enjoyjam.net

ภาพยนตร์ => ข่าวภาพยนตร์ => Topic started by: FB on May 18, 2012, 02:48:18 PM

Title: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on May 18, 2012, 02:48:18 PM
10 ปีฝันเป็นจริง สหมงคลฟิล์มไฟเขียว ทำ “ชัมบาลา” “ปี๊ด-ปัญจพงศ์” ได้ “ซันนี่ประกบอนันดา” ทำหนังไทยตะลุยถ่ายทิเบต




              
 

       ไม่ใช่ทุกคนที่มีความฝันแล้วจะสามารถแปรเปลี่ยนความฝันจากอากาศธาตุ บ่มเพาะประสบการณ์หลอมรวมความคิด จินตนาการออกมาเป็นตัวหนังสือและเรื่องราว สานต่อความฝันให้กลายเป็นความจริง ได้ แต่สำหรับ ปี๊ด-ปัญจพงศ์ คงคาน้อย ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการโทรทัศน์ โฆษณา มิวสิควิดีโอมาทั้งชีวิต ภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตที่เขากำกับโดยได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนบทจากการเดินทางไปทิเบตเพื่อถ่ายทำรายการท่องเที่ยวทางโทรทัศน์เมื่อหลายปีก่อน (“แดนบีมเดอะซีรี่ส์”) กำลังจะปรากฎสู่สายตาทุกคนแล้ว ถึงแม้จะใช้เวลานานนับ 10 ปีก็ตาม หลังจากผ่านอุปสรรคความยากลำบากนานัปการ เขียนบทอยู่ร่วมปี ผ่านการนำเสนอโปรเจ็คต์หาสตูดิโอที่จะอนุมัติออกทุนสร้างหนังโรแมนติคดราม่าเรื่องราวการเดินทางของ2พี่น้องที่มีความรักเป็นแรงบันดาลใจ

          ซึ่งต้องเดินทางไปถ่ายทำไกลถึงดินแดนบนหลังคาโลกอย่างทิเบต รวมไปถึงหา 2นักแสดงชายระดับฝีมือที่จะมาร่วมผจญฝ่าความยากลำบากในการเดินทางไปใช้ชีวิตในโลเกชั่นสุดโหด เผชิญกับสภาพอากาศที่มีตั้งแต่หนาวสุดขั้วและร้อนสุดขีด จนในที่สุด “ชัมบาลา” ภาพยนตร์ที่ใช้เวลาในการสร้างถึง3ปีก็โดยได้ไฟเขียวจากเสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐหัวเรือใหญ่สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนลออกทุนสร้าง และได้ 2 นักแสดงชายระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และอนันดา เอเวอริงแฮมประกบบทบาทคู่กันเป็นครั้งแรก

          “ก็เกือบจะสิบปีแล้ว มีโอกาสได้ไปทิเบต เพื่อทำรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับท่องเที่ยว (แดนบีมเดอะซีรี่ส์) ก็รู้สึกประทับใจ มันมีประเทศแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอ มันเป็นไปได้ยังไง ประเทศที่หล่อหลอมด้วยความศรัทธา ชีวิตตั้งแต่ตื่นนอนยันหลับ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เราก็รู้สึกว่ามัน IMPACT กับจิตใจเรามาก ทำให้ เราอยากทำเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้ทำ เพราะทิเบต เป็นประเทศที่ไกลมาก มันยากมาก แล้วยิ่งไปทำหนังด้วย ใครจะออกทุน ใครจะยกกองไปกับเรา ใครจะไปทนลำบากกับเรา มันจะเป็นไปได้เหรอ เหมือนวันหนึ่งที่ผมเคยพูดเล่นๆ กับตัวเองว่าแบรดพิตต์ทำ 7 years in Tibet เป็นฮอลลีวู้ดแต่ไปถ่ายที่ทิเบตมันก็เป็นในแบบของเขา แล้วถ้าวันหนึ่งเราไปถ่ายทิเบตเราอาจสู้เขาไม่ได้เรื่องงบประมาณหลายๆ อย่าง แต่เราสู้เขาได้เรื่องความคิด เรื่องของมุมมอง ซึ่งผมคิดว่าคนไทยไม่ได้แพ้ใคร จนวันหนึ่งเราได้ทำหนังที่ไปถ่ายถึงทิเบตในแบบของเรานั่นคือ “ชัมบาลา” ซึ่งตั้งแต่ทำภาพยนตร์เรื่องนี้มาเราใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบ 3 ปี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการทำหนังเรื่องหนึ่งที่ใช้เวลา3ปีสำหรับหนังไทย อย่างแรกผมต้องขอบคุณคุณเสี่ย เสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ประธาน บ.สหมงคลฟิล์ม) นะครับ ขอบคุณทีมงานสหมงคลฟิล์มทุกคนที่ไว้ใจให้ผมทำ และอดทนรอกับมันยาวนานมากๆ จนทีมงานทุกคนคิดเหมือนกันคือเมื่อไหร่มันจะได้เห็น จนถึงวันนี้ผมฝันมาไม่ต่ำกว่า10ปีเพื่อที่จะรอทำให้มันสำเร็จ เพราะฉะนั้นทุกวันผมจะรู้สึกเสมอว่าจริงเหรอ มันจะได้ฉายจริงเหรอ จนมาวันนี้เรากำลังจะได้เห็นแล้ว สิ่งที่ผมภูมิใจและรู้สึกดีที่สุดก็คือมันไม่ใช่หนังผม แต่เป็นหนังของพวกเราทีมงานนักแสดงทุกคน ต้องขอบคุณซันนี่ อนันดา ฝน นลินทิพย์ โอซาที่เชื่อมั่นและร่วมลำบากไปกับเรา สำหรับผมถ้าก้าวแรกมันได้ขนาดนี้ขอบอกตรงๆ ว่าผมมีความมั่นใจและภูมิใจกับชัมบาลาว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดคุณออกจากโรงแล้วมันคงกระตุกต่อมคิดอะไรของคุณได้บางอย่าง คุณคงสนุกกับเรื่องราวของมัน อิ่มเอมกับความสวยงามของบรรยากาศในประเทศทิเบต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมงานของเราทุกคนพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุดอยากให้ทุกคนได้ดูกัน”

          รับรองว่าไม่นานเกินรอ เพราะงานนี้เสี่ยเจียงไฟเขียววางโปรแกรมฉายแล้ว 23 สิงหาคมนี้แน่นอน
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 12 กรกฎาคม 2555
Post by: FB on May 31, 2012, 09:43:39 AM
ผกก. – นักแสดงตะลึงภาพทิเบตในหนัง “ชัมบาลา” งามมหัศจรรย์ โชว์ฝีมือ “น้ากล้วย” ผกก. ภาพโหมโรง, นเรศวร, นางนาก

   

      ในการทำหนังเรื่องแรกของผู้กำกับแต่ละคนอาจะต้องเผชิญกับอุปสรรคและข้อจำกัดแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าฝันๆนั้นของผู้กำกับอยู่บนโจทย์ที่ไม่ธรรมดาอย่างเช่น “ชัมบาลา” ที่ต้องเดินทางไปถ่ายทำไกลถึงดินแดนบนหลังคาโลกอย่างทิเบตด้วยแล้ว งานนี้ทีมงานนับสิบชีวิตนอกจากจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคในการเดินทางจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าหิมะท่ามกลางอุณหภูมิลบ15องศา ผจญความร้อนสุดขีดของแสงแดดที่แผดเผา รวมไปถึงความเสี่ยงจาก ATTITUDE SICKNESS ซึ่งเกิดเพราะความกดอากาศที่มันเบาบางมาก บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า4พันเมตร เนื่องจากมีออกซิเจนมันน้อย แต่ถึงกระนั้นปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อย ผู้กำกับหนุ่มที่ในชีวิตผ่านการเดินทางมายังประเทศทิเบตมาแล้ว4ครั้ง พร้อมทีมงานและนักแสดงนำอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, อนันดา เอเวอริงแฮม และนักแสดงหน้าใหม่อย่างฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุลก็ไม่ได้ย่อท้อต่อความยากลำบากอันแสนสาหัสที่เกิดขึ้นตลอดการถ่ายทำ “ชัมบาลา” ภาพยนตร์ฟีลกู้ดในแนวโรแมนติค-ดราม่า เมื่อได้เห็นภาพจากการถ่ายทำที่เสร็จสมบูรณ์จากฝีมือของ น้ากล้วย ณัฐวุฒิ กิตติคุณ ผู้กำกับภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่อยู่เบื้องหลังงานกำกับภาพของนางนาก, ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, องค์บาก, โหมโรง ฯลฯ ถ่ายทอดความงามของหุบเขา ผืนฟ้า สีสันของทิเบตได้อย่างมหัศจรรย์

          “ก็สำหรับภาพในหลายๆ ฉากหลายๆ ซีนที่เราเห็นสวยๆ ในหนัง อย่างแรกต้องขอบคุณน้ากล้วยครับ แล้วก็ต้องขอบคุณในความอดทนยากลำบากด้วย เพราะบางทีที่เราไปดูเนื่องจากว่ามันเป็นสถานที่ที่มันธรรมชาติมาก ทำให้การที่เราจะวางเฟรม การที่เราจะตั้งกล้อง หรือความสะดวกในการถ่ายทำมันไม่มี ไม่ได้บอกว่ามันมีน้อยนะ แต่มันไม่มี เราก็เลยต้องอาศัยประสบการณ์ของน้ากลัวยนี่แหละในการที่จะมองผ่านเลนส์ซะยังไงให้มันสวย เพราะฉะนั้นแล้วอะไรที่มันสวยๆ ทั้งหมดของหนัง อะไรที่มันมหัศจรรย์ก็ขอให้ยกความดีให้น้ากล้วยเลย เพราะฉะนั้นมุมภาพต่างๆ ที่ถูกดีไซน์มา มันจะถูกดีไซน์ในเชิงเรียลลิสติค มหัศจรรย์มันมีอยู่แล้ว แต่มันอาจจะไม่ใช่แบบ โอ้โหสวยทั้งหมด มันไม่ใช่โจทย์ของเรา เราไม่ได้ต้องการอย่างนั้น เราต้องการให้คนดูตามตัวละครซันนี่และอนันดาไป แล้วค่อยๆ อิ่มเอมเรื่อยๆ ไปกับความสวยงามของทิเบตนะครับผม ถ้าถามว่ายากมั้ย ผมโชคดีที่ได้ทำงานกับน้ากล้วย น้ากล้วยทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย ซึ่งถ้าไปดูในหนังจะเห็นหลายๆ ฉากที่จะเกิดความรู้สึกที่ว่า ถ่ายจากตรงไหนเหรอ ถ่ายมาได้ไง ที่ทิเบตมันมีด้วยเหรอ ซึ่งบอกได้เลยว่าผมรู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับทีมงานที่บอกได้เลยว่าโคตรคุณภาพ แล้วน้ากล้วยคือ 1 ผกก. ภาพ 5 ที่ชีวิตนี้เราฝันอยากร่วมงานด้วย”

          เตรียมพบกับความมหัศจรรย์ของทิเบตผ่านมุมกล้อง และสมองของน้ากล้วย ณัฐวุฒิ กิติตคุณสุดยอดผู้กำกับภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทยได้จาก “ชัมบาลา” 12 ก.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 12 กรกฎาคม 2555
Post by: FB on June 22, 2012, 04:34:51 PM
สาวๆ เตรียมกรี๊ดผกก. “ชัมบาลา” การันตี 2 หนุ่มฮอตพลิกบทบาท ดราม่าจัดหนัก “ซันนี่” VS. คอมมิดี้จัดเต็ม “อนันดา”









           ปล่อยภาพออกมาทำเอาสาวๆ เล็กสาวใหญ่กรี๊ดกันแทบสลบเลยทีเดียวสำหรับ “ชัมบาลา” ภาพยนตร์โรแมนติค-ดราม่าที่ได้2หนุ่มสุดฮอตที่ได้รับการโหวตให้เป็นนักแสดงนายแบบหนุ่มหล่อขวัญใจสาวๆ ตลอดกาลอย่าง “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” และ “อนันดา เอเวอริงแฮม” มาประกบบทบาทคู่กันเป็นครั้งแรกโดยรับบทเป็น 2 พี่น้องที่นิสัยต่างกันสุดซึ่งแยกย้ายกันใช้ชีวิตนานแล้ว แต่ต้องกลับมาเจอกันและร่วมเดินทางไปยังทิเบตร่วมกันเพื่อทำภารกิจบางอย่างให้กับหญิงที่ตนรักโดยมีเป้าหมายคือตามหา “ชัมบาลา-สรวงสรววค์ในดินแดนบนหลังคาโลก” งานนี้ทำเอากราฟความน่าดูพุ่งปรี๊ดถึงขีดสุดและส่งผลให้ “ชัมบาลา” กลายเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่นำเสนอภาพบรรยากาศความงามสุดมหัศจรรย์ของทิเบตออกมาได้อย่างน่าสนใจ และกลายเป็นว่าที่หนังไทยที่น่าจับตามองแห่งปี ด้วยความแตกต่างจากหนังไทยหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นครั้งแรกที่แฟนๆ จะได้เห็นการพลิกบทบาททางการแสดงชนิดสลับขั้วกันของ2พระเอกหนุ่มไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดดราม่าจัดหนักของซันนี่ และคอมมิดี้แบบจัดเต็มของอนันดาสมความตั้งใจของ ปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อย ผกก.หนุ่มที่คร่ำหวอดในวงการโทรทัศน์, โฆษณา, มิวสิควิดีโอมานับ 10 ปีและผ่านประสบการณ์ตะลุยทิเบตมาแล้วถึง 4 ครั้ง

          “ส่วนที่สำคัญที่ผมคิดว่าทำให้สองคนนี้รับเล่นหนังเรื่องนี้ก็เพราะว่าบทที่มันมีความแตกต่าง เราจะเห็นซันนี่เล่นแต่คอมมิดี้ซะเป็นส่วนใหญ่ เราเห็นอนันดาเล่นแต่ดราม่าเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผมคิดตั้งแต่ต้นแล้ว ผมเชื่อว่าซันนี่ สุวรรณเมธานนท์สามารถเล่นบทบาทอื่นได้ดีเพราะผมรู้จักเขามาเป็นสิบๆ ปี พอๆ กับผมอยากเห็นอนันดา เอเวอริงแฮมเล่นบทบาทอื่นบ้างนอกจากร้องไห้ เศร้า เครียด ซึ่งตัวตนจริงๆของเขาธรรมชาติมาก เขาทั้งเฮฮาทั้งสนุกสนาน เพียงแต่เขาเป็นคนจริงจังจากการทำงานเท่านั้นเอง ซึ่งบท2พี่น้องที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว เจอกันทีไรต้องมีเรื่องให้ทะเลาะกันกัดกันตลอดของทินกับวุฒิในภาพยนตร์เรื่องนี้มันทำให้เขาได้twist (สลับปรับเปลี่ยน) คาแรคเตอร์ตัวเองหมด คุณจะไม่เคยเห็นคาแรคเตอร์ของซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ในแง่ของความดรามาติกมากขนาดนี้มาก่อน มีความเก็บกดอยู่ในใจ มีความคิดบางอย่างอยู่ในใจ มีความหมกหมุ่นอยู่กับอะไรบางอย่างพอๆ กับที่คุณจะไม่เคยเห็นอนันดา เอเวอร์ริงแฮมจากเรื่องไหนที่เป็นคนตลก กวนตีน ปากหมา นิสัยเลว เป็นธรรมชาติของตัวตน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้รับการการันตีจากคนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ต่างรู้สึกตรงกันว่าสิ่งที่เขาชอบอย่างแรกเลยคือความเป็นธรรมชาติของตัวละ2คนนี้ และวิธีทางการแสดงใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นจาก2คนนี้มาก่อน”

          เตรียมพบกับการกระแทกบทบาทคู่กันเป็นครั้งแรกของซันนี่-อนันดา 2 ซุป’ตาร์หนุ่มระดับแถวหน้าของเมืองไทยใน “ชัมบาลา” เร็วๆ นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 12 กรกฎาคม 2555
Post by: FB on June 23, 2012, 08:47:00 AM
“ซันนี่” เล่น “ชัมบาลา” นานๆ เจอบทถูกใจ ยอมรับคิดถึงหนังใหญ่ พร้อมคืนจอ



                 “ชัมบาลา” ถือได้ว่าเป็นการกลับมาจับงานแสดงทางด้านภาพยนตร์ครั้งแรกในรอบ 4-5 ปีเลยทีเดียว หลังจากที่ฝากงานแสดงผ่านจอโทรทัศน์ในซีรี่ส์ซิทคอมอย่าง “เนื้อคู่ฯ” มายาวนาน จนแฟนๆ หนัง ต่างบ่นคิดถึงว่าเมื่อไหร่หนุ่มนัยน์ตาซึ้งอย่างซันนี่ สุวรรณเมธานนท์จะกลับมาสร้างรอยยิ้มโชว์เสน่ห์มอบความสุขบนจอใหญ่ๆ ให้แฟนๆ หายคิดถึงสักที ซึ่งงานนี้ไม่เพียงแต่แฟนๆ แม้แต่เจ้าตัวก็ยังแอบแย้มให้ฟังว่ารู้สึกคิดถึงเหมือนกัน แถมการกลับมาครั้งนี้ยังไม่ธรรมดาตั้งแต่บทบาทที่ได้รับ รวมไปถึงตัวบทหรือเรื่องราวที่ซันนี่รู้สึกประทับใจ ยังไม่รวมกับที่ต้องเดินทางไปถ่ายทำไกลถึงดินแดนบนหลังคาโลกอย่างประเทศทิเบตท่ามกลางธรรมชาติที่บอกได้คำเดียวว่าสุดโหด

“ก็หายไปพักหนึ่ง ไปแสดงซิทคอมแรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอมารับและเล่นหนังเรื่องชัมบาลา โหรู้สึกเลยว่าคิดถึงมาก คือฟีลอารมณ์หนังกับโทรทัศน์มันคนละอย่างกัน มันคิดถึงครับ อยาก อยากเล่น และรู้สึกดีใจมากที่ได้เจอบทที่อ่านแล้วรู้สึกว่าชอบซะที รู้สึกดีมากครับ ที่บอกว่าเป็นบทที่ผมรู้สึกอยากเล่น เพราะก่อนหน้านี้จริงๆ แล้วก็บทหลายเรื่องที่ผ่านเข้ามา หรืออย่างพี่ปี๊ดผกก. ชัมบาลาก็เคยเอาบทมาให้อ่าน 4-5 เรื่อง เพียงแต่เรารู้สึกกับบทหนังเรื่องนี้ของเขาที่สุด ซึ่งปีหนึ่งผมอ่านบทมา ปึ๊บปึ๊บปึ๊บ ก็นานๆ จะเจอบทที่ชอบก็ดีใจครับ ได้เล่นหนังที ก็ดีใจครับ เพราะไม่รู้ว่าอีกกี่ปีผมถึงจะเจอบทที่ผมชอบอีก

          ที่สำคัญเราจะได้เห็นหนุ่มซันนี่พลิกบทบาทการแสดงจากบทคอมมิดี้ใสๆ มาโชว์ฝีไม้ลายมือในทางดราม่าชนิดจัดเต็มแถมยังต้องประกบบทบาทคู่กับ อนันดา เอเวอริงแฮม พระเอกซูเปอร์สตาร์ชายระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่นอกจากจะต้องร่วมเดินทางไปตะลุยทิเบตด้วยกันยังต้องมารับบทเป็นพี่น้องคู่กันเป็นครั้งแรกด้วย

          “สำหรับบทที่เล่น ผมรับบทเป็นวุฒิก็ถือว่ายาก ยากมากครับ ดราม่าหนักๆ ผมก็ไม่เคยลอง จริงๆ ก็อยากทำมานานแล้วครับ แต่ว่าก็ยากนิดนึง ก็ถือว่าใหม่สำหรับเรา แต่ว่าเราก็พยายามครับ ตั้งใจครับ เพราะปกติก็เล่นแต่หนังคอมิดี้ โรแมนติคบ้าง ดราม่านิดๆ บ้าง ส่วนการร่วมงานกับอนันดา (หัวเราะ)ผมก็เห็นเขามานานแล้วครับ เล่นหนังอาร์ทอยู่เรื่อย (หัวเราะ) ก็ดี ดีใจได้ร่วมงานกับอนันดา ก็ไม่เคยรู้ว่าอยู่มาวันหนึ่งจะได้มาเล่นหนังกับอนันดา ร่วมงานกันราบรื่นครับ เขาก็เป็นคนนิสัยดีครับ ดีครับๆ ชอบ ชอบ”     
   
          สำหรับแฟนๆ ของพระเอกหนุ่มซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เตรียมพบกับอีกหนึ่งผลงานทางการแสดงที่เชื่อว่าหลายๆ คนตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันมานานและจะยิ่งชื่นชมความสามารถในตัวของพระเอกหนุ่มมากยิ่งขึ้นไปอีกใน ชัมบาลา 12 ก.ค. นี้ รอกอีกแค่อึดใจเดียว ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 12 กรกฎาคม 2555
Post by: FB on June 30, 2012, 04:06:08 PM
ภูมิใจสุดๆ “ชัมบาลา” หนังเรื่องแรกถ่ายทอด “UNSEEN ทิเบต” นักแสดงทีมงานยอมตะลุยฝ่าเส้นทางสุดโหด

 

          นอกเหนือจากความมหัศจรรย์ของงานด้านภาพที่ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมอง และประสบการณ์ในการกำกับภาพของผู้กำกับภาพระดับแถวหน้าในวงการภาพยนตร์ และโฆษณาในบ้านเราอย่างน้ากล้วย ณัฐวุฒิ กิตติคุณ แล้ว การเลือกใช้โลเกชั่นที่แสนโดดเด่นสะดุดตาในประเทศบนหลังคาโลกอย่าง “ทิเบต” ทำให้กล้า พูดได้ว่า “ชัมบาลา” น่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ที่มีโอกาสนำเสนอภาพสถานที่ บรรยากาศ ชีวิต กลิ่นอาย ผู้คน สีสันวัฒนธรรมความเป็นทิเบต รวมไปถึงป่า ทะเลสาป เทือกเขา ตลอดจนภูมิประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่แม้แต่คนทิเบตเองอาจจะยังไม่เคยไปสัมผัสเรียกได้ว่าเป็น “อันซีนทิเบต” อย่างแท้จริงได้มาปรากฎลงบนแผ่นฟิล์มเป็นครั้งแรก งานนี้ ผกก. “ปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อย” พร้อมนักแสดงนำทั้ง 3 อย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม, ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และฝน-นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล รวมไปถึงทีมงานภาพยนตร์ได้มีโอกาสไปเยือนและดื่มด่ำซึมซับกับความน่าตื่นตา โดยต้องยอมแลกกับการที่ต้องฟันฝ่ากับอุปสรรคความยากลำบาก ในการเดินทางสารพัดบนเส้นทางที่พูดได้ว่าโหดสุดๆ

          “ต้องบอกก่อนว่าการไปทำงานที่ทิเบต มันไม่ใช่เป็นเรื่องปกติ มันไม่ได้เหมือนไปทำงานสวิสเซอร์แลนด์ ไปทำงานที่นิวยอร์ค และครั้งนี้ที่เราไปถ่ายทำมันเป็นทิเบตอีกฝั่งหนึ่ง มันไม่ใช่ฝั่งลาซาลเมืองหลวง และตัวผมเองรู้สึกว่าฝั่งนั้นคนไปกันบ่อยแล้ว ใครๆ ก็เคยเห็น เราก็เลยเลือกไปในเส้นทางที่คนต่างชาติต่างถิ่นเขาไม่ไปกัน ระหว่างที่เราไปถ่ายทำเป็นหน้าหนาว อากาศน้อย ถึงแม้จะมีป่ามากขึ้น แต่เผอิญด้านโน้นที่เราไปความชื้นมันน้อยกว่า มันก็เลยทำให้การดำรงชีวิตมันยากลำบากกว่า และในการเดินทางไปในแต่ละที่ในทิเบตเราต้องมีเวลาอย่างต่ำ6ชั่วโมงในการเดินทาง แล้วช่วงเวลาที่เราเดินทางไปเป็นหน้าหิมะ ก็ต้องใช้เวลามากขึ้น เพราะต้องขับรถช้าลง ไม่งั้นรถมันจะไถลนะครับ ก็นานพอสมควร ที่ๆ เรากำหนดไว้ที่จะต้องถ่ายทำก็จะมีตั้งแต่วัด,คริสตัลเมาเทนส์ซึ่งเป็นหน้าผาที่มองลงไปจะเห็นภูเขาสลับซับซ้อนดูสวยงามมากเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมาก เราต้องไปหมู่บ้านของชาวนอแมทชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งต้องเข้าไปในป่า เราต้องไป “ชัมบาลา” ที่ๆ เรากำหนดไว้ซึ่งเป็นอีกเมืองหนึ่งไกลออกจากทิเบตอีก ไปจนเกือบถึงแคว้นอาบา แคว้นขาม เขตขาม ซึ่งเป็นที่ที่เขาไม่ไปเที่ยวกัน มันไม่ใช่ที่ที่เขาไปเที่ยวกัน แต่มันสวย เราต้องไปอีกฝั่งหนึ่งที่ปกคลุมด้วยหิมะซึ่งเป็นหมู่บ้านของตาว่าตัวละครไกด์ในเรื่อง อย่างถ้าได้ชมในภาพยนตร์จะมีฉากที่ตัวละคร3คนนั่นคืออนันดาและซันนี่ซึ่งเป็นพี่น้องกันและโจลูกครึ่งญี่ปุ่นที่มารับบทเป็นไกด์ชาวทิเบตที่ชื่อว่าตาว่า จอดรถนั่งกินข้าวคุยกันเป็นทุ่งโล่ง ข้างล่างเป็นถนนที่ยาวที่มองไม่เห็นไม่รู้

          ว่ามันจะไปสุดตรงไหน รถแต่ละคันที่วิ่งเข้ามาชั่วโมงหนึ่งมาที เป็นถนนที่ไม่เห็นมีใครขับเข้ามา ซึ่งเราจะเห็นอีกแบบของทิเบต ซึ่งเราจะไม่ได้เห็นในสารคดีหรือหนังสือท่องเที่ยวที่เราเห็นกันเป็นประจำ แต่เราจะเห็นทิเบตอีกมุมหนึ่งซึ่งมีความดิบ มีความเป็นธรรมชาติ มีความสวยงามแบบไม่ได้ประดิษฐ์มากกว่านั้น ซึ่งถ้าถามผมว่าเป็นอันซีนที่ไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่นมั้ย เอาง่ายๆ ก่อนเลยคือ คุณจะไม่เห็นในหนังไทยแน่ๆ แม้แต่หนังต่างประเทศคือถ้าไม่ใช่หนังทิเบตเองจริงๆ ผมว่าไม่เห็นนะ ซึ่งตรงนี้ต้องขอบคุณทีมงานเราด้วยที่พร้อมจะลุยไปทุกที่และขอบคุณนักแสดงด้วยที่พร้อมจะลุยไปกับเรา”

          ติดตามธรรมชาติและความสวยงามในความเป็นทิเบตที่รอการค้นพบได้ใน “ชัมบาลา” เร็วๆ นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 12 กรกฎาคม 2555
Post by: FB on July 03, 2012, 06:36:15 PM
“ชัมบาลา” ได้ “โอซา แวง” และ “ฝน นลินทิพย์” ประกบ “อนันดา-ซันนี่” 2 นางเอกสาวผู้เชื่อมั่นในรักแรกพบ ตอกย้ำความโรแมนติคสุดจี๊ด



          กลัวแฟนๆ จะเข้าใจว่าโปรเจ็คต์หนังตะลุยถ่ายทิเบตที่มี 2 พระเอกหนุ่มระดับซุป’ตาร์อย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์-อนันดา เอเวอริงแฮม เป็นหนังโรดมูฟวี่ นั่งรถเดินทาง ท่องเที่ยวทิเบต สไตล์หนุ่มๆ โหดๆ ดิบๆ เอาใจหนุ่มๆ อย่างเดียว งานนี้ผกก.ปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคงน้อยเลยต้องออกมาชี้แจงแถลงไขว่า “ชัมบาลา” เป็นหนังฟีลกู้ดนะครับที่มีหลายรสชาติ ทั้งดราม่าผจญภัย สนุกสนาน คอมมิดี้ และที่สำคัญมีส่วนที่อ่อนโยนอ่อนไหวในสไตล์โรแมนติคด้วย (ประมาณเอาใจสาวด้วย แต่แหมแค่ได้เห็น 2 หนุ่มฮอตมาประกบคู่กันอย่างนี้เผลอๆ ทั้งสาวใหญ่สาวรุ่นไปจนถึงเก้งกวางก็มีแต่หันขวับเท่านั้นละจ้า) และเพื่อยืนยันงานนี้ผกก.ก็เลยต้องมีการเปิดตัว 2 นางเอกสาวสวย 2 สไตล์ที่จะมาประกบคู่กับ2หนุ่มกันด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนคนแรกคือซูเปอร์โมเดลสาวฮอตระดับอินเตอร์สุดเซ็กซี่ โอซา แวง นั่นเอง ยืนยันว่าเป็นนักแสดงที่เหมาะสมที่สุดที่จะมารับบทเป็นเจน หญิงสาวชาวต่างชาติ ที่มาหลงรักเสน่ห์ของผู้คนและความเป็นไทย โดยยอมทิ้งชีวิตข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อมาอยู่ร่วมกับหนุ่มไทยอย่าง “ทิน” ซึ่งรับบทโดยอนันดา ส่วนอีกหนึ่งสาวฝน-นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุลเป็นนางเอกใหม่ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นพิเศษเพราะความสามารถเธอหลากหลายทั้งดีเจ. มีงาน, โฆษณา, ถ่ายแบบและมิวสิควิดีโอล่าสุดเพลงใหม่ของดา เอนโดฟิน มารับบทเป็น “น้ำ” คนรักของ “วุฒิ” ซึ่งรับบทโดยซันนี่ สุวรรณเมธานนท์หญิงสาวที่เป็นทุกอย่างในชีวิตของซันนี่และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เกิดทริปการเดินทางไปตามหา “ชัมบาลา” ที่ดินแดนบนหลังคาโลก

          “พูดถึง 2 ตัวละครผู้หญิงใน “ชัมบาลา” อย่าแปลกใจ ถ้าตัวละครผู้หญิงในหนังของผมจะเป็นตัวแทนของหญิงสาวในยุคปัจจุบันที่ตัดสินใจเร็วในเรื่องความรัก แต่นั่นเป็นเพราะว่าผู้หญิงทั้ง 2 คนต่างเหมือนกันตรงที่ต่างเชื่อมั่นใน first impression (ความรู้สึกแรกในการพบกัน) ของเขา และไม่คิดจะเสียใจไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปข้างหน้า ซึ่งผู้หญิง 2 คนนี้มีความแข็งแรง เข้มแข็งมาก สำหรับตัวละครเจน ที่รับบทโดยโอซา แวงเป็นตัวละครเดียวที่ผมเห็นภาพเขาเลยตอนเขียนบทตัวนี้ โอซาเป็นนักแสดงที่ขยันและเป็นโปรเฟชชั่นนิสต์ เขาเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่เคยถอย และเขาสู้ตลอด เรื่องนี้เขาต้องเรียนรู้ภาษาไทย และไม่ได้พูดอย่างเดียว แต่เขาเข้าใจด้วย เขาเข้าใจภาษา เขาเข้าใจอารมณ์ แล้วเขาแสดงออกมาได้ดี ยิ่งถ้าคุณได้เห็นตอนโอซาร้องไห้เป็นฉากที่เขาต้องเสียใจมากๆ สิ่งที่เขาต้องแสดงออกเป็นเรื่องของ สายตา สีหน้า อากัปกิริยา แอ็คติ้งต่างๆ เขาทำออกมาได้ดีมาก โอ้โหถ้าผมเป็นอนันดานะ อยากจะเคาะกะโหลกว่าทำไมคุณทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งสวยขนาดนี้ ดีกับคุณขนาดนี้เสียใจขนาดนี้ได้อย่างไร ส่วนคาแรคเตอร์น้ำซึ่งรับบทโดยฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล ดูเหมือนกับที่เราพบเห็นในผู้หญิงทั่วไป คือเปราะบางภายนอก เปราะบางด้วยความเป็นผู้หญิง แต่ลึกๆ แล้วตัวละครตัวนี้เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง สิ่งที่ตัวละครน้ำพยายามบอกทุกคนว่าคนเราเมื่อเจอปัญหาอะไรไม่ว่าจะเป็นทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ ถ้าเรามีสติพอที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้ บางทีถึงแม้ว่าเราจะแก้ปัญหาให้เขาไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะชี้ทางให้กับคนอื่นได้ ตอนที่แคสท์ติ้ง ผมรู้สึกว่าฝนเป็นคนที่มีความเป็นธรรมชาติสูงที่สุดในบรรดาคนที่เข้ามาแคสท์ เขาไม่ได้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด แต่เขามีความน่าสนใจ มีเสน่ห์บางอย่างที่คุณจะเห็นเขาสวยขึ้นเรื่อยๆ คุณจะเห็นประกายตาของเขา เห็นความสวยที่มาจากภายในของเขามากขึ้นเรื่อยๆ นะ สิ่งที่ผมประหลาดใจมากและถือว่าเก่งมากคือ เขาร้องไห้ได้เป็นธรรมชาติมาก ร้องแล้วยังรู้สึกว่าโลกมันยังสดใสอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะทุกข์ก็ตาม ซึ่งผมว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ยากมากนะ แต่กับฝนเขาทำให้ผมรู้สึกว่า เฮ้ยผมเชื่อเขา เวลาเขาร้องไห้ เวลาเขาเสียใจ เวลาที่เขาพยายามเก็บความอ่อนแอไว้ แล้วสร้างความเข้มแข็งขึ้นมา มันทำให้ผมเชื่อและเอาใจช่วย และคิดว่าคนดูน่าจะเอาใจช่วยเขาเช่นกัน ซึ่งผมเชื่อว่านี่แหละคือผู้หญิงที่ผู้ชายทุกคนอยากจะให้เป็นและอยากจะมีผู้หญิงแบบนี้ไว้เป็นแฟนนะ”

          หากต้องการสัมผัสความอ่อนไหวที่อ่อนหวานและลึกซึ้ที่จะทำให้คุณจี๊ดและซึมลึกยิ่งขึ้นไปอีกจาก 2 ตัวละครสาวที่ว่ากันว่าเกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกคน จากการถ่ายทอดผ่านการแสดงของโอซา แวง และฝน-นลินทิพย์ รอกันอีกนิดใน “ชัมบาลา” แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมพระเอกสองคนถึงต้องเดินทางเพื่อผู้หญิงที่เขารักกัน เร็วๆ นี้ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on July 04, 2012, 03:05:07 PM
“อนันดา” ยอมรับตัดสินใจเล่น “ชัมบาลา” เพราะบท และได้ถ่ายหนังใน “ทิเบต” ดินแดนในฝัน










 
ตัวอย่าง "ชัมบาลา" [Official TR 2012]

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=pq-FUTLITAc" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=pq-FUTLITAc</a>

          เป็นซูเปอร์สตาร์หนุ่มระดับอินเตอร์ที่มีผลงานภาพยนตร์ออกมาให้แฟนๆ ได้ชมอย่างต่อเนื่องทั้งภาพยนตร์ไทยเองรวมไปถึงภาพยนตร์ต่างประเทศ แถมยังเป็นนักแสดงหนุ่มลูกครึ่งที่มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ชื่นชอบการเดินทาง หลงรักการถ่ายรูป นิยมการปีนเขา ฯลฯ และเมื่อถูกทาบทามและชักชวนให้มารับบทบาทสำคัญใน “ชัมบาลา” ภาพยนตร์ดราม่า-โรแมนติคที่ต้องเดินทางไปถ่ายทำในทิเบต ดินแดนบนหลังคาโลกที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,000 เมตร ซึ่งแน่นนอนว่าต้องเป็นงานที่นอกจากจะไม่หมูแล้ว รับรองว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาหรืออุปสรรค 108 อย่างแน่นอน งานนนี้นอกจากหนุ่มหล่ออย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม จะไม่ปฏิเสธ ตรงข้ามกลับยินดีตกปากรับคำที่จะแสดงตั้งแต่ถูกเอ่ยปากชวนตั้งแต่ยังไม่ได้อ่านบทด้วยซ้ำ

          “คืออย่างแรกที่ สิ่งที่แบบเตะตาเรามากสุด และเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกอยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับโปรเจ็คต์นี้ คือจริงๆ แล้วอันนี้มันตั้งแต่ก่อนที่เราจะสนิทกับผกก.ด้วยซ้ำไป คือพอเขาพูดถึงเรื่องมันเกิดขึ้นในทิเบต อันนั้นคือหลักๆ เลย สำหรับผม มันคือดินแดนในฝันอยู่แล้ว อยากไปมาก แล้วก็ไม่เคยได้มีโอกาสได้ไปซักที หลายๆ ครั้งก็ได้ไปใกล้ๆ ไปตรงชายแดน ฝั่งอินเดียบ้าง ฝั่งเนปาลบ้างแต่ไม่เคยข้ามไปทิเบตสักกะที เลยพอหนังมันbaseอยู่ที่ทิเบต ลึกๆ ในใจเราอยากทำมากตอนนั้นแล้วก็ตามภาษาเราที่ต้องเล่นตัวหน่อย (หัวเราะ) ก็ต้อง ไหนเอาบทมาอ่านหน่อยซิ ขอดู เช็คทัศนะทีมงาน อะไรก็ว่าไปตามภาษา แต่หลักๆ คืออยากไปทิเบต อยากไปถ่ายรูปที่ทิเบต เราเห็นรูปที่ทิเบต พวกทิวทัศน์พวกภูเขาสุดลูกหูลูกตา มันอยากไปเห็นกับตา”

          ซึ่งจริงๆ แล้วน่าแปลกใจเหมือนกันที่ดูเหมือนว่าอนันดาเป็นนักแสดงที่เดินทางตลอดทั้งในประเทศและต่างประเทศ น่าจะมีโอกาสได้ไปกว่าคนอื่น ทำไมถึงยังไม่มีโอกาสได้ไปเหยียบดินแดนบนหลังคาโลกสักที

          “เราว่าคนนะลืม ลืมตรงที่ว่า ทิเบตเป็นประเทศที่ใหญ่นะ ทุกคนชอบคิดว่าทิเบตคงเหมือนเนปาล ภูฏาน จริงๆ แล้วไม่เลย ทิเบตใหญ่โตมโหฬารมาก แล้ว LANDSCAPE ที่เราอยากเห็น อย่างเราไปเนปาล เราได้เห็นภูเขาหิมาลัย โน่น นี่ นั่น แต่ว่ามันก็ไม่เหมือนกับพวก LANDSCAPE ของทิเบตที่เป็นภูเขาดิน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีหิมะ ไม่มีอะไรทั้งสิ้นแบบสุดลูกหูลูกตา เลย คือมันตะลึงเลย ซึ่งภาพนั้นผมเคยเห็นแต่ในโปสการ์ด ก็เลยอยากไปถ่ายรูป คือตอนนั้นกำลังบ้ากล้องตัวใหม่ของเราอยู่ อยากไปถ่ายรูปมาก”

          แต่แน่นอนว่านอกเหนือจากการที่ได้ไปถ่ายหนังที่ทิเบตแล้ว ตัวเรื่องราวที่พูดถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องสองคนที่ต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาสิ่งที่เรียกว่า “ชัมบาลา” ในดินแดนบนหลังคาโลกก็เป็นการจุดประกายสำคัญที่ดึงดูดใจให้นักแสดงหนุ่มมากฝีมืออย่างอนันดา ตัดสินใจเข้ามารับบทนำโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เข้าไปมีส่วนรวมในการพัฒนาตัวละครทินที่เขาได้รับซึ่งถือว่าเป็นการพลิกบทบาทจากดราม่าจัดหนักอย่างที่เราคุ้นตามาถ่ายทอดแง่มุมคอมมิดี้อย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน อดใจรออีกนิด 23 ส.ค.นี้ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on July 23, 2012, 07:13:10 AM
ซันนี่มั่นใจคนดูชอบ “ชัมบาลา” การันตีดูไม่ยาก มีลีลาสนุกสนานในตัว ดีใจที่มีคนทำหนังแบบนี้

 

          เป็นหนังเรื่องแรกในรอบหลายปีที่ทำให้ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ตัดสินใจกลับมาคืนจอหางานแสดงภาพยนตร์ที่เขารักอีกครั้งหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่าเพราะบทภาพยนตร์ผสมผสานกับตัวเรื่องราว ที่แทบไม่มีปรากฎให้เห็นในหนังไทย แต่กลับเป็นที่คุ้นเคยสำหรับคอหนังต่างประเทศสำหรับ “ชัมบาลา” ภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติค เรื่องล่าสุดของ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เขาประกบบทบาทคู่กับอีกหนึ่งซูเปอร์สตาร์หนุ่มสุดฮอตของเมืองไทยอย่างอนันดา เอเวอริงแฮม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่คือหนังสนุกสนานเรื่องหนึ่งที่เน้นเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนที่สะท้อนแง่มุมของการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากหนังตลกคอมิดี้ยิงมุกปล่อยแก๊กทั่วๆ ไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นหนังดูยากที่ต้องตีความอาร์ทจ๋าหรือต้องปีนกระไดดูอย่างที่หลายคนเข้าใจ

          “ถามผมว่ารู้สึกอย่างไรกับบทภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา จริงๆ แล้วผมชอบนะครับ อย่างเวลาที่เราดูหนังต่างประเทศ เรารู้สึกว่าหนังลักษณะนี้มีแง่มุมบางอย่างที่มันเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต ที่มันเกี่ยวกับคุณค่าและความสัมพันธ์ของคนมากกว่าแค่เป็นหนังตลกคอมิดี้ทั่วไป มันมีความน่าสนใจตั้งแต่ตัวเรื่องราวที่มันจับต้องได้ สัมผัสได้ ซึ่งไม่ค่อยมีในบ้านเรา แล้วก็ได้ไปถ่ายในสถานที่อย่าง...ทิเบตด้วย ซึ่งผมรู้สึกว่าโดยองค์ประกอบทั้งหมดของหนัง พูดได้ว่าชัมบาลาเป็นหนังที่เปลี่ยนแปลงจากหนังที่บ้านเรามี ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นกันบ่อยๆ ก็จะเป็นตลกไปเลย เป็นหนังรักโรแมนติคบ้าง แต่นี่เป็นแบบที่ผมรู้สึกว่าบ้านเราควรจะมีแบบนี้บ้างนะ เพราะผมรู้สึกว่าประเทศอื่นเขาก็มีงานอะไรที่มันหลากหลายกว่านี้ ก็ยังรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยๆ ก็มีผกก.อย่างพี่ปี๊ดปัญจพงศ์ คงคาน้อยที่คิดจะทำ เพราะว่าถ้าไม่ทำ แล้วใครจะทำละครับ

          แต่ฟังอย่างนี้แล้วบางคนอาจจะคิดว่าเอ๊ะแล้วหนังเรื่องชัมบาลาจะซีเรียสตามที่ผมพูดไปรึเปล่า แต่จริงๆ แล้วตัวหนังก็จะมีลีลามีความสนุกสนานของมันอยู่ ไม่ได้ดูยาก ไม่ได้อาร์ทจ๋า และผมก็มั่นใจว่าคนดูจะชอบภาพยนตร์เรื่องนี้กันครับ ยังไงก็ไปดูด้วยนะครับ ชัมบาลา 23 ส.ค.นี้ครับ”
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on July 23, 2012, 07:19:35 AM
Movie Guide: ชัมบาลา
 
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=pq-FUTLITAc" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=pq-FUTLITAc</a>         

          ตัวอย่าง “ชัมบาลา” คนแต่ละคนออกเดินทางด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่สำหรับผู้ชาย 2คน ที่ต่างมีมุมมองและเรื่องราวความรักต่างกัน
          อนันดา เอเวอริงแฮม >>> เขา.. ออกเดินทางพร้อมความหลัง
          ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ >>> เขา.. ออกเดินทางด้วยความหวัง
          ว่ากันว่า ที่นั่นคือ “สวรรค์” คือ “ความสงบ”
          การเดินทางไกล ในดินแดนหลังคาโลก
          เพื่อศรัทธาแห่ง “รัก”
          ชัมบาลา
          ออกเดินทางพร้อมกัน 23 สิงหาคมนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on July 26, 2012, 07:28:33 AM
เนรมิตบรรยากาศ “ทิเบต” @ HOUSE RAMA เปิดตัว “ชัมบาลา” สุดเก๋ “อนันดา, ซันนี่, โอซา แวง และฝน-นลินทิพย์” พร้อม “ผกก.” ยิงมุกขำอำกันกระจาย









ประโยคบอกเล่า Ost.ชัมบาลา (Official Audio)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=jBcHLZJNQ_Q" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=jBcHLZJNQ_Q</a>

                      จำลองบรรยากาศของอารมณ์ความรู้สึกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่เต็มไปด้วยความยากลำบากอุปสรรคในการเดินทางกว่า 16 ชม. ท่ามกลางอุณหภูมิ -15 องศาแถมหนาวเหน็บไปจนถึงขั้วกระดูก หรือต้องเผชิญกับสภาพความกดอากาศ ออกซิเจนบางเบาลดลงถึง40เปอร์เซ็นต์ ณ ดินแดนบนหลังคาโลกได้ชนิดที่เห็นภาพและเสียงกันเลยทีเดียวสำหรับงานแถลงข่าวเปิดตัว “ชัมบาลา” ภาพยนตร์โรแมนติค-ดราม่าของไทยเรื่องแรกที่ลงทุนเดิน ทางไปถ่ายทำไกลถึงประเทศทิเบต ณ โรงภาพยนตร์ HOUSE RAMA RCA

          โดยงานนี้นอกจากจะเป็นการเปิดตัวภาพยนตร์อย่างเป็นทางการแล้ว บรรดาพี่น้องสื่อมวลชนยังได้สัมผัสกับรูปภาพที่ทีมงานได้บันทึก ความงดงาม ของ บรรยากาศ ผู้คน ทิวทัศน์ สุดตระการตาของประเทศทิเบต พร้อมภาพเท่ห์ๆ หลุดๆ ของเหล่านักแสดงจากภาพยนตร์นับร้อยๆรูปที่ตบแต่งในบริเวณงาน รวมไปถึงเรื่องราว ความสนุกสนานที่เกิดขึ้นตลอดการถ่ายทำจากปากของ4นักแสดงนำอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม, ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, โอซา แวง และ ฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล พร้อม ผกก. ปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อย งานนี้พูดได้ว่านอกจากจะเป็นการเปิดตัวดรีมทีมนักแสดงผู้กำกับภาพยนตร์ที่ซี้ปึ้กส์แถมพร้อม “อำกันกระจาย และเม้าท์ในระยะเผาขน” เรียกรอยยิ้มและเสียวหัวเราะจากพี่น้องนักข่าวกันตลอดงานแล้ว ทั้งหมดยังมาพร้อมกับการแสดงที่ทุ่มเทฝีมือกันสุดชีวิตในชนิดที่ว่าเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ทางการแสดงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผ่านมาของเขาและเธอไม่ว่าจะเป็น การปะทะบทบาทกันของ “อนันดา-ซันนี่” หรือจะเป็นการจับคู่กันของ “อนันดา-โอซา แวง” และ “ซันนี่-ฝนนลินทิพย์”

          จนมาถึงเซอร์ไพรส์ไฮไลท์สำคัญที่ทีมงานส่งภาพเบื้องหลังหลุดๆของเหล่านักแสดงขึ้นจอเพื่อร่วมแชร์ประสบการณ์ในการร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าขนาดแค่เวลาเพียง 1 ชม. ของงานแถลงข่าวยังสนุกสนานกันขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม “ชัมบาลา” จึงกลายเป็นภาพยนตร์ที่คนรอคอยชมมากที่สุด นอกจากนี้ผกก. ปี๊ดเองยังฝากขอบคุณ เล็ก GREASY CAFÉ’ ที่แต่งเพลง “ประโยคบอกเล่า” ขึ้นมาเพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาให้โดยเฉพาะ

          ก่อนที่ในช่วงท้ายงานได้รับเกียรติจาก คุณกมลภพ วีระพละ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานตรวจสอบและกำกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ผู้สนับสนุนภาพยนตร์ขึ้นมอบของที่ระลึกเพื่อเป็นกำลังใจให้กับ ผกก.ปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อยที่วันนี้ฝันตลอด 10 ปีในการหยิบไอเดียโปรเจ็คต์หนังทิเบตของเขาได้กลายเป็นจริงแล้ว ก่อนที่ทั้งหมดจะถ่ายรูปพร้อมกันโดยมี คุณอัครพล เตชะรัตนประเสริฐ โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ และประธานกรรมการบ.แฮปปี้โฮม เอนเตอร์เทนเมนท์ พร้อมด้วยคุณอวิกา เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด คุณชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย บ. สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดขึ้นถ่ายรูปร่วมกัน
และสำหรับใครที่สนใจที่จะร่วมซึมซับสีสันของทิเบตผ่านรูปภาพสวยๆ จากภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาและความรู้สึกของเหล่านักแสดงที่ร่วมบันทึกข้อความประสบการณ์ลงบนภาพก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉายจริงในวันที่ 23 ส.ค. อย่าลืมแวะไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้ที่โรงภาพยนตร์ HOUSE RAMA RCA แล้วอัพโหลดกันในเฟซบุคส์หรืออินสตาแกรมได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 01, 2012, 07:22:03 AM
เพลงประกอบภาพยนตร์ “ชัมบาลา”

เพลง ประโยคบอกเล่า

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=jBcHLZJNQ_Q" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=jBcHLZJNQ_Q</a>

เพลงเพราะๆ ที่จะทำให้คุณประทับใจ
กับผลงานเพลงโดย GREASY CAFÉ

เสียงร้องโดย เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร GREASY CAFÉ
กับเพลง "ประโยคบอกเล่า" เพลงประกอบภาพยนตร์ ชัมบาลา
คำร้อง ทำนอง ขับร้อง Greasy Cafe'
เรียบเรียง รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์, Greasy Cafe'

คนแต่ละคนออกเดินทางด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
แต่สำหรับผู้ชาย 2คน ที่ต่างมีมุมมองและเรื่องราวความรักต่างกัน
อนันดา เอเวอริงแฮม / ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์
กำลังจะพบกับการเดินทางครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
ที่ทำให้มุมมองความรักของทั้งคู่เปลี่ยนไป
คนหนึ่งออกเดินทางพร้อมความหลัง ส่วนอีกคนหนึ่งออกเดินทางด้วยความหวัง

ออกเดินทางพร้อมกัน 23 สิงหา นี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 01, 2012, 07:36:31 AM
อนันดา ให้ใจ “ชัมบาลา” เต็ม 100 พล็อตโดนคาแรคเตอร์ได้ สวมบทพี่ชายตัวแสบของซันนี่ไว้หนวด ขี้เมา กวนโอ้ย


         
          รับบท ทิน พี่ชายตัวแสบที่นอกจากมีนิสัยห้าว ปากเสีย ขี้เมา และพร้อมเหวี่ยงทุกคนบนโลกใบนี้ตลอดเวลา สิ่งที่ซูเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่างอนันดา เอเวอริงแฮม ต้องถ่ายทอดออกมาในบทบาทล่าสุดนี้ยังเป็นตัวป่วนที่คอยกวนประสาทและหาเรื่องวุฒิน้องชายที่ทั้งสุภาพ จิตใจดี แถมนิสัยต่างกันสุดขั้วซึ่งรับบทโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ไปตลอดทริปการเดินทางเพื่อค้นหาสิ่งที่เรียกว่า “ชัมบาลา” ในดินแดนบนหลังคาโลกอย่างทิเบต ในโปรเจ็คต์ภาพยนตร์โรแมนติค-ดราม่า ที่มีชื่อเดียวกัน และเป็นการกลับมาร่วมงานกับ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล อีกครั้ง โดยตัวอนันดาเองยอมรับว่าถูกใจในตัวบทบาท และคาแรคเตอร์ที่ตนได้รับรวมไปถึงพล็อตเรื่อง ที่พูดถึงพี่น้องสองคนที่แตกต่างกันแต่กลับต้องเดินทางร่วมกันเพื่อตามหาชัมบาลา ท่ามกลางมิตรภาพ ความรัก ความขัดแย้ง ที่ทั้งคู่ต้องเรียนรู้ในกันและกัน จนตัดสินใจแสดง พร้อมกับเข้าไปมีส่วนร่วมสำคัญในการนำเสนอไอเดียต่างๆ ออกแบบพัฒนาตัวละครไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ทรงผม บุคลิก ท่าทางตั้งแต่หนังยังไม่เปิดกล้องเมื่อเกือบ3ปีที่แล้วไปจนถึงนำเสนอรูปแบบและวิธีการแสดงกับผู้กำกับเพื่อให้ตัวละครที่ถ่ายทอดออกมาสมบูรณ์และลงตัวที่สุด

          “ตอนแรกที่เราชอบนะคือพล็อต เส้นเรื่องของพี่น้องสองคนเดินทางไปในทิเบต ต่างคนมีปมต่างกันแล้วต่างคนต่างแสวงหาดินแดนชัมบาลา คอนเซ็ปท์นั่นนะมันดีมาก แต่ในรายละเอียดมันยังไม่สุด คือผู้กำกับยังเขียนแบบยังติดความเป็นพระเอกกันอยู่ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่เหมาะไง มันต้องดูเป็นคนมากกว่านี้ คือมันต้องดูเป็นมนุษย์จริงๆ คือพอมันไม่แสดงออกหรือเราไม่ไปสร้างปมให้มัน ตัวละครมันดูหน่อมแน้ม ก็เลยคุยกับผกก. แกก็แบบชอบเลย ที่นี้พอปั้นตัวละคร ไอ้สองพี่น้องก็เริ่มฉีกออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องดี หลังจากนั้น เราก็จะชอบบทมากขึ้น เราก็จะรู้สึกเออมันมีพื้นที่ขยับ มีพื้นที่ให้แสดง มันมีอะไรที่เราสามารถจินตนาการตัวละครได้ เป็นคนจริงๆนะ เราก็สนุกแล้วไง เราก็เริ่มที่จะสร้างไดอาล็อคขึ้นมาเอง เริ่มมีท่าทาง พรอพ โน่น นั่นนี่(หัวเราะ) เริ่มแบบต้องใส่แว่นไว้ตลอดเวลา ต้องมีหนวดยาวๆ (หัวเราะ) หรือ มันควรจะต้องเมาตลอดเวลา และมันต้องเป็นคนที่กวนโอ้ยมากๆ”

          แน่นอนว่าในเมื่อนักแสดงเองยังสนุกกับเรื่องราวบทบาทและคาแรคเตอร์ที่ตัวเองต้องถ่ายทอดขนาดนี้ ลองดูกันว่าเมื่อ 2 ซูเปอร์สตาร์ชายระดับแถวหน้าต้องรับบทพี่น้องคู่กันจะมันส์ขนาดไหน 23 ส.ค. นี้ไปพิสูจน์กันในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 04, 2012, 08:14:51 AM
“ชัมบาลา” มหัศจรรย์แห่งดินแดนบนหลังคาโลกที่ไม่ใช่ที่ที่ทุกคนจะไปถึง แต่คือดินแดนในฝันของ “อนันดา เอเวอริงแฮม” ที่จะพาทุกคนด่ำดิ่งสู่สรวงสวรรค์



                 “ชัมบาลา” มหัศจรรย์แห่งดินแดนบนหลังคาโลกที่ไม่ใช่ที่ที่ทุกคนจะไปถึง แต่คือดินแดนในฝันของ “อนันดา เอเวอริงแฮม” ที่จะพาทุกคนด่ำดิ่งสู่สรวงสวรรค์ ไปพร้อมกับเรื่องราวของตัวละครที่กระทบความรู้สึก และเป็นบทบาทที่เราอยากให้ทุกคนได้สัมผัสและมั่นใจจะรักผู้ชายคนนี้

          Q. อยากให้เล่าถึงความเป็นมาของโปรเจ็คต์ “ชัมบาลา” และการที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่องนี้
          A. คือจริงๆ บทชัมบาลาก่อนมาถึงมือผมมันก็ผ่านคนมาเยอะเหมือนกัน มันก็ผ่านขั้นตอนต่างๆ มาเยอะมาก มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสักเท่าไหร่กว่ามันจะได้ทำ ซึ่งตัวพี่ปี๊ด-ผกก. (ปัญจพงศ์ คงคาน้อย) คงเล่าให้ฟังได้ดีกว่าว่าเขาไปวิ่งกระโดดโลดเต้นมาอย่างไรบ้างกว่าจะได้ทำ วันหนึ่งผมได้เจอ พี่ปี๊ดผกก. เขาเอาเรื่องมาคุยกับผม ซึ่งพี่ปี๊ดเองเขาเป็นรุ่นพี่ของซันนี่ที่เอแบค คือด้วยทัศนะแรกๆ ที่เจอกันผมก็ดูออกว่าตัวผกก.เองแกก็ออกแนวเด็กแนวหน่อยๆ ดูกวนๆ (หัวเราะ) ก็ยังรู้สึกว่าเอ๊ะเด็กแว๊นซ์ที่ไหนมาทำหนัง (หัวเราะ) แต่พอได้มีโอกาสคุย เราเกิดรู้สึกชอบในทัศนะ คือเรารู้สึกว่าเราคุยกันได้ลื่นไหลมากๆ สำหรับผมมันคือสิ่งสำคัญที่สุดนั่นคือถ้าเราจะทำงานด้วยกัน เราจะต้องมีเคมีที่ลงตัวกับผกก. นั่นคือก่อนที่จะคุยเรื่องเนื้อหาด้วยนะ ก็คุยกันคร่าวๆ เราก็มีโอกาสคุยถึงหนังนิดหน่อย ก็คร่าวๆ ว่าเป็นเรื่องของพี่น้องสองคนไปทิเบตมีปัญหาโน่นนั่นนี่กันคือยอมรับว่าตอนนั้นตัวเราเองก็รู้สึกสนใจในตัวโปรเจ็คต์มากด้วยนั่นเป็นเพราะว่าคือ1.ความที่มันได้เดินทางไปทิเบต 2 .เคมีกับผกก.คนนี้กับเรามันค่อนข้างมีเยอะ แล้วด้วยความที่เขาเป็นผกก.ใหม่ เราก็เลยคิดว่ามันอาจจะเจออะไรใหม่ๆจากมุมมองของเขา ก็ถูกคอกัน หลังจากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ แชร์ไอเดียกันมา พี่ปี๊ดเองก็เป็นคนที่เปิดเหมือนกัน เขาก็ให้ผมมาช่วยดูเรื่องบทกัน แกก็ให้ผมเสริมเข้าไป ก็คือจุดเริ่มต้นตั้งแต่นั้นมาเราก็รื้อทำบทมาด้วยกัน ตอนนั้นยังอยู่ในช่วงที่เราแก้กันเองอยู่สองคน

          Q. เหมือนได้ยินได้ฟังว่าเป็นโปรเจ็คต์ในฝันของตัวผกก.เลยที่อยากทำมาเป็น10ปีแล้ว
          A. น่าจะใช่นะฮะ พี่ปี๊ดก็ไม่ใช่คนที่แบบ ขายจิตวิญญาณตัวเองได้ง่ายๆ คือแกเป็นคนที่เก่ง แล้วผมก็รู้ว่าแกเองก็มีโอกาสทำหนังก่อนหน้านี้เหมือนกัน คือก็คงมีการไปเสนอในที่ต่างๆ แต่ว่าทุกคนก็พยายามที่จะบีบคั้นแกให้ทำในรูปแบบที่คนคุ้นเคย หรือว่าทางเจ้าของเงินต้องการ มาร์เกตติ้งต้องการ แต่แกก็ยืนพื้นว่านี่เป็นหนังเรื่องแรก ก็อยากจะทำเป็นหนังที่เขาภูมิใจเองได้ ก็เลย นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราอยากทำงานกับเขา และเราก็ไฟท์มาด้วยกัน ก็มีหลายคนพยายามเปลี่ยนเนื้อหา แต่เราก็ไฟท์มาโดยตลอด จนในที่สุดก็ได้ทำกับที่สหมงคลฟิล์มมันก็ออกมาเป็นชัมบาลาอย่างที่ทุกคนได้เห็นอยู่ในตอนนี้

          Q. ส่วนตัวแล้วในความคิดของอนันดา อะไรคือความโดดเด่นหรือความน่าสนใจที่สุดของโปรเจ็คต์นี้ที่ทำให้มีความรู้สึกสนใจที่จะเอาตัวเราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็คต์ “ชัมบาลา”
          A. คืออย่างแรกเลยสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกอยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับโปรเจ็คต์นี้ คือพอเขาพูดถึงเรื่องมันเกิดขึ้นในทิเบต สำหรับผม มันคือดินแดนในฝันอยู่แล้ว อยากไปมาก แล้วก็ไม่เคยได้มีโอกาสได้ไปสักที หลายๆ ครั้งก็ได้ไปใกล้ๆ ไปตรงชายแดน ฝั่งอินเดียบ้าง ฝั่งเนปาลบ้างแต่ไม่เคยข้ามไปทิเบตสักกะที เลยพอหนังมัน BASE อยู่ที่ทิเบต ลึกๆ ในใจเราอยากทำมากตอนนั้นแล้วก็ตามภาษาเราที่ต้องเล่นตัวหน่อย (หัวเราะ) ก็ต้อง ไหนเอาบทมาอ่านหน่อยซิ ขอดู เช็คทัศนะทีมงาน แต่หลักๆ คืออยากไปทิเบต อยากไปถ่ายรูปที่ทิเบต เราเห็นรูปที่ทิเบต พวกทิวทัศน์พวกภูเขาสุดลูกหูลูกตา มันอยากไปเห็นกับตา

          Q. จริงๆ ดูเหมือนว่าอนันดาเป็นนักแสดงที่เดินทางตลอดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำไมถึงยังไม่มีโอกาสไปเหยียบดินแดนบนหลังคาโลกสักที ทั้งๆ ที่น่าจะมีโอกาสได้ไปกว่าคนอื่น
          A. ทิเบตเป็นประเทศที่ใหญ่นะ ทุกคนชอบคิดว่าทิเบตคงเหมือนเนปาล ภูฏาน ไม่ ทิเบตใหญ่โตมโหฬารมาก แล้ว LANDSCAPE ที่เราอยากเห็น อย่างเราไปเนปาล อะไรอย่างเนี่ยะ เราได้เห็นภูเขาหิมาลัย โน่น นี่ นั่น แต่ว่า มันก็ไม่เหมือนกับพวก LANDSCAPE ของทิเบตที่เป็นภูเขาดิน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีหิมะ ไม่มีอะไรทั้งสิ้นแบบสุดลูกหูลูกตาเลย คือมันตะลึงเลย ซึ่งภาพนั้นผมเคยเห็นแต่ในโปสการ์ด ก็เลยอยากไปถ่ายรูป แต่นอกเหนือจากไอ้เรื่องของทิเบต มันก็มี พอเราได้คุยกับพี่ปี๊ดเรื่องตัวละคร แล้วแกมีความยืดหยุ่นในคาแรคเตอร์ของเรา เราแฮปปี้มาก มันทำให้ตัวละครมันมีมิติชีวิตแน่นอน เราอยากให้มันมีน้ำหนักจริงไง แล้วทุกคนก็จะเป็นห่วงว่าแบบไอ้ปมของมันจะเยอะเกินไปมั้ย มันจะดูเป็นเด็กมีปัญหาไปมั้ย มันจะซีเรียสไปมั้ย พอคุยไปคุยมาแล้วบอกว่าไอ้คนอย่างนี้มันกลบเกลื่อนด้วยความบ้าบิ่น ความกวนตีน ความเฮฮา เราก็เลยคุยกับพี่ปี๊ดว่า ถ้าเราทำให้ตัวละครมันมีสีสันกว่านี้หน่อย ไม่ต้องเป็นตัวละครขี้เก๊กเก็บอารมณ์ โฉ่งฉ่าง เสียงดังน่าหมั่นไส้เนี่ยะ เฮ้ยมันจะน่าเล่นมาก เราก็คุย แกก็แบบมีความยืดหยุ่นสูง เราก็ช่วยกันทำแหละ ก็คือปั้นตัวละครให้มันเป็น สมมติตัวละครของซันนี่ ไอ้วุฒิเนี่ยะมันเป็นผ้าขาว เป็นสีขาว ของเราก็คือดำเหมือกไปเลย

          Q. ตัวบทเปิดโอกาสให้อนันดาถ่ายทอดให้ชีวิตกับตัวละครตัวนี่อย่างไรบ้าง ผกก. บอกว่าเป็นการพลิกบทบาทของ 2 นักแสดงนำเลย
          A. ผมกับพี่ปี๊ดแก้กันอยู่หลายรอบเหมือนกัน ตอนแรกที่เราชอบนะคือพล็อต เส้นเรื่องของพี่น้องสองคนเดินทางไปในทิเบต ต่างคนมีปมต่างกันแล้วต่างคนต่างแสวงหาดินแดนชัมบาลา คอนเซ็ปท์นั่นนะมันดีมาก ยิ่งมีปม แกยิ่งชอบ ที่นี้พอปั้นตัวละคร ไอ้สองพี่น้องก็เริ่มฉีกออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องดี ตอนแรกๆ มันยังมีความเป็นพระเอกขี่กัน ซึ่งเราแบบมันควรจะแบบอย่าเลย ไอ้นี่จะเป็นเนิร์ดก็ต้องให้มันเนิร์ดไป ไอ้นี่เป็นแบดบอยก็ต้องให้มันเป็นแบดบอยที่มันทุเรศไปเลยมั้ย ก็เลยมา DEVELOPE พัฒนาตัวละครกันหลังจากนั้น เราก็จะชอบบทมากขึ้น เราก็จะรู้สึกเออมันมีอะไรที่คือเราสามารถจินตนาการตัวละครได้ เป็นคนจริงๆ นะ พอเขาปล่อย freedom ให้เราทำตัวละครให้มันสุดกว่านี้เนี่ยะ เราก็สนุกแล้วไง เราก็แบบ เรารู้สึกว่าเรามีพื้นที่ขยับเยอะมาก เราก็เริ่มที่จะสร้างไดอาล็อคขึ้นมาเอง เริ่มมีท่าทาง พรอพ โน่น นั่นนี่ (หัวเราะ) เราก็เริ่มแบบต้องใส่แว่นไว้ตลอดเวลา ต้องมีหนวดยาวๆ (หัวเราะ) คือมันสนุกกับตัวละครไง มันควรจะต้องเมาตลอดเวลา คือมันต้องเป็นคนที่กวนโอ้ยมากๆ
          คือจริงๆ ตอนเราสร้างตัวละคร บางทีเราจะไปยึดติดกับ1อารมณ์อะไรอย่างเนี่ยะ เราจะไปติดกับ1คำพูดที่มันบ่งบอกถึงอารมณ์ของตัวละครตัวนั้น คนเรามันมีอะไรหลากหลายอารมณ์ แล้วมันก็เปลี่ยนไปทุกวี่ทุกวันนะครับ คราวนี้คือ เราบอกว่าตัวละครมันโฉ่งฉ่างกวนก็ได้ แต่ว่ามันก็ต้องมีเหตุและผล มันก็ต้องมีที่มาที่ไป แล้วคราวนี้คือเราว่าคนทุกคนมันก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันหมด ของอย่างซันนี่มีปัญหา ของตัวละครวุฒิซันนี่มีปัญหาแล้วมันก็รู้สึกว่ามันใช้ตรรกะไปแก้ แล้วฉันจะแก้ปัญหา ถึงแม้ว่าของเขาก็อาจจะหลอกตัวเองอยู่ส่วนหนึ่ง แต่เขาก็ใช้เหตุผลที่ดูเหมือนจะถูกต้อง ไอ้ของเราเนี่ยะก็คือเราก็คุยกับพี่ปี๊ดว่าเราต้องฉีกไอ้สองตัวละครตัวนี้ออกห่างกัน ของตัวละครเราแก้ปัญหาด้วยประชด ด้วยวิธีฉาบฉวย มันไม่ใช่เรื่องผิดถูกหรอก จะครื้นเครง ซึ่งไอ้ตรงนั้นเราก็คุยกับพี่ปี๊ดว่าถ้าไปสุดเนี่ยะ มันจะเวิร์คกว่า แล้วพอเรื่อง develope ไป เราก็จะค่อยสังเหตุเห็นว่า มันสร้างเปลือกอันนี้เพื่อปกป้องอะไรอย่างอื่น ซึ่งไอ้ตัวน้องชายที่สนิทกับมันก็จะมีความรู้สึกสงสัยของมันตลอดว่าพี่กูทำตัวแบบนี้ทำไม ตัวละครเรามันช่างประชดประชันใช่มั้ย มันยิ่งผลัก เราก็ยิ่งแหย่มัน เรายิ่งเห็นมันพยายามจะนิ่ง พยายามจะมีสมาธิ พยายามจะใช้เหตุผล ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่ากูไม่ยอม อย่ามาทำตัวเก๊กมาก ซึ่งมันก็เลยเกิดความขัดแย้ง คือทั้งเรื่องมันก็จะมีไดนามิค (แรงเหวี่ยงกระทบกระทั่งกันระหว่างตัวละครทั้งคู่) อย่างนี้ไป มันก็ต้องเกิดเรื่องระหว่างสองพี่น้อง คือหนังมันก็จะ develope พัฒนามา มันก็หลากหลายครับ ดูเหมือนว่าจะเป็นหนังสนุก เหมือนหนังตลกทั่วไป พอไปสักพักหนึ่งมันก็จะเริ่มขุดคุ้ยเข้าไปในตัวละครลึกขึ้นเรื่อยๆ แล้วยิ่งตัวละครที่ถูกบังคับให้อยู่ด้วยกัน คือมันไม่ได้เลือกที่จะอยู่ด้วยกันนะ แรกๆมันก็สนุกด้วยแบบ 2 คนที่ด่ากันไปมา ทำอะไรแบบไม่ถูกใจกันพอไปเรื่อยๆ มันก็จะได้เห็นแบบว่าอ๋อมันมีที่มาที่ไป มันมีเหตุผลที่ไอ้น้องชายไม่อยากเห็น หรือเหม็นขี้หน้าพี่มัน ทำไมพี่มันมันพยายามจะเรียกร้องจากน้องชายเหรอ ทำไมพี่มันต้องถึงต้องติดมาทิเบตด้วย พอไปเรื่อยๆ คาแรคเตอร์มันก็จะเปลี่ยน คือมัน DEVELOPE ไปมันก็จะเห็นที่มาที่ไปของอารมณ์ต่างๆ ของเขา
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 04, 2012, 08:15:09 AM
          Q. ถ้างั้นคงต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่าคาแรคเตอร์ของอนันดา เอเวอริงแฮม ในชัมบาลาเป็นอย่างไร
          A. คาแรคเตอร์ของทินก็ คือๆ มันดูเป็นคนที่ดูเป็นคนขวางโลก ดูเป็นคนมีปัญหากับทุกอย่าง เป็นคนที่ปล่อยอะไรให้ผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้ คืออยู่ดีๆ ก็ต้องมีคำถามว่าทำไมมันต้องอย่างนี้ แต่คือในอดีตอันนี้คือสิ่งที่เราต้องไปดูในหนัง พอหนังมันย้อนกลับไปให้เห็นภาพของทินก่อนหน้าที่จะเป็นอย่างสภาพในปัจจุบัน ซึ่งเราก็จะเริ่มเข้าใจว่า อ๋อจริงๆ แล้ว.....มันก็มีเหตุผลที่มันเป็นอย่างนั้น มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมัน แล้วก็แทนที่มันจะแก้ปัญหาอย่างคนรับผิดชอบ มันก็แก้ปัญหาแบบนี้แหละ สร้างปัญหาให้ตัวเองเยอะๆ เมาให้ตลอดเวลา เราตีความว่า จริงๆ มันเป็นคนเก่ง มันเป็นคนทำมาหากินมั้ย โอเคเลยไม่มีปัญหาเพียงแต่มันอาจเป็นคนที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวของมันเยอะหน่อย จนกระทั่งวันหนึ่งที่มันผิดหวังจากความรัก ก็เลยเกิดความรู้สึกว่าหาทางออกไม่เจอ ก็เลยหนี พอหนีมันก็เหมือนขุดหลุมให้ตัวเอง มันก็ยิ่งลึกลงลึกลง มันก็ยิ่งประชดเข้าไปใหญ่ ก็ถึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งแหละที่มันมาที่ทิเบต ลึกๆ ผมว่าตัวละครมันก็พยายามที่จะแสวงหาทางออกให้ตัวเองด้วย เพียงแต่ว่ามันมีศักดิ์ศรี มันกลัวเสียหน้าต่อน้อง มันก็ไม่อยากยอมรับหรอก ว่าจริงๆ แล้วก็เซ็นซิทีฟนี และการที่มันเดินทางมาทิเบตเนี่ยะ ก็อยากหาทางออกให้ชีวิตมันด้วย เราแค่มองว่ามันอาจจะเป็นคนที่มีความเป็นกบฎหน่อยๆ รักอิสระ อยู่ของมันเอง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นเป็นคนทรามหรือแบบคนที่จะไปก้าวร้าวชีวิตของคนอื่น มันก็อยู่ของมันไป มันก็เป็นคนปกติคนหนึ่งแล้วก็มีความรัก แล้วก็มีความหวัง

          Q. เป็นตัวละครพี่น้อง 2 คนที่ต้องร่วมเดินทางไปด้วยกันโดยมีแง่มุมเกี่ยวกับความรักมาเกี่ยวข้อง พูดได้ว่าเป็นความเหมือนที่แตกต่าง
          A. คือตัวละครของ วุฒิ กับ ทิน ก็จะต่างกันโดยสิ้นเชิงนะไม่ต้องนับหน้าตานะ หน้าตาก็ไม่เหมือนคนละสไตล์กันเลย คนละลุคส์ อย่างตัวละครของวุฒิที่เขาไปทิเบตเนี้ยะคือเขาไปเพราะเขาศรัทธาในความรัก คู่รักของเขาได้ขออะไรบางอย่างจากตัวเขา ตัววุฒิเขาซึ่งก็เป็นคนที่แบบศรัทธาและทำทุกอย่างเพราะเชื่อในความรัก ส่วนตัวละครผมเนี้ยะก็จะเรียกว่าฝั่งตรงข้ามเลยก็ได้ อยากจะประชดความรักมั้ง อยากจะประชดชีวิตตัวเองไม่เชื่อในความรักอีกต่อไปแล้ว มันใช้เหตุผลว่าแบบ เฮ้ย กูแค่อยากเปลี่ยนที่กินเหล้าเว้ย ซึ่งมันจริงมากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูในหนังว่าจริงๆ ตัวละครเนี้ยะคือภาวะมันคล้ายกัน แต่แก้ปัญกันคนละทิศทางเลย

          Q. อยากให้พูดถึงมุมมองความรักของตัวละครตัวนี้
          A. คือตัวละครของทินก็จะมีอีกมุมหนึ่งที่เป็นส่วนของความรักของเขา เราเห็นแรกๆ เราจะรู้สึกว่ามันเรื่อยเปื่อยมันคงหลีหญิงไปเรื่อยตามสไตล์คนเลวๆ อย่างที่มันเป็น แต่จริงๆ ไอ้ทินเองก็จะมีอีกด้านหนึ่งของเขาที่เขาอาจจะไม่ค่อยพูดหรือบอกให้ใครเห็น ก็เป็นมุมมองความรักของเขากับความสัมพันธ์ที่มีต่อแฟนที่ชื่อ เจน (โอซา แวง) ก็ทำให้เล่นง่ายขึ้น ซึ่งตอนที่ทินอยู่กับเจน เราก็จะสังเกตุเห็นว่าเขาเป็นอีกคนหนึ่ง เจนก็ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาก็เป็นฝรั่งคนหนึ่งที่หลงรักกับผู้ชายไทยคนหนึ่ง และก็ยอมทิ้งทุกอย่าง ชีวิตเขาที่เมืองนอกเพื่อที่จะมาอยู่กับผู้ชายคนนี้ ความรักครั้งนี้ระหว่างเจนกับทินก็จะเป็นความรักที่ค่อนข้างใหญ่โตและค่อนข้างจริงจังมาก บางทีก็รู้สึกว่าคนอย่างทินมันคงไม่ได้ว่ามันจะแบบจะมีความรักอย่างนี้บ่อยนัก อาจจะรู้สึกว่านี้คือครั้งเดียวที่มันจะมีอะไรอย่างนี้ในชีวิต และมีคนที่จะยอมรับตัวตนได้ขนาดนี้ แต่พอมีเหตุบางอย่างก็มีผลต่อจิตใจของทินค่อนข้างหนักพอสมควร หนักเลยล่ะ คือเรารู้สึกว่าตัวละครทินมันเป็นแบบว่าคงไม่มีใครมาอยู่กับมันทั้งชีวิต และบังเอิญมาเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่แบบ เฮ้ย ยอมทำทุกอย่างเพื่อเรา ทำให้รู้สึกว่าเราต้องแบ่งชีวิตเราให้เขาได้บ้าง ไม่ใช่ว่าแบบเก็บไว้สำหรับตัวเราคนเดียว ยอมที่จะเริ่มต้นอะไรและก็แบ่งชีวิตกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่พอผิดหวังสูญเสีย มันก็จะกลายเป็นความสูญเสียที่หนักเป็นพิเศษ

          Q. ที่ผ่านมามักเจอกับบทบาทดราม่าจัดหนัก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นอนันดาในบทที่มีความเป็นคอมิดี้อยู่สูง ในขณะที่ซันนี่หันไปในทางดราม่าเต็มๆๆ
          A. เราก็ได้คุยกับผู้กำกับพี่ปี๊ดกันก่อนหน้าตลอดเวลาว่า รู้ว่าอยากให้เล่นดราม่า เราเล่นให้ได้ แต่คนเขาก็คงเบื่อแล้วมั้ง พี่ปี๊ดก็ใช่ๆ เราอยากสร้างประเด็นใหม่ ก็เลยอนันดามารับบทออกมาทางคอมมิดี้หน่อย ซันนี่ซึ่งมาจากทางคอมมิดี้มารับบททางดราม่า คือของจริงๆ ตัวละครผม คือมันนำมาด้วยตลกก่อน ของซันนี่ก็จะเป็นเรื่องจริงจังล่ะ ซึ่งมันก็จะเป็นภาพที่เราไม่คุ้นเคยกันและเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาก มันคือบุคลิกตลก คือมันเป็นคนแบบขวางโลก มันไม่ใช่ตลกโป๊งชึ่ง มันคือตลกรำคาญ คือเราจะหัวเราะไอ้นี้คือดูมันสิมันเอาอีกแล้ว สร้างปัญหาอยู่นั่นแหละ คือแบบทำอะไรง่ายๆ ไม่เป็นเหรอ แค่นั้นเอง พอมันอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นนะมันก็จะดูเป็นตัวละครที่ตลกหน่อย ก็เป็นสิ่งใหม่สำหรับผมเหมือนกัน แต่ก็มีหลายๆ ครั้งที่เล่นอยู่แล้วแบบมันก็ไม่เชิงว่าแบบเป็นมุกหรอกนะ ก็จะคิดอะไรสดๆ ตรงนั้น บางทีเขาก็ปล่อยแบบแกอยากพูดอะไรก็พูดไป เราก็เอาพูดไรก็พูดไป เราอยากให้มันตลกแบบเหมือนกึ่งๆ ข้ามเส้นนิดหน่อยสามารถทำให้คนอึดอัดนิดนึง เล่นทุกอย่างที่แบบคนเขาไม่ควรพูดกัน อยากเล่นหมดเลย มันก็อะไรที่แบบพอเราคุยกับพี่ปี๊ดแล้วเราก็บอกว่าให้เราต่างจากตัวละครซันนี่เยอะๆ นี่มันมีพื้นที่ที่ให้ทำอะไรบ้าๆ บอเยอะๆ และเราก็ไม่ชินกับตัวละครที่เล่นอะไรที่แบบเล่นสีหน้า ปกติเราถูกจับนิ่งสุขุมเครียด คราวนี้ก็แบบวิ่งไปวิ่งมาสนุกดี ตัวละครมันจะแบบหลวมๆ หน่อย ซึ่งไอ้ซันนี่ก็จะตรงข้ามเลยนิ่งล้วงกระเป๋าหน้าปวดขี้ สนุกดีครับไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน

          Q. ถึงขนาดว่ามีการเตรียมมุกทำการบ้านมาเสนอผกก.เลย
          A. มันก็มีมุกส่วนตัวเยอะเหมือนกัน เพราะพี่ปี๊ดเขาเปิด เราก็แบบคืออย่างมันมีคนข้างบ้านผม ทุกคนเรียกพี่เป้าจนผมลืมชื่อจริงไปแล้วว่าชื่ออะไร แกเปิดร้านขายของชำอยู่ข้างบ้านผมอยู่ที่เชียงใหม่ เรารู้สึกว่าเขาน่ารักดี และที่จำได้คือแบบพี่เป้าคนนี้จะร้องเพลงเดิมตลอด ไอ้ไก่จ๋าแต่จะจำเนื้อไม่ได้ เขาก็จะแบบขึ้นให้หน่อยสิ แกก็เมา ขึ้นให้หน่อยสิ ทุกคนก็แชแดดๆ (ฮัมทำน้องเพลงไก่จ๋าของสายัณห์ สัญญา) นี้ก็แบบกูร้องได้ยังเนี้ยะ ทุกคนก็ต้องขึ้นให้ ไก่ ไก่จ๋า รู้ไหมว่า (ร้องเพลง) แกตลก และบางทีแกเมาแต่แกก็เล่นด้วย แกรู้ว่าทุกคนอยากให้แกเป็นพี่เป้า แกก็เล่นด้วย คือหนึ่งเราเอาเทปมาแปะหน้าเขาให้คิ้วหนาๆ เหมือนพี่เป้ามีจอน และมันฮา แกก็ขึ้นเก้าอี้ร้องเพลงนั้นๆ ผมก็หัวเราะ หันมาอีกทีแกหายไปล่ะ นอนกองอยู่กับพื้น ก็เลยไปเล่าให้พี่ปี๊ดฟังว่า เออ เราเอาอะไรแบบนี้มาเล่นกันมั่งไหม ให้มันไม่ใช่คนเมาปกติ มันแบบมีอะไรเล่นหน่อย ซึ่งระหว่างเรามีอะไรที่แบบเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเติมๆ เข้าไปเยอะเหมือนกัน

          Q. นอกจากในส่วนของคอมมิดี้แล้ว แฟนๆ จะได้เห็น 2 หนุ่มอนันดาซันนี่ปะทะบทบาทกันในซีนดราม่ากระชากอารมณ์
          A. ส่วนดราม่ามันก็สุดเหวี่ยงเหมือนกัน เพราะว่ามันไม่ใช่ผมนะ มันเป็นซันนี่นะ คือเราก็ไปตามเขานะ คือผมมีความรู้สึกว่าเขาไม่เคยเล่นอะไรที่เป็นดราม่าจริงๆ ก็เลยแบบคิดในใจว่า เฮ้ย โอกาสนี้สุดๆ ไปเลย จังหวะไหล พอซันนี่เริ่มฟรีสไตล์ เราก็เริ่มฟรีสไตล์ ถนัดอยู่ แล้วแหมมีการเล่นเพิ่มไดอาล็อค เพิ่มท่าทางมีผลักกันจะต่อยกัน คือได้ข่าวในบทมันไม่ได้เขียนกันอย่างนี้นะ ซันนี่มีต่อยตัวเองด้วย หันมาแบบ โฮ๊ะ เอางี้เลย ซึ่งแบบเราว่ามันดีมันเป็นอีกมุมหนึ่งของซันนี่ที่แบบบคนยังไม่คุ้นเคยเลย และก็เราชอบที่แกกล้าหาญ คือแกไม่ได้กั๊ก พอจะปล่อยก็ปล่อยตัวเองเลย ซึ่งเราว่าจะเป็นอีกมุมที่แบบคนเห็นซันนี่แล้วแบบตกใจเหมือนกัน

          Q. อย่างนี้ทั้งสองคนต้องมีการเตรียมตัวในเรื่องการแสดงกันเป็นพิเศษมั้ย
          A. คือมันก็มีอีกส่วนที่มี มันอาจจะแบบดูมีความสัมพันธ์พิเศษตอนที่ได้ดูหนัง คือเราเองลองจินตนาการดูว่าคนที่มันเดินทางมาด้วยกัน ร่วมเดินทางเหนื่อยมาด้วยกันเป็นเดือน ไปถ่ายทำที่ทิเบตด้วยกัน ยังไงมันก็สนิทกัน มันต้องคุยกันทุกวัน มันก็เลยพอถึงจุดหนึ่งก็แบบรู้สึกว่าไอ้ความสัมพันธ์นั้นระหว่างทีมงานนักแสดงเอง มันไม่ต้องเมคกันขึ้นมา เพราะมันมีขึ้นมาเองจริงๆ เพราะมันก็เหนื่อยจริงด้วย เพราะมันก็หนาวจริงด้วย และมันก็แบบมันเป็นเหมือนกันหมด อยากกลับบ้านแล้ว พอมันจุดประกายง่ายหน่อย และทุกคนมันอยู่ร่วมกันประสบการณ์มันคือประสบการณ์เดียวกัน ทุกคนก็แชร์ประสบการณ์อันนั้น คือมันสวยจริงแต่มันก็เหนื่อยมาก พอตัวละครมันจะพีคมันพร้อมมากล่ะ สะกิดนิดเดียวมันก็ปล่อยออกมาหมดล่ะ เราว่ามันอีกส่วนหนึ่งที่แตกต่างเราไม่คุ้นกับบทพี่ชายมั้ง แก่แล้วเดี๋ยวนี้ ได้ข่าวไอ้ซันนี่อายุมากกว่านะ (หัวเราะ)

          Q. ถ้างั้นต้องถามละว่า “ชัมบาลา” คืออะไร
          A. ชัมบาลาเหรอครับอย่างแรกอธิบายก่อนดีกว่าว่า ชัมบาลา คืออะไร ชัมบาลาถ้าเป็นภาษาอังกฤษเรียกว่า NIRVANA ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นเหมือนแดนสวรรค์ของชาวทิเบต คราวนี้คือคนเราก็ชอบไปคิดว่าชัมบาลามันคือสถานที่ ซึ่งมันก็เป็นด้วยนะ มันก็มี เหมือนอย่างคนมุสลิมอาจจะไปเมกกะ แต่คือเมกกะจริงๆ มันก็คงอยู่ในใจคน ชัมบาลาก็เช่นเดียวกันก็คือมันก็อยู่ในใจคน แต่บางทีการที่สร้างมันเป็นสถานที่ขึ้นมามันทำให้คนเข้าหามันได้ง่ายขึ้น

          Q. เรื่องราวของชัมบาลา
          A. ชัมบาลาคือเรื่องราวของพี่น้องสองคนที่แสวงหาคำตอบของชีวิต เป็นพี่น้องสองคนที่อยู่ในช่วงเวลาของมีภาวะเยอะ คือผมเป็นพี่ชายผมชื่อทิน ซันนี่เป็นน้องชายชื่อวุฒิ ของผมมีปัญหากับชีวิตรักและก็ได้หายไปจากครอบครัว ไอ้วุฒิน้องชายผมก็มีปัญหาชีวิตรักเหมือนกัน ในส่วนของผม ก็เป็นตัวละครที่แรกๆ เราจะไม่รู้จักมันเลย ส่วนไอ้วุฒิมันคือมันก็อยากจะช่วยให้แฟนมันให้มากที่สุดในช่วงที่วิกฤติที่สุด ไอ้แฟนก็อยากให้วุฒิไปถ่ายรูปชัมบาลากลับมาให้หน่อย เพราะว่าน้ำแฟนของวุฒิเคยไปทิเบตมาครั้งหนึ่ง แต่ไปไม่ถึงชัมบาลาป่วยซะก่อน พอคราวนี้เธอไปเองไม่ได้ก็เลยฝากวุฒิไปด้วย ไอ้วุฒิซึ่งเป็นคนที่แบบมันก็ไม่ได้เป็นคนที่แอดแวนเจอร์เท่าไร มันเด็กเนิร์ดหน่อยมันก็พยายามหาเพื่อนไป และบังเอิญในช่วงเวลาที่มันหาเพื่อน และไม่มีใครจะไปกับมันเลย เพราะว่ามันต้องไปเดี๋ยวนั้น อยู่ดีๆ พี่ชายมันก็ปรากฏตัวขึ้นมาหลังจากที่หายไปจากชีวิตมันเป็นปีๆ ไอ้ทินเองก็ตัดสินใจเองเลยว่าแบบกูจะไปกับมึง ซึ่งไอ้วุฒิไม่อยากให้ไอ้ทินไปเลย วุฒิก็เลยพยายามหาหน้าที่ให้ไอ้ทิน ถ่ายรูปให้เราหน่อยได้ไหม มันก็เลยเป็นแค่สองพี่น้องเดินทางอยู่ในทิเบต ซึ่งจุดประสงค์ต่างกันมาก มันก็เลยเกิด conflict (เป็นความขัดแย้ง) ของพี่น้องสองคนนี้ที่กำลังเดินทางไปสู่ชัมบาลา พอเส้นทางนั้นมันเริ่มลำบากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ปมของแต่ละคนมันก็เริ่มออกมาเรื่อยๆ เราก็จะได้เห็นว่าข้อแตกต่างและปมขัดแย้งที่อยู่ระหว่างพี่น้องสองคนนี้ และพอไปเจอชัมบาลาจริงมันมีผลต่อแต่ละคนยังไงบ้าง และก็มีผลต่อความรักของแต่ละคนยังไงบ้าง

          Q. ส่วนตัวแล้วเชื่อใน “พลังศรัทธาของความรัก” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร แล้วเคยทำอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นพลังศรัทธาของความรักหรือมีความรักเป็นแรงบันดาลใจหรือไม่ อย่างไร
          A. คนอย่างผมเขาก็ชอบคิดว่าแบบ ไม่มีทางที่จะเชื่อพวกพลังแห่งความรัก พลังศรัทธาของความรัก คือจริงๆ เนี้ยะทัศนะของผมทุกอย่างที่มีความหมายมันเกิดมาด้วยเหตุผลของมันทุกอย่างเลย คือทุกอย่างที่สุดท้ายแล้ว เฮือกลมหายใจสุดท้ายของเรา คือสิ่งที่มีความหมายต่อเราก็คือสิ่งที่เรามีความรัก ก็คิดเอาว่ามีทุกอย่าง คือถ้าเราหมดศรัทธาตรงนี้ ผมว่าแบบก็กลั้นหายใจตายดีกว่า จะอยู่ไปทำไม นั้นคือทุกอย่างสำหรับผมนะ ผมรู้สึกว่าไม่มีไม่ได้ คือเราต้องศรัทธากับความรัก
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 04, 2012, 08:19:35 AM
          Q. ทราบมาว่ากับการเดินทางไปถ่ายทำในทิเบตเองต้องเผชิญกับ สารพัดอุปสรรค ความยากลำบาก ในการถ่ายทำเยอะพอสมควรเลยทีเดียวชนิดที่ว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลย
          A. ทำงานที่ทิเบตก็มันก็ดาบสองคมนะ เพราะว่ามันคือทิเบต เราพูดได้ว่าคือแบบเราไปถ่ายทำหนังเรื่องชัมบาลาในสถานที่จริง แต่ในเวลาเดียวกันเราอย่าลืมว่าในทิเบตมันไม่ใช่ปัญหาที่ปราศจากปัญหานะ แค่เฉพาะปัญหาการเมืองมันคือแบบแค่นี้ก็โอ้โห เราคิดว่าบ้านเราวุ่นวายนะ โอ้โหที่โน้นหนักกว่าเยอะเลย และช่วงที่เราไปมันเป็นช่วงที่เซนซีทีฟด้วย และมันก็เป็นช่วงที่แบบมันเพิ่งมีประท้วงกันมา เพิ่งมีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่โตคนตายเป็นแสน เลยมันแบบทุกอย่างมันเซนซีทีฟไปหมด เพิ่งมีเรื่องราวกับนักข่าวฝรั่งที่มาซัพพอร์ตผู้ประท้วง มันเยอะตอนนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าพอเราเข้าไปในช่วงเวลาที่ไม่ควรไปมากที่สุดแล้ว ไม่ควรไปมากที่สุดในการถ่ายหนัง เพราะทุกอย่างต้องขออนุญาต มีใบต้องมาจากสามกระทรวง พอไปถึงก็ต้องมีพื้นที่ อะไรไม่รู้ คือแบบทุกอย่างมีปัญหา ไม่เคยถ่ายอะไรที่มีปัญหาเยอะขนาดนี้ คือทุกเส้นทางแทนที่จะลื่นไหลถ่ายได้ปกติ แต่นี้ตื่นมาประชุมทุกวัน มีประชุมทุกวัน แก้เบรคดาวน์ แก้ซีน แก้ตารางการถ่ายทำทุกวัน ตื่นมาแต่ละวันผมไม่รู้นะว่าแบบจะถ่ายอะไรคือแบบ พอถามผู้ช่วยผู้กำกับแบบพี่วันนี้ถ่ายฉากอะไร เดี๋ยวๆๆยังไม่รู้ มีปัญหาเยอะมาก ไอ้อันที่ได้ดันต้องเดินทางไปอีก5ชม. ไอ้อันนี้อยู่ครึ่งชั่วโมงเขาไม่ให้ แบบมันวุ่นวายมาก ไอ้นี้ไม่นับเดินทางนะ เดินทางนี้มันก็อ้วกแตกล่ะนะ คือแบบนั่งรถกันเป็นวันๆ อย่างผม ผมก็แบบตื่นเต้นสนุกเลยไม่ค่อยรู้สึก โอเคหลังๆ เราก็จะสังเกตุทีมงานว่าแบบเออมันไม่ค่อยไหวกันนี่หว่า และคนไทยนะเจอความหนาวไปอีก คือแบบเรามีความสุข อากาศหนาว แบบอ็อกซิเจนน้อย ผมก็ดี๊ด๊าของผมไป เพราะว่าวิวทิวทัศน์สวยก็ถ่ายรูปไป มีปัญหาเรื่องกิน โอ้โหลำบาก ต้องแบบเอาแม็กกี้ไปประมาณสี่ขวดใหญ่อย่างนี้ หมดเกลี้ยง คือทุกอย่างใส่แม็กกี้ ซัดแม็กกี้เข้าไปก่อน และก็กินแต่มาม่ากัน มาม่าแอนด์แม็กกี้ อย่างผมชินอาหารแขก ชินเดินทางหนีก็ชอบไอ้แบ็คแพ็ค แต่เรายอมรับว่าลำบากจริงเลย คือแบบยอมรับเลยว่ามีอุปสรรคทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ถ่ายได้ปกติเลย แต่ก็คุ้ม บางทีก็ต้องแอบถ่ายบ้าง คือแบบเหนื่อยจริงๆท้อเหมือนกัน ถึงขั้นแบบเคยมีประชุมกันหลายครั้งด้วยเคยแบบยกไหม แล้วก็ไปหลอกถ่ายเอาที่ประเทศอื่นอย่างนี้จำได้พูดกันหลายทีมาก
          ซึ่งยอมรับว่ามันก็แบบมันก็สร้างความกดดันให้กับทีมงานเยอะเหมือนกัน พอเข้าไปชัมบาลาวันที่ถ่ายชัมบาลาก็โอ้โห ฉากชัมบาลาก็ต้องขับรถเข้าไปถึงอุทยานมันมีทะเลสาปขับรถเข้าแบบไปต่อไม่ได้ก็ต้องขี่ม้าเข้าไป และก็ต้องเข้าป่ากับชนเผ่าเร่ร่อนที่มันตั้งเต็นท์และก็อยู่ไปเรื่อย เราก็แบบสนุกสวยขี่ม้ากันเข้าไปตอนเย็น เฮ้ยเดี๋ยวเราค้างคืนและตื่นมาถ่ายตอนเช้าพวกฉากไคลแม็กซ์และฉากชัมบาลา ก็เข้าไปแล้วก็แบบตอนแรกจะเอา ฝน (นลินทิพย์ รับบทน้ำตัวละครแฟนของซันนี่) เข้าไปด้วย แต่ เฮ้ย อย่าเลยเอาแต่ผู้ชายอย่างเดียว ก็ไปกันผู้ชายประมาณสิบคน ก็ได้ข่าวว่าเขาตั้งเต็นท์ให้ คือตอนที่เขาเดินทางเขาก่อให้เป็นที่ทำอาหารเล็กๆ เป็นจุดๆ เต็นท์มันยังไม่มี มันเป็นเหมือนแค่กล่องเล็กๆ และก็มีเหล็กทับอยู่มีทางออกของควันแค่นี้ มันก็เป็นจุดๆ ที่ตามทางของเขา พอหนาวมากเขาก็ลงมา มากางเต้นท์ที่รอบผิงไฟที่ทำอาหารตัวเนี้ยะ เขาก็เซ็ทอัพให้ เราก็ไม่คิดไรมาก แต่งตัวกันเต็มเหนี่ยวเลย เพราะเดี๋ยวคืนนี้ต้องหนาว เอาผ้าห่มไป เอาเสื้อหนาวไป ใส่ชุดกันเต็มเหนี่ยว มีเต็นท์เดียวนอนอยู่ด้วยกันตัวติดอย่างนี้เลยประมาณสิบกว่าคนอะไรอย่างนี้ คือไม่มีพื้นที่ขยับ คือถ้ากลิ้งก็ทับเขาแล้วและก็เรียงกันเป็นตับอยู่อย่างนี้ในเต็นท์ แต่ก่อนที่จะไปนอนมันสวยไง โอ้และแดดออกมันอะเมซิ่งมาก แต่พอมืดก็เข้าไป พอมืดเนี้ยะเขาก็เตือนว่าไอ้พวกหมาที่เขาเลี้ยงกัน หมาชนเผ่าที่มันล้อมแกะ ก็ดุ คือเกิดมายังไม่เคยเจอหมาที่มันดุขนาดนี้มาก่อนในชีวิต และพอมืดมาเนี้ยะทุกคนก็เข้าไปในเต็นท์จองมุมกัน เฮ้ยทุกคนสนุกสนาน เปิดเอาไฟมาจุดแทนที่จะทำอาหารกินกันนะ สไตล์คนไทยนะช็อตนี้ก็อายคนไทยเหมือนกันนะ ถอดรองเท้าเอาถุงเท้ามาวางกัน โอ้ในเต็นท์ก็เหม็น อื้อหือจะบ้าเปล่า ไม่ใช่แค่นั้น คนที่ทิเบตเปิดมามันก็มอง แบบ ทำไรหรอพวกคุณ ไอ้นี้ที่ทำอาหาร เอาถุงเท้ามาผิงมาตากอยู่บนที่ทำอาหาร ทุกคนก็ไม่รู้พิธีก็ต้องเริ่มเก็บ คือแบบเขาก็ทำอาหารให้กินทุกคนก็มีความสุข แต่ไม่คิดกันว่าพอดึกไปเนี้ยะ โอ้โหอุณหภูมิมันลบเท่าไรไม่รู้ คือเขาไม่ได้ปูอะไรบนพื้นนะ มันก็คือแค่เต็นท์ล้อมแล้วก็แบบอยู่บนดินเลย พอดึกเข้าพื้นมันชื้นอ่ะ โอ้โหและมันไม่มีทางที่จะห้ามความเย็นขึ้นมา หนาวแบบไม่มีใครนอนหลับ หนาวขนาดตัวเบียดกันมีไฟนะ ไม่เคยทรมานอย่างนั้นมาก่อนและใส่ชุดครบนะใส่หมดทุกอย่างถึงคอปิดหมดเห็นแค่นี้ แต่ก็มันดี ไม่ใช่แค่นั้นปวดฉี่ไม่รู้ทำไง ออกไปมันไม่มีไฟอยู่แล้วใช่เปล่า ปวดฉี่ แค่ลุกไปฉี่ก็ ขอโทษครับๆ กว่าจะออกไปได้ แค่เปิดไปอย่างนี้นะ เสียงหมาเห่ามาแต่ไกลแล้ว เราก็แบบเอาไงดี มองแล้วมืดตื๊ดตือมองอะไรไม่เห็นแบบ เอาไงดีก็อั้นฉี่ล่ะกัน ก็เห็นแบบพี่ผู้ช่วยกับตากล้องหรืออะไรสักอย่างออกไปตอนดึกๆ เราก็แบบพยายามนอนก็เห็นสองคนนี้เดินออกไป สักพักก็ได้ยิน เฮ้ยๆ วิ่งๆ และแบบอีกสักพักหนึ่งก็มีเสียงหมาเห่า ไอ้นี้ก็วิ่ง คือมันไม่ได้เข้ามาในเต็นท์ปกติ มันเข้ามาแบบมันบินเข้าเต็นท์มาสองคน จำได้อย่างเดียวคือตัวลอยเข้ามาในเต็นท์กันสองคนลอย หลังจากเห็นไอ้สองคนนี้ลอยเข้ามาในเต็นท์คือแบบก็ไม่ออกไปไหนล่ะ ปวดฉี่ก็อยู่นี่ล่ะ ก็แบบสนุกดีๆ แต่แบบบางอันก็ทรมานจริง

          Q. พูดถึงทิเบต ดินแดนที่หลายๆคนพูดถึงฝันถึงสักครั้งในชีวิตที่ต้องไปเยือนหรือสัมผัส แต่สำหรับ ชัมบาลา คนดูจะได้เห็นทิเบตในแบบที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นที่เรียกว่าUNSEEN
          A. มันคือทิเบตนอกเหนือจากทิเบตที่คนทั่วไปรู้จัก เพราะที่ที่เราไปถ่ายทำมันไม่ใช่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลย แต่มันก็ได้เห็นแบบวิถีชีวิตของชาวทิเบตดั้งเดิมชาวทิเบตแท้ๆ ซึ่งก็ไม่มีผิดหวังเลย และยอมรับว่าแบบคือมันเหนื่อยจริงลำบากจริง แต่ก็พูดได้ว่าหนังเรามันไปถ่ายทำในสถานที่จริง คือชัมบาลาที่เราไปก็คือชัมบาลาที่จริงของชาวทิเบต ไปถ่ายที่อื่นสบายกว่านี้ไหม ก็คงจะ แต่ว่ามันก็คือที่อื่นไงมันไม่ใช่ที่จริง นี่ก็พูดได้ไงว่า เฮ้ย เราไปของจริงเราไปจริง การสร้างเรื่องนี้แบบเป็นแอดแวนเจอร์สุดๆ กว่าจะได้ภาพมาเนี้ยะแบบ โหมันวุ่นวายจริงๆ เลย บินเข้าเฉินตู เฉินตูก็แบบวุ่นวายมีแต่รถมีแต่คนมั้งอะไรอย่างนี้คุยกันไม่รู้เรื่อง มันก็จะมีปัญหาอะไรที่แบบหลักๆ มันก็ภาษาที่แบบกว่าจะเดินทาง กว่าจะเข้าทิเบต กว่าจะไปถึง แค่จุดเริ่มต้นกว่าจะไปถึงไม่รู้ว่าหมดกี่วันต้องไป คือแค่จากทิเบตไปถึงแค่ยังไม่ถ่ายอะไรนะ คือแค่จุดเริ่มต้นจะเริ่มต้นจากจุดนี้ สมมุติว่าเราต้องนับเป็นแบบเดย์วัน (วันที่ 1 ของการถ่ายทำ) ไม่รู้ละผ่านไปหลายวันกว่าจะถึง แต่ละโลเกชั่นที่ถ่ายได้มันก็ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ได้ใกล้กันเลย เพราะอย่างที่ผมบอกอย่าเข้าใจผิดว่ามันเป็นประเทศเล็กๆ มันเป็นประเทศใหญ่มาก และเขาก็แบบธรรมดา ชิน นั่งรถกันแบบทีละห้าหกชั่วโมงกว่าจะถ่ายกันได้ ก็เป็นเรื่องปกติมาก สิบกว่าชั่วโมงก็ปกติ ตูดพังกันหมด แต่เหนื่อย มันเป็นหนังที่ใช้พลังงานสูงมาก และก็ไอ้ภาพที่เราเห็นก็จะไม่ผิดหวังเลยครับและมันก็หลากหลายจริงๆ มองเห็นได้ตั้งแต่เมืองใหญ่ไปถึงแบบในที่ที่แบบซอกหิน ถนนที่มันแบบมีพื้นที่แค่นิดเดียว ไม่รู้ขับไปได้ไง เป็นลูกรังเล็กๆที่หลุดไปตกเหวกันไป ขับอยู่ระหว่างเหวสองด้าน ออกมาเจอภูเขาอารมณ์เจอลมแบบ ทะเลทรายสุดลูกหูสุดลูกตา ไปพักหนึ่งเป็นสุดลูกหูลูกตา ไปอีกพักหนึ่งเจอพายุแบบครบฤดูครบโลเคชั่น ความสวยเละทุกอย่างมันแบบมันเป็นประเทศที่ประหลาดมาก แต่ว่าเหมือนมันเห็นหมด ทุกภูมิอากาศในช่วงเวลาที่เราไปอยู่ที่โน้นกันแบบสุดยอด

          Q. สำหรับอนันดาแล้วคิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของเมืองนี้ประเทศนี้
          A. คือจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่เราภูมิใจในคนทิเบตมาก ก็คือนั่นแหละไอ้ความศรัทธา เรารู้สึกว่ามันเป็นที่น่านับถือจริงๆ เพราะอย่าลืมว่าเราเป็นคนพุทธเหมือนกันไง และเราเห็นศรัทธาของเขาศรัทธาของเราแล้วแบบมันเทียบกันไม่ได้วะ คือขนาดที่เขาอยู่ในที่แบบลำบากทางด้านการเมืองอะไรก็ว่าไป เขาก็แบบยืนพื้นว่าเขาคือคนทิเบตเขามีวิถีของเขาเขาก็จะทำทุกอย่างที่จะปกป้องชีวิตเขา ซึ่งไอ้ศูนย์กลางของวิถีชีวิตของเขาก็คือความศรัทธา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันทำให้ชีวิตเรามีศิลปะมาก มันสร้างคุณค่าให้ชีวิตสูงมาก เห็นแล้วเรารู้สึกว่ามันมีบทเรียนให้กับชีวิตชาวพุทธทั่วโลกได้ คือแบบถ้าอยากจะค้นพบความสุข อยากจะใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หาความสุขจากความเรียบง่าย เขาเป็นตัวอย่างที่ดีมากนะ ความสุขที่มันแท้จริงแบบที่มันคงกระพัน เรามีความรู้สึกว่าเขาอยู่คู่กับความรู้สึกนั้น มันทำให้เรารู้สึกว่าแบบอย่างเนี้ยะมันคือใช้ชีวิตเป็น

          Q. พูดถึงนักแสดงที่ร่วมงานกันบ้างเริ่มจากสาวสวยอย่างโอซา แวงที่ต้องรับบทเป็นคนรักของเรา
          A. ผมกับโอซา ส่วนตัวก็รู้จักกันอยู่แล้ว ก็คือเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ก็เที่ยวด้วยกันเป็นปกติ พอรู้ว่าต้องมาเล่นเป็นคนรักกัน ก็มีแบบเกิดอาการประหลาดๆ เหมือนกัน ก็เขินนั้นแหละ (หัวเราะ) ก็เขินแบบเพื่อน มันไม่เคยมองกันอย่างนั้น มันไม่เคยเห็นกันในเชิงโรมานซ์ และโอซาเป็นคนชอบทำตัวแบบผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นคนมีหลักการมาก (หัวเราะ) ซึ่งผมเป็นคนแบบสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ ดูแบบไม่ค่อยมีสาระ และพอมาเล่นคู่กันบางทีเราก็แบบมันก็ประหลาดดี เราก็เป็นห่วง มันจะเข้ากันได้เปล่านะ แต่พอเราทำงานด้วยกัน เราก็จูนหากัน ตอนเล่นอะไรก็จะหลวมๆ หน่อย คือสามารถปรับเปลี่ยนในฉากได้ หรืออิมโพรไวส์ได้บ้าง ซึ่งพอเขาเห็นตรงนั้นเขาก็เอาด้วย เขาก็แบบ อ้อ อันนี้แกคิดจะทำเองใช่ป่ะ ถ้างั้นขอด้วย แกก็จะเริ่มอินกับตัวละครตัวเอง ฉันขอเปลี่ยนอันนั้น ฉันจะเอาอันนี้ เฮ้ยพี่ปี๊ดอย่างนี้ได้ไหมอย่างนั้นได้ไหม ไอ้พี่ปี๊ดก็ยอมหมดละ หลงรักโอซา โอซาอยากได้อะไร ได้ครับ เพื่อโอซาทำได้หมดทุกอย่าง เฮ้ยพี่ปี๊ดเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ของเรากับโอซา มันควรจะต้องมีแบบฉากสวีท เลิฟซีนอันนี้ไหม ไม่ไม่ไม่ไม่ควรมีเด็ดขาด เซ็ง มาขัดใจผม (หัวเราะ) แต่ก็ดีครับทำงานกันไปเราก็สนิทกัน พอจบหนังไปก็แบบได้เพื่อนสนิทคนหนึ่งเลย ระหว่างถ่ายเราก็คุยได้หมดทุกอย่างเรื่องอกหัก เรื่องชีวิต เรื่องส่วนตัวอะไร คุยกันไปเรื่อย จนคนในกองถ่ายเขาก็หมั่นไส้ไง คนอื่นก็แบบแหมดูมันโดยเฉพาะผู้กำกับแหละ ผู้กำกับมองตาเขียวอยู่เรื่อยนะ เราก็จะบอกพี่ปี๊ดว่า เฮ้ยไม่มีอะไรเราคุยกันเรื่องนู่นนี่นั้น สำหรับโอซาก็ถือได้ว่าเขาเป็นคนที่จริงจังกับอาชีพเขา ซึ่งเราชอบมากเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กนักแสดงสมัยนี้ไม่คิดอย่างเขาบ้าง คือเขาจะเป็นคนขอนัดประชุมคุยเรื่องตัวละคร ซ้อมไหมมีเวลาซ้อมสิอะไรอย่างนี้ โห ซึ่งเราชอบมากเลย ไม่เคยเจอ ส่วนมากจะมีเราอยู่คนเดียวสร้างความลำบากให้นักแสดงคนอื่น แบบอนันดาขอซ้อม พวกนักแสดงคนอื่นก็แบบเฮ้อ แต่คือของโอซานี้คือคนขยัน และแกก็พยายามหาเหตุผลทุกสิ่งทุกอย่าง ทำไมอย่างนี้ ทำไมอย่างนั้น โห ผู้กำกับชอบมาก อยากแบบปรึกษาโอซาตลอดเวลา (หัวเราะ) อยากแบบคุยกับเขาได้ทั้งวันทั้งคืน คุยเรื่องคาแร็คเตอร์ เฮ้ยเราชอบคนแบบนี้มันทำให้เรารู้สึกว่า ตอนทำงานด้วยมันมีพื้นที่แบบให้ทดลองอะไรได้หลายอย่าง เพราะว่าถ้ามันไม่เวิร์คเราคุยได้ทันทีเลยว่า เฮ้ย จังหวะนี้มันยังไงไม่รู้เราก็ให้เหตุผลกันได้ บางทีเขาพูดถึงตัวละครเราได้ เราพูดถึงตัวละครเขาได้ เฮ้ยแกทำอย่างนี้ทำไมนะหรือว่าแกอย่างนี้ไหม หรือว่าตัวละครเราเองโอซายูแค่นี้ก็พอเลยนะ แค่นี้มันก็พอนะ มันเลยเป็นการทำงานที่มันมันเปิดมากเราจะคุยอะไรได้หมดทุกอย่าง ก็ในเวลาเดียวกันก็คือมันไม่ฟิกซ์ มันไม่ฟิกซ์ตามตัวคือเราใส่ได้สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้เรื่อยๆ

          Q. ได้ข่าวว่าเป็นการทำงานที่ทั้งผู้กำกับและตัวนักแสดงมีส่วนร่วม แลกเปลี่ยนและแชร์ไอเดียในการทำงานในแต่ละฉากตลอดเวลา ตั้งแต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยไปจนถึงฉากสำคัญซึ่งช่วยให้หนังสมบูรณ์มากขึ้นทำให้คนดูจับต้องความรู้สึกของตัวละครได้มากขึ้น
          A. อย่างฉากที่เราเจอกันครั้งแรก หรือแม้แต่ฉากที่ตัวเจนตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตที่จะมาใช้ชีวิตร่วมหัวจมท้ายกับผู้ชายไทยที่เขาหลงรักอย่างทิน เราก็มาคุยกันว่าฉากมันก็เลี่ยนๆ อยู่แล้ว (หัวเราะ) จะทำไงไม่ต้องแบบฉันรักเธอนะ ฉันอยากอยู่กับเธอตลอดไป ก็เลยแบบเราหามุกเล็กๆ ดีกว่าคือแค่จังหวะมันก็ไม่มีอะไร ผู้ชายเปิดประตูมาแล้วเห็นแบบ เฮ้ยเอาจริงเหรอวะ คือดีใจนะแต่ว่าเอาจริงหรอ คือในความรู้สึกแล้วมันเป็นสเต็ปใหญ่โตมากเลยนะ มันเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง การตัดสินใจของผู้หญิงคนหนึ่งนะ ตัวผู้หญิงเองก็พูดอะไรไม่ออก ผู้หญิงก็แบบ จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอไอ้ทินเนี้ยะ ไอ้ทินมันใส่เสื้อกูคือคนไทย ก็เลยพอเราเปิดประตูมาเจอแบบโอซามายืนอยู่หน้าประตูลากกระเป๋าจะมาอยู่ด้วย ก็มองเห็นโอซาใส่เสื้อฉันรักประเทศไทยไง คือโมเมนต์แค่มันไม่จำเป็นที่จะต้องพูด ซึ่งไอ้จังหวะเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้มันคือที่เราทำกันเองระหว่างที่ถ่ายอยู่อะไรอย่างนี้ ก็คุยกับผกก.ว่ากล้องจะต้องมีมารับให้เห็นข้อความบนเสื้อนะ มาคิดๆ กันว่า คืออยากให้มันเป็นหนังที่มีผลกระทบกับคนดูสูงกับจิตใจคนดูสูง เพียงแต่ว่าไม่อยากให้มันแบบโจ่งแจ้งมาก เราไม่ต้องไปยัดเหยียดคนให้ ตัวหนังมันเริ่มมาจากเราอยากให้คนแบบสนุกกับทิวทัศน์ สนุกกับความบ้าบอของพี่น้องทั้งสองคนนี้ พอไปสักพักหนึ่ง พอเราเกิดคำถาม เฮ้ยทำไมมันเป็นแบบนี้ หนังค่อยๆ มาเข้าลึกถึงปมของตัวละครที่เราเริ่มได้คำตอบที่แท้จริงว่าถึงจุดนี้แล้วพอมันหมดสนุกกันแล้ว พอมันมีปัญหาแล้วมันหนีปัญหากันเองไม่ได้ มันมาจากอะไรบ้าง มันก็ได้เห็นว่าแบบนี้มันไม่ใช่หนังแบบโรดมูฟวี่หรือหนังแบบแอดแวนเจอร์ที่สนุกๆ สนานแบบปกติ มันก็จะมีพอถึงจุดที่มันเข้มข้น มันก็เข้มข้นจริงๆ มันก็จะสร้างปมมันทำให้เรามานั่งครุ่นคิดกับมันว่า เฮ้ยพวกมันจะเอาไงต่อ เฮ้ยพี่น้องมันจะแตกแยกกันไหม เฮ้ยมันจะลงตัวยังไง พอเราเริ่มแบบเอาภาพมาหรือเรื่องราวมาเรียงกัน เราก็แบบ เฮ้ยแต่ไอ้นี้กับไอ้นี้มันมีความสัมพันธ์กันแบบนี้ เฮ้ยเดี๋ยวก่อนละตอนนี้มันอยู่ด้วยกันอย่างนี้อยู่แล้ว มันจะมีคำถามสั้นๆ สไตล์นี้เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ พอมันรักกันแล้วเราก็รู้ว่ามันอยู่บนแผ่นน้ำแข็งที่บางมากซึ่งสามารถแตกได้ทุกเมื่อ เราก็จะลุ้นว่าแบบอย่างเพิ่งตอนนี้กำลังดี อย่าเพิ่งแตกหักกันได้ไหมแบบนี้ ก็ยังว่ามันไม่ใช่หนังแบบจะเรียกว่าหนังรัก แอดแวนเจอร์ โรดมูฟวี่ที่ธรรมดา แต่หนังเรื่องนี้มันมีอะไรอยู่เยอะ

          Q. สำหรับบัดดี้คนนี้ไม่พูดไม่ได้ถึงแม้ว่านี่เป็นการทำงานร่วมกันครั้งแรก แต่กลายเป็นว่าจบจากชัมบาลาอนันดาได้เจอกับคู่หูคู่ซี้เลยทีเดียว พูดถึงผู้ชายคนนี้ ซันนี่ ณ ชัมบาลา
          A. ซันนี่ในความเป็นจริงก็อาจจะใกล้บทบาทผม คือตัวมันแบบมันเป็นคนปากไวมาก (หัวเราะ) คือซันนี่มันแบบ คือมันไม่ได้คิดร้ายอะไรแต่มันเป็นคนที่ปากไว และมันเป็นคนที่บางทีมันช่วยตัวเองไม่ได้ คือถ้ามันเห็นอะไรนะมันกัดได้ทันทีเลยเล่นมุกได้ทันทีเลย แต่บางทีเราก็เสียวว่าแบบสักวันหนึ่งมึงจะถูกรุมอัดชัวร์ (หัวเราะ) มันเป็นคนแบบกวนมาก แต่แบบนิสัยดี อยู่กับมันแล้วมันไม่เคยรู้สึกว่าไม่สนุก และเรากับซันนี่โคตรไม่เหมือนกันเลยนะ แต่ก็ประหลาดดี อยู่ด้วยกันตลอดแบบสามารถเป็นเพื่อนกันได้เลย แต่ว่ามันเป็นคนที่ประหลาด เป็นคนที่คิดไม่เหมือนเราเลยนะ และมันก็โรคจิตชอบแบบชอบมาเทียบอาจารย์สอนการแสดง ก็แบบอะไรของมึงซันนี่ (หัวเราะ) ชอบถามหม่อมน้อยเขาสอนยังไงนะ เขาสอนอย่างนี้ เอ๊ะครูแกชื่ออะไรนะ ครูเงาะ เขาก็ชอบแบบครูเงาะเขาสอนอย่างนี้ แล้วไง ไม่ใช่ๆ มันเหมือนแบบอยากรู้ให้ได้ว่ามันต่างกันยังไง คือแบบกูต้องรู้วิชา วิชามึงเป็นยังไง วิชากูเจ๋งกว่าป่าว เฮ้ยเดี๋ยวก่อนขอลอง คือมันเป็นคนตลก แต่จริงๆ มันก็มีแบบมันก็เป็นคนแบบคิดเยอะเหมือนกันนะ ไม่ธรรมดา และแบบมันชอบกัดคนระหว่างทาง ตลกจริงๆ แล้วมันชอบแกล้งไกด์ มันชอบพูดแบบไกด์ จริงๆ พูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ไง และมันก็ชอบแซว และมันก็ทำหน้ายิ้ม เออดีมากแต่ก็แซวเขา คือมันก็เล่นอะไรอย่างนี้ของมันไปเรื่อย คือแบบไอ้นี้ตัวจริง ไอ้นี้กวนตัวจริง           
          ในส่วนการทำงาน ผมกับซันนี่คือแบบคนชอบคิดว่าผมเป็นคนที่แบบทำงานแล้วจะครุ่นคิดเครียด ผมจะเป็นอย่างนั้นก่อนงานมา ผมจะอยู่คนละ process ผมจะไปอยู่ในหมวดหมกมุ่น วุ่นวาย ปวดหัวกับมันก่อนหน้าตอนได้บท ทำตัวละคร แต่ในกองผมจะแบบค่อนข้างเมาท์ไรเงี้ยะ แต่ซันนี่เป็นคนโฟกัสมาก เป็นคนแบบตั้งใจทำงานแบบตอนถ่ายตอนอะไรจะค่อนข้างนิ่งกว่าผมเยอะ คือตอนถ่ายบางทีผมก็จะแบบเล่นไปเรื่อย เพราะว่าคนเรามันต่างกัน เพราะว่ามี PROCESS (ขั้นตอนวิธีการทำงาน) ต่างกันอย่างของผมคือรู้อยู่แล้วต้องทำไร คือบางทีเล่นเพื่อสร้างบรรยากาศที่รีเล็กซ์ให้กับตัวเอง ทำอะไรให้มันรู้สึกสบายๆ ยิ่งตัวละครเรามันดูเละๆ สะเปะสะปะไปเรื่อย อย่าเครียดมากอะไรอย่างนี้ แต่ซันนี่เป็นคนประหลาดเป็นคนที่ทำงานดูแบบเนี้ยบ มาก แต่พอไม่ทำงานก็กวนตีนเหลือเกิน โห ตอนที่มันอยู่กับเพื่อนผมตามมันไม่ทันเลยนะ โหยิงมุกกันทุกสองวิ เรารู้สึกว่าเป็นฝรั่งงงมากตอนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับพวกเพื่อนของซันนี่

          Q. พูดถึงผกก.ชัมบาลาบ้าง
          A. พี่ปี๊ดเป็นคน เถื่อนแต่มีเสน่ห์ แต่แบบสปิริตไง แต่แบบกูทำเพื่อมึง จะมีจิตใจนักเลงแบบคนจริง พี่ปี๊ดคนจริง บางทีมันก็วอนเหลือเกิน แต่แบบแกเป็นคนที่เรารู้สึกว่าตอนเราทำชัมบาลาเรารู้สึกว่าอยาก ผลักดันPUSH คนใหม่ๆ ด้วย คืออยากให้มีเลือดใหม่ในวงการหนัง และผมรู้ว่าคนอย่างพี่ปี๊ดคือแน่นอนแหละคงมีปัญหากับคน อย่างเช่น นายทุน ซึ่งผมก็ต้องไปแก้ปัญหาให้เขา เป็นคนใช้อารมณ์หนัก แต่จริงใจแบบทำทุกอย่างเพื่อน้อง รักกันจริง ซึ่งผมกับเขาก็คงจะสนิทกันไปตลอดชีวิตแหละ มันก็รักกันจริง แกเป็นพี่ชายที่เรารักอยู่คนหนึ่ง แต่ว่านั้นแหละแกเป็นแบบที่ว่าอาร์ตติส อารมณ์ร้อน วัยรุ่น เอาเดี๋ยวนี้ พี่ปี๊ด แต่แกเป็นคนตลกด้วย ตอนอยู่กองถ่ายกับแก แกกำกับแบบบรรยากาศในกองให้ทุกอย่างเบาลงได้ ซึ่งหนังที่มันลำบากด้วยโลเคชั่น ลำบากด้วยเนื้อหาที่มันมีหลายระดับมิติ และตัวละครก็ยากไง คือมันก็ควบแบบบรรยากาศในกองแบบตึงเครียดเกิน ซึ่งแกทำได้ดี พี่ปี๊ดเป็นคนที่ทุกคนก็จะพูดเหมือนผมนั่นแหละ มีอารมณ์แบบเถื่อนๆหน่อย แบบลามกๆหน่อย แต่ทุกคนก็รักเพราะจริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนจริงใจ มีความน่าสนใจในตัวเขาเยอะ แต่ทุกคนก็จะแบบคือปี๊ดแกทำอย่างนี้ก่อนได้ไหม ทำเรื่องนี้ก่อนได้ไหม แกไม่ยอมไง แกแบบยืนพื้นไงว่าจะทำหนังเรื่องนี้ ก็ไฟท์จริงๆ ถึงจุดที่ว่าเราก็ยอมไฟท์กับเขาด้วยเหมือนกัน ยอมแบบไม้แข็งไม้อ่อนกับแกหลายรอบเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็ต่อสู้จนได้ทำหนังที่เป็นความฝันของแกเรื่องนี้

          Q. คนนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ ผู้กำกับภาพระดับฝีมือน้ากล้วย ณัฐวุฒิ กิตติคุณ ที่นำทิเบตมาถ่ายทอดลงบนจอภาพยนตร์
          A. น้ากล้วยก็ถ็าพูดถึงตากล้องถ่ายหนังในไทยแกก็อยู่ในท็อปในไม่กี่คนไม่เกินห้าคน และแกก็อยู่มานานและแกก็ทำหนังมา และแบบหนังใหญ่ๆแบบพวกองค์บาก (ต้มยำกุ้ง,ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช,โหมโรง,นางนาก ฯลฯ) คืออะไรแกถ่ายหมด รุ่นใหญ่จริงถึงขึ้นเรายังเกรงใจพี่ปี๊ดเลยว่าแกเจอรุ่นใหญ่แกจะเกร็งไหม อย่างนี้จะทำงานได้เปล่า และคือน้ากล้วยเป็นคนที่มีสปิริตมาก เฟรนด์ลี่ และไม่ถือตัวเลยและก็เก่งมาก แต่ก็สงสารแกนะระหว่างบางทีมันลงถ่ายไม่ได้ เห็นหน้าแกแบบว่าจะลงแดง จอดรถเดี๋ยวนี้กูต้องถ่ายแล้ว มันสวยขนาดนี้จะไม่ให้กูถ่ายได้ไง ก็ต้องแอบหลายรอบแต่แกก็สปิริตมากที่แบบมาลุยกับกองถ่ายที่ค่อนข้างวัยรุ่นและก็อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องตลอดเวลา อาจจะมีมั่วๆ บ้างก็ต้องมาดีลกับพวกเด็กแนวแบบวัยรุ่น แต่แกก็วัยรุ่นนะ น้ากล้วยลองไปถามอายุเขาซิจะแบบหงายท้องเลย แบบ หา น้ากล้วยโกหกเปล่า แกฟิตมาก ถ้าเรื่องภาพไม่ต้องห่วงมันสวยแหละ เสียดายว่าไม่มีเวลามากกว่านี้ เพราะถ้ามีเวลามากกว่านี้น้ากล้วยคงถ่ายแบบสวยตาแตกไปเลย

          Q. จากวันแรกที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับโปรเจ็คต์หนังทิเบตจนถึงวันนี้ผ่านกระบวนการถ่ายทำ ฝ่าอุปสรรคนานัปการจนวันนี้ภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา เสร็จสมบูรณ์เตรียมจะเข้าฉายแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง
          A. ชัมบาลาเป็นหนังเรื่องที่มีอุปสรรคเยอะมากคงเยอะที่สุดที่ผมเคยเจอด้วยซ้ำ คือตั้งแต่ขั้นตอนเขียนบท เสนอมัน สู้กันเอง สู้กับนายทุน สู้กับระดับประเทศ ไม่ธรรมดานะคุณ สู้กับสภาพอากาศ มันเป็นหนังที่ลำบากมาทุกอย่าง พอกลับมาคิดว่าทุกคนจะมาอำนวยความสะดวก ไม่เลยครับกลับมาก็มีปัญหากันต่ออีก เดี๋ยวคิวนั้นไม่ได้ เดี๋ยวคิวนี้ต้องถ่ายต่อ อะไรก็ไม่รู้ปัญหาเยอะ ฟุตเตจเสียบ้าง เลนส์เสีย คือเป็นหนังที่แบบอุปสรรคเยอะมาก มาถึงจุดนี้แค่รู้ว่าจะได้ฉายก็ตื้นตันมากแล้วตอนนี้ คืออยากให้มันฉายแล้วแหละ คือมันเป็นโปรเจ็คท์ส่วนตัวพี่นึกสภาพดูสิมันเป็นโปรเจ็คท์ส่วนตัวที่ผมแบบอยากนำเสนอมานานมากแล้ว และผมต้องอั้นมันมาแบบสามปี คือจริงๆ หนังมันก็สำหรับคนดู มันคงมีอะไรที่แตกต่างให้กับทุกคนแหละ คือมันก็คงแล้วแต่เราเป็นผู้หญิงผู้ชาย เราวัยวุฒิเท่าไร อย่าลืมว่าคำว่าชัมบาลา มันคือสิ่งที่ทุกคนแสวงหา ผมเชื่อว่าถ้าเข้าไปดูหนัง อย่างน้อยที่สุดเราอาจจะช่วยนำพาไปหาคำตอบได้ คือหลังจากดูหนังเสร็จเราเชื่อว่ามันจะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าชัมบาลาคืออะไร ครับแล้วก็หนังชัมบาลาก็จะเข้าวันที่ 23 สิงหาคม นี้ละนะ อีกช่องทางหนึ่งที่เราจะสามารถติดตามความคืบหน้าของหนังก็คืออินสตาแกรมของเรา คือชื่อว่า 99_stepstoshambhala ก็ ก็สามารถไปติดตามรูปสวยๆ จากการถ่ายทำเรื่องชัมบาลาได้นะครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 03:47:23 PM
โอซา แวงยอมรับ บทเจนใน “ชัมบาลา” ประกบอนันดาใกล้เคียงชีวิตจริง โทรสายด่วนจาก LA. หาผจก.ที่เมืองไทยยืนยันเล่นก่อนเปิดกล้อง 1 ปี

 

          หลายคนอาจคุ้นเคยและติดตาในภาพลักษณ์ของความเป็นซูเปอร์โมเดลเจ้าของตำแหน่งFHM Asian Sexiest ถึง3ปีซ้อน แต่สำหรับ โอซา แวง สาวลูกครึ่ง จีน-สวีเดนกลับยืนยันว่าหลงรักและหลงใหลในงานแสดงมากๆ ก่อนหน้านี้มีผลงานการแสดงในเรื่องสวยลากไส้, Clouds in my coffe (สิงคโปร์), Drink Drank Drunk (ฮ่องกง), Prince and Me Part 4 (ฮอลลีวู้ด) และอยากให้แฟนๆ จดจำเธอในฐานะนักแสดงเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคาแรคเตอร์ เจน สาวต่างชาติที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตกหลุมรักหนุ่มไทย และยอมทำทุกอย่างเพื่อความรักซึ่งเป็นบทบาทการแสดงเรื่องล่าสุดที่เธอแสดงเป็นนางเอกคู่กับหนุ่มฮอตแห่งเอเชียอย่างอนันดา เอเวอริงแฮมใน “ชัมบาลา” ภาพยนตร์โรแมนติค-ดราม่าเรื่องใหม่ของสหมงคลฟิล์มฯที่เธอโทรสายตรงจาก LA. หาผู้จัดการที่เมืองไทยทันทีเพื่อตกปากรับคำหลังจากได้มีโอกาสอ่านบทภาพยนตร์ก่อนที่ตัวหนังจะเปิดกล้องถ่ายทำล่วงหน้า1ปีซึ่งในขณะนั้นเธอมีผลงานการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง Prince and Me ภาค 4 โดยยอมรับว่าถูกใจบทและรู้สึกผูกผันกับตัวละครตัวนี้เป็นพิเศษ นอกจากจะเป็นตัวละครที่มีอารมณ์และความรู้สึกที่สัมผัสได้จริง ยังมีประสบการณ์หลายๆ อย่างในตัวละครที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของเธอด้วย

          “ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับตัวละครตัวนี้มากเป็นพิเศษ เพราะฉันก็เคยตกหลุมรักมาก่อน ซึ่งฉันก็เสียสละและยอมทำทุกอย่างเพื่อรักเช่นกัน ตอนที่อ่านบทฉันรู้สึกว่าฉันรู้สึกผูกผันและมีประสบการณ์ร่วมกับตัวละครเจน เพราะฉันเป็นชาวต่างชาติที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยเช่นกัน ฉันก็ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมไทย เรียนรู้ภาษาไทยและยังต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับเมืองไทยแบบเดียวกับเจน ดังนั้นฉันจึงเข้าใจสิ่งที่เจนพยายามทำ ตัวฉันเองเป็นคนที่เชื่อในความรัก แต่ฉันก็อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงเช่นกัน สำหรับเจนแล้ว เธอเป็นตัวละครที่ทำทุกอย่างเพื่อความรัก เป็นชาวต่างชาติที่หลงรักประเทศไทยและหนุ่มไทย ตัวละครของเจนคือผู้หญิงที่ยอมเสียสละทุกอย่างในชีวิต เพื่อมาอยู่กับคนที่เธอรัก เธอเชื่อในรักแท้ เธอเป็นคนโรแมนติกมาก เธอเชื่อว่ารักแท้เป็นคำตอบของทุกสิ่งดีๆ ในชีวิต เธอหัดที่จะเรียนทำอาหารไทย เรียนรู้ภาษาไทย เธอรักคนไทย ชอบวัฒนธรรมไทย เพราะคนรักของเธอเป็นคนไทย เจนเป็นผู้หญิงที่เสียสละ และเชื่อมั่นในความรัก เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ ที่รักอิสระ สนุกสนาน กล้าแสดงออก และมีเสน่ห์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวละครทินซึ่งรับบทโดยอนันดาหลงรักเธออย่างหมดใจ เช่นเดียวกันกับที่ฉันรู้สึกรักตัวละครตัวนี้มากๆ”

          และสำหรับใครที่สนใจที่จะร่วมซึมซับสีสันของทิเบตผ่านรูปภาพสวยๆ จากภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาและความรู้สึกของเหล่านักแสดงที่ร่วมบันทึกข้อความประสบการณ์ลงบนภาพก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉายจริงในวันที่ 23 ส.ค. อย่าลืมแวะไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้ที่โรงภาพยนตร์ HOUSE RAMA RCA แล้วอัพโหลดกันในเฟซบุคส์หรืออินสตาแกรมได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

          เตรียมพบกับ “ชัมบาลา” หลากหลายคำตอบของความรักและพลังศรัทธา รอทุกคนอยู่ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 03:49:09 PM
บทสัมภาษณ์ “ซันนี่ จาก ชัมบาลา”

 

         “ผมว่ามันเริ่มมาจากความรัก ความอยากให้เขา อยากทำอะไรให้คนๆ หนึ่งที่เรารัก สิ่งสำคัญคือการที่เราได้ทำอะไรเพื่อใครสักคน มันย่อมเป็นความรู้สึกที่ดีอยู่แล้ว” และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ “ชัมบาลา” ของ “วุฒิ” ตัวละครที่เราจะได้เห็นการพลิกบทบาทโดยสิ้นเชิงของ “ซันนี่- สุวรรณเมธานนท์” บนดินแดนหลังคาโลกใน “ชัมบาลา”

          Q. เกิดอะไรขึ้นกับ ซันนี่ ทำไมถึงปล่อยให้แฟนๆ รอนานขนาดนี้ หรือที่บอกว่าซันนี่จะเลิกเล่นหนังเล่นละครแล้วจริงรึเปล่า ที่ผ่านมาหายไปไหนไปทำอะไรอยู่
          S. คือจริงๆ เวลาเรารับหนัง เราจะแบบอ่านบทมาหลายเรื่องแล้ว และถ้าเราเจอเรื่องที่อยากเล่นที่ชอบจริงๆ เราก็จะอยากทำ มันจะมีไฟขึ้นมา เราอยากรู้สึกแบบนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้เล่นสายลับผมก็ไปเล่นซิทคอมอยู่ครับ ก็เป็นระยะเวลาช่วงนั้นครับ คือไม่ได้หายไปไหน คือผมออกมาก็เพื่อไปเล่นหนัง ถ้าถามว่าคิดถึงไหมกับหนัง คิดถึงนะ มันก็แบบสนุกนะที่ได้ทำ ได้เป็นตัวละคร แล้วพอมานั่งดูหนังเทียบกับละครแล้วพลังมันต่างกันครับ พอได้ขึ้นชื่อว่าหนังแล้ว มันมีพลังของทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องของการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นเราจะส่งสายตาหรือว่าอะไร มันเป็นพลัง ผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเวลาเจอบทดีๆ โอ้โหตื่นเต้นมาก จะรู้สึก ยิ่งเรื่องนี้ครับ ยิ่งใหญ่ว่าแบบน่าเล่น

          Q. โดยส่วนตัวแล้วชอบตัวละครหรือบทแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า
          S. จริงๆ แล้ว เวลาดูหนังอะไร ผมจะชอบเวลาดูตัวละครที่มันมีปมอยู่ในใจ มีความหลังอะไรสักอย่างอยู่ในใจ ที่มันต้องค้นหา คือผมชอบเรื่องความสัมพันธ์ของคน มนุษย์เรา แค่เนี้ยะ แค่เรื่องการพูดคุยกัน มันก็มีความรู้สึกอะไรหลากหลายแล้ว และหนังเรื่องชัมบาลานี้มันไม่มีในบ้านเรา สไตล์แบบนี้ ก็เลยอ่านแล้วแบบ อยากทำอะไรที่มันไม่ค่อยมี นานๆจะเล่นที อยากทำ

          Q. เป็นไงมาไงถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่อง “ชัมบาลา”
          S. กับพี่ปี๊ด (ปัญจพงศ์ คงคาน้อย) ผู้กำกับเรารู้จักมานานมากแล้วสิบกว่าปี เจอแรกๆ ก็นั่งคุยกัน เสร็จปุ๊บเขาก็มีความฝันอยากทำภาพยนตร์ เขาอยากเป็นผู้กำกับหนัง ผมก็รู้มาตั้งแต่ตอนนั้นนะครับ ก็คุยอะไรๆ กับเขาสักพัก อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่าถ้าเขาทำหนังนะ จะให้ผมเป็นพระเอก ผมก็ฮา สมัยนั้นอายุเท่าไรยี่สิบ ฮา ผมก็ขำเขา ไม่รู้ และผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการแสดงด้วยซ้ำ สมัยนั้น ก่อนที่จะเล่นหนังเรื่องแรกด้วย ถ้าเกิดมีโปรเจ็คต์หรือเรื่องคิดอะไรในหัว เขาจะพูดหรือส่งมาให้เราตลอดเวลา มันเป็นความฝันของเขา มีบางครั้งที่แบบเอาไปเสนอที่อื่นแล้วเขาไม่ได้เห็นแนวทางของเขาอะไรแบบนี้ และพอเขามาที่นี่ (สหมงคลฟิล์ม) แล้วเหมือนเขาเข้าใจคนทำหนัง แล้วก็เสนอแนวทางให้เขาให้ผ่าน แล้วเขาก็ส่งบทร่างมาให้ผมดูเรื่อยๆ แรกๆ ก็จากไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยครับ จนรู้สึกว่าดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อนมาถึงชัมบาลาตัวพี่ปี๊ดผกก. เขามีหลายเรื่องมากอยู่ดีๆ ก็ล้มหายไปเลย อ้าวแล้วไอ้นั่นพี่เขียนไว้ไปไหนแล้วล่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าขายกินไปแล้วหรือยังไง (หัวเราะ) ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ

          Q. ทำไมตัดสินใจรับบทนี้
          S. เวลาที่คนมาเสนออะไรให้เราครับ ผมรู้สึกภูมิใจตลอดเวลาว่าคนเชื่อว่าเราทำสิ่งๆ หนึ่งหรืออะไรได้หรือเขาชอบการแสดงของเรา และในเรื่องบทผมมีความคิดแบบนี้บทหรือการแสดงของแต่ละอย่างมันไม่มี reference อะไรหรอกครับ ไม่มีว่าตัวละครตัวนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นตัวละครที่แต่งขึ้นมาใหม่เราก็ไม่สามารถที่จะต้องไปดูใครหรือทำตามแบบเขาได้เลย มันเป็นการที่เรารู้สึกว่าเราเห็นจากบทนี้ เราอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน เขาเป็นคนยังไง เราอยากให้เขาเป็นไง เราจะคิดดีไซน์ว่าให้เขาเป็นคนแบบไหนได้บ้าง เราสร้างขึ้นมาครับ และนี้คือที่สุดของพาร์ทการแสดงที่ผมชอบมากที่สุดครับ คือเวลาคิดอยากให้คนๆ นี้เป็นไง อยากให้เขาทำอะไรได้บ้าง

          Q. ในความคิดของเราแล้ว ในภาพรวมทั้งหมดของโปรเจ็คต์นี้อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า ชัมบาลา โดดเด่น มีความแตกต่างหรือน่าสนใจกว่าโปรเจ็คต์อื่นๆ ที่มีคนมาเสนอเรา
          S. มันคือการไปถ่ายทำที่ทิเบตนะครับ เป็นเรื่องของคนที่ได้ไปอยู่ในสถานที่แปลกๆ ในที่ต่างๆ แล้วเจอกับเหตุการณ์หรืออะไรบางอย่าง ผมรู้สึกว่าดี และยิ่งภาพหนังไทยที่ไปถ่ายทำในที่แปลกๆ คนก็จะไม่ค่อยได้เห็น ผมรู้สึกว่าเออเป็นภาพที่สวยงามดี ที่สำคัญบทหนังเรื่องนี้กระตุ้นเราในเรื่องของนักแสดงด้วยครับ บทที่ดูมีอะไรและมีเจตนาที่ดี มีสิ่งอะไรที่ดี คือเขาจะเลือกเล่าเรื่องแบบว่าไม่ว่าจะเป็นอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แต่ความรู้สึกจริงๆ แล้วอยู่ที่ใจมากกว่า เป็นการเล่าเรื่องในความสัมพันธ์ของมนุษย์ทั่วไปครับ ผมเชื่อว่าความรู้สึกสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ เยอะ สำคัญที่สุดคือเรื่องมันที่เราชอบ แล้วมาดูที่ตัวละครอีกที ซึ่งจริงๆ เป็นการคุยกันเหมือนกันว่าผู้กำกับอยากได้อะไรก่อน และเราจะคิดอะไรได้บ้าง อยากให้มันเป็นแบบไหนได้บ้างและก็มาคุยกันมาแชร์กัน เพราะผมว่าหน้าที่ของนักแสดงมันไม่ใช่แค่เดินมาแล้วมาเข้ากล้องแล้วก็เล่น แอ็คชั่น และก็เล่นไป มันคืออย่างนี้ครับ มันคือความคิดทั้งหมด เพราะว่าที่ผมเล่นมาทั้งหมดมันจะเป็นผู้กำกับจะคอยตามเราในทุกเรื่องครับ คือเคยมีผู้กำกับคนหนึ่งเคยพูดกับผม คือผมไปเถียงอะไรเขาสักอย่างและเขาบอกว่า เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรและเขาก็เดินไป และผมก็เลยบอกว่าตกลงซีนนี้ยังไง เขาก็บอกว่าคุณคือเป็นนักแสดงคนนั้นผมเป็นผู้กำกับผมต้องเชื่อคุณสิ เขาพูดแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามีพลังมากในแง่ของการแสดงครับทุกสิ่งทุกอย่าง จริงๆ บทมันเขียนมาก็เป็นกระดาษนะครับ แต่ว่าสิ่งที่เราพัฒนามัน ตัวละครมันต้องพัฒนาจากตัวละครเองทุกเรื่องอยู่แล้ว และต้องมาคุยอีกทีหนึ่งว่าผู้กำกับอยากได้แบบไหน หรือว่าผู้กำกับเฮ้ยอย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ไม่ใช่แนวทางของผม ก็เป็นการคุยกันครับ แต่ในเรื่องคาแรคเตอร์ การพัฒนาตัวละครคือหน้าที่ของนักแสดง เพราะฉะนั้นจริงๆ เวลาที่มีคนมาถามผมเรื่องคาแรคเตอร์ผมจะไม่รู้เลยนะครับ เพราะผมจะคิดว่ามันคือบุคคลคนธรรมดาคนหนึ่งครับที่มีความคิดแบบนี้ ทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนี้ลงไป เพราะอะไร มันต้องคิดจากเห็นผลก่อนครับ เราเห็นจากกระดาษ ทำไมคนนี้ถึงตัดสินใจทำแบบนี้ เราต้องคิดว่าเหตุผลที่เขาเป็นแบบนี้เป็นเพราะอะไร เราก็จะคิดย้อนกลับไป ผมก็เลยไม่มานั่งคิดว่า คาแรคเตอร์จะต้องแบบเซอร์ ดุดัน หรือว่ายังไง หรือว่าจิตใจอ่อนไหว หรือว่ายังไงจะไม่เคยคิดเลยพวกนี้ มันจะแบบกลับเข้ามาเพื่อให้เราสร้าง เพราะมันจะไม่มีอะไรกำหนด เพราะมันคือมนุษย์ธรรมดาที่เรามีหลายอย่างไม่ได้มีคาแร็คเตอร์เดียว นั้นนะครับมันคือความเป็นมนุษย์ครับ มนุษย์ที่สุด

          Q. ถ้างั้นคงต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่าในภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา รับบทเป็นใครและมีคาแรคเตอร์เป็นอย่างไร
          S.ครับ ในภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา รับบทเป็น วุฒิ ในแง่ของตัวละครวุฒิจะเป็นคนที่จริงจังเรื่องความรักครับ สิ่งที่ทำอะไรลงไปทุกอย่างคือจะอยู่ในกรอบ คือเขาจะเป็นคนที่ไม่ทำอะไรที่มันประมาทกับชีวิต ทำอะไรก็ต้องถูกต้องๆๆ แต่วุฒิไม่ใช่แบบตรงจนเกินไปนะครับ คือทำชีวิตตัวเองไม่ให้แบบเละเทะ ไม่โลดโผดมากกว่า และก็รักจริง

          Q. เสน่ห์ของคาแรคเตอร์ตัวละครตัวนี้
          S. เสน่ห์ของผู้ชายแบบวุฒิก็จะมีความมั่นคงในตัวเองดูเหมือนว่าจะไม่ยอมออกจากกรอบ ชีวิตไม่โลดโผนไม่ทำอะไรที่เสี่ยง แต่ว่าเขาก็มีทางเลือกของเขา คือเขาก็มีทางที่ยึดมั่น ไม่ใช่ว่าไม่รู้จะไปทางไหนหรือว่าหลงทาง แต่มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายในสิ่งที่ตัวเองจะทำ จะตัดสินใจแล้วเชื่ออย่างนั้น วุฒิก็จะมีความรักกับผู้หญิงชื่อน้ำ ซึ่งเล่นโดยน้องฝน (นลินทิพย์) ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตวุฒิตั้งแต่เปิดเรื่องมาจะอยู่กับน้ำตลอด คือทั้งคู่จะเปิดร้านกาแฟด้วยกัน จริงๆ ในช่วงแรกของชีวิตดูเหมือนว่าวุฒิเองก็หลงทางอะไรบางอย่างอยู่ จนพอมาเจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งก็คือน้ำก็ทำให้เขามีเป้าหมายในชีวิตว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร ก็คือทำเพื่อคนที่เขารู้สึกดีด้วย ส่วนพาร์ทชีวิตทางครอบครัวของเขาก็จะค่อนข้างห่างๆ กัน ซึ่งการที่เขาได้เดินทางไปทิเบตเพราะว่าน้ำในเรื่องนี้เขาป่วย ตอนแรกเขากับน้ำต้องไปด้วยกัน แต่วุฒิไม่ได้ไปเพราะติดธุระหลายๆ อย่าง จนตอนนี้น้ำเขาป่วยไปไม่ได้แล้ว ก็จะเหลือเขาที่เขาจะต้องไปทิเบตเอง ไปคนเดียวแล้วมันเป็นภาระกิจและเป้าหมายที่เขายังทำไม่สำเร็จเลยก็ต้องไป อาจจะด้วยความรู้สึกผิดด้วยที่ครั้งที่แล้วไปไม่ได้และก็ตั้งใจทำเพื่อน้ำด้วย คือต้องบอกว่าทั้งวุฒิและน้ำเองก็เหมือนใช้ชีวิตแบบอิสระๆ ชอบท่องเที่ยว ทำโน้นนี้ แล้วก็จะหาเวลาเพื่อไปต่างประเทศด้วยกันตลอด ไปในที่ต่างๆ ไปถ่ายรูปด้วยกัน อยู่ด้วยกัน นี้คือเป้าหมายที่เขามีความสุขด้วยกันในเรื่องแบบนี้ครับ แต่ก็จะมีที่เดียวที่เขาไม่ได้ไปด้วยกันก็คือทิเบต

          Q. ในเรื่องชัมบาลาต้องแสดงร่วมกับอนันดาด้วย
          S. ในเรื่องวุฒิจะมีพี่ชายที่ชื่อ ทิน รับบทโดยอนันดา ที่จริงอนันดาอายุน้อยกว่าผมนะ แต่หน้าไปไง (หัวเราะ) ตัวใหญ่ก็ดูเหมือนเขาดูเป็นพี่อะไรแบบนี้ ผมจะมีความรู้สึกว่ามันจะมีบางบ้านที่แบบพี่ชายจริงๆ ก็รักกันแหละ เพียงแต่มันไม่ค่อยได้คุยอะไรกัน เจอกันบ้างนานๆ ทีเจอกันก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน เป็นสไตล์ห่างเหิน จริงๆ มันคือความผูกพันที่ตัดกันไม่ขาด เพราะแต่ละคนก็อยู่โน้นอยู่นี้ ซึ่งผมว่านี้มันก็น่าจะลิงค์กับทุกๆ ครอบครัวที่มีพี่น้อง คนเราจะพูดจาแบบนี้ครับพี่น้อง ความแตกต่างของพี่น้องสองคนนี้คือวุฒิพยายามจะมีเป้าหมายมีความรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับครอบครัวกับตัวเองกับอะไร แต่ว่าพี่ชายมันจะแบบไม่รับผิดชอบ เหมือนเวลาทำอะไรเหมือนใช้ชีวิตบนความเสี่ยงครับ คือสิ่งที่เขาทำจะล้มจะพลาดจะอะไรหรือจะมีปัญหาเหมือนเขาไม่กำหนดไว้ก่อน ก็แล้วแต่ดวงแต่อะไรเอา ซึ่งมันจะแตกต่างกัน เรามีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ผู้กำกับเขาจะไม่อยากให้คนดูร้สึกติดภาพเดิมๆ อะไร ก็จะเห็นว่าอนันดาเล่นเศร้าโศก พ่อแม่มีปัญหาหรืออะไรตลอดเวลา หน้าเศร้าไฝอยู่งี้ (ซันนี่อำชี้ไฝใต้ตาที่เป็นเอกลักษณ์ของอนันดา) คือตลอดเวลา เพราะไฝเปล่าที่ทำให้ดูแบบต้องเศร้า คือจะเห็นเขาในบทบาทแบบนี้ตลอดเวลา แบบซีเรียส แบบเขาไม่ค่อยพูดจากับใคร ไม่ค่อยหัวเราะ หัวเราะก็น้อยๆ เหอะๆ ซึ่งสำหรับผมที่ผ่านมาคนดูก็จะเห็นในแง่ของการไม่ซีเรียสจะเป็นการที่แบบสบายๆ มากกว่า แต่ทีนี่คือผู้กำกับเขาไม่อยากให้คนติดภาพอะไรพวกนี้ อยากเห็นอนันดาหัวเราะพูดจากวนคนตลอดเรื่อง เล่นต๊องเอาฮาตลอดเรื่อง ซึ่งผมจะเป็นซีเรียส
          สำหรับพี่ชายของผมคนนี้นะครับ อนันดา เอเวอริงแฮม ก็รู้สึกดีครับที่ได้มาร่วมงานด้วย ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสได้ดูหนังเขาครับ หนังที่คนบอกว่าซีเรียส น้ำตาๆ ดราม่าๆ อะไรของเขา (หัวเราะ) ก็นั่งดู เออนักแสดงคนนี้มีความดี และมีพลังในการแสดงออกและในการเล่น แล้วเวลาพอได้มาพูดคุยกัน เขามีเจตนาที่ดีและเขาเป็นคนดี ดูเป็นคนนิสัยดีมากเลย แต่อาจนิสัยไม่ดีก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่ดูเป็นอย่างนั้น ในความรู้สึกของผมเอาจริงๆ ก็ไปอยู่ที่นู้น อนันดาเอะอะจะถอดเสื้อโชว์กล้ามอะไรไม่รู้ตลอดเวลา (หัวเราะ) เดินมาสะกิดผู้กำกับ พี่เอางี้ไหมเดี๋ยวผมถอดเสื้อนะและวิ่งไกลๆ แล้วพี่ถ่าย สักพักมาอีกวันล่ะ พี่เอางี้ไหม พี่เห็นเขาลูกนั้นป่ะ เดี๋ยวผมถอดเสื้อนะและวิ่ง คือเหมือนเป็นตัวละครในการ์ตูน พี่อยากจะถอดเสื้อไรตลอดเวลาวะ เข้าในป่า เฮ้ยหนาวๆ อยากถอดทำไม ได้รู้ว่าอย่างนี้นี่แหละคืออนันดา (หัวเราะ)
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 03:50:54 PM
          Q. เห็นผู้กำกับบอกว่าต้องการพลิกบทบาทให้อนันดามาเล่นคอมิดี้บ้าง และให้ซันนี่เล่นดราม่า
          S. ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขามีความคิดอะไรของเขา (หัวเราะ) แต่ในเรื่องของตัวละครผมเล่นตัวไหนผมจะรู้สึกว่าทุกคนมันแตกต่าง ทุกตัวละครมันไม่มีอะไรที่มันเหมือนกันอยู่แล้ว เพราะว่ามันคือคนละคนกันแค่นั้นเองจริงๆ ก็เหมือนมีความคิดมีปมอะไรในใจ แต่จริงๆ คือเขาเป็นคนที่จริงจังกับทุกๆ อย่างต้องอยู่ในกรอบ จะใช้เงินไปต่างประเทศก็ไม่อยากให้ใช้เงินเยอะ ไอ้นี้ก็แบบไม่แคร์ เอาเงินมาแล้วไปซื้อเบียร์หมดแบบนี้ เราก็จะดูโน้นเราจะไปแวะนี่ เพราะเราจะทำเป้าหมายของเราให้สำเร็จ แต่ไอ้นี้ก็จะทำเสียตลอด เรื่องก็จะเป็นแบบนี้ เพราะว่ามันคือความรับผิดชอบจริงๆ เราเป็นน้องแต่เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเราพยายามทำตัวให้มันถูกต้อง ดูแลคนในบ้าน ซึ่งพี่ชายเราก็จะหายไปเลย ทำอะไรในชีวิตเขา เราก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน

          Q.ต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าสำหรับบทนี้
          S.จริงๆ ไม่ค่อยครับ มันเป็นการคิดมาแล้ว เราอยากให้เขาเป็นยังไง เราแค่เชื่อในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น มันก็จะเป็น สิ่งที่ยากก็คือสถานที่หรือการถ่ายทำมากกว่าต้องไปไกล ถึงนู่นแล้วหายใจไม่ค่อยออก มันหนาวมาก สิ่งที่ยากมันควบคุมไม่ได้ แล้วหนังเรื่องชัมบาลานะครับเป็นเรื่องราวของการเดินทาง ชัมบาลาจริงๆ มันคือสถานที่นะครับเป็นสถานที่ทิเบตที่มีคนบอกไว้ว่า นี่คือชัมบาลาทุกคนต้องไปให้ถึง ต้องไปเจอแล้วจะรู้สึกอะไร แต่เราก็ไม่มีข้อมูลเลยว่าเราไปแล้วจะเจออะไร ไปแล้วมันจะอยู่ที่ไหน หรืออะไรจุดไหนจริงที่มันเรียกว่าชัมบาลา มันไม่มีรูปให้ดูครับ มันมีแต่คนบอกว่าแถวนี้คือชัมบาลา อยู่ในเป้าหมายเป็นสถานที่

          Q. ในการเดินทางสู่ทิเบต และการค้นหา สิ่งที่เรียกว่า “ชัมบาลา” สำหรับซันนี่แล้วมันน่าสนใจอย่างไร กับการที่ตัวละครตัวหนึ่งที่มีความมุ่งมั่นในศรัทธาที่มีความรักคนรักเป็นแรงบันดาลใจอย่างนี้
          S. สิ่งสำคัญคือการที่ได้ทำอะไรเพื่อใครสักคน ผมว่ามันเริ่มมาจากความรัก ความอยากให้เขา อยากทำอะไรให้คนหนึ่งๆ ที่เรารัก ก็คือ ผมว่าการที่เราอยู่ดีๆ เราจะทำอะไรขนาดนี้ ทำสิ่งๆ หนึ่งที่ตัวเองอยากหรือไม่อยากไม่รู้เพื่อใครสักคนหนึ่ง มันเป็นอะไรที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดีๆ อยู่แล้ว

          Q. ส่วนตัวแล้วเชื่อใน “พลังศรัทธาของความรัก” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร แล้วเคยทำอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นพลังศรัทธาของความรักหรือมีความรักเป็นแรงบันดาลใจหรือไม่ อย่างไร
          S. เชื่อพลังแห่งศรัทธาในรักไหม คือ ผมเชื่อในบางเรื่อง อย่างครอบครัวเนี่ยะเชื่อมากครับ ผมเชื่อในพลัง คือทำให้ทุกอย่างเพื่อเราได้ คือมันไม่มีข้อแม้ไงครับถ้าเป็นพ่อแม่ เขาเลิกเป็นแม่ลูกอะไรกับเราไม่ได้ คือเป็นแฟนเป็นอะไรมันเลิกกันได้ คือสิ่งๆ นี้มันเลิกกันไม่ได้ และไม่มีความจำเป็นทีจะต้องเลิกด้วย ไม่มีความคิดในหัวเขาด้วยซ้ำว่าเขาจะต้องเลิกเป็น เนี้ยะมันคือรู้สึกที่สุด เนี้ยะมันคือพลังแห่งความรักของจริง ไม่ต้องมาบอกว่าเขารักเราไหม มันส่งมาได้ตลอดเวลา รู้สึกได้

          Q. ก่อนไปทิเบตคาดหวังว่าจะเจออะไร แล้วพอไปถึงแล้ว
          S. คือก่อนไปก็ไม่ได้ศึกษาอะไรมากมาย นึกว่าจะออกจากจีนมากกว่านี้ เราไปผิดฝั่งด้วยครับ ต้องไปอีกฝั่งหนึ่ง จริงๆ ที่เขาไปฝั่งที่ฮิตๆ กันคือเมืองหลวง ลาซา ก็คงเป็นแหล่งท่องเที่ยว คนไปกันเยอะแยะ แต่ฝั่งของชัมบาลาเนี้ยะก็เป็นฝั่งที่เลยจากจีนขึ้นไป จริงๆ ทิเบตจริงๆ ไม่ใช่ประเทศนะครับ เหมือนเป็นแบบแยกออกมาจากจีนอีกทีหนึ่ง ก็คือประเทศจีนครับแต่เป็นคนเหมือนเป็นชนกลุ่มน้อยอะไรแบบนี้ ใหญ่ๆ ก็คือส่วนหนึ่งของจีนครับ จริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเปรียบเทียบยังไงจริงๆ คนก็ไปลาซากันเยอะ ผมไม่เคยไปไงครับ ผมเคยไปแต่ชัมบาลา ผมก็มีความคิดว่าทิเบตเป็นแบบนี้ แต่คนเขาก็แตกต่างกันนะครับ คนทิเบตหน้าตาแตกต่างกับคนจีนก็คือแยกออกมาจาก...ถ้านั่งรถสิบกว่าชั่วโมงได้ก็แตกต่างแล้วแหละ คงจะแยกออกแล้วแหละ (หัวเราะ)

          Q. เสน่ห์ของดินแดนทิเบตนี้ ที่เราได้มีโอกาสไปสัมผัส
          S. จริงๆ คือเสน่ห์ของประเทศนี้คือเป็นในแง่ของความคิดมากกว่าความศรัทธาความเชื่อของคนที่นั่น คือในหนังเขาจะบอกตลอดเวลาว่าความเชื่อของคนที่นี่คือเขาทำเพื่อคนอื่น เขาสวดมนต์เพื่อที่ให้คนที่เขารัก ส่วนมากจะเป็นอย่างนี้คือทำผิดเขาจะมีการกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ไปครับ เพราะว่าสิ่งที่ทำเนี้ยะ รู้สึกในความผิดบาปของตัวเองกับคนอื่นนะครับกับตัวเองก็เลยทำแบบชดเชยด้วยการนี้ คือสิ่งที่เขาเชื่อนะครับ ชดเชยด้วยการที่ทำให้ตัวเองลำบากเพื่อคนๆ นั้น เพื่อทำร้ายตัวเราให้เราเจ็บด้วย เพื่อที่จะลบล้างความผิดที่ทำกับเขาไว้นี่คือประเด็นหลัก ก็จะเป็นเรื่องความเชื่อตลอดเวลาที่มีให้เห็นที่มีธงผูก (ธงมนต์) มีคนเดินมาจะมีอะไรหมุนๆ (กงล้อมนตรา) ที่เห็นบ้าง จริงๆ ก็จะสะท้อนครับว่าเขาเห็นในเรื่องอะไร คือไม่ได้เห็นจริงจังขนาดนั้นจะเห็นใกล้ๆ วัดที่มีคนทำ แต่จริงๆ คือที่เราไปเป็นช่วงที่แบบใบไม้ร่วงแล้วเพื่อจะเข้าฤดูหนาว ที่ผมไปในแบบใบไม้ร่วงนี้คือเปลี่ยนข้ามวันเลยนะ สมมติแบบเหลืองๆ อยู่อย่างนี้ ถ่ายเสร็จเราก็นอนตื่นลงมาตอนเช้าขาวโพลนหมดเลยเป็นหิมะหมดเลย แบบเปลี่ยนข้ามวัน จริงๆ อยากอยู่ตอนเขียวด้วย คนถ่ายรูปมาแบบไม่เคยเห็นฟ้ามาก่อน ฟ้าแบบฟ้าจริงๆ ไม่รู้ว่าเห็นใกล้หรือสูงจากน้ำทะเลเยอะผมก็ไม่รู้ สีมันครับแตกต่างกันมาก

          Q. นอกจากตัวอนันดาแล้ว ยังได้ร่วมงานกับนักแสดงหญิงหน้าใหม่ด้วย
          S. คือจริงๆ ในพาร์ทผู้หญิงก็จะเจอกันไม่ค่อยเยอะ เพราะเราต้องแยกตัวไปทิเบตด้วยไง ก็ดีครับ ได้เล่นกับฝนซึ่งเขาเป็นนักแสดงใหม่ด้วย เขาก็พยายามทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุด ก็ดี มีความตั้งใจ ต้องบอกว่าบทน้ำที่ฝนแสดงถือว่ายากและท้าทายครับ คือบทฝนในเรื่องเขาจะเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง เขาเลยทำให้ตัวละครวุฒิซึ่งเหมือนมันไม่มีที่พึ่งอะไร รู้สึกว่ามีเป้าหมายในชีวิต หลังจากที่ได้มาเจอน้ำ และตัวน้ำจะพูดและคอยบอกตลอดเวลาในเรื่องของการอยากให้วุฒิไปเจอชัมบาลา อยากให้ดูแลตัวเอง แข็งแกร่ง เข้มแข็ง เข้าใจในโลก ก็ตั้งแต่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกแล้ว คือจริงๆ ก็ไม่ได้ถูกใจอะไรกันมาก เหมือนจะต่อล้อต่อเถียงด้วยซ้ำ พอเจอปุ๊บมันเป็นการพูดคุยพบกันโดยบังเอิญมากกว่าครับ แล้วพอทั้งคู่ได้พูดคุยกัน มันเป็นเหมือนแลกเปลี่ยนวิธีคิด คือวุฒิไม่เคยเจอคนๆ หนึ่งที่อยู่ดีๆ มาพูดจาแบบนี้กับเราว่ากลัวทำไมความตายทุกคนก็ต้องตาย เป็นผู้หญิงที่มองเห็นคุณค่าทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งรูปถ่ายธรรมดา น้ำก็จะเห็นคุณค่าของมัน และเป็นคนที่เลือกมองในอีกแง่มุมหนึ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ได้มองกัน วุฒิก็เลยรู้สึกดีต่อผู้หญิงคนนี้และหลังจากนั้นก็ได้คบหาและใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะจะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ของวุฒิมันก็มีกันอยู่แค่นี้คือคนรักซึ่งคือน้ำ นอกจากครอบครัวที่มีพี่ชายอีกคน ที่หายไปอยู่ที่ไหนกันไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะเหลือเขากับน้ำ แค่นั้นคืออยู่ด้วยกันตลอด ไปไหนก็ไปด้วยกันมาตลอด

          Q. ทราบมาว่าในการทำงานจะมีการแชร์ไอเดีย เสนอแนะเรื่องการแสดงระหว่างนักแสดงและผู้กำกับตลอดเวลา
          S.ครับก็จะมีคุยๆ กันตลอดเราก็จะช่วยกันทุกตำแหน่งครับ ในเรื่องสมมติผู้กำกับอยากได้ฮาด้วยหรือเล่นมุขด้วย ก็จะมาคิดกันว่ายิงอย่างนี้ฮาไหม เขาก็ถามผู้กำกับ ถามผม ก็จะช่วยกันทั้งหมด ในแง่ของตัวละคร คือจริงๆ รู้สึกได้เลยครับเวลาที่คนเราอยากทำอะไรจริงๆ อย่างอนันดาเขาอาจจะทำงานของเขา เป็นนักแสดง หรือพี่ปี๊ดอาชีพเป็นเบื้องหลังทำอะไรตลอด กลับกันผมรู้สึกว่ายังเฉยๆ มากสำหรับเขา แต่ทุกครั้งเวลาที่พวกเขาพูดถึงหนังกันความรู้สึกมันส่งออกมาได้เลยว่าเขาอยากทำจริงๆ และผมรู้สึกดีที่ได้มีโอกาสมาอยู่เป็นส่วนหนึ่งในหนังของเขา และท้ายที่สุดเราก็ได้ทำความฝันของคนๆ หนึ่งให้เป็นจริง

          Q. พูดถึงนักแสดงหญิงอีกคนที่ร่วมงานด้วย โอซา แวง
          S. จริงๆ กับโอซาไม่ค่อยได้เจอกันมากมายครับ ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารักดีครับ จริงๆ เขาเหมือนฟังภาษาไทยออกครึ่งหนึ่งครับและก็พูดได้ด้วย พูดไทยได้ด้วยบางคำ ก็ดูเขามีความตั้งใจจริงๆ นะ แต่เขาชอบมากเลยนะผู้กำกับเนี้ยะผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรหรือเปล่าแต่ผู้กำกับเขาชอบโอซามากเป็นพิเศษ (หัวเราะ)

          Q. ประสบการณ์การทำงานในทิเบต
          S. เรารู้สึกดีครับเพราะว่าตอนเราทำตอนนั้นมันลำบากครับ ในการเดินทางทุกสิ่งทุกอย่าง ไปนอนกลางป่าแบบจะลบยี่สิบ สิบกว่าองศาต้องนอนพื้น เพราะโลเกชั่นที่เราเลือกถ่ายทำไม่สามารถ ไม่มีโรงแรม เพราะต้องขี่ม้าเข้าไปในโลเกชั่น ขี่ม้าข้ามเขาไปในป่า แต่ว่าพอทุกอย่างผ่านมาแล้วก็โอเครู้สึกดีกับมัน แล้วพอได้กลับมาเห็นภาพหรือตัวผลงานที่ปรากฎออกมา พอมองย้อนกลับไปมันรู้สึกดีครับ เราจะไม่เหนื่อยเลย ตอนนั้นมันเหนื่อยในการทำ แล้วกล้าพูดได้ว่าพื้นที่สำหรับหนังแบบนี้มีน้อยมากครับที่เราจะได้เจอ ผมรู้สึกดีมากๆ เลยทำให้ผมต้องคว้าไว้ ผมต้องเล่นเพราะไม่รู้ว่าอีกกี่ปีที่จะได้อ่านบทแบบนี้แล้วรู้สึกดีอย่างนี้ครับ

          Q. ก่อนไปมีการเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า
          S. การเตรียมตัว ก็คือจริงๆ แล้วก็มีสิ่งที่เขาบอกเล่ามาทั้งหมดแล้ว แต่เพราะเราก็จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร คือว่าหนาว ตอนแรกที่ไปถึงก็ไม่ค่อยนี่หว่าอะไรแบบนี้ แต่พอไปหนาวแล้วเนี้ยะ มันหนาวจริงๆ มันหนาวแบบไม่มีจุดไหนเลยที่อุ่น คือเราจะพยายามหาอะไรไปเกาะ ไปทำอะไร มันทำไม่ได้ คือแบบเปิดแอร์อัดแล้วมีไม่มีผ้าห่มให้ มันเป็นแบบนั้นเลยครับทิเบต แล้วคนเล่าว่านั่งรถไปถึงสิบหกชั่วโมง พอเป็นคำพูดไง เฮ้ยมันก็นานนะ แต่ไม่ค่อยนานเท่าไรมั้งสิบหกชั่วโมงเดี๋ยวก็ถึง ปรากฎว่าก็ยังไม่ถึง สิบหกก็คือสิบหกจริงเพราะเราแทบนับทุกนาทีไม่มีอะไรให้เพลิดเพลินเลย นั่งสองคนจะอ้วกใส่หน้ากันนั่งใกล้กันจนเกลียดไอ้คนนั่งข้างๆ คือทรหดด้วยถนนก็แบบเหมือนสร้างตลอดเวลาครับ

          Q. ได้ข่าวว่าแม้แต่อาหารการกินก็ยังเป็นอุปสรรค
          S. จริงๆ แล้วมีหนึ่งอย่างครับ เวลาที่เราไปเมืองนอกประเทศอะไร ไปแล้วถ้าเป็นยุโรปก็คงต้องมีภาษาอังกฤษ มันคงมีอะไรที่ทำให้เราเข้าใจได้ แต่นี่มาถึงปั๊บจีนล้วน เราคงต้องเอาคนจีนไปด้วยถึงจะช่วยเรามีชีวิตได้ สมมติเรามานั่งกันเองไปกันทั้งกองถ่าย ไปถึงนั่งที่โต๊ะ เฮ้ย หิว ทำยังไง สุดท้ายแต่ด้วยมีความเซอร์อยู่ในตัวไงครับ ก็เลยคือเดินเข้าไปในครัวแล้วชี้ว่าเอานี่ ชี้เนื้อหมู ไปใช้อย่างนี้เลยครับ (ทำท่า) คือมันบอกเขาไม่ได้ ก็ผัดพริกเผา ผัดอะไร เราก็ชี้ๆ ว่าใส่อะไรบ้าง เป็นแบบนั้น จริงๆ ผมพกข้าวเหนียวไปด้วยนะ พกใส่กระติ๊บไป ไปถึงแข็งโป๊กเลย ครับตอนนั้นที่กินน่าจะมีเนื้อจามรีด้วย แต่จำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะตอนนั้น ผมป่วยด้วย ลิ้นมันจะไม่รู้รสอะไรเลย แต่ต้องกินให้หายหิว แต่กินไรไม่ค่อยได้มากเพราะป่วยอยู่ อุปสรรคส่วนใหญ่มีแต่ความหนาว ธรรมชาติต่างๆ เจออะไร สิ่งอะไรเยอะ มันอยู่ในพื้นที่สูงด้วย ขึ้นไปเหนือระดับน้ำทะเล 4 พันฟุต แล้วช่วงเวลาที่เราไปด้วยคือในฤดูใบไม้ร่วง ก็เปลี่ยนสีแล้ว ใบไม้เปลี่ยนจากเขียวไปเหลืองแล้ว เราก็จะไปช่วงนั้นแล้วมันก็ข้ามวัน เราขึ้นไปนอนปุ๊บถ่ายเสร็จตื่นมาตอนเช้าก็แบบขาวโพลนไปหมดเลย เป็นช่วงหิมะตก เป็นช่วงที่ฤดูมันเปลี่ยนที่เราไม่รู้ เห็นกับตา จากเมื่อวานไม่มี ยังแห้งๆ อยู่ คือจริงๆ ถ้ามาก่อนหน้านี้มันคงเขียวและสวยมาก แต่เวลาเรามาเป็นช่วงที่ใบไม้ร่วงแล้ว ก็จะเป็นสีเหลืองๆ และเปลี่ยนสี จริงๆ อยากได้สามสี ถ้าได้สามสีจะสวยมาก แต่อาจจะอยู่ที่นั้นสักสี่เดือน กลับมาเปลี่ยนชื่อ ตอนแรกก็ไม่ได้ร้อน ก็ไม่คิดว่าคงหนาวมาก ก็ไม่หนาวมาก แต่พอไล่จากจีนขึ้นไปเชิงตู เราลงเชิงตูนั่งเครี่องบินมาแล้วก็นั่งรถไป หนาวขึ้นตามระยะทางเลยครับไปถึงอุณหภูมิลดทีละนิดๆ หนาวขึ้นตามระยะทาง

          Q. ที่บอกว่าหนาวๆ นี่หนาวระดับไหน
          S. อยากให้เข้าใจว่าไม่มีทางพอ ไม่มีที่ว่าจะใส่อะไรแล้วรู้สึกว่าอุ่นจัง สบายใจ ร้อน เหงื่อท่วมไม่มีนะครับ ใส่เท่าไรก็ไม่พอ มีทุกอย่างใส่เข้าไปเถอะ ยิ่งตอนอยู่ในป่าใกล้ชัมบาลา พื้นนี้แบบเย็นอย่างกับน้ำแข็ง ต้องนอนกันอย่างนั้น จุดไฟก็แล้ว อะไรก็แล้ว มีแต่ควัน ดมควันกันตายอีก (หัวเราะ)

          Q. ร่วมงานกับน้ากล้วย ณัฐวุฒิ กิตติคุณ ผกก.ภาพระดับท็อปของประเทศ (นางนาก, โหมโรง, ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, องค์บาก ฯลฯ)
          S. ชอบมากๆ ในเรื่องนอกจากที่น้ากล้วยเขาเป็นคนนิสัยดีแล้ว น่ารักมากครับ คือในเรื่องของการทำงานของเขา ผมไปดูภาพเขา โอ้โหสวยจังและทำเร็วด้วยนะครับ แสงโน้นนี่ ชอบครับชอบมาก รู้สึกดีที่ได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ รู้สึกดีมากครับแล้วภาพที่เราถ่ายออกมามันเป็นสถานที่ที่แปลกตาด้วย ถ้าบ้านเราก็เป็นสถานคุ้นเคยที่เห็นอยู่แล้ว อันนี้เหมือนเราดูหนังฝรั่งที่เห็นแล้วแบบ เฮ้ยที่นี่ที่ไหนคิดไม่ออกไม่คุ้นเลย ก็จะได้ความรู้สึกแบบนั้น อาจจะเป็นสักเรื่องที่ไม่มีเชื้อชาติในโลก เป็นภาพที่แบบไม่รู้ชาติไหน ถ้ามันไม่พูดไทยกันเราจะรู้ไหมว่ามันชาติไหนกัน และนักแสดงแต่ละคนชื่ออนันดา ชื่อซันนี่ โอซา มีฝนคนเดียวที่ดูไทยเนี้ยะแหละ (หัวเราะ) เฮ้ยหนังอะไรเนี้ยะนานาชาติ ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่าการทำงานที่กว่าจะได้ภาพสวยๆออกมาอย่างที่เห็น

          Q. เรื่องราวของชัมบาลา
          S. ก็สำหรับเรื่องชัมบาลาก็จริงๆ แล้วมันเริ่มจากการเดินทางด้วยความอยากจะทำอะไรให้ใครสักคนหนึ่งก่อน คือด้วยเหตุการณ์นี้เราก็จะมองว่าเป้าหมายเราเป็นอย่างไรก่อน และก็ออกเดินทางโดยที่ดันมีความบังเอิญว่าพี่ชายของเราที่อยู่ดีๆ เละเทะอะไรมาไม่รู้ และกลับมาต้องไปด้วยกัน มันก็เลยเกิดเป็นสถานการณ์ที่ว่าจำเป็นละที่เราจะต้องไปด้วยกันเพราะมันไม่มีใครไปกับเราจริงๆ เพราะเราไปคนเดียวมันคงไม่รอด ก็เลยต้องไปด้วยกัน และเราเองก็ต้องการหาคนถ่ายรูปให้เราด้วยและดันมาเป็นไอ้นี้ ซึ่งแบบไม่เจอกันนานมากแต่ด้วยความสนิทกันที่เป็นพี่ชายของเราก็เลยไปด้วยกัน โดยเป้าหมายคือการค้นหาชัมบาลา ส่วนเป้าหมายของพี่ชายเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปค้นหากับเราหรือแค่ไปเปลี่ยนที่กินเหล้าเหมือนที่เขาพูด แล้วทำไมถึงต้องเป็นทิเบต จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลมันมีความสำคัญไม่ใช่ เอะอะอยากไปเมืองนอกกันเฉยๆ มันเป็นความรู้สึกที่ นี่เป็นดินแดนแบบนี้มันมีเรื่องความเชื่อหรือเรื่องความคิดความรู้สึกของประเทศนั้นได้เข้ามาหาคนสองคนนี้ที่มีความคิด มีปมอยู่ในใจอยู่ ซึ่งมันตรงกับพวกเขาทั้งคู่ เหมือนความบังเอิญก็เลยได้ไปที่นี่ และก็ได้ไปด้วยกัน แล้วความเป็นทิเบตทำให้เขาคิด ทำให้เขารู้สึก เพราะระยะเวลาการเดินทางในทิเบตมันยาวนานมาก มันเลยเป็นเวลาที่ นี่แหละมีเจอกันอยู่สองคนแค่นี้ มันก็เลยทำให้เรามีความรู้สึกว่ามันมีอะไรในชีวิตของเราที่ขาดหายไป อะไรของชีวิตที่เราต้องการ อะไรในชีวิตเราที่เราต้องดูแล ในเรื่องจะเป็นแบบนั้น

          Q. นอกจากเรื่องราวของชัมบาลาแล้วซันนี่มีของที่ระลึกเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธาของคนทิเบตมาแนนำด้วย
          S. วันนี้นะครับจะมาแนะนำสินค้านำเข้าจากทิเบตนะครับ เปรี้ยง อันนี้ก็เป็นกงล้อมนตรานะครับผม คือจริงๆ จะมีทั้งอันใหญ่อันเล็ก แต่นี่เป็นสำหรับคนที่ใช้ไว้ถือไว้ ข้างในก็จะเป็นคัมภีร์มียันตุ์ก็จะแบบว่าคือหมุนรอบจริงๆ ตามความเชื่อของกงล้อมนตราก็จะสวดหนึ่งรอบ หนึ่งครั้งเท่ากับสวดหนึ่งรอบ แต่ถ้าคนที่ถือไปด้วยเนี้ยะก็จะให้มีสมาธิหมุนและสวดไปด้วย ก็คือคนทิเบตก็จะทำอย่างนี้ เหมือนมีสติแยกความรู้สึกสวดไปด้วย หมุนไปด้วยกงล้อมนตรา แต่เขาจะทำแล้วคิดอะไรเพื่อคนอื่นนะ ถ้าหมุนผิดฝั่งก็ไม่ดีนะครับ แต่เราหมุนไม่ได้แล้ว มีสติแล้วสวดไป

          Q. ท้ายนี้ฝากอะไรเกี่ยวกับชัมบาลา
          S. ติดตามนะครับข่าวคราวของชัมบาลาเข้าฉาย 23 สิงหาคมนี้นะครับ หรือติดตามได้ในอินสตาแกรมนะครับ 99_stepstoshambhala จะมีข่าวคราวว่าเราทำอะไรกันมาบ้างที่ทิเบตก่อนชัมบาลาจะเข้า ดูกันด้วยครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 10, 2012, 09:01:13 AM
“เลิฟแอทเฟิร์สไซท์” ซันนี่ปิ๊งฝนนางเอกใหม่กลางตลาดรถไฟ ก่อนตะลุย “ชัมบาลา”



                 ก็ยืนยันว่าเป็นหนังดราม่า-โรแมนติคแบบอารมณ์ดีฟีลกู้ดแต่เป็นกู้ดที่มีลายเซ็นต์เฉพาะตัวของผกก.หนุ่มไฟแรงปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อยที่ลงมือเขียนบทและกำกับด้วยตัวเอง จนเข้าตา2พระเอกซูเปอร์สตาร์อย่างอนันดา เอเวอริงแฮม และซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ยอมตัดสินใจประกบบทบาทคู่กันเป็นครั้งแรก เพราะชอบใจในตัวบทภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่น้อง 2 คนที่ต้องเดินทางไปยังดินแดนบนหลังคาโลกเพื่อตามหาจุดหมายที่เรียกว่า “ชัมบาลา” แถมหนังเรื่องนี้มีพระเอกสุดฮอตถึง 2 คนแน่นอนว่าย่อมต้องมีซีนโรแมนติคของพระเอกสุดหล่อกับนางเอกสาวสวยคู่กันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากรักแรกพบ (LOVE AT FIRST SIGHT) ระหว่าง วุฒิ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) และ น้ำ (ฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล) นางเอกใหม่ถอดด้าม ที่ผกก.และทีมงานยกกองไปถ่ายทำถึงตลาดรถไฟ สถานที่ช็อปปิ้งสุดฮิตของหนุ่มสาวชาวกรุงยุคนี้กันเลยทีเดียว โดยเลือกถ่ายทำในคืนศุกร์ที่ตลาดเปิด แน่นอนว่ายิ่งดึกเท่าไหร่ผู้คนก็ยิ่งคึกคักทำให้ฉากนี้ดูสมจริง และเป็นธรรมชาติสมใจผกก.เลยทีเดียว

          “ซีนนี้เป็นซีนที่เราจะได้เห็นจุดเริ่มต้นของความรักของ 1 ใน 2 คู่ พระเอกนางเอก ของภาพยนตร์เรื่องชัมบาลานั่นคือ ซันนี่กับฝน นอกเหนือจากอนันดา กับโอซา โดยเป็นซีนที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรก เป็นความประทับใจแรกที่ส่งผลให้เกิดเรื่องราวสำคัญของภาพยนตร์ และเป็นจุดเริ่มต้นและที่มาของการเดินทางสู่ชัมบาลาของ 2 พระเอก ซึ่งเราเลือกตลาดนัดรถไฟ เพื่อให้ได้บรรยากาศที่สมจริง เพราะว่าตัวนางเอกของเราจะเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยว ชอบถ่ายรูป เขาก็จะถ่ายภาพโพลารอยด์ที่มีรูปเดียวในโลก แล้วก็เอามาวางขายที่ร้านซึ่งเปิดเป็นร้านเล็กๆ แบบแบกะดินในตลาดรถไฟ แล้วตัวพระเอกเองก็เป็นคนชอบเดินเล่น ก็เลยได้มาเจอกัน แล้วก็เป็นซีนที่ว่าไป จะโรแมนติคน่ารักหวานแหววมั้ย ก็ไม่เชิง แต่จะโรแมนติคน่ารักแบบจริงใจสีชมพู แบบชัดๆ ตรงไปตรงมามากกว่า เพราะซีนนี้ทั้งคู่เขาก็มีการต่อปากต่อคำกันเล็กน้อย แล้วนางเอกเราถึงจะดูตัวเล็กบอบบาง แต่ก็เป็นสาวแกร่งที่หนุ่มๆอย่างซันนี่มีสิทธิ์หงอเลยละ”

          ถึงแม้ว่าจะเป็นนางเอกใหม่แต่งานนี้ผกก. ปี๊ดออกตัวชื่นชมการแสดงของฝน นลินทิพย์ อย่างเต็มที่ ด้วยคาแรคเตอร์เฉพาะตัวที่อารมณ์ดี ยิ้มง่ายมองโลกสดใสเชื่อว่าทุกคนจะค่อยๆ ตกหลุมรักเธอเหมือนกับคาแรคเตอร์ น้ำ ในภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา ที่ทำให้พระเอกซันนี่ถึงกับตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ และยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอคนนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางไปยังดินแดนบนหลังคาโลกอย่างทิเบต

“ในซีนนี้คนดูจะสัมผัสได้ถึงความประทับใจแรกที่ตัวพระเอกมีต่อนางเอก ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกทุกอย่างความเป็นตัวตนของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ถูกถ่ายทอดผ่านคำพูด ท่าทาง น้ำเสียง แววตา ที่เชื่อว่าผู้ชายทุกคนจะสัมผัสได้จากน้ำเหมือนที่ตัวละครวุฒิของซันนี่สัมผัสได้ จากซีนนี้ผมอยากให้คนดูได้ดูแล้วกลับไปถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราเองเป็นอย่างตัวละครคู่นี้รึเปล่า ที่ผ่านมาเราใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่ออะไรเราทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้กำลังตามหาอะไรอยู่ แล้ววันหนึ่งเมื่อเวลาผ่นไป เราจะมาเสียใจภายหลังรึเปล่า คือในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะในซีนนี้ผู้หญิงคนหนึ่งได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชายคนหนึ่งและสะกิดเตือนให้เราทุกคนได้ตระหนักว่า ในทุกวันและเวลาที่ดำเนินไปเราใช้ชีวิตของเราอย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง”

          แหมนึกว่าจะหวานแหววกุ๊กกิ๊กอย่างเดียวที่ไหนได้ผกก. ปี๊ดแอบมีลูกซึ้งชวนให้แง่คิดซะด้วย อย่างนี้ไม่ธรรมดาสมกับที่หลายๆ คนบอกว่า “ชัมบาลา” มีหลายๆ อย่างเซอร์ไพรส์ในแง่ความรู้สึกที่สัมผัสได้ จนนักแสดงและทีมงานทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากให้คนไทยดูหนังเรื่องนี้กันจริงๆ 23 สิงหาคมนี้ร่วมเดินทางไปด้วยกันทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 15, 2012, 03:40:25 PM
ภ.ชัมบาลา ชวนคุณถ่ายรูปกับสถานที่ที่ใดก็ได้ พร้อมบรรยายใต้ภาพว่าทำไมที่นั่นถึงเป็น “ชัมบาลา”
 
          ถ้า...ชัมบาลา = สวรรค์
          แล้ว...สวรรค์ของคุณ = ที่ใด?

          ภ.ชัมบาลา ชวนคุณถ่ายรูปกับสถานที่ที่ใดก็ได้ พร้อมบรรยายใต้ภาพว่าทำไมที่นั่นถึงเป็น “ชัมบาลา” ของคุณ และ tag มาที่ Facebook/Sahamongkolfilmint
          ลุ้นเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือ HTC One S และรางวัลอื่นๆ
          มูลค่ารวมกว่า 20,000 บาท
          ร่วมสนุกวันนี้ – 31 ส.ค.นี้เท่านั้น
          ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.facebook.com/sahamongkolfilmint
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:24:23 PM
MV “ประโยคบอกเล่า” เพลงประกอบภาพยนตร์ ชัมบาลา

MV ประโยคบอกเล่า OST.ชัมบาลา
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=DpGp8Khi8EY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=DpGp8Khi8EY</a>

          เสียงร้องโดย เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร GREASY CAFÉ
          คำร้อง ทำนอง ขับร้อง Greasy Cafe'
          เรียบเรียง รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์, Greasy Cafe'

          คนแต่ละคนออกเดินทางด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
          แต่สำหรับผู้ชาย 2 คน ที่ต่างมีมุมมองและเรื่องราวความรักต่างกัน
          อนันดา เอเวอริงแฮม / ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์
          กำลังจะพบกับการเดินทางครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
          ที่ทำให้มุมมองความรักของทั้งคู่เปลี่ยนไป
          คนหนึ่งออกเดินทางพร้อมความหลัง
          ส่วนอีกคนหนึ่งออกเดินทางด้วยความหวัง

          ออกเดินทางพร้อมกัน 23 สิงหา นี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:25:20 PM
บทสัมภาษณ์ “โอซา แวง จาก ชัมบาลา”









           “เจน” หญิงสาวที่ทิ้งทุกอย่างเพื่อชายหนุ่มที่เธอรัก สัมผัสหัวใจที่อ่อนไหวผ่านการแสดงของ “โอซา แวง” ผู้หญิงสวย เซ็กซี่และเต็มไปด้วยความสามารถ ครั้งแรกกับการประกบบทบาทคู่กับ อนันดา เอเวอริงแฮม ใน “ชัมบาลา”

          Q.ทราบมาว่าช่วงนี้โอซา แวง ไม่ได้อยู่เมืองไทยประจำ
          O. ตอนนี้ฉันเพิ่งกลับจาก LA ก็อยู่ที่นั่นได้ 3 เดือน ตั้งใจว่าจะไปหาประสบการณ์ให้ตัวเอง เพราะเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วได้มีโอกาสเล่นหนังฮอลลีวูดเรื่อง Prince and Me ภาค 4 จึงได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนนักแสดงและแนะนำให้ฉันรู้จักกับเอเจนซี่ที่นั่น และถือเป็นความโชคดีที่ทางเอเจนซี่ก็ตอบรับ ทำให้มีผู้จัดการที่ LA คอยดูแล และจัดหางานให้ ส่วนเอเจนซี่ที่ฉันได้เข้าไปอยู่ เขาก็ทำหนังดังๆมากมาย เช่น Hangover 2 และตอนนี้ฉันก็ได้เดินสาย Audition ที่นั่น ซึ่งถือเป็นงานหนักมาก ส่วนผลงานล่าสุดก็กำลังจะมีหนังเรื่อง ชัมบาลา ที่เล่นกับ อนันดา ก็คงต้องบอกว่าตอนนี้ก็คงจะโฟกัสที่งานภาพยนตร์ก่อน ก็เป็นผลงานที่ทุกคนรอคอย รวมทั้งตัวโอซาด้วยที่จะได้ดูผลงานของตัวเองเรื่องนี้ ก็ค่อนข้างตื่นเต้นกับกระแสตอบรับ ส่วนงานด้านอื่นก็ยังไม่มีแพลนค่ะ แต่ก็เดินทางอยู่ตลอดเวลา ทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ แล้วก็อเมริกาค่ะ แต่ถ้าสิ่งที่อยากทำจริงๆ ก็มีงานด้านภาพยนตร์แล้วก็ด้านแฟชั่นค่ะอาจจะเป็นการดีไซน์เสื้อผ้าหรืออาจจะมีแบรนด์เป็นของตนเอง แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคตนะ ตอนนี้ยังไม่ได้วางแพลนอะไรชัดเจนค่ะ ส่วนโปรเจกต์อื่นๆ ตอนนี้ก็มีงานที่สิงคโปร์ ซึ่งฉันเป็นกรรมการตัดสินรายการ ‘SUPERMODEL ME’ Season 3 ซึ่งเป็นรายการคล้ายๆกับ American Next top Model ของที่อเมริกา ซึ่งตอนนี้กำลังออนแอร์ Season 2 ที่สิงคโปร์อยู่ ซึ่งกระแสตอบรับค่อนข้างดี

          Q.มาพูดถึงผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่ทุกคนรอคอย อยากให้แนะนำ อธิบายคาแรคเตอร์ตัวละครที่โอซาได้รับในภาพยนตร์เรื่อง “ชัมบาลา”
          O: ฉันรับบทเป็น เจน นะคะ เจนเป็นชาวต่างชาติที่หลงรักประเทศไทยและหนุ่มไทย คือผู้หญิงที่ยอมเสียสละทุกอย่างในชีวิต เพื่อมาอยู่กับคนที่เธอรัก เธอเชื่อในรักแท้ เธอเป็นคนโรแมนติกมาก เธอเชื่อว่ารักแท้เป็นคำตอบของทุกสิ่งดีๆ ในชีวิต เธอหัดที่จะเรียนทำอาหารไทย เรียนรู้ภาษาไทย เธอรักคนไทย ชอบวัฒนธรรมไทย เพราะคนรักของเธอเป็นคนไทย เจนเป็นผู้หญิงที่เสียสละ และเชื่อมั่นในความรัก เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ ที่รักอิสระ สนุกสนาน กล้าแสดงออก และมีเสน่ห์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวละคร ทิน (อนันดา) หลงรักเธออย่างหมดใจ

          Q.เมื่อพูดถึงตัวตนของโอซาแล้ว คิดว่าคาแรคเตอร์เจนเหมือนหรือแตกต่างจากตัวจริงของมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
          O: ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับตัวละครตัวนี้มาก เพราะฉันก็เคยตกหลุมรักมาก่อน ซึ่งฉันก็เสียสละและยอมทำทุกอย่างเพื่อรักเช่นกัน ตอนที่อ่านบทฉันรู้สึกว่าฉันรู้สึกผูกผันและมีประสบการณ์ร่วมกับตัวละครเจน เพราะฉันเป็นชาวต่างชาติที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยเช่นกัน ฉันก็ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมไทย เรียนรู้ภาษาไทยและยังต้องเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับเมืองไทยแบบเดียวกับเจน ดังนั้นฉันจึงเข้าใจสิ่งที่เจนพยายามทำ ยังไงก็ตามก็ยังมีหลายๆอย่างที่ฉันจะทำซึ่งแตกต่างไปจากเจน ฉันเชื่อในความรัก แต่ฉันก็อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงเช่นกัน นั่นคือความแตกต่าง สำหรับเจน เธอจะทำทุกอย่างเพื่อความรัก แต่สำหรับฉันคงไม่ทุกทำอย่าง

          Q.สำหรับโอซาแล้วครั้งแรกที่เห็นบทนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง
          O: ฉันได้รับบทเจนมาก่อนที่ภาพยนตร์จะได้ถ่ายทำล่วงหน้า1ปี ครั้งแรกเมื่อฉันอ่านมัน ฉันรู้สึกทันทีว่าฉันต้องการจะเล่นหนังเรื่องนี้ ซึ่งตอนที่อ่านบทเรื่องนี้ฉันอยู่ที่ L.A. เมื่อฉันอ่านบทฉันก็โทรหาPRประจำตัวฉันที่เมืองไทยทันทีแล้วบอกว่า ฉันรู้สึกบางอย่าง เพราะว่าอย่างที่ฉันบอกว่าฉันมีประสบการณ์ร่วมกับเจน ฉันเข้าใจเธอ เรามีความคล้ายคลึงกัน ถึงแม้ว่าตอนนั้นตัวบทยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ฉันก็ตัดสินใจตอบรับ ตกลงที่จะเล่น เพราะฉันชอบบทและอยากจะเล่นเรื่องนี้ เพราะว่าในวันหนึ่งเมื่อฉันย้อนกลับมาดูหนังเรื่องนี้ จะได้รู้ว่าฉันผ่านอะไรมาแล้วบ้างเช่นกัน ฉันเองอาจมีความผูกผันเป็นพิเศษกับบทละครตัวนี้ โอเคจริงๆแล้วฉันเองอาจไม่ได้เหมือนเจนทุกอย่าง แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเธอ และมีประสบการณ์เหมือนกับเธอ

          Q.ความยากง่ายในการถ่ายทอดตัวละครตัวนี้
          O: เพราะว่าเจนเป็นคนที่เจ้าอารมณ์และก็ซับซ้อนมาก มีหลายบุคลิก ซึ่งมีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่แสดงออกกับความรู้สึกภายใน เจนเป็นคนที่เศร้า และก็มีความยากมากที่จะเล่นบทนี้ แต่ว่าฉันสามารถที่จะเชื่อมโยงถึงความรู้สึกเจนได้ ซึ่งมันแตกต่างจากคนทั่วไป ซึ่งคนทั่วไปไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ฉันสามารถใช้ประสบการณ์ในอดีตของฉันมาเชื่อมโยงกับความรู้สึกเจนได้ ฉันใช้เวลาอ่านบทนานมาก ในช่วงที่ฉันอ่าน ฉันก็รู้สึกแย่ มันยากที่จะผ่านไป เป็นบทที่เจ้าอารฒณ์เจ้าบทบาทที่สุดที่เคยเล่นมา ทำให้ฉันรู้สึกลำบากใจพอสมควร พูดถึงความยาก ฉันสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าบทนี้เป็นบทที่ยากมากๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในการถ่ายทอดบทบาทคาแรคเตอร์นี้ เมื่อถึงเวลาที่เจนมีความสุขฉันก็มีความสุขกับมัน ในขณะที่ช่วงเวลาที่เจนต้องเศร้าฉันก็ยังคงเศร้าอยู่ แม้ว่ามันจะจบการแสดงไปแล้วก็ตาม
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:26:13 PM
          Q.คาแรคเตอร์นี้แตกต่างจากบทบาทที่เคยได้รับมาก่อนหน้านี้อย่างไรบ้าง
          O: เป็นบทบาทที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของฉันมากที่สุดแล้วเท่าที่เคยเล่นมา มันเลยทำให้ตัวฉันมีความรู้สึกอินกับตัวละครตัวนี้เป็นพิเศษ ฉันเข้าใจว่าเธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง และฉันรู้สึกเหมือนเป็นเจนตอนที่เล่นบทนี้อยู่ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันรักตัวละครนี้มากพอที่จะเชื่อว่า คนเราต้องเสียสละทุกอย่างเพื่อความรักหรือเปล่า

          Q.เป็นตัวละครที่มีการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกค่อนข้างมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร้องไห้ ไม่น่าเชื่อว่าโอซาแวงจะเป็นนักแสดงเจ้าน้ำตาที่ร้องไห้เร็วมาก
          O: (หัวเราะ) เพราะเอามาจากประสบการณ์จริง ฉันคิดว่าทุกคนเคยมีความรักและอกหัก ทุกคนรู้ว่ามันเป็นอย่างไร เหมือนกับการรำลึกความหลังที่ไม่ดี ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันควรจะเล่าให้คุณฟังหรือเปล่า ว่าฉันคิดถึงใครในขณะที่ร้องไห้ ฉันเป็นคนที่อ่อนไหวอยู่แล้วโดยปกติ ผู้หญิงคนไหนที่อยู่ในสถานการณ์ของเจน ก็ต้องเศร้าเหมือนกัน

          Q.เป็นหนังไทยเรื่องแรก ที่แฟนๆจะได้เห็นโอซา แวงพูดภาษาไทยในบทด้วย
          O: เป็นครั้งแรกที่ฉันอ่านจากบทภาษาไทย แล้วก็ต้องเรียนภาษาไทยจากครูคนไทย และก็ต้องพูดให้ดีๆ

          Q.นี่เป็นหนังเรื่องแรกของคุณในรอบหลายๆปีที่คนไทยจะได้ดูหลังจากเรื่อง สวยลากไส้ (Sick Nurse)
          O: ค่ะ พูดได้ว่ามันเป็นบทที่แตกต่างจากบทที่ฉันเคยแสดง ฉันได้ทำอะไรมากขึ้นจากหนังเรื่องแรกของฉัน มาถึงชัมบาลาฉันได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นจากหนังเรื่องนี้ ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากเหมือนตอนที่เล่นหนังเรื่องแรก ซึ่งฉันเองก็หวังอยากที่จะให้ผู้ชมจดจำฉันจากตัวละคร “เจน” ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่มีอารมณ์อ่อนไหว แล้วฉันก็เชื่อว่าทุกคนล้วนต่างมีอารมณ์ร่วมไปกับเจนแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ล้วนต่างมีมุมนี้กันทุกคน

          Q.พูดถึงตัวละครตัวนี้ค่อนข้างมีเสน่ห์เลยทีเดียว ผู้หญิงที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาหลงรักเมืองไทยและหนุ่มไทย คุณคิดว่าพอหนังเรื่องนี้ออกฉายแล้ว ผู้ชมจะตกหลุมรักคุณมากกับตัวละครทินที่แสดงโดยอนันนาดารึเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนุ่มๆ
          O: คือในภาพยนตร์คนดูจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชีวิตของหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่มาเมืองไทย หัดทำอาหารไทย สมัครงาน พูดภาษาไทย ฉันก็ต้องเตรียมตัวในบางส่วน และบางส่วนก็เล่นไปตามบท และบางส่วนก็มาจากสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ

          Q: ในชีวิตจริงคุณชอบอาหารไทยไหม
          O: ชอบมาก แต่ไม่ชอบทานเผ็ด อาหารที่ชอบก็จะมีข้าวผัดทะเล ไข่เจียว บะหมี่ปู แต่ไม่ชอบต้มยำ ส่วนผลไม้ที่ฉันชอบทานก็จะมีสับปะรด และแตงโม และไม่ชอบทานอะไรที่หวานเกินไป

          Q. จริงๆ แล้ว ทำอาหารไทยได้หรือเปล่า
          O: ทำไม่ได้เลย ทำได้แต่มาม่าปู

          Q.ไอเดียหรือคอนเซ็ปท์ของหนังเรื่องนี้มีการพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับความรักที่เป็นแรงบันดาลใจ และตัวของคุณจะทำเพื่อความรักได้มากน้อยแค่ไหน
          O: ในเรื่องซันนี่กับอนันดาไปทิเบต เพื่อจะไปตามหารัก ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้มันพูดเกี่ยวกับตัวละคร 4 ตัว คู่รัก 2คู่ ที่มีความรักที่แตกต่างกัน ซึ่งมันก็ชี้ให้เห็นว่าความรักของแต่ละคนแตกต่างกัน ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัว บางคู่อาจจะจบดี หรือจบไม่ดี แต่มันเกี่ยวกับการเติบโตไปด้วยกัน คุณสามารถอยู่ในความรักและเติบโตไปพร้อมๆ กันได้ ในหนังเรื่องนี้มีนิยามความรักที่หลากหลาย และทั้งอนันดาและซันนี่ก็มีความรักในรูปแบบที่แตกต่างกัน

          Q.ในมุมมองของคุณหนังเรื่องนี้มีน่าสนใจตรงไหน อย่างไร
          O: สำหรับหนังเรื่อง ชัมบาลา เราพยายามที่ทำให้ความรักใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด มันไม่ใช่หนังรักแบบที่ทุกสิ่งที่อย่างจะต้องสวยงามเสมอไป แต่ทุกๆ คนสามารถที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวของตัวเองเข้ากับหนังเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และมันก็พูดถึงความรักที่แตกต่างออกไป ไม่ได้พูดถึงเฉพาะความรักของหนุ่มสาว ยังคงมีความรักของพี่น้อง และหลักๆ ก็พูดถึงความเป็นจริง เรื่องของวัฒนธรรมไทย ฉันคิดว่าคนหลายคนก็จะเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้จากหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มาเมืองไทย และอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย ฉันอยากให้คนดูรู้ว่าเราพยายามให้หนังใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด

          Q.หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับการตามหาความรัก ความเชื่อมั่น ความศรัทธาในดินแดนที่ชื่อว่า ชัมบาลา
          O: ซัมบาลาเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่น้อง 2 คน ที่มีความรักระหว่างพี่น้อง และก็มีความรักให้กับผู้หญิงที่เขารัก แต่ว่าเขารู้สึกหลงทางและไม่แน่ใจ พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปทิเบต เพื่อหาคำตอบในจุดสูงสุดในทิเบต ที่ชื่อว่า ซัมบาลา และเขาใช้เวลาเดินทางยาวนาน เพื่อให้ไปถึงทิเบต มันจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางและความรัก

          Q. ซัมบาลาในความหมายของ โอซา แวง คืออะไร
          O: ฉันไม่รู้ ฉันยังไม่เคยไป และวันหนึ่งฉันก็อยากไปทิเบตให้ได้ ถ้าฉันมีโอกาสไป ฉันคิดว่ามันคือการปลดปล่อย และตามหาคำตอบเกี่ยวกับหลายๆ สิ่ง และฉันคิดว่าจะได้คำตอบจากที่แห่งนั้น ฉันเป็นคนที่เชื่อในจิตวิญญาณ ฉันเชื่อว่าถ้าฉันได้ไปซัมบาลา ฉันจะพบความสงบสุขในชีวิต เช่นเดียวกับคนในหนังที่เขาได้เจอกับความสงบสุขในชีวิต

          Q.การถ่ายทำหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
          O: ฉันคิดว่า ผู้กำกับและทีมงานทุกคนทำงานหนักมาก เพื่อให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้น และฉันก็รู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขียนมาจากชีวิตจริงของคน เราทำงานหนักมากเพื่อให้เรื่องนี้สำเร็จลงไปได้ด้วยดี เนื่องจากหนังเรื่องนี้ถ่ายทำที่ทิเบต มันไม่ง่ายที่จะยกทีมงานทั้งหมดไปที่ทิเบตได้ ต้องขนอุปกรณ์ขึ้นเขา ทุกคนเหน็ดเหนื่อยในทางที่ดี มันไม่ง่ายที่จะทำให้สำเร็จ ทุกคนเอาประสบการณ์ใส่เข้าไป และพยายามทำให้ตัวละคร ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด มันจะไม่ใช่หนังเลยถ้าไม่มีอุปสรรคที่จะก้าวข้ามไป ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะได้ดู

          Q.ให้พูดถึงผู้กำกับ พี่ปี๊ด-ปัญจพงศ์ คงคาน้อย
          O: ฉันมีความสุขกับการทำงานกับเขามาก เพราะเขาให้อิสระในการทำงานของฉัน และยอมให้ฉันเสนอไอเดียใหม่ๆ ลงไปในหนังได้ ตอนที่ฉันเจอเขาครั้งแรก ฉันตั้งคำถามถามเขามากมาย ฉันจำได้ว่าฉันนั่งถามคำถามเขานานมาก ฉันอยากรู้ว่าเขาต้องการให้หนังเรื่องนี้ออกมาเป็นยังไง ในช่วงระหว่างที่ถ่ายทำ ฉันก็จะใส่ไอเดียของฉันลงไป แล้วเขาก็จะยอมรับ และยอมให้นักแสดงมีอิสรภาพในการที่จะเปลี่ยนแปลงบทบาทของตัวเอง เขาเป็นคนสนุกสนาน และไม่เครียด และฉันก็มีความสุขมาก ที่ฉันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฝันของเขาเป็นจริงได้ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาแค่ไหนก็ตาม ฉันเชื่อว่าเราฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันได้ดี
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:27:14 PM
          Q.อยากให้พูดถึงพระเอกของโอซา อนันดา ทราบว่าเคยร่วมงานกันมาก่อน แต่สำหรับชัมบาลา เป็นการแสดงภาพยนตร์ร่วมกันเป็นครั้งแรก
          O: ฉันเคยทำงานกับอนันดามาก่อนแล้ว แต่ว่าไม่เคยเล่นหนังด้วยกัน พอฉันอ่านบทแล้วฉันก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนนิสัยไม่ค่อยดีนะ(หัวเราะ) เขามีเจตนาดี แต่เขามีความรักที่แตกต่างออกไป สิ่งสำคัญก็คือฉันกับอนันดาทำงานร่วมกันได้ดี และก็เข้าใจกัน ฉันรู้สึกว่าเขามีความเป็นมืออาชีพมาก และฉันเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดี และเหตุผลที่ฉันรู้สึกว่าเราเข้าใจกันได้ดี เพราะพอเข้าถึงบทที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ ฉันสามารถเข้าถึงความรู้สึกของเขาได้ เมื่อถึงฉากมีความสุขฉันก็มีความสุข พอถึงฉากเศร้าฉันก็เศร้าตาม เพราะว่าเราเป็นคู่กัน เรามีความเข้าใจเหมือนๆ กัน

          Q. ในหนังเรื่องนี้ฉากที่ยากที่สุดของโอซาคือ
          O: มี 2 ฉาก ฉากนึงก็คือฉากในร้านกาแฟ และอีกฉากนึงที่ฉันกลับมาบ้านและก็ทะเลาะกับอนันดา แต่สำหรับฉันฉากในร้านกาแฟยากที่สุด ทำไมในฉากร้านกาแฟถึงยากสำหรับฉัน เพราะเป็นฉากที่ต้องใช้อารมณ์เยอะมาก ทำให้ฉันต้องคิดถึงหลายๆ อย่างที่ทำให้ฉันเศร้า อย่างเช่น เจนรู้สึกเดียวดายแค่ไหนในเมืองไทย ซึ่งสำหรับฉันมันก็เป็นเหมือนจุดกระตุ้นความรู้สึกเพราะฉันก็เคยรู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน ในฉากนั้นฉันรู้สึกเหงามากในต่างบ้านต่างเมือง เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก และในอีกฉากหนึ่งที่ฉันกลับบ้านและทะเลาะกับอนันดา ฉันรู้สึกว่ามันเป็นการพูดกันครั้งสุดท้ายระหว่างทินและเจน เนื่องจากเจนสะสมความโกรธ ความเหงา ความเศร้าและระเบิดออกมาในครั้งเดียว

          Q.เป็นฉากที่ทุกคนต้องดูใช่ไหม
          O: เป็นฉากที่ต้องดู เพราะมันโชว์ให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจน ข้อดีของหนังเรื่องนี้คือ ไม่ได้ทำเพื่อให้คนไทยดูเพียงอย่างเดียวแต่มันเหมาะสำหรับชาวต่างชาติที่มีความรักกับคนไทย เพราะมันบอกให้รู้ว่าคุณต้องปรับตัวกับคนไทย อาหารไทย วัฒนธรรมไทยอย่างไร

          Q.นอกจากนี้โอซา ยังมีโอกาสร่วมงานกับพระเอกสุดฮอตอีกคนหนึ่งของไทยอย่างซันนี่เป็นอย่างไรบ้าง
          O: ทำงานกับซันนี่สนุกมาก เป็นคนยิ้มแย้ม ร่าเริง เป็นคนที่ทำให้หนังมีชีวิตชีวา แต่ว่าคาแรกเตอร์ของซันนี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากตัวของเขามาก ในหนังเรื่องนี้เขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างซีเรียส และมีอารมณ์ขันแทรกอยู่เล็กน้อย เป็นสิ่งที่ดีที่จะเห็นซันนี่ในมุมมองที่แตกต่างจากบทปกติของเขา

          Q.ซึ่งที่ผ่านมาคนดูจะไม่เคยเห็นซันนี่ในบทที่เศร้าหรือดราม่า
          O: หนังเรื่องนี้จะช่วยให้คนดูเห็นมุมมองใหม่ๆ ของซันนี่ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นความสามารถในการแสดงของซันนี่ และคนส่วนใหญ่ก็ไม่คาดหวังว่าจะเห็น ซันนี่ อนันดา และ โอซาแวงในหนังเรื่องเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนันดามาเล่นบทอารมณ์ดี และซันนี่มาเล่นบทเครียด และเป็นสิ่งที่ดีมากที่ได้เล่นกับอนันดา

          Q. ทำไม SHAMBHALA ถึงเป็นหนังที่ต้องดู
          O: เป็นหนังที่มีการเอาตัวละครหลายๆ ตัวมารวมกัน และเป็นการหาความหมายของความรัก หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เกี่ยวกับความ
เป็นจริง เราพยายามที่จะไม่ตัดหรือเซ็นเซอร์ฉากไหนออกเลย ฉันรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงในเมืองไทย
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:28:25 PM
บทสัมภาษณ์ “ฝน จาก ชัมบาลา”









           “HOW FAR DID YOU GO FOR LOVE ?”ทำความรู้จักกับ “ฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล” ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำผู้ชาย 2 คนเดินทางไปยังดินแดนบนหลังคาโลก เพื่อจุดหมายที่เรียกว่า “ชัมบาลา”

          Q.ก่อนอื่นแนะนำตัวก่อนเลยดีกว่าว่าเข้ามาทำงานในวงการนี้ได้อย่างไร
          F.สวัสดีค่ะ ฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล ค่ะ ก็กำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาเข้าฉายค่ะ ฝนเรียนจบคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯค่ะ แต่ตอนนี้กำลังเรียนโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะบริหารการจัดการ เรื่อเข้าวงการได้ยังไง เป็นเรื่องบังเอิญมากค่ะ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเรียนอยู่ด้วยและมีพี่คนหนึ่งหานางเอกมิวสิควีดีโออยู่ และเขาอยากให้เราไปลองแคสท์ดู ซึ่งเป็นเอ็มวีตัวแรกชื่อเพลง “คนไม่มีเวลา” ใครที่รู้สึกคุ้นหน้าอาจจะบอกว่าไม่ค่อยเหมือนตอนนี้สักเท่าไร เพราะว่าประมาณสามสี่ปีมาแล้วค่ะ นานมากๆแล้ว หลังจากเอ็มวีออกไป ก็ทำให้ได้มีงานมาเรื่อยๆจากพี่ที่เป็นแคสติ้งหรือผู้กำกับก็ต้องขอบคุณพี่ผู้กำกับนั้นมากที่ทำให้เราก้าวเข้ามาในวงการนี้ด้วย ตัวต่อมาก็จะเริ่มมีเอ็มวีเพลงของพี่เบิร์ด แล้วพี่เบิร์ดเป็นนักร้องในดวงใจเราด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าดีจังเลยและเป็นเกียรติมากที่ได้ถ่ายทำเอ็มวีกับพี่เขา ก็จะเป็นเพลง “อกมีเอาไว้หักพาสหนึ่ง” ของพี่เบิร์ดที่เราได้ร่วมเล่น นอกจากนั้นก็จะมีเอ็มวีที่ได้ร่วมงานกับพี่อนันดาในฐานะผู้กำกับเอ็มวีเรื่องแรกด้วย ชื่อเพลง “เพราะเรานั้นคู่กัน” ซึ่งเอ็มวีนี้เราไปถ่ายกันที่ระยอง และก็จะได้เห็นภาพสวยๆจากรถที่เราเอามาขับด้วย และอีกอันก็จะเป็นของพี่ตุ้ยเอเอฟ เพลง “กลับไปหลับสักคืน” ซึ่งตัวนี้เราจะเป็นคนๆหนึ่งที่มันเกิดเหตุการณ์รถชนกันและเราป่วย มันคือสร้างเรื่องราวให้คนๆหนึ่งเขาคิดถึงเรา แต่ถ้าพูดถึงเอ็มวีตัวล่าสุดตอนนี้จะเป็นของพี่ดา เอ็นโดรฟินค่ะ ก็คือเพลง “ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ”ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลที่พี่ดาเขาทำให้โตโยต้าครบรอบห้าสิบปี ก็คือเพลง ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอค่ะ อันนี้จะแอบเห็นออนในโฆษณาด้วย เพราะอันนี้เขาแยกมาเป็นความพิเศษของมัน คือจะเสนอถึงเรื่องราวความผูกพันที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ของโตโยต้าที่มาจากรุ่นสู่รุ่น เราก็เลยได้ร่วมงานกับเขาด้วย นอกจากเอ็มวีก็มีพวกผลงานโฆษณาตั้งแต่นานมากแล้วค่ะสองสามปีล่ะก็มีทั้งซีพีและทรูสามจีที่ขึ้นไปถ่ายบนเขา ซึ่งพี่ผู้กำกับก็อยากแบบได้ฟีลอารมณ์หนาวมาก เราก็ต้องยกกองถ่ายขึ้นไปถ่ายบนนั้นด้วย ตอนนี้ก็มีรายการวิทยุค่ะที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น แต่ก็ต้องรอดูต่อไปว่า ก็จะมีรายการค่ะเป็นรายการไล์ฟสไตล์ของผู้หญิง ซึ่งเป็นเกี่ยวกับแฟชั่นท่องเที่ยวก็ชื่อรายการโฮมสวีทโฮมของช่องห้าที่ผ่านมา และก็กำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตก็คือชัมบาลานั้นเอง แต่ก่อนหน้านี้ก็จะมีภาพยนตร์ที่ทำดีเพื่อพ่อของในหลวงในช่วงห้าธันวาคมที่ผ่านมา เรื่องทางแยกวัดใจ ก็เป็นพาสหนึ่งที่ทำให้คนไทยอยากทำความดีเป็นสื่อกลาง

          Q.ฟังๆดูแล้วมีผลงานเยอะเหมือนกัน แล้วถ้าให้คำจำกัดความผู้หญิงที่ชื่อ “ฝน” เป็นอย่างไร
          F. ก็คงเป็นเด็กแบบโก๊ะๆคนหนึ่งล่ะ เป็นเด็กขี้ลืม เป็นคนมีความฝันนะค่ะ คือตั้งแต่เด็กๆล่ะ คือพ่อกับแม่ก็จะชอบให้ไปประกวดอย่างแบบว่าถือป้ายร้องเพลงตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว ถ้าถามว่าเราเป็นคนขี้อายไหม เราเป็นคนขี้อายมาก เพราะตอนนั้นเป็นเด็กเราก็คงไม่ได้คิดว่าเป็นความอายหรืออะไร ทำแบบสนุกๆ แต่พอเริ่มโตขึ้น เราก็รู้สึกว่าเราเริ่มหาความฝันและความชอบในสิ่งที่เรารักแล้ว พอเริ่มเข้ามหาลัยก็เริ่มที่จะเข้ามาทำงานในด้านนี้ พอมันเริ่มงานหนึ่งเรารู้สึกว่า เออเรารักจังเลยในด้านการแสดง ซึ่งเราอาจจะมีประสบการณ์ในตอนเด็กๆที่เคยทำนู่นนี้มาแล้วบ้าง พอมาเริ่มหนึ่งแล้ว เออเราอยากมีความฝัน เหมือนเราดูมิวสิคสีดีโอตัวหนึ่งแล้วเรามีความรู้สึกว่าเราอยากเป็นจังเลยนางเอกคนนี้ หรือว่าคนดูดูเราจะอินยังไงบ้าง และเรื่องภาพยนตร์มันคือหนึ่งอย่างเหมือนกันที่เป็นความฝันของเรา

          Q.แสดงว่ามีแววสนใจหรือหลงใหลเกี่ยวกับทางด้านการแสดงมานานแล้ว
          F. อย่างตอนแรกนะค่ะก็ประมาณสัก 7 ขวบได้คะ คือพ่อแม่รู้สึกว่าน่าเอาไปทำอะไรสักอย่าง เขาก็เลยส่งเราเข้าประกวดเต้นของโรงเรียน เราก็เลยรู้สึกว่าตอนนั้นก็เหมือนเป็นเด็กนะชอบแต่งตัว ไปฝึกเต้นกับเพื่อน แต่เรารู้สึกว่าพอผ่านช่วงนั้นมาแล้ว เออเราก็น่าจะมีความฝันที่มันเป็นตัวเป็นตนได้ เราก็พยายามหา หา อย่างช่วงสักประมาณยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสองตอนอยู่มหาลัยเริ่มที่จะมีโอกาสเข้ามาทำงานในด้านวงการ เรารู้สึกว่าเราได้แต่งตัว เอ๊ะมีกล้องมีคนที่ร่วมงานเป็นทีมงาน เรารู้สึกว่าเราชอบแล้ว และวันหนึ่งเราได้มาทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหนังก็เลยรู้สึกว่า มันไม่ง่ายนะ เพราะที่ผ่านมาฝนต้องแคสท์งานต้องผ่านการประกวดอะไรอีกมากมาย และวันนี้มันเป็นจริง เราภูมิใจจังเลยที่มันเป็นจริงขึ้นมาวันนี้

          Q.แล้วเป็นไงมาไงถึงได้เข้ามาเป็นนางเอกภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาได้
          F. คือฝนเคยร่วมงานกับพี่พีทแล้ว ซึ่งพี่พีทเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของเรื่องนี้ และเคยร่วมงานของเอ็มวีมาก่อน พี่พีทก็เลยลองโทรมาให้เราไปแคสท์ดู ตอนแรกมันตื่นเต้นเหมือนเป็นหนังเรื่องแรก เราต้องอ่านบททุกอย่าง ซึ่งก็จะมีพี่ผู้ช่วยคอยบรีฟว่าเราจะต้องเล่นซีนไหนบ้าง ซึ่งซีนที่ฝนได้รับเป็นซีนเริ่มต้นกับซีนตอนจบ ซึ่งเรื่องของอารมณ์มันแตกต่างกันมาก เอ๊ะเราจะทำยังไงดีนะให้เราเล่นซีนแรกกับซีนตอนจบให้มันดี เราก็จะคอยถามเขาว่า เออว่ามันประมาณไหนก็เริ่มค่อยบรีฟ เออมันคือหนัง มันคือครั้งแรกที่เราได้จับบท เออและเราก็เล่นออกมามันรู้สึกดี แค่เราเล่นออกมามันก็รู้สึกดีแล้ว อย่างผู้กำกับพี่ปี๊ด เขาเป็นผู้กำกับหนังที่ชัดเจนอยู่แล้ว และเรื่องคาแร็คเตอร์เขาก็เลือกออกมาได้ชัดเจนเหมือนกัน เราก็อืมโปรเจ็คท์นี้เราได้ยินมานานมาก เคยได้ข่าวว่าคนมาแคสท์เยอะมาก เราก็แอบยิ้มเหมือนกันคนแคสท์เยอะมาก เอ๊ะยังไงดีทำไมผู้กำกับถึงเลือกเรา ก็แอบงง

          Q.ตอนเห็นบทครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง
          F.ครั้งแรกที่ได้รับบทในการที่จะแคสท์ ก็จะเป็นซีนแรกกับซีนสุดท้าย ซึ่งเราตื่นเต้นตั้งแต่ที่ได้รับบทแล้วตอนแคสท์ ซึ่งบทมันมีความแตกต่างและมันก็ยากมากด้วย ซีนแรกจะเป็นซีนที่เราเจอกับพระเอกตอนแรกเราต้องจินตนาการว่า ถ้าเราเจอกับคนๆหนึ่งซึ่งแบบเป็นคนกวน แต่เราก็มีจุดยืนในมุมของเรา และเรามีความมั่นใจกล้าคิดกล้าทำ เราจะสู้กับเขายังไงดีกับความรู้สึก แต่พอมาเป็นซีนสุดท้ายหักมุมอยู่ดีๆก็เป็นเรื่องดราม่า ซึ่งเนื้อเรื่องตอนกลางเรายังไม่ได้ถูกรับรู้อะไรเลย และเราต้องจินตนาการเองว่าถ้าจบออกมามันต้องดราม่าขนาดนี้ เราจะร้องไห้ไหมหรือเราจะทำยังไงให้มันเศร้า ซึ่งมันยากตั้งแต่เรารับบทครั้งแรกแล้ว และพอวันหนึ่งเรารู้สึกว่า เฮ้ยเราได้บทนี้นะมันบอกไม่ถูกอย่างที่ฝนบอกตั้งแต่แรกว่ามันคือความฝัน มันคือภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตด้วย วันหนึ่ง มันเป็นเราที่เป็นส่วนหนึ่งที่จะถ่ายทอดความรู้สึกออกมาให้คนอื่นได้เห็นบ้าง โอ้โหดีใจและยิ่งมารู้ว่าเล่นกับพี่ซันนี่ซึ่งเป็นพระเอกในดวงใจใครหลายๆคนและฝนก็ติดตามผลงานเขาด้วย ซิทคอมเขาอะไรหลายๆอย่างหนังเรื่องเพื่อนสนิทเรื่องแรกเราก็ดูเรื่องของเขา แต่วันนี้เราได้เล่นประกบคู่กับเขา โอ้โหทั้งนักแสดงคุณภาพและหนังก็น่าสนใจมากๆในเรื่องของคาแร็คเตอร์ที่เราได้รับเล่นด้วย

          Q.คิดว่าเสน่ห์ของตัวละคร “น้ำ” ผู้หญิงที่ทำให้เกิดการเดินทางสู่ชัมบาลา อยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
          F.อย่างเสน่ห์ของตัวละครที่ชื่อ น้ำ นะค่ะ คือตอนแรกที่ฝนอ่านบทเลย รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่น่าอยู่ด้วยมากๆ เพราะเขาเป็นคนที่มีความคิดในแง่บวกตลอดเวลา พอเราคิดในแง่บวกที่อยู่ด้วยมักจะได้รับอะไรที่ดีๆเสมอ เราว่าเขามีเสน่ห์มาก เขาเป็นคนที่คอยซัพพอร์ตความรู้สึกคนอื่น เหมือนเป็นตัวนำให้แรงบันดาลใจการใช้ชีวิตของคนหลายๆคนด้วย แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์แล้ว เรื่องบทที่ได้รับมาถามว่ามันไกลตัวไหม มันอาจจะไกลตัวในเรื่องของบางเรื่อง ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ศรัทธาในความรักมากๆ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่า อะไรเอ่ยที่มันทำให้เรารู้สึกว่าดึงความศรัทธาของความรักออกมาได้ถึงตัวละครนั้น มันก็เลยต้องมีการปรับเปลี่ยน อย่างมีการเวิร์คช้อป ผู้กำกับพี่ปี๊ด พี่อนันดา พี่ซันนี่ พี่โอซาและก็ฝนเอง เราก็คุยกันว่าคาแร็คเตอร์แต่ละคนเนี้ยะอยากได้ประมาณไหน อย่างของฝนอยากได้เป็นผู้หญิงมองโลกในแง่ดีนะ คอยแบบให้กำลังใจแฟน และก็มีแรงศรัทธาในความรักเยอะมาก เราก็เลยต้องมาปรับเปลี่ยนเพื่อให้อินกับบทที่สุด

          Q.ตัวละครน้ำในชัมบาลากับตัวจริงของฝนนลินทิพย์ แตกต่างใกล้เคียงกันมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
          F.ถ้าจะเทียบคาแร็คเตอร์ของฝนกับน้ำ คือจะเป็นคนที่ใกล้เคียงเรื่องของมุมมอง เป็นคนมองโลกในแง่ดีซะส่วนใหญ่ที่จะมองในแง่ลบ เรารู้สึกว่ามันมีกำลังใจในการทำงานดำเนินชีวิตมากกว่า แต่เรื่องของความศรัทธาในเรื่องความรัก เราต้องทำให้ได้มากเท่าตัวละคร ซึ่งในชีวิตจริงอาจจะไม่ได้ศรัทธาขนาดนั้นก็เลยเอามาปรับเปลี่ยนแล้วก็หาเรื่องราวที่มันทำให้เรารู้สึกกับตัวนั้นจริงๆ คาแร็คเตอร์น้ำตัวนี้คือตั้งแต่ครั้งแรกในชีวิตที่เราได้รับบทๆหนึ่งแล้ว เราต้องเล่นให้มันเป็นตามคาแร็คเตอร์นั้น ซึ่งเราต้องเรียนรู้ตั้งแต่ความเป็นมาของชีวิตน้ำตั้งแต่เด็กจนถึงเขามีวุฒิ(ตัวละครที่รับบทโดยซันนี่)อยู่ในทุกวันนี้ เราเลยรู้สึกว่าจะทำยังไงดีให้เป็นน้ำ เราเลยต้องศึกษาในแง่ของมุมมองและก็การดำเนินชีวิตของเขา วิธีคิดซึ่งมันยากตรงที่เราทำยังไงให้เราไปอยู่ในความคิดของเขาและเป็นตัวเขาจริงๆ อย่างเรื่องถ่ายทอดความรู้สึกของน้ำมันมีตั้งแต่เจอพระเอกตอนแรกเลยตั้งแต่เชือดเฉือนอารมณ์กัน เพราะต่างคนก็ต่างมีความคิดเป็นของตัวเองซะส่วนใหญ่ ก็อาจจะมีมุมกวนๆนิดนึง แต่พอเรารู้สึกว่าวันหนึ่งมันเกิดความรักขึ้น ก็จะเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ดีๆที่เราแบ่งปันความรู้สึกให้เขา แต่พอหลังจากนั้นไปมันก็อาจจะเป็นมุมมองที่อาจจะไม่ผ่านคำพูด แต่มันเป็นความรู้สึกของคนที่รักกันแล้ว อาจจะมองด้วยสายตาก็น่าจะรู้แล้วค่ะ จริงๆมันมีหลายอารมณ์มากในแต่ละตอนแต่ละซีน
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:29:17 PM
          Q.ถ้างั้นต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่าคาแรคเตอร์ของน้ำเป็นอย่างไร
          F.สำหรับคาแร็คเตอร์น้ำนะค่ะเป็นคนจิตใจดี มองโลกในแง่บวกค่ะ ชอบท่องเที่ยว รวมถึงเขามีงานอดิเรกเป็นงานถ่ายรูป รวมถึงเขายังมีร้านกาแฟเล็กๆ และก็พอมันถึงจุดๆหนึ่งแล้ว เขาอยากไปท่องเที่ยวรอบโลกเลย ถ่ายรูปทุกสิ่งอย่างที่มันอยู่บนโลก เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงตัวแทนในเรื่องของแรงบันดาลใจ รักอิสระ รักศิลปะค่ะ ส่วนทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับวุฒิเนี้ยะ เขาเป็นแฟนกันมาและก็ใช้ชีวิตร่วมกัน เรียกว่าเป็นการให้กำลังใจและก็เติมเต็มกันอยู่ตลอดเวลา และเราก็มีร้านกาแฟเล็กๆอยู่ด้วยกัน ซึ่งคู่รักหลายคู่ก็คงอยากมีร้านกาแฟเล็กๆ มันเหมือนเป็นตัวแทนของความน่ารักของความเป็นคู่รักกัน และในร้านสังเกตุได้ว่าจะมีโปสการ์ดที่ทั้งคู่ได้ไปถ่ายกันมาจากที่ต่างๆทั่วโลกเลย ยกเว้นที่เดียวคือทิเบตที่เราสองคนยังไม่เคยไปถ่ายรูปด้วยกัน อันนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่ทำให้วุฒิอยากไปถ่ายรูปให้น้ำก็เลยเกิดทริปไปทิเบตขึ้นของวุฒิกับทินพี่ชายซึ่งรับบทโดยอนันดา มีจุดหมายปลายทางคือชัมบาลานั้นเอง ชัมบาลาก็คือดินแดนสรวงสรรค์แห่งความสงบที่เรียกง่ายๆ

          Q.สำหรับฝนแล้วมันน่าสนใจอย่างไรกับการที่ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งที่เขารักออกเดินทางไปยังดินแดนบนหลังคาโลกอย่างทิเบต เพื่อออกค้นหา สิ่งที่เรียกว่า “ชัมบาลา”
          F. คืออย่างชีวิตคนในปกติแล้ว ถ้าเป็นคนที่รักกันก็อยากที่จะทำอะไรให้กันอยู่แล้ว แต่ในคาแร็คเตอร์วุฒิกับน้ำ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นเหมือนอยากไปให้กับคนรักคนหนึ่ง ซึ่งมันมีความศรัทธามาก ซึ่งทิเบตมันไปไม่ง่ายค่ะ และรู้สึกว่าการเดินทาง อากาศและความเป็นอยู่ มันไม่ใช่บ้านเราค่ะ มันเลยมีแรงศรัทธามากขนาดเขาอยากทำให้ขนาดนั้น มันก็ยิ่งใหญ่มากแล้วสำหรับคนๆหนึ่งที่ทำให้คนรัก แล้วยิ่งที่ได้ชมในภาพยนตร์เราจะเห็นว่าตัวน้ำเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้วุฒิรู้สึก รู้จักการใช้ความรักและก็ดำเนินชีวิตเป็นแรงบันดาลใจ เอาด้านความอ่อนโยนด้านความรักของวุฒิออกมาได้ด้วยค่ะ คนดูก็จะเห็นว่าความศรัทธาและความเชื่อมั่นในความรักของวุฒิมันมีมากที่จะทำให้คนที่ตัวเองรักอย่างเช่นน้ำเอง จริงๆ

          Q. “ชัมบาลา”ในมุมมองความคิดของฝนคืออะไร
          F. คือสิ่งที่เป็นคุณค่าทางจิตใจค่ะที่เรารู้สึกว่ามันเป็นการเปิดรับสิ่งดีๆและความอ่อนโยน มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ซึ่งหาได้ยากมากจากจิตใจคน มันต้องถูกเปิดออกค่ะถึงจะได้พบกับคำว่าชัมบาลา

          Q.ส่วนตัวแล้วเชื่อใน “พลังศรัทธาของความรัก” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร
          F. ส่วนตัวฝนแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องของความรัก เราศรัทธาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก รอบๆตัวเรา ครอบครัว เพื่อน หรือว่าจะเป็นคนรักก็ตาม คือมันคือการให้ค่ะ แค่เราให้เรารู้สึกว่า มันอิ่มใจและรู้สึกว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์นั้นคือความศรัทธาง่ายๆของคนๆหนึ่งที่จะทำให้คนที่เรารักมีความสุขได้แล้วค่ะ

          Q.แล้วเคยทำอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นพลังศรัทธาของความรักหรือมีความรักเป็นแรงบันดาลใจหรือไม่ อย่างไร
          F.เคยทำนะอย่างในเรื่องความรักที่เราทำให้กับแม่ง่ายๆค่ะ คนใกล้ตัวที่เขาเลี้ยงเรามาตั้งนานแล้ว พอเรารู้สึกว่าเราอยากทำอะไรให้เขา แค่ให้เขามีความสุข และเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราให้เขาไปเขาได้รับและเขารู้สึก นั้นแหละมันคือได้รับกลับมาแล้วค่ะ

          Q.คงต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่า ชัมบาลา เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
          F. ชัมบาลาเป็นเรื่องราวของความรัก ความศรัทธาของคนๆหนึ่งจะทำให้คนๆหนึ่งได้ และก็จะเป็นสื่อถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องก็จะเป็นพี่ซันนี่ที่รับบทเป็นวุฒิกับทินนั้นคือพี่อนันดานั้นเอง รวมถึงระหว่างคนรักก็คือน้ำกับวุฒิด้วย เรื่องราวก็จะดำเนินไประหว่างพี่น้องสองคนซึ่งมีความแตกต่างกันมาก อย่างวุฒิจะเป็นคาแร็คเตอร์ที่ค่อยๆพูดค่อยๆจาอ่อนโยน ส่วนทินพี่ชายจะเป็นคนที่หยาบกระด้างมาก เป็นคนหัวดื้อมาก ที่ต้องเดินทางไปด้วยกันจุดหมายคือทิเบตดินแดนที่อยู่บนความสูงสี่พันเมตรโดยมีน้ำเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจที่ทำให้วุฒิต้องเดินทางไปตรงนั้น ระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางไปทิเบตด้วยกันก็จะเจอเรื่องราวเยอะมากมายเลย ทั้งความร้อนที่สุดและความหนาวที่สุด ต้องเผชิญกับทั้งสภาพอากาศ อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดระยะการเดินทาง โดยที่ทั้งคู่ที่นอกจากจะมีแนวความคิดแตกต่างกันแต่กลับต้องมาอยู่ด้วยกันก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่เถียงกันทะเลาะกัน ผิดใจกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งเราอาจจะไม่ได้เห็นความสัมพันธ์ของพี่น้องสองคนในมุมนี้สักเท่าไร และเรื่องราวในระหว่างนั้นทั้งคู่ก็จะค่อยๆซึมซับความอ่อนโยนและความศรัทธาของคนที่นั้นไปด้วยจนทำให้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ไปพร้อมกับการเดินทางเพื่อค้นหา “ชัมบาลา” แต่ถ้าอยากรู้ว่าชัมบาลาคืออะไรต้องติดตามกันในหนังค่ะ

          Q.ฟังดูน่าสนใจเลยทีเดียว ได้มีโอกาสร่วมงานกับพระเอกอย่างซันนี่ด้วยรู้สึกอย่างไรบ้าง
          F. เริ่มแรกเลยร่วมงานกับพี่ซันนี่ ซึ่งเป็นพระเอกในดวงใจใครหลายๆคนและก็ห่างหายจากภาพยนตร์ไปนานแล้ว และก็กลับมาเป็นเราประกบคู่กับเขา เราก็ต้องยินดีก่อนค่ะ ดีใจมากที่ได้เล่นคู่กับเขา เขาเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพมาก ก่อนหน้าที่เราจะได้รับบทเล่นกับเขา เราจะมองคาแร็คตอร์เขาเป็นคนตลก เพราะเราจะติดตามผลงานเขาไม่ว่าจะเป็นซิทคอมหรือว่าหนังที่ผ่านมาของเขา ซึ่งจะบอกว่าเรื่องนี้พลิกคาแร็คเตอร์เขาด้วย เป็นครั้งแรกที่เขามาเล่นดราม่า ซีนแรกที่ฝนได้มาเล่นกับพี่ซันนี่เป็นซีนที่ร้านกาแฟ ซึ่งตอนนั้นเป็นซีนที่เราไม่ค่อยได้คุยกับเขาอยู่แล้ว เขาก็เกร็งๆ เราก็เขินนิดนึง แต่ซีนนี้ก็เป็นเรื่องราวซึ่งฝนต้องตบหัวเขาด้วยและก็หลายทีมากด้วยจนเขาบอกว่าตบทีเดียวแรงๆไปเลยจะได้ทีเดียวจบ เราก็โอเค เล่นไป เราก็เริ่มรู้สึกว่าเขาเป็นคนเฟรนด์ลี่นะ พอเล่นด้วยเรารู้สึกว่าไม่เกร็งแล้วค่ะ พอหลังจากซีนนั้นไป และเราได้ร่วมเดินทางกันไปทิเบตด้วยกัน ซึ่งเราก็ได้ใกล้ชิดกับเขาทั้งเรื่องไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ปกติของเขาเลย คือเขาเป็นคนตลกค่ะ คือเขาพูดคำเดียวเขาก็ตลกแล้ว คือใครเห็นเขาในซิทคอมเขาเป็นคนยังงั้นเลย เป๊ะมาก และระหว่างการเดินทางมันไม่ง่ายเลยไงค่ะ มันก็นั่งรถก็สิบห้ากว่าชั่วโมง ก็จะมีการบ่นกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งคนที่บ่นมากที่สุดคือพี่ซันนี่ คือเขาจะบ่นตลอดทางเลยว่าแบบ อุ๊ยก่อสร้างนู้นนี้นั้น มันก็เป็นเขาตลกค่ะ เขาก็ทำให้คนอื่นไม่เครียดด้วย ด้วยความที่คาแร็คเตอร์เขาน่ารักด้วยร่วมงานก็คือสบายใจค่ะ ไม่เกร็งเวลาเข้าซีนกับเขา อย่างเราเดินทางไปทิเบตใช่ไหมค่ะ เราใช้เวลาไม่ว่าจะเครื่องบินสามชั่วโมงแล้ว ต้องนั่งรถโค้ชอีกสิบสองชั่วโมงกว่า ซึ่งโหดมาก แต่ละคนรู้สึกทำไมการเดินทางสองข้างทางจะเป็นเหวหมดนะค่ะเหมือนมีเลนเดียว แต่เอ๊ะมักจะมีรถสวนมาเสมอๆ ยังถามว่าเอ๊ะจะไปยังไงกัน ก็จะมีการหยุดตลอดเวลาในการเดินทาง ซึ่งกว่าจะถึงก็ตีสามของวันนั้นแล้ว ซึ่งอากาศแบบสามองศาแบบลมวูบมาก แต่พอไปถึงเรารู้สึกว่านี้ทิเบต มันมีทั้งแดดที่แรงๆค่ะ คือเราเคยคิดอยู่ว่า เอ๊ะทำไมคนทิเบตแก้มแดงจัง เราอาจจะคิดว่าเขาสุขภาพดี แต่เปล่าเลยคือแดดมันแรงมากทำให้ผิวเป็นแบบนั้น ซึ่งการปรับตัวของเรา มันยากมาก อย่างพี่ซันนี่อาจจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร ซึ่งตอนเขาไปเขาป่วยด้วยเจ็บคอต้องทานยาตลอดเวลา ซึ่งที่นั้นอากาศก็หนาวด้วยและก็ทั้งร้อนและหนาวปนกัน ทุกคนก็มีสุขภาพไม่ดีเท่าไร ทุกคนก็ดูแลกันตลอดเวลา อย่างเราเห็นเขาป่วยก็เอาน้ำอุ่นไปให้บ้างเอายาไปให้กินอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็เหมือนการดูแลกันค่ะ ซึ่งที่นู้นมันก็สวยจนบางทีเราลืมไปว่ามันหนาวมากขนาดไหนหรือว่าร้อนขนาดไหนไปแล้ว อย่างพี่ซันนี่พอเราไปถึงทิเบตแล้วใช้ชีวิตด้วยกันตลอดเวลาลงมากินข้าวลงมาซื้อของ เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยซื้อของ เพราะเราเห็นเขาเป็นคนที่ชอบเดิน โอ๊ะอันนี้ก็ไม่ใช่นะแล้วก็ไม่ซื้อ แต่ทุกคนจะขนของเยอะมาก ไม่ว่าจะมีของฝาก เดินเล่น ช่วงเวลาที่เราไม่ได้ถ่ายกัน รวมถึงการกินที่นั่นเขาจะมีการกินที่แปลกมากไม่เหมือนคนไทย พี่ซันนี่ก็จะไม่ค่อยถูกกับอาหารที่นั้น ก็จะกินง่ายๆอย่างไข่เจียวหรือมีอะไรที่แบบง่ายๆไม่ยาก คือส่วนใหญ่ก็กินไม่ค่อยได้เท่าไร ก็จะหาอะไรกินง่ายๆ ยังไงก็ได้ แต่เขาไม่ค่อยกินอารมณ์นั้น แต่ถามว่าเขาเป็นคนตลกในเรื่องของมุมมองความน่ารักของเขา ไลฟ์สไตล์ของเขาการใช้ชีวิตของเขาไม่ยากไงค่ะ เขาอยู่ยังไงก็ได้ อะไรก็ได้ ถ้าในเรื่องของการทำงานพี่ซันนี่ก็จะอีกมุมเลยนะค่ะ ถ้าเราเห็นเขาในมุมที่เป็นไลฟ์สไตล์เขาจะเป็นคนตลก แต่ถ้าในเรื่องของการทำงานเขาเป็นคนที่ตั้งใจในการทำงานมาก อย่างซีนที่เข้ากับฝน เขาก็จะมาบอกเราก่อนว่าคาแร็คเตอร์เขาเป็นแบบนี้นะ จะมีการบรีฟการส่งอารมณ์ในแต่ละซีนที่จะเข้าแต่ละครั้ง อย่างไปทิเบตอาจจะไม่ได้เข้าซีนอะไรกันเยอะแยะ แต่ว่าจะเห็นเขาเข้าซีนกับพี่อนันดา เราก็แบบโอ้โหเขาเก่งนะเป็นเหมือนนักแสดงคุณภาพคนหนึ่งเลยทีเดียว เราก็โชคดีที่ได้ร่วมงานกับเขาด้วย เพราเขาสอนเราให้เราทำในเรื่องของการแสดงมากขึ้นกว่าที่เรารู้อีก

          Q.ประสบการณ์ในการถ่ายหนังที่ทิเบตเป็นอย่างไรบ้างได้ข่าวมาว่ากว่าจะออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาได้ไม่ง่ายเลย
          F.ในเรื่องของการเดินทางไปใช้ชีวิตถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาที่ทิเบต ซึ่งครั้งแรกที่เราได้ยินว่าจะได้ไปคือมันดีใจมาก และช่วงที่เขาไปscoutโลเกชั่น(หาจุดหรือสถานที่ถ่ายทำ) ดอกไม้บาน ทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่เอาเข้าจริงแล้วช่วงที่เราไปมีแต่หิมะค่ะ และก่อนที่เราเดินทางไป เรานั่งเครื่องไปลงที่เฉินตู(เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน อันดับ3ของประเทศ)และก็ต่อด้วยรถโค้ชอีกประมาณสิบสองชั่วโมงกว่า กว่าที่เราจะเดินทางไปถึงทิเบตนี้คือ ถือว่าทรหดอดทนมาก มันไม่ง่ายเลยค่ะ สิ่งที่คาดฝันไว้มันนึกไม่ออกว่ามันจะเป็นแบบนั้น เพราะการเดินทางเรา คือตลอดเส้นทางเรานั่งรถโค้ชไปสองข้างทางอย่างที่มันเป็นเหวแล้วมันกำลังสร้างทางอยู่ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางนานมาก เพราะเราจะต้องหยุดตลอดเวลา แล้วอากาศที่มันอยู่ในรถรวมถึงฮีทเตอร์ที่มันช่วยอะไรไม่ได้ เพราะมันหนาวมากๆ แต่พอมันไปลงตรงนั้นสักประมาณตีสามค่ะที่ถึงเมือง ถึงโรงแรมตรงนั้นลมพัดเรียกได้ว่าติดลบและลมเย็นมาก ซึ่งทุกคนนี่คือทิเบตและทุกคนก็ลงมาเรารู้สึกว่ามันถึงเหยียบพื้นดินของมันแล้วค่ะ และแต่ละวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกินมันก็แปลกจากที่ไทยแล้ว เพราะที่นั้นเขาจะเป็นการกินอะไรที่เป็นไขมันซะส่วนใหญ่ เพราะเขาเชื่อว่าทำให้ร่างกายเราอบอุ่น แต่เราเป็นคนไทยกลับคิดว่าเอ๊ะมันเป็นไขมัน ซึ่งทุกคนก็จะน้ำมันน้อยลงได้ไหม อย่างไปบอกกุ๊กหรือไปบอกพ่อครัวหลายวัยเข้า เพราะคนเริ่มรู้แล้วนะค่ะว่าคนไทยมาจะลดน้ำมันลงและเป็นการกินที่เริ่มสบายขึ้น ส่วนเรื่องโรงแรมเตียงนอนทุกคนจะต้องเปิดฮีทเตอร์ให้เตียงมันอุ่น ซึ่งไม่งั้นเราจะนอนไม่ได้เลย เพราะว่าอากาศข้างในมันหนาวมากและทรมานมาก และช่วงที่เราจะต้องไปถ่ายแต่ละที่มันทั้งติดลบหิมะตกและรวมถึงข้างทางจะมีจามรี ซึ่งจามรีเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของทิเบตเลยทีเดียว เพราะว่าจามรีเป็นได้ทั้งเครื่องนุ่งห่ม ได้ทั้งเอามากิน ซึ่งทีมงานและผู้กำกับโปรดปรานมากเป็นจามรีสดๆ ซึ่งฝนไม่กินเพราะฝนไม่กินเนื้ออยู่แล้ว คือจะเป็นฝนคนเดียว พี่อนันดากับพี่ซีนนี่จะอารมณ์แบบเรียกได้ว่าสั่งมาอันลิมิตมากๆ สามสี่จานในห้องที่เขาแบ่งกันนี้โอ้โหข้างในฮือฮามาก เอาเนื้อจามรีสดที่นั้น เราก็เออสงสัยจะอร่อยจริง และบะหมี่ก๋วยเตี๋ยวที่นั้นก็อาหารที่นั้นจะแปลกๆ เราจะรู้สึกว่าเราไม่เคยกินที่ไทยนะ และก็ข้างทางก็จะเป็นของฝาก แต่ที่สังเกตุได้จะเป็นพวกระฆังมนต์ที่เราเห็นของที่เราเห็นๆกันอยู่ ซึ่งมันเป็นมุมมองที่เราไม่เคยเห็นเลยในบ้านเรา มันเป็นวัฒนธรรมของที่นู้นด้วย ส่วนอากาศก็แปรเปลี่ยนตลอดเวลามีหิมะตกวันนี้ วันนี้ร้อนจัดตอนกลางวัน ซึ่งสองอย่างนี้รวมกัน บางคนก็กินยาลดความกดอากาศของที่นั้นเลย เพราะมันทำให้เราป่วยมากๆทุกคนต้องดูแลตัวเองและก็มีการเข้าไปในชัมบาลาด้วย ซึ่งฝนอาจจะไม่ได้ไปเพราะเป็นผู้หญิง ต้องขี่ม้าเข้าไปสามชั่วโมงเต็มๆ ซึ่งก่อนที่เราจะไปเรามีการลาทีมงานด้วย ซึ่งก่อนที่ไปประมาณหกโมงเย็นของที่นั้น แล้วหิมะมันตกแรงมาก เราก็แอบเป็นห่วงนะว่าทุกคนจะไหวไหมแต่ก็ให้กำลังใจ เพราะว่าเห็นเขาขี่ม้าเข้าไปข้างใน และพอทุกคนกลับมาก็บอกว่าอุ๊ยอาหารไม่พอเครื่องนุ่งห่ม ทุกอย่างจนเรารู้สึกว่ามันเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไปด้วยกันทั้งทีมงานทุกคนเลย กลับมา นี่แหละคือทิเบตที่ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันและฟันฝ่าอุปสรรคมาและก็ภาพการแสดงบรรยากาศทุกอย่างมันรวมมาหมดแล้ว

          Q.เป็นนักแสดงหญิงคนเดียวที่ได้มีโอกาสไปถ่ายทำหนังที่ทิเบตและได้สัมผัสการทำงานของ 2 พระเอกระดับซูเปอร์สตาร์ เป็นอย่างไรบ้าง
          F.อย่างพี่ซันนี่กับพี่อนันดาเป็นการพบกันครั้งแรกของนักแสดงที่มีคุณภาพมากๆ แล้วมันคงเป็นเรื่องยากนะที่ทั้งคู่จะมาโคจรพบกัน แต่เรื่องนี้คือเรื่องแรกด้วย อย่างฝนเห็นการแสดงของเขาทั้งคู่ เรารู้สึกเลยว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพมากๆ และเราจะได้คำปรึกษาจากเขา ซึ่งเราโชคดีมากเวลาที่เราจะเข้าบทไหนเราก็จะปรึกษาเขาได้ แต่พอเรามาเห็นเขาเล่นจริงๆไม่ว่าจะเป็นซีนอารมณ์ ซีนตลก ซีนความสัมพันธ์ของพี่น้อง ซึ่งเป็นแบบความรัก ความรักน่ารักๆนะ อย่างมีหลายๆซีนที่เป็นการพลิกคาแร็คเตอร์ของทั้งคู่ให้แตกต่างกันมากเลย อย่างพี่ซันนี่จากตลกมาเป็นดราม่า แต่พี่อนันดาดราม่าแต่อันนี้ตลก มันเป็นความแตกต่างที่ทั้งคู่ทำให้มันลงตัวมากๆ เท่ากับเป็นการบอกคนดูได้เลยว่านักแสดงที่มีคุณภาพเล่นได้ทุกบทจริงๆ คือคำนี้เรารูสึกว่าเออพอเห็นสองคนนี้เล่นแล้วมันจริงค่ะ และก็เชื่อได้เลยว่าแต่ละซีนที่เขาเล่นมาเขาใช้อินเนอร์ และเขาก็ถ่ายทอดอารมณ์ได้ทุกซีน อย่างซีนที่ถ่ายที่ทิเบตมันไม่ใช่ถ่ายในสตูดิโอเมืองไทย เพราะฉะนั้นอุปสรรคในเรื่องของอากาศ เวลา สถานที่ที่มันเป็นการบีบมากๆเลย ซึ่งนักแสดงก็ต้องมีสมาธิแล้วเข้าใจอินเนอร์ของซีนนั้นด้วย ซึ่งมันยากมากๆ พี่อนันดากับพี่ซันนี่ เข้าซีนกันต้องต่อสู้กับอากาศที่มันหนาวมากๆ ซึ่งมันต้องมีซีนที่ปะทะคารมกัน แล้วตรงนั้นลมแรงมากเป็นซีนที่บอกว่า เหมือนทั้งคู่ความสัมพันธ์กำลัง เอ๊ะมันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันกลับทำให้ทั้งคู่เข้าใจกันได้ในซีนๆเดียวกัน คือนอกจากต้องบอกให้คนดูรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันที่สุดแล้ว มันมีเรื่องที่ต้องเล่าผ่านการแสดงของทั้งคู่ด้วย แล้วยิ่งพอมันต้องมาเจอความกดดันด้วยเวลาสถานที่ ถึงบอกได้ว่าพี่ๆเขาคือนักแสดงอาชีพที่มีคุณภาพจริงๆเมื่อได้เห็นการทำงานของเขา
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:29:56 PM
         Q.ได้ เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์คิดว่าเสน่ห์ของ “ชัมบาลา”คืออะไร
          F. อย่างโปรเจ็คท์ชัมบาลาเราได้ยินมาอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงตรงนั้นและรวมถึงรู้ว่าไปถ่ายที่ทิเบต มันรู้สึกว่ามันไม่มีแล้วค่ะภาพยนตร์ไทยที่จะไปตรงนั้นและมันไปยากมากๆ ซึ่งทางนู้นมันก็ไม่ง่ายที่จะเข้าไปถ่ายทำหนังอยู่แล้ว พอเราได้ไปเรารู้สึกว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ทุกคนก็คิดว่าการฝ่าฟัน การแสดงที่ต่อสู้กับลมหนาว ซึ่งมันหนาวมากๆรวมถึงอาหารความเป็นอยู่ มันแตกต่างจากประเทศไทยมากๆ แต่เราก็ได้ไปซึมซับวัฒนธรรมที่เขาเป็นอยู่ มันมีแต่ความสงบสุข มีแต่ความศรัทธาที่แบบรู้สึกได้จากตรงนั้น มันเลยเป็นโปรเจ็คท์ที่ยิ่งกว่าภาพยนตร์เรื่องหนึ่งค่ะ มันที่สุดแล้วของการไปทิเบต ก็อยากจะบอกว่าทั้งหมดในเรื่องมันอาจจะแบบว่าเป็นเวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้นสำหรับคนดู แต่การถ่ายทำตั้งแต่ทีมงานทุกคนที่เขาตั้งใจที่จะเริ่มโปรเจ็คท์ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันก็ยากแล้ว ตั้งแต่ถ่ายทำมาแต่ละซีน แต่ละวันที่เราต้องเดินทางในทิเบต แต่ละความหนาวที่เราอยู่ในทิเบตทั้งหมดมันไม่ง่ายค่ะสำหรับหนังเรื่องหนึ่งตรงนี้ เรารู้สึกว่าทุกคนตั้งใจและอยากให้มันออกมามาดีด้วยและพอทีมงานและนักแสดงเห็นมันคือความภูมิใจและก็ยิ้มกับมันทุกครั้งว่าบรรยากาศตรงนั้นมันคืออะไร

          Q. พูดถึงผู้กำกับบ้างพี่ปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อย
          F. ก็สำหรับพี่ปี๊ดผู้กำกับ ฝนทราบมาว่าความฝันของเขาสิบปีที่ผ่านมาที่เขาอยากมีคือหนังหนึ่งเรื่อง และเรื่องนี้ก็คือหนังเรื่องแรกของพี่ปี๊ดด้วย รู้สึกว่าตั้งแต่ร่วมงานกับเขามารู้สึกว่าเขาเป็นคนมีความฝันแล้วการทำงานของพี่ปี๊ดมันเป็นความตั้งใจมากๆเลยไม่ว่าแต่ละซีน แต่ละนักแสดง การบรีฟของเขา โดยส่วนตัวพี่ปี๊ดเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว การทำงานทุกอย่างมันออกมาดีหมด ก็ถ้าถามว่าการทำงานเขาดุไหม ก็แอบมีซีเรียสนิดนึง อย่างไปทิเบตก็เครียด ในเรื่องของเวลา ในเรื่องความหนาว ก็เลยโอเคทำให้ทุกอย่างมันผ่านพ้นมาได้ด้วยดี ก็แอบดีใจกับเขานิดนึง มันเป็นหนังเรื่องแรกสำหรับเขาเราก็เป็นส่วนหนึ่งในหนังของเขาด้วย อย่างความตั้งใจของพี่ปี๊ดที่ฝนเห็นชัดๆเลยเรื่องของการถ่ายทำที่ทิเบตมากกว่า เพราะว่าบางทีเรารู้สึกว่ามันยากกับการเข้าไปถ่ายทำ ซึ่งเขาก็ยังคงมีความที่อยากจะไปถ่ายอยู่ ซึ่งจะหาหนทางทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเขาอยากได้ภาพตรงนี้ เขาก็จะพยายามหามุม หาสิ่งที่ทำให้รู้ว่าตรงนี้มันโอเคนะ เป็นความมุ่งมั่นมากกว่าและความตั้งใจตลอดสิบปีที่ผ่านมา ฝนรู้สึกว่าเออวันนี้มันเป็นหนังเรื่องแรกของเขาและเราทุกคนก็ภูมิใจกับสิ่งที่เขาทำและเป็นคนเริ่มมันเราก็ดีใจด้วยที่เขากำกับภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่องนี้

          Q.เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตที่ทุกคนจะมีโอกาสได้ชมแล้วหลังจากที่รอคอยกันมานานฝากอะไรถึงชัมบาลากับแฟนๆ
          F. อย่างภาพยนตร์เรื่องชัมบาลานะค่ะ ก็อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้บอกถึงความแปลกใหม่ ซึ่งที่พิเศษที่สุดก็คือเราไปถ่ายที่ทิเบตกัน ความยาก สถานที่ รวมถึงความหนาวเย็นที่เราต่อสู้กันทั้งทีมงานและนักแสดงด้วยมันแค่สองชั่วโมงก็จริง แต่มันมีคุณค่ามากกว่าตรงนั้นด้วย รวมถึงผู้กำกับพี่ปี๊ดนะค่ะ เขาก็ตั้งใจที่จะมีหนังในรอบสิบปีของเขาที่เคยเป็นความฝันและเรามีส่วนที่จะเป็นตรงนั้นด้วย อย่างพี่อนันดาพี่ซันนี่เป็นนักแสดงคุณภาพอยู่แล้วซึ่งในเรื่องนี้เขาก็ได้พลิกบทบาทคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างกันสุดขั้วมากๆ พี่อนันดาที่ดราม่าก็กลับเป็นคาแร็คเตอร์ที่ตลก ส่วนพี่ซันนี่ที่ตลกก็กลับเป็นดราม่า ซึ่งเขาทำมาได้อย่างลงตัวมากๆ ส่วนพี่โอซาในเรื่องก็ต้องปะทะอารมณ์กับพี่อนันดา ซึ่งคิดว่ามันเข้มข้นมากๆแล้วค่ะ แล้วอินเนอร์ของเขามีเยอะมาก มันเป็นซีนที่สำคัญมากๆก็อยากฝากภาพยนตร์เรื่องชัมบาลานั้นเองและก็เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของฝนด้วย ซึ่งทุกคนตั้งใจทำงานมากๆ และก็ไม่ใช่แค่ว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องความศรัทธาในรัก แรงบันดาลใจ ทุกคนอาจจะเป็นเจนในเรื่อง รู้สึกว่าเป็นวุฒิ หรืออาจจะเป็นฝนในเรื่องที่เป็นน้ำหรืออาจจะเป็นพี่ทินก็ได้ คิดว่าเรื่องนี้น่าจะตรงใจกับใครหลายๆคน สำหรับคนดูยังไงก็ฝากภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ด้วยนะค่ะ ภาพยนตร์ชัมบาลาค่ะ 23สิงหาคมนี้ ก็อยากให้มาดูกันเพราะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้การันตีได้เลยว่ามันมีความแปลกใหม่ในเรื่องสถานที่ด้วย เพราะว่าเรายกกองไปถ่ายที่ทิเบตกันเลยทีเดียว บรรยากาศที่นั้นสวยมากๆเลย คิดว่าทุกคนดูแล้วน่าจะอิ่มในเรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ของพี่น้องด้วยค่ะ ฝากด้วยค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 04:52:25 PM
สาวๆ เตรียมกรี๊ด “นาทีแห่งการตัดสินใจ” ฉากโรแมนติคซึ้งๆ ของ อนันดา-โอซา แวง อีกมุมความรักของ “ชัมบาลา” ที่เชื่อว่า “กระทบใจ”









          ถึงจะรับบทหนุ่มติสต์แตก ไว้หนวด สุดห้าว ขี้เมา พี่ชายตัวแสบที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับน้องชาย ที่รับบทโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ตลอดทริปการเดินทางไปทิเบต แต่ ผกก. ปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อย ก็ไม่ใจร้ายปล่อยให้พระเอกหนุ่ม อนันดา เอเวอริงแฮม คงไว้แค่ลุคส์ดังกล่าว เพราะใน “ชัมบาลา” ภาพยนตร์โรแมนติค-ดราม่าเรื่องล่าสุดของ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ก็มีซีนซึ้งๆ น่ารักๆ โรแมนติคผ่านตัวละคร ทิน ที่หนุ่มอนันดา รับบทกับ เจน หญิงสาวชาวต่างชาติที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตกหลุมรักกับหนุ่มไทย จนตัดสินใจเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับพระเอกของเรา โดยนักแสดงสาวที่มารับบทดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นโอซา แวงนักแสดงซูเปอร์โมเดลสาวลูกครึ่งจีน-สวีเดนเจ้าของตำแหน่ง FHM Asian Sexiest ถึง 3 ปีซ้อนที่มีผลงานการแสดงก่อนหน้าทั้งในไทย, ฮ่องกง, สิงคโปร์และล่าสุด Prince and me part 4 ที่เธอร่วมงานกับฮอลลีวู้ด

          ซึ่งรับรองว่าสาวๆ มีสิทธิ์กรี๊ดสลบกันได้เลยกับมาดหล่อใสที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนักของพระเอกหนุ่ม แต่สำหรับบรรดาทีมงานถึงกับขำกระจายโดยเฉพาะพี่ปี๊ดผกก. ที่ผ่านประสบการณ์ยกกองไปตะลุยถ่ายหนังแบบสมบุกสมบันกันที่ทิเบตด้วยกันมาแล้วจะค่อนข้างคุ้นเคยกับอนันดาในมาดเซอร์ๆ มากกว่า ยิ่งหน้าเกลี้ยงเกลาขนาดนี้ดูแปลกตาจริงๆ          

          สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉากนี้เป็นซีนที่มีความสำคัญมากๆ กับ 2 ตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเหมือนรอยต่อของความสัมพันธ์ที่กำลังจะถูกพัฒนาไปอีกขั้นของทั้งคู่ นอกเหนือไปจากที่คนดูจะได้เห็นแง่มุมความรักที่มีอยู่ในตัวของผู้ชายห้าวๆ อย่างทินเหมือนกัน จับตาดูให้ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในซีนนี้ตัวนักแสดงนำทั้งสองทั้งอนันดา และโอซา แวงเองต่างเข้าไปมีส่วนร่วมสำคัญในการเสนอไอเดียกับผู้กำกับเพื่อร่วมกันแชร์ความรู้สึกของตัวละครและร่วมดีไซน์ให้ซีนเล็กๆ ซีนนี้ที่ปราศจากคำพูดไดอาล็อคของตัวละครได้กระทบใจผู้ชมมากยิ่งขึ้นไปอีก

          “อย่างฉากนี้ตัวเจนกำลังจะตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต ที่จะมาใช้ชีวิตร่วมหัวจมท้ายกับผู้ชายไทยที่เขาหลงรักอย่างทิน เราก็มาคุยกันว่าฉากมันก็เลี่ยนๆ อยู่แล้ว (หัวเราะ) จะทำไงไม่ต้องแบบฉันรักเธอนะ ฉันอยากอยู่กับเธอตลอดไป ก็เลยแบบเราหามุกเล็กๆ ดีกว่า มันมีแค่แบบผู้หญิงคนหนึ่งตัดสินใจว่าจะมาอยู่ด้วย ผู้ชายเปิดประตูมาแล้วเห็นแบบ เฮ้ย เอาจริงเหรอวะ คือดีใจนะแต่ว่าเอาจริงเหรอ มันเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง การตัดสินใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ตัวผู้หญิงเองก็พูดอะไรไม่ออก จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอไอ้ทินเนี้ยะ ไอ้ทินมันใส่เสื้อกูคือคนไทย เจอโอซามายืนอยู่ ก็มองเห็นโอซาใส่เสื้อ I LOVE BANGKOK (ฉันรักกรุงเทพฯ) ไง คือโมเมนต์แค่นั้น คุณจำได้คุณรักผมจริง และมันไม่จำเป็นที่จะต้องพูด ซึ่งไอ้จังหวะเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้มันคือที่เราทำกันเองระหว่างที่ถ่ายอยู่ ก็คุยกับผกก. ว่ากล้องจะต้องมีมารับให้เห็นข้อความบนเสื้อนะ มาคิดๆ กันว่าอยากให้มันเป็นหนังที่มีผลกระทบกับจิตใจคนดูสูง เพียงแต่ว่าไม่อยากให้มันแบบโจ่งแจ้งมาก อยากให้คนดูเห็นชีวิตของคนเหล่านี้ รู้สึกแล้วถามตัวเองว่าตัวเราใกล้ชิดกับตัวละครตัวไหนที่สุด เราเข้าใจตัวละครตัวไหนมากสุด โดยที่เราไม่ต้องไปยัดเหยียดให้คนดู ความหมายของชัมบาลาคืออะไร ความรักคืออะไร แต่แค่อยากให้เห็นว่านี่แหละ พี่น้องบ้าๆ บอๆคู่หนึ่งกับความรักของแต่ละฝ่าย ซึ่งไม่เหมือนกัน มันก็แสวงหาอะไรเหมือนกันหมด ซึ่งผมว่าคนดูก็แสวงหานะ ต้องการหาคำตอบให้ตัวเองเหมือนกับตัวละครเหมือนกัน”

          แหมขนาดพระเอกหนุ่มของเรายังอินกับเรื่องราวและตัวละครขนาดนี้ แทบอดใจรอไม่ไหวแล้วกับ ชัมบาลา ภาพยนตร์โรแมนติค-ดราม่าที่มีมากกว่าหนังขายวิวทิวทัศน์อย่างเดียว และเชื่อว่าจะกระทบใจคนดูอย่างแน่นอน 23 ส.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 04:52:58 PM
เดินทางสู่ “ชัมบาลา” พร้อมเช็คศรัทธาแห่งรักของคุณยังมีอยู่มั้ย? อนันดา-โอซา-ซันนี่-ฝน ปลื้มสุดๆ เปิดตัว “ชัมบาลา” กวาดความประทับใจ

  

          ผ่านรอบเวิลด์พรีเมียร์ไปพร้อมกับคำถามที่ว่า “ศรัทธาแห่งรักของคุณยังมีอยู่มั้ย?” งานนี้ทำเอาหัวใจหลายๆ ดวงของทุกคนที่ได้สัมผัสกับ “ชัมบาลา” ต่างรู้สึกอิ่มเอม สุขล้น และจี๊ดไปตามๆ กันทั้งหนุ่มๆ สาวๆ ที่ต่างตาแดงเดินออกจากโรงภาพยนตร์มาพร้อมกับยกนิ้วและประทับใจในหลากหลายแง่มุมความรักความรู้สึกของ2คู่รักจากการแสดงแบบทุ่มฝีมือจัดเต็มและเซอร์ไพรส์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผ่านมาของ “อนันดา เอเวอริงแฮม-โอซาแวง” และ “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์-ฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล” ในภาพยนตร์โรแมนติค-ดราม่าที่กลั่นจากความฝันที่บ่มเพาะมากว่า 10 ปีของปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อย ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงที่เคยเยือนดินแดนแห่งศรัทธาบนหลังคาโลกอย่างทิเบตมาแล้วถึง4ครั้ง พร้อมกับความรู้สึกจากผู้ที่ได้ชมแล้วว่า “ไม่คิดว่าตัวหนังจะจี๊ด กินใจ สัมผัสได้มากขนาดนี้ และที่สำคัญเป็นเรื่องราวที่กระแทกใจซึ่งอาจเคยเกิดขึ้นกับหลายๆ คนมาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงของนักแสดงนำทั้ง 4 เยี่ยมมาก” ทำเอาอนันดา-โอซา-ซันนี่-ฝน-ปี๊ดที่ขนเอาบรรดาครอบครัวและเพื่อนๆ ในวงการมาให้กำลังใจต่างปลื้มไปกับเสียงตอบรับจากผู้ชม หลังจากที่ทั้งหมดต่างทุ่มเทแบบสุดชีวิตตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมากับโปรเจ็คต์ที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้กลายเป็นความจริงในที่สุด

          งานนี้สหมงคลฟิล์มฯเนรมิตพื้นที่บนลาน “อินฟินิซิตี้ ชั้น 5 โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์” จำลองบรรยากาศที่หนาวเหน็บ -15 องศา บนความสูงจากระดับน้ำทะลกว่า 4,000 เมตรจากดินแดนหลังคาโลก รวมไปถึงอาหารของว่างสไตล์ทิเบต และเสื้อผ้าตะลุยความหนาวให้เหล่าบรรดาสื่อมวลชนและแขกพิเศษได้แชะแอนด์อัพรูปถ่ายไปกับวิวทิวทัศน์สไตล์ทิเบตลงเฟซบุคส์และอินสตาแกรมอย่างหนำใจ ก่อนที่จะเปิดตัวด้วย “ประโยคบอกเล่า” เสียงร้องเท่ห์ๆ แต่บาดลึกของ “เล็ก อภิไชย ตระกูลเผด็จไกร GREASY CAFÉ’” 1ในทีมงานภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาในเวอร์ชั่นไลฟ์อคูสติก บทเพลงสุดจี๊ดที่ถูกแต่งขึ้นหลังจากได้ร่วมเดินทางไปเยือนทิเบตเพื่อคัดหาโลเกชั่นก่อนถ่ายทำภาพยนตร์ซึ่งกำลังเป็นที่ชื่นชอบและไต่ชาร์ทอันดับเพลงฮิตอยู่ในขณะนี้เป็นครั้งแรก ตามด้วยหนังเหล่านักแสดงนำทั้ง4และผู้กำกับจากภาพยนตร์ที่งานนี้อาสาเป็นไกด์พิเศษนำพาทุกคนเดินทางสู่ชัมบาลาพร้อมกับข้อคิดคำแนะนำและการเตรียมตัวไปสัมผัสกับดินแดนแห่งศรัทธาโดยมี ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร เป็นพิธีกรในงานเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคนที่มาร่วมงาน ก่อนที่ท้ายสุดเหล่าบรรดานักแสดง ผู้บริหาร ผู้สร้างและพันธมิตรทางภาพยนตร์ที่ร่วมสนับสนุนและผลักดันให้เกิดโปรเจ็คต์ชัมบาลาภาพยนตร์ไทยที่หลายคนรอคอยเกิดขึ้นจะถ่ายรูปร่วมกันไม่ว่าจะเป็น คุณเตือนใจ เตะชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการ บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล, คุณอัครพล เตชะรัตนประเสริฐ ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์, คุณนรุต เจียรสนอง ซีเนียร์ มาร์เกตติ้งเมเนเจอร์ บ.เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และคุณกมลเทพ วีระพละ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งมอบช่อดอกไม้เป็นกำลังใจกับผู้กำกับและทีมงานภาพยนตร์ด้วย “ชัมบาลา” พร้อมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศแล้ววันนี้

          พิเศษตอนรับการมาของ “ชัมบาลา” เฉพาะที่โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และ SF WORLD CINEMA พบกับ EXCLUSIVE SHOT ภาพสวยๆ จากทิเบตผ่านมุมมองและฝีมือการถ่ายภาพของอนันดา เอเวอริงแฮมได้แล้ววันนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 30, 2012, 08:01:57 AM
ขี่ม้า-ย่ำเท้า-ขึ้นเขา อนันดา-ซันนี่ยอมนอนบนพื้นน้ำแข็ง ติดลบ15องศา กินเนื้อจามรีก่อนตะลุย “ชัมบาลา”
  






          กล้าพูดได้ว่า “ชัมบาลา” เป็นหนังไทยเรื่องแรก และเรื่องเดียวที่ต้องได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยที่ยกกองไปตะลุยถ่ายทำกันไกลถึงทิเบตดินแดนที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,000เมตร ท่ามกลางอุปสรรคทั้งสภาพอากาศหนาวสุดขั้วลบ 15 องศา ตามความตั้งใจและความฝันนานนับ10 ปีของผู้กำกับปี๊ด-ปัญจพงศ์ คงคาน้อย ที่เยือนดินแดนหลังคาโลกมาแล้วถึง 4 ครั้ง และนี่คือเบื้องหลังกว่าฉากเหตุการณ์สำคัญในภาพยนตร์ที่ 2 พี่น้อง ทิน (อนันดา) และวุฒิ (ซันนี่) ต้องฝ่าเส้นทางการผจญภัยที่แสนหฤโหดไปด้วยกันเพื่อตามหาดินแดนดังกล่าว ส่งผลให้ 2 พระเอกหนุ่มและทีมงานต้องร่วมเดินทางกว่า 16 ชั่วโมงด้วยรถยนต์ หลังจากลงจากเครื่องบินเพื่อมุ่งหน้าสู่ทิเบต และเดินทางไปยังโลเกชั่นพิเศษที่เป็นดั่งสรวงสวรรค์ที่แสนสงบของชัมบาลา ทั้งหมดต้องเปลี่ยนมาเป็นการเดินทางโดยใช้ม้าเป็นพาหนะ ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบที่ 3 จากหลายร้อยทะเลสาบ ซึ่งหิมะตกตลอดการเดินทาง ในท้ายที่สุดต้องเดินเท้าแทน เพราะม้าไม่สามารถไปต่อได้ แถมยังต้องค้างแรมด้วยอุณหภูมิความหนาวเหน็บทะลุขั้วกระดูก โดยได้รับความอนุเคราะห์จากชาวนอแมทพื้นเมืองให้นักแสดง และทีมงานคนไทยได้ร่วมนอนอยู่ในกระโจมเต็นท์บนพื้นหญ้าที่ไม่ต่างอะไรจากพื้นน้ำแข็งกลายๆ ขนาดผ่านประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวผจญภัยอย่างโชกโชน อนันดา เอเวอริงแฮมยังยอมรับว่าการผจญวิบากกรรมตลอดการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาในทิเบตเป็นอะไรที่สุดขั้วจริงๆ

          “พอนึกถึงวันที่เข้าไปถ่ายทำในดินแดนชัมบาลา โอ้โหก็ต้องขับรถเข้าไปถึงอุทยานมันมีทะเลสาบที่ไม่สามารถขับรถเข้าไปต่อได้ ทุกคนก็ต้องขี่ม้าเข้าไป และก็ต้องเข้าป่ากับชนเผ่าเร่ร่อนที่มาตั้งกระโจมเต็นท์และก็อยู่ไปเรื่อยๆ เราก็แบบสนุกสวยขี่ม้ากันเข้าไปตอนเย็น เฮ้ยเดี๋ยวเราค้างคืนและตื่นมาถ่ายตอนเช้าพวกฉากไคลแม็กซ์และฉากชัมบาลา ก็ไปกันผู้ชายประมาณสิบคน ได้ข่าวว่าเขาตั้งเต็นท์ให้ก่อไฟเป็นที่ทำอาหารเล็กๆ เป็นจุดๆ พอไปถึงเต็นท์ยังไม่มี มันเป็นเหมือนแค่กล่องเล็กๆและก็มีเหล็กทับอยู่มีทางออกของควันแค่นี้ พอหนาวมากเขาก็ลงมากางเต็นท์ที่รอบผิงไฟที่ทำอาหาร พวกเราต่างแต่งตัวกันเต็มเหนี่ยวเลย เพราะเดี๋ยวคืนนี้ต้องหนาว เอาผ้าห่มไป เอาเสื้อหนาวไป ตอนแรกคิดว่ามีหลายเต็นท์ปรากฎมีอันเดียว แล้วต้องนอนตัวติดกันเรียงกันเป็นตับอยู่ในเต้นท์ไม่มีพื้นที่ขยับได้ ถ้ากลิ้งก็ทับกันได้เลย แล้วพอมืดพวกพื้นเมืองเขาก็เตือนว่าพวกหมาที่เขาเลี้ยงกัน หมาชนเผ่าที่เอาไว้ล้อมแกะก็คือดุมากไม่จำเป็นอย่าออกไปเพ่นพ่านนอกเต็นท์ บอกได้เลยตรงนี้ว่าเกิดมายังไม่เคยเจอหมาที่ดุขนาดนี้มาก่อนในชีวิต พอตกดึกโอ้โหอุณหภูมิมันลบเท่าไรไม่รู้คือเขาไม่ได้ปูอะไรบนพื้นนะ มันก็คือแค่เต็นท์ล้อมแล้วก็แบบอยู่บนดินเลย พอดึกเข้าพื้นมันชื้นไม่มีทางที่จะห้ามความเย็นขึ้นมา หนาวแบบไม่มีใครนอนหลับ ไม่เคยทรมานอย่างนั้นมาก่อน”

          เช่นเดียวกับหนุ่มซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ที่ตื่นตะลึงกับความหนาวเหน็บ และการเปลี่ยนผ่านฤดูเพียงข้ามคืน

          “ที่บอกว่ามันหนาว คือมันหนาวจริงๆ แบบไม่มีจุดไหนเลยที่อุ่น ไม่มีที่ว่าจะใส่อะไรแล้วรู้สึกว่าอุ่นจังสบายใจร้อนเหงื่อท่วมไม่มีนะครับ มีทุกอย่างใส่เข้าไปเถอะ ยิ่งตอนอยู่ในป่าใกล้ชัมบาลา พื้นนี้แบบเย็นอย่างกับน้ำแข็ง ต้องนอนกันอย่างนั้น จุดไฟก็แล้ว อะไรก็แล้ว ตอนนั้นที่กินน่าจะมีเนื้อจามรีด้วย แต่จำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะตอนนั้นผมป่วยด้วย ลิ้นมันจะไม่รู้รสอะไรเลย กินอะไรไม่ค่อยได้มาก แต่ต้องกินให้หายหิว อุปสรรคส่วนใหญ่มีแต่ความหนาว มันอยู่ในพื้นที่สูงด้วย แล้วช่วงเวลาที่เราไปด้วยคือในฤดูใบไม้ร่วงเข้าหน้าหนาว ใบไม้เปลี่ยนจากเขียวไปเหลืองแล้ว เราก็จะไปช่วงนั้นแล้วมันก็ข้ามวัน เราขึ้นไปนอนปุ๊บถ่ายเสร็จตื่นมาตอนเช้าก็แบบขาวโพลนไปหมดเลย เป็นช่วงหิมะตก เป็นช่วงที่ฤดูมันเปลี่ยนที่เราไม่รู้เห็นกับตาจากเมื่อวานไม่มียังแห้งๆ อยู่”

          ฟังดูแล้วไม่ง่ายเลยที่เดียวกว่าจะได้ภาพสวยๆ ที่ปรากฎอยู่ในภาพยนตร์โดยเฉพาะโลเกชั่นอย่างชัมบาลาและทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาของทิเบต ไปพิสูจน์ความงามบนผืนโลกของชัมบาลาได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา 23 สิงหาคม 2555
Post by: FB on August 30, 2012, 08:03:02 AM
ลมแทบจับ“ชัมบาลา” ตั้งคำถามถึงคนดูผ่านซันนี่ “ชีวิตนี้คุณเคยศรัทธาเพื่อความรักมั้ย”





          ถึงแม้ว่าจะรับบทเป็นพี่น้องกัน แต่ใน ชัมบาลา ทั้ง “อนันดา และซันนี่” ทั้งคู่ต่างมุ่งหน้าเดินทางสู่ทิเบตเพื่อค้นหา ดินแดนที่เรียกว่า “ชัมบาลา” ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ในขณะที่อนันดารับบทพี่ชายสุดห้าวที่มาพร้อมกับความหลังดูเหมือนว่านอกจากจะไม่มีจุดหมายในใจแล้วเหมือนกับว่าเขาตั้งใจมาเพื่อเปลี่ยนที่กินเหล้าเท่านั้น แต่ซันนี่น้องชายที่เดินทางมาพร้อมกับความหวัง และความตั้งใจที่จะทำอะไรบางอย่างให้กับแฟนสาว กลับต้องร่วมกันฟันฝ่าทริปสุดโหดครั้งนี้ให้ได้ ถึงแม้จะต้องเผชิญกับอากาศหนาวสุดขั้วติด -15 องศา ท่ามกลางความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 4,000 เมตร อากาศเบาบางกว่าปกติ และในฉากนี้เองที่เราจะได้เห็นตัวละครของซันนี่ ได้เข้าใกล้ 1 ในจุดมุ่งหมายตามความตั้งใจของตัวเองในการเดินทางมาทิเบต นั่นคือการมาเยือนวัดแห่งเดียวกันกับที่ น้ำ แฟนสาว (ฝน นลินทิพย์) เคยมาก่อนหน้านี้ เพียงทว่าสิ่งที่เขาต้องใช้มากเป็นพิเศษนั่นคือการทุ่มเทพลังศรัทธาแห่งความรักทั้งหมดที่เขามีต่อคนรัก ด้วยการลงไปกราบไหว้ในแบบอัษฏางคประดิษฐ์ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนทิเบต เพื่อส่งใจระลึกถึงไปยังคนรักของเขาโดยไม่ห่วงตนเองจนกระทั่ง ทินพี่ชายสุดห้าวของเขา ซึ่งรับบทโดยอนันดา ทนเห็นน้องชายที่กำลังจะหมดสภาพ และเป็นลมลงไปต่อหน้าไม่ได้ งานนี้กว่าจะผ่านไปได้ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ต้องลงกราบไหว้แบบอัษฎางคประดิษฐ์นานอยู่หลายรอบทีเดียวและได้เล่าให้เราฟังถึงความพิเศษของการกราบที่เป็นรูปแบบเฉพาะตัวของชาวทิเบต

          “ความพิเศษของการกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ที่ไม่เหมือนกับการกราบไหว้แบบอื่นคือคนปฏิบัติจะต้องลงไปกราบโดยใช้อวัยวะทั้ง 8 จุดของร่างกายสัมผัสกับพื้น ไหว้แล้วก็กราบลงไปนอนกับพื้น แล้วก็ลุกขึ้นยืนเริ่มต้นกราบแบบเดิมใหม่อีกครั้ง คือถ้าอย่างจริงๆ ที่คนทิเบตเขากราบกัน ว่ากันว่าจำนวนครั้งในการกราบนี่มีเป็น 1000 ครั้งขึ้นไปนะครับ กราบอยู่เฉยๆ คือพันขึ้น เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านครั้งก็ยังมี และจะมีกราบอีกแบบหนึ่งคือเดินไปด้วยกราบไปด้วย เพื่อไปหาจุดหมายคือไม่ได้อยู่กับที่นะ กราบทีหนึ่งฟุบลงไปลุกขึ้นมาเหมือนก้าวหนึ่งนะครับ ก้าวๆ หนึ่ง และก็ไปเรื่อยๆ ไปตามจุดหมายที่ตั้งใจ

          “ก่อนการถ่ายทำ เราก็ต้องศึกษาดูท่าทางวิธีการว่าเขาทำยังไงกัน เพราะว่าในเรื่องเราต้องศึกษามาประมาณหนึ่งเพื่อที่จะมาทำ เรามีเป้าหมายของเรานะคือทำอย่างนี้ เพื่อเหตุผลแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วศรัทธาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราเชื่อว่าถ้าเราทำอย่างนี้สิ่งต่างๆ มันจะดีขึ้นครับเราก็เลยทำ แต่ในเรื่องผมคงไม่ได้ทำถึงพันแต่ก็เยอะนะ ทำจนเวียนหัว ก้มๆ เงยๆ ก้มๆ เงยๆ แล้วเวลาถ่ายหนังก็จะมีการถ่ายหลายมุม พอเปลี่ยนมุมกล้องก็ต้องเริ่มต้นกราบใหม่ตลอด”

          และในภาพยนตร์เรื่อง “ชัมบาลา” เราจะได้เห็น 3 นักแสดงนำทั้ง ซันนี่,อนันดา และสาวฝน นลินทิพย์กราบไว้แบบอัษฎางคประดิษฐ์โดยได้รับเกียรติจาก รศ. กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์ ซึ่งท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่และเรื่องราวของประเทศทิเบต คอยเป็นที่ปรึกษากับทีมงานภาพยนตร์อย่างใกล้ชิด และที่สำคัญท่านลงมาช่วยสอนการกราบที่ถูกต้องตามแบบฉบับของคนทิเบตให้กับนักแสดงทั้ง 3 ด้วย จะว่าไปแล้วก็เป็นความตั้งใจของ ปี๊ดปัญจพงศ์ คงคาน้อย ผู้กำกับชัมบาลา ที่ผ่านประสบการณ์เดินทางมาทิเบตถึง 4 ครั้ง และมองเห็นว่านี่คือมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรม และความคิดมุมมองความรู้สึกดีๆ ของคนทิเบตที่เขาอยากเชื่อมโยงให้คนดูได้สัมผัสผ่านตัวละครของภาพยนตร์

          “จริงๆ คือเสน่ห์ของประเทศนี้คือเป็นในแง่ของความคิดความศรัทธาความเชื่อของคนที่นั่นมากกว่า คือในหนังเราจะได้เห็นว่าความเชื่อของคนที่นี่คืออะไร ความเชื่อของคนที่นี่คือเขาทำเพื่อคนอื่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แม้แต่การกราบไหว้ การสวดมนต์ล้วนแล้วแต่เป็นการทำเพื่อให้คนที่เขารักทั้งสิ้น”

          พบกับ ชัมบาลา การเดินทางที่มาพร้อมกับศรัทธาที่มีความรักเป็นแรงขับเคลื่อน
          วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์