enjoyjam.net
ภาพยนตร์ => ข่าวภาพยนตร์ => Topic started by: FB on August 24, 2011, 04:20:12 PM
-
“นนทรีย์ นิมิบุตร” เปิดหนังไซโค-ทริลเลอร์ พร้อมปั้นทีมนักแสดงหน้าใหม่ ใน “คน-โลก-จิต”

“สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” และ “ซีเนมาเซีย” ได้ฤกษ์ดีทำบุญเลี้ยงพระเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องใหม่แนวไซโค-ทริลเลอร์เรื่อง “คน-โลก-จิต” ผลงานกำกับเรื่องใหม่ล่าสุดของผู้กำกับฝีมือดี “อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร” เมื่อวันเสาร์ที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา ณ บริษัท ซีเนมาเซีย จำกัด
พร้อมเปิดตัวทีมนักแสดงหลักหน้าใหม่ “แบงค์-อาทิตย์ วิบูลย์พาณิชย์” (1 ใน 10 The Idol Project 1 ช่อง 3), “ป๊อปปี้-บุญยิสา จันทราราชัย” (ดัชชี่เกิร์ล 2006), “แม็กกี้-อาภา ภาวิไล” (ลูกสาวคนเก่งของ “อรุณ ภาวิไล”) และ “บีม-ศรัณยู ประชากริช” (นักแสดง, พิธีกร, ดีเจ 95.5 เวอร์จิ้น ฮิตซ์) ร่วมด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ “สุเชาว์ พงษ์วิไล” และ “ชนานา นุตาคม”
“คน-โลก-จิต” สร้างจากบทภาพยนตร์ชนะเลิศโครงการ Thailand Script Project 2010 สู่ภาพยนตร์เชิงจิตวิทยาที่จะทำให้คุณมองตัวเองและโลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยเล่าเรื่องราวผ่านการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสะเทือนขวัญที่ได้นำพานักจิตวิทยา, นักนิติวิทยาศาสตร์, นักธุรกิจหนุ่มไฮโซ และนักศึกษาสาว เข้ามาพัวพันกันถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจอย่างคาดไม่ถึง
ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 7 วาระครบรอบ 15 ปี ในการนั่งแท่นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยคุณภาพระดับนานาชาติของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” พร้อมเปิดกล้องถ่ายทำเร็วๆ นี้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์คุณภาพของค่ายสหมงคลฟิล์มในปี 2555 นี้
-
หนังใหม่ “นนทรีย์ นิมิบุตร” “คน-โลก-จิต” (Distortion) โปรเจ็คต์หนังไทยเรื่องเดียว ได้รับเลือกเข้าร่วม Asian Project Market ใน “เทศกาลหนังนานาชาติปูซาน 2011”

เพียงแค่ผู้กำกับฝีมือดี “อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร” เผยถึงภาพยนตร์เรื่องใหม่แนวไซโค-ทริลเลอร์เรื่อง “คน-โลก-จิต” ไปไม่นาน นอกจากจะได้รับความสนใจจากแฟนภาพยนตร์ในประเทศแล้ว ล่าสุด ในตลาดต่างประเทศอย่าง “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ครั้งที่ 16” (6-14 ต.ค. 54) ก็ได้คัดเลือกโปรเจ็คต์ภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวให้เป็น 1 ใน 30 โปรเจ็คต์ที่ได้เข้าร่วม Asian Project Market (10-13 ต.ค. 54) ซึ่งถือเป็นตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่และสำคัญส่วนหนึ่งของเทศกาลภาพยนตร์นี้ ผู้กำกับ “อุ๋ย นนทรีย์” พูดถึงเรื่องนี้ว่า
“โปรเจ็คต์ใหม่ของผมเรื่องนี้ก็ได้รับเลือกให้ไปร่วมงานที่เทศกาลหนังปูซานปีล่าสุดนี้ ก็คือโครงการที่เมื่อก่อนเรียกว่า PPP (Pusan Promotion Plan) แต่เดี๋ยวนี้เค้าเปลี่ยนชื่อเป็น Asian Project Market หรือ APM แล้ว ก็คือการที่เราส่งบทภาพยนตร์เข้าไปร่วมคัดเลือก แล้วเราก็เป็น 1 ใน 30 โปรเจ็คต์ที่ถูกคัดเลือกนั้น แล้วในเดือนตุลาคมปีนี้ เราก็จะมีโอกาสไปที่ปูซาน เพื่อที่จะเอาโปรเจ็คต์นี้ไปพรีเซ้นต์ให้กับโปรดิวเซอร์ทั่วโลกได้เห็นกัน และขณะเดียวกันทางเทศกาลฯ ก็จะมีคณะกรรมการคัดเลือกบทภาพยนตร์ที่ดีเด่นแล้วก็มอบรางวัลให้ ก็มีทั้งสนับสนุนเรื่องโพสต์โปรดักชั่น สนับสนุนเรื่องฟิล์ม หรือว่าสนับสนุนโดยการให้เงินมาพัฒนาโปรเจ็คต์ต่อไป ปีนี้ก็มีหนังไทยเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ได้รับเลือกเข้าไปครับ”
“คน-โลก-จิต” ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 7 วาระครบรอบ 15 ปี ในการนั่งแท่นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยคุณภาพระดับนานาชาติของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” สร้างจากบทภาพยนตร์ชนะเลิศโครงการ Thailand Script Project 2010 สู่ภาพยนตร์เชิงจิตวิทยาที่จะทำให้คุณมองตัวเองและโลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยเล่าเรื่องราวผ่านการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสะเทือนขวัญที่ได้นำพานักจิตวิทยา, นักนิติวิทยาศาสตร์, นักธุรกิจหนุ่มไฮโซ และนักศึกษาสาว เข้ามาพัวพันและถลำลึกถึงความบิดเพี้ยนทางจิตใจกันอย่างคาดไม่ถึง
-
“ป๊อปปี้ บุญยิสา” รองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 พร้อมโชว์ฝีมือการแสดงครั้งแรก ใน “คน-โลก-จิต”


เรียกว่าทั้งสวยทั้งเก่งมากความสามารถสำหรับ “ป๊อปปี้-บุญยิสา จันทราราชัย” ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งรองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 ไปหมาดๆ ล่าสุด เธอก็พร้อมโชว์ฝีมือการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกกับบทบาทที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งในภาพยนตร์ไซโค-ทริลเลอร์เรื่อง “คน-โลก-จิต” ผลงานกำกับภาพยนตร์ของผู้กำกับฝีมือดี “นนทรีย์ นิมิบุตร”
“เรื่องนี้ป๊อปปี้รับบทเป็น ‘เทียน’ ค่ะ เป็นผู้หญิงที่เชื่อมั่นในตัวเอง มีความมุ่งมั่นพยายามมาก แต่ก็มีอคติกับผู้ชายเพราะมีปมในอดีตเกี่ยวกับพ่อของตัวเอง ในเรื่องเทียนจะเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ที่จะต้องเข้ามาช่วยไขคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญร่วมกับพระเอกที่เป็นนักจิตวิทยาที่เก่งมาก ก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกขัดแย้งขึ้นในใจ แถมคดีนี้ยังทำให้ทั้งคู่ต้องเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังที่น่าตกตะลึงและคาดไม่ถึงเลยค่ะ
นี่เป็นหนังเรื่องแรกของป๊อปปี้แล้วก็ได้รับบทที่ค่อนข้างยากและโตเกินตัวเลยค่ะ ก็รู้สึกหนักใจเหมือนกันค่ะ แต่ด้วยการเตรียมพร้อมและทำงานอย่างเต็มที่ของทีมงานมืออาชีพ ก็ทำให้เราผ่อนคลายไม่เครียด ทำให้การแสดงยากๆ ผ่านไปด้วยดี หนังแนวนี้มีไม่บ่อยนักสำหรับหนังไทยเรา มันจะแปลกแหวกแนวกว่าทุกๆ เรื่องค่ะ รับรองว่าได้ทั้งความสนุกและสาระไปด้วยแน่นอนค่ะ และนี่ก็เป็นหนังในรอบเกือบ 5 ปีของพี่อุ๋ย แถมยังสร้างจากบทที่ได้รางวัลด้วย ทีมนักแสดงทั้งป๊อปปี้, แบงค์, แม็กกี้ และพี่บีมก็ตั้งใจทุ่มเทเล่นกันอย่างเต็มที่ ส่วนตัวป๊อปปี้เองก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการแสดงหนังเรื่องนี้ มันยากแต่ก็สนุกค่ะ ก็อยากให้ติดตามชมกันนะคะ แล้วคุณก็จะได้มองย้อนมาถึงตัวเองด้วยว่าแท้จริงแล้วตัวเราเองนั้นเป็นอย่างไรค่ะ”
“คน-โลก-จิต” เล่าเรื่องราวผ่านการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดซาดิสต์สะเทือนขวัญที่ได้นำพานักจิตวิทยา, สาวนิติวิทยาศาสตร์, หนุ่มไฮโซ และนักศึกษาสาว เข้ามาพัวพันถึงสภาพทางจิตอันบิดเบี้ยวอย่างคาดไม่ถึง
ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 7 วาระครบรอบ 15 ปี ในการนั่งแท่นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยคุณภาพระดับนานาชาติของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” พร้อมเปิดตัวทีมนักแสดงหน้าใหม่ “แบงค์-อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์”, “ป๊อปปี้-บุญยิสา จันทราราชัย” (รองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012), “แม็กกี้-อาภา ภาวิไล” และ “บีม-ศรัณยู ประชากริช” ร่วมด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ “สุเชาว์ พงษ์วิไล” และ “ชนานา นุตาคม” พร้อมเข้าฉาย 17 พฤษภาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
-
???ื อันนี้ก็น่าดู แต่ไม่รู้ว่าเวลานี้จะเหมาะมั้ย
-
GUIDE: ตัวอย่าง “คน-โลก-จิต”
-
Movie: “คน-โลก-จิต”

จากบทภาพยนตร์ชนะเลิศโครงการ Thailand Script Project 2010
สู่ภาพยนตร์เขย่าจิตสุดระทึก
ที่จะทำให้คุณไม่กล้าไว้ใจใคร...แม้แต่ใจตัวเอง
"คน-โลก-จิต"
เล่าเรื่องราวผ่านการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสะเทือนขวัญ
ที่ได้นำพานักจิตวิทยา, สาวนิติวิทยาศาสตร์, หนุ่มไฮโซ และนักศึกษาสาว
เข้ามาพัวพันและถลำลึกถึงความบิดเพี้ยนทางจิตใจ...อย่างคาดไม่ถึง
ผลงานกำกับเรื่องที่ 7 ของผู้กำกับฝีมือดี
“นนทรีย์ นิมิบุตร”
ครบรอบ 15 ปี ในการนั่งแท่นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยคุณภาพระดับนานาชาติ
พร้อมแจ้งเกิดทีมนักแสดงหน้าใหม่กับบทบาทสุดเข้มข้น
“แบงค์-อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์” (พระเอก MV และโฆษณา)
“ป๊อปปี้-บุญยิสา จันทราราชัย” (รองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012)
“แม็กกี้-อาภา ภาวิไล” (นักแสดงสาวดาวรุ่ง)
และ “บีม-ศรัณยู ประชากริช” (นักแสดง, พิธีกร, ดีเจ)
พร้อมด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ “สุเชาว์ พงษ์วิไล” และ “ชนานา นุตาคม”
17 พฤษภาคม ในโรงภาพยนตร์
กำหนดฉาย 17 พฤษภาคม 2555
แนวภาพยนตร์ เขย่าจิต (ไซโค-ทริลเลอร์)
บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัทดำเนินงานสร้าง ซีเนมาเซีย
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมงานสร้าง นนทรีย์ นิมิบุตร
ดำเนินงานสร้าง ณมญชุ์ พงษ์วิไล
กำกับภาพยนตร์ นนทรีย์ นิมิบุตร
เรื่อง ภัทรา พิทักษานนท์กุล
บทภาพยนตร์ นนทรีย์ นิมิบุตร, ภัทรา พิทักษานนท์กุล
กำกับภาพ ธีระวัฒน์ รุจินธรรม
ลำดับภาพ เดอะ บุชเชอร์ (The Butcher)
ออกแบบงานสร้าง รัชชานนท์ ขยันงาน
ออกแบบเครื่องแต่งกาย ฐิติกรณ์ ศรีชื่น
ดนตรีประกอบ ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์
ทีมนักแสดง อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์, ศรัณยู ประชากริช, อาภา ภาวิไล, บุญยิสา จันทราราชัย, สุเชาว์ พงษ์วิไล, ชนานา นุตาคม
เปิดปม...
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อความผิดพลาดของใครบางคนในอดีต
คือชนวนเหตุที่ดึงอีกหลายชีวิตเข้ามาพัวพันกันถึง...ตาย!!!
คนที่คุณคิดว่าเป็นเหยื่อ อาจจะเป็นผู้ล่า
คนที่คุณคิดว่าเป็นผู้ล่า อาจตกเป็นเหยื่อ...ไม่รู้ตัว
คนที่คุณคิดว่าเป็นผู้ช่วยเหลือ อาจกลับกลายเป็นผู้ฆ่า...เสียเอง
เรื่องราวของ “คน” เดินดิน บน “โลก” บิดเบือน กับ “จิต” ที่บิดเพี้ยนที่จะทำให้คุณค้นพบตัวตนที่แท้จริง
-
เรื่องย่อ
ท่ามกลางความวุ่นวายแห่งมหานครกรุงเทพ เหตุฆาตกรรมซาดิสต์สุดสะเทือนขวัญได้เกิดขึ้นในวันอันร้อนระอุใจกลางเมือง ศพชายนิรนามถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ทราบสาเหตุ...กะโหลกศีรษะถูกทุบจนแหลกละเอียด
“เขื่อน” (อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์) นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญการอ่านจิตอาชญากร ได้เข้ามาช่วยไขปริศนาคดีฆาตกรรมนี้ร่วมกับ “เทียน” (บุญยิสา จันทราราชัย) นักนิติวิทยาศาสตร์สาวผู้มีปมบางอย่างฝังลึกในใจ ทั้งคู่สืบค้นทุกเบาะแสเพื่อให้ได้เงื่อนงำของคดีจนต้องก้าวล่วงเข้าไปในปมชีวิตเบื้องลึกของกันและกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ขณะที่การสืบสวนกำลังดำเนินไปอย่างเร่งรีบ แต่ก็มีคนตายเพิ่มขึ้นในสภาพศพที่ถูกทารุณอย่างโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน และครั้งนี้มีเงื่อนงำบางอย่างที่ชี้ให้ “คีย์” (ศรัณยู ประชากริช) หนุ่มไฮโซเพื่อนเก่าของเขื่อนตกเป็นผู้ต้องสงสัย
นั่นทำให้เขื่อนต้องกลับมาเผชิญหน้ากับคีย์อีกครั้งด้วยความจำใจ หลังจากที่เขาพยายามหลบหน้ามาโดยตลอด หรือจะมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่เบื้องหลังความเป็นเพื่อนของทั้งคู่ที่อาจเชื่อมโยงกับคดีนี้
ก่อนที่จิกซอว์ภาพฆาตกรในหัวของเขื่อนใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ กลับมีเหตุไม่คาดฝันทำให้เขื่อนได้พบกับ “กวาง” (อาภา ภาวิไล) นักศึกษาสาวที่เขาเคยให้ความช่วยเหลือจากเหตุฆาตกรรมในครอบครัวเมื่อ 10 ปีก่อน การพบกันของทั้งคู่ได้ปลุกอดีตอันเลวร้ายให้ย้อนกลับมาตามหลอกหลอนทั้งเขาและเธออีกครั้ง
และยิ่งคดีถูกสืบลงลึกไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เงื่อนงำที่ดูเหมือนจะดึงทั้งสี่คนให้ถลำลึกกับความบิดเพี้ยนทางจิตใจมากขึ้นเท่านั้น หรือคำตอบของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดซาดิสต์นี้จะนำพาทั้งสี่คนให้เข้าใกล้ความตาย...อย่างคาดไม่ถึง
ใครกันแน่คือคนที่กุมจิกซอว์ตัวสุดท้ายในเกมกลมรณะที่ฆาตกรผูกไว้อย่างสุดพิสดารนี้
เมื่อความตายมาประชิดตัว จงอย่าไว้ใจใคร...แม้แต่ใจตัวเอง!
เบื้องหลัง “คน-โลก-จิต”
จากความสำเร็จอย่างพลิกวงการภาพยนตร์ไทย ด้วยผลงานกำกับเรื่องแรกแนวแอ็คชั่น-ดราม่าเรื่อง “2499 อันธพาลครองเมือง” (2540) ที่กวาดรายได้ไปถึง 75 ล้านบาท และสั่นสะเทือนแผ่นฟิล์มอีกครั้งด้วยภาพยนตร์ดราม่าสยองขวัญเรื่อง “นางนาก” (2542) ที่ถล่มรายได้ไปถึง 150 ล้านบาทในยุคซบเซาของภาพยนตร์ไทย ทำให้สายตาทุกคู่ทั้งในและนอกวงการต่างต้องหันมาจับจ้องที่ผู้กำกับหนุ่มหน้าใหม่นาม “นนทรีย์ นิมิบุตร” คนนี้ ที่กล่าวได้ว่า เขาเป็นจุดเริ่มต้นในการฟื้นฟูวงการภาพยนตร์ไทย หลังจากตกต่ำมานานเป็น 10 ปี (2530-2540) และเป็นผู้ที่นำพาภาพยนตร์ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติอย่างแท้จริง
หลังจากนั้น ในทุกๆ ผลงานกำกับของเขา ไม่ว่าจะเป็น “จัน ดารา” (2544), “อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต ตอน The Wheel” (2545), “โอเคเบตง” (2546) และ “ปืนใหญ่จอมสลัด” (2551) ต่างก็สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการได้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความแปลกใหม่ของเนื้อหนัง ความพิถีพิถันในงานสร้าง และการแสดงในระดับมืออาชีพ
ล่าสุด ในวาระครบรอบ 15 ปีกับการนั่งแท่นผู้กำกับฝีมือดีที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ นนทรีย์กลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายจากการกำกับภาพยนตร์ไทยไปเกือบ 5 ปี ด้วยผลงานการกำกับเรื่องที่ 7 ที่สร้างจากบทภาพยนตร์ชนะเลิศโครงการ Thailand Script Project 2010 (โดย ภัทรา พิทักษานนท์กุล) สู่ภาพยนตร์เขย่าจิตสุดระทึกเรื่อง “คน-โลก-จิต” (2555) ภาพยนตร์ที่จะทำให้คุณไม่กล้าไว้ใจใคร...แม้แต่ใจตัวเอง โดยเล่าเรื่องราวผ่านการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดซาดิสต์สะเทือนขวัญที่ได้นำพานักจิตวิทยา, สาวนิติวิทยาศาสตร์, หนุ่มไฮโซ และนักศึกษาสาว เข้ามาพัวพันถึงสภาพทางจิตอันบิดเบี้ยวอย่างคาดไม่ถึง
***จุดเริ่มต้น...เข้มข้นด้วยเนื้องานคุณภาพแหวกแนว***
“เรื่องนี้สร้างมาจากบทภาพยนตร์ที่ชนะเลิศโครงการ Thailand Script Project ครั้งที่ 2 ที่ผมทำร่วมกับคุณเป็นเอก (รัตนเรือง) ครับ ซึ่งผมเองได้อ่านแล้วก็เห็นว่ามันมีความน่าสนใจมาก บวกกับข่าวสารที่ออกมาในปัจจุบันนี้มันทำให้เห็นว่าสังคมเรามีสภาพจิตใจที่บิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการแสดงพฤติกรรมที่แปลกประหลาดคาดไม่ถึงออกมามากมาย ทำให้ผมรู้สึกว่าควรจะบอกเล่าให้ฟังว่าคนเรามีความผิดเพี้ยนไปมากแค่ไหนแล้ว ไอเดียมันเริ่มมาจากครอบครัว จนถึงสังคมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกชนชั้น โดยเล่าเรื่องราวผ่านเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ที่นำพาตัวละครมาเจอกัน แล้วทำให้ทุกคนได้ค้นพบตัวเองว่าจริงๆ แล้ว ชีวิตที่เราดำเนินอยู่นี้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า
เล่าง่ายๆ เลยคือ มันเกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญขึ้นในกรุงเทพฯ นี่นะฮะ ก็เป็นเหมือนข่าวที่เราเคยดู เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันนำพาตัวละคร 4 ตัว เข้ามาเจอกัน แล้วต่างคนก็มีปมที่บิดเบี้ยวทางใจ เนื่องจากทางครอบครัวบ้าง สภาวะทางสังคมบ้าง ทางการงานบ้าง ที่มันเกิดความเครียด ความเพี้ยน อาจจะเห็นภาพหลอน ซึ่งต่างๆ เหล่านี้เราได้มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งนั้น 4 คนนี้ก็มารวมตัวกันแล้วพยายามช่วยกันหาทางแก้ไขสภาวะการของแต่ละคนๆ ให้มันคลี่คลายออกไปทั้งทางดีและร้าย บางคนมันไม่แน่นอน จากสถิติจากข้อมูลจากบันทึกคดีที่เคยมี มันอาจจะแก้ไขไปในทางที่ดีได้ หรือบางรายยิ่งแก้ไขก็ยิ่งอาจถลำลึกลงไปอีกได้ เรื่องนี้ก็จะบอกทั้งสองทางครับ”
***ทีมนักแสดงสดใหม่ถ่ายทอดบทบาทน่าเชื่อถือ นักแสดงมืออาชีพเพิ่มสีสันจัดจ้าน***
ด้วยความแหวกแนวของเนื้อหาเรื่องราวซึ่งต้องอาศัยการแสดงที่ไม่ทำให้ติดภาพเก่าของนักแสดงนั้นๆ จึงทำให้ผู้กำกับตัดสินใจปั้นนักแสดงหน้าใหม่เกือบทั้งหมดเพื่อความน่าเชื่อถือของบทบาทและความสมจริงของเรื่องราวนี้ ไม่ว่าจะเป็น “แบงค์-อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์”, “ป๊อปปี้-บุญยิสา จันทราราชัย”, “แม็กกี้-อาภา ภาวิไล” โดยทั้งหมดได้ผ่านการเรียนการแสดงขั้นพื้นฐานแบบเคี่ยวข้นจากผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” เป็นการเฉพาะ
และเพิ่มความเข้มข้นของเรื่องราวจากการแสดงระดับมืออาชีพของ “บีม-ศรัณยู ประชากริช” พร้อมด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ “สุเชาว์ พงษ์วิไล” และ “ชนานา นุตาคม” ซึ่งทั้งหมดได้พลิกบทบาทอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ตอนแรกก็คิดอยู่ในใจว่า โอ้โห บทเรื่องนี้มันต้องอาศัยการแสดงชั้นสูงนะครับ เพราะมันต้องเข้าใจในบทบาทตัวละครจริงๆ แต่ทีนี้พอมาคิดไปคิดมาแล้วเนี่ย การที่จะทำให้คนดูเชื่อว่านักแสดงที่คุ้นหน้าคนนั้นๆ มีสภาวะทางจิตแบบนั้นแบบนี้เนี่ย มันอาจจะยากกว่าเราปั้นนักแสดงหน้าใหม่ขึ้นมาให้เป็นตัวละครนั้นๆ ให้คนดูเชื่อถือได้มันอาจจะง่ายกว่า เพราะเขาไม่รู้จักตัวละครตัวนี้ แล้วถ้านักแสดงหน้าใหม่สามารถจะถ่ายทอดเรื่องราว บุคลิกภาพ คาแร็คเตอร์ของแต่ละตัว ปมปัญหา สภาวะทางจิตของแต่ละคนออกมาได้ ผมว่าคนดูจะเชื่อได้มากกว่า
และที่สำคัญนักแสดงหน้าใหม่ก็จะมีเวลามากมายที่จะเวิร์คช็อป ที่จะซ้อมทำความเข้าใจกับตัวละครต่างๆ ได้มากพอ สำคัญอย่างยิ่งเราต้องเวิร์คช็อปในแง่ของวิชาชีพ ทุกคนต้องไปดูคนที่เขาทำอาชีพนี้จริงๆ ในแต่ละบทบาท ต้องไปดูว่าแต่ละคนคาแร็คเตอร์เป็นยังไง เขาจะต้องเป็นคนๆ นั้น เพราะฉะนั้นเขาจะต้องถ่ายทอดความเป็นคนๆ นั้นได้
‘น้องแบงค์’ (อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์) รับบทเป็น ‘เขื่อน’ จะเป็นนักจิตวิทยาที่ฉลาด แต่ในความฉลาดนั้นเขาแอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในจิตใจ เขาพยายามจะหลีกหนีตัวเองโดยสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อจะลบปมด้อยของตัวเอง อันนี้คือตัวเขื่อนที่เป็นอยู่ และน้องแบงค์เนี่ยเขาเป็นเด็กที่ใหม่มากหน้าตาหล่อ ซึ่งตรงนั้นเป็นจุดหนึ่งที่เราคิดว่าคนที่มีสภาพจิตใจที่ดี คิดบวกทำบวก เขาน่าจะมีบุคลิกภาพแบบนี้ หล่อ คมสัน ดูแลตัวเอง มีความเนี้ยบอยู่ในตัวเอง ที่สำคัญที่สุดคือเขาสามารถจะถ่ายทอดอารมณ์หลายๆ ด้านได้ ทั้งด้านการพูดการจาที่มั่นใจกับคนอื่น รอยยิ้มที่งดงามของเขา แต่ผมรู้สึกเสมอเวลาที่ผมคุยกับเขา เขาจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ต่อต้านอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา ด้วยการพูดที่แปลกๆ พูดแล้วเหมือนไม่ใช่คนปกติ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมที่แปลกออกไป ซึ่งมันเป็นผลดีในแง่การแสดง มันทำให้หนังสมบูรณ์โดยตัวเอง
‘น้องป๊อปปี้’ (บุญยิสา จันทราราชัย) รับบทเป็น ‘เทียน’ นิติวิทยาศาสตร์สาว เราสังเกตได้ว่านิติวิทยาศาสตร์เกือบทุกคนจะมีคาแร็คเตอร์ของตัวเองชัดเจน ซึ่งตัวน้องป๊อปปี้เองเขาก็มีความเป็นผู้ชายสูง ซึ่งเราต้องการมาต่อกรกับนักจิตวิทยาได้ แล้วก็มีความมั่นใจมาก ไม่ค่อยอ่อนหวาน แต่กลับมาดมั่นแข็งแรง อันนี้คือบุคลิกภาพที่เราวางไว้ แล้วพอเราแคสติ้งได้น้องป๊อปปี้มาก็ใช่เลย ตรงกับสิ่งที่เราอยากได้เลย มันมีฉากที่ต้องถกเถียงด้วยวาจากับผู้ชาย เขาก็เอาอยู่และทำให้เราเชื่อได้ เขาก็จะมีภาวะบางอย่างอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเขา ก็เลยมีความเป็นผู้ชายสูง ผมว่าเขาเหมาะมากในสิ่งเขาเป็นคนชอบค้นหาความจริง เพราะฉะนั้นมันก็เข้ากับคาแร็คเตอร์ของตัวเทียนมากๆ เลย
‘น้องแม็กกี้’ (อาภา ภาวิไล) รับบทเป็น ‘กวาง’ ตอนแรกผมนึกว่าน้องแม็กกี้จะอ่อนแอจนเอาบทนี้ไม่อยู่ แต่พอมาแคสติ้งจริงๆ แล้วเนี่ย ผมกลับต้องไปเปลี่ยนบทผม เพราะว่าเขาเข้าใจตัวละครตัวนี้มากจริงๆ เขาเข้าใจมัน เขาตีความ แล้วมันก็มีอีกมุมหนึ่งที่ผมไม่เห็น ผมคิดไม่ถึง เพราะเราเป็นผู้ชาย บางทีเราก็ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดแบบผู้หญิงซักเท่าไหร่ เขามีความละเอียดอ่อนมากกว่าเรา พอเขาเล่นเนี่ย แล้วเราต้องกลับไปแก้บท แล้วเราก็เอาคนนี้แหละ กลับไปแก้บทให้ตรงกับคนๆ นี้มากกว่า ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าเป็นลูกคุณอรุณ ภาวิไล แล้วก็มาทราบตอนหลัง อ้าว จริงเหรอ ซึ่งจริงๆ แล้วผมเคยถ่ายโฆษณาตั้งแต่เขายังเด็กๆ แล้วก็ไปทั้งครอบครัว เออก็ดี ได้กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นความบังเอิญโดยแท้ แม็กกี้ต้องเล่นเป็นเด็ก Broken Home ครอบครัวแตกร้าว ทำให้เขามีสภาพทางจิตค่อนข้างแย่ แล้วเขาก็รับบทนั้นได้ดี ทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นตัวละครนั้นจริงๆ เป็นผู้หญิงที่บอบบางอ่อนไหวง่ายกับทุกสิ่งที่มากระทบหมด ขณะเดียวกันก็พยายามจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งโดยรูปลักษณ์ภายนอก ฉันกล้าฉันแกร่งฉันเที่ยวฉัน flirt กับทุกคนไปเรื่อย แต่จริงๆ แล้วสภาพทางจิตจะไหลไปกับสภาพเหตุการณ์แวดล้อมตลอดเวลา ซึ่งต้องยอมรับว่าน้องแม็กกี้ทำตรงนี้ได้ดีมาก
‘บีม ศรัณยู’ รับบทเป็น ‘คีย์’ คนนี้ต้องยอมรับว่าผมเลือกจริงๆ เพราะว่าเขาตรงกับคาแร็คเตอร์มากๆ แล้วก็เคยทำงานละครด้วยกันมา ก็เลยรู้สึกว่าใช่ แล้วบีมเวลาทำงานจะจริงจัง เขาอินกับคาแร็คเตอร์มาก เล่นหนังเล่นละครถ้าไม่สั่งคัทเขาจะไม่หยุดเล่นเลย เป็นคนที่ตั้งใจเล่นและอินอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราก็รู้สึกว่าทำงานด้วยแล้วมีความสุข ชอบคนที่มีความตั้งใจสูงมากๆ เขาเป็นคนที่มีสองด้านจริงๆ เหมือนตัวละคร คือด้วยรูปลักษณ์ภายนอกดูเหมือนจะโหดๆ เหี้ยมๆ แต่ภายในบีมเป็นคนที่ร้องไห้ได้ตลอดเวลา คือเมื่อมีอะไรใหญ่ๆ มากระทบใจเขา เขาจะร้องไห้ได้ทันที เหมือนหลอดแก้วที่เปราะบางพร้อมจะแตก บีมเป็นคนแบบนั้น แล้วในตัวละครที่ชื่อคีย์ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
การเรียนการแสดงเป็นเรื่องสำคัญ คือผมมีความคิดอย่างนี้เสมอ นอกจากจะเข้าใจพื้นฐานการแสดงและการวอร์มอัพตัวเองแล้ว ก็ต้องรู้จักหยิบตัวละครที่อยู่ในหนังมาใส่ตัวเอง แล้วเมื่อทำงานเสร็จก็ต้องถอดตัวละครตัวนี้ออกไปด้วย แล้วก็เข้าใจระดับพื้นฐานการแสดงว่าสามารถที่จะเพิ่มได้เมื่อผมอยากให้เพิ่ม ลดได้ถ้าผมอยากให้ลด ลดยังไงเพิ่มยังไงการเรียนการแสดงจะทำให้เขาเข้าใจตรงนี้ โชคดีที่ได้ “หม่อมน้อย” มาช่วยเราตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจ็คต์นี้ ทุกคนได้ไปเรียนตั้งแต่เบสิคพื้นฐานจนถึงขั้นสูงแต่เป็นคอร์สแบบรวดเร็วนิดนึงก็เรียนกันอยู่ประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งพวกเขาก็ไปเรียนอยู่ตลอดอาทิตย์ละ 2-3 วัน นอกจากพื้นฐาน ความเข้าใจ ทัศนคติทางการแสดงแล้ว เขาก็ยังเคี่ยวข้นเรื่องบทบาทคาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วย ก็รู้สึกว่าได้ผลและมีประโยชน์กับน้องๆ และหนังเรื่องนี้มากๆ ทำให้ทุกคนแข็งแรงขึ้นอย่างทันตาเห็น
-
ส่วน ‘พี่เชาว์’ (สุเชาว์ พงษ์วิไล) กับ ‘พี่ดี้’ (ชนานา นุตาคม) ก็เป็นอีกสองนักแสดงและสองตัวละครที่เข้ามาเติมเต็มเรื่องอย่างสมบูรณ์ด้วยคาแรคเตอร์และฝีมือการแสดงที่เราไม่ต้องสาธยายกันมากนะครับ เรียกได้ว่าเพิ่มความเข้มข้นทางอารมณ์ของหนังได้เป็นอย่างดีเลยครับ”
***เตรียมพร้อมข้อมูล ทวีคูณความเข้าใจ ใส่ใจงานทุกขั้นตอน***
เนื่องจากเป็นแนวภาพยนตร์ที่แปลกใหม่สำหรับตัวผู้กำกับเอง งานนี้จึงต้องเตรียมงานกันอย่างสมบูรณ์พร้อมก่อนการถ่ายทำจริง ทั้งการรีเสิร์ชข้อมูลมากมาย กรณีศึกษาต่างๆ (Case Study) เพื่อนำมาใส่เป็นรายละเอียดของคาแร็คเตอร์ตัวละครแต่ละตัว ฉะนั้น “ความเข้าใจ” จึงเป็นสิ่งที่ผู้กำกับย้ำให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการดีไซน์ช็อตภาพต่างๆ ของหนัง ดีไซน์เฟรม ดีไซน์สัญลักษณ์ต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในหนังเพื่อเสริมสีสันความเข้มข้นนั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ต้องเกิดจากกระบวนการเข้าใจก่อนทั้งสิ้น
“ใช่ครับ แนวนี้ไม่เคยกำกับเลยครับ คือขณะที่รู้สึกกับเรื่องราวความผิดเพี้ยนของมนุษย์ประจวบกับได้สคริปต์ที่ชนะมา ก็รู้สึกดีใจมากเลยว่าเราได้พบทางอีกทางของเราแล้ว มันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยเล่าแล้วก็ไม่เคยทำหนังประเภทนี้นะครับ เมื่อมีโอกาสได้ทำก็รู้สึกดีใจมากว่าเราได้ทำอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว เราได้คิดภาษาภาพใหม่ๆ อีกแล้ว เราได้ค้นหาวิธีการเล่าหนังใหม่ๆ อีกแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสนุกเวลาทำหนัง เวลาที่ได้เจออะไรใหม่ๆ แบบนี้
เริ่มแรกก็ต้องหาข้อมูลมากมาย และสำคัญที่สุดเลยเราต้องเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะทำ ถ้าเราไม่เข้าใจซะแล้ว เราก็ไม่อาจอธิบายสิ่งที่ต้องการถ่ายทอดให้กับตัวละครได้เมื่อมีคำถามเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการเขียนคาแร็คเตอร์ตัวละครแต่ละตัวออกมา มันต้องเกิดจากการเอาเคสต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับคนๆ นี้ หรือบางทีก็เอา 4-5 เคสมารวมให้คาแร็คเตอร์คนนี้ไป การเตรียมตัวก็เลยจะต้องทำทุกอย่างให้พร้อมที่จะตอบตำถามตัวเองเวลาที่เราต้องการดีไซน์ช็อตต่างๆ ของหนัง ดีไซน์ภาพ ดีไซน์เฟรม เฟรมนี้มันจะบอกอะไร มันจะพูดถึงอะไร หรือกระทั่งสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เอามาใช้ในหนัง มันก็ต้องเกิดจากกระบวนการเข้าใจก่อน รู้ว่าภาพในหัวของคนๆ นี้จะออกมาเป็นยังไง เขาจะเห็นเป็นแบบที่เขาคิด เพราะฉะนั้นเราต้องคิดแทนตัวละครทุกตัว และดีไซน์สัญลักษณ์ทุกตัวออกมาให้เข้ากับสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวอย่างแท้จริง เพราะส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้จะไม่พูดออกมา ถ้าคนเหล่านี้เป็นคนที่พูดออกมา เขาจะไม่เป็น เขาจะไม่มีสภาวะอย่างนี้ เพราะเขาได้พูดคุย ได้ระบายความรู้สึกเหล่านั้นออกมา แต่คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจากที่ผมรีเสิร์ชมามักจะไม่พูด จะเก็บไว้ข้างใน บางคนเก็บจนกระทั่งซ่อนมันไว้เลย ไม่พยายามคิดถึงมัน แล้วก็กดความรู้สึกอันนั้นเอาไว้ กดเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ แล้วก็ไม่พูดมันออกมา ไม่อธิบายให้ใครฟัง นั่นทำให้คนเหล่านั้นมีสภาวะหรือสภาพการณ์ทางจิตหรือทางประสาทที่มันบิดเพี้ยนไปได้
โดยทางภาพเราดีไซน์ให้ภาพทุกภาพที่เกิดขึ้นในหนังเนี่ยมันไม่นิ่ง มันเหมือนกับสภาพจิตใจของคนเมืองนี้แล้วไม่นิ่ง กล้องจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลามากบ้างน้อยบ้าง แต่จะไม่มีกล้องนิ่งๆ เลยในหนังเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นจะเกิดการดีไซน์การเคลื่อนไหวของกล้อง และขณะเดียวกันกล้องจะเคลื่อนไหวผ่านสิ่งที่ทำให้ภาพของคนนั้นมันบิดเบี้ยวไปตามวัตถุต่างๆ อาทิเช่น ภาพที่มันมีกระจกวางทับเหลื่อมซ้อนกันอยู่ เมื่อกล้องผ่านกระจกเหล่านั้นแล้วข้างหลังเป็นคนเนี่ย คนนั้นจะมีอาการเพี้ยนๆ จากรูปทรงที่เป็นปกติ จะมีวิธีการเล่าแบบนี้เสมอๆ”
***มหานครกรุงเทพ โลกจำลองแห่งความบิดเบี้ยว***
สถานที่ถ่ายทำหลักของภาพยนตร์ที่สะท้อนจิตใจอันบิดเพี้ยนของมนุษย์เรื่องนี้ ผู้กำกับฯตั้งใจใช้เมืองศิวิไลซ์อย่าง “กรุงเทพมหานคร” ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายของฝูงชน ตึกระฟ้า ยวดยานพาหนะ และความทันสมัยของเทคโลยีที่มีมากเกินความจำเป็น เป็นตัวแทนฉายภาพความไม่ปกติของสภาวะทางจิตได้เป็นอย่างดี
“ผมอยากให้กรุงเทพฯ เป็นตัวแทนของอาการและเรื่องราวเหล่านี้ เพราะว่าเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ เนี่ยมันพร้อมที่จะทำให้คนเราหรือใครก็ได้ โดยเฉพาะผมจะรู้สึกเสมอว่าอยู่ในกรุงเทพฯ ผมจะรู้สึกว่ามันไม่ไหว รู้สึกว่ามันกดดัน เครียด แล้วมันก็มีสภาวะทางความคิด สภาวะจิตใจที่มันบิดเบี้ยวสูง มันพร้อมที่จะทำให้ผมบิดเบี้ยวได้ตลอดเวลา ผมเคยอยากจะตะโกนลั่นในห้างดังๆ มันรู้สึกว่าหนวกหูมาก มันวุ่นวายมาก เมื่อเราจะไปซื้ออาหารในร้านสักร้านหนึ่งมันก็จะมีคนวิ่งฮือมาแซงหน้าเรา คือผมรู้สึกว่ามันต้องแย่งกันกินแย่งกันอยู่แย่งอะไรกันขนาดนี้เลยเหรอ มันมีเสียงตะโกนโฆษณา มันมีเสียงเพลงบ้าๆ บอๆ ดังๆ แล้วใครจะฟัง ผมมีความรู้สึกว่าไม่ได้ยินสักอย่าง มันมีแต่ความรกหู มันทำให้คลื่นสมองผมมันสูงมาก การอยู่ในเมืองมันไม่เวิร์คเลย เพราะฉะนั้นผมคิดว่านี่แหละมันเป็นโมเดลของซิตี้ที่ควรจะเป็นสภาวะความบิดเบี้ยวและขาดวิ่นทางจิตใจได้สูงมากคือที่นี่แหละ มันหมายถึงเมืองสมมติ เมืองตัวอย่างที่มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ครับ”
***ความย้อนแย้งหนักแน่นระหว่างความแรงของเนื้อหากับงานภาพสวีทหวาน***
ภาพยนตร์ไซโค-ทริลเลอร์จิตๆ ที่มีเนื้อหาการฆาตกรรมแรงๆ ที่ผ่านๆ มามักจงใจนำเสนอภาพอย่างดิบเถื่อนดำมืด โหดเหี้ยมไม่น่าไว้วางใจเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อผู้กำกับฯ นนทรีย์มาจับแนวหนังเขย่าจิตนี้เป็นครั้งแรก จึงตั้งใจออกแบบงานสร้างและงานภาพให้ออกมาแตกต่าง ย้อนแย้งเนื้อหาที่มีความรุนแรงด้วยสไตล์ภาพที่นุ่มนวลสวีทหวาน เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ในภาพยนตร์แนวนี้และสะท้อนภาพสภาวะทางจิตอีกแง่มุมหนึ่งด้วย
“ผมอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ถ้าจะพูดทั่วไปแล้วมันก็เป็นหนังไซโค-ทริลเลอร์ คือมีการฆาตกรรม มีการซ่อนเงื่อนอะไรต่างๆ เอาไว้ ผมชอบดูหนังแบบนี้ แล้วดูมาเยอะมาก จนผมรู้สึกว่าส่วนใหญ่แล้วจะออกมาในโทนที่ใกล้ๆ กันหมดเลย คือมีความทึบทึม มืดดำ โหดร้าย แล้วองค์ประกอบทุกอย่างมันพยายามที่ทำให้มันเกิดสภาวะแบบนั้น แต่หนังของผม ผมอยากจะบอกว่ามัน sweet มาก คืออยากทำให้มันแตกต่าง อยากให้มันคอนทราสต์ ผมมีความรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นมั้งเวลาที่เราจะเห็นใครฆ่ากันแล้วมันจะต้องหนักหน่วง ภาพมันจะต้องดิบเถื่อนอยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกว่าถ้ามันงามล่ะ เพราะว่าคนที่มีจิตใจที่บิดเพี้ยนขาดวิ่น ผมเชื่อการที่เขาจะฆ่าใครสักคนมันไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องไม่ดี ซึ่งต่างจากสายตาคนอื่น ผมเชื่อว่าการแสดงออกของคนเหล่านี้ขัดแย้งกับสิ่งที่โลกนี้เป็น ผมว่าเขาทำเพราะรู้สึกว่ามันดี มันงาม มันมีความสุข ผมก็เลยใช้วิธีการแสดงออกของเขาด้วยเพลงเพราะๆ แล้วภาพสวยๆ มีการดีไซน์เสื้อผ้า ดีไซน์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในฉากอย่างสวยงาม สีก็ขาวไม่ต้องทึบทึม ไม่ต้องไปฆ่ากันในท่อมืดๆ ดำๆ ความงามมันเกิดได้ทุกที่
แล้วอีกอย่างหนึ่งผมไม่อยากให้คนดูรู้สึกอึดอัดกับการฆ่าในหนังแบบนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนปฏิเสธหนังทำนองแบบนี้ เพราะว่าเขารู้สึกว่ามันโหด พอเขาไปดูแล้วรู้สึกมันฝังใจเขาอยู่ แต่สำหรับเรื่องนี้ผมว่าไม่ใช่เลย หนังผมจะสวีท ผมจะทำให้หนังเรื่องนี้ให้มันมีความหวานอยู่ในนั้น คือใครก็ดูได้ แต่ว่าดูด้วยความเข้าใจ มันมีเรื่องราวอื่นๆ ที่มันสามารถจะแสดงสภาวะแบบนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ความโหดเหี้ยม ผมพยายามเลี่ยงฉากแบบนี้ เลี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดหรือที่จำเป็นที่สุด แต่บางอันต้องการความชัดเจนก็เอาให้มันชัดเจนไปเลย สภาพศพก็เอาให้มันชัดไปเลย แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็จะเลี่ยงเป็นการเล่าไปแทน หรือเป็นการใช้สัญลักษณ์บางอย่างแทน เพื่อจะไม่ให้หนังเรื่องนี้ดูแล้วมันรู้สึกหดหู่เกินไป ผมอยากให้ดูด้วยความเข้าใจสนุกกับมัน เพลงเพราะ ภาพสวย แล้วก็เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการป้อนเข้าไปให้คุณเข้าใจกับโลกใบนี้”
***คน-โลก-จิต ปิดยังไงก็ไม่มิด คือจิตวิปริตของคน***
สภาวะความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ เป็นตัวจุดประกายและแตกยอดให้เกิดเป็นประเด็นที่น่าสนใจของเรื่อง “คน-โลก-จิต” ขึ้น ซึ่งจะได้สะท้อนแง่มุมต่างๆ ทั้งดีและร้ายของจิตใจมนุษย์ให้เห็นภาพอย่างสมจริงที่สุด รวมถึงอาจเป็นการพลิกมุมมองอีกด้านของคำว่า “คิดบวก-Positive Thinking” ที่อาจจะไม่ได้มีแต่ด้านดีเพียงอย่างเดียว ถ้าหากเราจงใจละเลยหรือมองข้ามความเป็นจริงของชีวิตไป
“จริงๆ แล้วหนังเรื่อง ‘คน-โลก-จิต’ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก มีแต่การแสดงออกบิดเบี้ยวของสมองและจิตใจ แล้วความบิดเบี้ยวมันก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ทั้งปัญหาครอบครัวจนกระทั่งถึงปัญหาเรื่องส่วนตัวแล้วก็ขยายไปใหญ่ขึ้น โดยมีคดีฆาตกรรมเป็นจุดที่ทำให้ทุกตัวละครมาเจอกัน ความสัมพันธ์ที่มันซับซ้อน ทำให้ทุกคนได้ค้นพบตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ ชีวิตที่ดำเนินไปอยู่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า หรือการใช้ชีวิตของแต่ละคนมันไปกระทบใครบ้าง หนังเรื่องนี้เป็นการนั่งเฝ้ามองตัวละครทั้งสี่ตัว ซึ่งผมจะให้ตัวละครทั้งสี่ตัวเป็นตัวแทนของคนในเมืองหลวง มันก็เหมือนคนในสังคม ผมรู้สึกว่าในประเทศเราเองทุกๆ อย่างมันเหมือน connect กันหมด ใครจะทำอะไรอย่างหนึ่งมันส่งผลให้คนอื่นเสมอๆ นะครับ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์จะพูดถึงก็คือว่า ก่อนที่เราจะลงมือทำอะไร ลงมือพูดอะไรขอให้เราตั้งสติดีๆ เพราะว่าหลายๆ ครั้งที่เราทำหรือพูดอะไรลงไปโดยไม่ตั้งใจ มันส่งผลกระทบถึงคนไม่ใช่แค่คนเดียว มันส่งผลเป็นโดมิโน่กระทบไปถึงสังคมและประเทศได้
เรื่องราวความสลับซับซ้อนของจิตใจของมนุษย์มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นเรื่องของคน เรื่องของโลกใบนี้ เรื่องของจิตใจ สามสิ่งนี้มันสัมพันธ์กันอย่างไร ผมว่าทุกคนในโลกใบนี้สามารถที่จะเข้าสู่สภาวะผิดเพี้ยน ขาดวิ่นทางจิตใจได้ทั้งนั้น ด้วยสภาวะแวดล้อมต่างๆ ทำให้จิตใจของเรามันบิดเบี้ยวได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้รับทราบถึงสภาพความผิดเพี้ยน เพื่อจะให้เราได้สำรวจตัวเองบ้างว่าเรามีอาการแบบนั้นหรือเปล่า หนังเรื่องนี้อยากจะพูดเรื่องนี้กับคุณในแนวไซโค-ทริลเลอร์แบบหวานๆ อยากจะให้คุณเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับใครก็ได้ อย่าประมาท แล้วก็อย่าเพิกเฉยกับเรื่องแบบนี้ครับ”
ห่วงโซ่แห่งความบิดเพี้ยน
เขื่อน – นักจิตวิทยาชื่อดังผู้เชื่อมั่นว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยตัวของเขาเอง และชื่อเสียงอันโด่งดังจากความสามารถที่เชี่ยวชาญการอ่านจิตของอาชญากรอย่างหาตัวจับยากของเขา ทำให้เขาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสยองขวัญนี้ และนำพาไปสู่เงื่อนงำบางอย่างที่เขาเองก็คาดไม่ถึง
“ถ้ามองดูผ่านๆ จะเป็นเหมือนหนังสืบสวนคดีฆาตกรรม แต่เอาจริงๆ หนังจะสอนคนเรื่องของปม จิตใจ เรื่องของทุกอย่าง จะพูดถึงเรื่องของมนุษย์ เวลาเราเจอเรื่องอะไรที่แย่ๆ มาแล้วชอบเก็บกด ก็ทำให้เครียด จะเป็นตัวฉุดให้เราไม่พัฒนา เราควรที่จะยอมรับมันแล้วก็ปล่อยวาง ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์หรอกครับ ทุกคนเกิดมาพร้อมกับข้อผิดพลาด แต่สามารถแก้ไขได้ เรื่องของคน โลก และจิต สามอย่างนี้มันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง มันก็สะท้อนมาจากตัวคุณเอง เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ”
ประวัติย่อ แบงค์-อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ (20 ปี / 180 เซนติเมตร / 74 กิโลกรัม)
ผลงาน: MV เธอไม่ยอมปล่อยหรือฉันไม่ยอมไป (ลิเดีย) / โฆษณานมโฟรโมสต์กลิ่นกล้วย, เบียร์ลีโอ / The Idol Project 1
ความสามารถพิเศษ: เล่นบาส, ตีกลอง
เทียน – นักนิติวิทยาศาสตร์สาวผู้เก็บตัวเองไว้กับความทุกข์จากปมอดีต การได้ช่วยเหลือผู้อื่นกลายเป็นการคลี่คลายปมในใจของเธอ นั่นทำให้เธอรับช่วยไขคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญนี้อย่างสุดความสามารถ แต่ยิ่งใกล้คลายปมคดีได้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเท่านั้น
“ก่อนแสดงเรื่องนี้ก็ต้องเวิร์คช้อปการแสดงกันก่อนค่ะทั้งสี่คนก็จะมีป๊อปปี้, พี่บีม, แบงค์ แล้วก็น้องแม็กกี้ค่ะ และก็มีไปเรียนการแสดงกับหม่อมน้อยค่ะ หม่อมน้อยก็สอนหลายอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน ในการแสดงไม่ใช่แค่การท่องบท ต้องคิดเหมือนตัวละคร หายใจเหมือนตัวละคร ซึ่งจะทำออกมาได้มันอยู่ที่ความคิดและความเชื่อ ถ้าเรามีความเชื่อเราก็จะถ่ายทอดตัวละครออกมาให้สมจริงมากขึ้นค่ะ และป๊อปปี้ได้มีโอกาสไปที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ของไทยด้วยค่ะ ก็ไปดูขั้นตอนการดำเนินงานและรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับหน้าที่นี้ค่ะ ก็ได้ความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นด้วยค่ะ”
-
ประวัติย่อ ป๊อปปี้-บุญยิสา จันทราราชัย (19 ปี / 174 เซนติเมตร / 54 กิโลกรัม)
ผลงาน: รองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 / ดัชชี่เกิร์ล 2006 / MV กลัวที่ไหน (บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว), ดูแลเขาให้ดีดี (ดา เอ็นโดรฟิน) / โฆษณา วอลล์, โฆษณาดัชชี่ไบโอ (ภาพนิ่ง)
ความสามารถพิเศษ: เต้นแจ๊ส, ฮิปฮ็อป, บัลเลต์
กวาง – นักศึกษาสาวที่ตกเป็นเหยื่อในวัยเด็กจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญของครอบครัวเธอเอง ซึ่งได้สร้างปมลับดำมืดให้เธอต้องเก็บกดไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ไม่ต่างกับการนับถอยหลังรอปมชีวิตระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
“ยากมากเลยค่ะ เพราะว่าหนูไม่เคยเรียนรู้การแสดงมาก่อนเลย เราก็ต้องทำการบ้าน เตรียมตัวก่อนการแสดงเยอะมากเพื่อให้เข้าถึงบทบาทนี้ ได้เรียนการแสดงกับหม่อมน้อย อ่านหนังสือเกี่ยวกับคนที่เขามีพฤติกรรมแปลกๆ ซึ่งจริงๆ เขาเป็นคนปกติเหมือนเราแหละค่ะ แต่ว่าสภาพจิตใจจะต่างจากเรา ก็ต้องเรียนรู้พยายามทำความเข้าใจว่าเขาคิดอะไรยังไง เรื่องนี้ท้าทายมากสำหรับแม็กกี้ มีการรับส่งอารมณ์กันแบบสุดๆ ก็พยายามแสดงให้ดีที่สุด หวังว่าทุกคนจะชอบกับการแสดงและภาพรวมของหนังเรื่องนี้ค่ะ”
ประวัติย่อ แม็กกี้-อาภา ภาวิไล (18 ปี / 165 เซนติเมตร / 43 กิโลกรัม)
ผลงาน: ละคร น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ (รับบท ตังเม), ละครเพลง หนึ่งในดวงใจ The Musical (บริษัท JSL), ละครสัมผัสพิศวง ตอน อะไหล่มนุษย์ (ช่อง 3), ละครซิทคอม สารภีหรรษา (ช่อง TPBS) / CJ chic channel 68 (cj macky) / ภาพยนตร์ สูบคู่กู้โลก (2555)
ความสามารถพิเศษ: รำไทย, พิธีกร
คีย์ – หนุ่มไฮโซผู้มีพร้อมทั้งรูปทรัพย์, ฐานะ และสังคม เขาเป็นเพื่อนในวัยเด็กของเขื่อน และตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนี้จากการที่เขาเข้ามาช่วยเขื่อนไขคดี แต่ก็ถูกเขื่อนปฏิเสธ ไม่ยอมรับในความช่วยเหลือนั้น หรือจะเป็นเพราะทั้งคู่ต่างก็กุมความลับของกันและกันไว้เพียงแค่รอวันปะทุมันออกมา
“เรื่องนี้จะสะท้อนเรื่องราวตรงกับชื่อหนัง คน-โลก-จิต ครับ คือคนธรรมดาบนโลกใบนี้ อาจจะมีสภาพทางจิตหรือภาวะกดดันหลายอย่าง เรื่องนี้เป็นคาแร็คเตอร์ที่มีในสังคม คนเรามีอะไรผิดแปลกไม่เหมือนกันทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือความรู้สึก เรื่องนี้จะตอบโจทย์ให้รู้สึกว่า ตัวเองเป็นหนึ่งในนั้นมั้ย จะได้รู้เรื่องจิตของคน ความผิดแปลกของอารมณ์ ความบิดเพี้ยนของจิต เรื่องนี้จะให้ทุกคนต้องติดตามไปตลอดเรื่อง ผมเชื่อว่าไม่มีคำว่างง มีแต่ตื่นเต้น และก็น่าค้นหานะครับ”
ประวัติย่อ บีม-ศรัณยู ประชากริช (28 ปี / 182 เซนติเมตร / 73 กิโลกรัม)
ผลงาน: ดีเจคลื่น 95.5 เวอร์จิ้น ฮิตซ์ / พิธีกรรายการ สีสันบันเทิงสด (ช่อง 3) / ละคร เสน่หาเงินตรา (ช่อง 3), ละคร เพลงดินกลิ่นดาว (ช่อง 7), ละคร เลื่อมพรายลายรัก (ช่อง 3) / หนังผี (2554)
ความสามารถพิเศษ: พิธีกร, ดีเจ, นายแบบ, แข่งรถ :'(
-
เปิดโลกลับที่ซ่อนอยู่ในจิตคุณ แถลงข่าว “คน-โลก-จิต” ภาพยนตร์เขย่าจิตโดย “นนทรีย์ นิมิบุตร”


แถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วกับภาพยนตร์เขย่าจิตเรื่อง “คน-โลก-จิต” ผลงานกำกับเรื่องล่าสุดของผู้กำกับฝีมือดี “นนทรีย์ นิมิบุตร” เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา ณ ลาน Sky Dining Hall ชั้น 6 สยามดิสคัฟเวอรี่ ท่ามกลางบรรยากาศกระตุกจิตและเรียกร้องความสนใจจากบรรดาสื่อมวลชนทุกแขนงได้ตลอดงาน
เปิดงานครั้งนี้ด้วย VDO Presentation “Welcome to Your Secret World” เปิดโลกลับๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตคุณ ก่อนที่จะเชิญผู้กำกับนนทรีย์ขึ้นมาพูดคุยถึงรายละเอียดเบื้องหน้าเบื้องของโปรเจ็คต์นี้กันอย่างเข้มข้น จากนั้นจึงเชิญเหล่านักแสดงรุ่นใหม่อย่าง “แบงค์-อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์”, “บีม-ศรัณยู ประชากริช”, “แม็กกี้ อาภา” และ “ป๊อปปี้-บุญยิสา จันทราราชัย” (รองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012) ขึ้นมาร่วมพูดคุยถึงการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรกและครั้งสำคัญอย่างสนุกสนาน พร้อมการฉายตัวอย่างภาพยนตร์อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกด้วย
ปิดท้ายด้วยการถ่ายภาพหมู่ร่วมกันของทีมงานภาพยนตร์และทีมผู้บริหารเป็นที่ระลึก
“คน-โลก-จิต” ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 7 ของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” ที่จะทำให้คุณไม่คิดไว้ใจใครแม้แต่ตัวคุณเอง พร้อมกระตุกจิต 17 พฤษภาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
-
“อุ๋ย นนทรีย์” มั่นใจ ทีมนักแสดงหน้าใหม่ “คน-โลก-จิต”เล่นทุ่มสุดตัว เอาอยู่ทั้งเรื่อง

กลับมากำกับภาพยนตร์ไทยอีกครั้งในรอบเกือบ 5 ปีในภาพยนตร์เขย่าจิตเรื่อง “คน-โลก-จิต” ผู้กำกับ “นนทรีย์ นิมิบุตร” ก็มาพร้อมเนื้อหาเรื่องราวที่แปลกใหม่ซึ่งต้องอาศัยการแสดงที่ไม่ทำให้ติดภาพเก่าของนักแสดงนั้นๆ จึงทำให้เขาตัดสินใจปั้นนักแสดงหน้าใหม่เกือบทั้งหมดเพื่อความน่าเชื่อถือของบทบาทและความสมจริงของเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็น “แบงค์-อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์”, “ป๊อปปี้-บุญยิสา จันทราราชัย”, “แม็กกี้-อาภา ภาวิไล” รวมถึงนักแสดงมืออาชีพ “บีม-ศรัณยู ประชากริช” โดยทั้งหมดได้ผ่านการเรียนการแสดงขั้นพื้นฐานแบบเคี่ยวข้นจากผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” เป็นการเฉพาะด้วย โดยผู้กำกับนนทรีย์เผยถึงการแสดงของทีมหน้าใหม่นี้ว่า
“ตอนแรกผมก็คิดว่า โอ้โห บทเรื่องนี้มันต้องอาศัยการแสดงชั้นสูงนะครับ เพราะมันต้องเข้าใจในบทบาทตัวละครจริงๆ การที่จะทำให้คนดูเชื่อว่านักแสดงที่คุ้นหน้ามีสภาวะทางจิตแบบนี้เนี่ย มันอาจจะยากกว่าเราปั้นนักแสดงหน้าใหม่ขึ้นมาให้เป็นตัวละครนั้นๆ ถ่ายทอดเรื่องราว บุคลิกภาพ คาแร็คเตอร์ของแต่ละตัว ปมปัญหา สภาวะทางจิตออกมา มันน่าจะง่ายกว่า ผมว่าคนดูจะเชื่อได้มากกว่า ก็ลงมือแคสติ้งจนได้ 4 คนนี้มา
‘แบงค์ อาทิตย์’ รับบทเป็นนักจิตวิทยาที่ฉลาดแต่แอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในจิตใจ แบงค์สามารถจะถ่ายทอดอารมณ์หลายๆ ด้านที่เข้ากับบทนี้ได้ รวมถึงเขาจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ต่อต้านอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา มันเป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมที่แปลกออกไป ซึ่งมันเป็นผลดีในแง่การแสดง มันทำให้หนังสมบูรณ์โดยตัวเอง
‘ป๊อปปี้ บุญยิสา’ รับบทเป็นนิติวิทยาศาสตร์สาว ตัวน้องป๊อปปี้เองเขาจะมีความเป็นผู้ชายสูง ซึ่งเราต้องการมาต่อกรกับนักจิตวิทยาได้ มีความมั่นใจมาก ชอบค้นหาความจริง เราแคสติ้งน้องป๊อปปี้มาก็ใช่เลย มันจะมีฉากที่ต้องเถียงกับผู้ชาย เขาก็เอาอยู่และทำให้เราเชื่อได้
‘แม็กกี้ อาภา’ รับบทเป็นนักศึกษาครอบครัวแตกร้าว ตอนแรกผมนึกว่าแม็กกี้จะอ่อนแอจนเอาบทนี้ไม่อยู่ แต่พอมาแคสติ้งจริงๆ แล้วเนี่ย ผมกลับต้องไปปรับบทให้ตรงกับเขามากขึ้น แล้วเขาก็รับบทนั้นได้ดี ทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวง่ายกับทุกสิ่งที่มากระทบภายใต้เปลือกที่เข้มแข็ง ซึ่งต้องยอมรับว่าแม็กกี้ทำตรงนี้ได้ดีมาก
‘บีม ศรัณยู’ ต้องยอมรับว่าผมเลือกเพราะตรงกับคาแร็คเตอร์ของเขาจริงๆ บีมเวลาทำงานจะจริงจัง เป็นคนที่มีความตั้งใจสูงมาก เขาเป็นคนที่มีสองด้านจริงๆ เหมือนตัวละคร คือด้วยรูปลักษณ์ภายนอกดูเหมือนจะโหดเหี้ยม แต่ภายในบีมเมื่อมีอะไรใหญ่ๆ มากระทบใจเขา เขาจะร้องไห้ได้ทันที ซึ่งบีมแสดงได้ดีและอินคาแร็คเตอร์มากๆ ครับ
โดยรวมแล้วการแสดงของตัวหลักทั้ง 4 คนนี้น่าพอใจมากๆ ครับ โชคดีที่ได้ ‘หม่อมน้อย’ มาช่วยสอนพื้นฐานทางการแสดง ก็รู้สึกว่าได้ประโยชน์กับน้องๆ และหนังเรื่องนี้มาก และที่สำคัญ ผมว่าเรื่องนี้ขนาดมืออาชีพก็เรียกว่าเล่นยากมาก มันเป็นการแสดงที่ซับซ้อน ทุกคนเป็นนักแสดงใหม่ถึงจะไม่มีประสบการณ์การแสดงมากมายนัก แต่เขามีเวลา มีความตั้งใจ แล้วเขาก็ทุ่มเทให้กับเรื่องนี้มากๆ ทำให้คนดูเชื่อในการแสดงของพวกเขาได้เลย ทุกคนใส่พลังกันเต็มที่ ทำให้หนังมันสมบูรณ์แบบจริงๆ ครับ”
“คน-โลก-จิต” ภาพยนตร์เขย่าจิตที่จะทำให้คุณไม่กล้าไว้ใจตัวเอง ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 7 ของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” พร้อมเข้าฉาย 17 พฤษภาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
-
แบบทดสอบ “คน-โลก-จิต” โลกแห่งความจิตที่คุณจะพบมิตรลับๆ นับล้านๆ

ใครจะรู้? ว่าสิ่งที่เล็กที่สุดอย่าง “จิต” ที่ซุกซ่อนอยู่ใน “คน” กำลังเขย่าโสตสยอง ให้เราเห็น “โลก” ใบเดียวกัน...บิดเบี้ยวเกินจะพรรณนา ขอต้อนรับเข้าสู่ “คน-โลก-จิต” โลกแห่งความจิตที่คุณจะพบมิตรลับๆ นับล้านๆ
ทดสอบกันสักนิด ว่าคุณมีคุณสมบัติที่จะเข้าโลกลับๆ นี้ได้หรือไม่? กับการสำรวจพฤติกรรมชีวิตที่คุณทำเป็นประจำทุกวัน เลือกข้อที่คิดว่าใช่... แล้วรอพบคำตอบชวนจิตได้เลย!
1. เข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อเช็คความเคลื่อนไหวใน Social Network เฉลี่ยเกินวันละ 1 ชั่วโมงต่อวัน
2. เครื่องสำอาง ครีมบำรุงมักได้เงินจากคุณเสมอ
3. หลายครั้งที่คุณนั่งนึกว่า วันนี้ล็อคบ้านแล้วหรือเปล่า ปิดไฟแล้วหรือยัง?
4. คุณเคยพูดให้กำลังใจตัวเองในกระจกหรือพูดคนเดียวอยู่บ่อยๆ
5. คุณเป็นคนรักความสะอาดขั้นเทพ ล้างมือทุกครั้งที่นึกได้
6. คุณคิดว่าคุณคือเพื่อนที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง
7. เวลาเห็นกระจกไม่รู้ทำไมต้องแอบเช็คหน้าตาตัวเองทุกที
8. คุณเป็นนักช้อปปิ้งต้วเป้ง ทุกครั้งที่เห็นป้ายเซลล์เป็นต้องซื้อ
9. คุณมีความลับเรื่องพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เคยบอกให้ใครรู้ แม้กระทั่งเลือกตอบว่า “ใช่” ในข้อนี้
10. คุณเคยคิดว่ามีตัวคุณอีกเวอร์ชั่น... ซ่อนอยู่ในตัวคุณเอง
ตอบว่าใช่ < 5 ข้อ
แต่อย่าเพิ่งดีใจ ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” ไม่ถึง 5 ข้อ เพราะถึง “คุณ” จะไม่ใช่ แต่ “คนใกล้ตัว” คุณน่ะ...ไม่แน่! ทางที่ดีอย่าไว้ใจใคร... แม้แต่ใจตัวเอง
ตอบว่าใช่ > 5 ข้อ
ขอแสดงความยินดี! บอกได้คำเดียวว่า “คุณมีโลกลับๆ ที่ไม่มีใครรู้” แล้วอยากรู้มั้ยว่ามีใครอยู่ในโลกใบนี้กับคุณบ้าง?
อยากรู้...คลิก http://www.youtube.com/watch?v=nL7qvv3zHAM
ร่วมหาคำตอบของโลกแห่งความจิตพร้อมกัน
17 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ ทั่วประเทศ
-
“หน้าอย่างผมเหรอจะเล่นเป็นคนดี” “บีม ศรัณยู” ออกตัวขำขำ รับบทเข้มเต็มอารมณ์ดิบใน “คน-โลก-จิต”

นักแสดงหนุ่มมาดกวนมากความสามารถอีกคนของวงการบันเทิง “บีม-ศรัณยู ประชากริช” ที่นานๆ ทีจะมีงานแสดงภาพยนตร์ให้ชมกัน ล่าสุดผู้กำกับ “นนทรีย์ นิมิบุตร” ตั้งใจเลือกเขาให้มาแสดงในภาพยนตร์ไซโค-ทริลเลอร์เรื่อง “คน-โลก-จิต” เพราะภาพลักษณ์แรงๆ ของเขากับบทหนุ่มไฮโซมาดร้ายที่ต้องเข้าไปพัวพันกับปมทางจิตทั้งของตัวเองและคนรอบข้าง งานนี้หนุ่มบีมออกตัวแบบขำๆ ไว้ก่อนว่า “หน้าอย่างผมเหรอจะเล่นเป็นคนดีกับเขาได้”
“ผมรับบทเป็น ‘คีย์’ หนุ่มไฮโซที่เป็นเพื่อนเก่าของพระเอกนักจิตวิทยา ทั้งคู่เหมือนมีปมเบื้องหลังที่ปิดบังอยู่ จนเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่โยงพวกเขาเข้าไปพัวพันกับฆาตกรรมต่อเนื่องสุดซาดิสต์ที่คาดไม่ถึง ก็จะเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนทีเดียวครับ การแสดงหนังเรื่องนี้ก็คงต้องบอกว่าการที่เล่นเป็นคนดีมันยากมากสำหรับผมนะครับ เพราว่าไม่มีใครเชื่อหน้าผมนะครับ มันเกิดมาแย่เองนะครับ (หัวเราะ) ความยากจริงๆ คงเป็นเรื่องของอารมณ์ มันไม่ใช่ว่าจะเป็นอารมณ์โมโหปรี๊ด เครียดปรี๊ด ไม่ได้ขึ้นสุดลงสุด มันก็ต้องมีเหตุและผลของอารมณ์ ไล่ระดับอารมณ์ขึ้นไป นั่นก็คงเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ได้ทั้งเรียนการแสดงและการเวิร์คช็อปที่ช่วยให้การแสดงไหลลื่นมากขึ้น ผมก็พยายามแสดงคาแร็คเตอร์นี้ให้ถูกใจมากที่สุดครับ
เรื่องนี้ก็จะสะท้อนเรื่องราวตรงตัวกับชื่อเรื่อง ‘คน-โลก-จิต’ เลยครับ คือคนธรรมดาๆ คนหนึ่งบนโลกใบนี้ อาจจะมีสภาพทางจิตหรือภาวะกดดันหลายๆ อย่าง มันก็เหมือนเป็นตัวแทนที่ทำให้ทุกคนได้รู้เรื่องความผิดแปลกบิดเพี้ยนของจิตใจ เรื่องนี้ทุกคนต้องติดตามไปตลอดเรื่อง ผมเชื่อว่าไม่มีคำว่างง มีแต่ตื่นเต้น และก็น่าค้นหาครับ อีกอย่างคือเรื่องนี้จะมีเซอร์ไพรส์จนตัวผมยังไม่รู้เลยนะครับว่ามันจะออกมาเป็นยังไง เพราะว่าพี่อุ๋ย นนทรีย์สับขาหลอกทั้งนักแสดงและคนดูตลอดเลยครับ”
เตรียมชมอีกหนึ่งบทบาทสุดเข้มข้นของ “บีม-ศรัณยู ประชากริช” ในภาพยนตร์ไซโค-ทริลเลอร์ที่คุณไม่อาจไว้ใจตัวเองได้เลยกับ “คน-โลก-จิต” ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 7 ของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” พร้อมเข้าฉาย 17 พฤษภาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
-
Movie Guide: คน-โลก-จิต
ฆาตกรรมสยองในวันอากาศร้อนผ่าวนำพา 4 คนนี้มาพบกัน
เขื่อน (อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์) -- นักล้วงความลับทางจิต เก่ง มั่นใจ เชื่อมั่นว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยตัวของเขาเอง ตัวเลือกเดียวของการไขปริศนาการตายสุดสยดสยอง
เทียน (บุญยิสา จันทราราชัย) -- นักนิติวิทยาศาสตร์สาว สุขุม แน่วแน่ ที่มุ่งมุ่นตามหาความจริงของความตายที่ไร้ร่องรอยฆาตกรโดยไม่รู้ว่ามีบาง สิ่งรอคอยอยู่
กวาง (แม็กกี้-อาภา)-- นักศึกษาสาวที่เต็มไปด้วยความร้อนแรง สวย เซ็กซี่ ใช้ทุกนาทีของชีวิตกับความเสี่ยง
คีย์ -- (ศรัณยู ประชากริช) นักธุรกิจหนุ่มที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ล้อมรอบไปด้วยความสำเร็จ แต่ก็ไม่เคยเติมเต็มชีวิตได้สักที
แต่ ยิ่ง "เขื่อน" เข้าใกล้คำตอบของคดีสุดซาดิสต์นี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนทั้งหมดจะถูกดึงเข้าไปอยู่เกมที่บิดเบี้ยวมากขึ้นเท่านั้น ...
เมื่อความตายมาประชิดตัว จงอย่าไว้ใจใคร! ที่สุดของภาพยนตร์ไซโค-ทริลเลอร์ที่จะทำให้รู้จักตัวตนและความเป็น
"คน-โลก-จิต" ที่ "คุณเอง" ก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น
17 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
-
บทสัมภาษณ์ “นนทรีย์ นิมิบุตร” กับภาพยนตร์ไซโค-ทริลเลอร์สุดระทึก ที่จะทำให้คุณมองตัวเองและโลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “คน-โลก-จิต”




จุดกำเนิด “คน-โลก-จิต”
มันเริ่มจากที่เราได้จัดโครงการ Thailand Script Project ครั้งที่ 2 ที่ผมทำร่วมกับคุณเป็นเอก (รัตนเรือง) แล้วน้องภัทรา (พิทักษานนท์กุล) ที่เขียนบท “คน-โลก-จิต” เขาก็ส่งบทเข้ามา แล้วก็ได้รางวัลชนะเลิศ กรรมการหลาย 10 ท่านคัดเลือกมาแล้วก็ได้รางวัลสูงสุด แล้วผมเองก็ได้อ่านแล้วคิดว่ามันพัฒนาได้ เพราะมันมีความน่าสนใจมากอยู่ในตัวเรื่องราวของมัน
ในขณะเดียวกันผมเองก็ได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อที่มีอยู่ในเมืองไทย ผมรู้สึกว่าปัจจุบันเกิดคดีที่แปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย มีคดีที่ตั้งแต่เด็กที่ผมไม่เคยเห็นไม่เคยพบ ผมรู้สึกว่าคนมีความโหดขึ้นเรื่อยๆ ในสภาพทางจิตใจหรืออาจจะเกิดจากสภาพทางสังคม เศรษฐกิจ ทางการเมืองทุกอย่าง ผมว่าบ้านเราอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด เพราะฉะนั้นผู้คนก็จะเครียดแล้วก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นเท่าที่ประเมินดูจากตามข่าวตามสื่อต่างๆ ผมรู้สึกว่าคนปัจจุบันนี้ค่อนข้างที่จะมีการแสดงออกแปลกกับสิ่งที่เราเคยเจอนะครับ เป็นเรื่องระหว่างครอบครัวบ้าง เป็นเรื่องระหว่างชุมชนบ้าง เป็นเรื่องระหว่างสังคมเล็กๆ บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อก่อนเวลาคนทะเลาะกันลุกขึ้นมาตีกันแค่นั้นก็จบ แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนโหดเหี้ยมขึ้น เอะอะมีการฆ่า เอะอะมีการทำร้ายกันอย่างรุนแรง ผมรู้สึกว่าหลังๆ เนี่ยคนเราเริ่มจะรู้สึกว่าเหมือน คือหนึ่งห่างไกลพระพุทธศาสนา สองขาดการยับยั้งชั่งใจ ก็เคยคิดเสมอว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ก็ได้ไปคุยกับคุณหมอทางจิตวิทยาแล้วก็อ่านหนังสือก็ได้พบว่า เหมือนกับว่าปัจจุบันนี้มันเกิดความวิปริตเกิดขึ้นในทั้งทางปฏิกิริยาเคมีในสมอง ในร่างกายของเราเอง บางคนไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร เกิดความเครียดเลยทำให้สมองของมนุษย์มันผิดและบิดเบี้ยว มันเพี้ยนไปจากปกติ ซึ่งปัจจุบันนี้มันเพี้ยนไปไกลมาก มันบิดไปไกลมาก คือคนมีการแสดงพฤติกรรมออกที่แปลกประหลาดมากแบบที่เราคิดไม่ถึงว่าคนจะทำได้ มีหลายๆ เรื่องเป็นแบบนั้น ก็เลยผนวกกันจากความสงสัยต่างๆ จากสื่อต่างๆ ที่ผมเคยได้รับบวกกับสคริปต์ที่ชนะเลิศเรื่องนี้บังเอิญมาเจอกันพอดี ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ราควรจะบอกควรจะแจ้ง เราควรจะเตือนให้คนไทยทั่วไปได้ทราบว่าเราเริ่มมีความผิดเพี้ยนทางจิต เพียงแต่ว่าใครจะสามารถควบคุมได้มากน้อยแค่ไหน คือหมายถึงความผิดเพี้ยน ความบิดเบี้ยวมันเพิ่มปริมาณมากขึ้นในตัวเรา แต่ว่าเราก็ต้องพยายามที่จะควบคุมมันให้ได้มากขึ้น มีสติมากขึ้น มีความคิดพิจารณากับทุกๆ เรื่องมากขึ้น นับหนึ่งถึงร้อยมากขึ้น เรื่องนี้ไอเดียก็จะเป็นการเตือน เป็นการเล่าให้ฟังว่าคนเรามีความผิดเพี้ยนไปมากแค่ไหน ไอเดียมันเริ่มมาจากบ้าน สังคมที่เรียกว่าครอบครัวนะครับ จนถึงสังคมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ชั้นตั้งแต่ขนาดเล็กจนใหญ่ ก็ได้นำมาพัฒนาบทกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ สุดท้ายผมก็เขียนมาเป็นร่างสุดท้ายนี้
ใช้เวลาพัฒนาบทนานมากน้อยแค่ไหน
ต้องบอกตามตรงว่าผมชอบสคริปต์ที่ชนะเลิศนี้มาก เพียงแต่ว่าความซับซ้อนของเรื่องมันยังไม่มากพอนะครับ ผมก็เอาบทนั้นมาเป็นบรรทัดฐานหรือแม่แบบแล้วผมก็พัฒนาไป ศึกษา research ข้อมูลต่างๆ ทั้งหนังสือ จากผู้รู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับจิตวิทยานะครับ นำเอาความรู้เหล่านั้นหรือสิ่งที่ได้จากการ research เหล่านั้นมาใส่ไว้ในภาพยนตร์ค่อยๆ ใส่ไป ยิ่งใส่เข้าไปมันก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เข้มข้นขึ้น แล้วมันก็มีไอเดียเกิดขึ้นมากมายในระหว่างที่เราทำบท พอได้ไอเดียตรงนั้นมาปุ๊บ เออ...ปมนี้มันน่าสนใจ แก้กันสักยี่สิบครั้งได้มั้งกว่าจะลงตัวว่าเป็นบทนี้
เรื่องราวความสลับซับซ้อนของจิตใจของมนุษย์มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้ชื่อเรื่องว่า “คน-โลก-จิต” มันเป็นเรื่องของคน เรื่องของโลกใบนี้ เรื่องของจิตใจ สามอันนี้มันสัมพันธ์กันอย่างไร ในภาพยนตร์พยายามจะพูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องของสามสิ่งนี้ซึ่งมันมาประกอบกันอยู่ในสังคมนี้นะครับ ยิ่งทำไปก็ยิ่งสนุกสนานมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องยอมรับว่าระหว่างการถ่ายทำเราก็แก้บทไปด้วย เพราะว่าเราก็ไม่เคยเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับคนที่สภาวะทางจิตใจที่มันผิดเพี้ยน เราก็ไม่ได้ไปอยู่กับเขาเป็นประจำหรือพบเห็นเขาประจำ เพียงแต่ว่ามันเริ่มมีความละเอียดอ่อน พอนักแสดงมาอ่านบทเสร็จแล้วก็สวมบทบาทนั้นๆ บางคนมันมีบางอย่างที่เรานึกไม่ถึง พอเราเห็นอย่างนั้นเราก็ปรับแต่ไม่ใช่เปลี่ยนบทนะครับ คือปรับบทให้เข้ากับตัวของนักแสดง หรือเราเห็นแง่มุมบางอันที่มันสนุกกว่าถ้าสามารถจะบิดไอ้เรื่องราวเหล่านั้นให้มันผิดเพี้ยนลงไปอีกหน่อย เราก็เติมเข้าไปตลอดระหว่างถ่ายทำด้วยครับ สนุกมากครับ
จากวันที่ตัดสินประกวดมาจนถึงการพัฒนาบทใช้เวลาถึง 1 ปีเลยครับ เพราะมันต้องการข้อมูลน่ะครับ เพราะเรื่องเกี่ยวกับสภาวะทางจิตของมนุษย์มันมีความซับซ้อนอยู่มาก มันพริ้วไหวได้ตลอดเวลา มันไม่นิ่ง ทุกอย่างมีผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกเสมอ มันเลยต้องไปค้นคว้าข้อมูลต่างๆ ทั้งเรื่องยา เรื่องการรักษา ประเภทต่างๆของคนที่มีปัญหาทางด้านสมองหรือสภาวะทางจิตอะไรแบบนี้นะครับ เลยต้องใช้เวลารีเสิร์ชนาน ต้องอ้างอิงถึงความเป็นจริงได้ คนต้องเชื่อถือเราได้ เราอยากทำหนังเรื่องนี้ให้มันเป็นเรียลิสติกจริงๆ เพื่อที่จะได้ให้ประโยชน์กับคนดูว่าสภาวะทางจิตมันเกิดจากอะไรได้บ้าง วิธีการแก้ไขมันควรจะเป็นยังไง
เรื่องราวของ “คน-โลก-จิต”
เล่าง่ายๆ เลยคือ มันเกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญขึ้นในกรุงเทพฯ นี่นะฮะ ก็เป็นเหมือนข่าวที่เราเคยดู เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันนำพาตัวละคร 4 ตัว เข้ามาเจอกัน มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วต่างคนก็มีปมที่บิดเบี้ยวทางใจ เนื่องจากทางครอบครัวบ้าง สภาวะทางสังคมบ้าง ทางการงานบ้าง ที่มันเกิดความเครียด ความเพี้ยน อาจจะเห็นภาพหลอน ซึ่งต่างๆ เหล่านี้เราได้มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งนั้น 4 คนนี้ก็มารวมตัวกันแล้วพยายามช่วยกันหาทางแก้ไขสภาวะการของแต่ละคนๆ ให้มันคลี่คลายออกไปทั้งทางดีและร้าย บางคนมันไม่แน่นอน จากสถิติจากข้อมูลจากบันทึกคดีที่เคยมี มันอาจจะแก้ไขไปในทางที่ดีได้ หรือบางรายยิ่งแก้ไขก็ยิ่งอาจถลำลึกลงไปอีกได้ เรื่องนี้ก็จะบอกทั้งสองทางครับ
-
ก็จะเป็นตัวอย่างของความบิดเบี้ยวของผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวงหรือทั่วประเทศจริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ว่าในเรื่องนี้จะพูดถึงเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ เพราะว่าในกรุงเทพฯ ความเครียดมันเยอะ การแข่งขันของทุกอย่างมันสูงมาก คนสามารถที่จะหลุดหรือสามารถที่จะ uncontrol ความรู้สึกของหัวใจหรือสมองของเราเนี่ยมีโอกาสที่จะหลุดจากตรงนั้นได้ง่ายกว่า ผมก็เลยถือเอากรุงเทพฯ เป็นตัวอย่างของการแสดงความบิดเบี้ยวผ่านตัวละครทั้งสี่คนในภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ จริงๆ แล้วในสี่คนนี้ทุกคนก็มีความผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวในความรู้สึกของตัวเองกันทุกๆ คน แต่ว่าแต่ละคนก็แตกต่างกันไปจากทางบ้านบ้าง จากทางสังคมบ้าง จากทางสิ่งแวดล้อมบ้าง ก็นำเสนอให้รู้สึกถึงว่าคนเราถ้าไม่สามารถควบคุมความรู้สึกหรือความคิดให้ดี อะไรที่มากระทบกับความรู้สึกเราเราต้องป้องกันให้ดีนะ ถ้าเราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เราก็จะหลุดออกไปได้ ในขณะเดียวกันบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวนะครับว่าเราได้ทำพฤติกรรมบิดเบี้ยวแบบนั้นใส่คนอื่นโดยที่เราไม่รู้ตัว “คน-โลก-จิต” ก็เหมือนตัวอย่างที่เราแสดงให้เห็นว่าในโลกเรามันเกิดอะไรขึ้นบ้างแล้วคุณควรจะระวังอย่างไรครับ
จริงๆ แล้วหนังเรื่อง “คน-โลก-จิต” มันเป็นเรื่องของความรู้สึก มีแต่การแสดงออกบิดเบี้ยวของสมองและจิตใจ แล้วความบิดเบี้ยวมันก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ทั้งปัญหาครอบครัวอย่างที่เกริ่นไปแล้ว จนกระทั่งถึงปัญหาเรื่องส่วนตัวแล้วก็ขยายไปใหญ่ขึ้น โดยมีคดีฆาตกรรมเป็นจุดที่ทำให้ทุกคนมาเจอกัน การสืบสวนคดีความ การที่ทุกคนพยายามเข้ามาช่วยเหลือกัน แต่ความสัมพันธ์กันของตัวละครแต่ละตัวมันซับซ้อนมากกว่านั้น คดีความการสืบสวนมันทำให้ทุกคนมาเจอกัน แต่หลังจากนั้นการที่ทุกคนได้เจอกันแล้วมันทำให้ทุกคนได้ค้นพบตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ฉันเติบโตมา สิ่งที่เป็นอยู่ ชีวิตที่ดำเนินไปอยู่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า หรือการใช้ชีวิตของแต่ละคนมันไปกระทบ มีผลกระทบต่อใครบ้าง มันก็เหมือนคนในสังคม ผมรู้สึกว่าในประเทศเราเองทุกๆ อย่างมันเหมือน connect กันหมด ใครจะทำอะไรอย่างหนึ่งมันส่งผลให้คนอื่นเสมอๆ นะครับ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์จะพูดถึงก็คือว่า ก่อนที่เราจะลงมือทำอะไร ลงมือพูดอะไรขอให้เราตั้งสติดีๆ เพราะว่าหลายๆ ครั้งที่เราทำหรือพูดอะไรลงไปโดยไม่ตั้งใจ มันส่งผลกระทบถึงคนไม่ใช่แค่คนเดียว มันส่งผลเป็นโดมิโน่กระทบไปถึงสังคมและประเทศได้
ผมรู้สึกว่าความน่าสนใจมันอยู่ที่ตัวละครแต่ละตัวมันดำเนินชีวิตไปอย่างไร มีความสลับซับซ้อนทางความคิดและจิตใจอย่างไร หนังเรื่องนี้เป็นการนั่งเฝ้ามองตัวละครทั้งสี่ตัว ซึ่งผมจะให้ตัวละครทั้งสี่ตัวเป็นตัวแทนของคนในเมืองหลวงหรือในประเทศไทยนี้ครับ
ไซโคทริลเลอร์เป็นอีกแนวที่ท้าทายในการกำกับ
ใช่ครับ แนวนี้ไม่เคยกำกับเลยครับ คือขณะที่รู้สึกกับเรื่องราวความผิดเพี้ยนของมนุษย์ประจวบกับได้สคริปต์ที่ชนะมา ก็รู้สึกดีใจมากเลยว่าเราได้พบทางอีกทางของเราแล้ว มันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยเล่าแล้วก็ไม่เคยไปทำหนังประเภทนี้นะครับ เมื่อมีโอกาสได้ทำก็รู้สึกดีใจมากว่าเราได้ทำอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว เราได้คิดภาษาภาพใหม่ๆ อีกแล้ว เราได้ค้นหาวิธีการเล่าหนังใหม่ๆ อีกแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสนุกเวลาทำหนัง เวลาที่ได้เจออะไรใหม่ๆ แบบนี้
การเตรียมตัวในการกำกับแนวใหม่ๆ ในเรื่องนี้
สำหรับผมก็อย่างที่บอกครับ ก็ต้องหาข้อมูลมากมาย และสำคัญที่สุดเลยเราต้องเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะทำ ถ้าเราไม่เข้าใจซะแล้ว เราก็ไม่อาจอธิบายสิ่งที่ต้องการถ่ายทอดให้กับตัวละครได้เมื่อมีคำถามเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการเขียนคาแร็คเตอร์ตัวละครแต่ละตัวออกมา มันต้องเกิดจากการเอาเคสต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับคนๆ นี้ หรือบางทีก็เอา 4-5 เคสมารวมให้คาแร็คเตอร์คนนี้ไป เพราะฉะนั้นการที่เราจะรวบรวมสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ เราต้องอาศัยความเข้าใจ การรีเสิร์ช การสอบถามคนที่เขารู้หรือประสบกับเหตุการณ์อย่างนี้ การเตรียมตัวก็เลยจะต้องทำทุกอย่างให้พร้อมที่จะตอบตำถามตัวเองเวลาที่เราต้องการดีไซน์ช็อตต่างๆ ของหนัง ดีไซน์ภาพ ดีไซน์เฟรม เฟรมนี้มันจะบอกอะไร มันจะพูดถึงอะไร หรือกระทั่งสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เอามาใช้ในหนัง มันก็ต้องเกิดจากกระบวนการเข้าใจก่อน รู้ว่าภาพในหัวของคนๆ นี้จะออกมาเป็นยังไง เขาจะเห็นเป็นแบบที่เขาคิด เพราะฉะนั้นเราต้องคิดแทนตัวละครทุกตัว และดีไซน์สัญลักษณ์ทุกตัวออกมาให้เข้ากับสิ่งที่เขาคิดอยู่มนหัวอย่างแท้จริง เพราะส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้จะไม่พูดออกมา ถ้าคนเหล่านี้เป็นคนที่พูดออกมา เขาจะไม่เป็น เขาจะไม่มีสภาวะอย่างนี้ เพราะเขาได้พูดคุย ได้ระบายความรู้สึกเหล่านั้นออกมา แต่คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจากที่ผมรีเสิร์ชมามักจะไม่พูด จะเก็บไว้ข้างใน บางคนเก็บจนกระทั่งซ่อนมันไว้เลย ไม่พยายามคิดถึงมัน แล้วก็กดความรู้สึกอันนั้นเอาไว้ กดเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ แล้วก็ไม่พูดมันออกมา ไม่อธิบายให้ใครฟัง นั่นทำให้คนเหล่านั้นมีสภาวะหรือสภาพการณ์ทางจิตหรือทางประสาทที่มันบิดเพี้ยนไปได้
ระยะเวลาในการเตรียมงานสร้าง
พอดีเรื่องนี้เป็นหนังยุคปัจจุบัน ไม่ใช่หนังพีเรียดเก่าๆ เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้การทำงานพรีโปรดักชั่น (Pre-Production) มันไม่ค่อยยากมาก แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ การทำความเข้าใจกับบท กับคาแร็คเตอร์ของตัวละคร คือนอกจากเราจะเวิร์คช็อปนักแสดงแล้ว เราก็ยังต้องเวิร์คช็อปนักแสดงด้วย เราก็จะมีการอ่านบทกันทั้งทีมงาน 60 คน ทุกคนมานั่งด้วยกันและอ่านบทไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะทำความเข้าใจให้ตรงกัน ตรงไหนใครไม่เข้าใจก็จะต้องถามให้เข้าใจ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอินเนอร์ อย่างเช่น กำลังเล่นหนัง นั่งอยู่เฉยๆ บางคนไม่เข้าใจว่านั่งอยู่เฉยๆ แล้วจะแสดงออกตรงนั้นยังไง ซึ่งจริงๆ การแสดงออก มันไม่จำเป็นต้องออกท่าทางอย่างเดียว แต่สภาพภายในจิตใจมันกดช้ำอยู่ในใจ บางทีมันไม่ได้แสดงออกมาข้างนอกให้ได้เห็นกัน เราเห็นบางคนปกตินั่งเหม่อลอยเฉยๆ เนี่ย เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่จริงๆ เขาอาจจะมีความทุกข์ หรืออาจจะมีความสุขอะไรก็ได้อยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นผมอยากทำให้ทีมงานเข้าใจในเรื่องราว ในตัวละครเหล่านี้ไปด้วยว่าบางทีมันเป็นอินเนอร์ของนักแสดง มันไม่ได้ถูกแสดงออกมา
ซึ่งตรงจุดนี้มันช่วยให้การถ่ายทำลื่นไหลไปได้ง่ายขึ้น
ใช่เลยครับ เหมือนกับผมถ่ายหนังทุกๆ ครั้ง คือการถ่ายหนังบนโต๊ะ คือนั่งอยู่ด้วยกันแล้วก็พูดถึงปัญหาแต่ละฉากว่าฉากนี้เขาเข้าใจยังไง ทีมกล้องควรจะรับนักแสดงยังไง ไฟควรจะเป็นลักษณะยังไง แม้กระทั่งว่าวันนี้เราจะกินอะไรกันดี อย่ากินข้าวกะทินะ เดี๋ยวท้องจะอืด คือมันต้องคุยกันหมดครับ เราพยายามจะแก้ปัญหาในกองถ่ายที่คิดว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้ เราก็แก้ปัญหามันซะก่อน วันนี้จะเป็นแกงจืด วันนี้จะดำน้ำ มีถ่ายซีนใต้น้ำนะ เราก็ควรทานอาหารเบาๆ ควรจะทานน้ำเยอะๆ เด็กเสิร์ฟน้ำจะเสิร์ฟน้ำยังไง คือทุกอย่างเราจะคุยกัน จอดรถที่ไหน เปลี่ยนเสื้อผ้ายังไง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ปัญหาที่เราคิดว่าจะเกิดขึ้นมันถูกแก้ไขไปแล้ว แล้วเราก็แค่ไปเผชิญปัญหาหน้าโลเกชั่น เช่น ฝนตก น้ำท่วม อะไรอย่างงี้ ปัญหาที่เราต้องแก้เฉพาะหน้า เราก็ตั้งปัญหาขึ้นมาบนโต๊ะว่ามีอะไรบ้าง แล้วเราก็ช่วยกันแก้ไปครับ
การแคสติ้งนักแสดงหน้าใหม่
ตอนแรกก็คิดอยู่ในใจว่า โอ้โห บทเรื่องนี้มันต้องอาศัยการแสดงชั้นสูงนะครับ เพราะมันต้องเข้าใจในบทบาทตัวละครจริงๆ แต่ทีนี้พอมาคิดไปคิดมาแล้วเนี่ย การที่จะทำให้คนดูเชื่อว่านักแสดงที่คุ้นหน้าคนนั้นๆ มีสภาวะทางจิตแบบนั้นแบบนี้เนี่ย มันอาจจะยากกว่าเราปั้นนักแสดงหน้าใหม่ขึ้นมาให้เป็นตัวละครนั้นๆ ให้คนดูเชื่อถือได้มันอาจจะง่ายกว่า เพราะเขาไม่รู้จักตัวละครตัวนี้ แล้วถ้านักแสดงหน้าใหม่สามารถจะถ่ายทอดเรื่องราว บุคลิกภาพ คาแร็คเตอร์ของแต่ละตัว ปมปัญหา สภาวะทางจิตของแต่ละคนออกมาได้ ผมว่าคนดูจะเชื่อได้มากกว่า
คือผมรู้สึกว่าถ้าเราใช้นักแสดงที่คนรู้จักอยู่แล้ว มันอาจจะทำให้ความน่าเชื่อถือของตัวละครแต่ละตัวมันลดลง ผมรู้สึกว่าถ้าจะเล่าเรื่องนี้ให้มันดูจริงจังขึ้น มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เราควรที่จะใช้คนที่ไม่มีใครรู้จักเลยดีไหม หรือรู้จักบ้างแต่ไม่มากนัก มีคาแร็คเตอร์หรือบุคลิกลักษณะที่สามารถเป็นได้ ไม่ใช่เขาไม่หล่อไม่สวย เวลาแคสติ้งเราจะนึกถึงภาวะบางอย่างที่เขาแสดงออกไป เขาอาจจะแสดงความรักที่อาจจะไม่เหมือนใคร เขามีวิธีของเขาแบบนี้ ซึ่งต่างจากคนปกติทั่วไปส่วนใหญ่ คนที่อาการการแสดงแบบนี้มีเป็นจำนวนน้อยในประเทศ เพราะฉะนั้นผมถึงอยากได้คนใหม่ๆ นักแสดงใหม่ๆ มาแสดงและก็พยายามที่จะสวมบทบาทเหล่านั้นให้สมจริงสมจังที่สุด
และที่สำคัญนักแสดงหน้าใหม่ก็จะมีเวลามากมายที่จะเวิร์คช็อป ที่จะซ้อมทำความเข้าใจกับตัวละคร กับบทบาทที่ได้รับต่างๆ เนี่ยมากพอ สำคัญอย่างยิ่งเราต้องเวิร์คช็อปในแง่ของวิชาชีพ ทุกคนต้องไปดูคนที่เขาทำอาชีพนี้จริงๆ ในแต่ละบทบาท ต้องไปดูว่าแต่ละคนคาแร็คเตอร์เป็นยังไง เขาจะต้องเป็นคนๆ นั้น เพราะฉะนั้นเขาจะต้องถ่ายทอดความเป็นคนๆ นั้นได้ ความเป็นนักจิตวิทยาทางบวกต้องเป็นยังไง การพูด การมองโลก การเข้าใจ จากการสะกดจิตตัวเองให้คิดบวกทำบวกทุกอย่างต้องทำยังไง มีคาแร็คเตอร์แบบไหน ยิ้มยังไง มันต้องศึกษาทุกๆ อย่าง
หรืออย่างตัวละครอีกตัวหนึ่งที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์แบบคุณหมอพรทิพย์ เขาก็จะต้องเรียนรู้การออกไปพิสูจน์หลักฐาน ไปพิสูจน์ศพต้องทำยังไง ต้องดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง แต่งตัว ทำผม เสื้อผ้ายังไง คือทั้งหมดเขาต้องเรียนรู้ ผมเชื่อว่านักแสดงใหม่เขามีเวลาให้เรามากพอ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะไปทำเวิร์คช็อปแบบนี้ก็จะมีสูง ถ้าเป็นนักแสดงปกติเขาก็อาจจะมีเวลาให้เราไม่พอที่จะทำอย่างนี้ เราก็ต้องไปทำการบ้านให้เขาเยอะ ผมว่ามันจะไม่เต็มที่เท่าอย่างนี้ แล้วการแคสติ้งนี่เราแคสจากคนเป็นร้อยๆ นะครับ การคัดเลือกแต่ละคนมามันต้องมีความเหมาะสมในบทบาทของแต่ละคนจริงๆ
คาแร็คเตอร์หลักในเรื่อง “คน-โลก-จิต”
คาแร็คเตอร์ของ “เขื่อน” รับบทโดย “น้องแบงค์” (อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์) จะเป็นนักจิตวิทยาที่ฉลาด แต่ในความฉลาดนั้นเขาแอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในจิตใจของเขา มันมีความบิดเบี้ยวทางจิตใจมาตั้งแต่เด็กและโตขึ้นในอีกแบบหนึ่ง เขาพยายามจะหลีกหนีตัวเอง เขาก็ต้องสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อจะลบปมด้อยของตัวเอง อันนี้คือตัวเขื่อนที่เป็นอยู่ และน้องแบงค์เนี่ยเขาเป็นเด็กที่ใหม่มาก เขาหน้าตาดี หน้าตาหล่อ ซึ่งตรงนั้นเป็นจุดหนึ่งที่เราคิดว่าคนที่มีสภาพจิตใจที่ดี คิดบวกทำบวก เขาน่าจะมีบุคลิกภาพแบบนี้ หล่อ คมสัน ดูแลตัวเอง มีความเนี้ยบอยู่ในตัวเอง ที่สำคัญที่สุดคือเขาสามารถจะถ่ายทอดอารมณ์หลายๆ ด้านได้ ทั้งด้านการพูดการจาที่มั่นใจกับคนอื่น รอยยิ้มที่งดงามของเขา ขณะเดียวกันเขาสามารถถ่ายทอดอีกมุมหนึ่งของเขาออกมาได้ ผมรู้สึกคาแร็คเตอร์ของเขาแปลกกว่าคนอื่นที่แคสติ้งมา เขามีการแสดงออกที่แข็งๆ เหมือนเขาต่อต้านอะไรบางอย่างอยู่ ผมรู้สึกเสมอเวลาที่ผมคุยกับเขา เขาจะมีอาการเหมือนพยายามที่จะต่อต้าน มีบางสิ่งบางอย่างที่ต่อต้านอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา ด้วยการพูดที่แปลกๆ พูดแล้วเหมือนไม่ใช่คนปกติ แม้กระทั่งอาการที่เขาแสดงออก เช่น เวลาที่เราอยากให้เขาแสดงออกให้เราดูว่าไหนคุณรักแม่แค่ไหน แทนที่เขาจะบอกว่าแม่ดียังไง แต่เขานั่งเฉยๆ แล้วก็น้ำตาไหลออกมา ผมรู้สึกว่ามันเป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมว่ามันแปลกออกไป แตกต่างออกไปจากคนทั่วไปที่เขาจะเป็น เขาไม่พูดถึงแม่เลย เขาหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงใครๆ แต่เหมือนทุกอย่างมันออกมาจากข้างในเขา มันเหมือนว่าเขามีอะไรอยู่ข้างใน อยู่ดีๆ เขาก็นั่งแล้วน้ำตาไหลแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผมว่ามันมีความแปลกในตัวเขาซึ่งน่าสนใจ ซึ่งมันเป็นผลดีในแง่การแสดง มันไม่ปกติหรือปกติแต่ไม่เคยเห็นบ่อยๆ ในคนทั่วไป ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับคาแร็คเตอร์ทั้งสี่คน มันทำให้หนังสมบูรณ์โดยตัวเอง
คาแร็คเตอร์ “เทียน” ที่รับบทโดย “น้องป๊อปปี้” (บุญยิสา จันทราราชัย) เป็นนิติวิทยาศาสตร์ คือหนึ่งคนที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์ เราสังเกตได้ว่าเกือบทุกคนจะมีคาแร็คเตอร์ของตัวเองชัดเจน ซึ่งตัวน้องป๊อปปี้เองเขาก็มีความเป็นผู้ชายสูง ซึ่งเราต้องการมาต่อกรกับนักจิตวิทยาได้ แล้วก็มีความมั่นใจมาก แล้วก็ไม่ค่อยอ่อนหวานนุ่มนิ่ม แต่กลับมาดมั่นแข็งแรง เชื่อมั่นในตัวเอง อันนี้คือบุคลิกภาพที่เราวางไว้เลย แล้วพอเราได้น้องป๊อปปี้มา แล้วเรามาทำแคสติ้งก็ใช่เลย ตรงกับสิ่งที่เราอยากได้เลย มันมีฉากที่ต้องถกเถียงด้วยวาจากับผู้ชาย เขาก็เอาอยู่ และทำให้เราเชื่อได้ ก็อย่างที่บอกนะครับ เขาก็มีภาวะบางอย่างอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเขา เขาก็เลยมีความเป็นผู้ชายสูง
-
น้องป๊อปปี้เป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนผู้หญิง เขามีคาแร็คเตอร์ที่ขัดแย้งกับหน้าสวยๆ หวานๆ ของเขา โดยตัวเขาเองจะมีวิธีการแสดงออกที่มีความแข็งอยู่ในตัว เหมือนทุกอย่างมันเก้งก้าง มันไม่ลงตัวไปซะหมดในตัวเขา ทั้งที่ดูรวมๆ ถ้าเราเห็นน้องป๊อปปี้นั่งอยู่เฉยๆ หรือเดินมาแล้วผ่านเราไปถือว่า เขาเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง พอได้คุยกับเขาแล้วได้รับรู้วิธีการคิดของเขาโดยการสัมภาษณ์ การพูดคุยกับเขาจะรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้มีความแข็งๆ อยู่ในตัวขัดกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองมาก แล้วเขาก็จะมีความซับซ้อนในแง่คิดของเขา ถ้าสมมติผมบอกให้เขาคิดว่าเขาเป็นคนที่ทำให้แม่เขาตายนะ เขาจะรู้สึกยังไง เขาก็จะบอกว่ามันคงติดตัวเขาไปจนเขาตาย ขณะเดียวกันเขาจะไปสาเหตุจริงๆ ของการตายอันนั้นว่าทำไมเขาถึงทำให้แม่ตาย คือวิธีการของป๊อปปี้ตอนเราคุยกันครั้งแรกๆ เขาก็จะไปค้นหาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจะค้นหาความจริงให้ได้ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าเขาควรจะเสียใจหรือเขาควรจะรู้สึกยังไงกับเหตุการณ์นั้น เป็นพวก perfectionism ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบถึงจะเชื่อ นี่คือคาแร็คเตอร์ของเขา ซึ่งในเรื่องเขาจะเล่นเป็นนิติวิทยาศาสตร์ในกองสอบสวนคดีพิเศษ เขาจะต้องลงไปชันสูตรศพ เขาจะต้องลงไปเป็นคนที่วิเคราะห์รูปแบบการตายของแต่ละคนโดยละเอียด แม้กระทั่งเวลาของการตาย วันของการตาย หลักฐานต่างๆ เพราะฉะนั้นผมว่าเขาเหมาะมากในสิ่งเขาเป็นคนชอบค้นหาความจริง เพราะฉะนั้นมันก็เข้ากับคาแร็คเตอร์ของตัวเทียนมากๆ เลย
คาแร็คเตอร์ของ “กวาง” รับบทโดย “น้องแม็กกี้” (อาภา ภาวิไล) ตอนแรกก็รู้สึกว่า น้องเขาดูวัยรุ่นมากๆ ดูทันสมัยมากๆ แต่ในความเป็นวัยรุ่นทันสมัยมากๆ เขาก็มีบุคลิกที่ตรงกับคาแร็คเตอร์กวางมากๆ เช่นกัน เป็นวัยรุ่น เป็นนักศึกษา ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะอ่อนแอจนเอาบทนี้ไม่อยู่ แต่พอมาแคสติ้งจริงๆ แล้วเนี่ย ผมกลับต้องไปเปลี่ยนบทผม เพราะว่าเขาเข้าใจตัวละครตัวนี้มากจริงๆ เขาเข้าใจมัน เขาตีความ แล้วมันก็มีอีกมุมนึงที่ผมไม่เห็น ผมคิดไม่ถึง เพราะเราเป็นผู้ชาย บางทีเราก็ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดแบบผู้หญิงซักเท่าไหร่ เขามีความละเอียดอ่อนมากกว่าเรา พอเขาเล่นเนี่ย แล้วเราต้องกลับไปแก้บท แล้วเราก็เอาคนนี้แหละ กลับไปแก้บทให้ตรงกับคนๆ นี้มากกว่า แล้วเขามีส่วนลึกๆ ซ่อนอยู่ และสามารถดึงเอาโมเมนต์นั้นออกมาได้ แล้วเราก็กลับไปแก้บทให้เข้ากับตัวเขา
ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าเป็นลูกคุณอรุณ ภาวิไล แล้วก็มาทราบตอนหลัง อ้าว จริงเหรอ ซึ่งจริงๆ แล้วผมเคยทำโฆษณาตั้งแต่เขายังเด็กๆ ถ่ายขนม แล้วก็ไปทั้งครอบครัวมีทั้งคุณตุ๋ย คุณจอย ลูกสาว ก็ไปกันทั้งครอบครัว แล้วก็ถ่ายโฆษณากันที่เกาะเสม็ด เออก็ดี ก็กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นความบังเอิญโดยแท้ ก็ดีครับ ซึ่งเราก็มาปรับบุคลิกเขาให้เป็นอีกแบบ ปรับทรงผม การแต่งหน้า ให้เขาไปลดหุ่น ให้เหมือนกับเด็กสมัยใหม่ที่มั่นใจในเปลือกนอก แต่ข้างในอ่อนเหลวเลย เขาต้องเล่นเป็นเด็ก Broken Home ครอบครัวแตกร้าว คุณพ่อฆ่าคุณแม่ตาย ซึ่งทำให้เขามีสภาพทางจิตค่อนข้างแย่ แล้วเขาก็รับบทนั้นได้ดี คือเป็นคนที่ข้างในเนี่ยโหยหาความรัก โหยหาอะไรบางอย่างเพื่อทดแทน เติมชีวิตตัวเองตลอดเวลา แล้วเขาก็ทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นตัวละครนั้นจริงๆ เราจะเห็นผู้หญิงที่บอบบาง แล้วคาแร็คเตอร์ที่เราวางไว้ก็จะเป็นผู้หญิงที่บอบบาง อ่อนไหวง่ายกับทุกสิ่งที่มากระทบหมด ขณะเดียวกันก็พยายามจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งโดยรูปลักษณ์ภายนอกจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งมาก ฉันกล้าฉันแกร่งฉันเที่ยวฉัน flirt กับทุกคนไปเรื่อย แต่จริงๆ แล้วในใจเปราะมากพร้อมที่จะแตกตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเขาจะเป็นที่ข้างนอกดูแข็งแต่ข้างในอ่อนปวกเปียกเลย สภาพทางจิตจะไหลไปกับสภาพเหตุการณ์แวดล้อมตลอดเวลาเลย แม้กระทั่งอยู่กับตัวเองถ้านึกอะไรขึ้นมาได้ก็จะรู้สึก hurt รู้สึกเจ็บกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องยอมรับมากๆ ว่าน้องแม็กกี้ทำตรงนี้ได้ดีมาก คือข้างนอกเขาจะดูเป็นคนเซ็กซี่ดูเป็นคนที่คร่ำหวอดอยู่กับแวดวงสังคมต่างๆ ในที่เที่ยวโน่นนี่ เป็นตัวแทนของวัยรุ่นในปัจจุบันนี้เลย ข้างนอกก็ดูเป็นคนเซ็กซี่ เป็นคนเปรี้ยว แต่งตัวเก่ง ย้อมสีผม ใช้ของดีๆ แต่จริงๆ แล้วข้างในมันเปราะบางมาก ซึ่งตัวละครตัวนี้ผมรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่ชัดที่สุดในการที่จะเป็นตัวแทนของวัยรุ่นในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าผมได้คุยกับน้องๆตอน research หลายคนมากที่เป็นแบบนี้ คือข้างนอกพยายามที่จะแสดงออกฝืนกับความรู้สึกของจิตใจข้างในจริงๆ ไว้ พวกนี้หลายคนไม่เคยกอดพ่อกอดแม่เพราะรู้สึกการแสดงออกแบบนี้มันไม่ใช่ แต่จิตใจข้างในรักพ่อรักแม่มาก แต่ด้วยวัย ด้วยความคิดของเขา ด้วยเปลือกของเขา เขารู้สึกว่าการแสดงออกแบบนั้นมันไม่ควร ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าเขากล้าที่จะแสดงออก ถ้าเขากล้าที่จะไปกอดคุณพ่อคุณแม่ได้เนี่ย เขาจะรู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก แต่พวกนี้เขาจะไม่อบอุ่นเพราะเขาสร้างกำแพงกับตัวเองไว้ เพราะเขาจะรู้สึกว่ามันจะดูยังไงนะไปกอดพ่อกอดแม่เขาไม่ทำกันหรอก เพราะเขาสร้างกำแพงกั้นตัวเองกับทุกอย่างไว้ กั้นตัวเองกับครอบครัว กั้นตัวเองจากความรู้สึกความปรารถนาดีกับคนอื่น เขาจะรู้สึกว่าเขาต้องทำตัวเองให้เชื่อมั่นทำให้เป็นที่ยอมรับของทุกคนในสังคม แต่จริงๆ แล้วในใจของคนพวกนี้เปราะบางมาก ก็ต้องยอมรับว่าน้องแม็กกี้ทำบทบาทนี้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สมบูรณ์
สุดท้ายคือคาแร็คเตอร์ “คีย์” รับบทโดบ “บีม ศรัณยู” ที่มีประสบการณ์ทางการแสดงมาแล้ว ซึ่งคนนี้ต้องยอมรับว่าผมเลือกจริงๆ เพราะว่าเขาตรงกับคาแร็คเตอร์มากๆ แล้วก็เคยทำงานกันในละคร “ตะวันเดือด” ก็เลยรู้สึกว่าใช่ แล้วบีมเวลาทำงานจะจริงจัง เขาอินกับคาแร็คเตอร์มาก เล่นหนังเล่นละครถ้าไม่สั่งคัทเขาจะไม่หยุดเล่นเลย เป็นคนที่ตั้งใจเล่นอยู่ตลอดเวลา แล้วก็อินอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราก็รู้สึกว่าทำงานด้วยแล้วมีความสุข ทำงานด้วยแล้วชอบคนที่มีความตั้งใจสูงมากๆ เขาเป็นคนที่มีสองด้านจริงๆ ยิ่งตัวละครตัวนี้ที่เป็นเขาก็มีสองด้าน คือหนึ่งดูจากหน้าตา ดูจากคาแร็คเตอร์เขาเป็นคนที่ดุดัน มุ่งทะลุ ใช้ความรุนแรงโดยคาแร็คเตอร์เขาเป็นยังงั้น ซึ่งเราก็ไม่พยายามที่จะปรับเขา ผมหมายความว่า ผมเลือกตัวละครตัวนี้เพราะเขาเป็นยังงั้น ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกดูเหมือนจะโหดๆ เหี้ยมๆ แต่ภายในบีมเป็นคนที่ร้องไห้ได้ตลอดเวลา คือเมื่อมีอะไรใหญ่ๆ มากระทบใจเขา เขาจะร้องไห้ได้ทันที คือจากที่เราทำงานร่วมมา ผมจะเข้าใจดีว่าจริงๆ แล้วจะคล้ายแม็กกี้แต่คนละแบบ แม็กกี้ออกแนวสาวเซ็กซี่เป็นคนรุ่นใหม่เป็นตัวแทนของสมัยใหม่ แต่บีมเนี่ยเป็นผู้ชายที่แข็งกร้าว เล่นปืน เล่นรถ คือเป็นผู้ช้าย...ผู้ชาย แต่คือจริงๆ แล้วในใจของบีมกระทบง่ายเหมือนกัน บีมเป็นคนที่มีหลอดแก้วอยู่ในจิตใจของตัวเองเหมือนกัน หลอดแก้วที่เปราะบางพร้อมจะแตก เขาเป็นคนที่จริงจังถ้าเขารักใครเขาก็จะรักมากแต่ในความรักมากมันก็จะทำให้แก้วในใจเขาเปราะบางขึ้นเรื่อยๆ และพร้อมจะแตก ถ้าแตกเมื่อใดใจเขาจะสลายเลยนะครับ ในคนที่เขาจริงจังก็จะเป็นแบบนี้ คือเขาจะอ่อนไหวกับสิ่งที่เขารักใครมากๆ เขารู้สึกจะทุ่มเทมากๆ จิตใจเขาก็จะยิ่งเปราะบางเท่านั้น เมื่อกระทบมันแตกง่ายมันก็จะเสียใจมากเช่นกัน บีมเป็นคนแบบนั้น แล้วก็คีย์ในตัวละครก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ตอนนั้นที่ผมเลือกบีมมาไม่ต้องมีตัวเลือกเลย ผมเขียนบทให้เขาเล่นเลย ผมเขียนเป็นตัวเขาเลย ผมนึกหน้าเขาออก นึกคาแร็คเตอร์ นึกการแสดง นึกทุกอย่าง นึกชีวิตเขาออกก็เขียนให้เป็นเขาเลยครับ แม้กระทั่งรถยนต์ที่เขาใช้ในภาพยนตร์ก็เป็นรถยนต์ของเขา เพราะผมรู้สึกว่าเขาเป็นตัวเขามาก
ถึงแม้ทั้งสี่คนจะมีบุคลิกที่ตรงกับตัวละครมากน้อยแค่ไหน แต่พี่อุ๋ยก็ส่งน้องๆ ไปเรียนพื้นฐานการแสดงด้วยเช่นกัน
การเรียนการแสดงเป็นเรื่องสำคัญ คือผมมีความคิดอย่างนี้เสมอ เหมือนกับเวลามีคนหลายคนเดินมาหาผมว่าอยากเป็นนักแสดงทำไงดีจะต้องไปทำหน้าไหม ไปเปลี่ยนทรงผมไหม ต้องไปฟิตหุ่นไหม ผมบอกว่าให้ไปเรียนการแสดงครับอับดับหนึ่ง คือการเข้าใจในการแสดงออก การเข้าใจในตัวละครด้วยการศึกษาการเรียน มันจะทำให้คุณรู้จักในตัวละครของคุณมากขึ้น หลักใหญ่ๆ เลยคุณจะต้องสามารถถอนตัวจริงๆ ของคุณออกไปก่อน แล้วก็เอาตัวละครมาใส่ในชีวิตคุณ ที่สำคัญอย่างยิ่งถ้าคุณไม่เรียนคุณกลับบ้านไปด้วยตัวละครตัวนั้น คุณอาจจะเศร้าหมอง หมองหม่นได้ในชีวิตจริง เวลามาเรียนแล้วคุณต้องรู้จักเอาตัวละครเข้า และขณะเดียวกันเมื่อทำงานเสร็จคุณต้องรู้จักเอาตัวละครนี้ออกไปด้วย ไม่งั้นมันจะติดกลับไปแล้วหลายคนเป็น ซึ่งผมทำงานกับหลายๆ คนเป็นแบบนี้ กลับบ้านไปแล้วอาเจียนออกมาเพราะรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้โดนกดดันเหลือเกิน เพราะฉะนั้นการเรียนการแสดงนอกจากจะเข้าใจพื้นฐานการแสดงและการวอร์มอัพตัวเองแล้ว ก่อนเริ่มการแสดงก็ต้องมีการวอร์มอัพ วอร์มอัพตัวเองเสร็จ ก็ต้องหยิบตัวละครที่อยู่ในหนังมาใส่ตัวเอง ถอดตัวเองออกไป แล้วก็เมื่อทำงานเสร็จก็ต้องถอดตัวละครตัวนี้ออกไปด้วย แล้วก็เข้าใจระดับพื้นฐานการแสดงว่าสามารถที่จะเพิ่มได้เมื่อผมอยากให้เพิ่ม ลดได้ถ้าผมอยากให้ลด ลดยังไงเพิ่มยังไงการเรียนการแสดงจะทำให้เขาเข้าใจตรงนี้
โชคดีที่ได้ “หม่อมน้อย” มาช่วยเราตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจ็คต์นี้ ทุกคนได้ไปเรียนตั้งแต่เบสิคพื้นฐานจนถึงขั้นสูงแต่เป็นคอร์สแบบรวดเร็วนิดนึงก็เรียนกันอยู่ประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งพวกเขาก็ไปเรียนอยู่ตลอดอาทิตย์ละ 2-3 วัน นอกจากพื้นฐานวอร์มอัพทางการแสดง ความเข้าใจในการแสดงทุกอย่าง ทัศนคติทางการแสดง แล้วเขาก็ยังเคี่ยวข้นเรื่องบทบาทคาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วย ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณพี่น้อยด้วยครับ เพราะว่าพี่น้อยเองก็ไม่ค่อยมีเวลา แกก็ยุ่งกับหนังใหม่ของตัวเองอยู่ เพราะฉะนั้นพี่น้อยท่านก็มีเวลาให้เราไม่มาก แต่ในเวลาไม่มากนั้นก็เป็นหลักสูตรเข้มข้นก็อัดกันเต็มที่เท่าที่ได้เลยครับ ก็ได้ผลมากมาย และรู้สึกว่ามีประโยชน์กับน้องๆ และเรื่องนี้มากๆ ทำให้ทุกคนแข็งแรงขึ้นอย่างทันตาเห็น
การร่วมงานกับทีมนักแสดงหน้าใหม่ตั้งแต่วันแรกจนปิดกล้องพี่อุ๋ยได้เห็นพัฒนาการด้านการแสดงของน้องๆ อย่างไรบ้าง
ต้องเรียกว่ามหาศาลเลย ด้วยความเป็นน้องใหม่ในวงการหลายคนอาจจะเคยเล่นอะไรมาบ้าง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไม่เคยเลย อาจจะมีโฆษณาบ้าง มิวสิควิดีโอบ้าง ซึ่งมันก็ไม่แสดงทางอารมณ์หรือสภาพทางจิต ผมเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ขนาดมืออาชีพก็เรียกว่ายากหิน เพราะฉะนั้นเนี่ยผมเข้าใจดีว่าหนังเรื่องนี้เล่นยากมาก คือเป็นการแสดงออกที่ซับซ้อนมาก หน้ายิ้มแต่ว่าหัวใจปวดร้าว หัวใจปลื้มปิติแต่หน้าต้องเศร้าสลด มันคล้ายๆ อย่างนั้นเลยนะครับ ผมว่าสำหรับน้องๆ ทุกคนแล้วเป็นนักแสดงใหม่ สิ่งที่เขามีมากที่สุดสำหรับเราก็คือเวลา อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด ผมไม่สามารถที่จะถ่ายหนังเรื่องนี้ได้โดยนักแสดงมีเวลาให้ผมอาทิตย์ละ 1-2 วัน ไม่สามารถไปเรียนการแสดงได้ ไม่สามารถไปเวิร์คช็อปได้ ไม่สามารถไปทำความเข้าใจกับนักแสดงด้วยกันได้ ผมจะทำงานเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ หรือได้ก็ไม่ดีไม่สมบูรณ์แน่ แต่น้องๆทั้งสี่คนนี้ถึงจะไม่มีประสบการณ์การแสดงมากมายนัก แต่ขณะเดียวกันเขามีเวลา เขามีความตั้งใจ แล้วเขาทุ่มเท อันนี้คือเรื่องสำคัญ
เพราะฉะนั้นวันแรกหลังจากที่เขาเรียนการแสดงกันเสร็จแล้ว เราได้ทำการเวิร์คช็อปด้วยกันสามวันที่ต่างจังหวัด เพราะผมชอบไปทำเวิร์คช็อปกับนักแสดงที่ต่างจังหวัดเพราะเขาจะได้อยู่ด้วยกัน อยากให้เขารู้จักกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน ให้เขาสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ให้เขารู้จักกันว่าใครเป็นใคร ใครยังไง ให้เขาพูดคุยกัน สลายพฤติกรรมที่เคยมีมาทั้งหมด แล้วมาอยู่ร่วมกัน แล้วทุกๆ วันเราก็มาแสดงหนังไปด้วยกัน ก็เล่นไปตั้งแต่เริ่มเรื่องจนกระทั่งจบเรื่อง เราก็เห็นความตะกุกตะกัก เราก็เห็นการพูดไม่ชัดบ้าง เราก็เห็นพฤติกรรมหลายๆ อย่าง ซึ่งการอยู่ด้วยกันตลอดเวลามันทำให้เรามีเวลาที่จะสังเกตเขา ใครเป็นยังไง ใครไปถึงไหน ใครมีพัฒนาการถึงไหนบ้าง แนะนำไปแล้วทำได้มั้ย ก็ต้องยอมรับว่าเคี่ยวจนข้นจริงๆ ฮะ ร้องห่มร้องไห้กันเลยทีเดียว เพราะเรื่องนี้มันยาก ผมก็ไม่สามารถปล่อยมือน้องๆ ไปเผชิญชะตากรรมกับตัวเองได้ ยูเล่นดียูก็เกิด ยูเล่นไม่ดียูก็ตาย ผมไม่สามารถทำอย่างงั้นได้ เพราะว่ามันยากจริงๆ ผมก็ต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาทุกนาที จับมือกันเล่นหนังไปด้วยกัน ให้กำลังใจเขาอยู่ตลอดเวลา คือสิ่งที่เราทำร่วมกันอยู่สามวันเต็มๆ ซึ่งมันได้ประโยชน์มาก เหมือนกับทุกคนได้เล่นหนังเรื่องนี้ไปแล้วหนึ่งรอบก่อนเปิดกล้องโดยไม่มีทีมงานไม่มีกล้อง มีแต่พวกเรากันเองแค่นักแสดง ผม และผู้ช่วยเท่านั้นเอง
แต่แน่นอนครับ พอไปเข้ากล้องวันแรก ทุกคนสั่นเป็นเจ้าเข้าเลย ปากสั่น ไม่รู้จะเอามือไปไว้ที่ไหน มันลืมทุกอย่างหมดเลย มันลืมตั้งแต่การวอร์มอัพ ลืมการถอดใส่ตัวแสดง มันลืมว่าต้องพูดยังไง เคยเล่นยังไงไว้ก็จำไม่ได้ ก็คือวันแรกเราเสียเวลาไปกับเรื่องนี้มาก แต่ว่าก็สนุกดีฮะ เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับพวกเขาและผม ซึ่งผมมันก็ไม่สั่นหรอก เพราะไม่ได้ทำงานเรื่องแรก แต่เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้ทำงานกับพวกเขาที่เพิ่งเล่นหนังเรื่องแรก ต้องยอมรับว่าแรกๆ ผมก็จะเครียดมาก เฮ้ย...มันจะเอาหนังเราอยู่มั้ย มันจะสามารถรับคาแร็คเตอร์นี้ได้มั้ย พวกเขาเองก็เกร็งไปหมด ทีมงานเต็มกองไปหมด เดินกันขวักไขว่ เดี๋ยวแต่งหน้าทำผม ใส่เสื้อผ้า ต่อบท เอาข้าวมาให้กิน เขาไม่เคยเจอคนเยอะขนาดนี้มาก่อน เขาก็เลยตื่นกอง เหมือนสัตว์ทุกชนิดที่ไปที่ที่ใหม่ อย่างหมาไปบ้านใหม่ก็วิ่งจนทั่วบ้าน มันก็เป็นลักษณะปกติของคนที่เจออะไรใหม่ๆ แต่พอเครียดไปได้ครึ่งวัน ครึ่งวันหลังผมก็เริ่มขำไปกับเขา พยายามให้เขารีแล็กซ์ ไม่ควรไปเครียดกับเขาด้วย ทางที่ดีก็คือควรไปให้กำลังใจ ทำให้เขาผ่อนคลายมากกว่า ก็ใช้วิธีเดินกอดคอคุยกัน คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ จำได้มั้ยเราเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ก็ค่อยๆ ทำให้เขาสงบลงสบายใจขึ้น นั่นก็คือวันแรกๆ ที่เหมือนกับไก่ตื่น พอถึงครึ่งทางก็จะมี half way party เลยครึ่งทางผมก็รู้สึกว่าเขาสนิทกับทีมงาน พูดเล่นหัวกันได้ ผมก็รู้สึกได้เลยว่าทั้งสี่คนนี่เปลี่ยนไปละ เมื่อถึงครึ่งทางทุกคนก็ได้หมดละ หลังจากครึ่งทางนั้นไปก็มีแต่ความสนุก เราก็ทำงานได้อย่างเต็มที่
-
และเรื่องนี้ผมจะค่อนข้างถ่ายเรียงตามเรื่องนะครับ ซึ่งปกติเราไม่มีทางที่จะถ่ายเรียงตามเรื่องได้ ผมบอกผู้ช่วยเลยว่าให้ทำคิวให้ค่อนข้างเรียงตามเรื่องไป เพราะว่า หนึ่งนักแสดงใหม่มันยากอยู่แล้ว มันยากสำหรับนักแสดง แล้วมันก็ยากสำหรับผมด้วย อย่างที่บอกว่านี่เป็นสไตล์ใหม่ของผม ถ้าผมเล่าแบบกระโดดข้ามไป ถ่ายท้ายๆ เรื่องขึ้นมาก่อน ผมก็อาจจะคอนโทรลมันไม่ได้ ผมจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เนี่ยไอ้สภาวะทางจิตของตัวละครแต่ละตัวมันถูกพัฒนาไปถึงไหน เพราะฉะนั้น นี่จึงเหมือนเป็นกฎเป็นระเบียบอันหนึ่งของการทำงานเรื่องนี้เลยว่า พยายามจะถ่ายเรียงตามเรื่อง ค่อยๆ เรียงตามเรื่อง ให้เขาค่อยๆ เข้าใจไปพร้อมๆ กัน ผมก็ทำความเข้าใจไปพร้อมกับตัวแสดงในแง่การแสดงออกทางจิตของแต่ละคนๆ ไป ก็เลยทำให้ครึ่งหลังของการทำงานค่อนข้างจะลื่นไหลและเข้มข้น ทุกคนเข้าใจแล้วว่าใครเป็นใคร หมดความตื่นกลัว หมดความอาย แล้วก็ทำงานกันเต็มที่ขนาดที่ว่าดึกดื่นแล้ว จะเจอกี่เทคทุกคนก็ไม่มีบ่น ไม่มีอาการ ทุกคนรู้สึกว่าสนุกกับมันและเข้าไปอินกับบทบาทตัวละคร เช่นฉากหนึ่งของบีมกับแบงค์ที่ต้องโต้ตอบกันหนักๆ ในฉากท้ายๆ เรื่อง พูดโต้ตอบกันยาวมาก แล้วมันก็มีอุปสรรคโน่นนี่ทำให้เขาต้องถ่ายกันอยู่ไม่ต่ำกว่าสี่เทคใหญ่ๆ ซึ่งต้องใช้พลังงานมากๆ ซึ่งตอนถ่ายนั่นก็ห้าทุ่มไปแล้ว ซึ่งผมถ่ายกันยาวๆ ไม่มีตัด ซึ่งต้องใช้พลังงานมหาศาลมาก เสร็จแล้วทุกคนก็แทบอาเจียนกันไปเลย ผมก็เห็นเลยว่า ยิ่งเขาเข้าใจมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งใส่พลังปะทะกันเต็มที่ จนเรารู้สึกได้ถึงพลังที่เขาปล่อยออกมาเล่นกันอย่างเต็มที่ ผมรู้สึกว่าอันนี้เป็นอันที่เข้มข้นมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าผมได้อะไรจากตัวละครสองตัวนี้มากๆ เลยในฉากนั้นเพราะเขาใส่กันอย่างเต็มที่ เหมือนเขาเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ไม่เหมือนเป็นบีมเป็นแบงค์เลยครับ
เรื่องนี้ในแง่กำกับมันยากจริงๆ ผมตัดสินใจอะไรแปลกๆ ใหม่อยู่เยอะเลย บางอย่างมันไม่เข้าปาก บางอย่างมันไม่เหมาะ บางอย่างมันหลุดจากคาแร็คเตอร์ตัวละครเราก็ต้องปรับกันตลอดเวลา เราต้องตั้งใจดูมันอย่างจริงๆ และปรับเดี๋ยวนั้นจริงๆ เพราะมันไม่ใช่หนังรักที่คนดูจะรู้ว่าเดี๋ยวมารักกันก่อน แล้วก็เดี๋ยวมีรักสามเส้าคือมันพอเข้าใจอะไรที่ง่ายๆ อยู่ แต่เรื่องสภาวะทางจิตมันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ คือเราก็ต้องสำรวจตัวละครไปตลอดเวลาด้วยว่าเขาหลุดออกจากตรงนั้นรึเปล่า เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างงี้ ไม่เห็นเหมือนที่เราคิดเลย แล้วมันดีหรือไม่ดี เป็นอันที่ผมต้องชั่งใจ เพราะผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เราต้องตัดสินใจให้ตัวละครของเราเป็นยังไง เพราะบางทีเขาเล่นมามันไม่เหมือนกับที่เราวางว่าควรจะเป็นอย่างงี้ แต่เขาเล่นมาแล้วกลับให้เรารู้สึกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันไม่มีถูกมีผิดนะครับ เราก็ต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงอะไรทำนองนี้ เพราะเรื่องสภาพทางจิตใจมันเขียนเป็นบทไม่ได้ ต้องให้เขาขุดคุ้ยความรู้สึกออกมาเองให้เราตัดสินใจว่าใช่หรือไม่ใช่ ไอ้ความยากของมันจึงเกิดการเรียงซีนเกิดขึ้น เพราะว่าสภาวะของคนพวกนี้มันบกพร่อง มันเว้าๆ แหว่งๆ ไอ้ดีกรีของการขาดวิ่นบิดเบี้ยว มันจะต้องค่อยๆ เพิ่มขึ้น คือถ้าผมไปเริ่มต้นจากทางท้าย ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องตั้งตัวเลขไว้ที่เท่าไหร่ในตอนท้าย เพราะฉะนั้นแล้วนี่ ผมจึงต้องถ่ายเรียงๆ ไปเพื่อให้รู้ว่าความบิดเบี้ยวมันค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไอ้การขาดวิ่นมันจะขาดขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราก็ต้องนั่งดูว่าจังหวะที่เราจะให้เขาขาด ให้เขาบิดมันอยู่ที่ตรงไหน มันมากพอหรือยังหรือมันน้อยไปมั้ย มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ครับ ผมต้องยอมรับว่า นักแสดงทุกคนเขามีเวลาให้เราเต็มที่ ทำให้เราสามารถถ่ายทำกันอย่างต่อเนื่องได้ นอกจากเรียงฉากแล้ว เรายังถ่ายต่อเนื่องทุกวันๆ เพราะฉะนั้นเขาก็ยังอินตัวละครอยู่ทุกวันๆ ผมก็เข้าใจอยู่ทุกวันๆ แล้วผมก็สามารถจดโน้ตของผมไปได้เรื่อยๆ พอมันถ่ายได้ต่อเนื่องแล้วเนี่ย มันก็ทำให้ผมคำนวณได้ง่าย เข้าไปกำกับได้ง่าย เข้าไปดูแลความรู้สึกของเขาได้ง่ายว่ามันต่อมาอย่างนี้ๆ ถ้าผมได้ถ่ายเขาอาทิตย์ละครั้งสองครั้งผมคงแย่ หนึ่งคือเขาคงจำไม่ได้ เขามีคิวน้อย แสดงว่าเขาไปทำอย่างอื่นละ เล่นละคร เล่นหนังอย่างอื่น ซึ่งจะหลุดจากคาแร็คเตอร์ไปแล้ว กว่าจะกระชากเขากลับมาใหม่ ในแต่ละอาทิตย์ๆ เนี่ย ผมว่ามันไม่เวิร์คแน่ ก็ต้องขอบคุณนักแสดงและทีมงานทุกท่านที่ใส่พลังกันเต็มที่ม้วนเดียวจบมาให้ผม ทำให้มันสมบูรณ์แบบจริงๆ ครับ
ซึ่งการทำงานแบบนี้มันจะได้ความสดใหม่ไปด้วย
ถูกต้องครับ ทุกคนจะกลับบ้านพร้อมการบ้าน พรุ่งนี้เขามาก็ต้องเอาการบ้านมาส่ง คือการส่งการบ้านก็เช่น เขาคิดว่า ตัวละครตัวนี้ที่จะถ่ายต่อไปอาการมันจะเป็นยังไง รู้สึกยังไง ข้างในเขาคิดอะไรบ้าง แล้วเขาจะแสดงออกมายังไง นี่คือการบ้านที่ผมให้เขากลับไปทุกวัน ซึ่งการบ้านนี้ผมอาจจะไม่ได้ใช้มันเลยก็ได้ เพราะผมอยากให้เขายังคงอยู่กับตัวละครตัวนั้นไป และยังคงทำความเข้าใจกับมันอยู่ เมื่อเช้าขึ้นมาทุกคนก็จะมาบอกว่ามันเป็นอย่างงี้ๆ ซึ่งบางทีมันอาจจะใช้ได้ บางทีอาจจะใช้ไม่ได้ บางทีอาจหลุดไปไหนไม่รู้ เป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งไปเลยก็ได้ ซึ่งผมก็รู้สึกว่ามันก็ดีนะ ทำให้ตัวละครตัวนี้มันไม่นิ่ง มีความเคลื่อนไหวในความรู้สึกของตัวละครอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเขาอาจจะหลุดไปเลยก็ได้นะฮะ โดยเฉพาะอย่างแบงค์ เขาใหม่เอี่ยมเลยในเรื่องการแสดง มันทำให้บางครั้งเขากลับมาตอนเช้าเขาเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย กว่าจะเรียกกลับมาได้เนี่ยเกือบเที่ยง มันเหมือนกับว่า เขาบอกว่าเขาไปคิดกับมัน ทำการบ้านๆ มากๆ เข้า เขารู้สึกเตลิดไปเลย เขาหายไปเลย ไอ้ตัวละครที่เล่นมามันหายไปเลย เหมือนกับใครเตะปลั๊กหลุด ฮาร์ดดิสก์เจ๊งเลย blank สมชื่อเลย ไม่มีอะไรอยู่ในหัวมันเลย เขาไม่รู้เป็นอะไร เขาไม่เข้าใจทำไมเป็นอย่างงี้ อยู่ดีๆ มันก็หายไปหมดเลย เอาบทมาอ่านยังไงก็ไม่เข้าไป เออมันก็เป็นเรื่องที่แปลก ผมรู้สึกว่า เออ น้องแบงค์นี่สงสัยเป็นตัวจริง (หัวเราะ) คือมันมีภาวะอย่างนั้นจริงๆ แล้วก็เป็นภาวะที่พวกเราตกใจมากๆ ไม่ควรหรอก คนเราไม่ควรจะหายไปขนาดนั้นได้ คืออย่างน้อยมันก็ต้องมีอะไรเหลืออยู่ในหัวบ้าง แต่เขาบอกว่า ไม่มีอะไรเหลืออยู่จริงๆ แม้กระทั่งคาแร็คเตอร์ ท่าเดินที่เราเคยคุยกันไว้ หายไปหมดเลย คือเขาจำอะไรไม่ได้เลย เมมโมรี่มันคงเต็ม เขาก็เลยลบมันไป ซึ่งพองานเสร็จแล้วมานั่งนึกย้อนดู เออมันก็ดีเหมือนกันนะ เราก็เหมือนกับมานั่งสตาร์ทอะไรกันใหม่ๆ อีกครั้งหนึ่ง การทำอะไรซ้ำๆ มันอาจจะทำให้ได้เห็นรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ นี่หมายถึงเสร็จแล้วนะ แต่ระหว่างถ่ายก็กลุ้มใจเหมือนกันนะฮะ บ้า มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมทุกอย่างมันหายไปหมด ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่ผมไม่เคยเจอนะ ก็ดีได้เจออะไรใหม่ๆ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ เพราะว่าในที่สุดครึ่งวันเขาก็กลับมาได้ เราก็สามารถ restore เมมโมรี่กลับมาได้ในที่สุด
นอกจาก 4 ตัวหลักแล้วยังมี “อาสุเชาว์” และ “พี่ดี้ ชนานา” ด้วย
พี่สุเชาว์ เล่นเป็น “พ่อของกวาง” คาแร็คเตอร์เป็นทหารใกล้จะเกษียณ ก็มีลูกเล็กเหมือนเป็นลูกหลง จริงๆ แล้วแกเป็นคนที่รักลูกแกมาก แต่ก็อย่างที่บอกนะครับ ไม่ว่าจะด้วยสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจก็ตาม ทางอะไรก็ตาม ภายนอกที่บีบคั้นจิตใจเขา จนเขาตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรลงไป ก็คิดถึงพี่เชาว์เพราะว่ามันเป็นบทที่ค่อนข้างหนัก เพราะเป็นตัวละครที่ส่งผลกระทบต่อตัวละครที่แวดล้อมทุกคนเพื่อจะนำพาชีวิตเขาต่อไปไม่ว่าจะเป็นปัญหาก็ตาม ประเด็นปมต่างๆ ความแตกร้าวทางจิตใจก็ตาม ความบิดเบี้ยวทางจิตใจอะไรต่างๆ ก็ตาม มันเกิดจากตัวละครตัวนี้
ส่วน พี่ดี้ ชนานา เล่นเป็น “แม่ของเขื่อน” ซึ่งเป็นตัวละครที่เขื่อนเนี่ยยึดไว้ในจิตใจ คือเขารักแม่เขามาก ด้วยความที่เขารักแม่เนี่ย ทำให้เขาต้องการแม่ตลอดเวลา คือหลายๆ ครั้งบางคนเนี่ย หรือแม้กระทั่งตัวผมเองก็ตาม ทุกคนต้องการการยึดเหนี่ยวทางจิตใจ คือ หนึ่งคนไม่เชื่อศาสนาซะแล้ว ไม่ได้นับถือศาสนาอะไร ไม่ได้ไหว้พระ ไม่ได้โน่นนี่นั่น เขาก็ต้องหาอะไรยึดเหนี่ยวอยู่ดี บางคนก็จะห้อยเหรียญ บางคนก็จะห้อยผ้าถุงแม่ บางคนก็จะห้อยฟันพ่อ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นทุกคนมันจะมีสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ เพราะฉะนั้นตัวเขื่อนก็จะใช้แม่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ มีอะไรก็จะคุยกับแม่เขา เพื่อจะสร้างประเด็นที่เขาบอกว่า Positive Thinking คิดบวกทำบวก เขาก็จะถามแม่เขาตลอดเวลาว่า สิ่งที่เขาทำอยู่มันถูกแล้วใช่มั้ย เขาคิดอย่างงี้มันถูกแล้วใช่มั้ย เขาก็จะมีแม่ที่เล่นโดยพี่ดี้ ชนานาเนี่ยยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่ตลอดเวลาครับ
ใช้กรุงเทพฯ เป็นโลเกชั่นหลักในการถ่ายทำ
ผมอยากให้กรุงเทพฯ เป็นตัวแทนของอาการนี้ของเรื่องราวเหล่านี้ เพราะว่าเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ เนี่ยมันพร้อมที่จะทำให้คนเราหรือใครก็ได้ โดยเฉพาะผมจะรู้สึกเสมอว่าอยู่ในกรุงเทพฯ ผมจะรู้สึกว่ามันไม่ไหว รู้สึกว่ามันกดดัน เครียด แล้วมันก็มีสภาวะทางความคิด สภาวะจิตใจที่มันบิดเบี้ยวสูง มันพร้อมที่จะทำให้ผมบิดเบี้ยวได้ตลอดเวลา ผมเคยอยากจะตะโกนลั่นในห้างดังๆ ห้างหนึ่ง มันรู้สึกว่าหนวกหูมาก มันวุ่นวายมาก เมื่อเราจะไปซื้ออาหารในร้านอาหารสักร้านหนึ่งมันก็มีคนวิ่งหือมาแหวกหน้าเรา คือผมรู้สึกว่ามันต้องแย่งกันกินแย่งกันอยู่แย่งอะไรกันขนาดนี้เหรอ มันมีเสียงตะโกนโฆษณา มันมีเสียงเพลงบ้าๆ บอๆ ดังๆ แล้วใครจะฟัง ผมมีความรู้สึกว่าไม่ได้ยินสักอย่าง มันมีแต่ความรกหูอยู่ในนี้ มันทำให้คลื่นสมองผมมันสูงมาก การอยู่ในเมืองมันไม่เวิร์คเลย เพราะฉะนั้นผมคิดว่านี่แหละมันเป็นโมเดลของซิตี้ที่ควรจะเป็นสภาวะความบิดเบี้ยวและขาดวิ่นทางจิตใจได้สูงมากคือที่นี่แหละ ผมเองไม่ชอบอยู่กรุงเทพฯ บ้านผมเองอยู่ต่างจังหวัด ถึงจะเป็นจังหวัดนนทบุรีก็เหอะก็ยังดีกว่าที่นี่ (หัวเราะ) นานๆ มีโอกาสเข้ากรุงเทพฯ ทีไรก็ยังโดนบังคับให้เข้าไปอยู่ในเมือง ในห้าง ซึ่งคนเยอะๆ เนี่ยเรารู้สึกว่าไม่ไหวทุกทีเลย มันจะแย่ สภาวะทางจิตมันจะแย่มากๆ มันต้องมีสมาธิมากๆ แล้วก็เหมือนกับเราต้องทำสมาธิให้อยู่กับตัวเองให้ได้ตลอดเวลา พยายามจะไม่ได้ยินอะไร ไม่เห็นอะไร มันหมายถึงเมืองสมมติ เมืองตัวอย่างที่มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ครับ
นอกจากความโดดเด่นทางด้านการแสดงแล้ว เรื่องของภาพก็เป็นอีกความโดดเด่นหนึ่งของเรื่อง
โดยทางภาพเราดีไซน์ให้ภาพทุกภาพที่เกิดขึ้นในหนังเนี่ยมันไม่นิ่ง มันเหมือนกับสภาพจิตใจของคนเมืองนี้แล้วไม่นิ่ง กล้องจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลามากบ้างน้อยบ้าง แต่จะไม่มีกล้องนิ่งๆ เลยในหนังเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นจะเกิดการดีไซน์การเคลื่อนไหวของกล้อง และขณะเดียวกันกล้องจะเคลื่อนไหวผ่านสิ่งที่ทำให้ภาพของคนนั้นมันบิดเบี้ยวไปตามวัตถุต่างๆ อาทิเช่น ภาพที่มันมีกระจกวางทับเหลื่อมซ้อนกันอยู่ เมื่อกล้องผ่านกระจกเหล่านั้นแล้วข้างหลังเป็นคนเนี่ย คนนั้นจะมีอาการเพี้ยนๆ จากรูปทรงที่เป็นปกติ จะมีวิธีการเล่าแบบนี้เสมอๆ
หนึ่งคือไม่นิ่ง สองคือมีอาการบิดเบี้ยวเมื่อคนๆ นั้นเกิดสภาวะทางจิตที่บิดเบี้ยวแล้วก็ขาดวิ่นจะมีภาพลักษณะแบบนี้นำเสนออยู่ เป็นเหมือนกับทำให้รู้ว่าบางครั้งคนเรามองเห็นตัวตนกันอยู่อย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วข้างในมันบิดไปแล้วนะ มันเพี้ยนไปแล้วได้นะ คือสภาพข้างนอกอาจจะยังดีอยู่ มันสามารถบิดเบี้ยวไปได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นผมก็จะมีอุปกรณ์ในการทำภาพบิดเบี้ยวต่างๆ กระจกทรงโค้ง แท่งปริซึม ต่างๆ ติดอยู่ในกองถ่ายอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเราพร้อมที่จะทำภาพที่มันบิดเบี้ยวได้อยู่สม่ำเสมอ มันเหมือนกับว่าภาพคนปกติแล้วกล้องก็จะผ่านสิ่งที่ทำให้บิดเบี้ยวไป มันก็จะเห็นได้ว่าสภาพของคนเราที่มองเห็นด้วยตาที่เขาเป็นปกติอยู่นี้ เมื่อเขาเริ่มพูดอะไรบางอย่าง เมื่อเขาเริ่มแสดงอะไรบางอย่าง มันมีความบิดเบี้ยวภายในแสดงออกมามันก็จะผ่านรูปทรงการบิดเบี้ยวเพี้ยนจากคนปกติไป
แล้วอันที่สามที่เราดีไซน์ไว้ของ เรื่องของการเข้าและออกทางสภาวะทางจิต สังเกตจะเห็นว่าผมจะมีรูท่อให้กับนักแสดงเสมอ ทุกอันจะเป็นกล่องเป็นรูเป็นปล่อง เหมือนอุโมงค์เมื่อคุณเข้าไปในอุโมงค์นั้นได้คุณก็จะเห็นปลายทางที่มีแสงๆ อยู่ที่ว่าคุณจะออกไปได้หรือเปล่า จะเห็นว่าผมมีภาพแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ภาพที่มันเห็นถึงการเข้าไปอยู่สภาวะบางอย่าง แล้วคุณจะทะลุมันออกไปได้หรือไม่ มันก็เหมือนปล่องคุณเข้าไปทุกคนอยู่ในปล่องในช่วงหนึ่งของสภาพจิตอาจจะเข้าไปอยู่ในปล่องนี้ อยู่ที่ว่าคุณจะออกจากปล่องนี้ที่มันทึบทึม มันก็จะเห็น มันก็จะไม่ปกติ อันนี้ก็จะเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ทางภาพไว้กับบรรยากาศและงานทางโปรดักชั่นดีไซน์ก็จะเป็นเรื่องที่ต้องมีสามสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลาทั้งเรื่อง เพื่อจะให้คนผู้ชมเห็นชัดทางความคิดมากขึ้นนอกจากบท นอกจากการแสดง แล้วยังมีการดีไซน์ทางภาพเพื่อให้เห็นความคิดที่ชัดเจนที่เราอยากบอกกับคนดู
ระดับความแรงของเนื้อหาที่สะท้อนออกมาทางภาพเป็นอย่างไรบ้าง
ผมอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ถ้าจะพูดทั่วไปแล้วมันเป็นหนังไซโค-ทริลเลอร์ คือมีการฆาตกรรม มีการซ่อนเงื่อนอะไรต่างๆ เอาไว้ แต่ผมชอบดูหนังแบบนี้ แล้วดูหนังแบบนี้มาเยอะมาก แล้วผมรู้สึกว่าส่วนใหญ่แล้วจะออกมาในโทนที่ใกล้ๆ กันหมดเลย คือมีความทึบทึม อับ มืด ดำแล้วก็โหดร้าย โหดเหี้ยม แล้วก็องค์ประกอบทุกอย่างมันพยายามที่ทำให้มันเกิดสภาวะแบบนั้นกับหนังหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา แต่หนังของผม ผมอยากจะบอกว่ามัน sweet มาก คืออยากทำให้มันแตกต่าง อยากให้มันคอนทราสต์ ผมมีความรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นมั้งเวลาที่เราจะเห็นใครฆ่ากันแล้วมันจะต้องหนักหน่วง ภาพมันจะต้องดิบเถื่อนแล้วก็ทึบทึมอยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกว่าถ้ามันงามล่ะ เพราะว่าคนที่มีจิตใจที่บิดเพี้ยน ผิดเพี้ยน ขาดวิ่น ผมเชื่อการที่เขาจะฆ่าใครสักคนมันไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องไม่ดีหรือเขาไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่โหดร้าย แย่ ต่างในสายตาคนอื่น ผมว่าถ้าเราจะแสดงสภาพวะทางจิตใจของเขานะไม่ใช่ของคนถูกกระทำ ของผู้กระทำคือคนที่เรียกว่าอยู่ข่ายสภาวะทางจิตที่บกพร่องเนี่ย ผมว่าเขาอาจจะมีความงาม เขาอาจจะฆ่าด้วยงาม เขาอาจจะมีเพลงประจำของเขาอยู่ในหัวของเขาเวลาเขาลงมือปฏิบัติการอะไรบางอย่าง ในระหว่างนั้นเขาอาจจะมีศิลปะในการที่จะทำแบบนั้น เขาอาจจะมีสุนทรียศาสตร์ของเขาในการที่เขาจะดำเนินการฆ่าใคร หรือเล่นสภาวะทางจิตกับใคร ความโหดเหี้ยมของเขาอาจจะแสดงด้วยความสุข ด้วยความงามของเขา เพราะฉะนั้นผมเลยมองเรื่องนี้แตกต่างออกไป
-
ผมเชื่อว่าการแสดงออกของคนเหล่านี้ขัดแย้งกับสิ่งที่โลกนี้เป็น คือถ้าเขาเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ดีไปด้วยเนี่ย เขาคงไม่ทำ ผมว่าเขาทำเพราะรู้สึกว่ามันดี มันงาม มันมีความสุข ผมก็เลยใช้วิธีการแสดงออกของเขาเพลงไพเราะ เพลงเพราะๆ แล้วภาพสวยๆ ไม่ต้องทึบทึมมาก แล้วก็มีความงามอยู่ในนั้น มีการดีไซน์เสื้อผ้า มีการดีไซน์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในฉาก ในเซ็ตก็มีการดีไซน์อย่างสวยงาม สีก็ขาวไม่ต้องทึบทึม ไม่ต้องไปฆ่ากันในท่อมืดๆ ดำๆ หรือในโรงงาน ความงามมันเกิดได้ทุกที่ แล้วอีกอย่างหนึ่งผมไม่อยากให้คนดูรู้สึกอึดอัดกับการฆ่า อึดอัดกับหนังแบบนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนปฏิเสธหนังทำนองแบบนี้ เพราะว่าเขารู้สึกว่ามันโหด พอเขาไปดูแล้วรู้สึกมันฝังใจเขาอยู่ แต่สำหรับเรื่องนี้ผมไม่ใช่เลย หนังผมจะสวีท ผมจะทำให้หนังเรื่องนี้ให้มันมีความหวานอยู่ในนั้น คือใครก็ดูได้ เด็กก็ดูได้ แต่ว่าดูด้วยความเข้าใจ มันมีเรื่องราวอื่นๆ ที่มันสามารถจะแสดงสภาวะแบบนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ความโหดเหี้ยม ผมพยายามเลี่ยงฉากแบบนี้ เลี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดหรือที่จำเป็นที่สุด แต่บางอันต้องการความชัดเจนก็เอาให้มันชัดเจนไปเลย สภาพศพก็เอาให้มันชัดไปเลย แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็จะเลี่ยงไป เลี่ยงเป็นการเล่าไปแทน หรือเป็นการใช้สัญลักษณ์บางอย่างแทน เพื่อจะไม่ให้หนังเรื่องนี้ดูแล้วมันรู้สึกหดหู่เกินไป ผมอยากให้ดูด้วยความเข้าใจสนุกกับมัน เพลงเพราะ ภาพสวย สนุกกับมันไป แล้วก็เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการป้อนเข้าไปให้คุณเข้าใจกับโลกใบนี้
ความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้
สำหรับผมสิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า หลายๆ ครั้งเนี่ยเราชอบพูดกันว่า คนนั้นเป็นโรคจิต คนนี้เป็นโรคจิต แต่บางครั้งเราไม่ได้เข้าใจเขาหรอกฮะว่า มันมีต้นกำเนิดมาจากอะไร โรคจิตจริงๆ มันไม่ใช่โรคหรอกฮะ คนที่เขาเป็นสภาวะทางจิตที่มันล้มเหลวบิดเบี้ยวเนี่ย เขาไม่ได้เป็นโรคอะไร เขาไม่ได้เป็นเอดส์ หรือโรคอะไร มันไม่เหมือนกัน แล้วมันก็เยียวยาได้ แค่พูดอะไร 2-3 ประโยคเนี่ยมันก็สามารถฟื้นคืนมาได้เลยนะครับ บางเรื่องที่มันคาใจ แล้วเรื่องมันไม่ถูกอธิบายเนี่ย คาใจมาเป็น 10 ปี แต่พอเราเข้าใจเขา เราอธิบายเขาแค่ 2-3 ประโยคเนี่ย เรื่องทั้งหมดมันคลี่คลายออกมาเลย เขาก็ปกติได้เลยทันทีมันไม่ใช่โรคร้ายแรง เพียงแต่ว่าถ้ายิ่งกดซ้ำหรือยิ่งเพิ่มอะไรเข้าไปในสภาวะจิตอย่างงี้อีก มันก็อาจจะปริแตกได้ จากการแตกของมันก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละคนว่า ออกมาในลักษณะไหนๆ ตรงนี้มันเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกว่าถ้าเราเข้าไปพิจารณาหรือโฟกัสกับคนกลุ่มนี้ ซึ่งจริงๆ มันสามารถเกิดขึ้นได้หมดกับใครก็ได้ทั่วๆ ไป ถ้าเราโฟกัสไปที่คนกลุ่มนี้ซะหน่อย เราก็จะเข้าใจเขามากขึ้น ขณะเดียวกัน เราก็จะหันมาเข้าใจตัวเราเองได้มากขึ้นด้วยว่า เราได้เก็บอะไรมันไว้หรือเปล่า ความแตกร้าวทางครอบครัว หรือสภาพจิตใจเราเป็นยังไง เราหันหากันบ้างหรือเปล่า เรารักกันพอหรือยัง หรือว่าเราได้ทำสิ่งที่เราไม่เคยอยากทำมาก่อนในชีวิตแล้วหรือยัง เช่น เราเป็นลูกผู้ชายแข็งขัน เป็นชายชาติทหาร แต่ว่าไม่เคยกอดแม่เลยอะไรอย่างนี้ คือมันก็จะทำให้ทุกอย่างมันคลี่คลาย แล้วก็ทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น เราก็จะรักกันมากขึ้น
อยากจะบอกผมอ่านเจอมามีคนบอกว่า ในทุกๆเมืองหลวงของโลกใบนี้ มีเดินมา 100 คน คุณไม่รู้หรอกว่านั่นจะมีคนที่มีสภาวะผิดเพี้ยนทางจิตอยู่ประมาณ 98 คน เหลือ 2 คนเท่านั้นที่จะไม่เป็น อาจจะเป็นพระ แต่ผมว่าทุกคนในโลกใบนี้สามารถที่จะเข้าสู่สภาวะบิดเบี้ยว ผิดเพี้ยน ขาดวิ่นทางจิตใจหรือสมอง อย่างที่ผมบอกไปว่าด้วยเคมี ด้วยสภาวะแวดล้อมต่างๆ ด้วยความเครียด ด้วยสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ทำให้จิตของใจของเรามันบิดเบี้ยวได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอก อยากจะเตือน อยากจะเล่าให้ทุกคนได้รับทราบถึงสภาพความผิดเพี้ยน เพื่อจะให้เราสำรวจตัวเองบ้าง ว่าเรามีอาการแบบนั้นหรือเปล่า บางครั้งเรารู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเรารู้สึกเราก็อาจจะเริ่มต้นจากการควบคุมมัน พยายามทำมันให้อยู่ อาจจะไปนั่งสมาธิที่บ้านเอง หรืออาจจะพยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมามากขึ้น ว่าอะไรมันดี-ไม่ดีหรืออะไรมันควร-ไม่ควร ภาพยนตร์ “คน-โลก-จิต” อยากจะพูดเรื่องนี้กับคุณด้วยความสวีท ในภาพยนตร์ไซโค-ทริลเลอร์แบบหวานๆ ก็อยากจะให้คุณเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับใครก็ได้ อย่าประมาท แล้วก็อย่าเพิกเฉยกับเรื่องแบบนี้ครับ
มันก็จะสะท้อนตรงกับชื่อเรื่อง คือ มันจะเป็น “คน-โลก-จิต” หรือ “จิต-โลก-คน” ก็ได้นะฮะ จะปรับยังไงก็ได้ ผมรู้สึกว่าชื่อนี้มันเหมาะสม อยู่ที่ว่าเราจะอธิบายมันยังไงก็ได้ หรือจริงๆ แล้วคนกับโลกมันคืออะไร มันทำให้สภาวะจิตใจมันเป็นยังไง ผมว่าสามอย่างนี้มันสอดคล้องกันอยู่ครับ
-
“แม็กกี้ อาภา” ใจแตกยั่วผู้ชายไม่เลือก เตรียมแจ้งเกิดบทแรง ใน “คน-โลก-จิต”

เตรียมแจ้งเกิดในวงการอีกคนสำหรับนักแสดงสาวหน้าใหม่ “แม็กกี้ อาภา ” ที่เล่นหนังเรื่องแรกใน “คน-โลก-จิต” ของผู้กำกับ “นนทรีย์ นิมิบุตร” ก็ต้องปรับลุครับบทสุดแรงเป็นสาวเปรี้ยวใจแตกที่ต้องFlirt ยั่วหนุ่มๆ เป็นว่าเล่น ไม่เว้นแม้กับ “เขื่อน” (แบงค์ อาทิตย์) อาจารย์และนักจิตวิทยาที่เข้ามาพบเธออีกครั้งโดยบังเอิญ
เบื้องหลังฉากนี้เเป็นฉากที่แม็กกี้ในบท “กวาง” ดื่มเหล้าและนั่งคุยหยอกล้อยั่วยวน “เขื่อน” อยู่ในผับอย่างสนุกสนาน ขณะที่พระเอกของเราพยายามหลบเลี่ยงต่อแรงเย้ายวน ก่อนที่จะไปลงเอยกันที่รถ...หรือเปล่า ต้องติดตามกันอย่ากะพริบตาเลยทีเดียว
“ฉากนี้เป็นฉากที่กวางที่หนูรับบทได้เจอกับเขื่อนพระเอกที่เคยช่วยเหลือกันตอนเด็กๆ อีกครั้ง ก็จะพูดคุยซักไซ้ถึงชีวิตกันไปมา แต่หนูจะแกล้งไม่สนใจและยั่วยวนพี่เค้าเต็มที่ทั้งชวนพี่เค้าดื่มเหล้าสูบบุหรี่ตั้งแต่ในผับจนไปต่อกันในรถ
คาแร็คเตอร์ของแม็กกี้ในเรื่องนี้จะค่อนข้างแรง เป็นสาวเปรี้ยวใจแตกที่มีหนุ่มๆ มาติดพันเยอะ แล้วก็ดูมั่นใจมาก ไม่แคร์สังคม ก็ต้องปรับลุคกันเยอะเลยค่ะ คือจะแตกต่างจากตัวหนูจริงๆ ไปเลยค่ะ เล่นหนังเรื่องแรกกับคาแร็คเตอร์แบบนี้ก็ต้องถือว่ายากเลยนะคะ แต่พอทำความเข้าใจในตัวละคร คิดเป็นตัวละครตัวนี้ ทุกๆ อย่างมันจะออกมาด้วยความรู้สึกของตัวกวาง พอเวลาแสดงมันก็จะเล่นไปอย่างลื่นไหลง่ายขึ้นค่ะ
เขินมั้ยกับฉากนี้ จะว่าไปจริงๆ หนูน่าจะเป็นฝ่ายเขินใช่มั้ยคะ แต่หนูก็อินไปกับบทแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเขินอะไรเท่าไหร่ แต่หนูกลัวว่าจะไปทำให้พี่แบงค์เค้าเขินแล้วก็เสียสมาธิในการแสดงมากกว่าค่ะ แต่สุดท้ายต่างคนก็ช่วยกันรับส่งบทบาทกันจนเล่นผ่านไปได้ดีเลยค่ะ แต่ฉากนี้จะลงเอยกันยังไงก็ต้องไปดูกันในหนังนะคะ”
เตรียมชมคาแร็คเตอร์สุดแรงของ “แม็กกี้ อาภา” ได้ใน “คน-โลก-จิต” ภาพยนตร์เขย่าจิตที่จะทำให้คุณไม่กล้าไว้ใจตัวเอง ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 7 ของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” พร้อมเข้าฉาย 17 พฤษภาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่าง "คน-โลก-จิต" เวอร์ชั่น 2
-
บทสัมภาษณ์ “แบงค์-อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์วาณิชย์” กับบทบาทสุดเข้มข้นชวนค้นหาในผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก “คน-โลก-จิต”



บทบาท-คาแร็คเตอร์
เรื่องนี้ผมรับบทเป็น “เขื่อน” เป็นนักจิตวิทยาที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญในการอ่านใจคน อ่านจิตอาชญากร มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เพราะเขาเคยใช้ความสามารถของตัวเองผ่านคดีมาแล้วหลายคดี ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเก่ง ล่าสุด เขาก็ถูกขอให้มาช่วยสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสยองร่วมกับ “เทียน” (ป๊อบปี้-บุญยิสา จันทราราชัย) นิติวิทยาศาสตร์สาว ก่อนที่ทั้งสองคนจะไขปริศนาของคดีนี้เสร็จสมบูรณ์ เขื่อนก็ได้พบกับ “คีย์” (บีม-ศรัณยู ประชากริช)เพื่อนเก่าที่เขาไม่ค่อยอยากเจอหน้า เหมือนมีเบื้องหลังบางอย่างที่ปกปิดกันอยู่ แล้วก็ยังต้องเจอกับ “กวาง” (แม็กกี้ อาภา)นักศึกษาสาวที่เคยเป็นผู้ป่วยของเขาที่จู่ๆ ก็มาเจอกัน เหมือนมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างระหว่าง4 คนนี้ที่เชื่อมโยงกันอยู่ ต้องติดตามในหนังครับว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นยังไง
โดยตัว “เขื่อน” มีคาแร็คเตอร์เหมือนหรือแตกต่างจากตัวแบงค์ยังไง และความยากง่ายในการเข้าถึงบทนี้
ผมว่าส่วนใหญ่จะไม่เหมือนเลยครับ จะตรงข้ามกันสิ้นเชิงเลยครับ ทั้งนิสัยและคาแร็คเตอร์ เพราะว่าโดยส่วนตัวของผมก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ แต่คาแร็คเตอร์นี้จะโตกว่าผม จะเป็นหมอที่มีความสามารถมากไปเลย แต่ความเหมือนก็จะเป็นด้านความคิดเชิงแง่บวกแง่ลบ อาจจะคล้ายๆ กันนะครับ
ก็ต้องปรับลุคกันเยอะมากเลยครับ พลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลย ปรับลุค คาแร็คเตอร์ ท่าทางในการเดิน การพูด ความคิด แววตาทุกอย่างต้องเปลี่ยนไปหมดเลย เพราะว่าวัยรุ่นกับผู้ใหญ่จะตรงกันข้ามกันในการกระทำพฤติกรรมต่างๆ นะครับ
การเข้าถึงบทบาท ตอนแรกผมก็กลัวมากครับว่าเราจะเข้าถึงตัวละครได้ไหม ง่ายๆ คือคุณต้องเชื่อในตัวละคร คุณต้องคิดเหมือนตัวละคร ที่มาที่ไปเขาเป็นยังไง ทำไมเขาถึงคิดอย่างนี้ ทำไมเขาถึงคิดประสงค์ร้ายประสงค์ดี เพราะว่าเมื่อก่อนตัวเขาเจออะไรมา ก็จะคิดเป็นทีละข้อๆ ครับ ซึ่งตอนแรกมันจะดูเหมือนยาก แต่พอเราเข้าใจคิดถึงทีละข้อ มันจะดูง่าย มันแบบแก้โจทย์ผ่านเลยตรงนี้ เพราะอย่างนี้เขาถึงเป็นอย่างนี้ เราต้องเข้าไปให้ถูกจุดของเขาครับ
ได้ไปเรียนการแสดงกับหม่อมน้อยด้วย
ใช่ครับ ได้ไปเรียนด้วยกันทั้ง 4 คนครับ ตอนแรกหม่อมน้อยเค้าจะให้เรียนเกี่ยวกับเรื่องร่างกาย ให้รู้จักกับร่างกายของเราแบบทุกข้อต่อต่างๆ ทุกอย่าง คือมันเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงที่ดีมาก เพราะเกิดเรายังไม่รู้จักร่างกายของตัวเอง เราก็จะใช้งานของมันไม่ถึงที่สุดครับ เรียนด้วยกันทั้ง 4 คนตอนแรกๆ ก็เขินๆ อายๆ เพราะยังไม่รู้จัก ไม่สนิทกันดี แต่พอหลังๆ มาก็เริ่มรู้จักกัน เพราะเจอกันในกองบ่อยๆ ก็คุยกันก็สนิทกันมากขึ้นครับ สรุปแล้วก็ได้ใช้ที่ไปเรียนก่อนหน้านี้มาเยอะเลยครับ อย่างเรื่องแววตาเวลาหันไปมองอะไรอย่างนี้ เขาจะค่อยๆ มองจนเจอจุดๆ หนึ่งปุ๊บ แล้วก็โฟกัส แล้วก็จับจุดอยู่กับมัน เราจะเล่นหลอกไม่ได้ เราต้องเล่นจริง เรามองอะไรก็ต้องมองจริง ไม่ใช่แบบมองเฟคๆ ไม่ได้เลยครับ
มีการซ้อมบทก่อนถ่ายทำด้วย
ใช่ครับ มีการอ่านบทด้วยกัน ให้แสดงความคิดว่าเป็นยังไง เพราะว่าอะไร ทำไมตัวละครนี้เป็นอย่างนี้ ทำไมตัวละครต้องทำอย่างนี้ ซึ่งตรงจุดนี้มีส่วนช่วยให้ผมแสดงลื่นไหล มันช่วยได้มากเลยครับ เพราะบางอย่างเราคาดไม่ถึงว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ แล้วพี่อุ๋ยก็บอกเหตุผลว่าเพราะเป็นอย่างนี้ๆ ซึ่งมันทำให้การซ้อมอ่านบทมันไม่ใช่แค่การอ่านผ่านๆ แล้วเล่นตาม แต่คือเราอ่านแล้วต้องรู้ว่าที่มาเป็นยังไง แล้วทำไมตัวละครนั้นถึงต้องทำอย่างนี้ ต้องอ่านให้ลึกแล้วก็วิเคราะห์ออกมาให้ได้ มันก็ช่วยให้เราเล่นได้ง่ายขึ้นครับ
ความรู้สึกต่อการเข้าฉากครั้งแรกเป็นอย่างไร
เข้าฉากครั้งแรกเนี่ยตื่นเต้นมากครับ ใจสั่น แทบจะลืมทุกอย่างไปเลย มันจะเป็นฉากที่ฝนตกแล้วเราก็ชวนนางเอกมาขึ้นรถด้วยกัน ฉากนั้นก็รู้สึกเขินและตื่นเต้นมากเพราะว่าเป็นครั้งแรก แล้วตอนนั้นรู้สึกเหงื่อออกเยอะจนแบบทุกคนตกใจว่าทำไมแบงค์ตื่นเต้นขนาดนั้น แต่ก็ผ่านไปด้วยดีนะครับ
ประทับใจหรืออินกับฉากไหนเป็นพิเศษ
อินและประทับใจฉากไหนมากที่สุดเหรอครับ น่าจะเป็นฉากตอนที่เขื่อนพูดเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยา มันเป็นอะไรที่ดีมากเลยนะครับ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของจิตใจคนเราครับ ผมได้ฟังแล้วก็ชอบมากคือเขาจะบอกว่า ทำไมคนเราต้องคิดในแง่ลบ มนุษย์คิดในแง่ลบจนใจเราแย่หมดไปแล้ว คิดในแง่บวกแล้วไม่ต้องไปตีค่าอะไรมากมาย ถ้าสมมติคนขับรถปาดหน้าเราก็ไปโมโหใส่ปุ๊บ เรารู้สึกเครียด อารมณ์ร้อน หงุดหงิด พาลกันไปเปล่าๆ เขาปาดรถใส่หน้าเรา เขาอาจจะรีบ เพราะว่าเขาอาจจะต้องรีบไปทำงานเพราะว่าสายไม่ได้ คิดในแง่ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ คิดในแง่ดีจิตใจเราแจ่มใส โอเค แค่นี้ก็พอ
เล่นฉากนี้ ตอนนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ตัวเราแล้ว ก็กลายเป็นเหมือนนักจิตวิทยาจริงๆ พอผมพูดจบปุ๊บ โห...เป็นฉากที่กลัวที่สุดด้วยนะครับ เพราะบทมันยาว แต่พอมันพูดผ่านไปแล้ว เหมือนเป็นสภาพแบบเป็นอาจารย์พูดกับนักเรียน 20-30 คนครับ ไม่คิดว่าจะทำได้แต่พอปุ๊บ โห...มันทำได้ รู้สึกดีใจมากครับ
จริงๆ มันก็ยากและน่าสนใจทั้งเรื่องนะครับ ทุกบททุกตอนทุกช่วงในเรื่องเนี่ยจะทำให้เราคิดได้ในหลายๆ แง่มุม ซึ่งมันน่าสนใจมากครับ
-
ตั้งแต่ฉากแรกจนถึงปิดกล้องพอใจงานแสดงของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
ก็พอใจนะครับ เพราะทุกครั้งผมก็จะทำงานเต็มที่ ถามว่าคาดหวังไหมกับหนังเรื่องนี้ ก็คาดหวังในเรื่องการแสดงของตัวเองมาก เพราะว่าที่เราทำไป เราก็ทุ่มเท ก็อยากจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกลับคืนมาตามที่เราทุ่มเทไปนะครับ ที่คุ้มค่าที่สุดก็คือได้ประสบการณ์ในทุกฉากเลยครับ เพราะว่าจะมีข้อผิดพลาดให้เราได้นำมาปรับแก้ เพราะผมก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลยก็ค่อยๆ ปรับแต่งทีละนิดทีละหน่อยเพื่อให้สมบูรณ์ขึ้นครับ
การร่วมงานกับเพื่อนนักแสดง
รู้สึกดีที่ได้มาแสดงกับทีมนี้ทุกคนนะครับ อย่างพี่บีมตอนแรกเราก็เกร็งๆ ไม่กล้าคุยกับพี่เขาครับ เพราะว่ายังไงไม่รู้ แต่คือหลังๆ ก็มาสนิทกัน คุยกันถูกคอครับ และพี่บีมเขาก็สอนผมหลายๆ อย่างเกี่ยวกับเรื่องการแสดง เขาก็จะชี้แนะว่าอย่างนี้ๆ นะ ซึ่งทำให้เราไม่เกร็งในการแสดงร่วมด้วย ก็เริ่มสนิทกับพี่เขา แล้วก็คุยกันมากขึ้นครับจากที่แรกๆ ไม่กล้าคุยเลย
ป๊อปปี้จะเข้าฉากด้วยกันเยอะมาก ก็คือป๊อปปี้ก็จะเข้ากันง่ายหน่อย เพราะว่ารู้จักกันอยู่แล้ว ก็เลยเล่นกันลื่นไหลดีเลย ก็สนิทกันตั้งแต่แรกแล้วครับ พอมาแสดงด้วยกันมันก็เลยค่อนข้างง่าย และก็เลยโอเคเลยครับ
ส่วนน้องแม็กกี้ก็จะเล่นแกล้งกันตลอดเวลา น้องแม็กกี้จะเฟรนด์ลี่ เจอหน้าปุ๊บก็ทักกันแกล้งกันตลอด ก็เลยเล่นเข้าขากันได้ไม่ยากนัก ส่วนใหญ่ในกองก็จะสนิทกันทุกคน ผมก็จะคุยกับทุกคนเลยนะครับ
การร่วมงานกับพี่อุ๋ย นนทรีย์เป็นยังไงบ้าง
ผมประทับใจมากทำงานกับพี่อุ๋ยมากครับ พี่เขาเป็นผู้กำกับที่เก็บรายละเอียดทุกอย่าง ตั้งแต่บท การแสดงจนถึงเสื้อผ้าหน้าผม เขาเป็นผู้กำกับที่ละเอียดมาก ผมเลยรู้สึกโชคดีมากที่ได้ทำงานกับพี่อุ๋ยครับ
เรื่องการแสดงก็สอนเรื่องลมหายใจเป็นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เออ...มันใช่ คนเวลาหายใจ อารมณ์ดีใจ อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า การหายใจมันจะไม่เหมือนกัน อารมณ์โกรธก็จะหายใจแรง พี่อุ๋ยจะสอนทุกอย่าง ผมรู้สึกว่าโชคดีมากครับที่ได้เล่นหนังของพี่อุ๋ยครับ
ความน่าสนใจโดยรวมของหนัง
ในภาพยนตร์ “คน-โลก-จิต” นะครับ ถ้าคนมองดูผ่านๆ จะเป็นเหมือนหนังสอบสวนสืบสวนคดีฆาตกรรม แต่เอาจริงๆ เรามองลึกๆ เจาะละเอียดแล้วนะครับ จะเป็นหนังที่สอนคนเรื่องของปม เรื่องของจิตใจ เรื่องของทุกอย่าง คือหนังจะเล่าเรื่องราวของคน โลก และจิต ทั้งสามคำนี้มีความหมายเชื่อมโยงกันหมดเลยครับ
เรื่องนี้ก็จะพูดถึงเรื่องของมนุษย์ มนุษย์หรือคนเราชอบแบบเวลาเราเจอเรื่องอะไรที่แย่ๆ มาแล้วชอบเก็บกด ไม่ค่อยปล่อยออกมา เวลาเก็บไว้ก็ทำให้เครียด จะเป็นตัวฉุดให้เราไม่พัฒนา เราควรที่จะยอมรับมันแล้วก็ปล่อยวาง ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์หรอกครับ ทุกคนเกิดมาพร้อมกับข้อผิดพลาด แต่สามารถแก้ไขได้ เรื่องของ คน โลก และจิต สามอย่างนี้มันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง มันก็สะท้อนมาจากตัวคุณเอง เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ
ก็อยากฝากผลงานเรื่องแรกของผมนะครับ เรื่อง “คน-โลก-จิต” นะครับ งานกำกับอีกครั้งของพี่อุ๋ย นนทรีย์ซึ่งหายไปนานเกือบ 5 ปี และก็เป็นแนวภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยมีในเมืองไทย เป็นไซโคดราม่าทริลเลอร์ที่มีทั้งความบันเทิงและสาระต่างๆ เยอะมากครับ มีเรื่องอะไรที่หักมุมที่คุณดูแล้วต้องเซอร์ไพรส์แน่ๆ ครับ 17 พ.ค.นี้ครับ
-
มือรางวัล “ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์” เนรมิตดนตรีประกอบหนังเขย่าจิต เติมเต็มความเข้มข้น ของ “คน-โลก-จิต”

ถือเป็นหนึ่งในทีมงานขาประจำของผู้กำกับ “นนทรีย์ นิมิบุตร” ก็ว่าได้ สำหรับ “ป้อ-ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์” ผู้ทำดนตรีประกอบมือรางวัลอันดับต้นๆ ของวงการภาพยนตร์ไทย (นางนาก, จัน ดารา, โอเคเบตง, โหมโรง, ก้านกล้วย, ปืนใหญ่จอมสลัด, อุโมงค์ผาเมือง ฯลฯ) ที่งานนี้ก็ไม่พลาดที่จะมาร่วมงานกันอีกครั้งในงานกำกับล่าสุดของนนทรีย์เรื่อง “คน-โลก-จิต” โดยเขาได้สร้างสรรค์เสียงดนตรีประกอบภาพยนตร์ออกมาอย่างทรงพลัง เป็นการเติมเต็มอารมณ์ความเข้มข้นของเรื่องได้อย่างสมบูรณ์
“การทำดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้นะครับ โดยแนวหนังที่ออกมาแบบจิตๆ เขย่าขวัญ รวมถึงชื่อหนัง คน-โลก-จิต หรือ Distortion ในภาษาอังกฤษที่หมายถึงความบิดเบี้ยวไม่ปกติ มันก็เลยสามารถดีไซน์ดนตรีได้อย่างตามใจฉัน คือเป็นอิสระไม่มีกรอบอะไรมากั้นซักเท่าไหร่นัก ดนตรีที่ออกมาก็จะเป็นหลากหลายสไตล์ที่สะท้อนถึงจิตบิดเพี้ยนของตัวละคร พอมันไร้กรอบก็ทำให้มีอิสระ สามารถเล่นสนุกกับมันได้อย่างเต็มที่
โดยเรื่องนี้ก็ยังมี Theme Song ที่ถือเป็นแนวถนัดในการทำสกอร์ของผมเลย เราก็จะได้ยินเสียงเมโลดี้ซ้ำๆ กันหลายรอบ เพื่ออธิบายและเน้นย้ำถึงความเพี้ยนของเนื้อหนังได้ดีขึ้น
การดีไซน์เสียงดนตรีประกอบเรื่องนี้ก็จะใช้ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านการทำเอฟเฟ็คต์เสียง Distort ให้ออกมาบูดๆ เบี้ยวๆ อู้อี้ๆ เสียงแตกๆ เพี้ยนๆ ก็น่าจะเป็นความแปลกใหม่ที่ยังไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกันในหนังไทยเท่าไหร่นะครับ ถือเป็นอีกหนึ่งดนตรีประกอบที่จะมาเติมเต็มความเข้นข้นและเพิ่มสีสันความสนุกให้กับหนังอย่างเต็มที่ครับ”
“คน-โลก-จิต” ภาพยนตร์เขย่าจิตที่จะทำให้คุณไม่กล้าไว้ใจตัวเอง ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 7 ของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” พร้อมเข้าฉาย 17 พฤษภาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
-
กระแส คน-โลก-จิต
ost.คน-โลก-จิต เพลง Madness or Happiness
ตย."คน-โลก-จิต" (official Tr.) version 2