Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - happy

Pages: 1 ... 2261 2262 [2263] 2264 2265 ... 2397
33932
ขอบคุณ คุณha-nuที่ส่งภาพมาให้ครับ




33933
ขนาดA5 แผ่นเดี่ยว ขอบคุณ คุณha-nuที่ส่งภาพมาให้ครับ







33934
เหล่าศิลปินยกทัพสร้างความมันส์
ริมหาดเทศกาล “Long Beach Festival”






                ระเบิดความมันส์กันไปเรียบร้อยแล้ว กับเทศกาลดนตรีสุดพิเศษที่ได้รวบรวมศิลปินจำนวนมาก มาสร้างความสนุกและความมันส์อย่างประทับใจไว้ในงาน “Big Cola Long Beach Festival” เทศกาลดนตรีแนว Street และ Beach ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและแปลกใหม่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยไอเดียแนวสตรีทอาร์ทของผู้จัดหนุ่มไฟแรง "ปอ-ญาณกร อภิราชกมล" Managing Director บ.บูส แบงกอก และ นายชนินทร์ เทียนเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ ไทย จำกัด ณ หาดแหลมแม่พิมพ์ จังหวัดระยอง เมื่อวันเสาร์ที่ 18 มิ.ย. 54 ที่ผ่านมา ท่ามกลางเหล่าวัยรุ่น...เด็กแนวที่มาร่วมสร้างสีสันและพร้อมใจยกพลมามันส์กันแบบนันสต๊อปริมหาดแม่พิมพ์กว่า 25,000 คน..






           สำหรับงานเทศกาลดนตรี “Big Cola Long Beach Festival” ได้เริ่มมีเหล่าวัยรุ่นทยอยเข้ามาร่วมงานสร้างปรากฏการณ์ความมันส์กันตั้งแต่ช่วงบ่าย ภายใต้คอนเซปต์ King Of Graffiti จุดเริ่มต้นของ  ไลฟ์สไตล์แนวสตรีทบนชายหาด ที่ปลุกตลาดการท่องเที่ยวบนหาดแม่พิมพ์ให้ คึกคักอีกครั้งบนลานกิจกรรมสำหรับเหล่าวัยรุ่นที่ต่าง มาร้อง เล่น เต้น เพนต์ พร้อมกันนี้ก็ยังมีการประชันสุดยอด Street Dance ระดับประเทศกันอย่างสนุกสนาน และยังมีการรวมพลเป็นครั้งแรกของ “King Of Graffiti” 15 กราฟฟิกตี้ที่เจ๋งที่สุดในประเทศไทย และต่างชาติ ที่รวมพลกันมาฝากผลงานศิลปะเท่ๆ บนชิ้นงานขนาด 300 ตารางเมตร เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้ถ่ายรูปกับสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นนี้  และเอาใจเหล่านักช้อปโดยการเนรมิตแหล่งรวมสินค้าไอเดียเก๋ ที่ขนกันมาขายให้คุณเดินช้อปกันตลอดทั้งงาน จากนั้นในช่วงเย็นก็ได้เริ่มเปิดเวทีสร้างสีสันความมันส์กับเหล่าศิลปินมากมาย ที่ร่วมตบเท้ากันระเบิดความมันส์กันอย่างไม่ยั้งบนเวที “Big Cola Long Beach Festival”อาทิ “Paradox” , “Thaitanium” , JoFax, Super Glasses Ska Ensemble,  Madagascar 11 Circle, Hot Chronics, Silk Sound, Rastafah, Crackboyz, Thaikoon, Dead Wood, South Side, Dj. Buddha ฯลฯ ที่เรียกว่าทั้งร้อง ทั้งเต้น และทั้งกระโดดกันตลอด 12 ชม.เต็ม...
          และในช่วงเช้าของวันที่ 19 มิถุนายน 54 ทาง บ.บูส แบงกอก ร่วมกับ นายบุญชัย ทันสมัย ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดระยอง ได้มีการจัดกิจกรรมคืนหาดสวยสู่หาดแหลมแม่พิมพ์ เก็บขยะบริเวณหาดแหลมแม่พิมพ์ที่เป็นพื้นที่ของการจัดงาน เพื่อปลูกจิตสำนึกให้ผู้ที่เข้าร่วมเทศกาลดนตรี ได้มีความรักและร่วมกันรักษาความเป็นธรรมชาติที่สวยงามของหาดแหลมแม่พิมพ์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ บ.บูส แบงกอก ทำอย่างต่อเนื่องในการจัดเทศกาลดนตรีทุกครั้งที่ผ่านมา
          งานนี้เรียกว่าเทศกาลดนตรี “Big Cola Long Beach Festival” ณ หาดแม่พิมพ์ จ.ระยอง ไม่ใช่แค่เทศกาลดนตรี แต่ยังเป็นเทศกาลที่รวมเอาความเป็น Street สุด Art จัดมาแบบเต็มๆให้กับสาวกสุด Cool !!! โดยเฉพาะ ปิดฉากเทศกาลดนตรีแนว Street และ Beach ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและแปลกใหม่ที่สุดในประเทศไทยได้มันส์จุใจและประทับใจไม่รู้ลืม...!!




33935


ประวัตินักแสดง

ไชอา ลาบัฟ (SHIA LABEOUF) รับบท แซม วิทวิคกี้
          ไชอา ลาบัฟกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงผู้เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในฮอลลีวู้ดอย่างรวดเร็ว ฝีมือในการแสดงที่เป็นธรรมชาติของเขา บวกกับพลังดิบในตัว ทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในนักแสดงขายฝีมือที่มีอนาคตมากที่สุดในปัจจุบัน


“Transformers: Dark of the Moon” คือครั้งที่ 3 ที่เขามารับบทเป็น แซม วิทวิคกี้ ตัวละครที่คนดูทั่วโลกรู้จักดีและรักเขาเต็มหัวใจ นับแต่ภาพยนตร์ภาคแรก “Transformers” เปิดตัวฉายในปี 2007 (ซึ่งสามารถเก็บรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $700 ล้าน และกลายเป็นดีวีดีที่ทำยอดสูงสุดในปีนั้น) จนถึงภาพยนตร์ภาคที่ 2 ในปี 2009 “Transformers: Revenge of the Fallen” (ซึ่งทำยอดรายได้ทั่วโลกไปกว่า $836 ล้าน) แซมยังคงพบตัวเองตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การต่อสู้ที่ชี้เป็นชี้ตายระหว่างหุ่นยนต์สองฝ่ายที่มารบกันบนโลก
          ปัจจุบัน ลาบัฟทำงานอยู่ในแอตแลนต้า โดยเขากำลังถ่ายทำภาพยนตร์ดราม่าแนวอาชญากรรม เรื่อง “The Wettest County in the World” ผลงานของผู้กำกับ จอห์น ฮิลล์โค้ท ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งนำเสนอเรื่องราวในแวดวงการค้าเหล้าเถื่อนในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ยังนำแสดงโดย ทอม ฮาร์ดี้, แกรี่ โอลด์แมน, กาย เพียร์ซ และมีอา วาซิคาวสก้า
          ปีที่แล้ว เขาประชันบทบาทกับ ไมเคิล ดักลาส ในภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอย เรื่อง “Wall Street: Money Never Sleeps” ซึ่งกำกับโดย โอลิเวอร์ สโตน โดยลาบัฟรับบทเป็น เจก มัวร์ หนุ่มแบงก์ที่ร่วมมือกับ กอร์ดอน เก็กโก้ เพื่อหยุดการเทกโอเวอร์บริษัทของฝ่ายศัตรู
          2008 ถือเป็นปีทองของลาบัฟ  เขาแสดงนำในภาพยนตร์ภาคที่ 4  “Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull” ซึ่ง สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นผู้กำกับ และลาบัฟได้ประชันบทบาทกับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด, ลาบัฟยังได้กลับไปร่วมงานกับผู้กำกับ ดีเจ คารูโซ่ เป็นครั้งที่ 2 ในภาพยนตร์ทริลเลอร์ เรื่อง “Eagle Eye” ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับ มิเชลล์ โมนาแกน, โรซาริโอ ดอว์สัน และไมเคิล ชิกลิส นอกจากนี้ เขายังแสดงนำร่วมกับ จูลี่ คริสตี้ และจอห์น เฮิร์ท ในภาพยนตร์เรื่อง “New York I Love You” (ในตอนที่เป็นผลงานการเขียนบทของ แอนโธนี่ มิงเกลล่า)
          ในปี 2007 ลาบัฟคว้ารางวัลบัฟต้า สาขาดาราดาวรุ่งยอดเยี่ยม และรางวัลทีนชอยซ์ อวอร์ด (เป็นตัวที่ 2 ) ในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์แนวแอ็กชั่น/ ผจญภัย และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มไพร์ อวอร์ด สาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวี มูฟวี่ อวอร์ดอีกหลายรางวัลด้วยกัน
          ในปีเดียวกันนั้น ลาบัฟสร้างชื่อในฐานะดาราทำเงิน เมื่อเขารับบทนำในภาพยนตร์ทริลเลอร์ของพาราเม้าต์ พิคเจอร์ส เรื่อง “Disturbia” (ซึ่งเขาได้ทำงานกับผู้กำกับ คารูโซ่ เป็นครั้งแรก) ลาบัฟรับบทเป็นวัยรุ่นซึ่งโดนคำสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน ทำให้เขาเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเชื่อว่า เดวิด มอร์ส เพื่อนบ้านของเขาคือฆาตกรต่อเนื่อง, ติดตามมาด้วยภาพยนตร์ฮิตเรื่องที่ 2  “Transformers” ผลงานการสร้างของดรีมเวิร์กส์/ พาราเม้าต์ พิคเจอร์ ที่สร้างมาจากการ์ตูนซีรีส์ที่เด็กๆ ชื่นชอบ ซึ่งต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กลายมาเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่โด่งดังไปทั่วโลก เขายังให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์การ์ตูน เรื่อง “Surf’s Up” ในบทนำ โคดี้ มาเวอริค ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์การ์ตูนยอดเยี่ยม ในปี 2008
          ในปี 2006 ลาบัฟร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “A Guide to Recognizing Your Saints” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ดราม่าที่ว่าด้วยเรื่องราวของการก้าวข้ามวัยในยุค 1980 โดยเขาร่วมแสดงกับ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ และโรซาริโอ ดอว์สัน รวมไปถึงภาพยนตร์ดราม่ากึ่งสารคดีที่ได้รับคำชม เรื่อง “Bobby” ผลงานของผู้กำกับ เอมิลิโอ เอสเตเวซ ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เดมี่ มัวร์ และเอลิจาห์ วู้ด ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวคน 22 คนที่อยู่ที่โรงพยาบาลแอมบาสเดอร์ ในคืนที่วุฒิสมาชิกอเมริกา โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี้ โดนลอบสังหาร
          ในปี 2005 ลาบัฟคว้าบทนำ โดยแสดงเป็น ฟรานซิส กีเม็ท ในภาพยนตร์เรื่อง “The Greatest Game Ever Played” ผลงานของวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย บิลล์ แพ็กซ์ตัน โดยสร้างจากหนังสือเบสท์เซลเลอร์ของ มาร์ก ฟรอสท์ บอกเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในการแข่งกอล์ฟยูเอส โอเพ่นในปี 1913 ซึ่งกีเม็ท นักกอล์ฟสมัครเล่นวัยเพียง 20 ปีจากแมสซาชูเซ็ตส์ ช็อควงการกอล์ฟโลกด้วยการเอาชนะแชมเปี้ยนจากอังกฤษ แฮร์รี่ วาร์ดอน ซึ่งรับบทโดย สตีเฟ่น ดิลเลน และในปีเดียวกันนั้น ลาบัฟยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส เรื่อง “Constantine” ซึ่งมี คีอานู รีฟส์ รับบทนำ
          ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ยังได้แก่ “I, Robot” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ วิลล์ สมิธ, ภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง “Project Greenlight,” “The Battle of Shaker Heights” และภาพยนตร์แอ็กชั่นสุดฮิต เรื่อง “Charlie’s Angels II: Full Throttle” ส่วนในปี 2003 ลาบัฟประเดิมงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก โดยประกบบทกับ ซีกอร์นี่ย์ วีเวอร์ และจอน วอยต์ ในภาพยนตร์สำหรับครอบครัว เรื่อง “Holes” ซึ่งสร้างจากนิยายเรื่องดังของ หลุยส์ ซาชาร์




โรซี่ ฮันติงตัน-ไวท์ลี่ย์ (ROSIE HUNTINGTON-WHITELEY) รับบท คาร์ลี่ สเปนเซอร์
          โรซี่ ฮันติงตัน-ไวท์ลี่ย์ ประเดิมงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ เรื่อง “Transformers: Dark of the Moon” 


               ด้วยวัยเพียง 23 ปี เธอคือนางแบบแถวหน้าของอังกฤษที่มีผลงานอันน่าประทับใจ เธอเคยเป็นนางแบบให้กับแบรนด์ดังอย่าง Burberry, DKNY, Ralph Lauren, Tommy Hilfiger และ Karen Millen เธอยังเคยร่วมแสดงในภาพยนตร์สั้นที่ประสบความสำเร็จของชุดชั้นในแบรนด์ดังอย่าง Agent Provocateur ­โรซี่ที่ทั้งมีสไตล์โดดเด่น และมีความสวยโดยธรรมชาติ ยังได้รับรางวัล ELLE Style Award ในปี 2009 สาขานางแบบยอดเยี่ยม 
   โรซี่ยังได้เซ็นสัญญากับวิคตอเรียส์ ซีเคร็ท (ชุดชั้นในแบรนด์ดังที่ขายดีที่สุดของอเมริกา) โดยเธอเป็นบริติส แองเจิล เพียงหนึ่งเดียวในโฆษณาของแบรนด์นี้



33936
WATER FOR ELEPHANTS / มายารัก ละครสัตว์


WATER FOR ELEPHANTS / มายารัก ละครสัตว์

นักแสดง - โรเบิร์ต แพททินสัน, รีส วิทเธอร์สพูน, คริสทอฟ วอลท์ซ

ผู้กำกับ - ฟรานซิส ลอว์เรนซ์

ประเภท - โรแมนติก / ดราม่า

กำหนดเข้าฉาย 21 กรกฏาคม เฉพาะที่ APEX และเครือ SF CINEMA


สร้างจากนิยายขายดี เรื่องราวความรักอันแสนโรแมนติกของเจค็อบ นักศึกษาสัตวแพทย์ ที่ต้องทิ้งอนาคตไปหลังจากพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เจค็อบใช้ชีวิตพเนจรไปกับคณะละครสัตว์ ซึ่งทำให้เขาได้พบและตกหลุมรักกับมาร์เลน่า สาวสวยดาวจรัสแสงของคณะละครสัตว์ ทั้งคู่ได้ร่วมกันดูแลช้างเชือกหนึ่ง และช่วยเหลือให้ช้างเชือกนี้ รอดพ้นจากการถูกมนุษย์นำไปใช้เพื่อการพนัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูสวยงามท่ามกลางความรักของพวกเขา แต่กลับสร้างความโกรธแค้นให้กับแองกัส สามีของมาร์เลน่าที่ต้องทนเห็นภรรยาตัวเองไปรักกับชายอื่น เจค็อบและมาร์เลน่าจะฝ่าฟันอุปสรรคครั้งนี้ได้อย่างไร





33937
               การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวโครงการ โครงการ “สร้างกิจกรรมปรากฏการณ์หัวใจใหม่เพื่อการท่องเที่ยวไทยยั่งยืน” ตอน “จิ๋วผู้พิชิต ภารกิจกู้โลก” ภายใต้แคมเปญ เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน ซึ่งเป็นการรณรงค์ให้คนไทยทุกคนร่วมเป็นนักท่องเที่ยวหัวใจใหม่ ที่พร้อมจะดูแลธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวของไทยให้คงอยู่ต่อไป โดยมี คุณธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ด้านตลาดในประเทศ ร่วมงานแถลงข่าวด้วย ณ  อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เมื่อวันก่อน








33938
               การคัดเลือกนักศึกษาเขาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันมีการรับนักศึกษาเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหลากหลายรูปแบบเช่น การรับตรงสอบตรง Admission โควตา โครงการพิเศษต่างๆ จากการรวมรวมของ www.eduzones.com มีโครงการรับตรงมากกว่า 500 โครงการต่อปี และทุกปีมีจํานวนโครงการรับตรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีนักเรียนจํานวนมากที่ไม่ทราบข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงระบบการสอบ ข่าวการรับตรง แคมป์ ค่าย ทุนการศึกษา เป็นต้น อันเนื่องมากจากการเปลี่ยนแปลงที่บ่อยครั้ง ไม่มีศูนย์กลางในการรวบรวมข่าวสารการศึกษา ทําให้นักเรียนพลาดโอกาสที่จะได้รับข่าวสารการศึกษาที่เป็นประโยชน์ต๋อตัวเองในการเข้าสู่มหาวิทยาลัย
          www.eduzones.com เว็บไซต์การศึกษาอันดับหนึ่งของประเทศ ปัจจุบันผู้เป็นสมาชิกกว่า 800,000 คน มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากกว่า 70,000 คนต่อวัน จึงได้จัดตั้งศูนย์ข่าวการศึกษาไทย www.enn.co.th เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประชาสมพันธ์ข่าวสาร หรือข้อมูล ของทางมหาวิทยาลัย หน่วยงานทางการศึกษาที่มีจํานวนมาก ให้เข้าถึงนักเรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มช่องทางและโอกาสในการเข้าสู่มหาวิทยาลัยให้แก่นักเรียน ซึ่งจําเป็นต้องทําการติดตามข้อมูลข่าวสาร เช่น ข่าวโครงการรับตรง ตลอดจนข่าวสารแวดวงทางการศึกษา ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ โดยผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากข่าวสารเหล่านี้ก็คือ อาจารย์ ผู้ปกครอง และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่สนใจ ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาจากทั่วประเทศ กว่า 600,000 คน ที่เฝ้าติดตามข่าวสารการศึกษาอย่างใกล้ชิด

33939
“Pantip Big Bonus 2011”ยิ้มร่าประสบความสำเร็จ
ทะลุเป้าฟันรายได้ 15,000 ล้านบาท มอบรถยนต์แก่ผู้โชคดี


                ทำพิธีมอบรถยนต์อย่างเป็นทางการโดยมี นายยงยุทธ  ไชยชนะ    กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าไอที พร้อมทีมผู้บริหารบริษัท ทิพย์พัฒนอาร์เขต จำกัด คือนาย ไพฑูรย์  เดจสัจจา  ผู้จัดการฝ่ายการตลาด สาขาประตูน้ำ , นายหทัย ลิมป์ลาวัณย์   ผู้จัดการทั่วไป  สาขางามวงศ์วาน และนายวิโรจน์  เชาว์สันทัดกุล   รก.ผช.ผู้จัดการทั่วไป  สาขาบางกะปิ ร่วมมอบโชคแก่ผู้โชคดีที่ได้รถยนต์โตโยต้า CAMRY รางวัลใหญ่แก่ คุณเมตตา    แปงน้อย   ณ บริเวณหน้าศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ เมื่อเร็วๆ นี้  
          อย่างไรก็ตาม แคมเปญนี้ “พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า” ประสบความสำเร็จในแคมเปญ “Pantip Big Bonus 2011” ฟันรายได้ 150 ล้านบาท/วัน หรือ 15,000 ล้านบาทตลอดช่วงการจัดงาน เร่งกระตุ้นยอดขายภายในศูนย์การค้าฯ ได้ไม่ต่ำกว่า 20% ตามเป้าที่ตั้งไว้

33940
ขอบคุณ คุณha-nuที่ส่งภาพมาให้ครับ






33943
สถาบันอาหาร - สสว. ชวนเอสเอ็มอีไทยบุกตลาดอาหารอินโดนีเซีย

               สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) อัดฉีดเอสเอ็มอีไทยให้เข้าใจตลาดและเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียที่คาดว่าจะมีมูลค่าการบริโภคอาหารสูงถึง 68.87  พันล้านดอลล่าร์สหรัฐในปีนี้ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 110.61 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2558 คิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 58.3 ขณะที่ไอเอ็มเอฟคาดเศรษฐกิจ  อินโดแจ่มใสจะโตอย่างน้อยร้อยละ 6 ต่อปี แนะผู้ประกอบการต้องศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการค้าอาหารระหว่างกันให้ถ่องแท้ ทั้งกฎระเบียบ ขั้นตอนการขออนุญาตต่างๆ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน


   นายชาวันย์  สวัสดิ์-ชูโต รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) [/size][/color][/b]กล่าวว่า การจัดสัมมนาเรื่อง “โอกาสทองของอุตสาหกรรมอาหารไทยในอินโดนีเซีย” ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้านการตลาด(Capacity Building Program) สาขาอุตสาหกรรมอาหาร ที่สสว.ได้มอบหมายให้สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ดำเนินโครงการ   ด้วยภารกิจหลักของสสว.ที่มีความชัดเจนในเรื่องของการมุ่งเน้นพัฒนาส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศให้สัมฤทธิ์ผลตามแผนแม่บท และแผนปฎิบัติการส่งเสริมเอสเอ็มอี   ทั้งนี้ได้แบ่งการสนับสนุน ส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็น 2 ส่วนกิจกรรม คือ กิจกรรมขยายช่องทางการค้าและสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางด้านธุรกิจ และกิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้และเผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการขยายช่องทางการค้าในอุตสาหกรรมแต่ละสาขา โดยการอบรม สัมมนา
          “สำหรับประเทศอินโดนีเซียนั้น นับเป็นประเทศที่มีประชากรสูงถึง 245 ล้านคน โดยผู้บริโภคที่มีรายได้สูงคิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมดหรือประมาณ 24.5 ล้านคน คนกลุ่มนี้จะอาศัยในเขตเมืองใหญ่ ชอบสินค้าที่มีแบรนด์เป็นที่น่าเชื่อถือ บริโภคสินค้านำเข้าจำนวนมาก รวมทั้งอาหารอินทรีย์และอาหารเพื่อสุขภาพก็มีแนวโน้มขยายตัวดี ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยค่าใช้จ่ายด้านอาหารอยู่ในราวร้อยละ 50 ของรายได้ โดยมีการประเมินไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ว่า การบริโภคอาหารของอินโดนีเซียในปีนี้จะมีมูลค่าประมาณ 68.87 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 110.61 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2558 คิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 58.3
การมองภาพของอินโดนีเซียขอให้มองในมุมใหม่ เพราะอินโดนีเซียกำลังมีอัตราขยายตัวของเมืองสูงมาก มีชอปปิ้งมอลล์ใหญ่ๆกระจายอยู่ทั่วไปทุกเมือง และอีกประเด็นที่ควรพิจารณาในเรื่องโครงสร้างตลาดคือ อย่าลืมว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ถึงร้อยละ 86.1 ดังนั้นอาหารที่จะเข้าสู่ตลาดนี้จึงควรได้รับการรับรอง ฮาลาล”



               ด้านนายอมร งามมงคลรัตน์ รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เผยว่าในปี 2553 ที่ผ่านมา อินโดนีเซียมีมูลค่าการนำเข้าอาหาร 10,730.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกมีมูลค่า 23,033.05 ล้านดอลลาร์
สหรัฐ ซึ่งเกินดูลการค้าอาหารอยู่ 12,302.89 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยสินค้าที่มีการนำเข้าและส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเกษตรเบื้องต้นเป็นหลัก อินโดนีเซียเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 14 ของโลก แหล่งนำเข้าอาหารและสินค้าเกษตรวัตถุดิบอาหารที่สำคัญของอินโดนีเซีย 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มีส่วนแบ่งประมาณร้อยละ 18 ออสเตรเลีย ร้อยละ 14.6 จีน ร้อยละ 11  ไทย ร้อยละ 10 และอาร์เจนตินา ร้อยละ 8.3  โดยมูลค่านำเข้าของทั้ง 5 ประเทศรวมกันมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 62 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด
          ส่วนประเภทสินค้าอาหารและวัตถุดิบเกษตรที่อินโดนีเซียนำเข้า ที่สำคัญคือกลุ่มธัญพืช ได้แก่ ข้าวสาลี ร้อยละ13.3 ข้าวโพดร้อยละ 3.44 และข้าวร้อยละ 3.36 มีสัดส่วนรวมกันประมาณร้อยละ 20 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด รองลงมาคือกลุ่มอาหารสัตว์ มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 17 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด ที่สำคัญได้แก่ กากถั่วเหลืองและอาหารสัตว์สำเร็จรูป สินค้าเกษตรวัตถุดิบนำเข้าที่สำคัญอีกกลุ่มคือ เมล็ดพืชน้ำมัน โดยเฉพาะถั่วเหลือง มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 8 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด สินค้าแปรรูปขั้นต้นที่สำคัญ ได้แก่ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์นม แป้งและสตาร์ช  นอกจากนี้อินโดนีเซียมีการนำเข้าผลไม้สด แช่แข็งและถั่วประมาณร้อยละ 6 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด และผักสด แช่แข็ง แห้งร้อยละ 4
          สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการค้าอาหารระหว่างไทยกับอินโดนีเซียนั้น นายอมร กล่าวว่า การก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(ASEAN Economic Community - AEC) เมื่อ 1 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา ทำให้ไทยและอินโดนีเซียมีตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน และจะมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี ซึ่งอาเซียนถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์ด้านฐานการผลิตอาหารที่สำคัญของโลก รวมทั้งขนาดประชากรที่มากถึง 600 ล้านคนและคาดว่าจะเป็น 650 ล้านในปี 2558
          โดยอินโดนีเซียก็เป็นประเทศหนึ่งซึ่งมีวัตถุดิบการเกษตรหลายรายการที่ไทยยังไม่มีศักยภาพหรือผลิตได้ไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นโกโก้ มะพร้าว วัตถุดิบประมง หรือแม้แต่น้ำมันปาล์ม โดยการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น อาจจะเป็นการร่วมทุนเพื่อลดอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ลง แทนที่จะต้องขนวัตถุดิบมาแปรรูปในไทยก็ลงทุนแปรรูปที่อินโดนีเซียเพื่อจำหน่ายในอินโดนีเซียและส่งออกไปเลย
          นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 สินค้าเกษตรจำนวน 23 ชนิด ลดภาษีเหลือร้อยละ 0 มีส่วนช่วยให้สินค้าที่ส่งออกจากไทยมีราคาต่ำลง ช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดอินโดนีเซีย  นอกจากนี้อินโดนีเซียไม่มีสินค้า sensitive list และภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน ประเทศสมาชิกอาเซียนเดิมจะปรับลดภาษีนำเข้าน้ำตาลลงเหลือร้อยละ 0 ทันทีในปี 2553 ยกเว้นอินโดนีเซียที่จัดน้ำตาลเป็นสินค้าในกลุ่มอ่อนไหวสูง โดยกำหนดภาษีนำเข้าไว้ที่ร้อยละ 40 ในปี 2553 ก่อนที่จะลดลงเหลือร้อยละ 5-10 ในปี 2558 ส่วนฟิลิปปินส์จัดสินค้าไว้ในกลุ่มอ่อนไหวจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 0-5 ในปี 2553 สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนใหม่อันประกอบไปด้วยเวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่านั้นแม้ว่าจะไม่ปรับลดภาษีลงมาเหลือร้อยละ 0 แต่อัตราภาษีที่จัดเก็บก็อยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 0-5 ในปี 2553 เท่านั้น

          ประเทศในกลุ่มอาเซียนยกเว้นไทย ส่วนใหญ่จะผลิตน้ำตาลได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการและจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำตาลจากต่างประเทศ ส่วนไทยนั้นนอกจากจะสามารถผลิตน้ำตาลเพื่อบริโภคในประเทศอย่างเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ยังมีน้ำตาลเหลือเพื่อการส่งออกถึงกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณผลิตทั้งหมด และในจำนวนนั้นกว่าร้อยละ 37 เป็นการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน โดยส่งออกไปยังตลาดอินโดนีเซียในสัดส่วนสูงที่สุดร้อยละ 50.9 ของปริมาณการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน
          ประเทศในอาเซียนบางรายที่ไม่สามารถแข่งขันกับน้ำตาลนำเข้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีได้ บางส่วน อาจต้องปรับลดพื้นที่เพาะปลูกอ้อยลงและหันไปปลูกพืชประเภทอื่นๆที่ตนเองเห็นว่ามีศักยภาพแข่งขันที่ดีกว่า อาทิ ปาล์มน้ำมัน หรือยางพาราของประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย หรือข้าวของพม่ากัมพูชา ลาวและเวียดนาม ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะส่งออกน้ำตาลเข้าไปทดแทน อย่างไรก็ตาม เมื่อมาตรการทางภาษีลดลงแล้ว มาตรการด้านการปกป้องและการต่อต้านการทุ่มตลาดก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ผู้ส่งออกควรต้องศึกษาในประเด็นนี้ด้วย
          “จากข้อมูลการค้าสินค้าเกษตรและอาหารระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียน ในส่วนของการนำเข้า
พบว่าในปี 2553 ซึ่งภาษีระหว่างกันส่วนใหญ่ลดเหลือร้อยละ 0  การนำเข้าจากอินโดนีเซียในปี 2553 มีปริมาณ 484.58 พันตัน มูลค่า 12,236.52 ล้านบาท โดยมูลค่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 เมื่อเทียบกับปี 2552/51 ซึ่งมีอัตราขยายตัวติดลบ ร้อยละ 13.81 แต่ทั้งนี้สินค้าที่ไทยนำเข้าจากอินโดนีเซียส่วนใหญ่เป็นสินค้าประมงวัตถุดิบ เมล็ดโกโก้ รังนก พริก และขนมปังพวกเวเฟอร์ บิสกิต  
          สำหรับด้านการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารจากไทยไปอาเซียน โดยภาพรวมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันการส่งออกไปอินโดนีเซียมีปริมาณ 2,020.4 พันตัน มูลค่า 32,725.86 ล้านบาท มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น  ร้อยละ 54.4 เมื่อพิจารณาย้อนกลับไปดูอัตราเติบโตปี 2552/51 พบว่ามูลค่านำเข้าหดตัวร้อยละ 9.62 เนื่องจากในปีนั้นการส่งออกน้ำตาลลดลงจากปี 2551
          ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการค้าอาหารระหว่างไทย-อินโดนีเซีย ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ได้แก่ อุปสรรคด้านกฎระเบียบ และขั้นตอนการขออนุญาตต่างๆ ซึ่งผู้จะส่งออกต้องค้นหาบริษัทตัวแทนที่มีความสามารถในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนมีความสามารถในการกระจายสินค้า จัดการด้านโลจิสติกส์ได้ทั่วประเทศและวางแผนการตลาดได้ดี ส่วนการจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องทำความเข้าใจคู่ค้าในเชิงของวัฒนธรรมและสถานการณ์  ณ ช่วงเวลานั้นๆ  เพราะบางสินค้าอาจจะเข้าไปไม่ถูกช่วงเวลา และช่องทาง ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ ขอให้ลองพยายามช่องทางใหม่ๆดู เพราะอินโดนีเซียเป็นตลาดที่ไทยควรจะเข้าไปทำตลาดให้เข้มข้นขึ้น ทั้งนี้ไอเอ็มเอฟ ได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในช่วงปี 2554-2556 ไว้ว่ามีทิศทางที่แจ่มใส อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง อัตราการว่างงานก็ต่ำลงเล็กน้อย คาดว่ามีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราร้อยละ 6 ขึ้นไปต่อปี  เพราะหากเอสเอ็มอีไทยสามารถเข้าตลาดฮาลาลขนาดใหญ่นี้ได้ ตลาดฮาลาลอื่นๆก็จะมีลู่ทางแจ่มใสมากขึ้นด้วย” นายอมร กล่าว







33944
สถาบันอาหาร ร่วมกับ สสว.
จัดสัมมนา  “โอกาสทองของอุตสาหกรรมอาหารไทยในอินโดนีเซีย”




                สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)    จัดสัมมนา เรื่อง “โอกาสทองของอุตสาหกรรมอาหารไทยในอินโดนีเซีย” เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านตลาดสินค้าอาหารอินโดนีเซีย ตลอดจนเพื่อทราบขั้นตอนการส่งออกอาหาร กฎหมายอาหาร และปัจจัยต่างๆ ในการส่งออกอาหารไปยังอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดส่งออกอาหารสำคัญของไทยให้แก่ผู้ประกอบการอาหารไทยที่สนใจ โดยนายชาวันย์  สวัสดิ์-ชูโต รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(ที่4จากซ้าย) ให้เกียรติมาเป็นประธาน นายอมร งามมงคลรัตน์ รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร (ที่3จากซ้าย) และนางอรุณี  อุสาหะ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริการวิชาการ สถาบันอาหาร (ที่1จากซ้าย)ให้การต้อนรับ ร่วมด้วยนายพีรวัส เจนตระกูลโรจน์  ผู้อำนวยการส่วนผลิต  บจก.ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ดส์(ที่2 จากซ้าย), นายสัตวแพทย์กษิดิ์เดช  ธีรนิตยาธาร  รองประธานบริษัท บจก.วิน วิน เวิลด์ไวด์(ที่5จากซ้าย)  และนางปรียาพันธ์ ทาทอง  ผู้จัดการทั่วไป สหกรณ์แพร่ เอ็กซปอร์ต จำกัด(ที่6จากซ้าย)ให้เกียรติเป็นวิทยากร มีผู้ประกอบการเข้าร่วมสัมมนาราว 100 คน  ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์

33945
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=CmoESMxbIIY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=CmoESMxbIIY</a>

Pages: 1 ... 2261 2262 [2263] 2264 2265 ... 2397