสัยที่คนอื่นรับไม่ได้ แต่คนสองนี่สามารถรับกันได้ สิ่งนี้แหละผมเรียกว่าเป็นความรัก มันคือการตกลงกันของคนทั้งสอง มันคือการลงตัวกันของคนทั้งสอง การเติมเต็มให้กันและกัน
เรื่องนี้พูดถึงการแต่งงาน การที่คนสองคนที่ต้องตัดสินใจมาเริ่มต้นใช้ชีวิตด้วยกัน มุมมองในเรื่องแบบนี้สำหรับเจมส์มีความเห็นยังไงบ้าง
คนที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน ผมมีความรู้สึกว่า 1.มันไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าคิดเพียงแต่ว่าเธอสวยจัง ฉันหล่อจัง แล้วเราก็รักกันมาก แต่งงานกันเถอะจบ ส่วนใหญ่จะประสบปัญหาเลิกกัน จะดีในช่วงไม่กี่เดือนแรก ผมคิดว่ามันควรจะต้องมีการคุยและไม่มีคำว่าตัวตนของแต่ละฝ่าย ไม่มีคำว่าไอ (i) ไม่มีคำว่ายู (You) แต่มันต้องมีคำว่าวี (we) หมายความต้องลด i มาครึ่งหนึ่ง ลด you มาครึ่งหนึ่ง แล้วมาเป็น we เพราะมันไม่มีใครหรอกครับที่สองคนอยู่ด้วยกันแล้วจะลงตัว100% โดยที่ไม่มีอะไรกระทบกระทั่งกันไม่มีแน่นอน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะลดการกระทบกระทั่งกันได้ คือ ต้องลดตัวของแต่ละฝ่ายลง ไม่ใช่ว่าฉันจะเป็นแบบนี้ ฉันจะไม่เปลี่ยน เธอต้องเปลี่ยน you ก็บอกว่าฉันจะเป็นอย่างนี้ฉันยืนยัน อยากจะชอบฉันก็เป็นตามฉัน ไม่มีทาง 100 คู่เลิกกัน 100 คู่ถ้าเกิดคิดแบบนี้ หรือถ้าไม่เลิกกันก็ใช้ชีวิตอย่างขมขื่น ผมอยากให้คู่รักทุกคู่นึกถึงคำว่าเรา อย่านึกถึงคำว่าฉัน อย่านึกถึงคำว่าเธอ นึกถึงแต่คำว่าเรา เพราะถ้าเกิดมีคำนี้เมื่อไร มันสามารถทำให้เราลดทิฐิ ลดตัวตนลงเพื่อให้เข้ากับอีกฝ่ายได้
Home หรือบ้านในความหมายของเจมส์คืออะไร
ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้นึกถึงสิ่งก่อสร้าง ไม่นึกถึงอิฐ ไม่นึกถึงอะไรเลย นึกถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์หรือจะเป็นสิ่งมีชีวิตก็ได้ ที่มีความสัมพันธ์กันโดยตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปนะครับ มีความอบอุ่น มีความโหยหาอาทร มีความคิดถึงกัน มีการดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งเหล่านี้มันเรียกว่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สร้างให้กับมนุษย์ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ผมเลยคิดว่าคำว่า Home มันน่าจะเป็นสิ่งที่พูดถึงความสุขที่มนุษย์จะได้รับจากคนที่เราอยู่ด้วย
คิดว่าคนที่ดูหนังเรื่องนี้จะได้อะไรกลับไป?
ผมว่าการจะเสียสตางค์100 กว่าบาทมาเข้าชมความบันเทิงสักอย่างหนึ่ง นอกเสียจากได้เสียงหัวเราะและรสชาติของการดูหนังแล้ว ผมว่าหากเราได้ความรู้สึกดีๆ ที่มันกระแทกใจ หรือมันสร้างความสุขในใจกับไป มันไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดูหนังเรื่องนี้ ตอบไม่ได้ว่าใครจะได้อะไรกลับไปบ้างเพราะภาพยนตร์แต่ละคนดูก็คิดคนละแบบ แต่สิ่งที่คิดว่าเกิดแน่นอนคือ ความรู้สึกประทับใจ มันจับใจ มันไม่รู้ว่ากระทบชีวิตช่วงไหนของแต่ละคน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าหากว่ามีโอกาสอย่างให้มาชม สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในสถานะที่เรียกว่าโฮมหรือบ้าน ที่ไม่ว่าจะเป็นแฟนหรือครอบครัว หรือจะเป็นเพื่อนก็ตามที ผมอยากให้จูงมือหรือพากันมาดูและเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ กลับออกไป และใช้มันอย่างมีค่าที่สุด
สุดท้ายแล้วอยากบอกอะไรกับแฟนหนังที่รอคอยการแสดงครั้งนี้ของเจมส์บ้าง
ครับ ก็ขอฝากภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์อีกเรื่องในรอบ 10 กว่าปีของผม ในการที่กลับมาแสดงอีกครั้งหนึ่ง ผมคิดว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนดูทุกๆ คน และก็ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถทำให้ทุกคนนอกจากจะมีความสุข จากการชมภาพยนตร์แล้ว ยังจะได้สิ่งที่เรียกว่าความสุขจากความรู้สึกของคำว่า Home อยู่ในใจ แล้วก็ทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนกับว่า เราจะสนใจสิ่งที่อยู่รอบข้างเรามากขึ้น เราจะสนใจคนที่อยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น ยังไงก็ฝากภาพยนตร์เรื่อง Home เอาไว้อีกเรื่องนะครับ
-
เจมส์ห่างหนังมากกว่า 10 ปี แสดงฝีมือเต็มที่ ใน Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ

กว่าจะได้กลับคืนสู่จอเงินก็ปาไปเป็น 10 กว่าปีแล้ว สำหรับพระเอกตัวสูงหน้าคมเข้มอย่าง “เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์” เพราะก่อนหน้านี้คิวแน่นทั้งผลงานเพลงเบื้องหน้าเบื้องหลัง, งานละครทางโทรทัศน์, งานละครเวที รวมไปถึงต้องบริหารร้านข้าวมันไก่อีกหลายสาขา แต่หลังจากล่าสุดได้จับมือกันทำงานกันกับผู้กำกับมือทองอย่าง “มะเดี่ยว” ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” ในละครเรื่องวนาลีแล้ว ก็ติดอกติดใจในฝีมือการแสดงและกำกับของกันและกัน พอมาถึงคิวได้ฤกษ์เปิดกล้องต้องหานักแสดงมาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ หนังโรแมนติก-ดราม่าเรื่องใหม่ของค่ายสหมงคลฟิล์มแล้ว มะเดี่ยวเลยรีเควสขอเจมส์เรืองศักดิ์มารับบทเป็น “เสี่ยเล้ง” หนุ่มเจ้าของธุรกิจใหญ่โตจากเมืองภูเก็ตมาเล่นประกบคู่เป็นว่าที่เจ้าบ่าวของสาว “นุ่น” ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ในครั้งนี้ซะเลย
ซึ่งบทที่เจมส์ได้รับในครั้งนี้เป็นหนุ่มมาดขรึมจากใต้ ไม่ค่อยพูดหรือแสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน ด้วยความที่เป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่ยังหนุ่มต้องคุมคนงานมากมาย เด็ดขาด กล้าตัดสินใจในทุกเรื่อง เลยทำเอา “ปรียา” (รับบทโดยนุ่น) ว่าที่เจ้าสาวถึงกับกังวลและสับสนไปหมด และด้วยความที่เป็นหนุ่มจากใต้เรื่องนี้ก็จะได้เห็นเจมส์พูดภาษาท้องถิ่นกันบ้าง ในขณะที่งานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมาจัดที่เชียงใหม่ ตัวละครอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนุ่น ศิรพันธ์, อาตุ่ย พุทธชาด, น้องพิช วิชญ์วิสิฐ หรือลิฟท์ สุพจน์ ที่มาร่วมเข้าฉากด้วยจะพูดภาษาเหนือกันหมดก็ทำให้ภาพยนตร์กลับดูมีสีสันที่สนุกสนานไปอีกแบบ
งานนี้เจมส์ เรืองศักดิ์ ยอมรับเลยว่าตัดสินใจได้ทันทีโดยไม่ต้องอ่านบทเลย แถมยังเต็มที่กับการแสดงในครั้งนี้มาก และดีใจที่ได้กลับมาทำงานด้านภาพยนตร์อีกครั้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา แล้วที่ดีใจสุดๆ คือครั้งนี้ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนเก่าอย่างลิฟท์ สุพจน์ จันทร์เรือง เพื่อนร่วมรุ่นการแสดงที่ไม่ได้ทำงานร่วมกันมานานมากตั้งแต่สมัยเข้าวงการใหม่ๆ ถือว่าเป็นฤกษ์ดีและเป็นจังหวะดีที่ทุกอย่างลงตัวจัดคิวมาเล่นเรื่องนี้ได้อย่างสบายใจ
“โดยส่วนตัวแล้วผมชอบผลงานของมะเดี่ยวอยู่แล้ว แล้วก็มีโอกาสได้ร่วมงานกันก่อนหน้านี้ในละครเรื่องวนาลี พอวันนึงมะเดี่ยวมีงานภาพยนตร์ เขาก็บอกว่าอยากให้พี่เจมส์มาลองดู ผมก็บอกว่าไม่ลองแล้วเล่นเลย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ได้อ่านบทเลยด้วยซ้ำ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยเป็นความชื่นชอบส่วนตัวล้วนๆ แล้วก็ไม่ได้เล่นหนังมากว่า 10 ปีแล้ว เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธมะเดี่ยว ทุกอย่างตอนนี้ลงตัวหมดพอดี
แล้วกลับมารับบทครั้งนี้ได้ร่วมงานกับเพื่อนเก่าอย่างลิฟท์ด้วย ได้ทำงานได้เจอกันตลอดมันเหมือนเราย้อนวันเวลากลับไป มีความสุขและสนุกดีครับ เรื่องนี้ได้มาเล่นคู่กับน้องนุ่นศิรพันธ์ด้วย ซึ่งน้องเขาฝีมือด้านการแสดงดีมาก ถึงแม้ว่าบทในครั้งนี้ของผมจะไม่ค่อยได้พูดอะไรเพราะต้องเล่นเป็นคนเงียบขรึมมากๆ เป็นคนดุ และต้องเก็บงำความรู้สึกไม่ว่าจะเจ็บปวดหรือมีความสุขแค่ไหนเอาไว้ภายในก็ตาม แต่ความเงียบเหล่านี้แหละที่ทำให้เราต้องมีสมาธิกันบทของเสี่ยเล้งเป็นอย่างมาก ซึ่งน้องนุ่นก็ช่วยได้เยอะเวลาส่งความรู้สึกส่งพลังในการแสดงออกมาถึงตัวเรา อยากให้แฟนๆ ติดตามผลงานครั้งนี้กันครับ นานๆ ได้เล่นภาพยนตร์ที ผมก็เต็มที่กับผลงานทุกชิ้นนี่ก็เป็นอีกชิ้นงานนึงที่อยากให้ทุกคนได้ดูกันครับ”
พบกับฝีมือการแสดงเฉือดเฉือนอารมณ์ของว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวคู่นี้ได้ในภาพยนตร์เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
-
“มะเดี่ยว ชูเกียรติ” เปิดตัว “รัก” ครั้งใหม่ ดึงนักแสดงคุณภาพ พร้อมปั้นหน้าใหม่ สู่ “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ”

สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับ สตูดิโอคำม่วน จัดงานเปิดตัวภาพยนตร์ “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ภาพยนตร์รักโรแมนติก ที่ผู้กำกับ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล เต็มใจนำเสนอ พร้อมนำทีมนักแสดงฝีมือคุณภาพอย่าง เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา, ลิฟท์-สุพจน์ จันทร์เรือง, พิช-วิญช์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล และ อั้ม-ณัฐพงษ์ อรุณเนตร์ รวมถึงนักแสดงหน้าใหม่อย่าง มาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล, แจ็ค-กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา ในวันพิเศษที่ 4 ปีมีครั้ง 29 กุมภาพันธ์ 2555 ณ ลานดิสคัพเวอรี่ สยามดิสคัพเวอรี่ ที่ผ่านมา
ณ ลานดิสคัพเวอรี่ สยามฯแห่งนี้ ยังเป็นที่จดจำในใจหลายๆ คนกับภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม และยังคงอยู่ในใจหลายๆ คนมาตลอด 4 ปี โดยผู้กำกับคนเก่ง มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ขอเลือกวันพิเศษและสถานที่แห่งความทรงจำครั้งนี้ จัดงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องล่าสุด “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” พร้อมนำทีมนักแสดงขึ้นร่วมพูดคุยบนเวที โดยมี เจมส์-เรืองศักดิ์, นุ่น-ศิรพันธ์, ลิฟท์-สุพจน์, พิช-วิชญ์วิสิฐ, อั้ม-ณัฐพงษ์ และนักแสดงหน้าใหม่เตรียมแจ้งเกิด มาร์ช-จุฑาวุฒิ กับ แจ็ค-กิตติศักดิ์ เล่าถึงความสนุกสนานเบื้องหลังในกองถ่าย ซึ่งผู้กำกับยังกล้าการันตีว่าแค่มาดูการแสดงในเรื่องนี้ก็คุ้มแล้ว เพราะนักแสดงแต่ละคนล้วนมีฝีมือที่ดีทั้งนั้นโดยเฉพาะ พี่ต่าย-เพ็ญพักตร์ ศิริกุล ที่ถึงแม้จะมาร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์ครั้งนี้ไม่ได้ แต่ก็อดที่จะกล่าวถึงและชื่นชมในการแสดงครั้งนี้เสียไม่ได้ หรือนักแสดงหน้าใหม่ทั้ง 2 คน ที่ถูกจับเข้าคลาสการแสดงอย่างหนักหนาสาหัสอยู่ไม่น้อย เชื่อมั่นว่าภาพยนตร์รักโรแมนติกเรื่องนี้จะทำให้หลายคนไม่ได้รู้จักแค่รัก แต่จะรู้สึกถึงรักมากขึ้นเต็มหัวใจ นอกจากนี้ยังอบอุ่นไปด้วยเสียงเพลงเพราะๆ จากศิลปิน วง 8 ไม้เท้า (ศิลปินใหม่แกะกล่องจากสตูดิโอคำม่วน) ตามด้วย วงเสือโคร่ง Ft. แป้งโกะ กับเพลง “ผ่านเลยไป” และ วงออกัส กับเพลง “วันที่สวยงาม” เพลงประกอบภาพยนตร์ในเรื่องนี้ เรียกเสียงกรี๊ด เสียงปรบมือดังทั่วทั้งลานดิสคัพเวอรี่
ปิดท้ายด้วยการได้รับเกียรติจาก คุณอวิกา เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด บ.สหมงคลฟิล์ม, คุณจาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์, คุณชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย บ.สหมงคลฟิล์ม และ ตัวแทนจาก โอเรียนไทย แอร์ไลน์ ผู้สนับสนุนภาพยนตร์ ร่วมถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกกับทีมนักแสดง ผู้กำกับ และศิลปินในครั้งนี้
Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ภาพยนตร์รักโรแมนติก ผลงานกำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่จะทำให้ทั้งหัวใจ…รู้สึก และสัมผัสถึง “รัก” ไปพร้อมๆ กัน 19 เมษายนนี้ หาคำตอบด้วยหัวใจคุณเอง
-
“นุ่น ศิรพันธ์” เตรียมสละโสด ยอมรับสับสนหากต้องเลือกรัก ระหว่าง “เจมส์ เรืองศักดิ์” กับ “ลิฟท์ สุพจน์”


ตอนนี้กำลังดังเปรี้ยงปร้างกับบทของ “อีแพง” ในเรื่องบ่วง ละครย้อนยุคทางโทรทัศน์ แต่อีกด้านหนึ่งของ “นุ่น” ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ก็กำลังจะสละโสดเข้าพิธีวิวาห์กับแฟนหนุ่มชาวใต้หน้าตาคม เจ้าของธุรกิจใหญ่โตจากเมืองภูเก็ตเหมือนกัน ก็อย่าเพิ่งตกใจอะไรไปที่ไม่เคยมีข่าวเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน เพราะนุ่นเพิ่งจบคิวปิดกล้องไปแล้วสำหรับบทบาทของ “ปรียา” สาวชาวเชียงใหม่ ขี้ระแวงที่กำลังสับสนในการใช้ชีวิตคู่ และกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับหนุ่มใต้เจ้าของธุรกิจใหญ่อย่าง “เสี่ยเล้ง” ที่รับบทโดย “เจมส์” เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ในภาพยนตร์แนวโรแมนติก-ดราม่าการันตีคุณภาพ เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” จากค่ายสหมงคลฟิล์ม ที่กำกับโดย “มะเดี่ยว” ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
แต่ปรียา (นุ่น) เกิดมีอดีตกับอีกหนุ่มรุ่นพี่ชื่อว่า “พี่เป็ก” รับบทโดย “ลิฟท์” สุพจน์ จันทร์เจริญ ที่ฝังใจมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน บวกกับเพื่อนๆ รอบตัวล้วนประสบความล้มเหลวในชีวิตคู่กันแทบทั้งนั้น ในวันที่เรียกว่าเกือบจะได้เป็นเจ้าสาวอย่างเต็มตัว กลับไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะรับมือกับการใช้ชีวิตคู่ได้หรือไม่ ยิ่งคืนก่อนแต่งงานแฟนเก่ากลับมาทำให้ปั่นป่วน แถมน้องชายตัวดีอย่าง “เลี่ยม” (รับบทโดย พิช วิชญ์วิสิฐ) มารู้ความลับนี้เข้า ปรียาถึงกับสติแตกกลายเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝน งานแต่งที่เลี่ยมอุตส่าห์จัดให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของพี่สาวสุดเลิฟจะล่มแหล่ไม่ล่มแหล่อยู่ตรงหน้า ทำเอาญาติพี่น้องและพ้องเพื่อนลุ้นกันแทบตัวโก่ง เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนสาวคนนี้จะกลายเป็นหม้ายขันหมากอีกคนหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้ว่าที่เจ้าสาวเจ้าของงานแต่งเล่าถึงคาแรกเตอร์ในเรื่องนี้ให้ฟังว่า
“ในเรื่อง โฮม นุ่นรับบทเป็นปรียาค่ะ โดยพื้นเพแล้วเป็นคนเชียงใหม่ เกิดและเรียนหนังสือที่เชียงใหม่มีสังคมมีเพื่อน พอถึงจุดๆ นึงต้องย้ายไปเรียนที่กรุงเทพแล้วก็ไปพบรักกับเสี่ยเล้งที่เป็นเหมือนเจ้านายเราที่ภาคใต้สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับมาแต่งงานที่เชียงใหม่ด้วยกัน
ลึกๆ แล้วตัวปรียาเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะวิตกจริตง่ายกังวลคิดมากเพราะว่าโดยพื้นฐานน่าจะเกิดจากการที่อยู่กับน้องแค่สองคนแล้วโตมากับญาติๆ ก็เลยเป็นพวกที่คิดเล็กคิดน้อยคิดมากคิดฟุ้งซ่านแต่งเติมเองตลอดเลย ในเรื่องนี้ใครพูดอะไรหน่อยก็เอากลับมาคิด ใครแสดงท่าทางกริยาที่เราระแวดระวังก็เอากลับมาคิด มันจะเป็นอย่างนั้นไหม อย่างนี้ไหม มันจะดีหรอ อะไรประมาณนี้ค่ะ ไม่ค่อยจะมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจเท่าไหร่ เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง แล้วยิ่งการกลับมาเชียงใหม่ครั้งนี้ ก็มาเห็นชีวิตเพื่อนๆ ต่างมีปัญหาครอบครัวหย่าร้างกันทั้งนั้น นัดปาร์ตี้สละโสดก็ดันมาเจอแฟนเก่าก็มาหวั่นไหวอีก แถมน้องชายดันมาเจอเรากำลังสวีทกับแฟนเก่าต่อหน้าต่อตา ด้วยความที่ผิดเต็มประตู ใจปรียาก็ยิ่งเตลิด กลัวไปหมดทุกอย่างในวันแต่งงานไม่ว่าปรียาจะสวยขนาดไหนแต่หน้าตาก็อมทุกข์ตลอดเลยค่ะ เหมือนเด็กที่ไม่กล้าตัดสินใจ ที่กำลังไม่รู้จะไปทางไหนดีอะไรแบบนี้ค่ะ”
เจ้าสาวหน้าคมคนสวยจะแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนในนิยายหรือพังทลายเหมือนในละครหรือไม่ รอพบคำตอบและร่วมลุ้นไปกับพิธีวิวาห์ครั้งนี้ได้ 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
-
บทสัมภาษณ์ “มาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล จาก HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำ”

ในเรื่องรับบทเป็นใคร
ในเรื่องนี้ผมรับบทเป็น “เน” เด็กเชียงใหม่เรียนอยู่ที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย เรียนอยู่ประมาณมัธยม 6 เป็นเหมือนตากล้องประจำโรงเรียน จะมีกล้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา เหมือนเขาเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่สุงสิงกับใคร แต่ว่าเพื่อนจะเอาผลประโยชน์จากตัวเขาในเรื่องให้เขาไปถ่ายภาพให้ แต่ไม่ได้คบเพื่อความจริงใจ เนเป็นคนน่าสงสารนะ อยู่มา 6 ปีแต่ไม่เจอเพื่อนที่จริงใจเลย ถ่ายรูปให้โรงเรียนก็มีคนหมั่นไส้อีก เหมือนว่าคิดยังไงกับอะไรก็จะถ่ายรูปผ่านมันออกมา
มารับเล่นเรื่องนี้ได้ยังไง
ที่มาเล่นเรื่องนี้ได้คือวันนั้นผมสอบโอเน็ทเพิ่งเสร็จ ทางโมเดลลิ่งเรียกไปแคสติ้ง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดไรเพิ่งสอบเสร็จผมก็ไม่ได้เซ็ทเลย หัวยังเกรียนๆ อยู่เลย ผมสั้นเพิ่งโดนตัดมา ก็ไม่ได้หวังอะไรเล่นตามบทไปเขาให้เล่นอะไรก็เล่น แล้วก็มีพี่มาบอกว่าได้เล่นนะ ดีใจมากเป็นโอกาสที่ดี ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจด้วยครับ ตอนที่แคสติ้งตอนนั้นพี่มะเดี่ยวให้เล่นฉากที่ต้องมีการจับกล้อง จังหวะการเล่นการพูด มีเว้นวรรค เขาจะดูการสนทนาของเรามากกว่า ว่าตัวของเราตรงกับคาแรกเตอร์ที่พี่มะเดี่ยวต้องการหรือเปล่า ก็จะมีพี่มาบรีฟบทให้เราก็พูดคนเดียวผ่านกล้อง
คิดว่าวันนั้นเราได้เพราะอะไร
คิดว่าที่ได้เหมือนว่าเวลาผมจะพูดอะไรจะคิดก่อนพูด แต่จริงๆ ตอนนั้นต้องคิดเพราะว่าลืมบทครับ (หัวเราะ) อาจจะไม่ได้คิดจริง
ตอนนั้นพอได้เล่นแล้วได้อ่านบทเลยไหม
ก็เรื่องบท ไปถึงครั้งแรกพี่มะเดี่ยวเขานัดเวิร์คช็อปครั้งแรก จะไปฝึกการแสดงก็ยื่นบทมาให้อ่านก่อน อ่านแล้วเออ..ก็โอเคน่าสนใจดี ท้าทาย ลุคใหม่อะไรอย่างนี้ก็ลองเล่นดูครับ ได้ท้าทายตัวเองดีครับ
เข้าฉากส่วนใหญ่เป็นบทสนทนากัน มั่นใจแน่ใจว่าจะเอาอยู่ไหม
คือเป็นเรื่องแรกของทั้ง 2 คนเลย ทั้งของผมและของแจ็ค (กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณะ รับบทเป็น บีม) ผมก็ไม่ได้มั่นใจตั้งแต่เวิร์คชอป ตอนนั้นผมยังรู้สึกอยู่เลยว่าจะไหวหรือเปล่า พอมาเล่นจริงก็รู้สึกกดดันเหมือนกัน เพราะทุกสายตาจับจ้องแค่คู่นี้คู่เดียวเล่นกันอยู่ 2 คน กลัวทำพี่ๆ เขาช้าเดือดร้อน พอได้บทมาก็รีบหัดพูดก่อน ท่องบทก่อนเยอะๆ ก่อนไปเข้าฉากนี่ท่องมาก่อนทั้งวันเลย ท่องจนซึมเข้าหัวกลัวถึงเวลาแล้วแบบตื่นกล้อง แต่ก็ได้เสิรมความมั่นใจขึ้นเยอะเพราะพี่มะเดี่ยวจับให้มีการเวิร์คช็อปและก็ให้ซ้อมแอคติ้งอยู่ตลอดเวลา
จริงแล้วก่อนทำหนังมาร์ชก็ถือว่าเป็นเด็กตั้งใจเรียนคนนึงเลยไหม
ก็ก่อนถ่ายทำหนังเป็นเด็กที่ติดเรียนคนนึงเลยครับ แม่ปลูกฝังให้ตั้งใจเรียนก็ตั้งใจเรียนที่สุดแหละ เพราะมันช่วงม.6 ด้วยเอาแต่เรียนๆ จะเอนทรานซ์แล้ว ก็มีไปแคสงานโฆษณาบ้างนะ ถ่ายแบบนิดหน่อย แต่งานชิ้นใหญ่ก็งานหนังเป็นชิ้นแรกเลย ตอนนั้นเพิ่งสอบเสร็จวันเดียวเอง มาแคสหนังเรื่องนี้เลย เพิ่งผ่านทุกอย่างเลยตอนนั้นไม่รับงาน อ่านหนังสืออย่างเดียว ถ่ายแบบนิตยสารทั่วไป โฆษณา KFC เล็กๆ น้อยๆ ประปรายครับ
ตัวละครที่ชื่อว่า “เน” กับ “มาร์ช” ตัวจริงมีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างกันบ้าง
ผมว่าคนละขั้วเลยครับ เนเป็นคนพูดน้อยมากแบบคิดไรก็คิดในใจ แต่ตัวจริงผมคิดไรพูดเลยมีแต่คนด่าว่าผมพูดไรไม่คิด แบบชอบโวยวาย แต่เนเขาเป็นคนเงียบๆ แต่ผมว่ามีส่วนที่เหมือนกัน ต้องการเพื่อนที่จริงใจ แต่ผมโชคดีนะที่ผมเจอเพื่อนที่จริงใจทุกวันนี้
ในเรื่อง เน เป็นช่างภาพต้องถ่ายรูปส่วนตัวมาร์ชสนใจทางด้านนี้บ้างไหม
ก็สนใจนะครับแต่ไม่ได้เป็นมืออาชีพแบบเน เนเขาเขามีอุปกรณ์ต่อกล้องอย่างยาว แต่ตัวจริงผมมีแต่กล้องถ่ายเล่นครับ ในไอโฟนบ้างดิจิตอลตัวเล็กๆ บ้าง โปรแกรม IG อะไรแบบนี้ ไม่ได้จริงจังแต่ชอบดูรูปสวยๆ
ก่อนที่จะมาเล่นเราต้องไปเข้าคอร์สเรียนการแสดงอะไรบ้างไหม
มีครับประมาณ 5-6 ครั้ง พี่มะเดี่ยวเขาบอกว่านักแสดง 2 คนเล่นกันอยู่ 2 คน ต้องทำความคุ้นเคยกันและเล่นกันให้สนิทใจ เพราะผมกับแจ็คต้องเล่นคู่กันตลอดทั้งเรื่อง เข้าบทบ้างหรือทำกิจกรรมที่จะเพิ่มความสนิทให้กันบ้าง ผมกับแจ็คก็เลยสนิทกันเร็วเหมือนกันนะ แจ็คก็เลยเหมือนทั้งน้องเหมือนทั้งเพื่อนผมเลยครับ เพราะพี่มะเดี่ยวช่วยด้วยล่ะครับ
เคยติดตามผลงานของมะเดี่ยวมาก่อนไหม พอได้มาร่วมงานกันเห็นอะไรในตัวมะเดี่ยวบ้าง
พี่มะเดี่ยว เขาดังมานานแล้วแต่ที่ผมรู้จักก็จากเรื่อง “รักแห่งสยาม” ผมชอบหนังเรื่องนี้มากเลยนะครับ ชอบที่ตัวเนื้อหาดูแล้วอิน ผมก็ปลื้มผลงานพี่เขา แต่พอมาเจอตัวจริงตอนแรกก็เกร็งนะ แต่พอเจอเขาใจดีมากเป็นกันเองและพูดจาตรงๆ ผมชอบเขาดี
พี่มะเดี่ยวเขาเหมือนครูผม ทั้งเรื่องการแสดงและการวางตัว พี่มะเดี่ยวสอนการวางตัวเยอะมาก สมมุติว่าถ้าถ่ายหนังไปแล้วพอหนังฉายเราต้องทำตัวยังไงถึงจะเหมาะสมในวงการนี้ถ้าเรามีโอกาสก้าวเข้ามาจะวางตัวยังไงให้เดินต่อไปได้อย่างดี อันไหนไม่ดีไม่ควรทำ สอนเยอะเลยครับตอนอยู่เชียงใหม่ ผมก็ทำตัววัยรุ่นทั่วไปมีดื้อบ้าง หนีเที่ยวดอยบ้าง ก็โดนพี่เขาติๆ มาเริ่มคิดตอนนี้ก็โตขึ้นละเริ่มคิดได้ เราก็ปรับปรุงเราไปทำงานก็ควรอยู่กับงานไม่ควรจะหนีเที่ยวครับ (หัวเราะ)
ถึงตอนแสดงมีปัญหาไรบ้างไหม
มีครับตอนซ้อมพี่มะเดี่ยวยังเป็นแบบพ่อพระอยู่เลย ก็คือใจดี แต่พอเข้าบทจริงๆ หรือเราเล่นไม่ได้บางครั้งก็มีโกรธเหมือนกันนะ ผมก็ไม่กล้ายุ่งเลยครับ เขาโมโหเป็นคนละคนกับตอนซ้อมเลยครับ แสดงว่าเขาทำงานแบบจริงจังมากเลย เขาก็จะบอกว่าทำไมตอนซ้อมมันไม่ใช่แบบนี้นี่ (ทำหน้าซีเรียสเลียนแบบมะเดี่ยว) ก็มันตื่นกล้อง (หัวเราะ) บางวันถ่ายไป 10 เทคก็ยังไม่ได้ บางครั้งก็ตาปรือบ้าง พี่มะเดี่ยวก็จะถามว่าทำไมตาปรือแบบนี้ (ทำเสียงเลียนแบบมะเดี่ยว) คือทั้งเรื่องที่ผมเล่นเขาถ่ายแต่กลางคืนผมก็ปรับตัวไม่ทัน เพราะปรกติใช้ชีวิตอยู่แต่กลางวัน กลางคืนก็นอน แต่มาถ่ายเรื่องนี้ต้องตื่นตี 4 อย่างงี้ให้ผมตาโตยังไงไหว(หัวเราะ)
ฉากไหนที่คิดว่ายากสุดสำหรับมาร์ชในเรื่องนี้
ฉากสบตากันกับบีม ผมต้องแบบมีอะไรหน่วงๆ ในหัว ยากเพราะเขาต้องโคสอัพมาที่ดวงตาด้วยครับมันก็เลยยาก มันยากตรงความรู้สึกที่ถ่ายทอดผ่านดวงตาออกมา ต้องยืนนิ่งสื่อทางดวงตาออกมาอวัยวะอย่างอื่นเล่นไม่ได้เล่นได้แค่ตา พี่มะเดี่ยวบอกว่าตาต้องบอกทุกอย่าง ตาคนเราเวลาอยู่ในหนังจะเท่ากับลูกบอล ทุกคนจะมองมาที่ตาหมดเลย ก็คิดว่าฉากนั้นยากสุดนะ
เรื่องบทพูดไม่ค่อยจะมีปัญหาใช่หรือเปล่า
ตัวเนที่ผมเล่นเป็นคนพูดน้อยแต่อารมณ์มันสำคัญมากกว่า ส่วนคนพูดมากเป็นของแจ็คพูดทั้งเรื่องเลยครับ คนที่จะมีปัญหาเรื่องบทพูดน่าจะเป็นแจ็ค (หัวเราะ)
ประทับใจอะไรบ้างในเรื่องของการแสดง
ประทับใจในวันแรกเลยครับ คือฉากที่ยากที่สุดที่พี่มะเดี่ยวถ่ายวันแรก ฉากนั้นคือทุกคนตื่นเต้นมากว่าเด็กสองคนนี้จะผ่านไปได้หรอ แต่มันผ่านเร็วมากไม่กี่เทคเองทั้งกองชมว่าฉากแรกเล่นได้ดีขนาดนี้เลย มันเป็นฉากสบตา ซึ่งพี่มะเดี่ยวบอกว่าฉากนี้สำคัญนะห้ามพลาดเด็ดขาด ผมกับแจ็คนี่มองหน้ากันเลย เอาไงดีล่ะจะผ่านไหมเนี่ย ทุกสายตาก็จ้องและกดดันมาที่เราสองคน แต่พอถ่ายจริงกลับผ่านได้อย่างง่ายดาย มันเลยประทับใจมากครับที่เราสองคนทำสำเร็จ
ร่วมงานกับแจ็คเป็นอย่างไรบ้าง
อย่างแรกที่เขามีคือสัมมาคารวะผมชอบ เราห่างกันแค่ปีแต่เขานับถือผมมากผมรู้สึกได้ว่าไม่เคยได้จากใครเท่าเด็กคนนี้มาก่อน การพูดการจายกมือไหว้ เขาเป็นเด็กร่าเริงสมกับในบทเลยครับ เขาเป็นนักกีฬาด้วย อยู่วงโยธวาทิตอีกด้วย ได้ยินกิตติศัพท์มาว่าเด็กคนนี้ความสามารถเยอะมาก ร่วมงานกันเขาเก่งนะเก่งกว่าผมด้วยซ้ำ เล่นบทยาวๆ ได้ ท่องมาได้เป๊ะมาก แล้วก็พูดมากนี่เหมือนเลยครับความกระล่อนที่หนึ่ง พริ้วมาก เอาตัวรอดตลอดเจอสาวๆ ในกองกรี๊ดกร๊าด นอกเรื่องก็มีคุยกัน ก็สนิทกันไปไหนไปกันหลังจากนั้นก็แยกย้ายไปเรียนหลังจากปิดกองแต่ก็ติดต่อกันโทรถามสารทุกข์สุขดิบ ว่าแจ็คเรียนเป็นไงเห็นบอกว่าจะเข้ามหาลัยแล้วครับ
เล่าถึงการถ่ายทำช่วงเวลากลางคืนให้ฟังหน่อยว่าบรรยากาศโรงเรียนกลางคืนที่นั่นเป็นยังไงบ้าง
ตอนถ่ายทำในตอนของผมจะเป็นเนื้อเรื่องเกิดขึ้นทุกอย่างในคืนเดียวทำให้ทุกฉากต้องถ่ายทำตอนกลางคืนในรร.มงฟอร์ต ผมก็รู้จักชื่อโรงเรียนนี้มานานแล้วเป็นรร.ที่ดังและมีชื่อใน จ.เชียงใหม่ ไปถ่ายนี่ไม่เคยเจอตอนกลางวันเห็นแต่ตอนกลางคืน ไฟเปิดทั้งรร.เลยครับ เป็นรร.ที่สวยมากเลย การเตรียมตัวก่อนถ่ายซื้อเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟ ใส่ทุกอย่างจนเกือบท้องเสีย กลัวตาปรือ ทุกคนก็ยอมตากยุงรอพวกผมสองคนถ่าย บางฉากถ่ายจนฟ้าสว่างก็ยังไม่ได้เลยต้องไปถ่ายวันต่อไป รู้สึกว่าพี่ๆ ทีมงานน่ารักทุกคนยืนรอตากยุงไม่บ่นสักคำว่าพวกผมสองคนเล่นไม่ได้ ประทับใจทุกคนครับ
เรื่องราวรักในวัยเรียนในชีวิตจริงของมาร์ชล่ะมีบ้างไหม
จะเป็นความรักระหว่างเพื่อนมากกว่า ผมเรียนรร. ชายล้วนมา เรื่องเพื่อนสำคัญสุดในรร.ชายล้วนในช่วงมัธยม คนไหนมีปัญหาก็กรูกันไปช่วยหมดเลยไม่ว่าจะเป็นการเรียน เรื่องทุกเรื่อง ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ รักกันมากลืมกันไม่ได้ เพื่อนมัธยมผมว่ามันส์สุดแล้วนะ เพื่อนมหาลัยมันก็ต้องเป็นแบบสหฯก็ยังเกร็งๆ อยู่บ้างเวลาอยู่กับผู้หญิง แต่ชายล้วนสุดๆ เลยเรื่องเพื่อน
-
ให้ความหมายของคำว่าเพื่อน
ผมว่าเพื่อนมีอิทธิพลต่อชีวิตมากนะ เพื่อนเป็นที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องบางเรื่องผมไม่กล้าปรึกษาพ่อแม่ หรือพี่เลย เพราะว่าเพื่อนเข้าใจเราที่สุดเป็นวัยเดียวกันอยู่กับเราบ่อยกว่าพ่อแม่ เพื่อนบางคนอยู่ด้วยกันที่ รร.อยู่บ้านเราก็คุยกันก็รู้สึกว่าเพื่อนเข้าใจเราที่สุด ผู้ใหญ่บางคนคิดไม่ตรงกับเราก็ค้านแล้ว เพื่อนเขาจะเข้าใจว่าเราคิดแบบนี้เพราะอะไร
เพื่อนซี้กันมากๆ ก็ตอนมัธยมอยุ่ด้วยกันมา 4-5 ปี เจอกันทุกวันมันผูกพัน เราทำกิจกรรมร่วมกันเยอะไปเที่ยวมีปัญหามีเรื่องก็ช่วยกันตลอด อย่างผมเรียนมัธยมจบจากรร.สวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นรร.ที่มีกิจกรรมเยอะมากเลย ไม่ว่าจะแปลอักษร ซ้อมเชียร์แล้วก็กิจกรรมระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องใน รร. จะเยอะมาก รุ่นน้องจะรู้จักรุ่นพี่เยอะ สนุกนะมันไม่ได้มีแค่การเรียน ไม่ใช่มา รร. แล้วกลับบ้าน มารร.บางคนยอมอยู่จนดึกเพื่อทำกิจกรรมอยู่ถึงจนเช้า มันจะมีงานจตุรมิตรเป็นงานใหญ่แข่งระหว่าง 4 โรงเรียน สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ อัสสัมชัญคอนแวนต์ กรุงเทพคริสเตียน แล้วก็ทุกรร.จะแข่งกันแปลอักษร ฟุตบอล แล้วจะมีถ่ายโค้ดแปลอักษรต้องเหมือนเม็ดสีในภาพๆ นึงต้องมีเป็นหมื่นๆ เม็ดสีให้รุ่นน้องจุดนี้ต้องเป็นเม็ดสีอะไร รุ่นพี่ม.4 ม.5 มาช่วยเหลือกันบางวันอยู่จนเช้า นั่งถ่ายโค้ดเขียนโค้ดจนบางคนเขียนจนต้องเข้ารพ.ก็มีนะ แสดงถึงความที่เราทำเพื่อสิ่งๆ เดียวกันเราทำในสิ่งที่เรารักก็คือชื่อเสียงของรร. ผมรู้สึกว่ามันสอนให้เราทำหรือทำในสิ่งที่เรารักให้มันพยามที่สุด
รร.ก็เหมือนบ้านที่สองของเรา บอกความรู้สึกของมาร์ชที่มีต่อรร. มันเปรียบได้อย่างไร
ใช่เลยครับโรงเรียนก็เหมือนบ้านหลังที่สองเลย รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งเวลาที่เราก้าวเข้าไปในรร. ผมออกจากบ้านมาเพื่อไปบ้านอีกหลังหนึ่งทุกครั้งที่ไป รร. ก็เหมือนได้เจอคนที่เรารักในรร. เจออาจารย์ เจอเพื่อน ภารโรงที่รร.ผมก็สนิท เหมือนอยู่บ้านก็เจอคนที่เรารักพ่อ แม่ พี่ ไปที่รร.ก็ยังเจออีกเปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองของผมได้เลยครับ ทุกวันนี้ก็ยังกลับไปเรื่อยๆ ถ้ามีโอกาส และผมยังต้องวิ่งแก้บนอยู่เลย
ที่บ้านว่าอย่างไรบ้างมาเล่นหนัง
ทุกครั้งที่ใกล้สอบแม่จะบอกว่าเพลาๆ ลงบ้าง มีแคสงานหรือถ่ายงานก็จะปฏิเสธบ้างเอาเวลามาอ่านหนังสือดีกว่า เพราะว่าแม่มักจะบอกบ่อยๆ ว่าอาชีพด้านนี้มันไม่มั่นคง กราฟขึ้นๆ ลงๆ ยึดหลักอะไรไม่ได้ เรามีอาชีพประจำเป็นวิชาชีพซึ่งผมเรียนบัญชีบริหารอยู่ครับ อันนี้จะมั่นคงทำให้อนาคตเราตำแหน่งที่มั่นคงให้ยึดอันนี้เป็นหลัก
ตอนเด็กเคยฝันอยากเป็นสจ๊วตมันเท่ดี ก็อยากเป็นให้ได้เลยตอนนั้น สักพักค่อยมาทำธุรกิจตัวเอง เอาความรู้ที่เรียนบริหารมาทำธุรกิจตัวเองแต่ไม่รู้จะรอดป่าวนะครับ (หัวเราะ)
นี่เป็นเรื่องแรกที่มาร์ชได้เล่นหนัง มาร์ชคิดว่ามาร์ชได้อะไรจากตรงนี้
ผมว่าเรื่องการเข้าบทบาทผมยังผิดพลาดบ่อย เราต้องไปฝึกฝนถ้ามีโอกาส พูดกับตัวเองกับกระจกให้มากขึ้น ออกกล้องยังมีเขินอยู่ทั้งที่ตอนซ้อมยังเล่นได้ พี่มะเดี่ยวบอกตอนซ้อมเล่นดีกว่านี้ เราก็มานั่งคิดเราดีกว่านี้หรอ แล้วทำไมออกกองจริงๆ เราทำไม่ได้แบบที่เราซ้อมกันก็ต้องฝึกฝนให้มากขึ้น มากขึ้นกว่าเดิมอีก
บ้าน ในความหมายของมาร์ชคืออะไร
คำว่าบ้าน คือ สถานที่อยู่แล้วอบอุ่นใจที่สุดแต่ต้องมีคนที่เรารักอยู่ในที่นั้นด้วย ไม่ใช่เราอยู่ในบ้านนั้นคนเดียวมันก็เป็นบ้านไม่สมบูรณ์แบบ อยู่แล้วก็มีคนที่หวังดีกับเราอยู่แล้วเวลาเรามีความสุขด้วยกัน อันนั้นน่าจะเรียกว่าบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุด ก็ผมเคยเรียนมาระหว่างคำว่า Home กับคำว่า House พี่มะเดี่ยวเลือกคำว่า Home มาใช้เพราะว่าโฮม คือบ้านที่มีความรักมีความอบอุ่นมีความผูกพันอยู่ในบ้านถึงเรียกว่าโฮม แต่ถ้าเฮ้าส์ก็เหมือนบ้านปกติ ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลยมีแค่เราไปอาศัยเฮ้าส์อยู่
นี่เป็นครั้งแรกเลยไหมไปที่ได้เชียงใหม่
ใช่ครับ ตื่นมาก็ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่เลยครับว่ามีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง ดอยสุเทพ สถานที่ตรงไหน เส้นนิมมานเหมินทร์ มีอะไรเด็ดๆ บ้าง ไปก็กะเที่ยวเหมือนกัน เคยได้ยินว่าเชียงใหม่เด็ดรองจากกรุงเทพเลย มาทั้งทีผมเลยทั้งเที่ยวและทำงาน ผมมาถ่ายเรื่องนี้ประมาณเกือบเดือน 20 วันได้มั้ง แต่ก็มีถ่ายประมาณ 7 วัน ก็มีเวลาพักบ้างเพราะพี่มะเดี่ยวต้องไปถ่ายเรื่องอื่น
ครั้งแรกที่ไปตื่นตาตื่นใจมากลงจากเครื่องประมาณ 8 โมงเช้า นั่งรถแดงที่เขาฮิตกันหาของกินไม่เจอไปเจอแต่ที่ว่างๆ สุดท้ายไปกิน MK ตอนหลังรู้ว่ามันมีตลาดตรงนั้นตรงนี้ ก็ไปอยู่จนเหมือนคนที่นั่นเลย เริ่มเที่ยว ประทับใจคนที่นู้นรู้อะไรก็ช่วยเหลือกัน ไปกินข้าวร้านไหนก็ชวนคุย สาวก็สวยดี อาหารเหนือผมซื้อแคปหมูมาฝากแม่เป็นลังเลย แม่กินจนหมอห้ามคลอเรสตอรอลพุ่ง แม่ก็เลยต้องลดไป ผมว่าอาหารเชียงใหม่อร่อยมากนะ ถูกและอร่อย มีน้ำเต้าหู้ร้านนึงอร่อยมาก แล้วมันมีร้านนึงผมไปกินบนดอย เด็ดมากมันมีเมนูนึงชื่อไก่โฮะ เป็นดอยเป็นภูเขาชั้นๆ แล้วสร้างศาลาริมดอยให้ไปนั่งกินในศาลาแล้วมีเมฆลอยผ่านหน้า สุดยอด ตอนไปฮันนีมูนต้องไปแน่นอนคิดไว้แล้วโรแมนติก อาหารอร่อย ชื่อดอยม่อนแจ่มครับ สตอเบอร์รี่ลูกเท่ากำปั้นปาหัวแตกแน่นอน (หัวเราะ)
แล้วก็บางวันก็ได้แวะไปดูพวกพี่ๆ เขาแสดงกันอย่าง พี่เจมส์ พี่นุ่น พี่ตุ๊ยตุ่ย ผมประทับใจพี่นุ่นมากเล่นได้แบบสุดยอด ผมปลื้มเขาอยู่แล้วหนังที่เขาเล่นมาเขาเล่นเก่งมาก พี่เจมส์ตัวจริงนี่ตัวใหญ่มาก เจอครั้งแรกช็อคเลยเพราะผมไม่คิดว่าพี่เจมส์จะตัวใหญ่ขนาดนี้
ประทับใจรุ่นพี่นักแสดงคนไหนเป็นพิเศษไหม
ประทับใจพี่ต่าย เพ็ญพักตร์ครับ ดูเหมือนพี่เขาไม่ต้องท่องอะไรเขามานิ่งๆ แต่งหน้า แต่งตัว กินข้าว นั่งนิ่งๆ เข้าบทบาทได้อย่างคล่อง ทีเดียวผ่าน พี่มะเดี่ยวไม่ต้องติอะไรเลย เหมือนแบบเขาจินตนาการในความคิดพี่มะเดี่ยวได้เลยว่าต้องการแบบไหน เขาก็เล่นแบบนั้นได้เลย ผมคิดว่าเขาเก่งมาก แทบไม่ต้องคุยกับพี่มะเดี่ยวเลยเดินเข้ามาเล่น ผ่าน ส่วนผมนี่คุยมาประมาณสองเดือนยังเล่นไม่ได้เลย
คิดว่าสิ่งที่คนดูจะได้จากการชมเรื่องนี้คืออะไร
ผมว่าหนังเรื่องนี้โดนใครหลายๆ คนนะ เพราะว่าคนเราเจอมาเยอะกับคนที่ไม่จริงใจด้วย ผมว่าหลายคนอาจเก็บไว้ในใจเจอมาแล้วก็ไม่อยากคิดถึงมัน มันต้องมีอยู่แล้วคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อน แต่ผมคิดว่ามันต้องมีคนที่จริงใจกับเรา สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนสักวันมันต้องมีคนที่เดินเข้ามาในชีวิตเราให้ความจริงใจกับเราจริงๆ แล้วเราจะมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ผมว่ามันวิเศษที่สุดแล้วที่คนเราจริงใจให้กัน
อาจจะเป็นเพื่อนหรือแฟนหรือใครที่เข้ามาแล้วให้ความไม่จริงใจรู้สึกไม่ดี รู้สึกว่าชีวิตเราโชคร้ายอย่างนั้นเลยหรอ แต่ถ้ามีสักวันที่มีคนจริงใจเข้ามามาหาเรามอบแต่สิ่งดีๆ ให้เรา ไม่ว่าจะคืนเดียว หรือ 10 ปี 20 ปี หรือตลอดชีวิตผมว่าเราจะมีความสุขมาก คนที่จะอยู่กับเราได้ คนที่เราจะปรึกษาได้ คนที่เป็นเพื่อนคุย เจอปัญหาไรก็ช่วยกันแก้ ให้ทุกคนมีหวังว่าได้เจอคนที่จริงใจกับเราแน่นอน
ฝากผลงาน
อยากฝากเรื่องโฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ ด้วยนะครับ ก็อยากให้ติดตาม เพราะเป็นการแสดงครั้งแรกของผมทั้งสองคน หากมีผิดพลาดบ้างแต่เราทุกคนพยามเต็มที่ครับ ตั้งใจเต็มที่มาก กับหนังเรื่องนี้ ยิ่งพี่มะเดี่ยวทุ่มเทมากทั้งเขียนบท ทั้งสอนการแสดงกับผมเกือบเดือน เพราะอยากให้การแสดงออกมาอย่างเพอร์เฟคที่สุด รับประกันว่าทุกคนตั้งใจแสดง และหนังเรื่องนี้ออกมาดีแน่นอนครับ อยากให้ไปดูกันเยอะๆ นะครับ โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ ครับ
-
บทสัมภาษณ์ พิช วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล รับบทเป็น “เลี่ยม” ในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ



คาแรกเตอร์ของเลี่ยมในเรื่องนี้เป็นยังไง
ในเรื่องโฮมผมรับบทเป็น เลี่ยม ซึ่งเลี่ยมมันเป็นฉายา ภาษาเหนือคำว่าเลี่ยมมันหมายถึงอาการที่เสนอหน้า หรือช่างพูดช่างคุย พูดอยู่นั่นแหละน่ารำคาญ อันนี้จะเป็นความหมายของคำว่าเลี่ยม ซึ่งจริงๆ ในเรื่องเราจะชื่อมอส แต่ว่าเพื่อนๆ จะเรียนกันว่าเลี่ยม นิสัยบุคลิกก็คือคนเลี่ยมๆ อธิบายยังไงดี เหมือนเป็นคนที่ช่างพูดช่างคุยพูดเยอะพูดแยะ แล้วก็เป็นมองโลกในแง่ดี เป็นคนที่รักพี่สาวมาก ครอบครัวเหมือนกับว่าพ่อแม่เสียไปแล้ว แล้วก็เหลือแต่พี่สาวคนเดียว แล้วพอพี่สาวจะแต่งงานมันก็เลยเหมือนกับอยากที่จะจัดงานแต่งงานให้กับพี่สาวของตัวเอง ซึ่งตัวเลี่ยมมันก็เป็นเด็กเรียน mass communication ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อะไรอย่างนี้ ก็สามารถพอที่จะจัดอีเว้นท์จัดอะไรต่างๆ ก็เลยมาช่วยพี่สาว
ทำไมถึงมารับเล่นเรื่องนี้
จริงๆ ก็ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวมาหลายงานแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหนังหรือเพลง พอมาถึงเรื่องนี้พี่มะเดี่ยวก็เลยชวนว่า เออมีบทอยากให้เล่นน่าจะเล่นได้อยากให้ได้เจอกับพี่นุ่น ศิรพันธ์ ลองเล่นเป็นน้องชายเขาดู ดูสิว่าจะเป็นยังไง ซึ่งก็ยินดีเพราะว่ามีโอกาสได้ดูผลงานการกำกับของพี่มะเดี่ยวในเรื่องอื่นๆ ในเรื่องที่เราไม่ได้เล่น มีโอกาสได้ติดตาม แล้วก็อย่างตัวพี่นุ่นเองก็ได้ติดตามผลงานต่างๆ มาตั้งแต่เรื่องเพื่อนสนิท ซึ่งตอนนั้นเรายังเป็นเด็กมัธยมอยู่เลย ซึ่งเราก็รู้สึกว่า เออการได้ร่วมงานครั้งนี้เป็นการท้าทายอย่างนึง และก็จะมีนักแสดงคนอื่นๆ อีกไม่ว่าจะเป็นอาตุ่ย พี่แมว-จารุณี พี่เจมส์-เรืองศักดิ์ พี่ลิฟท์-สุพจน์ ซึ่งก็เป็นนักแสดงที่เรียกได้ว่ามีประสบการณ์มากฝีมือ ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้เราก็ตอบตกลงเกือบจะทันที แล้วเราก็ดูในส่วนของการแต่งเพลงประกอบด้วยครับ
จากเรื่องรักแห่งสยามมาถึงเรื่องนี้มีการพัฒนาการแสดงยังไงบ้าง
จากเรื่องรักแห่งสยามจนมาเรื่องนี้ มีบทบาทที่เปลี่ยนไปเรื่อย อย่างเรื่องที่ผ่านมาเพื่อนไม่เก่า ก็จะเป็นลักษณะของคนเงียบเซอร์ๆ โดยส่วนตัวแล้วพิชชอบที่จะเล่นบทบาทใหม่ต่อไปเรื่อยๆ อยากจะให้คนดูได้เห็นเราในลุคใหม่ ไม่อยากจะให้มันติดอยู่แต่กับภาพเดิม ดังนั้นพอมาเป็นบทเลี่ยม ก็มาเล่นเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ร่าเริงกว่าตัวเราเองด้วยซ้ำ ทั้งที่เราก็เป็นคนที่ร่าเริงอยู่แล้ว ก็เลยเป็นบทบาทที่ท้าทายแล้วก็ต้องใช้พัฒนาการทางการแสดงมากขึ้น เพราะว่านอกจากจะร่าเริงสดใสแล้ว ช่วงนึงที่เป็นช่วงวิกฤตของเรื่อง ตัวเลี่ยมเองก็ต้องเครียด แล้วก็ต้องแบกรับงานที่ตัวเองจัดเอาไว้ ที่เกือบจะล่มแหล่ไม่ล่มแหล่ ซึ่งตัวเลี่ยมเองก็มีความกดดันอะไรบางอย่างอยู่ ดังนั้นมันเป็นตัวละครที่คนดูจะได้มองเห็นตัวละครตัวนี้จากทุกมุมมอง จากความสนุก ความเศร้า ความตลก มันมีตรงนี้อยู่ ตัวละครตัวนี้มันครบรสมากๆ ต้องใช้การแสดงที่มากขั้นขึ้นอีก
ตอนอ่านบทครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้างครั้งแรกที่อ่านบท อ่านเพื่อที่จะเอาไปใช้ในการแต่งเพลง เราจะได้รู้ทั้ง 3 พาร์ทว่าเรื่องราวเป็นยังไงเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยอมรับว่าอ่านครั้งแรกแล้วร้องไห้ เพราะว่ามันมีความเป็นชีวิตอยู่ในบท ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทของตัวเราเองหรือเป็นพาร์ทของคนอื่น ในตอนอื่นของหนังเรื่องนี้ มันพูดถึงความรัก ความผูกพัน การอยู่ร่วมกันของคน ซึ่งบางทีเราอาจจะอยู่ไกลกันมาก หรือเราเพิ่งมาเจอกัน แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่พอเราได้อ่านแล้วเรารู้สึกถึงมันได้ ความรู้สึกแบบนี้เราเคยมี มันเคยเกิดขึ้นกับเรา
ร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งนี้เป็นยังไง
ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวก็สนุกมันเหมือนเราทำงานกับคนที่เราคุ้นเคย เราไว้ใจ แล้วเรารู้ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เราดูแย่บนจอแน่นอน ขณะเดียวกันเราก็สามารถจะถามเขาได้อย่างสนิทใจว่า เฮ้ยพี่อย่างนี้ได้ไหม หรือว่าบางทีเรามีอะไรจะเสนอ เขาโอเคไหม มันเป็นการจอยกันระหว่างนักแสดงกับผู้กำกับ ซึ่งในหนังบางเรื่องก็จะมีการทำงานที่ต่างกันไป มันมีความคิดเห็นของผู้กำกับทั้งหมด หรือให้นักแสดงเล่นเอง แต่สำหรับเรื่องนี้มันจะออกมาผสมรวมๆ กัน
แต่สิ่งหนึ่งที่พิชว่าพี่มะเดี่ยวมีคือ เขาจะเห็นภาพทุกๆ อย่าง เขาจะรู้ว่าตัวละครแต่ละตัวทำอะไรเพราะอะไร แล้วเขาสามารถอธิบายได้จนเราเข้าใจ เราสามารถที่จะเล่นตามที่เขาต้องการได้
ประทับใจอะไรในตัวมะเดี่ยว พี่มะเดี่ยวเป็นคนที่ทำงานจริงจังมาก อย่างที่พิชบอกว่าเขาจะมองเห็นทุกๆอย่างของหนังเขา แม้กระทั่งตัวประกอบ หรือองค์ประกอบเขาเก็บละเอียดหมดเลย แต่พอสั่งคัทปุ๊บ ความจริงจังก็กลายเป็นความสนุกสนานเขาก็จะเล่น ยิงมุกปล่อยมุกกัน ดังนั้นกองนี้ก็จะเป็นกองที่สนุกมากๆ ไม่ว่าจะเป็นทีมงานทั้งนักแสดงผู้กำกับและคนอื่น ทุกคนจะแฮปปี้กับมันมาก แล้วก็บางทีก็มีแบบว่าถามว่าพี่มะเดี่ยวอยากได้แบบไหน ลองเล่นให้ดูหน่อยว่าพี่อยากได้ยังไง เขาก็จะเล่นของเขา เราดูแล้วมันตลกมากๆ พอเราดูแล้วมันก็จะมีความผ่อนคลาย แล้วเราก็จะรู้ว่าเขาต้องการแบบนี้
มาเล่นเรื่องนี้ติดปัญหาตรงไหนบ้างไหม อย่างแรกเป็นเรื่องของภาษา คืออาจจะดูว่าเราเป็นคนเชียงใหม่เราน่าจะพูดภาษาเหนือคล่อง แต่จริงๆ แล้วคือไปอยู่กรุงเทพฯมาระยะนึงมันจะมีบ้างที่ลืมไป เราก็มักจะเอาภาษาเหนือ กับกลางมารวมกัน
พี่มะเดี่ยวบอกไม่ได้อย่างนี้มันเหนือกรุงเทพ จะเอาแบบเหนือเชียงใหม่เหนือจริงๆ ก็ต้องเอาบทมาเปิดแล้วถอดความจากภาษาไทยกลางให้เป็นภาษาเหนือก่อน แล้วเอาไปถามว่ามีอะไรอยากจะเติมไหม มีอะไรที่เหนือกว่านี้หรือเปล่า พี่มะเดี่ยวก็จะคอยดูว่าพูดอย่างนั้นอย่างนี้ดีกว่า
อีกอย่างนึงคือมันมีฉากที่เราต้องร้องไห้ แล้วเราจะใส่คอนแทคเลนส์อยู่ตลอดเวลา พอเรามีน้ำตาแต่ คอนแทคเลนส์ก็ดูดไปหมดเลย ก็ต้องพยายามทำอารมณ์ต่อ สุดท้ายเราก็ต้องถอดคอนแทคเลนส์ออก แล้วก็จะเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครที่มันมากขึ้น ซึ่งถามว่ามันเป็นปัญหาไหม มันก็ไม่ได้เป็นปัญหามากแต่มันเป็นความยากของตัวละคร ตัวละครตัวนี้มันแวดล้อมไปด้วยนักแสดงคับคั่ง คือตัวเลี่ยมเป็นตัวจัดงานแต่ขณะเดียวกันเวลาที่มาร่วมเฟรมกัน มีทั้งเลี่ยม ปรียา เสี่ยเล้ง คนอื่นๆ ที่เป็นตัวสำคัญๆ เพราะฉะนั้นเลี่ยมก็สามารถจะจมหายไปในการแสดงได้เกือบทุกฉาก เราก็ต้องพยายามเล่นให้น้ำหนักมันเท่ากับคนอื่น ก็เป็นความยากอย่างนึงในภาพยนตร์เรื่องนี้
มีฉากประทับใจสำหรับพิชบ้างไหมสำหรับที่พิชเล่นมา เป็นฉากที่ตัวเลี่ยมเองกำลังมองดูหายนะของงานที่เราตั้งใจจะจัดขึ้นให้กับพี่สาวที่เรารักอยู่ แต่ก็เกิดมีเหตุการณ์อื่นแทรกเข้ามาระหว่างนั้น ซึ่งผมเชื่อว่าใครที่ได้ดูฉากนี้จะต้องรู้สึกเหมือนกับเรา ทุกอย่างที่เราไม่ได้คิดเอาไว้ ไม่ได้วางคิวเอาไว้มันกลับเป็นอะไรที่พลิกไปได้เป็นอีกอย่าง ซึ่งเรื่องราวมันสะท้อนให้เราได้เห็นมุมมองอะไรอีกหลายอย่างเกี่ยวกับความรัก กับพี่สาวและน้องชาย กับชีวิตคู่และคำว่าครอบครัว
มาเล่นเรื่องนี้เห็นสนิทกับนุ่นเลย ร่วมงานด้วยกันเป็นอย่างไรบ้าง พี่นุ่นคือดาราเจ้าน้ำตา เราไม่เคยเจอนักแสดงคนไหนที่เป็นแบบนี้ กำลังอ่านบทอยู่หันไปดูอีกทีน้ำตาไหลออกมาเยอะมาก เฮ้ยพี่นุ่นเป็นอะไรหรือเปล่า แต่พอคัทปุ๊ปเขาก็จะร่าเริงสดใส เวลาที่เราเห็นผู้หญิงคนนี้เขาเป็นคนไนซ์น่ารักมากๆ ทั้งเวลานอกและในเวลางาน พี่นุ่นเป็นคนที่มีวินัย แล้วก็เวลาที่เล่นเขาตั้งใจมาก ในขณะเดียวกันเขาก็จะเรียนรู้อะไรใหม่อยู่ตลอดเวลา
พี่นุ่นมักจะปรึกษาเรื่องภาษาเหนือกับพิช ตรงนั้นตรงนี้พูดยังไง เราก็ต้องเหมือนกับเป็นโค้ชให้ อันนี้ไม่ได้มันต้องต่ำกว่านี้นิดนึงนะ มันก็เลยสนุก เลยสนิทกับพี่นุ่นจากการสอนภาษาเหนือให้เขา จริงๆ ตัวพี่นุ่นเองเกิดที่เหนือแต่ไปโตที่กรุงเทพก็จะพูดไม่ค่อยเหมือนกับสำเนียงคนท้องถิ่นเท่าไหร่นัก พอเขาฝึกสักพักเขาก็สามารถพูดได้ด้วยความที่เขาเป็นคนเหนืออยู่แล้ว
ประทับใจอะไรในตัวพี่นุ่นคนนี้บ้าง พี่นุ่นเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกทึ่ง คืออย่างที่บอกเราเห็นเขาทำงานหนักมาก บทบาทที่เขารับหนักกว่าเรามากๆ มีอยู่วันนึงเขาร้องไห้ตั้งแต่บ่าย 3 โมงจนถึงเกือบ 1 ทุ่มเขาก็ร้องอยู่อย่างนั้นไม่หยุด ไม่รู้ไปเอาน้ำตามาจากไหนตัวแค่นี้เอง เราก็รู้สึกว่าที่เขาร้องไห้เป็นเพราะเขาเซนซิทีฟหรือเปล่า เป็นเพราะเขาเป็นคนอ่อนไหวหรือเปล่าพอมาดูจริงๆ เขาก็เป็นคนปรกติ แต่นั้นคือความสามารถในการแสดงของเขา มันมาจากการทำสมาธิ การตีความเข้าใจกับบทที่ค่อยๆ ออกมาจากตัวเขาเอง ซึ่งเราทึ่งในการแสดงในตัวเขามาก เรารู้สึกว่าเขามีประกายของนักแสดงที่เป็นมืออาชีพมาก อยากเอาอย่างเขา
แล้วทำงานร่วมกับพี่เจมส์ล่ะเป็นอย่างไร พี่เจมส์เขาจะเป็นคนที่มาในมาดนิ่งๆ มาถึงก็จะพูดน้อย เป็นคนใจดี แล้วพอพูดไปเรื่อยๆ เขาก็จะมีฮามีปล่อยมุกมีเรื่องตลกๆ มาเล่าให้ฟังในกอง แล้วพอถึงเวลาเขาจะเป็นคนที่มีสมาธินิ่งมากๆ พอจะถึงซีนอารมณ์เขาก็จะเป็นคนที่ต่อบทเอาเอง ทั้งที่กล้องมารับหน้าพี่นุ่น แต่เขาก็จะต่อบทให้เอง เหมือนกับว่าเขาจะมีสมาธิอยู่ในบทตลอดเวลา บางทีเราเห็นเขาไม่ได้อยู่ในฉาก ใกล้ๆ กันนั้นเราก็จะเห็นเขาไปยืนทำสมาธินิ่งของเขาอยู่ แล้วพอเขามาเล่นมันมีความเป็นธรรมชาติ ตอนที่เราอ่านบทเราก็ไม่รู้ว่าใครจะมาเล่นเป็นเสี่ยเล้ง พอเราเห็นว่าเป็นพี่เจมส์เรืองศักดิ์ พอดูเขาเล่นเราก็เห็นเสี่ยเล้งที่เป็นตัวหนังสือมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
ประทับใจอะไรในการแสดงของเจมส์บ้าง
คือเรียกว่าเป็นความเซอร์ไพร์สแล้วกัน เพราะเราไม่เคยฟังพี่เจมส์พูดใต้เลยจนกระทั่งมาหนังเรื่องนี้ เรื่องนี้ได้ฟังคนพูดทั้งเหนือทั้งใต้ซึ่งเราได้เห็นความแตกต่างของภาษา ซึ่งเราได้เห็นว่าพี่เจมส์เป็นคนที่พูดใต้แล้วดูหล่อ ดูแล้วยังมีความเท่ห์ของเขาอยู่
ร่วมงานกับอาตุ่ย (พุทธชาต พงศ์สุชาติ) เป็นยังไงบ้าง ร่วมงานกับอาตุ่ยนี่ โห..ตลกมากครับ อาตุ่ยจะเป็นคนที่อารมณ์ดีตลอดเวลา เขามีอารมณ์ขำ รู้ว่าคุยกับคนนี้แล้วคนนี้จะขำ สามารถที่จะทำให้คนนี้ตลกได้ แล้วเขาเป็นคนที่เกิดที่ลำปางแล้วก็ไปโตที่นราธิวาส ดังนั้นทั้งภาษาเหนือและภาษาใต้เขาจะได้ทั้งคู่ แล้วทีนี้พูดกันไปพูดกันมา ก็กลายเป็นพูดเหนือสำเนียงทองแดง (หัวเราะ)
แล้วในเรื่องอาตุ่ยเล่นเป็นน้าอร น้าอรเขาไปทำโบท็อกมา พอเราเล่นเข้าฉากกับอาตุ่ยพอเห็นหน้าก็จะขำแต่เราก็ต้องกลั้นเอาไว้เพราะอาตุ่ยจะทำหน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะทำหน้าอย่างนั้น แววตาหรือการแสดงของเขาก็ทำออกมาได้ดีมากๆ น่าทึ่งมา เขาสามารถส่งอารมณ์ให้เราโดยที่ทำให้เรารู้ว่า เออ ไอ้ตัวที่ยิ้มมันเป็นแค่โบท็อกจริงๆ นะ แววตาหรือความห่วงใยความรักหลานของน้าอรมันส่งมาถึงเราจริงๆ แล้วเราสามารถจะรู้สึกได้
มาถึงพี่ลิฟท์บ้าง ทำงานกับพี่เขาเป็นยังไง พี่ลิฟท์เป็นผู้ชายที่ร่าเริง เป็นคนที่อารมณ์ดีเป็นคนไนซ์น่ารักสุภาพ เวลาที่เขาทำงานเรารู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เล่นอยู่ เขาเป็นธรรมชาติมาก อันนี้ก็จะเหมือนพี่เจมส์ตอนที่เราอ่านบทเราก็จะไม่รู้ว่าใครจะมาเล่นเป็นพี่เป็ก แต่พอพี่ลิฟท์มาเล่นแล้วเราเห็นพี่เป็กจริงๆ เออเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่มะเดี่ยวถึงเลือกพี่ลิฟท์มารับบทเป็นพี่เป็ก เพราะว่าเขามีความเป็นคนๆ นี้อยู่ แล้วเวลาพูดมันมีความเป็นธรรมชาติ เรารู้สึกดีที่ได้ร่วมงานกับเขา เขาเป็นคนที่ใจดี อย่างเวลาที่เรากำลังทำอารมณ์กำลังจะร้องไห้ เขาก็จะมาบอกว่าอย่าไปเกร็งนะค่อยๆ สบายๆ เขาก็จะใจดีสอนเราอะไรหลายๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นการเจอกันแค่ไม่กี่ฉากเท่านั้น
เรื่องนี้เราพูดถึงความรัก ความผูกพัน ความทรงจำ ส่วนตัวของพิชมีความทรงจำอะไรที่ยังประทับใจอยู่บ้าง สำหรับความทรงจำที่เราประทับใจ ก็คงจะเป็นช่วงเวลาที่เราอยู่ที่เชียงใหม่ ชีวิตของการเรียน ได้อยู่กับเพื่อนได้สนุกสนานกับเพื่อนได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขอะไรต่างๆ หรือว่าได้อยู่กับคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือว่าญาติพี่น้อง ทั้งหมดนี่ก็เป็นความทรงจำที่เราประทับใจ พอเราต้องไปเรียนที่กรุงเทพมันก็เป็นสิ่งที่เรานึกถึงอยู่ตลอดเวลา แล้วพอเราได้กลับมาเล่นหนังเรื่องนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าบรรยากาศต่างๆ ความรู้สึกต่างๆ มันได้กลับคืนมาอีกครั้งนึง
เวลาที่เราได้เข้าฉากกับเพื่อนหรือตัวประกอบอื่น ที่เขาก็เป็นน้องๆ จากมช. เราก็รู้สึกว่าเออ เหมือนเราได้อยู่กับเพื่อนเราจริงๆ เหมือนเขาเป็นเพื่อนเราจริงๆ เราได้อยู่กับพี่นุ่นเราก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นพี่สาวของเราจริงๆ ในชีวิตจริงวัยเด็กเราก็มีพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้วก็สนิทกันแบบนี้ มันเรียกความทรงจำบางอย่างกลับมาแล้วเราก็เอามาใช้กับหนังเรื่องนี้ได้ แล้วมันก็เป็นความประทับใจมันทำให้เรานึกถึงเขา อย่างเมื่อวานถ่ายเสร็จก็โทรหาพี่สาวถามว่าเป็นยังไงบ้างอะไรอย่างนี้ครับ
ความหมายของคำว่าบ้านในความรู้สึกของพิชเป็นยังไง สำหรับพิชคำว่าบ้านคือ มันไม่ใช่บ้านอิฐบ้านปูนที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจับคนลงไปอยู่ในนั้น คือถ้าสร้างขึ้นมาแล้วเอาคนไปอยู่ในนั้น ทุกคนไม่มีความสัมพันธ์ ไม่มีความรัก ไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันมันก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าบ้าน ดังนั้นความรู้สึกของพิชคำว่าบ้านคือที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ ที่รอบข้างของเรามันแวดล้อมไปด้วยคนที่เขารักและก็เข้าใจเรา แล้วเรารู้สึกอุ่นใจ วันไหนที่เราล้มวันไหนที่เรามีปัญหาคนเหล่านี้จะคอยอยู่ข้างเรา นี่ก็คือความหมายของคำว่าบ้าน
แล้วนิยามความรักของพิชมีบ้างไหม เป็นอย่างไร สำหรับความหมายของคำว่ารักในความรู้สึกของพิช ณ เวลานี้มันก็คงจะเป็นความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกดีกับใครคนนึงหรือสิ่งใดสิ่งนึง หรือเหตุการณ์อะไรก็ตาม อย่างพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนแล้วกัน อย่างคนรักกันบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดก็ได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง มันสามารถส่งถึงกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ร่วมกัน ความรักมันคือสิ่งที่เป็นอะไรบางอย่างที่ลอยอยู่ในอากาศแล้วมันมีอยู่ตลอด อยู่ที่ว่าเรามองเห็นมันหรือเปล่า บางทีเราอาจจะมองผ่านมันไปก็ได้
ส่วนตัวของ พิช มีมุมมองอะไรเป็นพิเศษสำหรับคำว่าครอบครัวหรือเปล่า
สำหรับมุมมองของพิชที่มีต่อครอบครัว พิชมองว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มันไม่ได้อยู่ที่ว่า เราจะเจอกันบ่อยแค่ไหน เราจะรู้จักกันหมดทุกเรื่องทุกมุมมองหรือเปล่า แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ครอบครัวจะต้องมีก็คือการสื่อสาร คือความสัมพันธ์ระหว่างกัน อย่างทุกวันนี้เราอยู่ไกลบ้านมาก แต่ว่าเรายังรู้สึกเหมือนเราอยู่บ้านตลอดเวลา เพราะเรายังโทรศัพท์พูดคุยติดต่อกับคนที่บ้านอยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละเหมือนเส้นบางๆ ที่เรามองไม่เห็น ที่มันเชื่อมกันอยู่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนไม่ว่าเราจะอยู่ต่างประเทศ เขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหนแต่เรายังติดต่อกันสื่อสารกัน มีการโทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ช่วงนี้เหนื่อยไหม แค่นี้มันก็เป็นสายใยบางอย่างที่เชื่อมครอบครัวเอาไว้ด้วยกันไม่ว่าเราจะอยู่ไกลกันขนาดไหนอยู่แล้ว
ผลตอบรับจากแฟนคลับหลังจากที่รู้ว่าเรามาเล่นเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ก็ดีใจมากครับที่ทราบว่า แฟนคลับให้การสนับสนุนในการแสดงครั้งนี้ของพิช พอวันที่เปิดกล้องมีภาพข่าวออกไปแฟนคลับเห็นเราเปลี่ยนลุคอะไรต่างๆ ทุกคนก็ดีใจเห็นพิชเปลี่ยนลุคจะเป็นยังไง อย่างเรื่องที่ผ่านมาเราก็เปลี่ยนลุคไว้ผมยาวไว้หนวดอะไรแบบนี้ คราวนี้ก็มาย้อมผม ทำตัวเลี่ยมๆ ก็รู้สึกดีรู้สึกว่าแฟนๆ ก็จะได้เห็นอะไรใหม่ เห็นของชิ้นใหม่ เห็นงานชิ้นใหม่ที่มันไม่ซ้ำเดิม แล้วเราก็อยากให้มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หนังเรื่องต่อไปก็อยากเปลี่ยนคาแรกเตอร์อย่างนี้อีก แฟนๆ ก็ตั้งตารอแล้วก็อยากดู ซึ่งตัวพิชเอง พิชก็ภูมิใจนำเสนอเรื่องนี้จริงๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เราอ่านบทแล้วเราชอบ เราอ่านบทแล้วมันสนุกมันเป็นหนังที่แฮปปี้มาก เวลาที่ได้มาถ่าย แวดล้อมไปด้วยทีมงานที่มืออาชีพเก่ง แล้วเรารู้สึกว่าเราอยากให้คนดูหนังเรื่องนี้จริง
ทุกเรื่องที่ผ่านมาพิชจะมีส่วนร่วมในการทำเพลงประกอบอยู่แล้ว แล้วหนังเรื่องนี้เราจะได้เห็นผลงานเพลงจากพิชด้วยไหม
จริงๆ แล้วเหมือนเป็นลายเซ็นของเราเลยเนอะ พอไปเล่นหนังเรื่องไหนก็จะต้องมีเพลงที่เราร้องหรือเพลงที่เราแต่ง หรือทั้งแต่งทั้งร้องอยู่ อย่างในหนังเรื่องนี้ก็มีเหมือนกันแต่ก็จะมีอยู่เพลงนึงที่ผมไม่ได้ร้องเอง อันนี้จะแต่งเพื่อให้น้องๆ สองคนน้องเบสบอลกับน้องขนุนที่มงฟอร์ดร้อง ซึ่งน้องมีความสามารถ อย่างน้องขนุนเล่นกีต้าร์ร้องเพลงได้ ส่วนน้องเบสบอลก็ร้องเพลงเก่งมากๆ ซึ่งพอวันที่ซ้อมเนี่ยเราแต่งเพลงไปแล้วน้องเขาก็ร้องออกมาเราได้เห็น นี่เป็นครั้งแรกที่คนถ่ายทอดเพลงที่เราเขียนแล้วเรารู้สึกประทับใจมากๆ เพราะว่าน้องเขาถ่ายทอดออกมาได้ดีกว่าเราด้วยซ้ำทั้งที่เป็นคนแต่งเอง เราได้เห็นน้องเขาตีความในแบบเด็กๆ มันมีความใสมันมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ในนั้น แล้วเรารู้สึกว่าเพลงเพราะจังเลยใครแต่งเนี่ย(หัวเราะ) ก็รู้สึกดีที่ผลงานของเราจะได้มาอยู่ในหนังที่เราเล่นอีกแล้ว ซึ่งเป็นอีก 1 เพลงที่อยากจะให้ฟัง มันพูดถึงความรักที่บางครั้งจบไปแล้ว แล้วหวังก็ให้มันเกิดขึ้นใหม่
สุดท้ายอยากจะฝากผลงานอะไรกับผู้ชมบ้างก็อยากจะฝากผลงานเรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ มันเป็นภาพยนตร์ที่เหมือนชื่อ มันสร้างมาจากความรัก สร้างมาจากความรู้สึก จากความทรงจำ พิชเชื่อว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่ใครหลายๆ คนอาจจะเคยเจอ เคยสัมผัสแบบนี้มา แล้วก็พูดถึงชื่อโฮม มันพูดถึงคำว่าบ้าน การที่คนเราอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกันในหลายๆ แง่มุม พิชเชื่อว่าทุกๆ คนจะรักหนังเรื่องนี้ แม้แต่ตัวเราเองอ่านบทแล้วก็ลงไปเล่นจริงๆ เรายังรู้สึกรักหนังเรื่องนี้จริงๆ
แล้วก็ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้นอกจากจะเห็นพิชเปลี่ยนลุคแล้ว ก็ยังมีนักแสดงอื่นๆ อีกคับคั่งไม่ว่าจะเป็นพี่ต่าย-เพ็ญพักตร์ พี่นุ่น พี่เจมส์ พี่ลิฟท์ มีเสียงหัวเราะมีสีสัน หรือเป็นอาตุ่ย หรือพี่แมว จารุณี หรือว่านักแสดงใหม่ๆ ที่เชื่อว่าฝีไม้ลายมือไม่แพ้มืออาชีพเลย ก็ยังไงก็อยากจะฝากพี่ๆ เพื่อนๆ นักแสดงกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยกับภาพยนตร์เรื่องนี้
นอกจากนี้ยังมีเพลงประกอบหนังที่เรียกได้ว่าเพราะและถ่ายทอดเรื่องราวเสริมบรรยากาศขององค์ประกอบต่างๆ ของหนังให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเชื่อว่าถ้าทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้จะต้องมีความสุข มันเรียกความทรงจำดีๆ หลายๆ อย่างกลับมาได้ ดังนั้นไปดูกันเยอะๆ ครับ โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำครับ
-
MV: “วันที่สวยงาม ost. HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำ”
MV "วันที่สวยงาม"
เพลงประกอบภาพยนตร์ “HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำ”
ภาพยนตร์ที่จะทำให้คุณมีความสุขและได้สัมผัสกับความรัก
ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
อย่าแค่รู้จัก...รัก แต่ให้รู้สึก...รักมากขึ้น
ภาพยนตร์รักที่ไม่ได้ทำให้แค่…รู้จัก “รัก”
แต่จะทำให้ทั้งหัวใจ…รู้สึก และ สัมผัส ถึง “รัก” ไปพร้อมๆ กัน
19 เมษายน 2555
หาคำตอบด้วยหัวใจคุณเอง
-
“มะเดี่ยว” ทำเซอร์ไพรส์เพลงประกอบภาพยนตร์ “Home ความรัก ความสุข ความจำ” ดึง “ป๊อด โมเดิร์นด็อก” ร่วมแต่ง และ “พิช ออกัส” ร่วมขับร้อง

“Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ภาพยนตร์โรแมนติก ดราม่า ผลงานกำกับของ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่เตรียมต้อนรับทุกคนเดินทางสู่บ้าน 29 มีนาคมนี้ และแน่นอนภาพยนตร์เรื่องนี้จะขาดบทเพลงประกอบภาพยนตร์ไปไม่ได้เลย ด้วยความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของ มะเดี่ยว ผู้กำกับ และนักแสดงอย่าง พิช วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล ที่เคยฝากผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์จากเรื่อง “รักแห่งสยาม” และยังคงไพเราะอย่างมิรู้ลืม โดยการันตีความตรึงใจจากหลายสถาบันและเป็นบทเพลงที่ถูกเปิดบ่อยที่สุด และถูกกล่าวถึงไปทุกคลื่นเพลง ณ เวลานั้น
หลายๆคนคงได้ฟังเพลง “วันที่สวยงาม” เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่คว้าศิลปินขวัญใจวัยรุ่นอย่าง “ป๊อด โมเดิร์นด็อก” มาร่วมแต่งเพลง และขับร้องโดย น้องพิช วิชญ์วิสิฐ ซึ่งมะเดี่ยว ผู้กำกับ เล่าถึงความเซอร์ไพรส์สุดพิเศษกับเพลงประกอบภาพยนตร์ในครั้งนี้ว่า
“เพลงประกอบของหนังเรื่องนี้มีความหลากหลาย มีทั้งเพลงที่พิชแต่งเองชื่อเพลง “ผ่านเลยไป” เพลงที่เล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ทั้งหมด และที่พิเศษเป็นอันดับแรกคือเพลง “วันของเรา” ของวง soul after six ที่เอามา cover ใหม่โดยวงออกัส และก็พิเศษมากๆ คือมีเพลง ”วันที่สวยงาม” เป็น original soundtrack ของหนังเรื่องนี้ที่พี่ป๊อด โมเดินร์ด็อก ให้เกียรติมาแต่งให้กับเรา และเพลงนี้น้องพิชเป็นคนร้อง ซึ่งเราดีใจและภูมิใจมาก เพราะว่าพี่ป๊อดเป็นไอดอลของเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไร และก็ใฝ่ฝันจะร่วมงานกันมานาน ฟังครั้งแรกก็ชอบเลย”
และเร็วๆนี้คงได้ชมมิวสิควิดีโอ “วันที่สวยงาม” ที่มะเดี่ยวขอยกกองไปถ่ายทำกันใน รันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีน้องพิช วิชญ์วิสิฐ ร่วมถ่ายทอดอารมณ์เพลงรัก และเล่าถึงเบื้องหลังของมิวสิควิดีโอครั้งนี้ว่า
“สำหรับความหมายของเพลง วันที่สวยงาม จะพูดถึงความรัก และความรู้สึกดีๆของคนคนนึง มองเห็นเขาเป็นเหมือนท้องฟ้า เป็นท้องทะเล เปรียบเหมือนวันที่สวยงาม ซึ่งมันจะสอดคล้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่จะเล่าถึงเรื่องราวความประทับใจ ตัวละครก็จะได้พบกันในวันที่สวยงามครับ โดยวันนี้ก็มาถ่ายทำในรันเวย์ ของสนามบิน พิชเองยังไม่เคยเข้ามาในนี้เลยครับ เพราะที่นี่ไม่ได้เข้ามากันง่ายๆ ยากเหมือนกันนะ แดดไม่ค่อยมีเท่าไหร่นะ ก็กังวลว่าภาพออกมาจะสดใสพอไหม แต่พอถ่ายภาพออกมาแล้วสวยงามมาก ยังไงฝากติดตามชมมิวสิควิดีโอเพลงนี้ด้วยนะครับ และติดตามชมภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ด้วยเช่นกันครับ”
ติดตามชมมิวสิควิดิโอเพลง “วันที่สวยงาม” เพลงประกอบภาพยนตร์ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ได้ก่อนใครที่ www.facebook.com/sahamongkolfilmint หรือwww.youtube.com/sahamongkolfilmint
MV เพลง “วันที่สวยงาม” http://www.youtube.com/watch?v=o4UgqAhsIu0
Home พร้อมที่จะจูงมือทุกคนกลับไปยัง “บ้าน” ที่เต็มไปด้วยชีวิตและความรู้สึกจุดเริ่มต้นของความรัก ความสุข หรือแม้แต่ การสูญเสีย แต่ทว่าอบอุ่นเกินกว่าที่จะลืมเลือนได้ 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
-
:D อยากดูอยากดู ใครมีบัตรฟรีบ้าง..
-
“มะเดี่ยว ชูเกียรติ” นำเสนอ “รัก” ครั้งใหม่ที่ต้องใช้ทั้งหัวใจ และประสบการณ์ตลอดครึ่งชีวิตถ่ายทอดสู่ “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ”

“Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” อีกหนึ่งภาพยนตร์รักสุดซึ้ง โดยผลงานกำกับล่าสุดของ “มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” (ภ.รักแห่งสยาม) ที่หยิบยกเรื่องราวความรักจากประสบการณ์ของคนรอบๆ ตัว ในความทรงจำของมะเดี่ยวผู้กำกับ นำเสนอมุมมองความรักที่หลากหลายถ่ายทอดสู่ภาพยนตร์รักครั้งล่าสุด พร้อมทั้งดึงนักแสดงซุป’ตาร์ร่วมถ่ายทอดห้วงทำนองแห่งรัก โดย ต่าย-เพ็ญพักตร์, เจมส์-เรืองศักดิ์, นุ่น-ศิรพันธ์, ลิฟท์-สุพจน์, พิช-วิชญ์วิสิฐ และนักแสดงฝีมือคุณภาพอีกมากมาย ซึ่งมะเดี่ยว ผู้กำกับเล่าถึงความเป็นมา และแรงบันดาลใจของภาพยนตร์รักครั้งนี้ว่า
“หลังจากหนังรักแห่งสยามเสร็จก็คือได้ทำหนังสั้น ทำไปทั่วเรื่อยๆ กันไป แล้วตอนนี้เราอายุ 30 ปีแล้ว ถ้าเป็นทั่วๆ ไปในชีวิตการทำงานเขาคงเรียกว่าเป็นแบบครึ่งชีวิต มันเหมือนกับว่ามันมีเรื่องราวเยอะที่เราอยากจะเล่า โดยปกติเราจะชอบเขียนบันทึก เขียนอะไรแบบเรื่องของคนนั้นคนนี้ที่เราได้เจอมาใน เราพูดถึงผู้คน เหตุการณ์ สถานที่ที่เราจดจำได้ในชีวิตเราที่เราไม่ลืม หลายคนได้จากเราไป หลายคนยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ยังอยู่กับเราอยู่ตอนนี้
หนังที่ทำมาทุกเรื่องก็มีแรงบันดาลใจที่เราไปเจอมาในชีวิตจริง เพียงแต่ว่าตอนเป็นรักแห่งสยาม คล้ายกับว่ามันเป็น fiction มีความเป็นนิยาย มีความประโลมโลกอยู่เยอะ แต่อันนี้จะมีส่วนผสมของความที่เรียกว่ามันจริง realistic คือพอเราโตขึ้นความเพ้อฝัน ความโรแมนติก ที่มันเคยอยู่ในชีวิตเรามันก็จะน้อยลง เราจะมองโลกในแง่ของความจริงมากขึ้น ในแง่ที่มันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด สิ่งที่มันมากระทบชีวิตเรามันมีเหตุและผล และมันนำพาเราไปสู่สิ่งนั้นสิ่งนี้”
และสิ่งที่ มะเดี่ยวผู้กำกับต้องการนำเสนอถึงเรื่องราวความรักนั้นล้วนเป็นความรักที่ต้องใช้หัวใจในการมองเห็น และเข้าใจรักให้มากขึ้น ไม่ว่าความรักจะเกิดขึ้นอย่างไร หากต้องสูญเสียความรักไป สุดท้ายเราจะคงเก็บรักษารักเอาไว้อย่างไร พร้อมทั้งให้นิยามความหมายของ Home ในภาพยนตร์ครั้งนี้ว่า
“สิ่งที่ต้องการจะนำเสนอ คืออยากจะบอกว่าชีวิตคนมันไม่ได้มีแค่เรื่องโศกเศร้า และก็ไม่ได้มีแค่เรื่องตลกสนุกสนาน นี้คือหนังที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ด้วยกัน ครบทุกรส มีทั้งแบบอบอุ่นใจ ร้องไห้เป็นเผาเต่า หัวเราะครื้นเครงมันอยู่ในนั้นหมด มันคือชีวิตประสบการณ์จากผู้คนรอบข้างที่ผ่านมาของเรามีทุกด้าน ทุกความรู้สึก อยากจะสื่อความหมายของความรักว่า จริงๆ แล้วเราไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา แต่เรามีเวลา ณ ปัจจุบันนี้ เราควรใช้ชีวิตให้มีความสุข ที่สำคัญเราอย่าคาดหวังไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราต้องทำตรงที่ยืนให้ดีที่สุด
และถ้าถามว่าทำไมต้องบ้าน ส่วนตัวแล้วคำว่า Home หรือบ้าน ของเรา คือ ความรู้สึกที่ได้อยู่บ้าน ได้อยู่กับครอบครัว อยู่กับคนที่เรารัก ได้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัย ทุกที่ในหนังทุกเรื่องหรือว่าผู้คนที่เราผูกพันในหนังเรื่องนี้ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน คนที่เรารัก เพื่อน พ่อแม่ หรือพี่น้องอะไรต่างๆ นานา มันเป็นเรื่องของคนเหล่านี้ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ้าน แต่ว่าจริงๆ แล้วมันคือความรู้สึกเกี่ยวกับผู้คนที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้อยู่ในบ้านมากกว่า”
ร่วมค้นหาคำตอบด้วยหัวใจคุณเองในภาพยนตร์เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ผลงานกำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ภาพยนตร์รักสุดซึ้งที่จะทำให้ทั้งหัวใจ...รู้สึก และ สัมผัสถึง “รัก” ไปทั่วทุกโรงภาพยนตร์ 19 เมษายนนี้
-
เจมส์ เรืองศักดิ์ ทำ “นุ่น ศิรพันธ์” ร้องไห้กลางกองถ่ายโปสเตอร์ “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ”


เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่มีเหล่านักแสดงคุณภาพมารวมตัวกันในเรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ผลงานกำกับของ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ” และเมื่อไม่นานมานี้ได้ยกทีมเหล่านักแสดงรุ่นใหญ่ และรุ่นใหม่ มาถ่ายโปสเตอร์ประกอบภาพยนตร์ครั้งนี้ นำทีมนักแสดงรุ่นใหญ่โดย เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา และพิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล ร่วมด้วยนักแสดงรุ่นใหม่อย่าง มาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล, แจ็ค-กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา, อั้ม-ณัฐพงษ์ อรุณเนตร์ และเร็กเก้-ทิพปภา แซ่โง้ว
ซึ่งบรรยากาศของการถ่ายโปสเตอร์ภาพยนตร์ในครั้งนี้ สนุกสนานเฮฮาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะตอนถ่ายรวมเซ็ทนักแสดงครบทุกคน ที่แต่ละคนจะต้องถ่ายทอดอารมณ์ออกมาตีความหมายของรักที่แตกต่างกันออกไป ก่อนที่จะถูกจับแยกถ่ายออกมาเป็นแต่ละคู่ เริ่มจากคู่ที่น่าจับตา และเป็นไฮไลท์อย่างมากคือคู่ของ เจมส์ เรืองศักดิ์ และ นุ่น ศิรพันธ์ ที่ถูกสั่งให้ทำอารมณ์ซึ้ง เศร้าหมองหม่น โดยสาวนุ่นยังอินกับบทปรียาไม่เลิก เมื่อถูกสั่งประครองอารมณ์เศร้า ก็สามารถเรียกน้ำตาออกมาได้เลยทันที ทีมงานและนักแสดงรุ่นน้องเห็นแล้วก็อึ้งกับฝีมือทางการแสดงของนักแสดงสาวรุ่นพี่คนสวย โดยนุ่นเล่าถึงเบื้องหลังการถ่ายโปสเตอร์เคล้าน้ำตาในครั้งนี้ว่า
“วันนี้ก็ได้มาเจอพี่ๆ น้องๆ รวมตัวอีกครั้งหลังจากปิดกล้องไปแล้วดีใจมากค่ะ พวกเราก็มาถ่ายโปสเตอร์ร่วมกัน โดยของนุ่นเองจะเป็นคู่สาวจิตตกกับหนุ่มเก็บกดคือไม่พูด (หัวเราะ) เริ่มถ่ายภาพหมู่รวมนักแสดงครบทั้งหมดก่อน และก็ค่อยไล่มาคู่รักระหว่างพี่เจมส์กับนุ่นค่ะ โดยเริ่มจากอารมณ์เศร้ากันก่อนเลย เป็นอารมณ์ง้อแฟนให้มาคืนดีด้วย แต่พยายามง้อเท่าไหร่ผู้ชายก็ไม่สนใจสักที เราก็เริ่มคิดมาก เศร้า เสียใจ จนร้องไห้เลย ซึ่งก็จะไปสอดคล้องกับคาแร็คเตอร์และเรื่องราวความรักของ ปรียา กับเสี่ยเล้ง ในเรื่องนี้ค่ะ”
ด้านหนุ่มเจมส์ จึงขอเล่าถึงธีมถ่ายโปสเตอร์ในครั้งนี้ พร้อมทั้งฝากถึงคู่รัก และคนที่กำลังค้นหาความรัก ต้องเข้ามาชม Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ที่ให้แง่คิดกับทุกคนที่มีรักว่า
“ภาพรวมของการถ่ายโปสเตอร์วันนี้เป็นการสื่อสารในเรื่องอารมณ์ความรักของแต่ละคู่ ซึ่งจะแยกอารมณ์กันหลากหลายเหตุผลของความรักครับ โทนก็จะเป็นแนวอบอุ่น ต้องติดตามโปสเตอร์หนังกันครับ และก็อยากให้ติดตามชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมคิดว่าได้แง่คิดดีๆและมุมมองดีๆ ที่มะเดี่ยวผผู้กำกับ พยายามจะถ่ายทอดสื่อสารผ่านทางตัวละครทุกตัว ผมเชื่อว่ามุมมองที่ดีๆเหล่านี้จะทำให้ความรักของทุกๆคู่หรือทุกๆ คนดีขึ้น ก็ขอให้ทุกคนมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้เยอะๆ 19 เมษายนนี้ครับ”
ฝั่งหนุ่มพิช วิชญ์วิสิฐ กลับฉายเดี่ยวไร้คู่ถ่ายภาพโปสเตอร์ จึงทำให้เสร็จเร็วกว่าคนอื่นทุกคน แต่หนุ่มพิชก็ขออยู่ต่อเป็นกำลังใจให้ทั้งพี่ๆ น้องๆ นักแสดง โดยเฉพาะน้องเร็กเก้ ทิพปภา ที่ขับรถลงมาจากจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ตี 4 มาถึงกรุงเทพ เพื่อถ่ายโปสเตอร์คู่กับหนุ่มอั้ม ณัฐพงษ์ในครั้งนี้ แล้วต้องรีบบึ่งรถกลับบ้านที่เชียงใหม่ทันที เพราะมีสอบแต่เช้า ทีมงานขอยกนิ้วชื่นชมสปิริทของน้องเร็กเก้ในครั้งนี้อย่างมาก ปิดท้ายด้วยคู่เพื่อนรักมัธยมมาร์ช จุฑาวุฒิ กับแจ็ค กิตติศักดิ์ ที่ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกของการถ่ายโปสเตอร์หนัง แต่ก็โพสท่าทางได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อมีนักแสดงก็ต้องมีผู้กำกับ งานนี้มะเดี่ยวขอแอบย่องมาเป็นกำลังใจให้กับเหล่านักแสดงในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ภาพยนตร์รักสุดซึ้ง หลากหลายเรื่องราวแห่งรัก ที่จะทำให้คุณไม่ใช่รู้จักแค่รัก แต่ให้รู้สึกรักมากขึ้น 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
-
บทสัมภาษณ์ แจ็ค กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา รับบทเป็น “บีม” ในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ


แนะนำตัวทำความรู้จักกันก่อน
สวัสดีครับผมชื่อ แจ็ค กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา รับบทเป็น “บีม” ในเรื่องโฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ
อธิบายถึงคาแร็คเตอร์ของบีม เป็นอย่างไร
คาแร็คเตอร์ของบีม จะเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย บีมอยู่ม.3 ของโรงเรียนนี้ แต่ว่าย้ายโรงเรียนบ่อยจึงไม่ค่อยมีเพื่อน นิสัยของบีมจะเป็นคนพูดเก่ง พูดมาก มักจะขี้สงสัยในทุกๆ เรื่องเข้ากับคนง่าย จนวันนึงเจอ เน (แสดงโดย มาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล) ซึ่งเป็นรุ่นพี่ม.ปลาย สองคนก็ได้มีโอกาสคุยกันในคืนหนึ่งของโรงเรียน เลยทำให้สนิทกันเพียงระยะเวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้น คาแร็คเตอร์ที่ดูเด่นชัดของบีมคือ พูดมากอย่างเดียวเลยเป็นคนชอบเล่าเรื่อง อยากรู้อยากเห็นว่าเนเขาทำอะไรอยู่ เป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส และบีมก็ไปแอบชอบผู้หญิงคนนึงซึ่งเป็นเพื่อนกับเนครับ
เข้ามาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไร
ผมรู้จักกับพี่มะเดี่ยวมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วครับ พี่เขามาช่วยซ้อมวงโยธาวาทิต ของโรงเรียนบดินทร์เดชา แล้วเขาก็มาชวนให้เล่นหนัง ตอนแรกชวนเล่น MV ก่อน และก็มาถามว่าเล่นหนังไหวไหมก็เลยลองดูครับ ตอนไปแคสติ้งผมต้องเล่นสื่ออารมณ์ ซึ่งเป็นฉากในหนังที่ต้องใช้อารมณ์มากที่สุด ใช้อารมณ์ผ่านสายตา ต้องสื่อออกมาด้วยสายตา วันที่ไปแคสติ้ง มีคนมาแคสบทเนพอดี ก็เล่นคู่กัน ตื่นเต้นมากเพราะเราไม่เคยเจอกันมาก่อน
ตอนทราบผลว่าถูกเลือกแสดงภาพยนตร์รู้สึกอย่างไรบ้าง
มีพี่ทีมงานโทรมาบอก ตกใจมากครับ ตอนนั้นกำลังจะแข่งบาสของโรงเรียนกำลังวอร์มร่างกายพอดี อยู่ๆ พี่เขาโทรมาบอกว่าได้เล่นหนัง ก็เล่นหนังหรอตกใจเลย แล้วก็วางไปเพราะแข่งบาสอยู่สมาธิไม่อยู่กับตัวชู๊ตไม่ลงเลย (หัวเราะ) ดีใจมากครับ
ก่อนหน้านี้แจ็คเคยผ่านผลงานอะไรมาบ้าง
แสดง MV ของพี่โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เพลง อยู่ที่ไหน โดยมีพี่มะเดี่ยวเป็นผู้กำกับครับ แค่นี้เลย แต่ผมจะทำกิจกรรมทางโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่อย่างอยู่วงโยธาวาทิต จะเล่นเครื่องดนตรี บาริโทน และทอมโบนครับ บาริโทนจะเป็นเครื่องเป่าเวลาแข่งจะมี 2 อย่าง คอนเสิร์ท คือพวกนั่งบรรเลง และมาร์ชชิ่ง คือเดินแปรรูป หากผมเดินแปรรูปก็จะเป็นบาริโทน ถ้านั่งบรรเลงก็จะเป็นทอมโบน นอกจากนี้ก็เป็นนักกีฬาบาส ตำแหน่งการ์ดจ่าย หรือตัวส่งบอลครับ
มีการเตรียมตัวเพื่อการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิตของเราอย่างไรบ้าง
ฝึกเรียนการแสดงกับพี่มะเดี่ยว ไปพร้อมกับพี่มาร์ชที่เล่นเป็นเน ฝึกการใช้อารมณ์ว่าต้องเล่นยังไงควรทำอย่างไง เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ ครั้งละ 3 ชม.ต่อวัน ประมาณ 2 เดือนครับ พี่มะเดี่ยวสอนเน้นในเรื่องแสดงอารมณ์ การใช้ควบคุมอารมณ์ ก็ถ้าเกิดเจอสถานการณ์แบบนี้ต้องทำยังไง และหากเวลามีปัญหาทางการแสดงผมก็จะบอกพี่มะเดี่ยวตรงๆเลยครับว่าผมทำไม่ได้ พี่สอนผมหน่อย
ตัวละคร บีม มีความเหมือนหรือแตกต่างจากตัวจริงของแจ็คบ้างไหม
แตกต่างเกือบทุกอย่างเลยนะ ตัวจริงผมเป็นคนไม่ค่อยพูด และมีเพื่อนเยอะแต่ไม่ค่อยพูด ซึ่งในบทเป็นคนที่พูดมากและขี้สงสัย ตัวจริงผมไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งที่เหมือนกันคือเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียน มีแค่อย่างเดียวนอกนั้นก็แตกต่างหมดครับ
เปิดกล้องแสดงภาพยนตร์วันแรกครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง
ช่วงแรกพี่มะเดี่ยวพาผมไปดูกองถ่ายเรื่องก่อนหน้าผม ซึ่งเขาบอกว่าทำตัวให้ชินนะ จนผมสนิทกับพวกพี่ๆ ในกอง เปิดกล้องวันแรกก็ตื่นเต้นนิดหน่อยนะครับ
มีปัญหายากง่ายอย่างไรบ้าง
มันยากตรงที่เวลาเจอไฟจะเบลอไปหมดเลย ผมเป็นคนที่เจอไฟส่องเข้าตาแล้วสมาธิเบลอไปหมดเลย ที่ผมจำมาก็หลุดหมดเลย อันนี้ผมแก้ด้วยตัวเองก็คือทำให้ชินครับ ระยะเวลาการถ่ายทำจะถ่ายกันประมาณ 4 วัน ส่วนใหญ่ถ่ายเป็นกลางคืน เรื่องเวลานอนไม่ค่อยมีปัญหาเพราะปกติผมเป็นคนนอนดึกอยู่แล้วชอบดูบอล ก็เลยไม่ซีเรียสเรื่องนอนดึกครับ แต่ต้องใช้สมาธิมากกว่าการดูบอล ต้องใช้พูด ใช้แรง ใช้สมาธิ วิธีแก้ของผมคือการหาอะไรทำ เดินเล่น เดินดูบท ท่องบทไปเรื่อยๆ กินน้ำของที่กอง กินน้ำร้อนให้มันกระชุ่มกระชวยครับ
ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนแรกตื่นเต้น ไม่คิดว่าพี่เขาจะเป็นร่าเริงเห็นบุคลิกครั้งแรกดูเป็นคนมาดเข้ม จริงๆแล้วพี่มะเดี่ยวเขาเป็นคนร่าเริง ตลก หัวเราะตลอดเวลา ตอนสอนการแสดงไม่เครียดเลย เขาจะสอนไม่ให้เกร็งเวลาเล่นหนัง
-
แล้วพอเปิดกล้องจริงๆล่ะ
มีอยู่ฉากนึงผมเกือบร้องไห้ กดดันมากเลย แค่บทพูดเปลี่ยนนิดนึงสลับตรงนั้นตรงนี้ ผมพูดไม่ได้ก็โดนพี่เขาชาร์ตเลย น้ำตาเกือบไหลไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน และก็กดดันด้วยเพราะว่าทุกคนรอเราอยู่(หัวเราะ) วิธีแก้ปัญหาก็คือ พี่มะเดี่ยวให้ผมออกไปทำสมาธิให้ยืนคนเดียวหลับตา แล้วค่อยเข้ามาในฉากอีกรอบนึง ก่อนหน้านี้เคยเล่น MV ที่พี่มะเดี่ยวกำกับมาแล้ว ก็ทำให้สนิทเหมือนพี่น้องกัน แต่พอมาเล่นหนังแล้วเขากำกับมันคนละฟิวส์กันเลย เขาเป็นคนที่ถึงเวลาจะจริงจังแบบสุดๆ ผิดพลาดนิดนึงก็จะเริ่มใหม่ ก็จะกดดันมาก พอผ่านฉากนั้นไปเหมือนขึ้นสวรรค์ รู้สึกฟินาเล่มาก (หัวเราะ)
ร่วมงานกับมาร์ช เป็นอย่างไรบ้าง
ตอนแรกก็เกร็งๆเพราะไม่รู้จักกัน พอมาเรียนการแสดงก็ทำให้สนิทเหมือนเป็นพี่คนนึงของผม ตอนไปเรียนการแสดงพี่มะเดี่ยวจะให้ผมกับพี่มาร์ชซ้อมตรงที่ไม่เข้าใจให้คุยกันเองซ้อมกันเอง ถึงเวลาเขาก็จะไหนขอดูหน่อย อยู่ที่เชียงใหม่ก็ทำให้รู้นิสัยพี่มาร์ชมากขึ้น คือชอบมองผู้หญิง (555) ส่วนผมไม่มองแต่จะคอยบอกว่าพี่มาร์ชคนนี้ดีกว่า (555)
ส่วนตัวแล้วมีความประทับใจอะไรบ้างในภาพยนตร์เรื่องนี้
ผมประทับใจทีมงานทุกคนเต็มที่มาก ส่วนใหญ่เรื่องราวของผมจะถ่ายแต่กลางคืนทุกคนจะอดหลับอดนอนกันหมดเลย จะเริ่มถ่าย 6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้าทุกวันเลย ทำให้รู้สึกว่าทุกคนเต็มที่มากเลยประทับใจครับ สำหรับสถานที่ถ่ายทำเป็นที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ตอนกลางคืนยุงเยอะมาก(หัวเราะ) ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวผมไม่ค่อยได้ออกไป จะอยู่ซ้อมบทกับพี่มาร์ชในห้องมากกว่า แต่บางทีพี่มาร์ชก็แอบหนีออกไปครับ(หัวเราะ) แต่พี่มะเดี่ยวเขาก็พาไปกินข้าวซอย อร่อยชอบ และถูกด้วย เป็นการมาเชียงใหม่ครั้งแรกของผมครับ ถ้าจะประทับใจก็ตรงที่เป็นหนังเรื่องแรกของผม และยังมาถ่ายที่เชียงใหม่ด้วย รู้สึกดีประทับใจมากครับ
ฉากที่รู้สึกว่าเป็นฉากพิเศษของแจ็คเลย คือฉากเกี่ยวกับอะไร
ฉากชู๊ตบาส และต้องชู๊ตให้ลง เป็นฉากสุดท้ายของวันนั้น ซึ่งฉากนี้บีมจะต้องชู๊ตบาส และให้พี่เนถ่ายรูป ต้องชู๊ตทำ 3 แต้ม ผมก็ชู๊ตไม่ลงสักลูกเลย จนพี่ทีมงานมายืนกดดันกันหมดเลย ช่างกล้อง ช่างไฟ ทุกคนเต็มไปหมด ก็ยังชู๊ตไม่ลง จนมีคนตะโกนบอกว่า เฮ้ยกูง่วง! (555) จนสุดท้ายก็ชู๊ตลงซึ่งผ่านไปตั้ง 6 ลูก สำหรับคนปกติแค่ 6 ลูกเอง แต่สำหรับนักบาสมันตั้ง 6 ลูก ซึ่งมันเสียชื่อนักบาสนะ และตอนนั้นเป็นเวลาตี 5 ผมก็หลับๆ ตื่นๆ ตามัวมาก เบลอไปหมด พอชู๊ตลงปุ๊ป เฮ! เลิกกอง(หัวเราะ) เขารอให้ลงปุ๊ปเลิกกองเลย
เรื่องราวของ เน กับ บีม ทั้งสองคนจะต้องสนทนากันตลอดเป็นอย่างไรบ้าง
เป็นฉากแรกเลยที่ยาก เป็นฉากที่ผมพยายามจะสนิทกับพี่เน ก็จะเล่าเรื่องต่างๆที่ผมเคยทำมา คืออยากอวด ซึ่งมันมีอยู่ 8 บรรทัดในบท และตัวจริงผมไม่ใช่คนพูดมากเลย ในบทมันเยอะไปให้ตายเหอะ มันหลายเทคมาก เพราะบทเยอะเกินแต่ก็ผ่านมาได้ ฉากนั้นผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องรถกระดาษ อยากอวดตัวเองว่าเก่ง เคยพับรถกระดาษเป่าชนะคนอื่น ยาวมากกว่าจะอ่านเสร็จก็นานเช่นกันครับ
ใช้เวลาถ่ายฉากนั้นนานไหม
ก็นานนะ กล้องเขาจะตั้งไว้และปล่อยให้เราเล่นออกมา ผิดเอาใหม่ ตั้งกล้องแล้วผมก็เดินพูดๆๆแล้วค่อยตัดไปอีกมุมนึง น่าจะหลายเทคอยู่เพราะเป็นฉากที่ต้องพูดเยอะมาก ประมาณ 6 เทคครับ
ช่วงวัยเรียนของแจ็ค เคยแอบรักใครสักคนไหม
เคยแอบชอบตอนม.1 ตอนนั้นผมขี้อายไม่กล้าเข้าไป ปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็บอกว่าเดินเข้าไปเลย จนพอวันนึงโดนตัดหน้าไปก็เลยคิดว่าทำไมตัวเองไม่ทำตามที่เพื่อนบอกตั้งแต่แรกนะ และผมเคยปรึกษาแม่ แม่บอกให้จำคำนี้ไว้ ด้านได้อายอด แล้วพอผมเจอคนที่ผมชอบจริงๆผมก็เดินตรงเข้าไปเลย ตอนนั้นยังเป็นอีเมล์ ก็เดินเข้าไปขออีเมล์เขา เขาก็ให้แต่ให้วันละตัว ซึ่งยาวมาก 14 ตัว และให้ผมมาเรียงเองด้วยจนได้มาจนครบ เรียงเองเรียงเสร็จก็ประมาณ 14 เมล์ครับ กว่าจะเสร็จเมล์นึงแต่พยายามมาก แถมช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดคือผมซ้อมวงโยธาวาทิตเลิกดึก แล้วเขาจะออนเอ็มช่วง 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม แต่ผมเลิกซ้อมถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนก็เลยลำบากตรงนี้ครับ
คำว่า เพื่อน ในความหมายของแจ็คคืออะไร
เพื่อนเหมือนทุกอย่างของชีวิตผม ไม่ได้มากไป ไม่น้อยไป ทุกคนต้องเจอมาหมดคำว่าเพื่อน สำหรับผมนี่คือขาดกันไม่ได้ เวลาจะสนุก สนุกคนเดียวได้ไหม ไม่ได้ก็ต้องมีเพื่อน เวลาเศร้าคนเดียวได้ไหม ได้นะแต่ว่าอยากให้เพื่อนเศร้าด้วยประมาณนี้ชิวิตผม รักเพื่อนมาก เวลาไม่มีตังค์ก็ยืมเพื่อนได้ ล้อเล่นนน… เพื่อนเปรียบเป็นทุกอย่าง เพื่อนขาดไม่ได้จริงๆสำหรับผม เวลาผมมีอะไรผมจะเก็บกดแต่เวลาเพื่อนมาถาม ผมจะระบายให้เพื่อนฟังทุกอย่างทุกเรื่อง ถ้าเพื่อนไม่เข้าใจก็ต่อยเลย(หัวเราะ)ล้อเล่นๆ
ในชีวิตจริงเราผูกพันกับโรงเรียนจนเหมือนเป็นบ้านที่สองเลยไหม
ผมอยู่วงโยธาวาทิตของโรงเรียนบดินทร์เดชา ซ้อมเย็นเลิกดึกตลอด เลิกเรียนก็จะซ้อมหลังสามโมงเย็นจนถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนตลอดทุกวัน บางวันก็นอนโรงเรียน ผูกพันกับโรงเรียนมาก ตอนกลางคืนโรงเรียนจะเป็นของข้า
อยู่โรงเรียนทำกิจกรรมอะไรบ้าง
ผมจะมีพี่สาวเป็นฝาแฝดเขาอยู่วงโยธาวาทิต พอผมเห็นเขาไปแข่งแล้วมันเท่ดีจัง ก็เลยสมัครเข้าวงโยธาวาทิตด้วย ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวอีกครอบครัว มีทุกรุ่นทุกวัยเข้าใจกันทุกอารมณ์ มีการรับน้องใหม่เป็นการละเล่น โดยผู้ชายจะจับแก้ผ้าเลยรับน้องเขียนเต็มตัวเลย แต่พอมารุ่นผมม.6 ก็ไม่มีล่ะ เดี๋ยวเด็กมันออกหมด ต้องฝึกซ้อมตั้งแต่ม.1 ตอนนั้นได้ไปแข่งที่ประเทศเกาหลี แข่งชิงแชมป์โลกได้รางวัลอันดับที่ 5 และมีตอนม.3 ไปแข่งที่ประเทศมาเลเซีย ได้ที่1 ชิงแชมป์โลก ลงข่าวเบ้อเริ่มเลยของนสพ.ไทยรัฐ แล้วก็มีแข่งที่ไทยปกติทุกปี และก็เป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนครับ
ทำกิจกรรมเยอะขนาดนี้มีวิธีแบ่งเวลาอย่างไรบ้าง
มีวันนึงช่วง 10 โมงถึงบ่ายโมงจะมาไปเรียนการแสดงกับพี่มะเดี่ยว หลังจากบ่ายโมงก็ไปซ้อมเต้น หลังสี่โมงถึงหกโมงซ้อมบาส ทุ่มนึงถึงสามทุ่มซ้อมวงโยฯ อันนี้คือวันปิดเทอม เหนื่อยมากแต่ว่าสนุกดี ผมเป็นคนชอบทำกิจกรรมครับ อย่างเล่นบาสมันสนุกได้ออกกำลังกายด้วย ซ้อมเต้นผมเป็นคนชอบฟังเพลงเต้นโรบ๊อท มีเคยไปประกวดไทยแลนด์ก๊อตทาเล้นท์เข้ารอบคัดเลือกด้วยนะ
กิจกรรมทั้งหมดที่ทำมามีอันไหนที่รู้สึกว่าชอบมากเป็นพิเศษ
มันสนุกคนละแบบเต้นก็จะสนุกตามอารมณ์เพลง ส่วนบาสก็จะเล่นกับเพื่อนเวลาเราจ่ายลูกแม่น เพื่อนทำแต้มได้ก็ยิ้ม ส่วนเรื่องวงโยธาวาทิตมันเป็นความสามัคคีเดินเล่นกันเป็นร้อยคนตามเพลง 8 นาที มันคนละแนวหมดเลย ชอบทุกอย่างครับ
และการแสดงภาพยนตร์ล่ะชอบไหม
ผมชอบเล่นหนังนะ เพราะจะสื่ออารมณ์ได้มากกว่าเล่นMV มันมีทั้งบทพูด มีผู้หญิง มีเพื่อน อะไรมากมาย
ฝากผลงานภาพยนตร์
มาดูเรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ เป็นหนังเรื่องแรกของผม ซึ่งผมแสดง ก็อยากให้มาดูกัน และยังมีทั้งนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง พี่เจมส์ เรืองศักดิ์, พี่นุ่น ศิรพันธ์, พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ฝีมือทางการแสดงคุณภาพทุกคน เป็นเรื่องที่พี่มะเดี่ยวกำกับเอง เขียนบทเองด้วย นักแสดงตั้งใจจริงและรวมถึงทีมงานตั้งใจกันอย่างมาก 19 เมษายนนี้นะครับ
-
“ลิฟท์ สุพจน์” ดีใจร่วมงานผู้กำกับ “มะเดี่ยว” ครั้งแรก อ่านบทปุ๊ป! ตัดสินใจรับบทมือที่สามทันทีในโฮมฯ


ผ่านเลยไป (Official Ost.Home ค.รัก ค.สุข ค.ทรงจำ)
รู้จักกันมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นรุ่นพี่-รุ่นน้องที่เพิ่งจะได้มีโอกาสร่วมงานกันครั้งแรกระหว่าง รุ่นพี่ “ลิฟท์ สุพจน์ จันทร์เรือง” กับรุ่นน้อง “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” ในภาพยนตร์ล่าสุดเรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” เหตุเพราะเป็นรุ่นพี่สุดปลื้ม และประทับใจฝีมือทางการแสดงของรุ่นพี่ลิฟท์มานานแล้ว พอมีโอกาสจึงขอจีบรุ่นพี่มาร่วมแสดงในภาพยนตร์ครั้งนี้ ซึ่งหนุ่มลิฟท์ สุพจน์เองก็ห่างหายจากวงการแดงภาพยนตร์นานเกือบ 7-8 ปี นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก แค่อ่านปุ๊ป!ก็ตัดสินใจรับแสดงทันที พร้อมทั้งยกนิ้วชมผู้กำกับรุ่นน้องมะเดี่ยว-ชูเกียรติ เป็นคนทำงานรุ่นใหม่ มากฝีมือที่อนาคตไกลอย่างแน่นอน
“มะเดี่ยวส่งบทมาให้ลองอ่านดู พอได้อ่านแล้วรู้สึกว่าโทนหนังอบอุ่นดี แค่ได้อ่านบทผมก็พร้อมเล่นเลยครับ ไม่ต้องคิดอะไรมากมายเลย ซึ่งเป็นครั้งแรกครับที่ได้ร่วมงานกัน แต่กับตัวมะเดี่ยวเองก็เคยรู้จักกันมาบ้าง เพราะว่าเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียน แล้วก็ได้ไปเจอกันตามงานต่างๆ ได้พูดคุยกันมาเรื่อยๆ จนได้มาร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งแรก รู้สึกว่าเป็นผู้กำกับที่น่ารักดี เป็นกันเองกับนักแสดง ไม่เครียดเท่าไหร่ จะเครียดในเรื่องโปรดักชั่น แต่เขาจะพยายามไม่ทำให้บรรยากาศเสียงลง เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือ และวางตัวอยู่ในวงการที่ดี ถึงเวลาทำงานก็ทำงานจริงจัง ดีครับอยากเห็นคนทำงานรุ่นใหม่เป็นแบบนี้”
กับบทบาทที่ได้รับในภาพยนตร์ครั้งนี้ ถึงตัวละครจะมีคาแร็คเตอร์ที่ไม่หวือหวามากมายนัก เป็นเพียงผู้ชายธรรมดา ตอนเด็กเป็นอย่างไรโตขึ้นก็เป็นอย่างนั้น เป็นผู้ชายนิ่งๆ เงียบๆ แต่หนุ่มลิฟท์ สุพจน์ บอกว่าเป็นอีกตัวละครที่ขาดไม่ได้เช่นกัน นับว่าเป็นตัวละครสำคัญกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมากทีเดียว
“ผมรับบท พี่เป๊ก เป็นผู้ชายที่อบอุ่น เกิดและโตที่เชียงใหม่ เรียนที่นี่ ทำงานที่นี่ แล้วก็ช่วงสมัยวัยเรียนเป็นรุ่นพี่ที่น้องๆ สาวๆ ชอบ โดยพี่เป๊กเคยเป็นแฟนเก่าของปรียา ที่เล่นโดยน้องนุ่น - ศิรพันธ์ ตอนเรียนคบกันเป็นแฟนแต่พอดีว่าปรียาย้ายไปเรียนต่อที่กรุงเทพ เราก็เลยห่างๆ กันไป และก็ได้กลับมาเจอกันอีกทีในงานเลี้ยงสละโสดของปรียา เรื่องราวและความรู้สึกที่เคยมีต่อกันมันก็หวนกลับมา ก็เลยกลายเป็นจุดพลิกที่ทำให้เกิดความรู้สึกสับสน เกิดเรื่องราวต่างๆ ในเรื่องนี้ขึ้น เหมือนเป็นตัวที่ทำให้เกิดปมบางอย่างแบบไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไร ตอนที่อ่านบทและตัดสินใจเล่นเรื่องนี้ อ่านแล้วมันอินกับบทลุ้นกับเหตุการณ์ ลุ้นกับความรู้สึกของปรียา เสี่ยเล้ง (เจมส์-เรืองศักดิ์), เลี่ยม (พิช-วิชญ์วิสิฐ) แม้กระทั่งตัวพี่เป๊กเองถึงจะเป็นบทเรียบๆ ไม่มีอะไรเด่นมาก แต่ก็ขาดไม่ได้เลยเหมือนกัน ฉะนั้นบทพี่เป๊กเลยมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมากทีเดียว”
Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ภาพยนตร์รักสุดซึ้ง ผลงานกำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่จะทำให้คุณต้องใช้ทั้งหัวใจ รู้สึก และสัมผัสถึงรักไปพร้อมๆ กัน 19 เมษายนนี้ หาคำตอบด้วยหัวใจคุณเองทุกโรงภาพยนตร์
-
“ต่าย เพ็ญพักตร์” ตัดสินใจ “ลืมรัก” แม้ต้องดราม่าและร้องไห้อย่างหนัก

โคจรกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งระหว่างนักแสดงหญิงคุณภาพ “ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล” กับผู้กำกับมากฝีมือ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” ในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาจากภาพยนตร์สั้นเรื่อง 12 ภาคก่อน 13 เกมสยอง แต่การกลับมาครั้งนี้มะเดี่ยว ผู้กำกับคัดสรรบทบาทที่เน้นว่าต้องเป็นต่าย เพ็ญพักตร์เท่านั้น กับบทหญิงสาวที่ต้องใช้ความรู้สึกเกือบทั้งชีวิตเพื่อลืมรักในครั้งนี้ โดยต่าย เพ็ญพักตร์ เล่าถึงการกลับมาร่วมงานกับมะเดี่ยวอีกครั้ง พร้อมทั้งเล่าถึงการรับบทหนักในครั้งนี้ว่า
“เคยร่วมงานกับมะเดี่ยวมานานมาก จนกระทั่งเขาทำเรื่องนี้ก็โทรมาหาพี่บอกว่ามีบทที่อยากให้พี่เล่น มะเดี่ยวบอกว่าไม่มีใครเล่นต้องเป็นพี่เท่านั้นบทนี้ เขาบอกว่าด้วยความที่เราเป็นคนพื้นเพเดียวกันอยู่แล้ว อะไรที่เราทำอยู่ด้วยกันก็จะเข้าใจกันง่ายขึ้น เรื่องความเป็นอยู่เรื่องความเข้าใจในวัฒนธรรมและอารมณ์ของคนเชียงใหม่ เราจะเข้าใจมันได้ลึกซึ้ง ในเรื่องนี้ก็จะรับบทเป็น บัวจัน ผู้หญิงที่สูญเสียความรัก สูญเสียสามี แล้วต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว จัดการสิ่งต่างๆ อยู่คนเดียวต่อจากสามีที่ตายไป มีความรักต่อสามีมาก หลังจากที่สามีตายไปก็จะรู้สึกห่วงหาอาวรณ์ ว่าเขาตอนนี้เป็นยังไงบ้าง จะไปเกิดหรือยังอะไรพวกนี้ ดูภายนอกเหมือนเป็นคนเข้มแข็งต้องจัดการปัญหาทุกอย่างสารพัด แต่พอได้อยู่กับตัวเองเพียงลำพังจะถลำลึกจมอยู่กับความคิดถึงความหลังที่มีต่อสามี มีบางซีนที่เล่นคนเดียวแล้วก็ต้องนึกถึงสามี นึกถึงอารมณ์ของหนังว่าวันนั้นเราสูญเสียสามี เป็นซีนที่บอกมะเดี่ยวว่ามันยากมากเหมือนกันนะ รับบทดราม่าหนักและต้องร้องไห้”
ด้านมะเดี่ยว ผู้กำกับ ยอมรับว่าประทับใจฝีมือทางการแสดงของต่าย เพ็ญพักตร์อย่างมาก จนในที่สุดได้มีโอกาสร่วมงานเต็มๆ ในภาพยนตร์รักครั้งนี้ โดยเล่าว่า
“สำหรับพี่ต่ายเคยร่วมงานกับเราตอนหนังเรื่อง12 ซึ่งเป็นภาคก่อนหน้า13เกมสยอง ก็ชอบพอกันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแหละ มีโอกาสก็จะหาหนังแล้วก็ทำงานด้วยกัน แต่คราวนี้ได้ทำงานกับแบบเต็มๆ พี่ต่ายเขาเก่งประทับใจพี่เขาเป็นคนน่ารัก ทุกครั้งที่เขาแสดงเราก็จะเห็นการแสดงดีๆ ดูหนังเรื่องนี้แค่ดูการแสดงก็คุ้มแล้วนะ และเรื่องความดราม่าของพี่ต่ายนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มืออาชีพมาก วิธีการเล่าเรื่องที่ตัดสลับไม่ได้เรียงเวลา ตัดสลับโลกความจริง ความฝัน และห้วงของความทรงจำมาอยู่ในนั้น เป็นหลายเลเยอร์เป็นวิธีการเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง เป็นรสชาติใหม่ๆ ที่อยากให้ลองเข้าไปดู และคิดว่าคนดูจะได้ดื่มด่ำกับความงามของมัน เหมือนดูห้วงอารมณ์ ห้วงความทรงจำของคน”
Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ภาพยนตร์รักที่จะทำให้ทั้งหัวใจ รู้สึก และสัมผัส ถึงรัก มากขึ้น หาคำตอบด้วยหัวใจคุณเอง 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
-

“นุ่น ศิรพันธ์” แอบบ่น อู้กำเมืองยากกว่าซีนดราม่า ดึง “พิช วิชญ์วิสิฐ” แอ็คติ้งโค้ชติวเข้มส่วนตัว
เหตุเพราะต้องมารับบท “ปรียา” สาวเหนือที่กำลังจะตัดสินใจแต่งงานในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ จึงทำให้ “นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา” ต้องเตรียมตัวเข้าคอร์สติวเข้มเรื่องภาษาเหนืออย่างด่วน ถึงแม้จะเกิดและเรียนที่เชียงใหม่ แต่ก็ไม่ได้อู้กำเมืองอย่างจริงจังนัก จึงนับว่าเป็นอุปสรรคสำหรับสาวนุ่นในการแสดงหนังครั้งนี้อย่างมาก งานนี้สาวนุ่นต้องเรียกขอตัวช่วย ผู้กำกับมะเดี่ยว ก็ใจดีจัดให้ส่ง “น้องพิช วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล” ทำหน้าที่แอ็คติ้งโค้ชพิเศษ ติวเตอร์ด้านภาษาเหนือให้โดยทันที โดยนุ่นเล่าถึงอุปสรรคความยากของภาษาเหนือในครั้งนี้ว่า
“ถึงนุ่นจะเกิดที่เชียงใหม่แต่ก็ไม่ได้ฝึกอู้กำเมืองมาตั้งแต่เด็ก และในเรื่องนี้ต้องการสำเนียงแบบคนเชียงใหม่จริงๆ วันแรกที่นุ่นมาเล่นเครียดมากพูดคำเดียวก็ยังไม่ผ่านเลย 10 กว่าเทคได้ค่ะ มันก็เลยกลายเป็นความกังวล พอเข้าฉากเราก็จะพะวงทั้งสองอย่างไหนจะความรู้สึกของตัวละคร ไหนจะต้องออกสำเนียงให้ได้อีก แยกประสาทกันน่าดู แล้วมะเดี่ยวผู้กำกับ เขาเป็นคนเชียงใหม่แท้ๆ ถ้าหากนุ่นเพี้ยนไปนิดเดียวหูเขาจะไวมากเลยค่ะ ก็โชคดีมากที่นุ่นได้น้องพิช มาเป็นแอ็คติ้งโค้ชทางภาษาก่อนเข้าฉาก (หัวเราะ) เพราะน้องพิชจะแม่นในเรื่องของภาษาคนเชียงใหม่มากกว่านุ่นเยอะ เขาก็จะเป๊ะมากไม่ต่างอะไรจากมะเดี่ยวเลย นุ่นต้องเปิดบทคุยกับน้องพิชแล้วให้น้องพิชสอน คือมะเดี่ยวจะสอนรอบนึงแล้วส่งมาให้น้องพิชมาประกบอีกรอบ น้องพิชก็จะคอยดูสำเนียงถูกต้องหรือยัง แล้วน้องพิชก็จะอดทนกับพี่นุ่นมาก เพราะพี่นุ่นเสียงแปร่งมาก (หัวเราะ)
สำหรับในเรื่อง Home น้องพิชมารับบทเป็นน้องชายของนุ่นเลยทำให้เราร่วมงานกันง่ายขึ้นด้วยค่ะ สนิทกันเลย ก่อนหน้านี้นุ่นเองก็เคยดูน้องพิชเล่นเรื่องรักแห่งสยามมาแล้ว และก็รู้ว่าน้องพิชเป็นเด็กมีความสามารถในการแสดงและดนตรีคนนึง น้องพิชเป็นผู้มีพระคุณ เป็นคนที่ช่วยสอนแอ็คติ้งโค้ชทางภาษา (ยิ้ม)”
Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ภาพยนตร์รักที่จะทำให้ทั้งหัวใจ รู้สึก และ สัมผัส ถึง “รัก”...หาคำตอบด้วยหัวใจคุณเอง 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
-

บทสัมภาษณ์: มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิวีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ”
อะไรคือแรงบันดาลใจในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้
หลังจากหนังรักแห่งสยามเสร็จก็คือได้ทำหนังสั้น ทำไปทั่วเรื่อยๆ กันไป แล้วตอนนี้เราอายุ 30 แล้ว ถ้าเป็นทั่วๆ ไปในชีวิตการทำงานเขาคงเรียกว่าเป็นแบบครึ่งชีวิตแล้ว มันเหมือนกับว่ามันมีเรื่องราวเยอะที่เราอยากจะเล่า โดยปกติเราจะชอบเขียนบันทึก เขียนอะไรแบบเรื่องของคนนั้นคนนี้ที่เราได้เจอมาในชีวิตเหมือนเป็นเรื่องสั้นเอาไว้ แต่พอดีเราไม่ใช่นักเขียน เราเป็นคนทำหนัง ซึ่งในแต่ละเรื่องมันคือบทบันทึกที่เราจดจำ เราพูดถึงผู้คน เหตุการณ์ สถานที่ที่เราจดจำได้ในชีวิตเราที่เราไม่ลืม หลายคนได้จากเราไป หลายคนยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ยังอยู่กับเราอยู่ตอนนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นบทบันทึกที่เราทำเพื่อให้เขาได้รู่ว่าชีวิตเราผ่านอะไรมาและทำให้เรามีวันนี้ได้ก็เพราะว่าคนเหล่านี้
อย่างนั้นเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นเรื่องราวของส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของมะเดี่ยวเลยหรือเปล่า
ค่อนข้างจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจริง หนังที่ทำมาทุกเรื่องก็มีแบบแรงบันดาลใจที่เราไปเจอมาในชีวิตจริง เพียงแต่ว่าตอนเป็นรักแห่งสยาม คล้ายกับว่ามันเป็น fiction มีความเป็นนิยาย มีความประโลมโลกอยู่เยอะ แต่อันนี้จะมีส่วนผสมของความที่เรียกว่ามันจริง realistic แล้วก็เป็นในส่วนของกวีไปเลย แต่ว่าไม่ใช่ว่าแบบจะดูแล้วไม่สนุก เอาความจริงก่อน realistic มันคืออะไร realistic คือพอเราโตขึ้นความเพ้อฝันความโรแมนติก ที่มันเคยอยู่ในชีวิตเรามันก็จะน้อยลง เราจะมองโลกในแง่ของความจริงมากขึ้น ในแง่ที่มันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด สิ่งที่มันมากระทบชีวิตเรามันมีเหตุและผล และมันนำพาเราไปสู่สิ่งนั้นสิ่งนี้
ส่วนกวีที่ว่ามันคือความงาม มันไม่ได้แปลว่าดูไม่รู้เรื่องเหมือนเป็นหนังเมืองคานส์อะไรประเภทนั้น มันคือความงานในชีวิต ความงานของความโศกเศร้า ความสุข ความสิ้นหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความงามอยู่ในนั้น การพลัดพรากจากลาแม้มันจะดูเศร้าสร้อย แต่ว่าเราถ่ายทอดออกมาให้มันดูงดงาม อย่างในชีวิตเราตอนปี 2009-2010 คุณพ่อเสีย... แม่ก็ได้เขียนบทกลอน คือ เราจะเห็นหลายๆ คนที่เสียไป ในงานศพจะมีหนังสือกลอนที่รำพึงรำพันถึงคนที่จากไป แล้วเราก็อ่านกลอนบทนั้นเรารู้สึกว่าความพลัดพรากความเศร้าโศกมันเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราทำสิ่งสวยงามได้เหมือนกัน นี้ก็คือสิ่งที่บอกว่ามันคือความงาม
ทำไมถึงเลือกเอาความทรงจำเหล่านี้มาทำเป็นบทภาพยนตร์ครั้งนี้?
จริงๆ ที่ทำมันไม่ใช่ชีวิตตัวเองซะทั้งหมด แต่มันเป็นชีวิตของคนอื่นที่เราไปเจอมา บางจังหวะอาจจะมาจากประสบการณ์ชีวิตของเรา เป็นเพราะเรามาถึงเลข 30 มันเหมือนหลักไมล์ในชีวิตที่เราต้องจดบันทึกเอาไว้ว่านี่คือครึ่งชีวิตของเรา สิ่งที่เราเจอมา สิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่ย้อนกลับไปตั้งแต่อยู่สมัยมัธยม สมัยเริ่มจดบันทึกอะไรได้ ย้อนกลับไปอีกตั้งแต่วัยเด็กที่มันมีความทรงจำอะไรแบบพร่าเลือนอยู่ ทุกอย่างมันใส่ไว้ในหนังเรื่องนี้ เราคิดว่าเหมือนทำให้ตัวเองมากกว่า (หัวเราะ) แต่ว่ามันไม่ใช่ทำให้ตัวเองโดยที่ไม่ได้จะเป็นหนังที่คนจะดูไม่รู้เรื่อง เราว่าทุกคนมีประสบการณ์ร่วมในสิ่งต่างๆ ที่เราได้เจอมาเหมือนกัน มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ส่วนตัวอะไรมากมาย เราพูดถึงความรัก พูดถึงการสูญเสีย ความพลัดพราก เราผ่านความเลวร้ายในชีวิตมาเยอะแยะมากมาย ความฝัน ความหวังที่มันแตกพัง เราทุกคนต่างเคยเจอ แล้วเราก็แบบเหมือนเคยมีประสบการณ์ที่ค่อยๆ เก็บเศษที่มันแตกร้าวต่างๆ พยายามต่อกันใหม่ให้มันเป็นความหวังครั้งใหม่ แล้วดำเนินชีวิตต่อไป ทุกคนต้องผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาทั้งนั้น เช่นกันนี้คือส่วนของเหตุการณ์ในชีวิตที่เราคิดว่ามันสอดคล้องกับผู้คน มันไม่ได้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ใครเข้าไม่ถึงอย่างที่เข้าใจว่าจะเป็นแบบนั้น...ไม่ใช่
เรื่องนี้มันเป็นเสี้ยวหนึ่งในประสบการณ์ของมะเดี่ยวที่รู้สึกว่าประทับใจที่สุดตลอดระยะ 30 ปีนี้หรือยัง
30 ปีที่ผ่านมานี้คงเป็นเรื่องของคนที่เราไม่ลืม มันก็มีเป็นเรื่องของคนที่เราเคยรัก คนที่เคยจากเราไป มันมีทั้งคนที่เราเคยรักที่ยังอยู่แต่ก็ไม่ใช่คนในอดีตที่เราเคยรู้จัก เหมือนเราเคยชอบใครตอนอยู่มัธยมเมื่อ10ปีก่อนวันเวลาก็พลัดพรากพวกเราจากกันไป กลับมาเจอกันทุกวันนี้มันก็ไม่ใช่คนเดิมที่เราเคยชอบแล้ว เพียงแต่ว่าเราก็คิดถึงคนๆ นั้นที่เราจดจำมันได้ในวัยของเรา แล้วก็มีประสบการณ์ที่มีความตาย การสูญเสียบุคคลที่เป็นที่รักแล้วก็ต้องพยายามดำเนินชีวิตต่อไป แม้แต่การแต่งงานมันเป็นการเฉลิมฉลองนะ แต่จริงๆ แล้วส่วนหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมันคือการโบกมือลาอดีตต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น โบกมือลาชีวิตเก่าๆ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในความสุขของการแต่งงาน มันมีด้านที่เราจะต้องบ๊ายบายชีวิตคนโสด ชีวิตสนุกสนาน หรืออดีตที่ฝังใจเพื่อเริ่มอะไรใหม่ๆ นี้แหละมันก็รวมๆ แล้วมันเรียกได้ว่าเป็น 3 เหตุการณ์ที่ตกผลึกมากกว่า คือเราก็ครุ่นคิดถามว่าแบบ 30 ปีเราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตเกี่ยวกับความรัก เกี่ยวกับการเติบโตมาบ้าง มันก็ออกมากลายเป็นเรื่องนี้
โลเกชั่นที่เลือกถ่ายทำภาพยนตร์ครั้งนี้ คือ บ้าน ของมะเดี่ยวเอง
เราถ่ายทำเรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ที่เชียงใหม่ทั้งเรื่องเลย 100% ไม่มีถ่ายที่อื่นเลย อย่างที่บอกคือมันเป็นบ้านของเรา ของมะเดี่ยวเอง มันเป็นเรื่องของความทรงจำที่อยู่ที่นั่น ดังนั้นมันไม่มีที่ไหนดีไปกว่าเชียงใหม่แล้วแหละ แล้วมันก็จะไม่เหมือนหนังที่ถ่ายที่เชียงใหม่เรื่องอื่น ที่ใช้landmark จริงๆ เชียงใหม่เป็นเมืองที่สวย มีเสน่ห์ มีศิลปะ มีความโรแมนติกอะไรอยู่ในนั้น แต่เราไม่ได้เสนอเชียงใหม่ในด้านนั้น แต่เรื่องนี้เราพูดถึงคน คนในเชียงใหม่ จิตวิญญาณของผู้คนที่อยู่ที่นั่น เป็นสิ่งที่เราเห็นและเติบโตมาตรงนั้น เป็นเรื่องของผู้คน บรรยากาศ ภาษาพูด แต่อย่าเข้าใจว่าพูดภาษาเหนือแล้วจะไม่เข้าใจ ภาษาเหนือเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย มีซับขึ้นให้ (หัวเราะ) มันไม่ได้เข้าใจยากถึงขั้นไม่รู้เรื่อง สำหรับเราเองมันเป็นภาษาที่มีเสน่ห์ ถ้าเป็นเพลงก็เหมือนมีเมโลดี้ที่สวย แล้วก็มีความนุ่นนวลอ่อนหวานอยู่ในนั้น ต้องลองไปดู
ภาษาที่ใช้เหนือล้วนๆ เลยด้วยหรือเปล่า
ใช่ แต่อาจจะไม่ใช่ทุกตอน ต้องมีเทรนกันในเรื่องของภาษาพอสมควร อย่างนุ่นเขาอยู่ลำปางสำเนียงจะไม่ใช่คนเชียงใหม่แล้ว แล้วก็มาอยู่กรุงเทพฯ นานจะมีเพี้ยนบ้าง ต้องเอาให้เป๊ะให้ดูเป็นคนเชียงใหม่จริงๆ แต่ในหนังก็จะมีเป็นคนลำปาง คนเชียงรายบ้าง เขาพูดสำเนียงของเขาไปเพื่อความสมจริง อย่างพี่ต่ายก็มาอยู่กรุงเทพฯนาน พอแป๊ปเดียวพี่ต่ายก็จูนกันไวเหมือนมีคีย์อยู่ในหัวแล้ว คำบางคำหรือไวยากรณ์ที่มันเป็นภาษาเหนือๆ ก็ต้องรื้อฟื้นเอามาพูดกัน ให้รู้สึกว่าคนเหนือคนเมืองอู้กันจริงๆ แต่ทั้งหมดฟังไม่ยาก เข้าใจได้ง่ายมาก
เล่าเรื่องราวให้ฟังหน่อยว่าเกี่ยวกับอะไร
มีหลากหลายเรื่องราวของความรัก เริ่มจากเรื่องของเด็กมัธยม 2 คน คนหนึ่งอยู่ม.6 ที่กำลังจะจบ อีกคนอยู่ม.3 ที่กำลังจะจบการศึกษาเหมือนกัน คือทุกคนมีสถานะที่จะต้องจากโรงเรียนนี้ไปเหมือนกัน ไอ้คนที่อยู่ม.6 มาถ่ายรูปโรงเรียนตอนกลางคืนเพื่อเอาไปทำหนังสือรุ่น คือมีไอเดียว่าโรงเรียนตอนมีคนอยู่มันไม่ขลัง แต่ตอนไม่มีคนอยู่มันขลัง มันเหมือนเฟรมเปล่าๆ ที่ให้คนสามารถใส่เรื่องราวตัวเองไปได้ ก็เลยมาถ่ายรูปที่โรงเรียนตอนกลางคืน อีกคนหนึ่งเป็นนักบาส เด็กม.3 ที่ย้ายโรงเรียนมาตลอด แล้วก็มาจบม.3 ที่นี้แล้วก็ต้องย้ายไปเรียนที่กรุงเทพฯ อีก ทั้งสองคนมาเจอกัน ทั้งคู่ก็เดินถ่ายรูปในโรงเรียน ได้คุยกันเรื่องชีวิตที่ผ่านมาในโรงเรียนนี้ มันก็เป็นการพูดถึงอดีต แล้วมันก็มีบ้างอย่างที่เชื่อมถึงกันเกิดขึ้น เรื่องนี้เราพูดถึงช่วงชีวิตที่เรามีเพื่อนมีชีวิตของวัยเรียนที่น่าจดจำ มีมิตรภาพที่เกิดขึ้นดีๆ ในเวลาอันสั้นของวัยเรียน 2 คน
นักแสดงหน้าใหม่ทั้ง น้องแจ๊คและน้องมาร์ช ทั้งสองคนนี้เป็นยังไงบ้าง
นักแสดงใหม่ของเราผ่านการคัดเลือกมาจากนักแสดงนับร้อยนับพัน แต่ทุกครั้งที่เราทำหนัง คือถ้าเกิดเป็นนักแสดงใหม่ก็ต้องแคสติ้งแบบหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เพื่อที่จะได้คนที่มันดูแล้วใช่ แล้วยิ่งเป็นคนที่มีความใกล้เคียงกับเนื้อเรื่องเราก็ว่าน่าสนใจ แล้วเราเลือกคนที่มีการแสดงที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด มีเสน่ห์มากที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ ซึ่งน้องทั้ง 2 คนกว่าจะผ่านการแคสติ้งเข้ามาจากหลายๆ รอบได้ก็ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก พอผ่านมาแล้วก็ต้องมีการ workshop และหนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากเด็ก 2 คนนี้ ย้ำ! ว่าทั้งเรื่อง ถ้าเกิดทั้งสองคนเล่นไม่ดีจะเอาไม่อยู่ เพราะต้องมีบทพูดที่ยาวมาก แล้วก็ต้องเป็นตัวตนของคนๆ นั้นด้วย คือมันไม่สามารถจะท่องแต่บทได้ มันต้องเอาตัวตนไปเป็นคนๆนั้นจริง แล้วเหมือนพูดเรื่องของตัวเอง มันใช้เวลาทำงานด้วยกันค่อนข้างนาน กว่าจะได้ออกมาขนาดนี้ ซึ่ง 2 คนนี้เข้าขากันมาก พวกเราทำการบ้านด้วยกันมาอย่างหนักหนาสาหัสกว่าเราจะได้เห็นสองคนนี้เล่นด้วยกัน
เห็นจุดเด่นอะไรของน้องแจ็ค และของน้องมาร์ชจับทั้งคู่มาเล่นด้วยกัน
ตัวละครตัวแรก คือ “เน” นำแสดงโดย “น้องมาร์ช” จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล น้องมาร์ชตามคาแรกเตอร์ต้องเป็นคนถ่ายรูปเก่งมีความสามารถ มีความมั่นใจสูง ไม่เอาใคร ไม่เอาเพื่อนอะไรสักคนเลย จนหลายๆ คนทั้งโรงเรียนหมั่นไส้ ไม่มีสังคม ถึงแม้ว่าเนจะมีความมั่นใจสูงแต่ลึกๆ เขามีความเบาะบางอยู่ มาร์ชนี้มีอะไรที่เป็นคนแบบนั้น มีการพูดจาที่ดูว่าเย่อหยิ่งจองหองได้ แต่ว่าในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ดูมีความอ่อนไหว แล้วเป็นหนังที่ต้องเล่นด้วยความรู้สึกลึกๆ ข้างใน ก็ค่อนข้างจะยากสำหรับเด็กใหม่ แต่ว่ามาร์ชก็อดทนและสามารถทำในสิ่งที่เราต้องการได้แม้จะใช้เวลานานมากก็ตาม
ส่วน “แจ็ค” กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณะ เล่นเป็น “บีม” เป็นเด็กม.3 ที่ชั่งพูดชั่งเจรจา ซุกซนตามประสาเด็กม.ต้นทั่วไป เป็นนักกีฬาด้วย อันดับแรกพื้นฐานเลยแจ็คเป็นนักกีฬาบาสอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือของแอคติ้งเวลาเล่นบาส เขาดูเป็นนักกีฬาได้จริงไม่เสแสร้ง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าแจ็คไม่ใช่คนพูดมากเหมือนในเรื่อง ในเรื่องนี้พูดน้ำไหลไฟดับเลย แต่แจ็คก็ทำได้และผ่านมันไปได้ด้วยดี
อีกอย่างหนึ่งคือตัวละครอย่างบีม คือมันดูเหมือนไม่มีที่มาที่ไป มันจะค่อยๆ เฉลย ค่อยๆ บอกว่าไอ้นี่เป็นใครมาจากไหน การเล่นแบบอมพะนำคาแรกเตอร์ของตัวเองว่าจะเป็นใครก็ไม่รู้ อะไรยังไงก็ตามแต่ ดังนั้นมันต้องใช้ความกะล่อนของการเล่น คือมันเป็นเสน่ห์ของละครตัวนี้ การแสดงที่ต้องหว่านเสน่ห์ โปรยเสน่ห์ กวนนิดๆ ซึ่งถ้าเป็นเด็กธรรมดาทั่วไปบทยังนี้จะยากมาก คือมันไม่ใช่การเก็กหล่อมันไม่ได้เป็นคนหล่อแต่มันต้องหว่านเสน่ห์ แล้วยิ่งเด็กม.ปลาย เด็กอายุเท่านี้จะไม่ค่อยเข้าใจการหว่านเสน่ห์ การทำหน้ากรุ้มกริ่ม การเล่นออกมาจากอินเนอร์ จะยากมากสำหรับบทอย่างนี้แต่แจ็คก็ทำได้
-
ฉากที่ประทับใจของความรักของ เน และ บีม
มีเยอะนะ แต่ลืมพูดถึงตัวละครอีกตัวหนึ่งในหนังเรื่องนี้คือ “โรงเรียน” โรงเรียนเหมือนกับเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งเป็นโรงเรียนที่เราเรียนอยู่จริงคือ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ในหนังเราจะเห็นภาพกว้างเยอะมาก เห็น landscape ของโรงเรียนที่สวยมาก แต่อีกอย่างหนึ่งคือเราพูดถึงโรงเรียนในแง่ของความทรงจำ ในแง่พื้นที่ที่มีความทรงจำของผู้คนอยู่ในนั้นเต็มไปหมดกี่รุ่น กี่ยุค กี่สมัย ผ่านมาและจากไป คือมันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของโรงเรียน แล้วโรงเรียนก็เหมือนโอบล้อม 2 คนเอาไว้ให้เหลือตัวเล็กนิดเดียว ให้มันเข้าใกล้กัน นี่เป็นตัวละครอีกตัวสำหรับหนังเรื่องนี้ โรงเรียนก็เหมือนบ้านที่สอง รู้สึกว่าเป็นฉากถึงตอนเช้า ใกล้สว่างแล้วน้องเขาก็นั่งคุยกันว่าอนาคตจะทำอะไร คือทั้งคู่เล่นดี บรรยากาศมันดีจริงๆ ถ่ายให้เป็นตอนเช้า แต่ถ่าย 2 วันเลยนะฉากนี้ มันต้องเอาช่วงเวลาที่แสงมันก้ำกึ่งจะเช้าจะเย็น มันไม่ได้แบบกลางวันสว่างๆ ซึ่งแสงออกมาสวยมาก ทั้งคู่นั่งคุยกันแล้วแบบโลกพึ่งตื่น โรงเรียนพึ่งจะตื่น ผู้คนเริ่มออกมา แต่ 2 คนนี้ยังเหมือนอยู่ในโลกของตัวเองอยู่ มันสวยงามดีฉากนี้เป็นฉากประทับใจเลย
เรื่องราวความรักที่พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไร
เรื่องก็มีอยู่ว่า พี่ต่าย (เพ็ญพักตร์ ศิริกุล) เล่นเป็น “บัวจัน” เป็นแม่หม้ายสามีตาย สามีเป็นโรคมะเร็งในกล่องเสียงแล้วเขาต้องผ่าเอากล่องเสียงออก ดังนั้นช่วงเวลา 2 ปีก่อนที่สามีจะตายสื่อสารกันด้วยการเขียน เขียนส่งเขียนถาม-ตอบกัน เลยกลายเป็นว่าพอตายไปแล้วไอ้จดหมายก็ยังกองอยู่เต็มบ้านเลย เธอก็มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความทรงจำที่เหลืออยู่ แล้วคนรอบตัวแต่ละคนก็มีแต่จะสร้างความปวดหัวให้แก่นาง ไม่ว่าจะหลานที่อยู่ด้วย ลูกที่ไปทำงานที่อื่น แล้วก็พวกคนที่ทำงานด้วยกัน การมีชีวิตอยู่ต่อไปมันอยู่ในระหว่างความทรงจำที่เหลืออยู่กับเก็บทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่ อันนี้แหละเป็นสิ่งที่เธอกำลังต่อสู้อยู่ แล้วมันก็มีความห่วงหาอาวรณ์คนที่ตายจากไป บางทีก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้จากไปไหน เขาอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่เรามองไม่เห็น หรือว่ายังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตัวเรา
ผู้หญิงคนนี้อยู่ระหว่างทางเลือกในชีวิตที่ว่ามีชีวิตอยู่ต่อไป เดินต่อไปข้างหน้า หรือการที่จมอยู่กับอดีต...คอยฝันถึงคนรักครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วความทุกข์ก็จะกลับมาเยือนทุกครั้ง จู่โจมโดยไม่รู้ตัว คือเหมือนกับว่ายังตัดไม่ขาด แต่ในการตัดไม่ขาดก็มีความสุขของนางอยู่ เพราะนางก็จะรู้สึกว่าคนรักยังไม่ไปไหน
คาแรกเตอร์จริงๆ ของ “บัวจัน” เป็นยังไง
พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล เล่นเป็น “บัวจัน” เป็นผู้จัดการรีสอร์ท เป็นหญิงหม้ายวัยเกือบปลายคนแล้ว เป็นคนที่เข้มแข็ง ภายนอกเหมือนจะเข้มแข็งแต่ในใจมันมีความโดดเดี่ยวอยู่ ความรู้สึกที่เคยมีคนอยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตแล้ววันหนึ่งมันไม่มีอีกแล้ว ก็ต้องทำแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งนานไปมันก็เริ่มมีความรู้สึกในเรื่องของความเชื่อ ยิ่งนานไปยิ่งคิดอะไรได้ขึ้นมาเรื่อยๆ คิดถึงการกลับมาของสามีในรูปแบบต่างๆ บัวจันก็จะจินตนาการไปแล้วก็กลายเป็นคนยืดติดกับสิ่งๆ นี้
บัวจันกับสามีเคยทำอะไรมาด้วยกันตลอดในชีวิตนี้ มีงานทำก็เหมือนมีส่วนร่วมในกันและกันมาโดยตลอด แต่เวลาผ่านไปบางอย่างมันก็หลงลืมไปบ้างในส่วนงานเก่าๆ ของสามี บางครั้งบัวจันก็คิดว่าคิดว่าตัวเองเข้มแข็งมากพอแล้ว บางทีความรู้สึกอย่างนี้เราจะไม่เข้าใจจนกว่าเราจะได้เห็นการสูญเสียจริงๆ ไป
เคยได้ยินคำว่าอยู่ด้วยกันจนวันตายไหม แต่สุดท้ายมันไม่ใช่ มันอยู่ด้วยกันจนใครสักคนตายจากเราไป แล้วหลังจากนั้นมันต้องอยู่ให้ได้ อันนี้มันคืออะไรที่เป็นความจริงมาก มันไม่ใช่ความโรแมนติกแต่มันก็มีความสุขในความเศร้านะ
มะเดี่ยวเคยร่วมงานกับพี่ต่ายมาแล้ว พอมาเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง
พี่ต่ายเคยร่วมงานกับเราตอนหนังเรื่อง 12 ซึ่งเป็นภาคก่อนหน้า 13 เกมสยอง ก็ชอบพอกันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแหละ มีโอกาสก็จะหาหนังแล้วก็ทำงานด้วยกัน แต่คราวนี้ได้ทำงานกับแบบเต็มๆ พี่ต่ายเขาเก่งประทับใจแกน่ารัก ทุกครั้งที่แกแสดงเราก็จะเห็นการแสดงดีๆ ดูหนังเรื่องนี้ดูการแสดงก็คุ้มแล้วนะ (หัวเราะ)
สิ่งที่ประทับใจมีเยอะนะ อย่างเรื่องนี้เป็นหนังที่พูดภาษาเหนือทั้งเรื่องเลย ภาษาล้านนา-เชียงใหม่ –เชียงรายด้วย คืออย่างที่บอก “Home” คือพูดถึงบ้าน เราก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันพูดถึงที่ๆ เราเติบโตมาทั้งชีวิต มันก็คือเชียงใหม่ แล้วคนในความทรงจำของเราก็พูดจากันแบบนี้ เรื่องนี้เลยให้พูดภาษาเหนือกันไป เป็น 10 กว่าปีแล้วมั้ง ที่ไม่มีหนังที่พูดภาษาเหนือกันล้วนๆ ขนาดนี้มาก่อน
แล้วก็มีความประทับใจอยู่หลายอย่างนะมีอยู่ฉากนึงเกี่ยวกับฉากที่พี่ต่ายนั่งรำพึงรำพันถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วก็วอนขอให้สามีจากไป ที่มาที่ไปของฉากนี้มันก็คือ ในห้วงเวลาที่สามีแกกำลังจะสิ้นลม มีเครื่องช่วยหายใจ มีกราฟมีอะไรพะรุงพะรัง และในช่วงเวลานั้นบัวจันก็จะต้องไป-กลับที่บ้านเคยอยู่ ไปทุกที่ๆ มีความทรงจำตรงนั้นอยู่ ซึ่งเป็นความเจ็บปวดนะ...คนเคยอยู่กันมาทั้งชีวิต พอเขาไปแล้วตัวเองก็อยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ ฉากนี้คือฉากที่ประทับใจมากๆ ร้องไห้เลย
เราก็จะได้เห็นพี่ต่ายเล่นดราม่าหนักๆ ในเรื่องนี้กันอีกครั้งใช่ไหม?
ใช่ เรื่องดราม่าของพี่ต่ายนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มืออาชีพมาก วิธีการเล่าเรื่องที่ตัดสลับไม่ได้เรียงเวลา ตัดสลับโลกความจริง- ความฝัน ห้วงของความทรงจำมาอยู่ในนั้น เป็นหลายเลเยอร์เป็นวิธีการเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง เป็นรสชาติใหม่ๆ ที่อยากให้ลองเข้าไปดู หนังเรื่องนี้มีความเป็นกวีอยู่สูงมาก อย่างที่บอกเหมือนเรานั่งดูร้อยกรอง ดังนั้นคิดว่าจะได้ดื่มด่ำกับความงามของมัน เหมือนดูห้วงอารมณ์ รู้อารมณ์รู้ห้วงความทรงจำของคน
อีกเรื่องราวความรักที่จะปรากฎในภาพยนตร์เรื่องนี้ล่ะ
อีกมุมของความรัก เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งในวัย 30ต้นช่วงวัยนี้กำลังฮิต วัยที่กำลังแต่งงานและพูดถึงจุดที่จะต้องแต่งงาน ในเรื่องนุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา เธอมารับบทในชื่อ “ปรียา” เป็นคนเชียงใหม่แต่ไปทำงานที่กรุงเทพ ได้ไปเจอกับเสี่ยหนุ่มจากภูเก็ต ก็คือ “เสี่ยเล้ง” แสดงโดย “เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ แล้วก็ลงหลักปักฐานที่จะแต่งงาน โดยจะขึ้นมาแต่งงานที่เชียงใหม่ ในก่อนที่จะแต่งงานปรียาก็ต้องไปเจอเพื่อนเก่า เจอชีวิตเก่าๆ หลายๆ อย่าง เหมือนกับว่ามาสั่งลาชีวิตโสดทุกอย่างก่อนแต่งงาน ไปปาร์ตี้กับเพื่อน เหตุการณ์เหมือนทั่วๆ ไป แล้วก็ไปเจอกับอดีตรุ่นพี่ที่เคยกรี๊ดในวัยมัธยม ทุกคนจะต้องมีแบบรุ่นพี่ที่เราชอบอะไรอยู่แล้ว แต่ปรียาก็พบว่าทุกคนมีชีวิตคู่ที่ล้มเหลวหมดเลย รวมทั้งไอ้พี่คนนั้นด้วย ชื่อ “พี่เป็ก” แสดงโดยพี่ลิฟท์ สุพจน์ จันทร์เจริญ
ในวัยเด็กเราจะมีความทรงจำที่สนุกสนานหลายอย่าง รวมทั้งคำสัญญาที่เราเคยให้ไว้ตอนเด็กๆ พอกลับมาอยู่ในวันคืนชีวิตเก่าๆ แล้วมันมีความสุข แต่กับชีวิตใหม่ก็เกิดความไม่แน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะดีไหม แล้วจะเลือกทางไหน มันก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีความมั่นคงในความคิด
ปรียา กับ เลี่ยม (พิช วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล) พี่น้องสองคนนี้อยู่กัน 2 คน แล้วน้องก็อยากให้พี่สาวมีความสุข อยากทำงานแต่งงานนี้ให้ดีเลิศสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ปรากฏว่ามันมีเหตุการณ์เกิดขึ้น..โอ้โหไปกันใหญ่ แถมมีอาตุ๊ยตุ่ย พุทธชาต พงศ์สุชาติ ที่เป็นน้า “น้าอร” ที่เหมือนกับเป็นแม่งานอีกคน เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่มีอยู่ ณ เวลานั้นก็ต้องมาช่วยกัน เหตุการณ์อลหม่านงานแต่งก็เลยเกิดขึ้น หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เขาเรียกได้ว่า romantic comedy ที่สุด สนุกดูเองยังชอบเลย แล้วอย่างหนึ่งในหนังเรื่องนี้นะ คือการแสดงของทุกคนเฉือดเฉือนกันแบบอู้หู้ประทับใจเลยทีเดียว เวลาเราเจอดาราเยอะๆ มาเล่นด้วยกัน แล้วทุกคนต่างเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์ กำกับก็สนุก ตัดออกมาก็ดูสนุก คุ้มแล้วแหละดูเรื่องนี้เรื่องเดียวพอ (หัวเราะ) อลังการมาก
-
คาแรกเตอร์ของแต่ละคนในเรื่องเป็นยังไง
เริ่มจาก นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา เราเคยทำงานร่วมกันในงานเฉลิมพระเกียรติตอนนั้นเป็นหนังสั้น แล้วนุ่นเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาในแวดวงอยู่แล้ว ด้วยความเป็นเพื่อนด้วยความสนิทกันด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็ทำงานกันง่ายอยู่แล้ว แล้วก็เป็นนักแสดงฝีมือดีมากๆ คนหนึ่งในทั่วฟ้าเมืองไทย นุ่นเล่นเป็น “ปรียา” เป็นผู้หญิงที่หัวอ่อน คิดมาก ขี้นอย เป็นผู้หญิงที่คิดไปเรื่อยว่า “ฉันรักเขาหรือแค่ต้องการความมั่นคงในชีวิต” “เอ๊ะไอ้นั่นก็ดี ไอ้นี้ก็ใช่” คือใครลากไปไหนจูงไปไหนไปอยู่ในสังคมไหนก็เป็นแบบนั้นหมด แต่เธอก็พอใจที่ชีวิตเป็นแบบนี้
ส่วน “เสี่ยเล้ง” แสดงโดยพี่เจมส์ เรืองศักดิ์ เป็นเถ้าแก่น้อยเป็นเศรษฐีหนุ่ม มีความเป็นผู้นำสูง นิ่ง คิดอะไรทำอะไรที่เรียกว่าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เป็นนายคน คาแรกเตอร์ของคนใต้ จะห้วน สั้น เด็ดขาด เรื่องนี้เราจะเห็นพี่เจมส์แลงใต้ คือเป็นคนเหนือกับคนใต้มาเจอกัน ในขณะที่คาแรกเตอร์ของคนเหนือคือคิดเยอะกว่าจะพูดอะไรต้องประดิษฐ์ถ้อยคำ คิดว่าถ้าพูดออกไปแล้วเขาจะคิดยังไง มันก็เลยกลายเป็นว่าวิธีการพูดวิธีการคิดมันจะซับซ้อน เยอะสิ่งกว่าจะแปลความหมายได้ว่าไม่หรือใช่ แต่สำหรับคนใต้ที่เราไปเจอเด็ดขาด ตรง กระชับ ได้ใจความ สื่อสารกันแบบไม่รู้เขาจะคิดยังไง ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์ที่มีเสน่ห์ของคนพื้นที่ที่พอเจอกันแล้วมันสนุก
น้องพิช วิชญ์วิสิฐ ก็มารับบทเป็น “เลี่ยม” เป็นน้องชายของปรียา ซึ่งก็เวิ่นเว้อไม่แพ้กัน จริงๆ แล้วเลี่ยมมีชื่อจริงว่า มอส แต่เลี่ยมเป็นฉายา เลี่ยมภาษาเหนือแปลว่าคนสอดรู้อยู่แล้ว เป็นคนสอดรู้พูดมาก รู้อะไรก็จะพูดไปหมด เป็นคนจัดการนู่นนี้นั่น สนิทกับพี่สาวมาก รักพี่สาวมาก
พี่ลิฟท์ สุพจน์ มารับบทเป็น “พี่เป็ก” รุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า พี่ลิฟท์นี่รู้จักกันมาอยู่แล้ว แล้วรู้สึกว่าพี่เค้าเล่นดี เลยอยากทำงานด้วยกันอยู่แล้ว พี่เป็กเป็นพี่ชายในวัยมัธยมที่สาวๆ คลั่งไคล้ แล้วรู้สึกว่าแต่ละคนที่เราเลือกล้วนเป็นไอดอลยุค 90 (หัวเราะ) อย่างพี่เจมส์ ทุกวันนี้ก็ยังไอดอลอยู่ (หัวเราะ) ไอดอลอย่างพี่เจมส์และพี่ลิฟท์มันหวนให้คนดูรู้สึกถึงพี่ชายในวัยเด็กที่เราชื่นชอบ แล้วรู้สึกว่าเป็นการแคสติ้งที่ใช่มากๆ ถูกต้องที่สุดแล้ว พี่ลิฟท์เล่นเป็นพี่เป็กผู้สิ้นหวังในชีวิตเหมือนกัน มันเหมือนเรามองใครสักคนตอนเด็ก โตมาพี่เขาต้องมีแฟนสวยๆ มีลูกมีครอบครัวที่มีความสุขแน่เลย แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่เป็นแบบนั้น ทุกคนมีโอกาสที่จะล้มเหลวได้ทุกเมื่อ ซี่งในเรื่องพี่เป็กเองก็ล้มเหลวกับชีวิตครอบครัว
แล้วก็มีพี่แมว จารุณี บุญเสก เล่นเป็นเพื่อนสนิทของปรียา ชื่อสุ ตัวละครเยอะมากหนังเรื่องนี้ สุ เป็นคนใต้ที่มาอยู่เมืองเหนือเหมือนกัน ใช้ชีวิตมาจนกระทั่งมีสามี มีลูก สามีก็ทิ้งไปเหลืออยู่แต่ลูก เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้ปรียารู้สึกว่าชีวิตคนรอบข้างล้วนล้มเหลว
แล้วก็มีน้าอร เล่นโดยอาตุ่ย พุทธชาต เป็นสาวแก่ ไม่มีสามี แต่นางก็ดูลั้นลากับชีวิตดี ทำตลกไปทั้งเรื่อง มีความรักความห่วงใยของสองพี่น้องนี้ เพราะเหมือนกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกันมากๆ เพียงคนเดียวที่คอยดูแลพี่น้องคู่นี้มาโดยตลอด
ประทับใจอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม
ประทับใจหลายฉากมาก ฉากแต่งงานก็สวย มีความเป็นเหนือดี ชอบฉากที่นุ่นกลับมาง้อพี่เจมส์ หลังจากที่ทุกอย่างมันเข้ากันไม่ได้เลย เธอต้องมาฝืนมาง้อแล้วก็พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนั้นแหละเป็นการแสดงที่ยากมาก ทุกๆ ครั้งที่มีการแสดงอะไรก็ตามแต่ แบบฉากจูบกับพี่ลิฟท์ คือเล่นกันดี เล่นกันเอาตายไปเลย นี้คือรู้สึกว่ามันเป็นความสุข ความสนุก เวลาเรากำกับหนังแล้วเราได้เจอนักแสดงดีๆ เก่งๆ มารวมกัน เรื่องนี้มันเป็นงานที่มาดูการแสดงเถอะ สำหรับเด็กๆ สำหรับนักแสดงรุ่นใหม่ๆ ทุกคนปล่อยของ คิดว่ามาดูเอาไว้เป็นตัวอย่าง การตีความบทภาพยตร์ การตีความตัวละคร การตีความอารมณ์และการแสดงออก การถ่ายทอด การสื่อความหมายและการรับส่งของนักแสดงทุกคน มันแม่นมากแล้วมันดีมากๆ สำหรับภาพยนตร์
ครั้งนี้กลับมาร่วมงานกับพิชอีกครั้ง มองน้องคนนี้มีพัฒนาการยังไงบ้างจากเรื่องที่แล้ว
สำหรับ พิช คือทำงานมาด้วยกันตลอดแหละ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทั้งงานเพลงและงานหนัง พัฒนาการของพิชไปในทางที่ดีขึ้นมากๆ คือเป็นบทที่แม้แต่เหมือนบทสมทบแต่เขาก็ประคองหน้าที่นี้ได้ดี แล้วก็เช่นกันเป็นบทที่ต้องพูดเยอะพูดแยะ ในชีวิตจริงพิชก็ไม่ได้เป็นคนพูดเยอะอะไรขนาดนั้น ก็ต้องแสดงออกมา แล้วก็แสดงความรักความห่วงใยให้กับพี่สาวของตัวเอง รวมถึงการที่ต้องแสดงให้คลุมเครือว่าแบบมันรู้หรือไม่รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ทำได้ดีมีความพยายาม ต้องไปดูเรื่องนี้แต่สนุกจริงๆ นะ เวลาที่ทุกคนปล่อยของ ไม่มีใครยอมกันเลยแม้กระทั่งน้องใหม่อย่างพิช
รวม ๆ แล้วเริ่มต้นและถ่ายทำเสร็จในการทำงานเรื่องนี้ ใช้เวลาไปนานแค่ไหน
โปรเจคนี้ใช้เวลาหลายปีอยู่นะ ไม่ได้คิดที่จะทำแต่แรก แต่เรื่องราวที่เราจดจำและเขียนเอาไว้ บันทึกมาเรื่อยๆ เราจำไม่ได้หรอกว่ามันนานแค่ไหนแล้ว ถ้าให้นับเวลาจากในสมุดบันทึกมันก็คงเป็นสิบๆ ปี นับเวลาตั้งแต่รวบรวมทุกสิ่งเพื่อทำโปรเจคนี้ ปีหนึ่งทำเรื่อง ปีหนึ่งถ่าย แต่ว่าถ่ายทำกันจริงๆ 2-3 เดือน แล้วก็ทำโพสทำอะไรอีกเพื่อที่ออกมาเป็นหนังเรื่องนี้
Home นำเสนอเรื่องราวความรักอย่างไร
อยากจะบอกว่าชีวิตคนมันไม่ได้มีแค่เรื่องโศกเศร้า ไม่ได้มีแค่เรื่องตลกสนุกสนาน นี้คือหนังที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ด้วยกัน มันก็ครบทุกรส มันก็มีทั้งแบบอบอุ่นใจ ร้องไห้เป็นเผาเต่า หัวเราะครื้นเครงมันอยู่ในนั้นหมด มันคือชีวิตประสบการณ์จากผู้คนรอบข้างที่ผ่านมาของเรามีทุกด้าน ทุกความรู้สึก เดี๋ยวดูไปจนจบก็จะรู้ว่ามันเกี่ยวกันยังไง เพียงแต่ว่าเราพูดถึง เวลาของคน เรารู้สึกว่ามันเปรียบเทียบเหมือนช่วงเวลามากกว่า “กลางคืน โพล้เพ้ล กลางวัน” เหมือนความรู้สึกของคน
นิยามของคำว่าบ้านในความรู้สึกของมะเดี่ยวคืออะไร?
นิยามของคำว่า Home ถ้าเป็นภาษาไทยแปลว่าบ้าน แต่บ้านมันมี2ความหมาย คือ บ้านที่เป็นกายภาพ (house) กับความรู้สึกที่ได้อยู่ในบ้าน (home) ดังนั้นคำว่า home น่าจะในความหมายคือความรู้สึกที่ได้อยู่บ้าน ได้อยู่กับครอบครัว อยู่กับคนที่เรารัก ได้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัย ทุกที่ในหนังทุกเรื่องหรือว่าผู้คนที่เราผูกพันในหนังเรื่องนี้ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน มันคือคนที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน คนที่เรารัก เพื่อน หรือพ่อแม่ หรือพี่น้องอะไรต่างๆ นานา มันเป็นเรื่องของคนเหล่านี้ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ้าน แต่ว่าจริงๆ แล้วมันคือความรู้สึกเกี่ยวกับผู้คนที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้อยู่ในบ้านมากกว่า
Home ต้องการสื่อเรื่องราวความรักถึงคนดูอย่างไรบ้าง
เป็นเมสเสจที่ง่ายมาก ถึงมันจะซับซ้อนดูยาวนานขนาดไหน แต่สิ่งที่ต้องการจะบอก อย่างตอนรักแห่งสยามคนกลับไปบอกว่า “มีความรักย่อมมีความหวัง” แต่เวลาผ่านไปเราก็รู้ว่าชีวิตเราบางความรู้สึกมันไม่มีทั้งความรักทั้งความหวัง แต่เราก็ต้องใช้ชีวิตมันต่อไป เราก็ต้องเดินมันต่อไป แต่เราไม่ได้เดินคนเดียวหรอก เรายังมีคนอีกตั้งเยอะที่ยังไม่มีความรักและความหวังอยู่ด้วย เราทุกคนผ่านช่วงเวลาแบบนี้กันมาทั้งนั้น แน่นอนมันโหดร้าย แล้วเราคิดว่ามีแต่เราคนเดียวที่เจอ เปล่า! จริงๆ แล้วมีอีกเยอะอีกแยะ มองไปข้างๆ สิ มีทั้งเพื่อน ทั้งพี่น้อง มีใครอีกตั้งหลายคนที่ยังอยู่กับเราอยู่ ณ เวลานี้
มันเหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้มันผ่านความเป็นวัยรุ่นแบบรักแห่งสยามมาแล้ว นั่นทำตอนอายุ 25-26 ผ่านมา 5 ปี ก็ได้เจอความสูญเสีย เจอชีวิตมันเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากมาย ดีที่สุดก็เจอ แย่ที่สุดก็เจอ แต่ทั้งหมดที่พูดว่า เราไม่ได้เจออยู่คนเดียว ชีวิตเราไม่ได้เดินไปลำพังนะ ยังมีคนที่อยู่กับเราอีกตั้งเยอะ ยังมีบ้านให้เราอยู่ ยังมีคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่บ้าน เราอยู่กับเขาแล้ว อาจจะไม่ใช่แฟนก็ได้ อาจจะเป็นใครก็ได้ อาจจะเป็นเพื่อนที่สนิทมาก เป็นพี่เป็นน้องหรือเป็นคนในความทรงจำในอดีตที่เราแบบนึกถึงแล้วยังรู้สึกจริงมันยังอยู่กับเรา
รักแห่งสยามเราได้เพลงมาประกอบหนังซึ่งดังมากมาแล้ว มาเรื่องนี้มะเดี่ยวจับชิ้นงานเพลงอะไรให้คนดูอีกหรือเปล่า
เพลงประกอบของหนังเรื่องนี้มีหลากหลาย มีทั้งเพลงที่พิชแต่งเองชื่อเพลง “ผ่านเลยไป” แต่ขับร้องโดยวงเสือโคร่ง เพลงที่เล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ และที่พิเศษเป็นอันดับแรกคือเพลง “วันของเรา” ของวง soul after six ที่เอามาcoverใหม่โดยวงออกัส และก็พิเศษมากๆ คือมีเพลง “วันที่สวยงาม” เป็น original soundtrack ของหนังเรื่องนี้ที่พี่ป๊อด โมเดินร์ด็อกให้เกียรติมาแต่งให้กับเรา แล้วน้องพิชเป็นคนร้อง ซึ่งเราดีใจและภูมิใจมาก เพราะว่าพี่ป็อดเป็นไอดอลของเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไร และก็ใฝ่ฝันจะร่วมงานกันมานาน แกก็ใช้เวลาเขียนเพลงนี้ประมาณ 4-5 วันเอง และก็ออกมาดีมากเลย เร็วๆ นี้ก็คงได้ฟังกันแล้ว
แนวเพลงประมาณไหนบ้าง
อย่างเรื่องนี้มันจะมีช่วงท้ายเรื่องที่เป็นสรุปหนัง มีเพลงร้องในงานแต่งที่เขียนขึ้นมาใหม่ แล้วทีแรกเขียนคล้ายๆ กับเป็นกลอนหรือเป็นร้อยแก้วก่อน แล้วก็ไปให้พิชดูว่าอยากได้เนื้อหาแบบนี้ๆ ลองไปแต่งดู พิชก็ไปแต่งมาก็เออๆ เพราะดี ก็ได้เป็นเพลงเอามาใช้ในหนัง อย่างเพลงพี่ป๊อด คืออยากได้แบบเพลง end credit เป็นเพลงที่โจ๊ะๆ หน่อย เอาไว้เต้นแด๊นซ์กันได้เป็นเพลงร้องในงานปาร์ตี้ก็ให้โจทย์นี้พี่ป๊อดไป ชอบแนวเพลงกันและกันของที่พี่แต่งอ่ะ ของโมเดิร์นด็อกมีกันและกัน 2 เพลง เพลงที่พี่แต่งเป็นแนว punk rockอยู่แล้ว เขาก็ใช้เวลา 5 วันแต่งแล้วเอามาให้ฟัง เพราะมาก
สุดท้ายแล้วคิดว่าอะไรที่จะทำให้คนต้องไปดูเรื่องนี้กัน
สิ่งที่พิเศษที่เราอยากจะให้คนไปดูหนังเรื่องนี้ อันดับแรกคือ การแสดง การรวมตัวกันของนักแสดงทั้งหน้าเก่า หน้าใหม่ ทุกเรื่องอยู่แล้วเราเข้มข้นมากในส่วนการแสดงตรงนี้ ดังนั้นดูก็คุ้มแล้ว อย่างที่สองก็คือว่า ไม่ได้ทำหนังมานาน เป็นหนังยาวในรอบ 4-5 ปี แล้วแหละที่ไม่ได้เจอ เลยเหมือนกับว่าเรื่องนี้จะได้กลับมาเจอกับแฟนหนังทุกคน
ฝากผลงานภาพยนตร์กับแฟนๆ ทิ้งท้ายนิดนึง
ฝากผลงาน “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” 19 เมษายนนี้ในโรงภาพยนตร์ทุกโรงใกล้บ้านท่าน หนังดี ดูสนุก เพลงเพราะ จบประทับใจ จูงลูก จูงหลาน จูงแฟน จูงพ่อจูงแม่ ชวนกันไปดูหนังเรื่องนี้ไม่มีพิษไม่มีภัยดูกันได้ทั้งครอบครัว แล้วก็จะเข้าใจความรักกันมากขึ้น เข้าใจคนที่อยู่ใกล้เรามากขึ้น แล้วก็มีความเมตาเอื้ออาทรให้กันมากขึ้น ก็ขอให้ลองไปดูกันนะครับ ขอบคุณครับ
-
Home เปิดรอบพิเศษรับเทศกาลแห่งความสุข ให้ร่วมประทับใจก่อนใครทุกโรงทั่วกทม.
สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล และสตูดิโอคำม่วน พร้อมใจกันเติมเต็มเทศกาลแห่งความสุขในช่วงสงกรานต์กับภาพยนตร์แห่งความประทับใจ หากคุณเคยหลงทางเพราะความรัก ครั้งนี้...ปล่อยให้เรานำทางหัวใจคุณเอง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ นำแสดงโดย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล, เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, ศิรพันธ์ วัฒนจินดา, สุพจน์ จันทร์เจริญ, วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล, พุทธชาต พงศ์สุชาติ ผลงานกำกับล่าสุดของ มะเดี่ยว – ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ของความรักมาแล้วจาก “รักแห่งสยาม” เชิญคุณสัมผัสความรู้สึก “รัก” กับ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ กับรอบพิเศษก่อนใครในวันที่ 12 – 16 เมษายน เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ทุกโรงภาพยนตร์ (เฉพาะกทม.)
ทุกเสียงการันตีหนังรักที่ดีที่สุด ของ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีรกุล”
สินจัย เปล่งพานิช
“นกชอบไดอะลอกจากทุกประเด็นของตัวละครทำให้รู้สึกดีมากๆ สำหรับคนที่เป็นแฟนของ “มะเดี่ยว” ต้องชอบแน่นอนค่ะ สำหรับเรื่องนี้มีทั้งความโรแมนติกนิดๆ ดราม่าหน่อยๆ แต่เป็นอะไรที่ทำให้เราได้หลายๆ มุมมองเอากลับบ้านไปได้ค่ะ”
นนทรีย์ นิมิบุตร
“ผมชอบบรรยากาศของหนังทุกๆ ตอนมันมีความพิเศษ หนังเรื่องนี้มันจำลองมาจากชีวิตจริง ความรู้สึกจริงๆ เป็นบันทึกความรัก เป็นความทรงจำทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งรวบรวมไว้ในภาพยนตร์เรื่องเดียวถือว่ายิ่งดูยิ่งอิ่มเอม ประทับใจครับ”
ยุทธนา บุญอ้อม
“เป็นหนังที่ใกล้เคียงกับคำว่า perfect มากที่สุด ผมชอบมากๆ ครับ เรื่องนี้วางตัวละครทุกตัวไว้น่ารักมาก สคริปท์ดีมาก การแสดงของนักแสดงทุกคนถือว่าเข้าขั้นยอดเยี่ยม เป็นหนึ่งในหนังไทยที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ดูแล้วประทับใจมาก ไม่อยากให้ใครพลาดเลยแม้แต่คนเดียว”
ดีเจบ๊อบบี้
“ถ้าใครชอบ “รักแห่งสยาม” นี่คือหนังที่ดีที่สุดต่อจากรักแห่งสยามของ “คุณมะเดี่ยว”ครับ อยากบอกว่าอย่ามองข้ามหนังเรื่องนี้ครับ เพราะหนังเรื่องนี้ คือหนังเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับหนังไทยที่ผ่านมา”
-
พิช – แจ็ค – มาร์ช ประชันภาพถ่ายประทับใจ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวความรัก ความสุข ความทรงจำ


ไหนๆ หนังก็ถ่ายจบจนได้ฤกษ์ใกล้วันเข้าฉายเต็มที่ แต่ความทรงจำดีๆ ก็ยังไม่เคยถูกลืม สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ที่วันนี้เราได้ 3 นักแสดงหนุ่มหล่อมาบอกเล่าเรื่องราวความทรงจำดีๆ กับภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านภาพถ่ายแห่งความประทับใจ นำทีมโดย พิช – วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล และขอแนะนำสองหนุ่มหล่อหน้าใหม่ แจ็ค - กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา และมาร์ช - จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล โดยวันนี้เรามุ่งหน้ามาที่ร้าน Scrap@Love ตามมาดูกันดีกว่าว่าหนุ่มๆ เค้าจะมาทำอะไรกันที่นี่
พอก้าวเข้ามาเท่านั้นแหละ สามหนุ่มของเราก็จัดแจงเตรียมภาพถ่ายประทับใจมาอวดกัน โดยหนุ่มแจ็คและหนุ่มมาร์ช ก็ไม่พ้นการนำภาพในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้มาตกแต่ง เพราะถือว่าเป็นความประทับใจที่อยู่ในความทรงจำแบบสุดๆ ทั้งมิตรภาพความรักระหว่างเพื่อน ทั้งความสุขและสนุกในการถ่ายทำ อีกทั้งยังเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของทั้งคู่อีกด้วย ส่วนพี่ใหญ่หนุ่มพิชของเราก็เลือกภาพหมู่ที่เป็นการรวมตัวกันของวงออกัสที่ได้เล่นคอนเสิร์ตครบรอบ 4 ปีของภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามที่มีเซอร์ไพรซ์จากมาริโอ้ และยังเป็นงานแถลงข่าวของภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ อีกด้วย พออวดภาพกับเรียบร้อยต่างคนก็เริ่มเดินสำรวจร้านหาไอเดียสุดเก๋ตกแต่ง และเมื่ออุปกรณ์พร้อม ไอเดียพร้อม ทุกคนก็ลงมือกันใหญ่ ซึ่งหนุ่มๆ ของเราทีแรกออกตัวว่าทำไม่เป็น แต่พอถึงเวลาก็โปรกันสุดๆ ทำกันไปคุยเล่นกันไป เผลอแป๊บๆ ก็ออกมาเป็นผลงานน่ารักๆ อย่างที่เห็นเนี่ยแหละ
(พิช) “ปกติพิชไม่ถนัดทำอะไรแบบนี้เลยทั้งที่จริงๆ แล้วรูปถ่ายที่ชอบมีเยอะเลยครับ แต่รูปนี้เป็นรูปแรกที่พิชเอามาใส่กรอบตกแต่งแบบนี้ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะเคยหลงลืมเหตุการณ์บางอย่างไปบ้าง แต่พอเวลามองรูปพวกนี้เราก็จะได้นึกถึงวันนั้นที่เรามีความสุขด้วยกัน มีความทรงจำดีๆ ด้วยกัน และยิ่งรูปนี้ถ่ายกับเพื่อนๆ วงออกกัสกับพี่มะเดี่ยว มีมาริโอ้ที่เราเคยร่วมงานกัน เรียกว่าเป็นภาพที่รวมคนที่เรารักและสนิทก็ว่าได้เลยครับ และที่สำคัญยังในรูปเป็นวันงานแถลงข่าวเรื่อง Home มีแจ็คกับมาร์ชที่กำลังมีผลงานล่าสุดด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนที่ต้องแอบรัก ลืมรักและเลือกรัก เป็นผลงานกำกับล่าสุดของพี่มะเดี่ยว และยังเป็นผลงานเรื่องแรกของแจ็คกับมาร์ชด้วย ยังไงฝากให้ทุกคนช่วยกันติดตามด้วยนะครับ”
เห็นกรอบรูปน่ารักๆ แบบนี้ก็อยากจะทำบ้าง ถ้าสนใจก็ของเก๋ๆ แบบนี้ก็ไปได้เลยที่ Scrap@Love เมเจอร์อเวนิว รัชโยธิน แต่ถ้าใครจะอยากจะอิ่มเอมอบอุ่นไปกับเรื่องราวความรักโรแมนติคดราม่า ก็อย่าพลาด Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ 19 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
-
:'( ดูมาล่ะ หวั่นๆอยู่ ต้องอาศัยแฟนรักแห่งสยามพอสมควร หนังดี แต่ความสนุกอาจจะน้อยไปนิด
-
“นก สินจัย” ยกนิ้วชมผู้กำกับ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ” สร้างหนังสะท้อนแง่มุมชีวิตจริงได้ลึกซึ้ง มั่นใจคนดูชอบ “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” หนังรักดีๆที่ไม่ควรพลาด

ชั่วโมงนี้คงไม่มีผู้กำกับคนไหนหน้าบานเท่ากับ ผู้กำกับที่ชื่อ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ” อีกแล้ว เพราะกระแสของภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจนหุบยิ้มไม่ลงกันเลย โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีการจัดรอบพิเศษฉายภาพยนตร์ ที่โรงภาพยนตร์ House RCA ให้กับเหล่าบุคคลในวงการบันเทิงที่มีทั้งผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร, พิง ลำพระเพลิง หรือเหล่าดีเจศิลปินชื่อดังอย่าง ป๋าเต๊ด-ยุทธนา บุญอ้อม, ป๊อด-ธนชัย อุชชิน, ดีเจบ็อบบี้-นิมิตร ลักษมีพงศ์, ดีเจอรรณพ กิตติกุล และรวมถึงเหล่านักแสดงเช่น นก-สินจัย เปล่งพานิช, อีฟ-พุทธธิดา ศิระฉายา, แม็กกี้-อาภา ภาวิไล, อร-พัทธ์ธีรา ศรุติพงศ์โภคิน เป็นต้น หลายคนออกมาพร้อมกับคราบน้ำตาสุดซึ้ง และรอยยิ้มอันอบอุ่นจากการชมภาพยนตร์ครั้งนี้ โดยเฉพาะพี่นก สินจัย ที่เคยร่วมงานจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม เมื่อเจอหน้าผู้กำกับมะเดี่ยว ก็โผเข้ากอดด้วยความคิดถึง พร้อมทั้งชื่นชมกับภาพยนตร์ล่าสุดผลงานของผู้กำกับคนโปรดอย่างทันที
“ต้องบอกว่าชอบมากค่ะ เป็นภาพยนตร์ที่จะสะท้อนในแง่มุมของชีวิต ทำให้เราเข้าใจชีวิตและอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น ไม่มองโลกในแง่ร้าย ด้วยภาษาพูดเป็นภาษาเหนือทั้งเรื่องมันได้ความรู้สึกของความเป็นบ้านอย่างมากค่ะ ส่วนตัวพี่นกชอบบทสนทนาจากทุกประเด็นของตัวละคร คำพูดหลายๆคำที่อยู่ในภาพยนตร์ มันคือความเป็นจริงในชีวิต การที่คนเรากว่าจะโตมาและต้องผ่านเรื่องราวอะไรมามากมายนั้น มะเดี่ยวนำเสนอออกมาได้น่าสนใจอย่างมาก เราสามารถนำกลับบ้านไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างแน่นอน หากใครที่ชอบแนว โรแมนติก ดราม่า และติดตามผลงานของมะเดี่ยว เชื่อว่าต้องชอบหนังเรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ กันอย่างแน่นอนค่ะ”
19 เมษายนนี้ ร่วมค้นหาคำตอบดวยหัวใจคุณเอง กับภาพยนตร์รักแห่งปี “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” ผลงานกำกับของ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ” ร่วมด้วยนักแสดงคุณภาพ ต่าย เพ็ญพักตร์, เจมส์ เรืองศักดิ์, นุ่น ศิรพันธ์, ลิฟท์ สุพจน์, พิช วิชญ์วิสิฐ และเหล่านักแสดงคุณภาพอีกคับคั่ง พร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์
เชิญคุณสัมผัสความรู้สึก “รัก” กับ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ กับรอบพิเศษก่อนใครในวันที่ 12 – 16 เมษายน เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ทุกโรงภาพยนตร์ (เฉพาะกทม.)
-
บทสัมภาษณ์: “ลิฟท์” สุพจน์ จันทร์เจริญ รับบทเป็น “พี่เป๊ก”ในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ

คาแรกเตอร์ที่มารับบทในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
ในเรื่องนี้ผมก็มารับบทเป็น “พี่เป็ก” ก็จะเป็นผู้ชายที่อบอุ่น เป็นคนเชียงใหม่เกิดที่นี่ เรียนที่นี่ ทำงานมีครอบครัวก็ที่นี่ เขาก็ยังมีเพื่อนมีชีวิตที่ผูกพันกับที่บ้านเกิดมาตลอด ไม่ได้เป็นคนร่ำรวยอะไร ก็ออกจะบ้านๆ พอใจกับที่ๆ ตัวเองอยู่ ไม่ได้คิดดิ้นรนอะไรในชีวิตมากมาย
แล้วก็ช่วงสมัยวัยเรียนเหมือนเป็นรุ่นพี่ที่น้องๆ สาวๆ ชอบ พี่เป็กเป็นแฟนเก่าของนางเอกที่ชื่อว่า “ปรียา” ที่เล่นโดยน้องนุ่น (ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) ในเรื่อง ตอนเรียนคบกันเป็นแฟนแต่พอดีว่านางเอกจะย้ายไปเรียนต่อที่กรุงเทพ เราก็เลยห่างๆ กันไป และก็ได้กลับมาเจอกันอีกทีในงานเลี้ยงสละโสดของปรียา แต่ตัวพี่เป็กเองเป็นคนที่ประสบความล้มเหลวในชีวิตคู่ กลับมาเจอกันคราวนี้อีกครั้งพี่เป็กก็ไม่ได้มีใคร เรื่องราวและความรู้สึกที่เคยมีต่อกันมันก็หวนกลับมา ก็เลยกลายเป็นจุดพลิกที่ทำให้เกิดความรู้สึกสับสน เกิดเรื่องราวต่างๆ ในเรื่องนี้ขึ้น
ทำไมถึงรับเล่นเรื่องนี้ มีแรงจูงใจอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม
จริงๆ ตอนแรกก็ได้รับการติดต่อว่าจะมีหนังเรื่อง Home กำลังหาคนมาแสดง แต่เขาก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรชัดเจน ทางทีมงานมะเดี่ยวก็ลองส่งบทมาให้ลองอ่านดู แต่พอได้อ่านแล้วรู้สึกว่าโทนมันอบอุ่นดี มันดูเป็นหนังที่ยิ้มๆ ในเรื่องของความเป็นไปของตัวละครแต่ละคนจะมีที่ไปที่มาแตกต่างกัน แต่พอบทสรุปแล้วผมรู้สึกว่าใครได้ดูแล้ว ผมว่าน่าจะออกมาเดินยิ้มกันทุกคน แค่บทที่อ่านก็พร้อมเล่นเลยครับ ไม่ต้องคิดอะไรมากมายเลย
นี่ถือเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ร่วมงานกับมะเดี่ยว?
เป็นครั้งแรกครับที่ได้ร่วมงานกัน แต่กับตัวมะเดี่ยวก็เคยรู้จักกันมาบ้าง เพราะว่าเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียน แล้วก็เผอิญว่าได้ไปเจอกันตามงานต่างๆ ได้พูดคุยกันมาเรื่อยๆ จนได้มาร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งแรก รู้สึกว่าเป็นผู้กำกับที่น่ารักดี เป็นกันเองกับนักแสดง ไม่เครียดเท่าไร จะเครียดในเรื่องโปรดักชั่น แต่เขาจะพยายามไม่ทำให้บรรยากาศเสียลง เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือและวางตัวอยู่ในวงการที่ดี เขาจะมีเรื่องให้ขำตลอด จะแซวจะเล่นอย่างที่ไม่ทำให้งานเสีย ถึงเวลาทำงานก็งานจริง ดีครับอยากเห็นคนทำงานรุ่นใหม่เป็นแบบนี้
เรื่องนี้มะเดี่ยวแอบแซวว่าได้คนยุคเดียวกันมาเล่นประกบกัน กับเจมส์ร่วมงานกันครั้งนี้เป็นยังไง
จริงๆ ก็ดีใจที่ได้เล่นกับเจมส์ด้วย แต่พอมาเล่นจริงๆ ไม่ได้เข้าฉากด้วยกันเลย เป็นคนละพาร์ทมากกว่า คือเราจะเห็นเขาตลอด รู้แค่ว่าคนนี้คือเจ้าบ่าวของงานแต่งที่เราต้องไปทำงาน และเป็นคนที่จะมาแต่งงานกับแฟนเก่าเรา ในเรื่องจะมีเจอกันอยู่ไม่เยอะ แต่เราจะได้เจอกันระหว่างถ่ายทำ แต่ก็ดีครับนานๆได้กลับมาร่วมงานกันครั้งหนึ่ง ถึงแม้ไม่ได้ร่วมฉากกันเยอะแยะก็แล้วแต่ แต่ก็อยู่ในเรื่องเดียวกันก็โอเค ได้เจอเพื่อนได้เจอบรรยากาศกันทำงานด้วยกัน สนุกดีครับ
ร่วมงานกับนุ่นละเป็นยังไง
ผมกับนุ่นเคยร่วมงานมาแล้วครั้งหนึ่งครับ ตอนนั้นไปเล่นละคร ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาเล่นหนัง นุ่นเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่มีฝีมือดี ดูจากความตั้งใจของเขา ดูจากการแสดงของเขา จากการร่วมงาน จากการร่วมซีนที่แบบหนักๆ เขาก็โอเค เขามีสมาธิสูงดี เขาจะไม่ปล่อยเวลาว่างให้หายไปอย่างไม่มีจุดหมายเขาจะทวนบทตลอดเวลา จะนั่งเดินวนเวียนอยู่ตรงนั้นเพื่อทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ทั้งหมดให้ได้ นุ่นเขาก็เป็นอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว จะเห็นความเอาใจใส่ทุ่มเทกับชิ้นงานของเขาอย่างดี เป็นนางเอก หรือเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ อนาคตรุ่งอีกคนนึงที่ต้องจับตามองเลยทีเดียว
แล้วกับน้องพิช ได้ร่วมฉากกันบ้างไหม
กับน้องพิชก็จะเจอกันแค่ฉากสองฉากเอง ในเรื่องนี้ส่วนมากจะเข้ากับนุ่นมากกว่า พาร์ทของพี่เป็กเองก็จะเน้นไปในเรื่องของความรู้สึกในอดีตระหว่างปรียากับพี่เป็ก ความเกี่ยวข้องกับคนอื่นก็ค่อนข้างที่จะน้อยกว่า แต่กับน้องพิชนี่ดีครับ เคยติดตามผลงานน้องมาจากรักแห่งสยามแล้ว ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร พอได้มาเจอกันในเรื่องนี้ก็อ๋อ น้องคนนี้น่ะเอง เป็นเด็กที่นิสัยน่ารักมากครับ เขาจะไม่ไปไหนจะอยู่กับกองถือบทอ่านบท ใช้เวลาทำความเข้าใจกับงานอยู่ตลอดเวลาคนนึงเหมือนกัน มีความขยันและเอาใจใส่กับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ดีครับ
มาเล่นเรื่องนี้มีความประทับใจอะไรบ้างไหม
สำหรับเรื่องนี้ผมว่า...คืออย่างที่บอกโทนมันอบอุ่น แล้วพอเราอ่านบทครั้งแรก ขนาดเราเป็นคนอ่าน เรายังคิดไปตามบท เหมือนกับว่าพอเราได้อ่านได้ดูมันจะสนุกไปกับบท เราได้เดาตั้งแต่แรกๆ ว่าเอ๊ะ! เหตุการณ์มันจะเป็นยังไงต่อไป มันไม่ใช่เปิดมาแล้วเรื่องราวทุกอย่างเฉลยหมดเลย อันนี้คือเปิดมาปุ๊ปมันมีอะไรที่ทำให้คนดูได้คิดตาม ได้คิดไปเอง ได้เดาไปเอง ผมว่าคนดูมีส่วนร่วม สำหรับเรื่องนี้ถ้าได้ดู
ส่วนความประทับใจในรายละเอียดต่างๆ ของเรื่องมันบอกยาก อย่างที่บอกเรื่องราวมันกระชับความประทับใจมันเลยอยู่ไปในทุกๆ ส่วนที่เราสัมผัสกับมัน ซึ่งนั่นก็เกือบทั้งหมดของเรื่องนี้เลย เลยไม่มีอันไหนที่เป็นพิเศษทุกฉากทุกซีนพิเศษหมดสำหรับผม เรื่องราวมันทำให้เราเกิดความประทับใจ ตัวละครแต่ละตัวเองก็ด้วย ซึ่งนักแสดงแต่ละคนที่มะเดี่ยวคัดมาเล่นเรื่องนี้ผมว่ามันเติมเต็มแล้ว ทุกคนได้มาเจอกันได้มาร่วมฉากเดียวกัน ได้เล่นต่อบทต่ออารมณ์ด้วยกันผมว่านี่คือทั้งหมดที่เราประทับใจ
ส่วนของพี่ลิฟท์มีความทรงจำดีๆ อะไรที่อยากจะพูดถึงบ้างไหม
ของผมน่าจะเป็นทุกๆ ช่วงในชีวิตนะครับ ชีวิตของเราชีวิตหนึ่งมันก็มันมีทั้งความสุข ความทุกข์ แต่ส่วนมากเราอยากจะเลือกจำส่วนที่ดีๆ มากกว่า ตั้งแต่เด็กก็มีประสบการณ์ในเรื่องของชีวิตวัยเด็ก นั่งนึกย้อนกลับไปก็ยังมีความสุข แค่ได้นั่งนึกว่าเมื่อก่อนมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่พอเริ่มโตมาในช่วงวัยทำงาน ช่วงออกอัลบั้มออกเทป พอเราได้นั่งนึกย้อนกลับไปมันก็มีความสุขไปอีกแบบหนึ่ง มันคือเรื่องของการทำงาน คือเรื่องของการได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เจอเพื่อนๆ ได้เจออาชีพที่เรารู้สึกว่าพอเราได้สัมผัสแล้วมันมีความสุขดี พอเราได้ทำงานแล้วมีความสุข ผมว่าทุกคนคงจะมีในเรื่องนี้ แล้วแต่ว่าใครจะเลือกจำในสิ่งไหน บ้างคนก็ชอบจำในสิ่งที่เป็นเรื่องช้ำใจก็มี บ้างคนก็มัวแต่นั่งนึกว่าเคยอกหักยังไง เคยช้ำใจยังไงก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่สำหรับผมทุกครั้งที่นึกถึงตอนทำอัลบั้มในช่วงแรกๆ ที่เข้ามาในวงการแล้วมันคือความประทับใจ คือความทรงจำดีๆ ที่เราคิดถึงทุกครั้งก็มีความสุขในทุกครั้ง
ความรัก ความอบอุ่นที่เราสัมผัสได้จากหนังเรื่องนี้ ทำให้เรามีมุมมองเกี่ยวกับความรักยังไงบ้าง
ความรักของผมเปลี่ยนไปตลอด ตอนเด็กๆ จะคิดว่าทุกอย่างเป็นสีชมพูหมดเลย เคยเข้าข้างตัวเองว่าใครที่ได้มาเป็นแฟนผมนี่โชคดีมาก (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ เรารู้สึกแบบนั้น แต่พอเราโตมาค่อยๆ มาเป็นวัยรุ่น ความรักมันก็เริ่มเปลี่ยนไป มันก็ต้องมีเพื่อนเข้ามา ต้องมีความรัก ความเห็นแก่ตัว ความเจ้าชู้ ทุกๆอย่างมันเข้ามาหมด เพราะฉะนั้นนิยามความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สำหรับของผมก็คงเปลี่ยนไปตลอด แต่ตอนนี้นิยามความรักของผมกลายเป็นเรื่องของครอบครัวไปแล้ว ครอบครัวของผมถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ความรักก็คือการทำให้คนที่อยู่รอบข้างเรามีความสุข มีความอบอุ่น แล้วก็ทำให้ลูกเติบโตได้อย่างเข้มแข็งแล้วก็มีความอบอุ่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความหมายของคำว่าบ้านหรือ Home ในที่นี้ พี่ลิฟท์ให้คำจำกัดความมันว่ายังไง
ผมเคยชอบคำพูดของคนๆ หนึ่ง เขาเคยสอนผมว่า จำไว้นะทำงานได้ปุ๊ปอย่าไปซื้ออย่างอื่น ซื้อบ้านไว้ก่อน ซื้อบ้านเงินสดนะอย่าซื้อเงินผ่อน เมื่อก่อนมีคนสอนผมแบบนี้ เขาบอกว่ายังไงก็แล้วแต่ไม่ว่าคุณจะออกไปนอกบ้านจะเหนื่อยขนาดไหน ไม่มีเงินกินข้าว ไม่มีคนรักแต่ทุกครั้งที่คุณกลับมาบ้านของคุณ นี่คือที่ของคุณแหละ มันเป็นที่ๆ มีความสุข ที่ๆ ไม่มีใครมาทำอะไรคุณได้อยู่แล้ว สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ แล้วอีกอย่างหนึ่งเราเป็นคนไทยมั้งครับ บ้านจึงเป็นครอบครัวใหญ่ผมรู้สึกอย่างนั้น พอมีปู่ ยา ตา ยาย อยู่ด้วย มีเรา มีพ่อมีแม่ มีลูกมีหลาน ผมรู้สึกว่ามันอบอุ่นดี ความสมบูรณ์ของคำว่าบ้านมันคือที่ๆ เราอยู่แล้วเกิดความสบายใจ อบอุ่น มันโอบล้อมเราเอาไว้ให้เราได้พักพิง ไม่ว่าเราจะเป็นยังไงก็ตามจะเหนื่อย จะท้อ จะหมดแรง จะตื่นเต้นดีใจ หรือมีความสุขขนาดไหน เราจะอยู่ได้อย่างสบายใจที่สุดแล้วครับ
หลังจากเรื่องนี้ไปเราจะได้เห็นผลงานของพี่ลิฟท์หรือเปล่า?
ตอนนี้ก็มีละครเรื่อยๆ แต่หนังนี้นานมากที่ไม่ได้เล่น น่าจะ7-8 ปีได้ พอเราได้กลับมาเล่นหนังอีกครั้งหนึ่งมันก็รู้สึกดีครับ ได้ย้อนความรู้สึกไปสมัยก่อนๆ มันก็โอเคแฮปปี้ดี เรื่องสุดท้ายคือ เรื่องก็เคยสัญญา นานอยู่นะเรื่องนั้น จนมาถึงเรื่องนี้ ยังไงผมคิดว่าคงจะได้เห็นผมกันไปอีกนานนะครับกับวงการนี้ (หัวเราะ)
คิดว่าคนดูจะได้อะไรจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้?
เรื่องHome ความรัก ความสุข ความทรงจำ มันก็เหมือนเป็นกระจกสะท้อนให้คนดูมากกว่า ในเรื่องของความคิด ในบางเรื่องเราอาจจะไปคิดแทนคนอื่นไม่ได้ เราจะไปอ่านความคิดของคนอื่นไม่ได้ บางครั้งถึงแม้ว่าความคิดของเราก็ตาม บางครั้งเราคิดไปก็ไม่ใช่ว่าจะถูกเสมอ บางครั้งก็มีทั้งถูกและผิด เพราะฉะนั้นคนที่ดูเรื่องนี้น่าจะเป็นแง่คิดให้เขามากกว่า อย่างน้อยคุณได้อยู่กับตัวเองแต่ก็ไม่ใช่ว่าความคิดของคุณจะถูกเสมอไป เพราะฉะนั้นคุณอยู่ในสังคมกว้างๆแบบนี้ ก็น่าจะฟังความคิดเห็นคนรอบข้างด้วย ไม่ใช่คิดไปเองตลอด
ผมว่าภาพยนตร์มันมีจุดที่ทำให้คนได้หยุดมองอะไรรอบตัวได้บ้าง อาจจะไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาให้กับชีวิตใครได้อย่างแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ก็สามารถที่จะใช้ความรู้สึกจากภาพยนตร์ไปปรับใช้กับความรู้สึกของตัวเอง กับคนรอบข้าง กับคนที่เรารัก กับคนที่เราอาจจะหลงลืมไปว่าสำคัญกับเราแค่ไหน ผมว่าอย่างน้อยๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็บรรเทาให้ใจเราได้ถอยออกมาสักก้าวหนึ่งเพื่อที่จะได้ดูตัวเอง ดูและปรับปรุงแก้ไขก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไป
สุดท้ายอยากฝากอะไรกับแฟนๆ ที่กำลังรอชมผลงานของลิฟท์บ้าง
ผมว่าเป็นหนังที่อบอุ่น ดูแล้วก็ยิ้มๆ ให้กำลังใจกับคนที่มีความรัก ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าออกมาแล้วทุกคนจะชอบครับ ทุกคนตั้งใจและพยายามจะสื่อความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัวออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อที่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวนี้สมบูรณ์ที่สุด ทุกคนตั้งใจตั้งแต่เริ่มอ่านบทกันทั้งนั้น ผมอยากให้ความตั้งใจเหล่านี้ส่งผ่านไปถึงผู้ชมที่เข้ามาชมทุกท่าน ให้เกิดความรู้สึกดีๆ เพราะเมื่อทุกอย่างที่ดีๆ เริ่มจากตัวเรา มันก็จะแผ่ไปถึงคนอื่นๆ ด้วย อยากให้ทุกคนชมภาพยนตร์ให้สนุกครับ อย่าไปเครียดกับอะไรๆ ปล่อยวางหายใจลึกๆ ก่อนเข้าไปชมภาพยนตร์กันครับ
-
พิช-มาร์ช-แจ๊ค ปลื้มโดนแฟนๆ เซอร์ไพรส์กลางโรงภาพยนตร์


กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ตั้งแต่รอบพิเศษในช่วงวันหยุดสงกรานต์จนได้ฤกษ์เข้าฉายในปลายสัปดาห์ที่ผ่าน สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ เป็นการกลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้งของ “มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” กับเรื่องราวความรักในมุมมองต่างๆ ผ่านผลงานการกำกับล่าสุดนี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังส่งผลให้นักแสดงหน้าใหม่แจ้งเกิดเลยทีเดียว งานนี้เลยทำเอานักแสดงและผู้กำกับไม่รอช้า รีบรวมตัวกันออกทัวร์โรงเพื่อขอบคุณแฟนๆ ที่ให้การต้อนรับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างดี
ว่าแล้วผู้กำกับของเราก็เป็นพี่ใหญ่นำทีมน้องๆ นักแสดง พิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล รวมทั้ง 2 นักแสดงหน้าใหม่ที่กำลังมาแรง มาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล และแจ๊ค-กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา ออกเดินสายพบปะแฟนๆ ที่โรงภาพยนตร์พารากอนซีเนเพล็กซ์และเมเจอร์รัชโยธิน งานนี้ทั้ง 4 คน ตั้งใจจะบุกไปเซอร์ไพร์สแฟนๆ ที่หน้าโรงภาพยนตร์ แต่กลับกลายเป็นต้องเซอรไพรส์ซะเองเพราะมีแฟนคลับมารอพบและขอลายเซ็นรวมทั้งถ่ายภาพเป็นจำนวนมาก ทำเอาผู้กำกับและนักแสดงต่างก็ตื้นตันใจไปไม่น้อยที่มีคนรักและชื่นชมผลงานมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะนักแสดงหน้าใหม่ มาร์ชกับแจ๊คคงจะเซอร์ไพรซ์มากกว่าใครที่ผลงานเรื่องแรกก็ทำให้ทั้ง 2 คนแจ้งเกิดได้อย่างสวยงาม
เห็นจากฟีดแบ็คที่ล้นหลามมากขนาดนี้แล้ว มีหรือที่จะพลาดได้กับ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู ก็รีบเข้าไปติดตามค้นหาคำตอบของความหมายของคำว่า “รัก” ในมุมมองที่แตกต่างออกไปได้ในโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ
-
มะเดี่ยว-มาร์ช-แจ๊ค เปิดบ้านสัมผัสรักกับรอบพิเศษ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ครั้งแรกที่ทุกคนได้พูดคุย พร้อมรับของที่ระลึกสุดพิเศษ

Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ เปิดบ้านสัมผัส “รัก” ครั้งแรกที่ทุกคนจะได้สัมผัสความอบอุ่นจาก “รัก” ณ บ้านหลังนี้ กับกิจกรรมฉายภาพยนตร์รอบพิเศษ ชวนแฟนคลับและคนที่ชื่นชอบผู้กำกับและนักแสดง ร่วมชมภาพยนตร์ พร้อมพูดคุยกับผู้กำกับและนักแสดง นำโดย มะเดี่ยว - ชูเกียรติ์ ศักดิ์วีระกุล,มาร์ช – จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล, แจ๊ค- กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา แบบใกล้ชิด พร้อมรับของที่ระลึกสุดพิเศษ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา ณ.โรงภาพยนตร์พารากอน ซีเนเพล็กซ์ ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป
ทั้งนี้บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากแฟนคลับและคนที่ชื่นชอบผลงานของมะเดี่ยว,มาร์ชและแจ๊ค ทุกคนต่างมาร่วมให้กำลังใจ และร่วมชมภาพยนตร์กันอย่างมากมาย บางคนได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Home มาแล้วกว่า 3 รอบ และเมื่อถึงเวลาลงทะเบียนรับของที่ระลึก ซึ่งเป็นแผ่นฟิล์มที่ทำมาพิเศษเพื่อนแฟนๆเฉพาะงานนี้ ก็มีผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์มาร่วมงานและลงทะเบียนมากมาย ซึ่งหลังจากที่ชมภาพยนตร์แล้วก็มีการพูดคุยตอบคำถามกันอย่างเป็นกันเอง พร้อมกับการแจกเสื้อยืดและปลอกหมอนที่ทำมาพิเศษเพื่องานนี้แจกให้กับผู้โชคดีกันอย่างมากมาย ซึ่งงานนี้น้องมาร์ชได้พูดถึงความรู้สึกว่า
“วันนี้รู้สึกดีใจมากเลยครับที่มีแฟนคลับ และคนที่ชื่นชอบงานของเรามาให้กำลังใจกันเยอะมากๆๆๆๆๆๆ ก็ต้องขอขอบคุณทุกๆ คนผ่านทางนี้ด้วยครับ รอบพิเศษวันนี้เป็นรอบที่เราจัดขึ้นมาพิเศษเป็นรอบสำหรับแฟนคลับโดยเฉพาะ เราตั้งใจจัดขึ้นเพื่อขอบคุณและมอบของที่ระลึกส่งกลับไปยังคนที่ให้กำลังใจเรา ซึ่งในงานนี้นอกจากเราจะมีนิทรรศกาลชุดต่างๆ ที่เราเคยใส่ในภาพยนตร์ และแกลอรี่ภาพหนังของภาพยนตร์ที่เราจัดขึ้นมาเพื่อโชว์แล้วนำมาให้ทุกคนได้ดูและถ่ายรูปร่วมกัน พร้อมกับมีการพูดคุยกับพวกเราแบบเป็นกันเองมากๆ งานนี้เรียกว่าเราทำเพื่อแฟนๆ และคนที่ชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ แล้วก็มี feedback กลับมาดีมากครับ ทุกคนมาร่วมเป็นกำลังใจและมาร่วมชมภาพยนตร์กันมากมายจริงๆ ขอบคุณมากนะครับ”
-
แฟนคลับชาวจีน ส่งเงินแสน เหมารอบฟรีการกุศล HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำ เติมเต็มหัวใจและโอกาสให้พี่น้องชาวไทย


ถือเป็นอีกปรากฎการณ์แห่งความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย-จีน โดยเฉพาะวงการภาพยนตร์ไทย เมื่อบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมกับ แฟนคลับชาวจีนของพิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล ชื่อกลุ่ม “PchyChina” ที่รวบรวม และส่งตรงเงินจำนวน 130,000 บาทให้แก่หนุ่มพิช จัดรอบการกุศลภาพยนตร์เรื่อง “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” เมื่อวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา เวลา 17:00 น. ณ โรงภาพยนตร์ UMG-RCA, อาร์ซีเอ, พระราม 9 ให้แก่ เหล่าสมาชิก, อาสาสมัครจากมูลนิธิและองค์กรเพื่อสังคมต่างๆ ภายใต้ชื่องานว่า “ไทย-จีน พี่-น้อง ร่วมแบ่งปันความรัก ความสุข ความทรงจำ กับภาพยนตร์ Home”
ทั้งนี้ในกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น เนื่องจากแฟนคลับชาวจีนที่ประเทศจีน ที่ติดตามผลงานของหนุ่มพิช วงออกัส และผู้กำกับ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (รักแห่งสยาม) ได้ทราบถึงกระแสความดัง และคุณภาพของภาพยนตร์ไทย HOME ในโลกไซเบอร์ ทำให้แฟนชาวจีนอยากชมภาพยนตร์ Home กันเป็นอย่างมาก โดย Home เพิ่งเข้าฉายในประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2555 และยังไม่มีกำหนดวันเข้าฉายในประเทศจีน แฟนบางกลุ่มมีโอกาสบินมาชมด้วยตัวเองแล้ว แต่บางคนไม่สามารถบินมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ แต่อยากแสดงกำลังใจและสนับสนุนภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้ จึงรวบรวมเงินในกลุ่มจำนวน 130,000 บาท ส่งมอบให้หนุ่มพิช และสหมงคลฟิล์มฯ จัดรอบการกุศลฯ เปิดโอกาสให้คนที่อาจจะไม่มีโอกาสชมภาพยนตร์ไทยคุณภาพดีเรื่องนี้ได้ทันในช่วงที่ฉายในโรงภาพยนตร์ได้เข้ามาชมกันเยอะๆ อาทิ สมาชิกจากสมาคมคนตาบอดฯ, สมาคมคนหูหนวกฯ, เยาวชนชายจากบ้านอุเบกขา, มูลนิธิศุภนิมิตฯ, องค์กรเพื่อชุมชนแห่งความเท่าเทียม, สมาคมสมาริตันฯ, มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล, Teenpath และอื่นๆ รวมถึงตัวแทนคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็มาเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย โดยภายในงานมี หนุ่มพิช วิชญ์วิสิฐ, น้องมาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล และน้องแจ็ค กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา นักแสดงนำของภาพยนตร์ เป็นเจ้าภาพ และนำทีมผู้ร่วมงานร่วมกันพับนกกระดาษ เพื่อใช้เป็นตัวแทนคำขอบคุณจากคนไทยสู่แฟนๆ ชาวจีน
จุดที่น่าประทับใจที่สุด ก็คงเป็นการที่สมาชิกคนตาบอดให้สัมภาษณ์กับทีมงานว่า “ไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะได้มีโอกาสได้กลับมามีประสบการณ์ชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง ต้องขอบคุณทีมงานที่จัดงานครั้งนี้มากๆ” โดยพวกเขามีอาสามัครเพื่อนคนตาบอดคอยนั่งเป็นเพื่อน และอธิบายภาพบนจอให้ฟัง
นอกจากนี้ยังมีคลิปวิดีโอที่แฟนๆชาวจีนจัดทำขึ้น โดยพูดถึงความต้องการในการชมภาพยนตร์เรื่อง Home มากแค่ไหน และอยากขอร้องให้คนไทยช่วยสนับสนุนหนังดีดีเรื่องนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำเอาดาราและผู้ร่วมกิจกรรมซึ้งกันไปตามๆกัน
ก็ถือเป็นอีกกิจกรรมที่น่าสนใจ เพราะขนาดชาวต่างชาติ ยังให้ความสนใจและสนับสนุนภาพยนตร์ไทยขนาดนี้ คนไทยที่มีโอกาสมากกว่า ก็สามารถไปพิสูจน์คุณภาพของ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำและสนับสนุนภาพยนตร์ได้แล้ว วันนี้ ในโรงภาพยนตร์