Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - news

Pages: 1 ... 271 272 [273] 274 275 ... 330
4081
NECTEC และ SIPA จับมือ 4 พันธมิตรขยายผลการใช้งานระบบ PHR ในระดับจังหวัด
 






นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ประธานกรรมการบริหารสำนักงานซิป้า


นายศุภชัย จงศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานซิป้า



          ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามความร่วมมือกับ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ
ซิป้า และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน จาก 3 กระทรวง ขับเคลื่อนขยายผลการใช้งานระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล หรือ Personal Health Record (PHR) เพื่อให้เกิดการใช้งานในระดับจังหวัด
 
          ระบบข้อมูลส่วนบุคคล หรือระบบ PHR นี้ เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานพยาบาลและโรงพยาบาลกับหน่วยงาน เกี่ยวกับสาธารณสุขของประชาชนในแต่ละจังหวัด อาทิ ข้อมูลทั่วไป ประวัติการรักษาที่ผ่านมา การแพ้ยา รวมถึงนำเข้าข้อมูลการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคล การออกกำลังกาย ผลการตรวจร่างกาย ช่วยให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพตนเองระหว่างรอการพบแพทย์ครั้งหน้า และเปรียบเทียบและปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์ได้ด้วย สามารถบริหารข้อมูลสุขภาพของตัวเองและครอบครัวอย่างเป็นระบบ สามารถติดตามและบริหารนัดพบแพทย์ได้ เป็นต้น โดยข้อมูลถูกออกแบบให้รวบรวมไว้ใน PHR Data Center ของแต่ละจังหวัด ซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลาโดยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ Tabletหรืออุปกรณ์ Smart Devices
 
          ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ให้ข้อมูลที่มาของระบบ PHR  เริ่มต้นการพัฒนาโดยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากทางสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า และ ความร่วมมือกับจังหวัดนครนายก โดยสาธารณสุขจังหวัดนครนายก พัฒนาออกมาเป็นระบบต้นแบบและทดลองนำร่องใช้งานจริงใน 4 อำเภอของจังหวัดนครนายก ครอบคลุมโรงพยาบาลนครนายก โรงพยาบาลชุมชน 3 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 56 แห่ง  ก่อนการใช้งานประชาชนลงต้องทะเบียนเข้าใช้งานระบบกับนักจัดการสุขภาพของหน่วยบริการในพื้นที่รับผิดชอบ  โครงการระบบ PHR ถือเป็นต้นแบบของการพัฒนาแพลตฟอร์มระบบสารสนเทศด้านสุขภาพที่มีการสร้างมาตรฐานโครงสร้างข้อมูล สามารถส่งต่อให้บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์นำไปต่อยอดและขยายผลในอนาคตต่อไป  ซึ่งระบบ PHR มีฟังก์ชันได้หลากหลายตามขอบเขตการใช้งาน เช่น Software Platform, Open Technology, Database Management System, คลังข้อมูล, Big Data Analytics, Intelligent Search, Visualization, Cloud System, และ Machine Learning และการพัฒนาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Wearable Devices ในอนาคต
 
          ด้านนายศุภชัย จงศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ ซิป้า ดำเนินโครงการศึกษาและพัฒนาระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล หรือ PHR เป็นการพัฒนาระบบการบริการซอฟต์แวร์สำหรับภาคประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศของประชาชนในพื้นที่ได้ตรงจุด ทำให้การดูแลสุขภาพ และการติดตามการรักษาพยาบาลได้ตลอดเวลา ในการดำเนินโครงการระยะนี้ ซิป้าสนับสนุนการสร้างแอปพลิเคชันที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถนำไปต่อยอดได้ โดยหวังว่าจะมีแอปพลิเคชันด้านสุขภาพ หรือ Healthcare มาให้ประชาชนเลือกใช้มากขึ้น และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศให้มีการเติบโต จนทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งผลิตซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพที่ดีได้ต่อไป  สำหรับการดำเนินขณะนี้อยู่ในระยะที่ 3 ที่ ตั้งเป้าหมายขยายผลการใช้งานไม่น้อยกว่า 3,000 ราย ใน 4 จังหวัดคือ ภูเก็ต ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ และ กาญจนบุรี
 
          สำหรับความร่วมมือของ 4 สาธารณสุขจังหวัดภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ ช่วยสนับสนุนในเรื่องการเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลสุขภาพของสาธารณสุขจังหวัด หรือ Health Data Center มาที่ระบบ PHR ที่ทางทีมงานได้ทำการออกแบบระบบไว้ สนับสนุนให้มีการอบรมนักจัดการสุขภาพของจังหวัดและขยายผลโดยเปิดระบบให้ประชาชนเข้ามาใช้ระบบ
 
          ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ เนคเทค และ SIPA คาดหวังว่า จะมีประชาชนใน 4 จังหวัดนี้ได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองและใช้ระบบ PHR นี้เต็มที่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการขยายผลการใช้งานไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศในอนาคตอันใกล้นี้
 
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
·       ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
โทร. 0-2564-6900 ต่อ 2373 (เทพพิทักษ์)
Email : thappitak.sodchit@nectec.or.th
 
·       ฝ่ายสื่อสารองค์กร
สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
โทร.  0-2141-7157 (คุณวิภาวิดี: ปุ๊ก)
        0-2141-7158 (คุณวรัชญ์ชนันท์: แอน)
Email: ccd@sipa.or.th

4082
ASUS ขนทัพสมาร์ทโฟนและโน้ตบุ๊กสุดล้ำ ชูแนวคิด “Zenvolution” นวัตกรรมอัจฉริยะ ผสานดีไซน์สุดพรีเมียม พร้อมเปิดตัว ปู-ไปรยา ลุนเบิร์กเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ไทยคนแรก
 


(จากซ้าย) มร. อารอน ชิว ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ Zenfone, มร. เร็กซ์ ลี  ผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท เอซุส, ปู-ไปรยา ลุนด์เบิร์ก แบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของเอซุสประเทศไทย, มร. อิริค เฉิน  รองประธาน บริษัทเอซุส, นายปรากาช มัลยา ผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท Intel, มร.เจฟฟ์ โล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์  (ประเทศไทย) จำกัด และ เฟื่องลดา สรานี

ASUS (เอซุส) นำทีมผู้บริหารโดย นายอิริค เฉิน รองประธาน บริษัทเอซุส พร้อมด้วย นายเร็กซ์ ลี ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก และ นายเจฟฟ์ โล ผู้จัดการประจำประเทศไทย จัดงาน Zenvolution เปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวล่าสุด ASUS ZenFone 3 Series รวมถึงโน้ตบุ๊กรุ่น ASUS ZenBook 3 และพีซีแบบ 2-in-1 รุ่น ASUS Transformer 3 และ ASUS Transformer 3 Pro พร้อมด้วยการเปิดตัว ปู-ไปรยา ลุนด์เบิร์ก เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เอซุสคนแรกของประเทศไทย ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวานนี้

4083
ASUS ประเทศไทย เขย่าวงการเปิดตัว “ปู-ไปรยา” แบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมขนทัพสมาร์ทโฟนและโน้ตบุ๊กสุดล้ำ ชูแนวคิด “Zenvolution” นวัตกรรมอัจฉริยะ ผสานดีไซน์สุดพรีเมี่ยม       
                                               


























กรุงเทพฯ, 2 ส.ค. 59: ASUS ประเทศไทย สร้างปรากฏการณ์ใหม่เขย่าวงการไอทีอีกครั้งกับการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรก ภายในงานแถลงข่าว Zenvolution โดยคว้าตัว “ปู-ไปรยา สวนดอกไม้ ลุนเบิร์ก” สาวสวยสุดสมาร์ท มากความสามารถ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีม ASUS ในการส่งมอบแรงบันดาลใจในแบบฉบับคนรุ่นใหม่ โดยภายในงานได้มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวล่าสุด ASUS ZenFone 3 Series พร้อมด้วยการเปิดตัว ZenFone 3 Max และ ZenFone 3 Laser  รวมถึงโน้ตบุ๊กรุ่น ASUS ZenBook 3 และพีซีแบบ 2-in-1 รุ่น ASUS Transformer 3 และ ASUS Transformer 3 Pro  พร้อมเปิดม่านด้วยการแสดงโฮโลกราฟสุดล้ำเพื่อแสดงให้เห็นถึงความงามและความสมดุลในแบบ Zen

นายเจฟฟ์ โล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมีความหลากหลายขึ้น ดังนั้น ในฐานะที่เอซุสเป็นแบรนด์คอมพิวเตอร์และไอทีระดับโลก  จึงได้มุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเอซุสสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกมิติของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

“ครั้งนี้ถือเป็นอีกครั้งที่เอซุสสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการคอมพิวเตอร์และไอที เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวสินค้า ทั้งกลุ่มสมาร์ทโฟน และกลุ่มโน้ตบุ๊กพร้อมกันในหลายรุ่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Zenvolution” หรือ การสร้างสรรค์นวัตกรรมสุดล้ำ ผสานเข้ากับผลิตภัณฑ์ดีไซน์เรียบหรู นำสมัย นับเป็นก้าวสำคัญของเอซุสที่มีการนำเสนอสินค้าอย่างครบวงจร เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกสิ่งที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง”

โดยในครั้งนี้ได้เอซุส จัดเต็มขนทัพสมาร์ทโฟนและโน้ตบุ๊กเปิดตัวอย่างเต็มพิกัด เริ่มด้วย ZenFone 3, ZenFone 3 Ultra, และ ZenFone 3 Deluxe พร้อมด้วยสมาร์ทโฟนรุ่นพิเศษ ASUS ZenFone 3 Laser และ ASUS ZenFone 3 Max ที่นำมาเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย และสำหรับโน้ตบุ๊คนำโดย ASUS ZenBook 3 และ ASUS Transformer 3 ที่เป็นได้ทั้งแท็บเล็ต โน้คบุ๊ก และพีซี ประสิทธิภาพสูง

งานเปิดตัว Zenvolution ในครั้งนี้ เอซุสได้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ด้วยโชว์การแสดงเปิดตัวที่ถือเป็นการฟีเจอริ่งด้วยกันเป็นครั้งแรกของ 3 ศิลปินชื่อดังอย่าง “โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร” “กบ-เสาวนิตย์ นวพันธ์” และ “แมว-จิรศักดิ์ ปานพุ่ม” 3 ศิลปิน 3 แนว ที่มาแสดงโชว์ร่วมกันเพื่อสะท้อนแรงบันดาลใจแห่งการผสมผสานกันระหว่างความนำสมัย โก้หรู และแข็งแกร่ง ในแบบฉบับแบรนด์เอซุส

พร้อมด้วยการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่ได้ “ปู – ไปรยา สวนดอกไม้ ลุนเบิร์ก” มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนไทยคนแรก ด้วยภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในหลากหลายบทบาทหน้าที่ ทั้งการเป็นนักแสดง นางแบบ ตลอดจนกิจกรรมทางสังคม ที่ปัจจุบัน ปู – ไปรยาได้เข้าร่วมกับโครงการเพื่อสังคมหลายโครงการ หนึ่งในนั้นคืองานช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในโครงการ Namjai for Refugees ของ UNHCR รวมทั้งยังเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ในการมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่งในทุกๆ ด้าน

“เราเชื่อมั่นว่าการนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน และโน้ตบุ๊กอย่างครบวงจร ภายใต้แนวคิด “Zenvolution” ที่โดดเด่นทั้งในด้านนวัตกรรมสุดล้ำ และด้านดีไซน์เรียบหรู ทันสมัย พร้อมกับการสื่อสารผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เอซุสให้มีความพรีเมี่ยมขึ้น และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ที่จะทำให้การใช้ชีวิตของผู้บริโภคสะดวกและง่ายขึ้นในทุกๆ วัน” นายเจฟฟ์ โล กล่าวในตอนท้าย

เกี่ยวกับ ASUS
เอซุส ผู้จัดจำหน่ายโน้ตบุ๊กอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และติดอันดับหนึ่งในสามของโน้ตบุ๊กที่มีผู้ใช้ทั่วโลกมากที่สุด เราเป็นผู้นำในยุคดิจิตอล ในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการทางด้านดิจิตอลทั้งที่บ้านและที่ทำงาน อาทิ โน้ตบุ๊ก เดสก์ท็อปพีซี ออลอินวันพีซี แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ด้วยนวัตกรรมและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เด่นชัด เอซุสจึงได้รับรางวัลทั้งหมดถึง 4,368 รางวัลในปี 2015 และเป็นที่รู้จักในแวดวงพีซี ด้วยนวัตกรรม Eee PC™ ปัจจุบันนี้ ASUS มีพนักงานกว่า 17,000 คนทั่วโลก และทีมวิจัยและพัฒนามีวิศวกรกว่า 5,500 คน รายได้ของบริษัทในปี 2015 อยู่ที่ประมาณ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

4084
“eGovernment Forum 2016” สัมมนาวิชาการด้านเทคโนโลยี 3-4 ส.ค. ศกนี้ ภายใต้แนวคิด “The Challenges of Government Innovation : Disruptive Government”















สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) ร่วมกับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จัดโครงการ eGovernment Forum 2016 ภายใต้แนวคิดหลัก The Challenges of Government Innovation : Disruptive Government อบรมสัมมนาวิชาการเพื่อการบูรณาการภาครัฐระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน นำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ดิจิทัลมาสนับสนุนการปฏิบัติงาน โดยคำนึงถึงการให้บริการแบบมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ขับเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลง ยกระดับภาครัฐไทยสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) กล่าวว่า “eGovernment Forum 2016 จะเป็นเวทีสำคัญในการอภิปรายและนำเสนอเทคโนโลยีที่สอดรับกับการเข้าสู่ยุคระบบเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการทำงานอีกต่อไป  หากแต่จะหลอมรวมเข้ากับชีวิตคนอย่างแท้จริง และจะเปลี่ยนโครงสร้างรูปแบบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กระบวนการผลิต การค้า การบริการ และกระบวนการทางสังคมอื่นๆ รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไปอย่างสิ้นเชิง ประเทศไทยจึงต้องให้เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ สมาคม ATCI ตระหนักถึงความท้าทายและโอกาสดังกล่าว ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาในระดับประเทศที่สอดคล้องกันระหว่างทุกหน่วยงาน โดยมีองค์ประกอบของยุทธศาสตร์กรอบการพัฒนา และแผนการดำเนินงาน (Roadmap) เพื่อเป็นแนวทางการยกระดับขีดความสามารถเชิงดิจิทัลของภาครัฐไทย”

ดร.พันธ์ศักดิ์  ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า “การยกระดับภาครัฐไทยสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐ โดยภาคประชาชนนอกจากจะได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นแล้ว บริการที่ได้รับยังมีคุณภาพ ตรงตามความต้องการรายบุคคล และตรงตามสิทธิมากยิ่งขึ้นด้วย ภายใต้กรอบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยจากการคุกคามภายในและภายนอกประเทศที่มีมาตรฐาน  สำหรับภาคธุรกิจ การยกระดับภาครัฐไทยสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลไม่เพียงแต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและการติดต่อภาครัฐ  แต่ยังเป็นการสร้างปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่การวางแผนธุรกิจ เริ่มต้นธุรกิจ  ดำเนินกิจการ ไปจนถึงขยายธุรกิจ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการให้ทัดเทียมกับระดับสากล  อันจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ  นอกจากนี้ การยกระดับภาครัฐไทยสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลยังก่อให้เกิดการบูรณาการภายในภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาภพ  เพิ่มความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงาน  เพิ่มความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่  และช่วยให้หน่วยงานภาครัฐพัฒนาไปในทิศทางเดียวกันโดยมีเทคโนโลยีสนับสนุน  เพื่อสร้างเสถียรภาพให้ประเทศไทยสามารถก้าวไปอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”

นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ETDA) หรือเอ็ตด้า กล่าวว่า สถานการณ์ภัยคุกคามไซเบอร์ได้ทวีความรุนแรงและเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากการวิเคราะห์ในรายละเอียดพบว่า หน่วยงานภาครัฐได้ตกเป็นเป้าหมายของภัยคุกคามประเภท Malicious Code และ Intrusion ซึ่งมักจะเป็นการเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บไซต์ หรือ Web Defacement อย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากข่าวสารที่เผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ ส่วนภาคเอกชนก็มักตกเป็นเป้าหมายของการหลอกลวง ซึ่งมักมุ่งประโยชน์ทางการเงินเป็นหลัก ETDA ในฐานะหน่วยงานที่ส่งเสริมธุรกรรมออนไลน์ให้เกิดความมั่งคงปลอดภัย และมีไทยเซิร์ตเป็นส่วนงานสำคัญในการรับมือและตอบสนองต่อภัยคุกคามไซเบอร์เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมได้ทำธุรกรรมออนไลน์อย่างมั่นคงปลอดภัย จึงได้ดำเนินโครงการเพื่อดูแลหน่วยงานภาครัฐให้มีภูมิคุ้มกันจากปัญหาดังกล่าว ภายใต้โครงการ ThaiCERT Government Monitoring System (GMS) ประกอบด้วย การตรวจจับและเฝ้าระวัง (GTM: Government Threat Monitoring) และการตรวจจับและป้องกันการโจมตี (GWP: Government Website Protection) เพื่อส่งเสริมและวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างจริงจัง

คุณปิยธิดา ตันตระกูล  ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจ จะเน้นด้านระบบรักษาความปลอดภัยจากการคุกคามภายในและภายนอก ด้วยมาตราฐานระบบสากลโลก อีกทั้งยังมีการนวัตกรรมล้ำหน้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรในปัจจุบัน การมีส่วนร่วมในงานครั้งนี้ เช่น การบรรยาย การเสวนา นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่จัดแสดงในงาน ทางบริษัท ฯ ได้นำความรู้ในเรื่องภัยคุกคามในปัจจุบัน และเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ เพื่อให้องค์กรภาครัฐที่เป็นหัวใจหลักของประเทศ ได้มีการเตรียมตัวเตรียมพร้อมรับมือ เมื่อพบภัยคุกคามในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์หรือองค์ความรู้ที่เหมาะสมสอดคล้องกับ eGovernment ผลิตภัณฑ์ของบริษัท มีการเน้นการรักษาความปลอดภัยใน ดาต้าเซนเตอร์ขององค์กร โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดับลูกข่ายทั่วไปขององค์กร, ระดับดาต้าเซนเตอร์ และดาต้าเซนเตอร์เสมือน และระดับเน็ตเวิรค ซึ่งในแต่ละระดับทางบริษัทมีโซลูชั่นที่สามารถรักษาความปลอดภัยจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายใน ได้ อีกทั้งยังสามารถมองเห็นภาพโดยรวมของการทำงานโดยผ่าน Centralize Management

ไฮไลท์และความน่าสนใจในงานครั้งนี้ มีอาทิเช่น การปาฐกถาพิเศษของผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐ และเอกชนระดับประเทศ, การร่วมเสวนาจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ, การประชุมห้องย่อยของ CIOs ภาครัฐ และชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย (ICTSEC) ส่วนแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าสนใจจากผู้ประกอบการด้านไอซีที ได้แก่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน),สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน), สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน), บริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จํากัด, บริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด, Exclusive Network Thailand, บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จํากัด, บริษัท ไอเวอร์สัน เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด, บริษัท แบงคอคซิสเท็มแอนด์ซอฟแวร์ จำกัด และบริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

4085
ทรูบิสิเนส เอาใจลูกค้าธุรกิจ ส่ง “Smart SME Buffet” แพ็กเกจสุดคุ้ม คุยธุรกิจแบบบุฟเฟ่ต์ทุกเครือข่าย สูงสุดวันละ 20 ชั่วโมง พร้อมเน็ต 4G แบบ Non-Stop





กรุงเทพฯ 3 สิงหาคม 2559 – ทรูบิสิเนส แนะนำ “Smart SME Buffet” แพ็กเกจสุดพิเศษสำหรับลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ทุกประเภท ทั้งเปิดเบอร์ใหม่และย้ายค่ายเบอร์เดิม ตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้งานทั้งโทรและอินเทอร์เน็ต บนเครือข่าย 4G และ 3G ที่เร็ว แรง และครอบคลุมมากที่สุดในไทย และ WiFi by TrueMove H กว่า 105,000 จุดทั่วประเทศ คุ้มค่ากับบุฟเฟ่ต์โทรทุกเครือข่ายสูงสุดวันละ 20 ชั่วโมง พิเศษ! เมื่อซื้อเครื่องพร้อมเปิดใช้แพ็กเกจ Smart SME Buffet รับสิทธิ์ซื้อมือถือ 4G หน้าจอ 5 นิ้ว เริ่มต้นเพียง 1,070 บาท และรับส่วนลดค่าบริการรายเดือน 1,200 บาท โดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนล่วงหน้า พร้อมสิทธิ์โทรฟรีในกลุ่มออฟฟิศเดียวกันได้ไม่จำกัด และใช้อินเทอร์เน็ต 4G และ 3G แบบ Non-Stop พร้อมรับโบนัสเพิ่มสูงสุดถึง 24GB ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อมือถือเพื่อใช้ในธุรกิจ สร้างโอกาสพูดคุยธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

แพ็กเกจ Smart SME Buffet

สำหรับองค์กรธุรกิจเอสเอ็มอีที่สนใจ สามารถสมัครใช้บริการได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคม 2559 ที่ร้านทรูช้อป ทรูพาร์ทเนอร์ ศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ โทรศัพท์ 0 2900 9100 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 08.30 - 17.30 น.)

4086
ASUS ขนทัพสมาร์ทโฟนและโน้ตบุ๊กสุดล้ำ ชูแนวคิด “Zenvolution” นวัตกรรมอัจฉริยะ ผสานดีไซน์สุดพรีเมี่ยม พร้อมเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ไทยคนแรก

ประเด็นหลัก

•   ASUS เปิดตัว Zen Series ภายใต้แนวคิด “Zenvolution” นำเสนอนวัตกรรมสุดล้ำ ผสานเข้ากับดีไซน์เรียบหรูสุดพรีเมี่ยม ทั้งสมาร์ทโฟนและโน้ตบุ๊ก
•   “ZenFone 3 series” นำเสนอคุณสมบัติที่โดดเด่นและสเปคที่ทรงพลัง เปิดตัวพร้อมกัน 3 รุ่น ประกอบด้วย ZenFone 3, ZenFone 3 Ultra และ ZenFone 3 Deluxe ที่พร้อมตอบสนองทุกความต้องการ
•   สมาร์ทโฟนรุ่น ASUS ZenFone 3 Laser และ ASUS ZenFone 3 Max เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย
•   ASUS ZenBook 3 นั้นอยู่บนพื้นฐานการออกแบบของ ZenBook ในเรื่องความบางและเบา แต่ประสิทธิภาพสูง มีดีไซน์ที่โดดเด่น ใช้อะลูมิเนียมระดับสำหรับยานอวกาศ เพิ่มความทนทานถึง 50% และประดับด้วย  ขอบสีทองและโลโก้ ASUS
•   ASUS Transformer 3,เป็นได้ทั้งแท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก และพีซีประสิทธิภาพสูง รองรับ ROG XG Station 2 น้ำหนักเพียง 695 กรัม ถือว่าเบามากเมื่อเทียบกับพีซีขนาด 12.6 นิ้ว และหนาเพียง 6.9 มม. บางกว่าสมาร์ทโฟนบางรุ่น 
•   ASUS เปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของประเทศไทย ปู – ไปรยา สวนดอกไม้ ลุนเบิร์ก
























กรุงเทพฯ, 2 ส.ค. 59: นายอิรีค เฉิน ประธานของ ASUS เปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวล่าสุด ASUS ZenFone 3 Series ที่งานแถลงข่าว Zenvolution ในประเทศไทย ในงานนี้มีการเปิดตัว ZenFone 3 Max และ ZenFone 3 Laser  รวมถึงโน้ตบุ๊กรุ่น ASUS ZenBook 3 และพีซีแบบ 2-in-1 รุ่น ASUS Transformer 3 และ ASUS Transformer 3 Pro  งานเริ่มต้นด้วยการแสดงโฮโลกราฟเพื่อแสดงให้เห็นถึงความงามและความสมดุลในแบบ Zen

“ซีรี่ส์ ZenFone 3 เป็นสิ่งทั่วโลกรอคอยหลังจากที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกที่งาน Computex ปีนี้” นายอิรีค เฉิน ประธานของ ASUS กล่าว “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากผู้บริโภคในประเทศไทย”

นายปรากาช มัลยา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท Intel South East Asia จำกัด ที่ได้เข้าร่วมบนเวทีกับนายอิรีค เฉิน ในส่วนของการเป็นพันธมิตรที่ยาวนานในการพัฒนานวัตกรรมของทั้งสองบริษัท ASUS และ Intel กล่าวว่า เป็นเวลาเกือบสามสิบปี Intel และ Asus ได้ทำงานร่วมกันเพื่อนำเสนอนวัตกรรมที่ทันสมัยของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ออกสู่ท้องตลาด ในวันนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกัน ในส่วนของ ZenBook 3 และ Transformer 3 ที่ได้ใช้หน่วยประมวลผลของ Intel โดยผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ได้ส่งมอบประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ ในรูปแบบใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ผ่านประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ กับการพกพา และประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอย่างทรงพลัง  และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานร่วมกับเอซุส ในการนำเสนอนวัตกรรมคอมพิวเตอร์ออกสู่ตลาดมากยิ่งขึ้น "

นายเจฟฟ์ โล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมีความหลากหลายขึ้น ดังนั้น ในฐานะที่เอซุสเป็นแบรนด์คอมพิวเตอร์และไอทีระดับโลก  จึงได้มุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเอซุสสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกมิติของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

“ครั้งนี้ถือเป็นอีกครั้งที่เอซุสสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการคอมพิวเตอร์และไอที เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวสินค้า ทั้งกลุ่มสมาร์ทโฟน และกลุ่มโน้ตบุ๊กพร้อมกันในหลายรุ่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Zenvolution” หรือ การสร้างสรรค์นวัตกรรมสุดล้ำ ผสานเข้ากับผลิตภัณฑ์ดีไซน์เรียบหรู นำสมัย นับเป็นก้าวสำคัญของเอซุสที่มีการนำเสนอสินค้าอย่างครบวงจร เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกสิ่งที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง”

สำหรับกลุ่มสมาร์ทโฟน ภายใต้ตระกูล “ZenFone 3” แบ่งออกเป็น “ASUS ZenFone 3” สมาร์ทโฟนที่ได้รับรางวัลจาก Computex 2016 และ d&I Award ในด้านการออกแบบที่มีความพรีเมียม ควบคู่กับการมอบประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้ว Full HD เลือกใช้พาเนล Super IPS+ คุณภาพสูง ให้แสงสว่างสูงสุดถึง 500cd/m2 ทำให้เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับการใช้งานเพื่อความบันเทิง ไม่ว่าจะใช้แอพพลิเคชั่น วีดีโอ หรือเล่นเกมความละเอียดสูงก็ทำได้เป็นอย่างดี และมีหน่วยความจำแรม 4GB ให้ประสิทธิภาพการทำงานในระดับคอมพิวเตอร์พีซี ขณะที่กล้องหลังมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ใช้เทคโนโลยีออโต้โฟกัส ASUS TriTech และ ZenFone 3 รุ่น 5.5 นิ้ว มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษคือ หูฟัง Marshall เพื่อการสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงที่เหนือกว่า (จำนวนจำกัด)

“ASUS ZenFone 3 Ultra” ได้รับรางวัล Best Choice Golden Award จากงาน Computex 2016 เป็นสมาร์ทโฟนที่ขึ้นรูปด้วยอลูมิเนียม ไม่มีเส้นรับสัญญาณด้านหลัง ออกแบบมาสำหรับผู้รักความบันเทิง กับจอแสดงผลขนาด 6.8 นิ้ว Full HD และเป็นครั้งแรกของโลกที่ใช้ชิปประมวลผลภาพระดับ 4K UHD TV ขณะที่ระบบเสียง ให้ความคมชัดและมีพลังด้วยชิป NXP Smart Amplifier และรองรับระบบเสียงระดับ Hi-Res Audio (HRA) ทั้งยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่รองรับการจำลองเสียง 7.1 ทิศทางผ่านเทคโนโลยี DTS Headphone:X ส่วนกล้องถ่ายภาพ ให้ความละเอียดสูงถึง 23 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยเทคโนโลยีโฟกัสภาพ ASUS TriTech และจุใจกับแรมสูงสุด 4GB มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 4600 mAh รองรับการชาร์จเร็ว ทั้งยังใช้เป็นแบตเตอรี่สำรองเพื่อชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์อื่นได้อีกด้วย  ราคา 24,990 บาท

“ASUS ZenFone 3 Deluxe” สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมโครงสร้างวัสดุอลูมิเนียมระดับพรีเมี่ยม ไร้เส้นเสาอากาศภายนอก ทำให้ได้ทั้งความบางเบาและความแข็งแกร่ง ทั้งยังรวบรวมเทคโนโลยีชั้นยอด ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD กล้องถ่ายภาพมีเซ็นเซอร์รับภาพชั้นยอด ให้ความละเอียดสูงสุด 23 ล้านพิกเซล และมีเทคโนโลยีโฟกัส ASUS TriTech ครอบคลุมทั้งเลเซอร์ออโต้โฟกัส ระบบโฟกัส Phase Detection และโฟกัสแบบต่อเนื่อง ส่วนระบบเสียงให้ความคมชัด มีพลังด้วยชิป NXP Smart Amplifier และระบบเสียงระดับ Hi-Res Audio (HRA) ทั้งยังมี เทคโนโลยี Quick Charge 3.0 ทำให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็ว นอกจากนี้มีหน่วยความจำแรม 6GB ให้ประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างลื่นไหล ZenFone 3 Deluxe 64GB ราคา 22,990 บาท และ ZenFone 3 Deluxe 256GB ราคา 28,990 บาท

ZenFone 3 Laser ตัวเครื่องเป็นเมทัลลิก หน้าจอ Full HD ขนาด 5.5 นิ้ว และมีระบบโฟกัสอัตโนมัติที่เร็วเพียง 0.03 วินาที และมีโหมดแบ็กไลท์ (HDR) ที่ล้ำสมัยเพื่อให้ถ่ายภาพได้สวยยิ่งขึ้น มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์ Sony IMX214 พร้อมระบบปรับสีเพื่อให้ภาพดูเป็นธรรมชาติแม้ในที่ที่แสงน้อยหรืออยู่ในที่ร่ม มีระบบป้องกันการเคลื่อนไหว Electronic Image Stabilization (EIS) แบบ 3 แกน (yaw, pitch และ roll) และมีการชดเชยการเคลื่อนไหวเพื่อให้ถ่ายวิดีโอได้นิ่งกว่าเดิมราคา 8,990 บาท

ASUS ZenFone 3 Max ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้นานขึ้น ด้วยแบตเตอรี่ 4100mAh ที่สามารถสแตนด์บายได้ถึง 30 วัน เพื่อการใช้งานที่ยาวนานขึ้น สามารถใช้โทรศัพท์บน 3G ได้ถึง 20 ชั่วโมง เข้าเว็บด้วย Wi-Fi ได้นานถึง 18 ชั่วโมง  ฟังเพลงได้ 87 ชั่วโมง และเล่นวิดีโอได้นานถึง 15 ชั่วโมง ZenFone 3 Max สามารถใช้เป็นพาวเวอร์แบงก์เพื่อชาร์จอุปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย และหน้าจอขนาด 5.2 นิ้วของ ZenFone 3 Max เป็นแบบ IPS และเคลือบแก้ว พร้อมขอบ 2.5D ที่เรียบสนิทไปกับตัวเครื่องเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ราคา 5,990 บาท

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ค “ASUS” ยังคงผนึกกำลังกับ “Intel” พันธมิตรธุรกิจสำคัญที่ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมอันยอดเยี่ยม อย่างการเปิดตัว 3 รุ่นในปีนี้ ก็ได้เลือกใช้ขุมพลังของโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน
“ASUS ZenBook 3” ล่าสุดยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ของ ZenBook ที่เน้นเรื่อง “ความบาง เบา แต่ประสิทธิภาพสูง” โดยโฉมใหม่นี้ชูจุดเด่นด้วยความเพรียวบางเพียง 11.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 910 กรัม ใช้วัสดุอลูมิเนียมอัลลอยเกรดระดับเดียวกับที่ใช้ในยานอวกาศเพื่อเพิ่มความทนทานถึง 50% จอแสดงผลขนาด 12.5 นิ้ว มาพร้อมกับ Intel® Core™ i7 Processor แรม 16GB ความเร็ว 2133MHz หน่วยความจำ SSD แบบ PCIe® Gen 3 x4 มากสุด 1TB ลำโพงและระบบเสียงจาก Harman Kardon ร่วมกับแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสุด 9 ชั่วโมง ผสานกับลวดลายการออกแบบในแบบฉบับของ ZenBook มีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ สีน้ำเงิน Royal Blue, สีชมพู Rose Gold และสีเงิน Quartz Grey ราคา 69,990 บาท

“ASUS Transformer 3” พีซีแบบ 2-in-1 แข็งแกร่งแต่บางเบาด้วยการใช้อลูมิเนียม ทำให้มีน้ำหนักเพียง 695 กรัม และบางเพียงแค่ 6.9 มิลลิเมตร ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่ากระดาษขนาด A4 จอแสดงผลมีขนาด 12.6 นิ้ว และสามารถใช้งานคู่กับ ASUS Transformer Sleeve Keyboard ขณะที่ภายในเลือกใช้ 7th Gen Intel® Core™ Processor แรมสูงสุด 8GB และหน่วยความจำ SSD สูงสุด 512GB นอกจากนี้รุ่นนี้รองรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ปากกา ASUS Pen, ลำโพง Audio Pod โดยมีให้เลือกสองเฉดสี ได้แก่ สีทอง Icicle Gold กับสีเงิน Glacier Gray ราคา 40,990 บาท

“ASUS Transformer 3 Pro” พีซี 2-in-1 รุ่นแรกและรุ่นเดียวในโลกที่ตอบโจทย์การใช้งานทั้งในรูปแบบแท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก เครื่องดนตรี และพีซีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับทั้งการใช้งานในวันทำงาน และเพื่อความบันเทิง ให้ผิวสัมผัสอันยอดเยี่ยมจากอลูมิเนียม มีความบางเพียง 8.35 มิลลิเมตร พร้อมจอแสดงผล 12.6 นิ้ว ความละเอียดสูง เพื่อภาพคมชัด และหนึ่งในขุมพลังที่เลือกใช้ก็คือ Intel® Core™ i7 Processor, โดยมีตัวเลือกหน่วยความจำ SSD แบบ PCIe x4 สูงสุดถึง 1TB และแรมความเร็ว 2133MHz ความจุสูงสุด 16GB ส่วนขาตั้งถูกออกแบบด้วยโลหะคุณภาพสูง และผู้ใช้งานสามารถปรับองศาได้ตามที่ต้องการ โดยมีมุมกว้างสุดถึง 170° สามารถทำงานร่วมกับคีย์บอร์ด ASUS Transformer Cover Keyboard และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้ เช่นปากกา ASUS Pen, แท่น ASUS Universal Dock สำหรับเป็นฮับเชื่อมต่อ ASUS Transformer 3 Pro 4GB ราคา 42,990 บาท และ ASUS Transformer 3 Pro 16GB ราคา 59,990 บาท

นอกจากนี้ ASUS ยังได้เปิดตัวโน้ตบุ๊ก “ASUS ROG GX800” สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ซึ่งรุ่นนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในโน้ตบุ๊กที่ประสิทธิภาพสูงสุดรุ่นหนึ่งของโลกในปัจจุบัน รวมทั้งทำตลาดคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป “ROG G31 Edition 10” ขนาดกะทัดรัด สานต่อความสำเร็จจาก ROG G20 ปีที่ผ่านมา พร้อมด้วยลวดลายพิเศษฉลองครบ 10 ปีผลิตภัณฑ์ซีรีย์ ROG

นอกจากเรื่องของผลิตภัณฑ์แล้ว เอซุสยังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารแบรนด์ ซึ่งในปีนี้เป็นปีแรกที่ เอซุส ประเทศไทย ใช้กลยุทธ์การสื่อสารผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่ได้ “ปู – ไปรยา สวนดอกไม้ ลุนเบิร์ก”  มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนไทยคนแรก ด้วยภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในหลากหลายบทบาทหน้าที่ ทั้งการเป็นนักแสดง นางแบบ ตลอดจนกิจกรรมทางสังคม ที่ปัจจุบัน ปู – ไปรยาได้เข้าร่วมกับโครงการเพื่อสังคมหลายโครงการ หนึ่งในนั้นคืองานช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในโครงการ Namjai for Refugees ของ UNHCR รวมทั้งยังเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ในการมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่งในทุกๆ ด้านเอซุสมั่นใจว่าการสื่อสารผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่มีไลฟ์สไตล์สอดคล้องกับแบรนด์เอซุสจะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เด่นชัดขึ้น และสร้างการรับรู้ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

“เราเชื่อมั่นว่าการนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน และโน้ตบุ๊กอย่างครบวงจร ภายใต้แนวคิด “Zenvolution” ที่โดดเด่นทั้งในด้านนวัตกรรมสุดล้ำ และด้านดีไซน์เรียบหรู ทันสมัย พร้อมกับการสื่อสารผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เอซุสให้มีความพรีเมี่ยมขึ้น และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ที่จะทำให้การใช้ชีวิตของผู้บริโภคสะดวกและง่ายขึ้นในทุกๆ วัน” นายเจฟฟ์ โล กล่าวในตอนท้าย

เกี่ยวกับ ASUS
เอซุส ผู้จัดจำหน่ายโน้ตบุ๊กอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และติดอันดับหนึ่งในสามของโน้ตบุ๊กที่มีผู้ใช้ทั่วโลกมากที่สุด เราเป็นผู้นำในยุคดิจิตอล ในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการทางด้านดิจิตอลทั้งที่บ้านและที่ทำงาน อาทิ โน้ตบุ๊ก เดสก์ท็อปพีซี ออลอินวันพีซี แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ด้วยนวัตกรรมและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เด่นชัดเอซุสจึงได้รับรางวัลทั้งหมดถึง 4,368 รางวัลในปี 2015 และเป็นที่รู้จักในแวดวงพีซี ด้วยนวัตกรรม Eee PC™

ปัจจุบันนี้ ASUS มีพนักงานกว่า 17,000 คนทั่วโลก และทีมวิจัยและพัฒนามีวิศวกรกว่า 5,500 คน รายได้ของบริษัทในปี 2015 อยู่ที่ประมาณ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

4087
เขย่าวงการอีคอมเมิร์ซไทย Thailand Online Mega Sale 2016 ชวนร้านค้าออนไลน์ กระตุ้นยอดขาย ฟรี!



ร่วมสร้างปรากฏการณ์ให้วงการอีคอมเมิร์ซไทย กับ มหกรรมลดราคาสินค้าและบริการทางออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี Thailand Online Mega Sale 2016 “Raining Sales Fever : ลดเวอร์! ท้าหน้าฝน”   จัดโดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กระทรวงพาณิชย์ และ สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย ขอเชิญชวนร้านค้าออนไลน์ทั้งรายใหญ่รายย่อยเข้าร่วมโครงการ Thailand Online Mega Sale 2016 “Raining Sales Fever : ลดเวอร์! ท้าหน้าฝน” ที่รวบรวมเหล่าพันธมิตรยักษ์ใหญ่ทั้งจากผู้ให้บริการรับ-ส่งสินค้า (Logistic), สถาบันการเงิน และ ผู้ให้บริการชำระเงิน ฯลฯ มาสร้างปรากฏการณ์เขย่าวงการอีคอมเมิร์ซ มอบสิทธิประโยชน์และโปรโมชั่นพิเศษ เอาใจพ่อค้าแม่ค้าไซเบอร์ที่เข้าร่วมโครงการ Thailand Online Mega Sale 2016 อาทิ ไปรษณีย์ไทย มอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้ร้านค้าที่ลงทะเบียน 300 ร้านค้าแรก รับคูปองใช้บริการส่งสินค้าฟรี 500 บาท/ร้านค้า ,  Kerry Express มอบส่วนลดค่าขนส่ง 100 บาท สำหรับทุกร้านค้า , Rush Bike และ  ชิปป๊อบ มอบส่วนลดค่าขนส่ง 20 % ตลอดโครงการ  ทางด้าน Pay Social ,LnwPay ให้ฟรี ค่าธรรมเนียมในช่วงเวลาโครงการฯ ,  mPAY อำนวยความสะดวกการขอรับบริการ และฟรีค่าธรรมเนียมในการเชื่อมต่อระบบชำระเงิน mPAY Gateway และ ไม่คิดค่าธรรมเนียมการ ชำระผ่าน mPAY Wallet จากร้านค้า หรือลูกค้า ถึง 31 ธันวาคม 2559 และ AsiaPay ลดค่าธรรมเนียม 50 % สำหรับร้านค้าใหม่ นอกจากนี้ สถาบันการเงิน ยังมอบโปรโมชั่นพิเศษสุดให้ลูกค้าได้ช้อปสนั่น อาทิ KTC ส่งโปรโมชั่นช้อปออนไลน์ด้วยบัตรเครดิตKTCแลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อใช้คะแนนสะสม Forever Rewards เท่ายอดซื้อออนไลน์ต่อรายการ และ KBANK ให้ช้อปสุดคุ้ม พร้อมรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 3% เป็นต้น

ถือเป็นโอกาสทองของร้านค้าออนไลน์ ได้ยกขบวนนำสินค้าและบริการในราคาพิเศษมาร่วมสร้างปรากฏการณ์แห่งปีของอีคอมเมิร์ซไทย Thailand Online Mega Sale 2016  โอกาสครั้งนี้จะช่วยโปรโมตผลิตภัณฑ์ของร้านค้าที่น่าสนใจผ่านสื่อออนไลน์ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และยังเป็นการช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ร่วมโครงการ Thailand Online Mega Sale 2016 ซึ่งมีผู้ซื้อนับล้าน!! ตั้งตารออยู่   

ร้านค้าออนไลน์ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้แล้วที่ www.thailandmegasale.com  ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 สิงหาคม 2559 ฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่าย!!!

4088
เบ็นคิว ร่วมกับ นิตยสาร Digital Camera จัด workshop เพื่อคนรักการถ่ายภาพ



บริษัท เบ็นคิว ( ประเทศไทย ) จำกัด ร่วมกับ นิตยสาร Digital Camera จัดกิจกรรมดีๆ สำหรับผู้รักการถ่ายภาพ ที่ให้คุณได้สัมผัสและเรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพ Close up  โดยใช้กล้อง Canon ควบคู่ไปกับจอมอนิเตอร์ BenQ  ที่ให้ความละเอียดคมชัดของภาพสูง แสดงภาพที่สมจริง เป็นธรรมชาติ และสีที่ถูกต้องและแม่นยำ  ด้วยการไล่โทนสีที่ละเอียดที่สุด  ในธีม Colorful และการแต่งหน้าโทนสีสัน  พร้อมการบรรยายให้ความรู้จากช่างภาพมืออาชีพ คุณธิติกร อติชาติพงษ์  บรรณาธิการนิตยสาร Digital Camera Thailand  ณ รัตนศิลป์ศก สตูดิโอ ถนนราษฎร์บูรณะ  ในวันอาทิตย์ ที่ 7 สิงหาคม 2559 เวลา 09.00-16.00 น. ( ลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนร่วมงาน )

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BenQ (Thailand) Co., Ltd. โทรศัพท์ 02-670-0310 ต่อ 116   ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.30 น.


4089
ทรู อินคิวบ์ เฟ้นหาสตาร์ทอัพภาคเหนือ ในงาน Startup Thailand & Digital Thailand 5–7 ส.ค. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่

กลุ่มทรู โดย ทรู อินคิวบ์ ร่วมงาน Startup Thailand & Digital Thailand พร้อมออกบูธจัดกิจกรรม Pitching Challenge Powered by C Level โดยเปิดโอกาสให้เหล่าสตาร์ทอัพภาคเหนือได้นำเสนอผลงานและไอเดียเด็ดๆ แบบใกล้ชิดกับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อรับเอกสิทธิ์การเข้าร่วมโปรแกรม Incubation หรือ ScaleUp แบบทางลัด และร่วมเป็นหนึ่งในครอบครัวสตาร์ทอัพ ของทรู อินคิวบ์  เพื่อร่วมการอบรม เวิร์คช้อป จากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่จะมาแนะนำและให้คำปรึกษาแบบครบวงจร และหากทีมมีความพร้อมที่จะพัฒนาต่อจะได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนทางธุรกิจอีกด้วย พลาดไม่ได้กับงาน Startup Thailand & Digital Thailand  ระหว่างวันที่ 5-7 สิงหาคม 2559 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่

4090
สวทช. ร่วมกับ สภาหอการค้าฯ หนุนผู้ประกอบการสินค้าผักและผลไม้ไทย พัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยด้วย “Primary ThaiGAP” มาตรฐานระดับพื้นฐานในประเทศ นำร่องแห่งแรกที่สกลนคร ก่อนจัดต่อเนื่องอีก 4 ภาคทั่วไทย



(26-29 ก.ค. 59) ณ จังหวัดสกลนคร - กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ดำเนิน “โครงการพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยตามมาตรฐาน Primary ThaiGAP” มุ่งขยายการทำงานจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค เพื่อยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการผักและผลไม้ไทยให้สามารถผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีคุณภาพปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับของตลาดและผู้บริโภค ด้วยการส่งเสริมให้ได้รับการฝึกอบรมและสร้างฟาร์มต้นแบบในพื้นที่ รวมทั้งเพิ่มทักษะแก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ให้เป็นที่ปรึกษาฟาร์มและผู้ตรวจประเมินภายในฟาร์มตามมาตรฐาน Primary ThaiGAP นำร่องอบรมเชิงปฏิบัติการแห่งแรกที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.สกลนคร) ก่อนจะดำเนินต่อไปอีก 4 ภาคทั่วไทย พร้อมตั้งเป้ามีกลุ่มเกษตรกรได้รับมาตรฐาน Primary ThaiGAP 40 รายทั่วประเทศ ภายในกลางปีหน้า

นางสาวชนากานต์ สันตยานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโส โปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า “จากการดำเนินโครงการ “การยกระดับและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการด้านสินค้าผักและผลไม้เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ AEC ด้วย ThaiGAP” ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ที่ได้ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ถึงปัจจุบัน คณะทำงานโครงการฯ พบกับปัญหาและอุปสรรคคือ ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับผักและผลไม้ส่วนใหญ่ เป็นองค์กรที่มีขนาดเล็กหรือเป็นลูกค้ารายย่อยที่ขาดศักยภาพทางด้านการแข่งขันและการพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กร เนื่องจากขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้และความสามารถเฉพาะทาง รวมถึงขาดแคลนเงินทุนที่จะใช้ในการพัฒนาคุณภาพสินค้า และยกระดับมาตรฐานสินค้าตามข้อกำหนดและมาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐาน GlobalGAP (ส่งออกต่างประเทศ) ซึ่งมีข้อกำหนด 26 ข้อใหญ่ 234 ข้อย่อย และมาตรฐาน ThaiGAP (ระดับสูงสำหรับในประเทศ) ซึ่งมีข้อกำหนด 17 ข้อใหญ่ 167 ข้อย่อย จากข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับผักและผลไม้มีความพร้อมที่จะขอรับการสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวจำนวนน้อย ดังนั้น คณะทำงานจึงริเริ่มโครงการ “การพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยตามมาตรฐาน Primary ThaiGAP” ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับพื้นฐานสำหรับในประเทศ ที่มีข้อกำหนดไม่มากจนเกินไป มีข้อกำหนด 6 ข้อใหญ่ 24 ข้อย่อย เน้นเฉพาะระบบความปลอดภัยในการผลิต ที่จะทำให้เกษตรกรเข้าใจง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้ถูกต้อง ได้แก่ (1) การทำแผนการผลิต วันเก็บเกี่ยว และคาดการณ์ผลผลิต (2) การใช้น้ำในการเพาะปลูก (3) การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช (4) การใช้ปุ๋ยเคมีและอินทรีย์ (5) การเก็บเกี่ยวและจัดการหลังเก็บเกี่ยว และ (6) การบันทึกและการตามสอบ ซึ่งจะเป็นการสอดรับกับวัตถุประสงค์ของโปรแกรม ITAP สวทช. ที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ในการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันและยกระดับมาตรฐานการทำงาน รวมถึงเทคโนโลยีการผลิต ให้เท่าทันสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแข่งขันรุนแรงในตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)”

“โครงการพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยตามมาตรฐาน Primary ThaiGAP มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 12 เดือน (1 ก.ค. 59 - 30 มิ.ย. 60) โดยจะขยายการทำงานจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค เพื่อยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการผักและผลไม้ไทยในหลายส่วน ได้แก่ การพัฒนากลุ่มเกษตรกรการเกษตรด้านผักและผลไม้ให้สามารถผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของไทยที่มีคุณภาพปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับของตลาดและผู้บริโภค การส่งเสริมให้ได้รับการฝึกอบรมและสร้างฟาร์มต้นแบบในพื้นที่ และการขยายผลในเรื่องการเพิ่มทักษะแก่กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวให้เป็นที่ปรึกษาฟาร์ม และผู้ตรวจประเมินภายในฟาร์มตามมาตรฐาน Primary ThaiGAP ด้วย ซึ่งการอบรมเชิงปฏิบัติการจะเริ่มต้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.สกลนคร) เป็นที่แรก ก่อนจะดำเนินต่อไปอีก 4 แห่งที่ภาคเหนือตอนล่าง (จ.พิษณุโลก) ภาคใต้ (จ.สุราษฎร์ธานี) ภาคเหนือตอนบน (จ.เชียงราย) และภาคตะวันออก (จ.จันทบุรี) พร้อมตั้งเป้ามีกลุ่มเกษตรกรได้รับรองมาตรฐาน Primary ThaiGAP จำนวน 40 รายทั่วประเทศ และจะมีการนำเสนอผลงานผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองมาตรฐาน Primary ThaiGAP ในงานแสดงอาหารระดับนานาชาติ THAIFEX 2017 ต่อไป” นางสาวชนากานต์ สันตยานนท์ กล่าว

ด้าน นายเศกสรร ชนาวิโชติ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดสกลนคร กล่าวว่า “สวทช. ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัดสกลนคร จัดโครงการพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยตามมาตรฐาน Primary ThaiGAP ขึ้น โดยนำเข้ามาสู่พื้นที่ จ.สกลนคร ซึ่งจะมุ่งเน้นที่ตัวสหกรณ์ ด้วยการนำองค์ความรู้และมาตรฐานสินค้าทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานอย่าง Primary ThaiGAP หรือจะเป็นมาตรฐานที่สูงขึ้นไปคือ ThaiGAP เข้ามาพัฒนาและช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตผล จากเดิมที่ขายมาและขายไป แต่โครงการนี้เกษตรกรสามารถที่จะปลูกพืชผลเกษตรตัวใดตัวหนึ่งขึ้นมา แล้วเข้าร่วมในการจัดทำมาตรฐาน จะทำให้มีตลาดใหม่ๆ ที่เรียกได้ว่าจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลประโยชน์นี้เองจะกลับไปยังเกษตรกรทุกคนต่อไป นอกจากนี้ ปัจจุบันจังหวัดสกลนครกำลังผลักดันยุทธศาสตร์จังหวัดที่มุ่งเน้นในการเป็นเมืองสินค้าเกษตรปลอดภัย อาหารปลอดภัย ซึ่งการนำเอามาตรฐานของ ThaiGAP หรือ Primary ThaiGAP เข้ามา จะช่วยสนับสนุนในการเป็นเมืองเกษตรปลอดภัยของจังหวัดตรงนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย”

พร้อมนี้ ในการดำเนิน “โครงการพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยตามมาตรฐาน Primary ThaiGAP” ณ จังหวัดสกลนคร ได้มีการนำกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ที่จะเป็นที่ปรึกษาฟาร์มและผู้ตรวจประเมินภายในฟาร์มตามมาตรฐาน Primary ThaiGAP ลงพื้นที่ศึกษาดูงานแปลงผลิตสินค้าเกษตร จำนวน 2 แปลง คือ แปลงมะละกอ และแปลงพริก ซึ่งแปลงสวนมะละกอตัวอย่าง ตั้งอยู่ที่ สวนเกษตรทอง อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร โดย คุณอานนท์ คูสกุลธรรม เจ้าของสวน เป็นแปลงปลูกมะละกอ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ เป็นแปลงที่กำลังได้รับการรับรองมาตรฐาน ThaiGAP ขณะที่อีกแปลง สวนพริกตัวอย่าง ตั้งอยู่ที่หมู่ 12 บ้านโนนศาลา ต.เชียงเครือ อ.เมือง จ.สกลนคร โดย คุณสมบัติ นึกชอบ เจ้าของสวน เป็นแปลงปลูกพริก มีขนาดพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ โดยเป็นแปลงใหม่ที่เกษตรกรมีความสนใจและกำลังเข้าร่วมโครงการพัฒนาระบบตามมาตรฐาน Primary ThaiGAP

สำหรับกิจกรรมการลงพื้นที่แปลงผลิตสินค้าเกษตร เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อให้กลุ่มเกษตรกรการเกษตรด้านผักและผลไม้ที่ต้องการเป็นที่ปรึกษาให้เกษตรกรเครือข่าย และผู้ตรวจสอบภายในพื้นที่ (Internal Auditor) เข้าประเมินและศึกษาความเสี่ยงของแปลงผลิต ว่าแปลงนั้นๆ เป็นไปตามมาตรฐานของ Primary ThaiGAP / ThaiGAP หรือไม่ ซึ่งการได้รับการรับรองมาตรฐาน Primary ThaiGAP จะช่วยยืนยันถึงความปลอดภัยของสินค้าเกษตรและอาหารในท้องถิ่น รวมทั้งเป็นสินค้าเกษตรที่สามารถตรวจสอบได้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ตลอดจนสามารถสร้างกลุ่มตลาดใหม่ๆ ได้อีกจำนวนมาก เพื่อรองรับตลาด ร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงพยาบาล และตลาดสดในท้องถิ่น เป็นต้น

ผู้ประกอบการหรือกลุ่มเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการในเขตภูมิภาคอื่นๆ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่โปรแกรม ITAP สวทช. คุณพนิตา ศรีประย่า โทรศัพท์ 0-2564-7000 ต่อ 1301, 089-1715661หรืออีเมล์ panita@nstda.or.th

4091
BenQ ร่วมแสดงความยินดีเปิดสาขา ร้าน Speed Computer



นายพัทธกร พรศิริธิเวช ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย บริษัท เบ็นคิว ( ประเทศไทย ) จำกัด มอบกระเช้าแสดงความยินดีกับร้าน Speed Computer ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์  BenQ  ในโอกาสเปิดสาขาใหม่อย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์การค้า พันธุ์ทิพย์พลาซ่า ถนนเพชรบุรี เมื่อเร็วๆ นี้

4092
   SIPA จับมืออุตฯท่องเที่ยว คลอด 3 แพลตฟอร์มสำคัญ หลังเจอวิกฤติระบบอิเล็กทรอนิกส์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมท่องเที่ยวโลก เตรียมออกมาตรฐานระบบค้นหาชื่อและตำแหน่งของโรงแรมไทยรองรับการสืบค้นทุกระบบ สร้างระบบบริหารการจองโรงแรมที่ทันสมัยที่สุดต่อเชื่อมทุกเว็บดังทั่วโลก พร้อมนำระบบ B2B ให้กลุ่มเอสเอ็มอีเข้าระบบแพคเกจของเอเยนต์ทัวร์ทั่วโลก



   นายศุภชัย จงศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติหรือ SIPA เปิดเผยว่า ธุรกิจท่องเที่ยวหลังจากที่นำระบบไอทีมาใช้ นอกจากจะทำให้พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก เกิดผู้เล่นรายใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจท่องเที่ยว และสร้างปัญหาในระดับเชิงนโยบายใหม่ๆ เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างที่ภาครัฐและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่อาจเมินเฉยได้อีกต่อไป

   ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเติบโตของระบบเสิร์ชเอ็นจิ้นในรูปแบบต่าง ๆ กับระบบการพิมพ์ชื่อค้นหาชื่อและตำแหน่งของโรงแรม หลายครั้งที่การกำหนดแหล่งค้นหาของประเทศไทยไม่สามารถดึงข้อมูลผู้ประกอบการที่แท้จริงออกมาให้ผู้สืบค้นได้ ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจไป ซึ่งการกำหนดรหัสสืบค้นที่เป็นมาตรฐานจะช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยทั้งประเทศได้ แต่จะให้ผู้ประกอบการ หรือหน่วยงานท่องเที่ยวที่ไม่คุ้นเคยกับโลกดิจิทัลมาจัดการตั้งมาตรฐานรหัสนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ความช่วยเหลือในเชิงนโยบายเช่นนี้จำเป็นที่จะต้องมีตัวกลางเช่น SIPA และพันธมิตรทั้งหลายเข้ามาแก้ไข

   อีกปัญหาหนึ่งก็คือ การเติบโตของเว็บไซต์จองโรงแรมชื่อดังทั่วโลก ทั้งที่มีจำนวนมาก และมีระบบการใส่ข้อมูลการจองที่ทางโรงแรมต้องมาดำเนินการเอง รวมถึงระบบการตั้งราคา และการให้ส่วนแบ่งต่าง ๆ ได้สร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการโรงแรมทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย จนเกิดมีธุรกิจตัวกลางรับทำหน้าที่กรอกข้อมูลและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการซื้อขายในเว็บและแอปพลิเคชันของระบบจองโรงแรม ซึ่งเราเรียกตัวกลางนี้ว่า Hotel Channel Management

   ยิ่งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันจองโรงแรมที่พักเติบโตมากขึ้น ระบบ Hotel Channel Management ก็เติบโตตามไปด้วย ก็ยิ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายของโรงแรม และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องเช่น บริษัททัวร์ต่าง ๆ ต้องปันส่วนแบ่งรายได้ให้กับระบบเหล่านี้ ที่สำคัญคือรายได้จากส่วนแบ่งจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่แบ่งไป รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีรายได้ในส่วนนี้เลย เป็นการนำเงินออกโดยที่ไม่มีส่วนให้กับเศรษฐกิจไทย

   นอกจากนั้น ก็คือการขาดแพลตฟอร์มกลางให้กับผู้ขายรายย่อยระดับ SMEs ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กับบริษัททัวร์เอเยนต์ที่มีอยู่ทั่วโลก เพราะระบบการขายแพคเกจท่องเที่ยวในปัจจุบันบริการต่าง ๆ ของท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการขายของที่ระลึก การให้เช่ารถ การให้เช่าเรือท่องเที่ยว และอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับบริษัททัวร์เอเยนต์ ซึ่งมักจะเป็นการติดต่อกับระหว่างทัวร์เอเยนต์ต้นทางกับทัวร์เอเยนต์ปลายทาง โดยที่ทัวร์เอเยนต์ปลายทางจะเป็นผู้กุมชะตาการนำเสนอทั้งหมดเอาไว้ ซึ่งทำให้ธุรกิจ SMEs ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยจะเข้าถึงได้ยาก และมักขาดโอกาสในการตลาด จึงจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มที่รวบรวมสินค้าและบริการของ SMEs การท่องเที่ยวไทยรวมกันขึ้นมา เพื่อเป็นทางเลือกให้เอเยนต์ต่าง ๆ ทั่วโลก ได้ใช้เป็นทางเลือก

   SIPA ได้ใช้เวลาถึง 2 ปีในการสร้างแพลตฟอร์มทางด้านไอทีเพื่อรองรับปัญหาการท่องเที่ยวไทย ทั้งเพื่อกำหนดสิ่งที่ควรเป็นมาตรฐาน สิ่งที่จะเกิดประโยชน์กับประเทศไทยในระยะยาว และช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระดับรากหญ้า โดยมองที่ไอทีจะเข้าไปแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งนี่เกิดจากการที่ SIPA ลงลึกเข้าไปในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจริงๆ เข้าไปค้นหาปัญหาและหาทางแก้ไขให้ถูกจุดที่สุด

   ปัจจุบันโครงการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในระดับสากล หรือ Tourism Thailand Open Platform ที่เรียกสั้นๆ ว่า ToTOPบางส่วนอยู่ระหว่างการพัฒนา บางส่วนอยู่ระหว่างการรอประกาศใช้ ซึ่งภายใน 3 เดือนข้างหน้าทั้งหมดที่วางแผนไว้จะดำเนินการเสร็จสิ้น และในช่วง 3 เดือนนี้ SIPA กับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งทำความเข้าใจกับภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะมีเอเยนต์ท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าร่วมมากกว่า 300 แห่ง และจะมีเอเยนต์ท่องเที่ยวในประเทศเข้าร่วมมากกว่า 50% ในช่วงนี้

   นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์  ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า แม้เทคโนโลยีปัจจุบันจะเริ่มเอื้อให้ธุรกิจขนาดเล็กได้เข้าถึงลูกค้าต่าง ๆ ด้วยต้นทุนที่น้อยลงและเปิดกว้างมากขึ้น แต่สำหรับในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวการที่ธุรกิจขนาดเล็กจะต่อสู้กับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างองค์กรทางอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรองรับ ไม่ว่าจะเป็นระบบเอเยนต์ทั้งในและต่างประเทศที่เชื่อมถึงกัน ระบบการซื้อขายแบบ Business to Business หรือ B2B ที่ทำให้เกิดแพคเกจการขายในราคาที่ต่ำ และอื่น ๆ ก็ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีเส้นสาย หรือไม่ได้ทำตามข้อกำหนดของเอเยนต์ใหญ่ ไม่สามารถส่งสินค้าและบริการของตนเองไปยังนักท่องเที่ยวทั้งหลายได้

   หากพิจารณาจากการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเสริมแล้ว การท่องเที่ยวแบบ individual หรือแบบส่วนตัวจะเพิ่มมากขึ้น (FIT) จะมีการค้นหาสินค้าและบริการต่าง ๆ จากเสิร์ชเอ็นจิ้น และแอปพลิเคชันใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าหากปล่อยตามธรรมชาติแล้ว ธุรกิจเล็กๆ กลุ่มนี้จะไม่สามารถสร้างตลาด หรือสร้างเครือข่ายออนไลน์ และช่องทางที่ไฮเทคขึ้นมาเองได้อย่างแน่นอน โดยแนวโน้มที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นก็คือ จะมีผู้ผลิตตลาดออนไลน์ หรืออื่น ๆ ขึ้นมาเพื่อชิงส่วนแบ่งกำไร เป็นค่าการตลาดของสินค้าและบริการท่องเที่ยวไทยขึ้นมาอีกเหมือนเช่นที่ผู้ให้บริการทางด้านโรงแรมประสบมาแล้ว

ดังนั้นแนวทางแก้ไขที่ SIPA ร่วมหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามาตลอดก็คือ ทำอย่างไรให้เปิดโอกาสให้ธุรกิจเล็กๆ กลุ่มนี้ได้มีโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่ๆ และพฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ ของนักท่องเที่ยว รวมถึงการเข้ามาใช้ระบบไอทีของพวกเอเยนต์ทัวร์ต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งข้อสรุปส่วนหนึ่งคือ การต้องมีแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายแบบ B2B ที่ต้องรองรับกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กแบบเปิดเสรี

   ระบบนี้จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบของการเป็นหน่วยย่อย หรือ sub-contact ที่ธุรกิจท่องเที่ยวเดิมทำกับเอเยนต์ กลุ่มนี้ยังสามารถจัดทำแพคเกจวางระบบจำหน่ายหรือให้บริการผ่านตัวแทนเพื่อนำเสนอต่อเอเยนต์ทั่วร์ต่างประเทศอยู่เหมือนเดิม แต่แพลตฟอร์มใหม่จะขอความสมัครใจจากธุรกิจท่องเที่ยวและบริการทั้งหมด เล็ก กลาง ใหญ่ ที่ต้องการนำสินค้าและบริการของตนเองมาเสนอต่อเอเยนต์ทัวร์ต่างประเทศโดยตรง ซึ่งมันจะเป็นทางเลือกใหม่ เพื่อมูลค่าใหม่ให้กับตลาด นอกจากป้องกันการผูกขาดจากการกำหนดของเอเยนต์ทัวร์ในประเทศ ยังทำให้สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของไทยได้แข่งขันทั้งในด้านราคาและประสิทธิภาพที่สมเหตุสมผลอีกด้วย

   ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยว่า การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการท่องเที่ยว ที่ SIPA กำลังดำเนินการอยู่นี้คือการคิดและทำสิ่งที่ แก้ไขปัญหาในปัจจุบันและคิดก้าวล้ำไปข้างหน้า แพลตฟอร์มนี้มีหลายประเทศอยากมีแต่ไม่สามารถดำเนินการได้ และไทยจะเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่ดำเนินการ ดังนั้นนอกจากการพัฒนาให้แล้วเสร็จแล้วการสร้างความร่วมมือของผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง

   สิ่งที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยต้องปรับตัวมาตลอด ตั้งแต่การขายผ่านระบบเอเยนต์ซี่ปกติ มาเป็นการขายผ่านเว็บไซต์ตัวกลาง มาเจอกับปัญหาการค้นหาจากเสิร์ชเอ็นจิ้นที่ไม่ครอบคลุม มาเจอกับการผ่านตัวกลางอย่าง Channel Management หรือพวกบริหารช่องทางจำหน่ายอิเล็กทรอนิกส์ ไหนจะต้องมาปรับระบบไอทีภายในเพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่ซับซ้อน ปรับตัวกับการติดตั้งระบบไวไฟเพื่อรองรับความต้องใช้อินเทอร์เน็ต ปรับตัวกับการใช้โซเชียลมีเดียของลูกค้าที่พร้อมจะเป็นดาบสองคมให้ธุรกิจ รวมถึงต้องปรับตัวเข้ากับการแข่งขันแบบขายตรงแบบใหม่ที่ทำให้นักท่องเที่ยวติดต่อโดยตรงกับเจ้าของบ้านที่เพิ่งกระโดดเข้ามาในธุรกิจท่องเที่ยวแนวใหม่ และเชื่อว่าธุรกิจท่องเที่ยวของโลกยังต้องปรับตัวไปเมื่อมีนวัตกรรมใหม่เข้ามาอีกแน่

   การปรับตัวทุกครั้งถือเป็นต้นทุนที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งพิจารณาจากแนวโน้มแล้วส่วนแบ่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะต้องจ่ายให้กับตัวแทนรูปแบบใหม่จะมากขึ้นทุกที หากยังเป็นแนวโน้มเช่นนี้ต่อไป อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะไม่สามารถแบกรับได้ ขณะเดียวกันภาครัฐแม้จะเห็นตัวเลขการท่องเที่ยวที่ดีแต่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวรายได้จากการท่องเที่ยวได้เลย

   ดังนั้น ภาครัฐทางด้านไอทีจะต้องเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหาอันเกิดจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งทางฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ดังนั้นโครงการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในระดับสากล Tourism Thailand Open Platform: ToTOPจึงเป็นเหมือนสิ่งนำร่องที่รัฐบาลกำลังใช้ไอทีแก้ปัญหาที่เกิดจากไอที

   ขณะนี้หน้าที่ของ SIPA คือเร่งสร้างแพลตฟอร์มให้เสร็จสมบูรณ์ ขณะเดียวกันกระทรวงไอซีทีและกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาจะเป็นเหมือนพี่เลี้ยงที่คอยสนับสนุน และเป็นหน่วยงานการันตีว่าแพลตฟอร์มที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ มีประโยชน์กับทั้งอุตสาหกรรม โดยจะไม่มีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว แต่จะทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวที่อยู่ในวงจรได้ประโยชน์ในภาพรวม ทำให้ธุรกิจง่ายขึ้นโดยไม่กลายเป็นต้นทุนส่วนเพิ่มให้กับธุรกิจเลย และจะทำให้ลดการเสียเปรียบทางการค้าให้กับธุรกิจต่างประเทศมากขึ้น

   ถึงวันนี้ระบบ Standard Code หรือรหัสมาตรฐานของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งทาง SIPAได้ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ในการเข้ามาแก้ไขปัญหาด้านการค้นหา หรือ Search ในระบบไอที ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการเสร็จสิ้น 100% แล้ว เหลือเพียงรอการประกาศจากหน่วยงานมาตรฐาน หลังจากนั้นภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะสามารถนำไปใช้ และสร้างเป็นมาตรฐานให้เกิดขึ้นเป็นแห่งแรกของโลกเลยทีเดียว

   ระบบ Hotel Channel Management ที่พัฒนาขึ้นครั้งนี้ จะเป็นระบบที่มีทั้งเทคโนโลยี pushing และ pulling ตัวระบบจะมีความซับซ้อนพอๆ กับระบบคอมพิวเตอร์ของตลาดหุ้น เพราะแต่ละการจองห้องจะต้องลดและเพิ่มในที่ต่าง ๆ จำนวนมากในเวลาเดียวกัน ซึ่งในตลาดโลกตอนนี้ทำได้เพียงระบบใดระบบหนึ่ง ไม่สามารถพัฒนาสองระบบได้ในแพลตฟอร์มเดียวกัน แต่ระบบที่ SIPA พัฒนาจะทำได้และจะเป็นแห่งแรกของโลกอีกเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ระบบพัฒนาไปได้ 60% แล้ว และจะเสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้แน่นอน

   แพลตฟอร์ม B2B Agent หรือตลาดเสนอสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวที่ส่งตรงถึงเอเยนต์ทัวร์ต่างประเทศ จะเป็นตลาดกลางที่ทำให้เอเยนต์ทัวร์ทั่วโลกที่นำลูกทัวร์ต่างประเทศเข้าไทย สามารถปรับแพคเกจบริการและสินค้าต่าง ๆ โดยดึงจากกลุ่ม SMEs ด้านท่องเที่ยวของไทยได้โดยตรง ซึ่งขณะนี้ตัวระบบคืบหน้าไปมากแล้วและกำลังประสานงานจากหน่วยงานภาครัฐในแง่มุมต่าง ๆ เท่านั้น

   งานทั้งสามชิ้นจะก่อมูลค่าเพิ่มทางด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล และเชื่อว่าในอนาคตอาจต้องมีแฟลตฟอร์มใหม่ๆ เพื่อเข้ามาเป็นตัวกลางช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยให้ก้าวล้ำหน้าอยู่นระดับโลก โดยที่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้นทุนในด้านการปรับตัว หรือสุ่มเสี่ยงในเชิงธุรกิจอีกต่อไป

4093
นวัตกรรมโคมไฟถนอมสายตาครั้งแรกของโลก “BenQEye-care lamp WiT” 









“BenQEye-care lamp WiT”ครั้งแรกของโลกกับนวัตกรรมโคมไฟรูปทรงโค้งจากเบ็นคิว  ที่ออกแบบมาเพื่อการอ่านถนอมสายตาและใช้กับจอคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ได้ผสมผสานเทคโนโลยีและพัฒนาความสว่างอย่างสูงสุด เพื่อความสบายของดวงตา ที่ให้ความสว่างกว่าด้วยความกว้าง 90 ซม.  เท่ากับ 150% ของความกว้างจากหลอดไฟปกติพร้อมระบบอัจฉริยะ ที่สามารถตรวจสอบความสว่างของสภาพแวดล้อมและปรับแสงสว่างสมดุลแสงจ้าได้อย่างเหมาะสมและยังสามารถปรับอุณหภูมิสีและความสว่างได้ตามความต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.benq.co.th

4094
ETDA (เอ็ตด้า) ตั้งรับภัยไซเบอร์-ร่วมแชร์ข้อมูลระหว่างองค์กร ระงับเหตุก่อนลุกลาม







ภัยคุกคามไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ก่อให้เกิดความตระหนักในหน่วยงานถึงการมีทีมงานด้าน Cybersecurity เพื่อตั้งรับภัยไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการแชร์ข้อมูลกับทีมหรือหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อควบคุมและระงับการแพร่ขยายของเหตุภัยคุกคามให้เร็วที่สุด

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงไอซีที โดย ThaiCERT หรือ ไทยเซิร์ต เปิดบ้านเชิญหน่วยงานที่เป็น Critical Infrastructure (CI) และผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังและพูดคุยหัวข้อ “แนวทางการจัดตั้ง Computer Security Incident Response Team (CSIRT)  เพื่อเตรียมรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ (CSIRT Building Recommendations for Handling Cyber Threats)” ณ ห้อง Open Forum ของ ETDA โดยได้รับเกียรติจาก กำพล ศรธนะรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ดร.กิตติ โฆษะวิสุทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายความปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชูชัย วชิรบรรจง กรรมการที่ปรึกษา (ประธานชมรม IT ประกันภัย) สมาคมประกันวินาศภัยไทย เกียรติตระการ ญาณมุข ผู้ช่วยกรรมการใหญ่อาวุโส สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศฯ บมจ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต ร่วมเสวนา โดยมี ดร.สรณันท์ จิวะสุรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัยและพัฒนา และรักษาการผู้อำนวยการ สำนักความมั่นคงปลอดภัย ETDA เป็นผู้ดำเนินรายการ รวมทั้งมี Martijn van der Heide CERT Specialist ของไทยเซิร์ต เป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง “Establishing CSIRT” ก่อนการเสวนา

สุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ ETDA กล่าวเปิดว่า สืบเนื่องจากภัยคุกคามในบ้านเรามีมากขึ้นตามลำดับ การทำงานแต่เพียงลำพังหน่วยงานเดียวคงไม่สามารถทำได้ ต้องสร้างเครือข่ายความร่วมมือแล้วทำงานให้เป็นระบบที่ยอมรับกันได้ทั่วโลก โดยไทยเซิร์ตพร้อมจะเป็นเครือข่ายสำคัญสำหรับความร่วมมือ รวมทั้งน้อมรับความเห็น ตลอดจนยินดีจะช่วย support การทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ

Martijn เสริมว่า ไทยเซิร์ต พร้อมที่จะสนับสนุนให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดตั้ง CERT (Computer Emergency Response Team) หรือ CSIRT โดยปัจจุบัน ETDA กำลังจัดทำคู่การจัดตั้ง CERT/CSIRT เพื่ออธิบายกระบวนการในการจัดตั้งและการปฏิบัติงานอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งถ้าหน่วยงานต่าง ๆ นำไปปฏิบัติ ก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะมาร่วมเครือข่าย เพื่อแชร์ข้อมูลกันก่อนที่จะได้รับความเสียหาย โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อขอรับร่างคู่มือนี้ซึ่งใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และตอบแบบสำรวจกลับมายังไทยเซิร์ต เพื่อนำมาปรับปรุงร่างคู่มือฉบับนี้ให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนเผยแพร่ต่อไป

กำพล ซึ่งเป็นตัวแทนจากฝั่งตลาดหลักทรัพย์กล่าวว่า กลต. กำลังจะประกาศ Regulation ใหม่ ที่เน้นเรื่อง Cybersecurity เพิ่มขึ้น รวมทั้งเรื่อง CERT, Governance of Enterprise IT ซึ่งอ้างอิง COBIT 5, ISO 27001, 27002 โดยจะมี Grace Period (ระยะผ่อนผัน) ให้หนึ่งปี แล้วจึงเข้าไป Audit ซึ่ง Regulation ตัวนี้มีการจัดทำเป็นปี โดยผ่านขั้นตอนต่าง ๆ รวมทั้งยังมีการรับฟังความคิดเห็นแล้ว ซึ่งจะใช้รองรับการตั้ง Sector-based CERT ระหว่าง 3 หน่วยงานด้วย คือ กลต. ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งภายใต้ กลต. เองก็ต้องไปหารือกันภายในระหว่างสมาชิก ว่ารูปแบบที่จะทำงาน จะแชร์ข้อมูลขนาดไหน ซึ่งหวัง ETDA จะมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ ทั้งการสร้าง Awareness และกรอบกติกาต่าง ๆ
ทางภาคประกันวินาศภัย ชูชัย กล่าวว่า เนื่องจากกำลังจะมีการให้บริการกรมธรรม์ออนไลน์ภายในสิ้นปีนี้หรือปีหน้า Cybersecurity จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าระบบ Security ไม่ดีพอ ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและเกิดผลกระทบสูง ซึ่งที่ผ่านมา หลายองค์กรมีปัญหาเรื่องของบลงทุนด้าน Security เพราะเห็นผลลัพธ์หรือระบุตัวชี้วัดยาก หน่วยงานเล็กไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ หรือผู้บริหารยังไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร ซึ่งหากมีการแชร์ข้อมูลระหว่าง Sector ภาคประกันวินาศภัยคงจะแข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากธุรกิจประกันวินาศภัยมีความเชื่อมโยงกับภาคการเงินอื่น ๆ และธุรกิจประกันวินาศภัยมีคู่ค้ามากมาย ซึ่งการเชื่อมโยงผ่านอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจ

ในส่วนประกันชีวิต เกียรติตระการ กล่าวว่า มีการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในระดับปฏิบัติการ เช่น ข้อมูลการโจมตี โดยปัจจุบันมีการพัฒนาใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัยขึ้น เช่น Security Information and Event Management (SIEM) แต่บางครั้งแฮกเกอร์ก็มีวิธีการโจมตีอื่น ๆ เช่น DDos ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น เช่น ISP (CAT) เพื่อช่วยให้บล็อกทราฟฟิก ทำให้เห็นว่าการแชร์ข้อมูลและร่วมมือกันนั้นสำคัญมาก

ในส่วนภาคการเงินการธนาคาร ดร.กิตติ กล่าวว่า ลักษณะธุรกิจที่เปลี่ยนไปทำให้ต้องเชื่อมต่อมากขึ้น ไม่ได้เสร็จในหน่วยงานเดียว ทั้งลูกค้า คู่ค้า และฟินเทคในอนาคต เมื่อระบบเชื่อมต่อและเกิดเหตุอะไรขึ้นมาก็ต้องตามไปทั้งกระบวนการ ซึ่งระบบเชื่อมต่อแล้วก็ต้องเชื่อมต่อคน เวลาเกิดเหตุ แต่ละ Sector ก็มีความสนใจและเป้าหมายแตกต่างกัน การแชร์ข้อมูลระหว่าง Sector อาจจะยากกว่า ซึ่งต้องแชร์ข้อมูลกันภายใน Sector ก่อน หากแชร์ได้เร็ว หน่วยงานที่ 2 หน่วยงานที่ 3 ก็ลดผลกระทบลงได้ และเพราะมีมุมในแง่ของการแข่งขันระหว่างหน่วยงานด้วยจึงต้องกำหนดกรอบและข้อมูลที่จะแชร์ ซึ่งจะต้องมีการวางใจหรือเชื่อใจกัน (Trust) ด้วย ซึ่งใน Sector เดียวกัน เช่นที่ภาคการเงินได้เริ่มทำ ก็มีการทำความรู้จักกันและสร้างบรรยากาศในการแชร์ที่ทุกคนสบายใจ

ดร.สรณันท์ ในฐานะตัวแทนของไทยเซิร์ต ได้แชร์เรื่องแนวทางพัฒนา CERT ซึ่งอยู่ในเอกสารร่างคู่มือ โดยต้องการความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง พร้อมทั้งเชิญชวนให้มาร่วมซ้อมรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไทยเซิร์ตทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้สรุปสาระสำคัญของการพูดคุยในวันนี้ใน 3 ประเด็นคือ ความสำคัญของการแชร์ข้อมูลระหว่างกัน (Information Sharing) การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน (Trust) ในการแชร์ข้อมูล และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Human Networking) อย่างเช่น เวที Open Forum วันนี้ ก็เป็นอีกความร่วมมือหนึ่ง

ทาง ETDA Open Forum ขอขอบคุณผู้เข้าร่วมพูดคุยครั้งนี้ โดยหัวข้อการพูดคุยครั้งต่อไปจะเป็นประเด็นใด สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.etda.or.th และ http://ictlawcenter.etda.or.th

4095
ดาต้าวัน เอเชียร่วมกับเอรีส เปิดตัว ArgoERP ดิจิทัลซอฟต์แวร์ ERP อันดับ 1 จากไต้หวัน



เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายอดิศร แก้วบูชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาต้าวัน เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด (คนกลาง)  และ มร. แฟรงค์ ลิน ประธานบริษัท เอรีส อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Ares International Corporation) (คนที่ 2 จากซ้าย) ร่วมกันเปิดตัว ArgoERP  ดิจิทัลซอฟต์แวร์ ERP อันดับ 1 จากไต้หวัน ที่เหมาะสำหรับลูกค้าองค์กรขนาดกลาง และขนาดใหญ่ในไทย ด้วยความสามารถในการปรับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลาย มีโปรแกรมเป็นภาษาไทย สามารถสื่อสารเข้าใจง่ายและทำ Multi – currency อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศได้ เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการนำเข้า ส่งออก หรือธุรกิจที่มีสาขาอยู่ในต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเป็นแบรนด์ ERP อันดับ 1 ที่ได้รับความไว้วางจากกลุ่มธุรกิจในอาเซียน โดยความร่วมมือในครั้งนี้จัดขึ้น ณ  ห้อง Pinnacle 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ
 
DataOne Asia and Ares Launched ArgoERP The No.1 Digital Software ERP of Taiwan



Recently Mr. Adisorn Kaewbucha, CEO of DataOne Asia (Thailand) Co., Ltd. (Center) together with Mr. Frank Lin, President of Ares International Corporation (2nd from left) launched “ArgoERP, the No.1 Digital Software ERP in Taiwan, which it designed to specific needs for medium and large enterprises in Thailand. ArgoERP software is flexibility and easy to understand for Thai enterprises with Thai language supported. In addition, ArgoERP is multi-currency supported, making it ideal for import-export businesses and those operating in various global market. The two partners aim to make ArgoERP the No.1 software for ASEAN enterprises in the future. The event was held at Pinnacle 4, The Intercontinental Hotel Bangkok.

Pages: 1 ... 271 272 [273] 274 275 ... 330