SLEEPING BEAUTY
จัดจำหน่ายโดย เอ็ม พิคเจอร์
ภาพยนตร์เรื่อง SLEEPING BEAUTY
ชื่อภาษาไทย “อย่าปล่อยรัก ให้หลับไหล”
ภาพยนตร์แนว ดราม่า
จากประเทศ ออสเตรเลีย
กำหนดฉาย 15 ธันวาคม 2554
ณ โรงภาพยนตร์ เอเพ็กซ์ สยามสแควร์
ผู้กำกับ Julia Leigh (จูเลีย ลีห์) หนึ่งใน 25 ผู้กำกับอินดี้หน้าใหม่โดยนิตยสารฟิล์มเมคเกอร์ของอเมริกา
อำนวยการสร้าง Jessica Brentnall (เจสสิก้า เบรนท์นอล)
นักแสดง Emily Browning (เอมิลี บราวนิง) นักแสดงชื่อดังของออสเตรเลีย จากภาพยนตร์ Sucker Punch
ร่วมด้วยสองนักแสดงคุณภาพ Rachael Blake (ราเชล เบลค) และ
Ewen Leslie (อีเวน เลสลีย์)
จุดเด่น Sleeping Beauty คือภาพยนตร์แนวเเทพนิยายอีโรติกสุดละเมียด เรื่องราวแห่งโลกเร้นลับของความงามและความปรารถนา ซึ่งได้ผู้กำกับหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ เจน แคมเปียน เป็นผู้การันตีถึงความยอดเยี่ยมของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งนำการเสียดสีความต้องการทางราคะที่น่าจับตามองมากที่สุดอย่าง นอกจากนี้ยังได้ผู้กำกับหญิงอย่าง จูเลีย ลีห์ ทำหน้าที่ทั้งเขียนบท และ กำกับฯ ด้วยตัวเอง จนได้รับเลือกให้เข้าประกวดในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 2011 อีกด้วย
คำพูดจาก JANE CAMPION (เจน แคมเปียน)
จูเลีย ลีห์ มีเอกลักษณ์ด้านภาพยนตร์ที่ทั้งใหม่ และเต็มไปด้วยความมั่นใจ
Sleeping Beauty ทำให้ฉันตื่นเต้นและลุ้นระทึก
เธอทั้งเย้ายวน มีเสน่ห์ลึกลับ ซับซ้อน และไร้ความกลัวพรสวรรค์ของเธอ
และหนังเรื่องนี้พิเศษสุดจริงๆ
Sleeping Beauty เป็นหนังอัตถิภาวะนิยมร่วมสมัย
มันเป็นภาพสะท้อนที่น่าหลงใหลว่าพวกเราบางครั้งใช้ชีวิตหรือได้ใช้ชีวิตเช่นไร
“หัวใจสลาย อ่อนโยน น่าสะพรึงกลัว ฉันชอบมันนะ”
“น่าตกตะลึงและงดงาม เอมิลี บราวนิงไร้ที่ติจริงๆ”
เรื่องย่อ ลูซีเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่มีอาการชืดชาต่อทุกสิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เธอใช้การโยนเหรียญตัดสินประสบการณ์รุกด้านเพศแบบสุ่มของเธอและเธอก็แสดงออกถึงความอดทนโดยไม่ปริปาก เมื่อต้องทำงานซ้ำซากจำเจ เพื่อนำเงินที่ได้มาเป็นค่าเทอม วันหนึ่ง เธอเลือกตอบรับงานที่โฆษณาไว้ในหนังสือพิมพ์สำหรับนักศึกษา หลังจากการสัมภาษณ์ และการตรวจสอบที่ออฟฟิศของคลารา เธอก็ได้เริ่มต้นเป็นสาวเสิร์ฟในชุดชั้นใน และแอบออดิชันสำหรับบทเจ้าหญิงนิทรา เธอผ่านความเห็นชอบและเธอก็ผลุนผลันตอบรับงานใหม่ที่พิสดารนี้ ในการไปเยือนคฤหาสน์ในชนบทแห่งนั้นเป็นครั้งแรก คลาราได้อธิบายให้ลูซีฟังว่า เธอจะถูกทำให้หมดสติ“เธอจะเข้าสู่นิทรารมณ์ และเธอก็จะตื่นขึ้นจากการหลับไหล ราวกับว่าเวลาเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"
เศรษฐีชราผู้ไปเยือน Sleeping Beauty Chamber ชื่นชอบอาการไร้การตอบสนองของลูซี สัมผัสอิโรติคที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจตามที่พวกเขาแสวงหาในห้องแห่งนั้นจำเป็นต้องอาศัยการยอมจำนนสมบูรณ์แบบของเธอ และการไร้ความสามารถมองร่างกายที่แก่ชราของพวกเขาได้ กฎข้อเดียวคือจะต้องไม่มีการล่วงละเมิด ในการแสดงบทเจ้าหญิงนิทราของเธอ เธอต้องฝึกทำเป็นตาย เธอกลายเป็นวัตถุที่แสนงดงามของพวกเขา ที่ยอมรับต่อการสูญเสียความนึกคิดของตัวเองแบบสุดโต่งและการถูกล่วงละเมิดที่ตามมา ผู้มาเยือนรายแรกยกย่องความเยาว์วัยและความงามของเธอ ส่วนรายที่สองเป็นพวกซาดิสต์ รายที่สามบังเอิญทำร่างที่อ่อนปวกเปียกของเธอร่วงลงพื้น
การถูกทำให้ไม่ได้สติในห้องนั้นหมายถึงว่า มีส่วนหนึ่งในชีวิตเธอที่ยังคงไม่รู้อะไร ประสบการณ์สั่นประสาทของการถูกจับตามองในยามหลับไหลเริ่มเข้าครอบงำชีวิตจริงของเธอ เมื่อถูกไล่ออกจากบ้านที่อยู่ร่วมกับคนอื่น เธอก็ใช้รายได้ที่เธอได้มาจากการหลับไหลนี้เช่าอพาร์ทเมนต์หลังใหม่ มันเป็นราวกับโลงแก้วที่เปลือยเปล่า ไร้ซึ่งชื่อเรียกขาน เมื่อเบิร์ดแมน เพื่อนของเธอสิ้นลมในอ้อมแขนเธอ เธอก็สูญเสียสิ่งเชื่อมโยงกับความเป็นจริงเพียงหนึ่งเดียวของเธอ เธอเริ่มเกิดความกระหายใคร่รู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเธอในช่วงกลางคืน
เธอซื้อกล้องสอดแนมตัวจิ๋วมา และบันทึกภาพการสอนในมหาวิทยาลัย เพื่อทดลองแผนการในการบันทึกภาพภายใน Sleeping Beauty Chamber ความต้องการที่จะบันทึกชีวิตอีกด้านหนึ่งที่เธอไม่เคยรับรู้นำไปสู่การท้าทาย เมื่อเธอฝืนสู้ฤทธิ์ยานอนหลับเพื่อซ่อนกล้องจิ๋วไว้ในห้อง และแล้วกล้องของเธอก็ได้บันทึกภาพการฆ่าตัวตายโดยมีคนช่วยของชายผู้หนึ่ง และการโอเวอร์โดสโดยบังเอิญของตัวเธอเอง ที่ทำให้เธอเสียชีวิตชั่วขณะก่อนที่จะถูกทำให้ฟื้นชีวิตขึ้นมาได้ เมื่อลืมตาตื่น ลูซีก็ครวญคราง หวนไห้ ในที่สุด เวทมนตร์นั้นก็คลายออกเสียที
ผู้กำกับ จูเลีย ลีห์
พูดคุยกับ Julia Leigh (จูเลีย ลีห์)
Q: ในสารของคุณ คุณพูดถึงสิ่งที่จุดประกายเรื่องราวนี้ขึ้นมา แต่สถานการณ์จริงๆ เบื้องหลังการเขียนบทหนังเรื่องนี้ล่ะ คุณได้ผู้อำนวยการสร้างมาตั้งแต่เริ่มแรกเลยรึเปล่า เสียงตอบรับช่วงแรกๆ เป็นอย่างไร ใครเป็นคนแรกที่ได้อ่านบท ตัวบทเหมือนกับหนังฉบับสมบูรณ์รึเปล่า
A: ฉันพัฒนาบทหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองจนกระทั่งมาถึงจุดที่ฉันคิดว่ามันเสร็จแล้วล่ะ มันสั้นมาก ประมาณ 67 หน้า ในปี 2008 มันติด ‘แบล็คลิสต์’ ของฮอลลีวูด [ลิสต์บทหนังที่ไม่ถูกนำไปสร้างที่หลายคนรอคอยของแฟรงค์ลิน เลียวนาร์ด] ในปีเดียวกันนั้น ฉันก็ได้รับเลือกจากนิตยสารฟิล์มเมคเกอร์ (อเมริกา) ให้เป็นหนึ่งใน 25 ผู้กำกับภาพยนตร์อินดีหน้าใหม่ ถึงกระนั้น ผู้อำนวยการสร้างหลายคนก็ปฏิเสธฉัน ท้ายที่สุด ฉันก็พบผู้อำนวยการสร้างคนกล้า เธอคือเจสสิก้า เบรนท์นอล ผู้ตระหนักในศักยภาพของบทหนังเรื่องนี้ และเราก็ตกลงกันว่านี่เป็นหนังที่จะถูกถ่ายทำออกมา ระหว่างงานสร้าง เราได้เปลี่ยนแปลงบทเล็กน้อย เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด
คลอเดีย พี่สาวฉัน เป็นคนแรกที่ได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ ฉันไว้ใจเธอด้วยชีวิตลูกของฉันด้วยซ้ำ ส่วนแอนโทเนีย พี่สาวอีกคน ก็นั่งข้างๆ ฉันตอนที่ฉันตรวจดูฟิล์มหนัง นั่นเป็นครั้งแรกที่ตัวฉันได้เห็นหนังฉบับสมบูรณ์ ตั้งแต่ต้นจนจบ เราได้ดูมันที่สเตจวัน ซาวน์ ซึ่งเป็นบริษัทโพสต์โปรดักชัน การให้ความเห็นชอบเป็นการวิ่งผ่านเส้นชัยในความคิดของฉัน มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ ไม่ว่าจะหนังเรื่องนี้จะได้รับการตอบรับอย่างไรในโลกแห่งความเป็นจริง จริงๆ แล้ว ฉันยังคงมีงานมากมายต้องทำหลังจากตรวจดูฟิล์มหนัง แต่มันก็เป็นพิธีกรรมส่วนตัว ปฏิทินส่วนตัว ที่ถูกทำขึ้นเพื่อพลังงานค้ำจุนลับๆ ค่ะ
Q: คุณไม่เคยกำกับหนังมาก่อน แล้วคุณเตรียมตัวอย่างไรสำหรับหน้าที่นี้
A: ฉันได้เขียน ‘บทผู้กำกับ’ ขนาดยาวเพื่อแสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ฉันมีต่อหนังเรื่องนี้ ซึ่งฉันได้อธิบายว่าเราจะเห็นอะไรบนหน้าจอ ทีละซีนๆ มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นเพราะในตอนที่ฉันเขียนบทหนังเรื่องนี้ ฉันก็ ‘เห็นมัน’ ในความคิด ‘กล้องสังเกตการณ์’ อยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้น เป็นประจักษ์พยานที่อ่อนโยนและมั่นคง มาจากมุมมองของห้อง มันเวิร์คสำหรับเรื่องราวนี้ ซึ่งสำรวจความรู้สึกของการถูกเฝ้ามอง ผู้ชมจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เกือบจะเหมือนผู้สมรู้ร่วมคิด
นอกจากนั้นแล้ว ฉันยังพบภาพที่ได้กระตุ้นให้เกิด ‘โทน’ ของหนังเรื่องนี้ ฉันดึงคลิปสั้นๆ จากหนังหลายๆ เรื่อง ฉันดูหนังที่ฉันชื่นชอบโดยไม่เปิดเสียง และถามตัวเองเสมอว่า ‘กล้องอยู่ไหน’ ฉันอ่านหนังสือเรื่องการแสดง ไปเวิร์คช็อป ฉันดู ‘เบื้องหลังการถ่ายทำ’ ในดีวีดี ฉันเข้าคลาสของผู้กำกับชั้นครูหลายคน ฉันไปดูกองถ่ายของเพื่อน ฉันร่วมงานกับนักวาดภาพสตอรีบอร์ด ฉันกำหนดธีมวิชวลของเรื่องอย่างละเอียดด้วยความช่วยเหลือจากเจฟฟรีย์ ซิมป์สัน ผู้กำกับภาพของฉัน ฉันใส่ใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงด้านภาพวิชวลอย่างมาก ฉันทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อเตรียมตัว ฉันไม่อยากจะทำอะไรโดยไม่เตรียมตัวค่ะ
Q: การกำกับหนังเป็นกระบวนการที่แตกต่างจากการเขียนนิยายอย่างไร
A: ในแง่หนึ่ง แบ็คกราวน์ด้านการเขียนของฉันก็เป็นแบ็คกราวน์ด้านหนังของฉันด้วย มันเป็นอย่างเดียวกันค่ะ ‘แบ็คกราวน์’ ของฉันคือความคิดอ่านของฉันค่ะ
นักเขียนนิยายและผู้กำกับต่างก็ทำงานกับ ‘การไหลของเวลา’ ทั้งคู่ต่างก็ทำงานกับ ‘ตัวละคร’ ทั้งคู่สร้างโลกที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและพวกเขาต่างก็มีสิ่งที่อยากจะสำรวจ ฉันอยากจะบอกว่าความอ้างว้างของนักเขียนก็ไม่ได้ต่างกับความอ้างว้างของผู้กำกับนักหรอก เพราะในฐานะผู้กำกับ ฉันเป็นคนเดียวที่มีภาพของหนังทั้งเรื่องในความคิด พื้นฐานเป็นอย่างเดียวกันค่ะ นอกเหนือจากนั้น กระบวนการทั้งหมดก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ฉันไม่ได้จินตนาการถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด ฉันไม่อยากจะมองแง่ร้าย ฉันใส่ใจในเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง ฉันบอกกับตัวเองว่า ถ้าฉันสร้างเงื่อนไขที่ถูกต้องและรักษามันเอาไว้ให้ได้ สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้น (ซึ่งนั่นเป็นการเสี่ยงค่ะ)
ฉันรู้สึกสบายๆ กับการเสี่ยงนี้ค่ะ
Q: ใครเป็นผู้ร่วมงานกับคุณ
A: หนึ่งในเพื่อนร่วมงานสำคัญคนแรกๆ ของฉันคือแอนนี โบแชมป์ ผู้ออกแบบงานสร้าง เราได้เปรียบตรงที่ได้ถ่ายทำในบ้านเกิดของเรา เราก็เลยออกไปสำรวจสถานที่ด้วยกันตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก เรานำภาพมากมายมากองรวมกัน เรากำหนดแถบสีของเรา ด้วยความที่เรามีงบที่ค่อนข้างจำกัด ความท้าทายของเราคือการคิดคำนวณว่าจะจัดสรรงบอย่างไร การสร้างฉาก Sleeping Beauty Chamber ต้องใช้เงินจำนวนมากแต่เราก็ตัดสินใจว่ามันคุ้มค่า ฉันประทับใจอย่างยิ่งกับความรอบรู้และความสามารถของแผนกศิลป์ทุกคนค่ะ
ฉันทำงานอย่างใกล้ชิดกับนิค ไมเยอร์ส มือลำดับภาพของฉัน การลำดับภาพ การต้องดูภาพเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันจะเริ่มสัมผัสได้ถึงอากัปกิริยาของตัวละคร ฉันจะใช้บทพูดจากหนังในชีวิตประจำวันของฉัน ฉันนอนหลับและตื่นมาพร้อมกับภาพของหนังเรื่องนี้ในหัว ฉันสังเกตเห็นถึงรายละเอียดด้านภาพวิชวลทุกอย่าง…ครัวของฉันไม่เคยดูสกปรกและน่าเบื่อแบบนี้เลยค่ะ
หน้าที่หนึ่งที่ไม่มีใครยกย่องคือนักระบายสี โอลิเวอร์ ฟอนเทเนย์ เราถ่ายทำกันด้วยฟิล์ม 35 ม.ม. แล้วค่อยแปลงมันให้เป็นสื่อดิจิตอล การขัดเกลาโทนวิชวลเป็นเรื่องสำคัญสำหรับหนังเรื่องนี้ ที่เราจะมีลองช็อต และผู้ชมจะได้เห็นทุกอย่างจริงๆ มันไม่ได้เหมือนกับว่าเราจะโชว์ภาพเพียงแค่ 2 วินาที แล้วหวังว่าจะรอดตัวได้น่ะค่ะ
Q: แล้วเบื้องหลังการเข้ามามีส่วนร่วมของเจน แคมเปียนล่ะ
A: ฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักเจน แคมเปียน โดยสกรีน ออสเตรเลีย ผู้ลงทุนหลัก เธอเคยอ่านบทเรื่องนี้แล้ว เราได้พบกัน และเธอก็ยินดีที่จะมารับหน้าที่ครูฝึกสอน มันเป็นตอนที่งบของเราอาจจะขอไม่ได้ และการสนับสนุนของเธอเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาทุกอย่างไว้ เราได้พบกันตลอดช่วงพรีโปรดักชัน และเราก็รู้เสมอว่า เธอจะไม่ว่างในช่วงถ่ายทำ เรากลับมาร่วมงานกันใหม่ในช่วงโพสต์โปรดักชัน ตลอดกระบวนการนี้ เธอเตือนฉันให้คอยสังเกตสัญชาตญาณตัวเองและตอบสนองอย่างกระตือรือร้น เพื่อหนังเรื่องนี้ เธอได้ชี้ให้เห็นวิธีดีๆ ที่ฉันสามารถพูดคุยประเด็นต่างๆ กับเพื่อนร่วมงานคนสำคัญของฉันได้
ในวันที่ 2 มิถุนายน ปี 2010 เธอ [เจน แคมเปียน] ได้เขียนอีเมล์หาฉันหลังจากที่ได้เห็นฉบับลำดับภาพคร่าวๆ แล้ว ฉันตรวจดูฟิล์มต้นฉบับในวันที่ 12 ตุลาคม ปี 2010 ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม ฉันน่าจะได้อ่านข้อความที่มั่นใจของเธอประมาณยี่สิบครั้งได้แล้ว มีหลายครั้งที่ฉันรู้สึกเหมือนโดนโจมตีจากรอบทิศ การสนับสนุนของเธอเป็นสิ่งที่ให้ความสบายใจและหนักแน่น เธอเป็นคนใจดีมาก ฉันมองว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ค่ะ
Q: ทำไมถึงเลือกเอมิลี บราวนิงมารับบทลูซี
A: เอมิลี บราวนิงผ่านการทดสอบอย่างยอดเยี่ยม ฉันไม่อยากจะละสายตาจากเธอเลย พอเราได้คุยกัน ก็ชัดเจนว่าเธอถูกใจสคริปต์เรื่องนี้ เธอกล้าหาญจริงๆ เธอทำให้บทนี้กลายเป็นบทของเธอในแบบที่ดีที่สุด ฉันชอบความรู้สึกที่เหมือนกับปลายภูเขาน้ำแข็ง ที่จะเกิดขึ้นเมื่อได้ดูเอมิลีบนหน้าจอ ความรู้สึกของความมุทะลุเงียบๆ แบบจงใจ เอมิลีสามารถหลบเลี่ยงความสงสารตัวเองไปได้ เธอได้ตัดสินใจในเรื่องละเอียดอ่อนมากมาย มันเป็นหน้าที่ที่หนักหนาสาหัส และเราก็ประสบความสำเร็จ การไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญต่อกระบวนการนี้ ฉันรู้ตัวว่าฉันโชคดีแค่ไหนที่ได้ร่วมงานกับเอมิลีในงานเรื่องแรกในฐานะผู้กำกับน่ะค่ะ
Q: แล้วนักแสดงคนอื่นๆ ล่ะ
A: ฉันจะไม่พูดแบบนี้กับนักแสดงหรอกนะคะ แต่ฉันรู้สึกรักพวกเขาในบทบาทของพวกเขาแบบแปลกๆ น่ะค่ะ
ฉันรู้จักราเชล เบลคจาก Lantana และชื่นชอบเธอจากซีรีส์ Wildside ฉันพบว่าเธอสวยมาก ฉันอยากจะหลีกเลี่ยงคลาราที่ ‘เข้มงวด’ เกินไป ราเชลได้นำมิติมาสู่บทนี้ ประสบการณ์กร้านโลก การผสมผสานระหว่างความห่วงใยลูซีอย่างจริงใจและความใจร้าย เธอเป็นผู้รักษาความลับ ระหว่างการซ้อม มีผู้หญิงคนหนึ่งมาสอนราเชลเรื่องพิธีชงชาญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเพื่อเรียนรู้ขั้นตอนของพิธี และเพื่อสังเกตการณ์การวางตัวและการควบคุมที่สงบเงียบของครูคนนี้
ฉันรู้จักอีเวน เลสลีย์จากบทละครเวทีที่โดดเด่นหลายเรื่องและผลงานภาพยนตร์เรื่อง Jewboy เขาเข้ามามีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ตั้งแต่แรกๆ และฉันก็ไม่ได้ทดสอบคนอื่นๆ สำหรับหน้าที่นี่ เขาเป็นผู้สนับสนุนโปรเจ็กต์นี้ตัวจริง และในฐานะผู้กำกับหน้าใหม่ ฉันซาบซึ้งกับความไว้วางใจที่ได้รับมาก เขารับบทเบิร์ดแมนน์ เพื่อนของลูซี ได้อย่างงดงาม ลูซีคอยดูแลเขา พวกเขาดูแลกันและกัน เป็นท่าเรือปลอดภัยสำหรับผู้ที่ปฏิเสธที่จะ “ปรับตัว” คุณอยากให้เขาโอบกอดคุณไว้น่ะค่ะ
ปีเตอร์ แคร์รอลเป็นตำนานของโรงละครออสเตรเลีย ฉันต้องเลือกคนที่สามารถแปลง ‘ความฉลาดที่แท้จริง’ ของตัวละครไปสู่ผู้ชมได้ คนที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็น่าสงสาร คนที่จะเป็นตัวแทนของความทรนงแบบเงียบงัน พูดง่ายๆ คือฉันรักใบหน้าของเขา ฉันคิดว่าปีเตอร์มาอ่านโมโนล็อคของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบตอนเทคที่สี่นะคะ โชคดีที่ไม่ต้องมีการพากย์เสียงทับลงไปเลย
Q: แนวคิดเบื้องหลังการออกแบบเสียงของเรื่องเป็นอย่างไร
A: ฉันกับแซม เพ็ตตี้ได้ผลักดันการออกแบบเสียงออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากสไตล์วิชวลที่ถูกจำกัดแล้ว โลกของเสียงก็จะต้องมีการจำกัดด้วยเช่นกัน ฉันอยากให้ความสนใจของผู้ชมเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ ฉันอยากได้ความรู้สึกลุ้นระทึกแบบที่จะเกิดขึ้นในตอนที่‘ได้ยินเสียงเข็มหมุดตก’
เราใช้ดนตรีประกอบแบบมินิมอลเพื่อขับเน้นเวทมนตร์ในโลกเจ้าหญิงนิทรา (ไม่ใช่ดนตรีมินิมอล แต่เป็นเพลงบรรเลงที่ยาวเกือบ 10 นาที) ในตอนที่ฉันกำลังมองหาคอมโพสเซอร์ ฉันก็ได้รับอีเมล์แจ้งถึงการที่เบน ฟรอสท์ ได้เป็นลูกศิษย์ของไบรอัน อีโนในหลักสูตรโรเล็กซ์ ฉันลองตามเรื่องดู แล้วปรากฏว่า เบนได้รับการว่าจ้างจากเพื่อนฉันคนหนึ่งในคราเคา เพื่อแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์โดยทาร์คอฟสกี้เรื่อง Solaris เบนอยู่ในไอซ์แลนด์ ส่วนฉันอยู่ในซิดนีย์ เราได้คุยงานกันคร่าวๆ แล้วเบนก็ส่งวัตถุดิบจำนวนมหาศาล ซึ่งฉันกับแซม เพ็ตตี้ได้ลองจับใส่ลงไปในหนนังดู จากนั้น เราก็ปล่อยให้เบนทำการปรับเปลี่ยนขั้นละเอียดอีกที มันเป็นกระบวนการร่วมงานกันที่น่าพึงพอใจทีเดียวค่ะ
Q: คุณหวังว่าผู้ชมดูแล้วจะเป็นอย่างไร
A: ความหวังของฉันคือหนังเรื่องนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ใช้จินตนาการค่ะ