THE WARRIOR’S WAY
เดอะ วอร์ริเออร์ส เวย์

จัดจำหน่ายโดย บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด
ชื่อภาษาไทย สงครามโครตคนต่างพันธุ์
ภาพยนตร์แนว แอ็คชั่น
จากประเทศ สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย 13 มกราคม 2554
ณ โรงภาพยนตร์ทุกโรงภาพยนตร์
นักแสดง Jang Dong-kun (Friend, Taegukgi:The Brotherhood of War), Geoffrey Rush (Shine, Pirates of the Caribbean), Kate Bosworth (21, Superman Returns)
ผู้กำกับ Sngmoo Lee
อำนวยการสร้าง Barrie Osborne (The Lord of the Rings)
จุดเด่น - การรวมตัวกันครั้งสำคัญของนักแสดงจากฝั่งเอเชียปะทะฝีมือกับนักแสดงจากฝั่งฮอลลีวู้ด นำแสดงโดยซูเปอร์สตาร์เกาหลี Jang Dong-kun (All About Eve, Tyhoon, The Promise) ประกบด้วยนางเอกสาวสวยจากฝั่งฮอลลีวู้ด Kate Bosworth (Superman Return, 21) ร่วมด้วย Geoffrey Rush (Pirates of the Caribbean) ผลงานสุดอลังการของ Barrie Osborne จากผู้สร้าง The Lord of the Rings ทั้ง 3 ภาค พร้อมด้วยทีม Special Effect ระดับพระกาฬจากภาพยนตร์เรื่อง The Chronicles of Narnia
เรื่องย่อ
ภาพยนตร์แอ็คชั่น ผจญภัยตระการตาด้วยศิลปะการต่อสู้แบบตะวันออกปะทะตะวันตก เรื่องราวทั้งรักและการล้างแค้นของวีรบุรุษผู้ดำเนินวิถีทางแห่งนักดาบ ‘หยาง’ มือดาบยอดเยี่ยมแห่งยุค เขาบุกเข้ารังและล้างบางศัตรูจนสิ้นซาก เหลือเพียงทารกเพศหญิงตัวน้อย เขาพาเธอข้ามทวีปมายังดินแดนทะเลทรายในอเมริกา แต่ก็ไม่วายจะต้องเผชิญกับแก๊งตัวร้ายนาม ‘เฮลไรเดอร์’ ที่ขู่กรรโชกทรัพย์จากประชาชนในเมือง เหิมเกริมจนถึงขั้นทำร้ายคนจนอาการสาหัส แต่ทว่าหยางไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขุดแย้ง ที่นี่เขามีเพื่อนอยู่บ้าง และส่วนใหญ่เป็นนักแสดงกายกรรม แต่ความลับไม่มีในโลก ‘ลินน์’ สาวสวยใจเด็ดล่วงรู้ว่าหยางรู้จักวิชาการต่อสู้ จึงขอร้องให้เขาสอนเธอ แม้หลายคนจะไม่เห็นด้วยแต่สุดท้ายหยางก็ต้องนำทัพชาวบ้านต่อสู้กับแก๊งอันธพาลด้วยตนเอง จุดขับคันที่สุดก็คือศัตรูเก่าจากอีกฝากฝั่งมหาสมุทรได้ติดตามมาล้างแค้นเขาถึงแผ่นดินอเมริกา
THE WARRIOR’S WAY
เบื้องหลังงานสร้าง
เรื่องย่อ
นักดาบผู้ยิ่งใหญ่หันหลังให้เผ่านักรบ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ ดินแดนอเมริกันอันดิบเถื่อนใน The Warrior’s Way แอ็กชั่นผจญภัยที่ถึงพร้อมด้วยสีสันศิลปะการต่อสู้หลากหลาย ตรึงใจทุกฉากห้ำหั่น และโลดโผนท้าทายแรงโน้มถ่วง กับการเดินทางสู่ช่วงเวลาในตำนานที่แปลกใหม่เลิศล้ำ ซึ่งผู้กำกับ/ผู้เขียนบท ลี ซึงมู สอดประสานขนบตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน โดยมีซูเปอร์สตาร์เกาหลี แจง ดองกัน, เคต บอสเวิร์ธ, แดนนี ฮัสตัน และเจ้าของรางวัลออสการ์ เจฟฟรีย์ รัช ร่วมประชันบทบาทกันในมหากาพย์แห่งความแค้นและการชำระบาปนี้
ตลอดชีวิตที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และการใช้ดาบ หยาง (แจง ดองกัน) สังหารได้ทุกคน เว้นก็แต่ศัตรูตัวน้อยของเผ่านักรบ ทารกที่เขาเห็นรอยยิ้มแล้วใจละลาย เมื่อไม่ได้หมายจะสังหาร แต่จะปกป้องเธอให้พ้นจากเผ่าพันธุ์สุดโหดของตัวเองก็ไม่ได้ หยางจึงพาเด็กน้อยหนี โดยมีแผนจะลี้ภัยไปใช้ชีวิตกับเพื่อนเก่าในเมืองโล้ด ซึ่งเป็นเมืองคาวบอยอเมริกันตะวันตก
แต่เมื่อไปถึง กลับได้รู้ว่าเพื่อนตายแล้ว และเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนมาขุดทองครึกครื้นกำลังระส่ำระสาย ประชากรที่เหลืออยู่น้อยนิดก็ล้วนแต่แปลกประหลาด เช่น ลินน์ (เคต บอสเวิร์ธ) สาวสวยผู้มุ่งมั่นกับการฝึกขว้างมีด และขี้เมาเหนียงยานนามว่า รอน (เจฟฟรีย์ รัช) เพื่อเด็กน้อยจะได้มีที่พักพิงที่ปลอดภัยจากเหล่านักรบร่วมเผ่าผู้แสนโหดเหี้ยม หยางจึงตัดสินใจพำนักที่เมืองนี้ในฐานะหนุ่มซักรีดหน้าใหม่ และเก็บดาบเข้าฝักตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม หยางสัมผัสได้ถึงบางจิตวิญญาณในตัวลินน์ที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย เธอต้องกำพร้าเพราะการกระทำอันเถื่อนถ่อยทารุณ และใช้เวลาตลอด 10 ปีวางแผนแก้แค้น ท่านผู้พัน (แดนนี ฮัสตัน) ผู้สร้างบาดแผลในใจครั้งนั้น ระหว่างสอนงานในร้านซักรีดให้หยางและช่วยดูแลทารกน้อย เมื่อรู้ว่าเขามีพรสวรรค์ทางเพลงดาบ ก็ร้องขอให้เขาช่วยเป็นครูสอนศิลปะการต่อสู้ต่างๆ
ในช่วงฉลองคริสต์มาสประจำปีของเมืองโล้ด ท่านผู้พันและเหล่าสมุนวายร้ายย้อนกลับมาและข่มขู่ว่าจะทำลายทั้งเมือง ด้วยความที่รู้ว่าลินน์ต้องทำทุกอย่างจนสุดพลังเพื่อแก้แค้นท่านผู้พัน หยางจำใจต้องชักดาบออกจากฝักอีกครั้ง ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเสียงปะทะของคมดาบจะเผยที่อยู่ของเขาให้พี่น้องร่วมเผ่าล่วงรู้ทันที เขานำกองกำลังชาวเมืองที่ฉลาดเฉลียวและห้าวหาญ ติดอาวุธเท่าที่พอหาได้ พกพาทักษะการต่อสู้สุดพิสดารออกประจัญบาน แต่ทันใดนั้น สิ่งที่เขาหวาดหวั่นก็เกิดขึ้น เมื่อเสียงปะทะเพลงดาบของเขานำเพื่อนนักรบผู้ไร้ความปรานีเข้ามาผสมโรง ผลักดันหยาง ลินน์ เอพริล และชาวเมืองไปสู่ชะตากรรมที่เลี่ยงไม่ได้
The Warrior’s Way เขียนบทและกำกับโดย ลี ซึงมู ซึ่งเป็นหนังอเมริกันเรื่องแรกของเขาด้วย นำแสดงโดย แจง ดองกัน (Friend, Taegukgi:The Brotherhood of War), เคต บอสเวิร์ธ (21, Superman Returns), เจฟฟรีย์ รัช (Shine, Pirates of the Caribbean: Curse of the Black Pearl), แดนนี ฮัสตัน (The Conspirator, Robin Hood), โทนี ค็อกซ์ (Bad Santa, Meet Monica Velour) และ ตี้หลุง (Frozen, Dynasty of Blood) คุมงานสร้างโดย แบร์รี เอ็ม.ออสบอร์น (หนึ่งในเจ้าของแฟรนไชส์ The Lord of the Rings), ลี จูอิก (จาก Seven Swords) และ ไมเคิลพีย์เซอร์ (จาก Matilda, Hackers) ผู้กำกับภาพ ได้แก่ คิม วูยุง (จาก Late Autumn) ผู้ออกแบบงานสร้าง ได้แก่ แดน เฮนนาห์ (จาก Underworld: Rise of the Lycans) ตัดต่อลำดับภาพโดย จอนโน-วูดฟอร์ด โรบินสัน (จาก King Kong) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซึ่งคว้าออสการ์มาได้ถึงสามครั้ง คือ เจมส์ อาชิสัน (จาก The Last Emperor, Dangerous Liaisons และ Restoration) ดนตรีต้นฉบับโดย ฆาเบียร์ นาบาร์เรเต (จาก Pan’s Labyrinth) ผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ ทิม ไวท์ (จาก The Boys Are Back, Ned Kelly) และ หงอี้
เกี่ยวกับงานสร้าง
The Warrior’s Way สำหรับผู้เขียนบท/ผู้กำกับ ลี ซึงมู คือการสรรค์สร้างหนังที่สะท้อนภูมิหลังอันโดดเด่นของตัวเอง อันหมายถึงความสมดุลระหว่างการรับวัฒนธรรมและขนบภาพยนตร์ทั้งของโลกตะวันออกและตะวันตก เนื่องจากเติบโตในเกาหลี แต่เข้าศึกษาในสาขาภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติอย่าง New York University เมื่อพูดถึงหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรกของตัวเอง ลึจึงหยิบยกหนังหลากหลายแนวมาอ้างอิงประกอบอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่อมตะนิรันดร์กาลจำพวกหนังคาวบอยและอลังการศิลปะการต่อสู้ ไปจนถึงหนังคาวบอยอิตาเลียนหรือ “Spaghetti Westerns” และหนังเจ้าพ่อสุดคลาสสิกต่างๆ แรกสุด ผู้กำกับกล่าวว่า เป็นหนังที่ตั้งใจสร้างเพื่อกระตุ้นเร้าความบันเทิง “จุดมุ่งหมายของผมคือทำหนังแอ็กชั่นที่เจ๋งแบบสุดขั้ว แต่ต้องมีทั้งอารมณ์และมันสมองแนบอยู่ในนั้นด้วย” เขาเล่า “ผมชอบความเศร้าในหนังขำๆ กับแอ็กชั่นในหนังฉลาดล้ำมาตลอด แต่ในทางกลับกันก็มีที่ไม่ชอบ สำหรับผม ยุครุ่งเรืองที่สุดของหนังคือทศวรรษที่ 1950, ‘60 และ ‘70 ซึ่งเป็นยุคที่หนังอาร์ตยังดูสนุกและเข้าถึงคนหมู่มาก”
สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงเมื่อพูดถึงศักยภาพในระดับสากลของ The Warrior’s Way คือผู้คุมงานสร้างชาวเกาหลี ลี จูอิก ซึ่งเป็นที่ยกย่องอย่างมากในเอเชียในเรื่องของความเชี่ยวชาญในการคุมงานสร้างหนังลูกผสมข้ามประเทศ “นี่ไม่ใช่หนังตามสูตรธรรมดาทั่วๆ ไป” ลีบอก “มันทั้งแปลกและสดใหม่ แถมยังถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน ซึ่งใส่เข้ามาอย่างถูกที่ถูกทางและถูกเวลา เพื่อทำให้หนังเรื่องนี้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง”
ผู้คุมงานสร้าง ลี เป็นผู้นำบทเรื่องนี้ไปกระทบความสนใจของ แบร์รี เอ็ม. ออสบอร์น ซึ่งเคยคุมงานสร้างบางส่วนในมหากาพย์ที่ก้าวล้ำทางด้านภาพและแหวกขนบที่สุดในความทรงจำของผู้คนยุคปัจจุบันอย่างแฟรนไชส์ The Lord of the Rings และ The Matrix “ผมชอบการสอดประสานข้ามวัฒนธรรมอันลึกซึ้งใน The Warrior’s Way” เขาเล่า “การนำนักฆ่าจากเอเชียมาอยู่ในโลกตะวันตกยุคเก่าคือไอเดียหนึ่งของงานประเภทนิยาย หนังของเราจะลำเลียงคนดูเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการจากมุมมองที่เป็นเอเชียมากๆ มันคือการผจญภัยที่เปี่ยมไปด้วยฉากแอ็กชั่นใหญ่ๆ กับอีกหนึ่งเรื่องรักเศร้าซึ้งตรึงใจ”
ต่อมา ออสบอร์นจึงดึงตัว ไมเคิล พีย์เซอร์ ผู้คุมงานสร้างที่เขารู้จักมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักสร้างหนังวัยเยาว์ในนิวยอร์กด้วยกันทั้งคู่ “ผมว่าเป็นบทหนังที่หมดจดงดงามที่สุด ไม่เหมือนกับหนังเรื่องไหนๆ ที่เคยดูมา” พีย์เซอร์บอก “ซึงมูเคยเขียนหนังดังๆ ประดับวงการหนังเกาหลีหลายเรื่อง แถมยังเคยอยู่นิวยอร์กตั้งหลายปี งานนี้ก็เลยจับขนบเอเชียและตะวันตกมารวมกันให้เป็นรูปเป็นร่าง”
“หนังว่าด้วยการเดินทางแบบมหากาพย์ของวีรบุรุษคนหนึ่งที่จะพบตัวละครอื่นๆ ในภาวะคับขัน ซึ่งเป็นขนบของทั้งหนังแนวนักรบเอเชียและหนังคาวบอยคลาสสิก” เขาเล่าต่อ “ซึงมูจับมาอยู่ด้วยกันแล้วถ่ายทอดออกมาได้สดใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ”
จุดพลิกผันเหนือความคาดหมายที่ลีสร้างขึ้นในบทเรื่องนี้ ช่วยขยายขอบเขตของหนังให้พ้นออกไปจากแบบฉบับของหนังแอ็กชั่นผจญภัยทั่วๆ ไป พีย์เซอร์เผย “มันคือมหากาพย์นักรบ คือเรื่องรัก คือเรื่องราวที่มีมิติลึกซึ้ง แต่จุดที่ดีที่สุด คือการที่มันเหมือนจะมุ่งไปยังจุดที่หนังคาวบอยหรือหนังซามูไรทั่วๆ ไปสักเรื่องดำเนินไป แต่ต่อมาดันเปลี่ยนทิศทาง ตัวละครไม่ได้แสดงในสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ แต่กลับแสดงบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น บางอย่างที่พวกเขาเพิ่งค้นพบ”
“ยกตัวอย่างเช่น ภารกิจสุดท้ายของตัวเอกคือฆ่าทารกน้อยหนึ่งเดียวของเผ่าอริที่ยังเหลือรอด” พีย์เซอร์เล่าต่อ “แต่เขาตัดสินใจทำสิ่งที่มีผลต่ออนาคตใหญ่หลวง เพียงเพราะได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กน้อย วินาทีนั้นทรงพลังพอที่จะก่อให้เกิดการรอนแรมผจญภัยอันเข้มข้นและสะเทือนอารมณ์ของนักรบอย่างหยางกับหนูน้อยเอพริล แต่ต่อมาเขาดันตกหลุมรักสาวอเมริกัน และต้องเลือกว่าจะอยู่กับรักเดียวในชีวิตหรือปกป้องเด็กน้อย”
เจฟฟรีย์ รัช ผู้รับบทหลักเป็น รอน ขี้เมาประจำเมืองที่ดูเหมือนไร้พิษภัยใดๆ จำกัดความ The Warrior’s Way ว่า “ทัศนคติของชาวเอเชียต่อมรดกและประวัติศาสตร์ล้ำค่าของดินแดนอเมริกันตะวันตก”
“หนังจะคล้ายๆ นิทานเรื่องยาว” นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์กล่าว “เป็นหนังที่บริสุทธิ์มาก มีภาพสวยๆ ก็เยอะ ภาพสะเทือนใจก็แยะ รวมทั้งมีพลังในการเล่าเรื่องมหาศาล นั่นแหละที่จะทำให้มันอยู่เหนือกาลเวลาและเป็นสากล”
ซามูไรนักดาบในโลกคาวบอยอเมริกัน
ในโลกที่ปรุงแต่งขึ้นจากจินตนาการอย่างชัดเจนของ The Warrior’s Way ช่วงที่ตะวันพ้นขอบฟ้าและลับขอบฟ้า ทั้งผืนฟ้าจะแดงฉาน ในขณะที่ยามค่ำคืนทั่วทั้งดินแดนจะปกคลุมด้วยแสงสีน้ำเงินโคบอลต์ เป็นโลกที่กองทัพนักฆ่าที่ฝึกมาแล้วอย่างดีพุ่งตัวขึ้นมาจากสระบัวได้ในชั่วพริบตา และมีชิงช้าสวรรค์สร้างเสร็จแค่ครึ่งเดียวโดดเด่นเป็นสง่า ด้วยความที่ถ่ายทำเกือบทั้งหมดกับฉากที่สร้างขึ้นในโรงถ่าย The Warrior’s Way จึงรวบรวมสีสันละลานตา วิชวลเอฟเฟกต์ เครื่องแต่งกายปลุกเร้า เมคอัพจัดจ้าน และแอ็กชั่นมีสไตล์ มาสร้างสรรค์ฉากของเรื่องที่ไม่ต่างกับในฝันและไม่ใช่ทั้งตะวันตกหรือตะวันออก
เพื่อทำภาพในฝันให้กลายเป็นความจริง ผู้กำกับ ลี ซึงมู รวบรวมทีมสร้างหนังสุดประทับใจ เป็นต้นว่า ผู้ออกแบบงานสร้างระดับออสการ์ แดน เฮนนาห์ ซึ่งเต็มใจคว้าโอกาสในการสร้างสรรค์โลกมหัศจรรย์พันลึกให้ The Warrior’s Way “ตอนอ่านบทหนังครั้งแรก ผมเห็นการผสมผสานระหว่างองค์ประกอบที่เป็นเอเชียกับขนบหนังคาวบอย” เขาเผย “เมืองที่ไม่มีใครเหลียวแลกับภาพอลังการของชิงช้าสวรรค์ที่สร้างไว้แค่ครึ่งเดียวซึ่งจะใช้ในเทศกาลต่างๆ ไปจนถึงองค์ประกอบคล้ายๆ กับในหนังของเฟลลินี ซึ่งปกติแล้ว ผมไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบเจาะลึก ต่อมา พอได้เจอซึงมู เขาก็บอกว่าอยากได้อารมณ์แบบการ์ตูนอนิเมะด้วย นี่ก็เลยเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบ”
ผู้คุมฝ่ายวิชวลเอฟเฟกต์ เจสัน ปิชโชนี ก็ต้องร่วมงานกับลีตั้งแต่ช่วงต้นๆ ก่อนงานสร้างจะเริ่มขึ้นเช่นกันเพื่อให้ได้หนังที่สมบูรณ์ที่สุด “ซึงมูมีความเป็นครูอยู่เต็มตัว” ปิชโชนีบอก “เขากำกับหนังคล้ายๆ กับวาทยากรคุมวงออร์เคสตร้า เขารู้ชัดอยู่แล้วว่าอยากได้หนังแบบไหน แต่ก็เปิดรับข้อเสนอแนะเสมอ ยอดเยี่ยมมากที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งตั้งแต่ก่อนเริ่มต้น นี่เป็นงานที่ได้รับอิทธิพลของผมมากที่สุดเท่าที่ผมเคยอยู่ในขั้นตอนนี้ของการสร้างหนัง”
ปิชโชนีพูดถึงโลกในหนังว่าไม่ต่างจากใช้ชีวิตอยู่ในหนังสือนิทาน “ตอนที่อ่านบทหนัง ผมถูกดูดเข้าไปในโลกแห่งจิตนาการเพริศพริ้ง และแทบจะรอเห็นมันไม่ไหว” เขาเล่า “แน่นอน โลกก็ยังเป็นโลกจริงๆ นี่แหละ เพียงแต่สิ่งต่างๆ บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย และเหมือนตกอยู่ในชั่วโมงต้องมนต์ทีเดียวเมื่อถึงช่วงเวลาพิเศษๆ อย่างรุ่งอรุณหรือย่ำค่ำ ซึ่งแสงธรรมชาติจะสวยที่สุดเท่าที่มันจะสวยได้”
นอกจากนี้ เฮนนาห์และปิชโชนียังมีทีมมาสมทบเป็นมืออาชีพระดับสุดยอดแห่งการสร้างสรรค์ อาทิ ผู้กำกับภาพ คิม วูยุง, ศิลปินผู้ร่างคอนเซปต์หนัง เบรนดัน เฮฟเฟอร์แนน ซึ่งวาดภาพก่อนสร้างจริงในสไตล์ริเริ่ม, ผู้กำกับศิลป์มากประสบการณ์ ฟิล ไอวี, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เจมส์ อาชิสัน (ได้รับออสการ์จาก The Last Emperor, Dangerous Liaisons และ Restoration) และผู้ออกแบบแต่งหน้าและทรงผม เจน โอ’เคน
แรกเริ่มเดิมที ทีมผู้สร้างวางแผนว่าจะถ่ายทำหนังเรื่องนี้แถบๆ ตะวันเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่เกิดเรื่อง แต่ไม่นานนักก็ตระหนักได้ว่า ถ้าต้องการภาพเปี่ยมจินตนาการราวกับเทพนิยายตามที่ระบุไว้ในบทหนัง ไม่มีทางถ่ายทำนอกสถานที่ได้เลย “เมืองใน The Warrior’s Way อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้กลางทะเลทราย” ผู้กำกับภาพ คิม วูยุง กล่าว “เมืองจริงๆ ที่เราเสาะแสวงหากันมาล้วนแต่มีพื้นที่สีเขียวและทิวเขาอยู่ใกล้ๆ แต่ดันเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้มีในฉากหลัง”
ทีมผู้คุมงานสร้างตัดสินว่า สถานที่ที่ดีที่สุดที่จะทำให้แผนงานของพวกเขากลายเป็นจริงได้น่าจะเป็นนิวซีแลนด์ “นิวซีแลนด์คือที่เดียวที่เราจะสร้างหนังเรื่องนี้ได้” พีย์เซอร์บอก “เรื่องราวส่วนหนึ่งเกิดขึ้นในตำนานเอเชีย และอีกส่วนเกิดขึ้นในตำนานอเมริกันตะวันตก สถานที่เหล่านั้นไม่มีอยู่จริง แต่พวกมันเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมหนัง ส่วนนิวซีแลนด์คือเมืองหลวงแห่งจินตนาการแห่งใหม่ มืออาชีพหัวสร้างสรรค์บรรเจิดที่นั่นสามารถจับส่วนนั้นส่วนนี้มาต่อกันเพื่อก่อให้เกิดบางอย่างที่พิเศษและแปลกใหม่ ความชำนาญและคุณสมบัติแบบ ‘เราทำได้ทุกอย่าง’ ของลูกมือในนิวซีแลนด์ ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องเรื่องแฟนตาซีที่สุดในโลกไปแล้ว”
เพื่อเติมภาพในจินตนาการที่ไม่ธรรมดาของลีให้เต็ม ทีมผู้สร้างตัดสินใจสร้างฉากแค่บางส่วน และใช้เทคนิคกรีนสกรีนเข้าช่วยเมื่อต้องการขยายต่อเติมและแต่งแต้มพื้นหลังของหนัง “ตอนที่ แบร์รี ออสบอร์น กับผมคุยกันว่าจะทำยังไงให้โลกในจินตนาการของเราสำเร็จเป็นรูปร่าง การออกแบบฉากที่เอื้อให้เราแต่งแต้มบรรยากาศได้ตามใจนี่แหละคือทางออกที่ดูดีมีสมอง” เฮนนาห์บอก “มันเอื้อให้เราได้ภาพลักษณ์แบบการ์ตูนอนิเมะตรงกับที่ใจเราต้องการ โดยไม่มีเรื่องยุ่งๆ เกี่ยวกับสิ่งรอบตัวใกล้ไกลมากวนใจเหมือนตอนใช้สถานที่จริง”
การสร้างสรรค์โลกในหนังให้แนบเนียนไม่มีที่ตินั้น ต้องอาศัยทั้งฉากจริงที่สร้างขึ้นในโลกจริงและฉากซีจีที่สร้างขึ้นในโลกดิจิตอล ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่ายเพื่อให้งานรุดหน้าไปอย่างราบรื่นที่สุด ตั้งแต่ฝ่ายวิชวลเอฟเฟกต์ ไปจนถึงฝ่ายเทคนิคสร้างสรรค์อื่นๆ ทั้งหมด เพราะจากที่ปิชโชนีกล่าวไว้นั้น รวมๆ แล้วในหนังจะมีอยู่ประมาณ 1,500 ช็อตที่ใช้วิชวลเอฟเฟกต์ “แต่เอฟเฟกต์ต่างๆ ที่ใช้ก็เป็นแค่อุปกรณ์เล่าเรื่องเท่านั้นแหละ ยังไม่จบด้วยตัวของมันเอง” เขาบอกอีก “นี่ไม่ใช่หนังตามขนบจำพวกที่สร้างฉากทั้งหมดขึ้นมาแล้วถ่ายทำ และไม่ใช่หนังจำพวกที่ถ่ายทำบนสกรีนเขียวและออกแบบทุกอย่างตามจินตนาการ แต่เราอยู่ตรงกลางระหว่างสองจำพวก ซึ่งเราก็เคยใช้เวลาในช่วงวางแผนงานหลายสัปดาห์ทีเดียวเพื่อคิดให้ออกว่า ตรงกลางน่ะคือตรงไหน”
หัวหน้าฝ่ายกำกับศิลป์ ฟิล ไอวี นำทีมสร้าง 45 ฉากบนลานกว้างของ 6 โรงถ่ายต่อกันตามตารางเวลาอันเร่งรัด ซึ่งจะรองรับกองถ่าย 2 กองตลอดระยะเวลา 12 สัปดาห์ “ถ้าพูดถึงเรื่องภาพในหนัง บทหนังถือว่าเป็นขุมทองของฝ่ายเราเลย” ไอวีเผย “เราปลุกวิญญาณเมืองต่างๆ ในรัฐทางตอนใต้และตะวันตกในช่วงหลังยุคตื่นทองขึ้นมาอีกครั้ง”
การสรรค์สร้างบรรยากาศให้สื่อถึงสภาวะอารมณ์ของหยาง คือหัวใจสำคัญที่จะชักนำผู้ชมให้ผ่านการเดินทางครั้งนี้ไปพร้อมๆ กับเขา “หยางแสดงอารมณ์น้อยมาก โดยเฉพาะตอนต้นๆ เรื่อง” ปิชโชนีเล่า “เราจำเป็นต้องมีวิธีที่จะช่วยเชื่อมต่อเขาและคนดูเข้าด้วยกัน เลยเล่นกับสีนั้นสีนี้ในหนังเพื่อสื่อให้เห็นอารมณ์ของหยาง ตัวอย่างเช่น ก้าวแรกในเมืองโล้ด สีสันรอบตัวหยางจะออกแนวกระด้าง เน้นสีแดงอมทุกข์และสีส้มหลายๆ ความเข้ม แต่พอหยางเริ่มลงหลักปักฐานที่เมืองนี้ เราก็เพิ่มสีเขียวกับสีฟ้าเข้าไปอีก ต่อมา เมื่อถึงเวลาที่พวกเฮลล์ไรเดอร์โจมตีเมือง เราจะกระหน่ำทั้งเมืองด้วยเมฆหมอกสีเทาขุ่นมัว”
ผู้กำกับภาพ คิม วูยุง กล่าวว่าการจัดแสงก็สื่อถึงตัวละครด้วยเช่นกัน “การให้แสงกับตัวละครหยางจะต่างจากตัวละครอื่นๆ เพื่อฉีกเขาออกมา” เขาเผย “ถึงแม้จะอยู่ในเมืองคาวบอยตะวันตกร่วมกับตัวละครอื่นๆ แต่เราก็พยายามสรรค์สร้างความต่างเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการให้แสงที่ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเขาอยู่ที่นั่น แต่ใจล่ะอยู่ไหน”
นอกจากนี้ เฮนนาห์ยังต้องร่วมงานใกล้ชิดกับฝ่ายนักแสดงแทนเพื่อสร้างฉากที่จะอำนวยให้ฉากรบทั้งหลายผ่านพ้นไปด้วยดี “แอ็กชั่นคือส่วนหลักๆ ที่ต้องคำนึงถึง” เขาบอก “ทุกการเคลื่อนไหวต้องถูกต้องตามคำสั่ง นอกจากต้องซ้อมท่าทางการต่อสู้อย่างหนักหน่วงแล้ว ฉากต่างๆ ก็จำเป็นต้องขยายกว้างมากกว่าปกติทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น หนุ่มซักรีดชาวจีนคนหนึ่งในเมืองตื่นทอง ในความเป็นจริงย่อมมีพื้นที่เพียงเล็กน้อย แต่เพราะมีกองทัพเล็กๆ ซ้อมรบอยู่ในนั้น เลยต้องปรับให้ร้านซักรีดใหญ่ระทึกอย่างกับศาลากลางของเมือง แล้วก็มีอีกฉากต่อสู้ใหญ่ๆ คือในห้องของโรงแรม ซึ่งเราทำให้มันเป็นห้องสวีทระดับผู้นำประเทศ โดยเราคิดไปถึงเรื่องการขยายตัวของเมืองนี้ ซึ่งมีประชากรราวๆ 70,000 คนอาศัยอยู่ และเพิ่งรู้กันว่ามีทอง ดังนั้น โอกาสที่ประธานาธิบดีจะมาเยือนย่อมเกิดขึ้นได้”
ในส่วนของผู้ประสานงานฝ่ายนักแสดงแทน ยูจี ดาวิส ก็ต้องร่วมงานกับฝ่ายออกแบบฉากและฝ่ายวิชวลเอฟเฟกต์ ซึ่งเพิ่มมิติที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นให้งานของเขา “ความคิดของผมจะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเสมอเวลาที่ออกแบบท่าทางการต่อสู้หรือฉากแอ็กชั่นสักฉาก” ดาวิสบอก “ในกรณีนี้ ผมไม่ต้องทำทุกอย่างให้ตรงตามบทหนังทุกกระเบียดตลอดเวลา ฝ่ายเอฟเฟกต์เองก็มีไอเดียเจ๋งๆ และเราช่วยกันวางแผนแต่ละฉากยาวเป็นขบวนเลย อย่างเช่น หยางพุ่งเข้ามาและฟันใครคนหนึ่งขาดเป็นสองท่อน ซึ่งทำไม่ได้แน่ๆ ในโลกของความเป็นจริง นี่แหละที่เราต้องร่วมงานกัน”
ยิ่งไปกว่านั้น ดาวิสยังต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบฉาก พ่วงด้วยคำขอที่ไม่ปกติ โดยขอไว้ว่าฉากต่างๆ ที่สร้างขึ้นจริงขอให้สร้างจากวัสดุพื้นผิวแข็งทนทาน เพื่อลูกทีมนักแสดงแทนของเขาจะได้สัมผัสอารมณ์สมจริงขณะถูกกระแทกหรือล้ม ภายในร้านซักรีดเป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว กล่าวคือ ม้านั่งหรืออ่างต่างๆ ล้วนทำจากคอนกรีต “ไม่จำเป็นเสมอไปหรอกที่ต้องทำทุกอย่างให้นุ่มให้นิ่มในฉากแอ็กชั่น” เขาเผย “อย่างในร้านซักรีด เราขอฉากแข็งๆ ทนๆ เพราะที่เหลือของเมืองมีแต่ทรายนิ่มๆ ทั้งนั้น เมื่อใดก็ตามที่เข้ามาข้างใน เราเลยอยากมีปฏิสัมพันธ์กับอะไรแข็งๆ บ้าง พอถึงเวลาที่ผู้คนหัวหูแขนขากระแทกนั่นกระแทกนี่ กลิ้งตกบันไดก็บ้าง ทะลุเพดานลงมาก็มี เราก็ใช้ไม้สักแทนที่จะเป็นไม้บัลซา เพราะมันแข็งและกระแทกได้หนักหน่วงกว่า”
ดาวิสเล่าต่อถึงปรัชญาเบื้องหลังสไตล์การต่อสู้ของหยางที่ควรรู้ นั่นคือ สมรรถภาพของเขา “ต้องโจมตีแบบครั้งเดียวดับดิ้น” เขาพูด “หยางไม่ได้สักแต่แค่ฟันๆ ให้ตาย แต่เขาจะเฉือนเป็นสองท่อนแบบเนี้ยบๆ ซึ่งดูเรียบง่ายมากและสง่างามที่สุดไม่ต่างจากซามูไร ทว่าผสานวัฒนธรรมอื่นๆ ของเอเชียเข้าไปด้วย”
หัวใจของความสำเร็จในฉากต่อสู้ ซึ่งเปรียบดังอาวุธลับของโปรเจกต์นี้ คือ ยูจิ ชิโมมูระ อาจารย์สอนดาบชาวญี่ปุ่น “เราอยากได้สไตล์ดาบที่แหวกแนวไม่ซ้ำใคร” ผู้คุมงานสร้าง แบร์รี เอ็ม.ออสบอร์น เผย “และฝ่ายนักแสดงแทนของเราก็รู้สึกว่าน่าจะหาใครสักคนจากเอเชียมาช่วย ต่อมา ด้วยความช่วยเหลือของจูอิก และ ฉี หนานเซิน เราเลยได้พบอาจารย์ยูจิ ซึ่งทำให้สไตล์หนึ่งเดียวของเราสำเร็จออกมาได้ โดยฝึกฝนบรรดานักแสดงอย่างเข้มข้น และช่วยยูจีออกแบบท่าทางการใช้ดาบ”
แจง ดองกัน มาเข้าฉากพร้อมด้วยประสบการณ์ข้นคลั่กจากหนังแอ็กชั่นหลายๆ เรื่อง ซึ่งดาวิสบอกว่าประเมินค่าไม่ได้ “ดองกันมาพร้อมกับทักษะที่อัดแน่นเต็มพิกัด เราไม่ต้องสอนเขามากมายเลย สุขภาพก็ดี ร่างกายพร้อมมาก เรียกว่าลักษณะท่าทางลงตัวหมด แถมยังดูสุขุม และเป็นนักฟังที่ดีอีกด้วย โชคดีจริงๆ ที่ได้ร่วมงานกับเขา”
นักแสดงทุกคน ไม่ว่าจะพกพาทักษะมามากน้อยเท่าใด ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาต้องเข้าฉากเสี่ยงอันตรายและฉากแอ็กชั่นด้วยกันทั้งนั้น ดาวิสยังจำได้ “เคต บอสเวิร์ธ ทั้งประสานงานดีเยี่ยม ทรงพลัง แข็งแกร่งอดทน และเธอไม่เคยกลัวอะไรเลย เธอสวมแค่แผ่นกันกระแทกแล้วก็ถูกเหวี่ยงไปล้มตรงนั้นตรงนี้ ตอนที่เราทุกคนนั่งดูเวอร์ชั่นตัดหยาบๆ ของฉากปะทะในร้านเหล้า ใครๆ ก็พูดว่านักแสดงแทนทำงานได้เยี่ยมมาก แต่จริงๆ แล้ว นั่นคือเคต ซึ่งแสดงเองได้วิเศษที่สุด”
“ส่วน เจฟฟรีย์ รัช ก็ถูกจับยัดเข้าไปในเครื่องบิดผ้า” ดาวิสเล่าต่อ “เราจับเขาแขวนกับสายเคเบิ้ลที่ใช้ลำเลียงกระเช้าลอยฟ้า เขากระโดดลงมาจากชิงช้าสวรรค์ และถูกลากถูกเฆี่ยนไปตามถนน เขาคือผู้ชายที่ตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวละครดูน่าเชื่อที่สุด ใครๆ อาจคิดว่าหลังจากคว้าออสการ์มาได้แล้ว เขาน่าจะเลี่ยงบทแบบนี้ แต่รอนเป็นผู้ชายที่แกร่ง และเจฟฟรีย์ก็เต็มใจจะได้รับการปรนนิบัติเช่นชายแกร่ง”
สำหรับฮัสตัน การแสดงฉากเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ถือเป็นส่วนสำคัญในความท้าทายของการแสดง “นักแสดงอย่างผมจะรู้สึกมั่นใจมากกว่าถ้าภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชนเป็นภาพของผมเอง ไม่ใช่ถ่ายทอดโดยนักแสดงแทน” เขาบอก “ถึงจะมีรอยถลอกตรงนั้น แผลขีดข่วนตรงนี้ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้สึกว่าซื่อสัตย์ต่องานของตัวเอง เราฝึกกันมาหนักหน่วงทีเดียวเพื่อฉากต่อสู้และได้ท่าทางการเคลื่อนไหวที่สวยแล้วด้วย อย่างไรก็ตาม ก็ยังต้องพึ่งนักแสดงแทนอยู่ดี โดยเฉพาะในช่วงที่ฉากแอ็กชั่นเพิ่มความยุ่งยากซับซ้อนขึ้นอีกนิด พวกเขาจะทำให้ภาพของเราดูเด่นขึ้น”
ในส่วนของงานออกแบบสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายให้ The Warrior’s Way ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เจมส์ อาชิสัน เผยว่าเป็นงานที่ท้าทายมาก “สำหรับผม มันคือการผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” เขาบอก “เรามีทุกอย่าง ตั้งแต่นักฆ่าจากเอเชีย เด็กทารก ไปจนถึงคาวบอย ซึ่งทั้งหมดจำเป็นต้องสอดคล้องกลมกลืนกันอย่างที่บทหนังต้องการ มันเด่นมาก เป็นเหมือนของหวานสำหรับนักออกแบบเสื้อผ้าทีเดียว”
บอสเวิร์ธขอและได้รับโอกาสในการมีสิทธิ์มีส่วนตัดสินใจเกี่ยวกับภาพลักษณ์ตัวละครที่เธอแสดง “เธอคล้ายๆ ทอมบอย เราเลยจับเธอสวมชุดผู้ชายเสียเลย” เธอเล่า “ฉันต้องสวมรองเท้าที่ใหญ่กว่าเท้าตั้งห้าหกเบอร์ เธอเลยเป็นพวกเดินงุ่มง่าม เหมือนเด็กๆ เดิน ซึ่งนั่นแหละคือแก่นแท้ของตัวละคร”
ลินน์ต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ซึ่งจะสะท้อนออกมาทางเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเธอด้วย “เธอเปลี่ยนจากทอมบอยเป็นหญิงสาวที่รู้ทันทีว่านักรบหนุ่มชาวเอเชียคนนี้มีค่าควรรู้จัก” อาชิสันเผย “เสื้อผ้าของเธอจะสะท้อนให้เห็นการค่อยๆ รู้แจ้งทีละน้อย เริ่มจากมาในชุดหนังกวางสีน้ำตาลมอมแมม เปลี่ยนเป็นสีสนิม ลดลงมาเป็นสีชมพูและเขียวอ่อนๆ กระทั่งถึงช่วงเวลาก่อนคริสต์มาส เธอจะถูกขัดเกลาจนงาม”
นอกจากนี้ อาชิสันยังสร้างสรรค์สัญลักษณ์อันทรงพลังที่สื่อถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนของท่านผู้พัน นั่นคือ หน้ากากหนังแท้ที่ปกปิดความพิกลพิการบนใบหน้าของเขา “ระหว่างถ่ายทำ แดนนี ฮัสตัน จะต้องก้าวกระโดดจากหนุ่มตัวร้ายไปเป็นโจรผู้ขมขื่นและหัวใจแตกสลาย” ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเล่า “มากกว่า 1 วันหยุดสุดสัปดาห์ที่เขาต้องอดทน 8 ชั่วโมง ลองสวมหน้ากากสองอันแล้วบอกเราว่าต้องปรับเปลี่ยนเส้น พื้นผิววัสดุ สี และรูปทรงตรงไหนบ้าง ความรับผิดชอบของเขาเป็นเลิศจริงๆ”
อาชิสันร่วมมือกับช่างหนัง แมตต์ มอร์ริส เพื่อสร้างหน้ากาก “เราจำเป็นต้องสร้างมันขึ้นจากวัสดุที่เป็นแผ่นๆ และยืดหยุ่นสูง” เขาบอก “เลยเลือกใช้หนังชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาปะติดปะต่อกันตามโครงหน้าของเขา ยิ่งเป็นหนังสัตว์แท้ๆ ด้วย ก็เลยมีความมันวาวและประกายอยู่ในตัว ช่วยเพิ่มความน่าสะพรึงกลัวขึ้นไปอีก”
นอกจากนี้ หน้ากากยังช่วยฮัสตันให้พัฒนาเอกลักษณ์ส่วนตัวของท่านผู้พัน คืออาการกระตุกบนใบหน้า และท่าทางเฉพาะตัวอื่นๆ “ขีดจำกัดของหน้ากากที่กระชับอยู่บนหน้าช่วยให้ผมสร้างบุคลิกเฉพาะตัวขึ้นมา” เขาเล่า “หน้าฝั่งที่มีหน้ากากจะค่อนข้างนิ่ง และทำให้หน้าอีกฝั่งแสดงอาการเจ็บปวดทรมานได้อย่างถึงพริกถึงขิง นอกจากนี้ มันยังกำหนดการเคลื่อนไหวของตัวละครด้วย เพราะมีแค่รูเล็กๆ ในแผลเป็นจากคมดาบซามูไรให้ผมมองลอด แต่อันที่จริง ผมไม่ค่อยได้มองจากรูนี้นักหรอก จะใช้อีกฝั่งที่เปิดโล่งเสียมากกว่า นั่นแหละที่บังคับให้ผมต้องขยับหัวในแบบเฉพาะตัว”
แผลเป็นสยดสยองที่รู้ที่มาตั้งแต่ต้นเรื่อง คือหนึ่งในอุปกรณ์เสริมหลายๆ ชิ้นที่สร้างสรรค์โดย หัวหน้าฝ่ายแต่งหน้า เจน โอ’เคน และทีมของเธอ ซึ่งยังรับหน้าที่ปรับเปลี่ยนหยางจากสไตล์การ์ตูนอนิเมะเมื่อครั้งอยู่นอกเมืองโล้ดให้กลายเป็นหยางในสไตล์ธรรมชาติมากขึ้นเมื่ออยู่ในเมือง
บอสเวิร์ธก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับภาพลักษณ์ของตัวละครในขั้นตอนแต่งหน้านี้เช่นกัน “เป็นการร่วมงานที่สนุกสนานมาก” เธอเผย “ประโยคแรกที่ฉันพูดกับซึงมู ฉันพูดว่า ‘เธอต้องผมแดงเท่านั้น’ เธอเป็นมนุษย์น่ารัก มีความบ้าอยู่ในตัว และร้อนแรงเป็นไฟ ภาพพระอาทิตย์ตกแห้งแล้งเบื้องหลังเธอ จะสะท้อนให้เห็นว่าเธอเป็นสาวผมแดงที่มีคุณค่า ต่อมา เจน โอ’เคน โทรหาฉันและพูดว่า ‘ไม่อยากให้คุณตกใจนะ แต่อยากถามว่าคิดยังไงกับผมแดง?’ ฉันตอบสวน ‘โอ้...เหมือนอ่านใจฉันได้เลย’ เรียกว่าเราคิดเห็นตรงกันตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว”
เป็นอย่างที่ผู้ออกแบบงานสร้าง แดน เฮนนาห์ กล่าวไว้ พลังพิเศษในการร่วมงานกันระหว่างซึงมูและทีมสร้างสรรค์ส่วนอื่นๆ ส่งผลให้งานนี้เป็นหนังที่ถ่ายทอดด้วยภาษาภาพแหวกแนว จากตำนานคลาสสิกและร่วมสมัยไปจนถึงการ์ตูนอนิเมะญี่ปุ่น ศิลปะการต่อสู้ของเอเชีย และชุมชนคาวบอยแบบตะวันตกในอดีต อิทธิพลมหาศาลจากซึงมูหลั่งไหลมาเป็นขบวนเพื่อท้าทายเหล่านักสร้างสรรค์ทั้งหลายให้สร้างงานที่แปลกใหม่และตื่นเต้นที่สุดในชีวิตการทำงาน
“ซึงมูเป็นผู้ชายที่ปราดเปรื่องมาก มีสมองที่รู้จักคิดเป็นเหตุเป็นผล เพียงแต่งานนี้เขาเติมไอเดียบ้าหลุดกรอบลงไปเท่านั้น” เฮนนาห์สรุป “ด้วยความที่เขาจับความนิยมชมชอบและจินตนาการออกมาตีแผ่และถกกันบนโต๊ะ หนังถึงไม่มีตรงไหนเลยที่ธรรมดาสามัญ ผมกล่าวได้อย่างภาคภูมิว่าทุกส่วนในโปรเจกต์นี้ไปไกลกว่างานสร้างสรรค์ดาดๆ ทั่วไปมากจริงๆ”