Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - news

Pages: 1 ... 261 262 [263] 264 265 ... 301
3931
ตามคำเรียกร้อง!ASUS ZenWatch 2 มาแล้ว สมาร์ทวอทช์พรีเมียม ลงตัวสำหรับคนยุคดิจิตอล
 




ล่าสุดนาฬิกาสมาร์ทวอทช์เอซุสก็ได้เริ่มวางขายในช่องทางออนไลน์เป็นที่เรียบร้อยโดย ASUS ZenWatch 2 นี้ ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ต้องการนาฬิกาที่เป็นมากกว่านาฬิกาทั่วไป เพราะมีฟังก์ชันอัจฉริยะน่าสนใจมากมาย ได้รับการการันตีด้วยรางวัลระดับสากล อย่างJapan G mark good design และ German IF design award 2016แม้แต่เว็บไซต์รีวิวชื่อดังของอังกฤษอย่างTrusted Reviewsยังกล่าวชื่นชมว่า “ด้วยความที่ZenWatch 2 มีน้ำหนักเบาและออกแบบมาให้เพรียวบางทำให้สวมใส่ได้สบาย”นอกจากนั้น“คุณภาพที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีตเป็นมากกว่าแค่ความงามภายนอกแต่ยังสามารถสวมใส่ใช้งานได้ดี” (trustedreviews.com, 2016)

   มร. เจฟฟ์ โล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ASUS ZenWatch 2 มีความพิเศษกว่านาฬิกาทั่วไป ด้วยคุณสมบัติหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นลำโพงในตัว ที่ทำให้สามารถสนทนาโทรศัพท์ผ่านทาง ZenWatch 2 ได้โดยตรงและยังอ่านข้อความแจ้งเตือนต่างๆ ผ่านทางหน้าปัดได้ทันที พร้อมความพิเศษสำหรับผู้ใช้งาน ZenWatch 2 ด้วยกัน สามารถสนทนาผ่านระบบ ZenWatch Message ซึ่งเป็นช่องทางติดต่อที่สะดวกกว่าเคย รวมถึงสามารถทำหน้าที่เป็นรีโมทสำหรับสั่งถ่ายภาพและพรีวิวภาพได้ด้วยคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ถูกผสมผสานอยู่ในสมาร์ทวอทช์สุดพรีเมียมอย่าง ZenWatch2 ที่รอให้ทุกท่านได้สัมผัส”   

ASUS ZenWatch 2 ได้รับการออกแบบและผลิตขึ้นมาอย่างประณีตในทุกรายละเอียด ด้วยตัวเรือนสแตนเลสสตีลคุณภาพสูงในดีไซน์ขอบโค้งมน อันเป็นการผสมผสานกันระหว่างปรัชญาการออกแบบในแบบของ Zen ร่วมกับความทันสมัยของเทคโนโลยีภายใน ด้านข้างตัวเรือนมาพร้อมปุ่มคราวน์อัจฉริยะ ที่นอกเหนือจากการสร้างความโดดเด่นและสวยงามแล้ว ยังเป็นปุ่มที่ใช้สั่งงานได้อีกด้วย อันเป็นหนึ่งในการออกแบบที่ทำให้ ZenWatch 2 ให้ความรู้สึกเป็นทั้งนาฬิกาข้อมือแบบคลาสสิก และเป็นสมาร์ทวอทช์ได้ในเวลาเดียวกัน

   หน้าปัดแบบสัมผัสของ ASUS ZenWatch 2 มีให้เลือกด้วยกัน 2 ขนาด ทั้งขนาด 1.63 นิ้วที่เหมาะสำหรับผู้ชาย และขนาด 1.45 นิ้วที่เหมาะสำหรับผู้หญิง แต่สำหรับในส่วนของหน้าปัดบอกเวลานั้น ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้หน้าปัดสำเร็จรูปที่มีให้ปรับเปลี่ยนได้จากในแอพพลิเคชันZenWatch Manager แล้ว ผู้ใช้งานยังสามารถสร้างสรรค์หน้าปัดบอกเวลาในแบบของตนเองผ่านแอพพลิเคชันFaceDesignerทั้งการปรับเปลี่ยนอินเตอร์เฟส รวมถึงปรับเปลี่ยนข้อมูลที่แสดงผลบนหน้าปัดได้ดังที่คุณต้องการ

ภายในของ ASUS ZenWatch 2 ได้บรรจุฮาร์ดแวร์และระบบการทำงานต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถบันทึกและเก็บสถิติกิจกรรมที่ส่งผลต่อสุขภาพได้อย่างแม่นยำ ทั้งด้านของการนับก้าวเดิน การวัดคุณภาพการนอนหลับ ทั้งยังมีฟีเจอร์ของผู้ช่วยด้านสุขภาพ ที่จะให้คำแนะนำการออกกำลังกาย เพื่อให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ ZenWatch 2 ยังสามารถป้องกันน้ำได้ตามมาตรฐาน IP67 ซึ่งรองรับการใช้งานในน้ำลึกสุด 1 เมตรได้นาน 30 นาที ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่าคุณจะสามารถใช้งาน ZenWatch 2 ได้ตลอดวัน

ASUS ZenWatch 2 มาพร้อมฮาร์ดแวร์ประสิทธิภาพสูง ได้แก่ ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 400 ร่วมกับแรมขนาด 512 MB พื้นที่ความจุ 4 GB เท่ากันในทั้งสองรุ่นขนาดหน้าปัด รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Bluetooth 4.1 และ Wi-Fi เพื่อการรับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว กระจกหน้าปัด Corning Gorilla Glass 3 แบบโค้ง2.5D

แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นาน 2 วัน และสแตนด์บายได้ถึง 3 วัน แม้ว่าจะถูกตั้งค่าให้แสดงผลผ่านหน้าจอตลอดเวลาก็ตาม รองรับฟีเจอร์ HyperChargeที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ถึง 60% ภายในเวลาเพียงแค่ 15 นาที ด้วยขั้วชาร์จแบบแม่เหล็กรองรับการเปลี่ยนสาย ทำให้ ZenWatch 2 เป็นสมาร์ทวอทช์ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปโฉมได้ตามความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง

ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดตั้งแอพพลิเคชัน ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับ Android Wear โดยเฉพาะเพิ่มเติมได้ เพื่อให้ ZenWatch 2 เป็นมากกว่านาฬิกาข้อมือทั่วไป และยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกสำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน ASUS Zenfoneหรือสมาร์ทโฟน Android รุ่นอื่นๆ เพราะคุณสามารถใช้ ZenWatch 2 ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้อีก ไม่ว่าจะใช้เป็นรีโมทและหน้าจอพรีวิวสำหรับสั่งถ่ายภาพ ใช้ปลดล็อกหน้าจอเครื่องแบบข้ามขั้นตอนการกรอกรหัสผ่าน เป็นต้น

ASUS ZenWatch 2 เปิดให้สั่งจองได้แล้ว ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ชื่อดัง รวมถึงหน้าเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์อย่างเป็นทางการของเอซุสประเทศไทย ASUS Online Store (http://store.asus.com/th/) รวมถึงเตรียมจำหน่ายทุกช่องทางทั่วประเทศกลางเดือนนี้

เกี่ยวกับเอซุส
เอซุส ผู้จัดจำหน่ายโน้ตบุ๊คอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และติดอันดับหนึ่งในสามของโน้ตบุ๊คที่มีผู้ใช้ทั่วโลกมากที่สุด เราเป็นผู้นำในยุคดิจิตอล ในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการทางด้านดิจิตอลทั้งที่บ้านและที่ทำงาน อาทิ โน้ตบุ๊ค เดสก์ท็อปพีซี ออลอินวันพีซี แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ด้วยนวัตกรรมและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เด่นชัด เอซุสจึงได้รับรางวัลถึง 4,368 รางวัลในปี 2015 นอกจากนี้เรายังเป็นผู้ปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ด้วย Eee PC™ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันเอซุส มีพนักงานกว่า 17,000 คนทั่วโลก มีทีมวิจัยและพัฒนากว่า 5,500 คน รายได้เมื่อปี 2015 ประมาณ 14 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: www.facebook.com/ASUSTHAILAND เว็บไซต์ www.asus.com/thหรือติดต่อสอบถามได้ที่ E-mail : Asusth_pr@asus.com หรือโทร 02-677-4422-9

3932
แซสฉลองรายได้ 3.16 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2015 เป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปี

ซอฟท์แวร์อัจฉริยะจัดการความเสี่ยง การทุจริต และรักษาความปลอดภัย ทำให้ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี




กรุงเทพฯ - ความต้องการของลูกค้าเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ฉัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยง การทุจริต และรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น มีส่วนช่วยทำให้ยอดขายของแซสเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 40 ปี โดยล่าสุดแซสแถลงถึงรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมดกว่า 3.16 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2015 ซึ่ง 6.4 เปอร์เซ็นอยู่ในสกุลเงินคงที่ (2.3 เปอร์เซ็น เป็นสกุลเงินดอลล่าสหรัฐ) และยอดขายซอฟท์แวร์ที่เติบโตขึ้นถึง 12 เปอร์เซ็นในสกุลเงินคงที่ (8 เปอร์เซ็น เป็นสกุลเงินดอลล่าสหรัฐ) นับเป็นตัวเลขการเติบโตที่ดีของซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลของแซส

มร. จิม กู๊ดไนท์ ซีอีโอของแซส  กล่าวว่า กว่า 40 ปีมาแล้วที่แซสได้ช่วยเปลี่ยนโลกให้ลูกค้าของเราด้วยซอฟท์แวร์การวิเคราะห์ และในฐานะที่เป็นผู้นำด้านซอฟท์แวร์การวิเคราะห์ เราจะยังคงเป็นบริษัทที่ผู้คนให้ความสนใจเมื่อต้องการความเชี่ยวชาญและโซลูชั่นอันยอดเยี่ยมแบบหาคู่แข่งไม่ได้ โดยรายได้ทั้งหมดของแซสจากทั่วโลกนั้นเด่นชัดเป็นอย่างมาก เปอร์เซ็นการเติบโตของยอดขายใหม่นั้นแตะเลข 2 หลักในเกือบทุกภูมิภาค แสดงให้เห็นถึงผลลัพท์ความสำเร็จในการขยายตลาดไปทั่วโลก นอกจากซอฟท์แวร์อัจฉริยะจัดการความเสี่ยง การทุจริต และรักษาความปลอดภัยจะช่วยเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ แล้ว ภูมิภาคต่าง ๆ ยังคงความเติบโตของเทคโนโลยีหลัก อย่าง การจัดการข้อมูล การวิเคราะห์ และธุรกิจอัจฉริยะของแซสอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดของแซสนั้นมาจาก บริการทางการเงิน รัฐบาล และบริษัทประกัน ลูกค้าในกลุ่มนี้ได้แก่ Bank of America, HSBC, บริษัทประกันจากเยอรมัน Munich Re และธนาคารชั้นนำของไอร์แลนด์ permanent tsb รวมไปถึงองค์กรของรัฐจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง Delaware State Police และ California’s Orange County Child Support Services อีกด้วย ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตที่สุดได้แก่ ธนาคาร, การผลิต, การค้าปลีก, และการบริการ

นอกจากนี้ แซสยังมองแนวโน้มการเติบโตของเทคโนโลยีคลาวด์ โมบายล์ และพื้นที่ IoT ซึ่งซอฟท์แวร์ SAS Cloud Analytics ของแซสได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและถูกใช้โดยลูกค้าในกว่า 70 ประเทศ ด้วยการคาดการณ์ว่าจะมีอุปกรณ์เชื่อมต่อมากกว่า 4 หมื่นล้านเครื่องเข้าสู่ตลาดภายในปี 2020 เทคโนโลยี IoT จะเร่งการพัฒนา รวมทั้งความก้าวหน้าอย่าง สมาร์ทซิตี้ ที่ผู้เชี่ยวชาญจากแซสจะเป็นผู้ใช้งานหลัก ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่โอกาสของนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นด้วยการเชื่อมต่อในปัจจุบัน ความเสี่ยงในการโดนโจมตีก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน และแซสได้เปิดตัวเทคโนโลยี SAS Cybersecurity เพื่อช่วยต่อสู้กับความเสี่ยงนั้น
 
นวัตกรรมที่ตอบโจทย์เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ลูกค้าพึ่งพอใจ
 
นายแรนดี้ การ์ด หัวหน้าฝ่ายการตลาด, แซส กล่าวว่า จากนักวิเคราะห์ แซสมี โซลูชั่นวิเคราะห์ข้อมูลที่ให้แทบทุกสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลหรือธุรกิจที่ใช้งานต้องการ  ซึ่งความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมของแซสทำให้มันเกิดขึ้นได้ โดยในปี 2015 แซสได้ใช้ทุน 25 เปอร์เซ็นของรายได้ทั้งหมดไปกับการทำวิจัยและพัฒนา ซึ่งมากกว่าบริษัทไอทีชั้นนำอื่น ๆ เกือบสองเท่า และยิ่งแซสเติบโต แซสก็จะยังคงแบ่งเงินจำนวนมากจากรายได้เพื่อไปทำวิจัยและพัฒนาอยู่เสมอ และในปีนี้แซสใช้งบในงานวิจัยมีสัดส่วนคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้แซสยังคงก้าวทันนวัตกรรมการวิเคราะห์อยู่เสมอ และสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดเอาไว้ได้

โดยลูกค้าของแซสจะได้ประโยชน์อย่างนับไม่ถ้วนจากซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมาได้แก่

-          SAS Cybersecurity นวัตกรรมที่ทำให้ลูกค้าสามารตรวจจับการกระทำของผู้บุกรุกระบบได้อย่างทันท่วงที
-          SAS Event Stream Processing นวัตกรรมช่วยให้ลูกค้าวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมได้หลายล้ายรายการต่อวินาที
-          SAS Data Loader for Hadoop นวัตกรรมที่ทำให้การจัดการข้อมูล big data ที่กำลังเติบโตง่ายขึ้น
-          SAS Factory Miner นวัตกรรมที่มีโมเดลการพัฒนาแบบอัตโนมัติ และมีความสามารถในการเลือก และเทคนิค machine learning ให้ใช้งาน

นอกจากนวัตกรรมใหม่ ๆ เหล่านี้แล้ว พอร์ตฟอลิโอของแซสยังคงช่วยเหลือ และสร้างความแตกต่างให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี SAS Visual Analytic ได้ช่วย International Organization for Migration ซึ่งสามารถระบุที่พักพิงที่มีความเสี่ยงสูง และจัดสรรทรัพยากรเพื่อสร้างหลังคาให้กับผู้ประสบภัยหลายพันคนในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เนปาลด้วยนวัตกรรมเหล่านี้ทำให้แซสมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 1,800 รายในปี 2015 หรือมีลูกค้ามากถึง 80,000 ราย ในปัจจุบัน(รวมไปถึง Lenovo และ Orlando Magic) ซึ่งจำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนี้ เกิดจากความมุ่งมั่นที่จะให้คุณภาพและบริการที่ดี ทำให้แซสได้รับฉายาจาก Temkin Group ว่าเป็นเบอร์ 1 ในด้านความพึงพอใจของลูกค้า ความซื่อสัตย์ และมีแรงผลักดันในการซื้อเทคโนโลยีของแซส
 
เทคโนโลยีแซสช่วยให้พาร์ทเนอร์เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ในปี 2015 พาร์ทเนอร์ของแซสมีส่วนช่วยในการผลักดันยอดขายใหม่ ๆ กว่า 30 เปอร์เซ็น และเกือบครึ่งของข้อเสนอ   ใหญ่ ๆ ที่แซสได้รับมาผ่าน SAS channel ก็กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
 
หลังจากเกิดการตอบรับกับตัวแทนจำหน่ายระดับโลกอย่าง Arrow Electronics แซสยังได้เซ็นสัญญากับผู้ค้าปลีกอีกกว่า 150 ราย รวมทั้งได้บันทึกข้อตกลง OEM ร่วมกับ Toshiba Global Commerce Solutions และยังเซ็นสัญญาร่วมกับ Managed Analytic Services Providers (MASPs) เป็นครั้งแรกอีกด้วย เพื่อช่วยลูกค้าในการปรับใช้เทคโนโลยีแซสให้เข้ากับความต้องการและผู้ใช้สืบต่อไปในอนาคตด้วย
ความก้าวหน้าของแซสในปี 2016
ศูนย์วิจัยข้อมูล IDC รายงานว่า แซสมีส่วนแบ่งในตลาดวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ซึ่งคาดเดาข้อมูลมากถึง 33.33 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่กว่า 24.5 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทคู่แข่งอีก 9 บริษัทรวมกันเสียอีก นอกจากนี้แซสยังได้รับฉายาจากนักวิเคราะห์เชิงอุตสาหกรรมว่าเป็นผู้นำในด้านการจัดการข้อมูล การตรวจจับการทุจริต การค้าปลีก เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอัจฉริยะหรือ BI (Business Intelligent)

โดยแซสยังคงวางแผนจะส่งมอบนวัตกรรมในด้านการวิเคราะห์ระบบคลาวด์ และให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูล นวัตกรรม BI การแสดงข้อมูล การจัดการข้อมูล เทคโนโลยีลูกค้าอัจฉริยะ การตรวจจับการทุจริต โซลูชั่นรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และแซสจะยังให้เทคโนโลยี SAS big data analytics ในเวอร์ชั่นที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย

นอกจากการเติบโตของซอฟต์แวร์แล้ว  แซสยังจะขยายขอบเขตการทำงานในปี 2016 ด้วยการเพิ่มพนักงานฝ่ายขาย และสร้างศูนย์ลูกค้าใหม่ในดับลินและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยแซสจะเปิดสำนักงานใหม่ที่เมืองดีทรอยท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และบริษัทจะสร้างอาคารใหม่ ณ ที่สำนักงานใหญ่ของแซสที่เมือง Cary รัฐนอร์ท แคโรไลนาอีกด้วย มุ่งเข้าถึงสถาบันการศึกษาเพื่อลดช่องว่างทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลให้กับนักศึกษาที่จบออกมา

นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันแซสได้ให้การฝึกอบรมด้านทักษะการวิเคราะห์ผ่านซอฟท์แวร์ SAS Analytics U ซึ่งได้เป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยมหลายแห่งในต่างประเทศ ซึ่งยอดใช้งาน SAS Analytics U นั้นมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด และเป็นหนึ่งในวิธีที่แซสนำมาใช้ในประเทศไทยเพื่อลดช่องว่างของทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มทักษะการเรียนรู้แซสในสถาบันการศึกษา และขณะนี้แซส ได้มีการทำ Workshop อบรมการใช้แซสให้กับนักศึกษาภาควิชาสถิติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะวิทยาศาสตร์สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง อีกด้วย

สำหรับยอดดาวน์โหลดการใช้ซอฟต์แวร์แซสในต่างประเทศ มีการลงทะเบียนมากกว่า 520,000 ครั้ง ทั้งซอฟต์แวร์ SAS University Edition และ SAS OnDemand ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และมีผู้ใช้งานกว่า 45,000 รายได้ลงทะเบียนคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี

รวมทั้งสถาบันอบรมเกี่ยวกับ Data Science ของแซสพึ่งเปิดตัว เพื่อให้การรับรองเกี่ยวกับ SAS Certified Big Data Professional และ SAS Certified Data ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้ผู้ที่สนใจเข้ามาอบรมซอฟต์แวร์แซสเพิ่มขึ้น ซึ่งสถาบันอบรมแห่งนี้สอนทักษะเกี่ยวกับการจัดการข้อมูล big data การวิเคราะห์ขั้นสูง machine learning และการดูข้อมูล เป็นต้น

เกี่ยวกับบริษัท แซส
บริษัท แซส เป็นผู้นำในตลาดซอฟต์แวร์และบริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ (Business Analytics) ด้วยโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมที่ให้ลูกค้าในรูปของ Integrated Framework และเทคโนโลยีสำหรับการรวบรวมข้อมูล  การวิเคราะห์ และการเข้าถึงข้อมูลช่วยให้ลูกค้าของแซส ที่มีมากกว่า 75,000 แห่งทั่วโลก สามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้ดี และรวดเร็วยิ่งขึ้น และนับตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา แซส เดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในการเป็น "พลังแห่งการรอบรู้" หรือ The Power to Know® สำหรับลูกค้าทั่วโลก

3933
TP-LINK พร้อมสู้ตลาดเน็ตเวิร์ค ส่ง VDSL อุปกรณ์แชร์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงรุกตลาด Home User

VDSL เป็นระบบเครือข่ายที่พัฒนาและออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานในอาคารเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพของการถ่ายโอนข้อมูลระดับสูง โดยส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ มีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงกว่าและเร็วกว่าทำให้มีอัตราการถ่ายโอนข้อมูลทั้งในส่วนของ Upload และ Download สูงถึง 100 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งเป็นเทรนด์ของผู้ใช้ที่เริ่มเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีนี้กันแล้วในหลายๆ พื้นที่ในปัจจุบัน และเพื่อเป็นการรองรับกับตลาดเน็ตเวิร์คที่เติบโตสูงขึ้น ทาง TP-LINK พร้อมส่งอุปกรณ์ VDSL อุปกรณ์แชร์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสู่ตลาด Home User ดังนี้ 


รุ่น TD-W9970 300Mbps Wireless N USB VDSL2 Modem Router
ที่ส่งสัญญาณ 300Mbps ที่ย่านความถี่ 2.4GHz คลอบคลุมสัญญาณเครือข่าย และส่งสัญญาณอย่างมีเสถียรภาพที่มาพร้อมพอร์ต USB2.0 จำนวน 1 พอร์ตสำหรับแชร์ข้อมูล และพอร์ตแลนด้านหลังแบบ 10/100Mbps จำนวน 4 พอร์ต เหมาะกับท่านที่ใช้แพ็คเกตอินเตอร์เน็ต 20Mbps-50Mbps


รุ่น TD-W9980 N600 Wireless Dual Band Gigabit VDSL2/ADSL2+ Modem Router ที่ส่งสัญญาณ 300Mbps ที่ย่านความถี่ 2.4GHz และ 300Mbps ที่ย่านความถี่ 5GHz ที่ให้การใช้งานที่เสถียรและรองรับผู้ใช้ที่เข้ามาเชื่อมต่อมากขึ้น  พร้อมพอร์ต USB2.0 จำนวน 1 พอร์ตสำหรับแชร์ข้อมูล และพอร์ตแลนด้านหลังแบบ 10/100/1000Mbps จำนวน 4 พอร์ต ซึ่งเหมาะสำหรับแพ็คเกตอินเตอร์เน็ต 50Mbps-150Mbps


อุปกรณ์ใหม่ล่าสุดที่จะนำเข้ามาเร็วๆ นี้  คือ รุ่น AC1600 Wireless Gigabit VDSL/ADSL Modem Router
นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ที่ใช้แพ็คเกต 50Mbps-150Mbps ที่TP-Link อยากแนะนำด้วยคุณสมบัติสามารถส่งสัญญาณ 300Mbps ที่ย่านความถี่ 2.4GHz และ 1300Mbps ที่ย่านความถี่ 5GHz ที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่แบบ 802.11AC ซึ่งการรับส่งข้อมูลจะเร็วกว่าถึง 3 เท่า พร้อมพอร์ต USB2.0 จำนวน 2 พอร์ตสำหรับแชร์ข้อมูล และยังสามารถเสียบแอร์การ์ดเพื่อแชร์สัญญาณ 3G/4G ได้อีกด้วยเพื่อให้การเชื่อมต่อไม่มีการสะดุด  และการดีไซน์พอร์ตแลนด้านหลังแบบ 10/100/100Mbps จำนวน 4 พอร์ต ยิ่งเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้

ขณะเดียวกันหลายคนยังสงสัยว่าหากซื้อแพ็คเกตกับผู้ให้บริการก็จะได้เราเตอร์มาด้วยนั้น เหตุใดต้องเลือก TP-LINK คำตอบง่ายที่สุดก็คือหากผู้ใช้ต้องการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีใหม่ให้ทันสมัย และส่งสัญญาณเสถียรกว่าเดิม TP-LINK ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งปัจจุบัน TP-LINK เราเป็นผู้นำด้าน Wi-Fi Home User ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมคลิก www.tp-link.co.th หรือ https://www.facebook.com/tplinkenterprisesthailand/

3934
กระทรวงวิทย์ฯ สวทช. จับมือ ท็อปส์ เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ " Active PAKTM ถุงหายใจได้" ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น













27 เม.ย. 59 ณ ท็อปส์ มาร์เก็ต เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 :- กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์และท็อปส์  เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ “Active PAKTM ถุงหายใจได้" ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยี EMA (Equilibrium Modified Atmosphere) ที่สร้างสมดุลบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ จึงคงความสด คุณค่า และรสชาติของผักให้สด อร่อย ได้นานสูงสุด 2-5 เท่า ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค พร้อมตอกย้ำจุดยืนของท็อปส์ที่เป็นผู้นำซูเปอร์มาร์เก็ตที่ส่งความสดให้ผู้บริโภค พร้อมสานต่องานวิจัยและพัฒนาร่วมกับ สวทช.

ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีหน้าที่หลักในการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนผลักดันให้เกิดการนำผลงานวิจัยออกไปใช้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ และสร้างคุณค่าให้แก่สังคม โดย “โครงการนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์แบบยั่งยืนเพื่ออุตสาหกรรมผลิตผลสดของไทย” ภายใต้โครงการวิจัยที่มุ่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจระดับพันล้านบาท เป็นโครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ที่ริเริ่มโดย สวทช. เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักวิจัยเข้าใจและเข้าถึงความต้องการของภาคเอกชนได้อย่างแท้จริง ทำให้สามารถพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ภาคอุตสาหกรรมได้ ดังเช่นเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ Active PAKTM สู่ผลงานนวัตกรรม “ถุงหายใจได้” ที่พัฒนาขึ้นโดย หน่วยวิจัยโพลิเมอร์ ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีพลาสติก เอ็มเทค สวทช. ซึ่งเป็นงานวิจัยที่จับต้องได้ ก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีจากผลงานวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรมไทย ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรของไทย ด้วยคุณสมบัติของถุงที่สามารถคงความสด คุณค่า และรสชาติของผลิตผลสด ได้แก่ ผักและผลไม้ต่างๆ ได้นานสูงสุด 2-5 เท่า

“และในวันนี้ นวัตกรรมเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ Active PAKTM หรือถุงหายใจได้ดังกล่าว มีการนำไปใช้ประโยชน์จริงแล้วในภาคอุตสาหกรรม ทั้งในส่วนของการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่ผู้ผลิตฟิล์มบรรจุภัณฑ์พลาสติก และผู้ประกอบการที่เป็นผู้ใช้งานอย่าง เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ เพื่อใช้สำหรับคงความสดของผักที่วางจำหน่ายบนชั้นวางได้ยาวนานยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นความสำเร็จร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเมื่อภาคเอกชนเห็นความสำคัญของการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์แล้ว ย่อมจะส่งผลให้มูลค่าการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศเพิ่มมากขึ้น ลดการนำเข้าหรือการใช้งานเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และต้นทุนของการผลิตจะถูกลง เหล่านี้ล้วนมีผลให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนได้ในท้ายที่สุด” ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล กล่าว
   
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล นักวิจัยและหัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนา Active PAKTM ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า การทำงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีฟิล์มบรรจุภัณฑ์สำหรับยืดอายุและรักษาคุณภาพผักผลไม้สดซึ่งกว่าจะถึงรุ่นปัจจุบัน Active PAKTM นั้น ได้ทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี โดยมีการรับโจทย์จริงจากภาคอุตสาหกรรมผักผลไม้สด มีการพัฒนาและร่วมทดสอบกับเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ใช้งานบรรจุภัณฑ์ผักผลไม้สดสำหรับตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตในประเทศ และผู้ส่งออกผักผลไม้สดไปต่างประเทศ รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ผลิตฟิล์มบรรจุภัณฑ์พลาสติก เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยฟิล์มบรรจุภัณฑ์สำหรับยืดอายุและรักษาคุณภาพผักผลไม้สดรุ่นปัจจุบัน Active PAKTM ตอบโจทย์ด้านคงความสดของผักและความใสของถุง ซึ่งได้ผ่านการทดสอบใช้งานจริงผ่านกระบวนการต่างๆ ของทาง บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ มาเป็นเวลากว่า 3 ปี โดยมีการพัฒนาให้ตอบสนองต่อความต้องการในด้านการใช้งานที่ง่ายและสะดวก ด้านการผลิตที่ผลิตได้ในอุตสาหกรรม และด้านการวางจำหน่ายบนชั้นวาง ที่ผักต้องคงความสด และถุงยังคงความใส

“ทั้งนี้ผู้ประกอบการด้านผักผลไม้สด ที่มีโจทย์ความต้องการที่จะพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับผักผลไม้สด สามารถติดต่อได้ที่ เอ็มเทค สวทช. (ดร.วิชชุดา เดาด์; witchudas@mtec.or.th / ชนิต วานิกานุกูล; chanitw@mtec.or.th) เรามีความพร้อมของทีมงานที่มีความรู้ความสามารถในสาขาต่างๆ รวมถึงห้องปฏิบัติการและทดสอบที่มีความทันสมัยในระดับสากล และการให้คำแนะนำ ปรึกษา บริการในรูปแบบต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการ” ดร.วรรณี ฉินศิริกุล กล่าว

ด้าน นางสาวเมทินี พิศุทธิ์สินธพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายจัดซื้อกลุ่มสินค้าอาหารสด และบริหารจัดซื้อ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง สวทช. และท็อปส์ ว่า        ท็อปส์ เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตรายแรกของไทยที่นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด “Active PAKTM ถุงหายใจได้” มาใช้ เพื่อช่วยให้ผักที่วางจำหน่ายในท็อปส์ ทั้ง 181 สาขาทั่วประเทศ คงความสด รสชาติดีตามธรรมชาติ รักษาคุณค่าทางโภชนาการให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นนโยบายหลักของ ท็อปส์ ที่ต้องการให้ผักสดและปลอดภัยจนถึงมือผู้บริโภค เทคโนโลยีใหม่นี้ยังช่วยลดการสูญเสียผัก เป็นการลดขยะ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม อีกด้วย

บริษัทฯ ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี ร่วมทดลองกับ สวทช. โดยให้โจทย์หลักต้องการถุงใสและหนาไม่ต่างจากถุงพลาสติกทั่วไป เพราะผู้บริโภคเลือกซื้อผักจากการมองและสัมผัส ถุงต้องช่วยยืดอายุผักให้สดนานขึ้นกว่าบรรจุภัณฑ์แบบเดิมที่เป็นถุงพลาสติกเจาะรูระบายอากาศ และต้องง่ายกับการทำงานในระบบซัพพลายเชน ในขั้นตอนการทดลองได้นำถุงหายใจได้แบบและไซส์ต่างๆ ไปบรรจุผักทั้งผักใบแคบและผักใบกว้าง โดยเริ่มกระบวนการตั้งแต่โรงแพ็ค ส่งไปยังศูนย์กระจายสินค้าอาหารสด แล้วกระจายต่อไปยังสาขา จนถึงครัวของผู้บริโภค ร่วมกันทดลองหลายต่อหลายครั้ง เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเรื่องอุณหภูมิที่ไม่สม่ำเสมอในกระบวนการขนส่ง เช่น การขนผักจากห้องเย็นหรือโรงแพ็คเพื่อจัดวางในรถขนส่ง เป็นต้น จนในที่สุดเราก็ประสบความสำเร็จได้ “Active PAKTM ถุงหายใจได้” ที่ทั้งใสและหนาเหมือนถุงพลาสติกทั่วไป และสามารถยืดอายุผักให้สดนานขึ้นเฉลี่ย 7-8 วัน เทียบกับถุงพลาสติกทั่วไปเจาะรู ที่ใส่ผักได้เพียง 3 วันเท่านั้น

โดยในเดือนเมษายน 2559 ท็อปส์ ได้นำ “Active PAKTM ถุงหายใจได้” มาใช้กับสินค้า OwnBrand   ภายใต้แบรนด์มายช้อยส์ (My Choice) และสเต็ปต่อไปมีแผนให้ซัพพลายเออร์และเกษตรกรแต่ละชุมชนที่มี    แบรนด์ของตัวเองนำถุงดังกล่าวไปใช้ เพื่อยืดอายุของผักบางประเภทที่ต้องดูแลพิเศษ  เน่าเสียได้ง่าย หรือผักที่ปลูกในพื้นที่ห่างไกล เพื่อเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายสินค้าจากเดิมที่เคยขายได้เฉพาะในชุมชน ให้สามารถ         ส่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายในส่วนกลางหรือสาขาทั่วประเทศ โดยต้องพัฒนาถุงขนาดใหญ่สำหรับขนส่งเพิ่มเติม    จากปัจจุบันที่มี 5 ขนาด ได้แก่ 5x15นิ้ว, 5x18นิ้ว, 7x19นิ้ว, 7x25นิ้ว และ 8x13นิ้ว
   
“Active PAKTM ถุงหายใจได้ ช่วยลดการสูญเสียผักลงประมาณ 7-8% ในขณะที่ต้นทุนการผลิตถุงแพงกว่าถุงพลาสติกทั่วไปเล็กน้อย แต่ท็อปส์ไม่ได้ขึ้นราคาขายสินค้าแต่อย่างใด เนื่องจากมองถึงประโยชน์ของผู้บริโภคและเกษตรกเป็นหลักและถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าที่สด ใหม่ รสชาติดี คงคุณค่าทางโภชนาการ  เหมือนเก็บมาจากไร่ให้ได้มากที่สุด และในอนาคตมีแผนจะนำถุงไปปรับใช้กับผลไม้ที่ต้องการความสดด้วย เช่น เงาะ”

ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ ท็อปส์ ประสบความสำเร็จ สามารถต่อยอดงานวิจัยในหน้ากระดาษสู่การค้าพาณิชย์ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพสินค้า เพิ่มโอกาสและยืดระยะเวลาการขายผักให้เกษตรกร สุดท้ายคือผู้บริโภคที่ได้ผักสด รสชาติดี คงคุณค่าทางโภชนาการ 

3935
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค แกะกล่อง ดิจิตอลมิเตอร์ EasyLogic™ PM2000 series ตัวช่วยจัดการระบบไฟฟ้าในอุตสาหกรรม



ใหม่ !  ดิจิตอลมิเตอร์ รุ่น EasyLogic™ PM2000 series จาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค  ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและจัดการระบบไฟฟ้าง่ายๆ ในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ ครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ด้วยเครื่องมือวัดและการจัดการโหลดไฟฟ้าที่มาพร้อมกับการเชื่อมต่อผ่าน RS485    ดิจิตอลมิเตอร์ รุ่น EasyLogic™ PM2000 series  มีแนะนำทั้งหมด 2 ซีรีส์

•   รุ่น PM2100 series   หน้าจอแสดงผลแบบ LED แสดงผลค่าข้อมูล 3 บรรทัด มีสัญลักษณ์บอกชนิดของข้อมูลบริเวณ 2 แถวด้านข้าง

•   รุ่น PM2200 series  หน้าจอแสดงผลแบบ LCD สี Monochrome (โมโนโครม) ด้วย Resolution 128x128 ขนาด 67x62.5 มิลลิเมตร สามารถอ่านข้อมูลทั้งได้ 3 เฟสพร้อมกัน พร้อมตัวเลขขนาดใหญ่ โดดเด่นด้วยระบบ Anti-glare display เพื่อป้องกันแสงสะท้อน และมี backlight ที่ช่วยให้ง่ายในการอ่านค่า แม้ในที่แสงมากหรือมุมมองที่ไม่ตั้งฉากกับหน้าจอ นอกจากนี้ ยังมีเมนูที่หลากหลาย รองรับหลายภาษาอีกด้วย

3936
ทรู ผนึก คอมเซเว่น  ยกระดับความเป็นเลิศด้านจุดบริการลูกค้าครบวงจร เสริมทัพคอมเซเว่นร่วมบริหารจัดการการขายสินค้า 166 สาขา พร้อมเสริมจุดบริการทรูภายใต้คอมเซเว่นอีกกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ





กรุงเทพฯ 26 เมษายน 2559 – ทรู  ผนึกกำลัง คอมเซเว่น ยกระดับบริการสู่มิติใหม่ ก้าวสู่อีกขั้นของบริการคุณภาพครบวงจร เพื่อตอบสนองครบทุกไลฟ์สไตล์คนไทย มุ่งเน้นลูกค้าทรูได้รับประสบการณ์การบริการที่ดีที่สุด ณ ช่องทางการให้บริการลูกค้าที่สะดวกสบายและครอบคลุมมากที่สุดในประเทศไทย โดยบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท ทรู ดิสทรีบิวชั่น แอนด์เซลส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันบริหารจัดการการขายสินค้าและการให้บริการในจุดให้บริการลูกค้าทรู 166 แห่ง ในห้างบิ๊กซีและห้างเทสโก้ โลตัสทั่วประเทศ อีกทั้งเพิ่มจุดให้บริการลูกค้าทรูในรูปแบบ True Authorized Reseller ในร้านขายปลีกภายใต้คอมเซเว่น อาทิเช่น Banana IT และอื่นๆ กว่า 300 สาขาทั่วประเทศ มั่นใจตอบโจทย์ความเป็นดิจิตอลไลฟ์สไตล์ที่ทำให้ชีวิตประจำวันของลูกค้ามีความสะดวกยิ่งขึ้น ง่ายขึ้น และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าทรูทั่วประเทศได้อย่างแน่นอน   

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างทรู และ คอมเซเว่น ในครั้งนี้ เป็นไปตามความตั้งใจของกลุ่มทรู ที่จะยกระดับความเป็นเลิศด้านการให้บริการเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทรูจะได้นำศักยภาพและประสบการณ์ของคอมเซเว่นที่เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารธุรกิจรีเทล รวมทั้งความรู้ความสามารถด้านฮาร์ดแวร์และไอทีเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มช่องทางการให้บริการที่มากขึ้น แก่ลูกค้าในกลุ่มทรูที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 20 ล้านรายทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันส่งมอบประสบการณ์ใหม่ที่ประทับใจยิ่งขึ้นภายในจุดให้บริการทรู โดยเฉพาะการให้บริการแบบครบวงจรที่นำทั้ง ฮาร์ดแวร์ เครือข่าย และคอนเทนท์ มารวมกันเพื่อตอบโจทย์ความเป็นดิจิตอลไลฟ์สไตล์ที่ทำให้ชีวิตประจำวันของลูกค้ามีความสะดวกยิ่งขึ้น ง่ายขึ้น รวมทั้งความครบครันของสินค้าไอทีที่มีความหลากหลายทั้งฮาร์ดแวร์และแอคเซสซอรี  ซึ่งมั่นใจว่าจะสร้างความพึงพอใจสูงสุด ตอบโจทย์และครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทั่วประเทศได้อย่างแน่นอน   

นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า  Com7 เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกไอทีอันดับ 1 ของไทย มีศักยภาพด้านการจำหน่ายสินค้าประเภทฮาร์ดแวร์และแอคเซสซอรี อีกทั้งยังเป็นผู้ให้บริการและจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Apple อันดับ 1 ของไทยอีกด้วย ขณะที่กลุ่มทรูเป็นผู้นำธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ของไทยที่มีผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งด้าน Network และ Content ต่าง ๆ  ความร่วมมือระหว่าง Com7 และทรูในครั้งนี้ถือเป็นการเสริมสร้างศักยภาพให้กับทั้งทรูคอร์ปอเรชั่นและทาง Com7 ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยจุดหมายร่วมกันคือต้องการให้ร้านเราเป็น Digital Service Provider ที่ตอบโจทย์ด้าน IT Solution ครบวงจร  มุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า  ซึ่งในความร่วมมือครั้งนี้ทาง Com7 ได้นำมาตรฐานการให้บริการที่เป็นเลิศของทรูมาบูรณาการเพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ทั้งนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือครั้งนี้ คือ ทั้งสองบริษัทจะร่วมกันบริหารจัดการการขายสินค้าและการให้บริการในจุดให้บริการลูกค้าทรูทั้ง 166 แห่ง ในห้างบิ๊กซีและห้างเทสโก้ โลตัสทั่วประเทศ อีกทั้งเพิ่มจุดให้บริการลูกค้าทรูในรูปแบบ True Authorized Reseller ในร้านขายปลีกภายใต้คอมเซเว่น อาทิเช่น Banana IT และอื่นๆ กว่า

เกี่ยวกับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทหลักของกลุ่มทรู ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสื่อสารครบวงจรหนึ่งเดียวของประเทศไทย และเป็นผู้นำคอนเวอร์เจนซ์  ธุรกิจหลักของกลุ่มทรูประกอบด้วย ทรูมูฟ เอช ผู้นำบริการโมบายล์ 3G+HSPA และเป็นเพียงรายเดียวที่ให้บริการโมบายล์เชิงพาณิชย์ 4GLTE บนคลื่น 2100 MHz  ทรูออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯและปริมณฑล และเป็นผู้ให้บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตรายใหญ่ที่สุดของประเทศผ่านเทคโนโลยี DOCSIS 3.0 เคเบิ้ลโมเด็ม ADSL และ FTTX และทรูวิชั่นส์ ผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกทั่วประเทศที่ใหญ่ที่สุด และเป็นรายแรกที่นำเสนอคอนเท้นท์คุณภาพในระบบ HD

เกี่ยวกับบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน)
บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) เริ่มก่อตั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 โดยเริ่มต้นการดำเนินธุรกิจด้วยการเปิดร้านจำหน่ายสินค้าไอที ร้านแรกขึ้นที่ห้างพันธ์ทิพย์พลาซ่ากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายสินค้าไอทีของบริษัทฯ ตั้งแต่นั้นมา ด้วยพนักงานเริ่มต้น 5 คน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการดำเนินธุรกิจ บริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจสายไอที ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ภายใต้ร้านค้าปลีกในนาม BaNANA IT, BaNANA Mobile, iStudio iBeat U store By Comseven โดยดำเนินธุรกิจหลักในการนำเข้าสินค้าไอที ธุรกิจค้าส่งสินค้าไอที และธุรกิจการค้าปลีกสินค้าไอที โดยกลุ่มสินค้าที่บริษัทฯ ทำการจัดจำหน่าย ได้แก่กลุ่มสินค้าแอปเปิ้ล สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน๊ตบุ้ค คอมโพเนนท์ (DIY) คอมพิวเตอร์ประกอบ แล็ปท็อป อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค และ แอสเซสซอรี่ อาทิเช่น แบรนด์ Apple, Asus, Acer, HP, Western Digital, LG, Lenovo, Nokia, Samsung, Seagate, Sony, Toshiba, True move และอีกหลายแบรนด์ชั้นนำ

3937
เอซุสขอชี้แจงเรื่องแบตเตอรี่ของผลิตภัณฑ์ ASUS Zenfone Max


 
บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขอเรียนชี้แจงข้อมูลแบตเตอรี่ของผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ ASUS Zenfone Max (ZC550KL) ดังนี้

1)      ผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ ASUS Zenfone Max ได้รับการออกแบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ได้ด้วยตนเอง เนื่องจากแบตเตอรี่ได้รับการยึดไว้ทั้งสองด้านของกรอบเครื่อง

2)      การพยายามถอดแบตเตอรี่ของ ASUS Zenfone Max ทั้งด้วยการฝืน และการใช้เครื่องมือใดๆ ในการถอด จะทำให้ขาดสิทธิ์ความคุ้มครอง และอาจทำให้โทรศัพท์มือถือ รวมถึงแบตเตอรี่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ https://www.asus.com/th/support/FAQ/1016231/

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: www.facebook.com/ASUSTHAILAND เว็บไซต์ www.asus.com/th หรือติดต่อสอบถามได้ที่ E-mail : Asusth_pr@asus.com หรือโทร 02-677-4422-9

3938
“Education ICT Forum 2016” สัมมนาวิชาการด้านการศึกษา 27 - 28 เม.ย. ศกนี้ ภายใต้แนวคิด “Digital Technology for 21st Century, The Future of Higher Education”



ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์


ดิลก คุณะดิลก


มล.ปริยดา ดิศกุล




กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ และ สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย พร้อมด้วยองค์กรภาคีหลัก ได้แก่ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรซ์ ประเทศไทย, เอปสัน (ประเทศไทย), แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) และ เลอโนโว (ประเทศไทย) จัดอบรมสัมมนาวิชาการด้านการศึกษา “Education ICT Forum 2016” ในวันที่ 27 – 28 เมษายน 2559 ณ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ ภายใต้แนวคิด “Digital Technology for 21st Century, The Future of Higher Education” เพื่อสร้างเสริมองค์ความรู้และพัฒนาทักษะเฉพาะทางด้านไอซีทีมาใช้อย่างสร้างสรรค์สำหรับครูอาจารย์และเยาวชน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจสู่ธุรกิจรูปแบบใหม่ในยุคศตวรรษที่ 21 

ดิลก คุณะดิลก กรรมการสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย(ATCI) กล่าวว่า “Education ICT Forum 2016 จะเป็นเวทีสำคัญในการอภิปรายและนำเสนอ ICT เพื่อบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรของหน่วยงานการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด เสริมสร้างองค์ความรู้ พัฒนาทักษะเฉพาะทาง ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และพัฒนาสมรรถนะในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้อย่างสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพ เกิดทักษะและความเชี่ยวชาญที่ได้มาตรฐาน ยกระดับภาพรวมการพัฒนาระดับมหาวิทยาลัย ตอบโจทย์หรือยุทธศาสตร์ของประเทศได้ สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติในยุคที่โลกไร้พรมแดน ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในยุค ASEAN Economic Community”

ไฮไลท์และความน่าสนใจในงานครั้งนี้ มีอาทิ การนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชั่นล่าสุด Digital Transformation เพิ่มขีดความสามารถในการทำงานทุกที่ทุกเวลาพร้อมความปลอดภัยของข้อมูล Innovative Device for Educations ช่วยให้การเรียนการสอนสนุกและน่าสนใจมากขึ้น ผ่านแว่นตาอัจฉริยะแสดงผลเสมือนจริง NVS Network Video System ระบบดูภาพและการจัดการต่าง ๆ ครบชุด นอกจากนี้ ยังมีการอบรมนวัตกรรม เพื่อปรับใช้ด้านการศึกษาและธุรกิจ กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ Tech Start Up! Start Here! Session โดยวิทยากรจาก Wongnai, Application Claim Di ilertu, Application Piggipo      

ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงไอซีที กล่าวว่า “ประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม อย่างรวดเร็วและรุนแรง พร้อมกับการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจและระเบียบใหม่ของโลก ที่นับวันจะซับซ้อนยิ่งขึ้น มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษา มีบทบาทสำคัญยิ่ง ในฐานะเป็นแหล่งองค์ความรู้และพัฒนากำลังคนระดับสูงที่มีคุณภาพเพื่อการพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน แข่งขันได้ในเวทีโลก จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเดินหน้าและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทุกๆด้าน เป็นที่พึ่งของสังคม มีการจัดการที่ก้าวหน้า ทันสมัย มีธรรมาภิบาล สร้างงานวิจัยที่ได้มาตรฐานสากล และกิจกรรมภายในงาน ที่สอดรับกับนโยบายรัฐบาล ได้แก่ กิจกรรมTech Start Up! Start Here! Session เป็นกิจกรรม ที่มีองค์ความรู้ที่ทันยุคเป็นอย่างยิ่ง การบรรยายให้ความรู้นี้ จะสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ให้กลุ่มนักศึกษาเป็นอย่างดี” 
 
มล.ปริยดา ดิศกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า “กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการเข้าถึงสื่อดิจิทัลในทุกๆ ช่วงชั้นเรียน ทั้งด้านการเข้าถึงสื่อและเทคโนโลยีที่ครอบคลุม และด้านเนื้อหาทางวิชาการ โดยมีการเตรียมความพร้อมบุคคลากรในแต่ละระดับมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี การใช้สื่อดิจิทัลในหลากหลายแง่มุม เพื่อนำไปสู่โอกาสแห่งการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเตรียมบุคลากรของประเทศให้มีความพร้อมและสามารถมีทักษะที่จำเป็นในโลกศตวรรษที่ 21 ได้ จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานด้านการศึกษาควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาในแวงวงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนี้ ยังมีผู้ร่วมสนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อมาถ่ายทอดและพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาที่ร่วมโครงการในครั้งนี้ ได้แก่
คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรซ์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรซ์ (HPE) มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยีสารสนเทศอันทันสมัยเข้าไปช่วยขับเคลื่อนองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานและก้าวต่อไปด้วยความรวดเร็ว ภายใต้คอนเซปต์ ‘Tomorrow belongs to the Fast’ โดยการทำ Digital Transformation ใน 4 รูปแบบหลัก ซึ่งประกอบด้วย Transform to a Hybrid Infrastructure คือ การช่วยองค์กรปรับเปลี่ยนระบบไอทีแบบเดิมๆ ผสานกับเทคโนโลยียุคใหม่ที่ทันสมัย ให้กลายเป็น Hybrid Delivery Model Protect your Digital Enterprise เมื่อทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิตอล สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญต่อมาคือการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล Empower the Data Driven Organization สิ่งสำคัญสำหรับองค์กรคือความเข้าใจของผู้ปฏิบัติงาน ที่ต้องการข้อมูลสำหรับการตัดสินใจที่ทันท่วงที Enable Workplace Productivity เพิ่มขีดความสามารถของพนักงานในการทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา HPE มีส่วนร่วมในการนำนวัตกรรมไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีขึ้นสำหรับภาคการศึกษาในการพัฒนาบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพของตนเอง และเตรียมความพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีไปพัฒนาประเทศไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมยุคดิจิตอลอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป
 
คุณคณิน ธรรมภิบาลอุดม ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในงาน Education ICT Forum 2016 ครั้งนี้ เอปสัน ขอร่วมนำเสนอโซลูชั่นที่จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่วงการการศึกษาของไทย รวมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายและลดขั้นตอนการทำงานของบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งประกอบไปด้วย 5 โซลูชั่น ได้แก่ Interactive Projector Solution ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียน โดยใช้โปรแกรมของเอปสัน และยังมีโปรแกรม Smart Notebook ที่ให้มาพร้อมเครื่องโปรเจ็คเตอร์ ให้อาจารย์ผู้สอนสามารถสร้างสื่อการเรียนการสอนอย่างง่ายๆให้เป็นแบบสื่ออินเตอร์แอคทีฟ Digital Document Solution เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่สามารถช่วยประหยัดเวลาของอาจารย์ผู้สอนในเรื่องการเตรียมเอกสารเพื่อการทดสอบนักเรียนหรือแม้กระทั่งการตรวจเอกสารข้อสอบ (Pre และ Post test) ผ่านเครื่องเอปสันสแกนเนอร์พร้อมด้วย Optical Mark Recognition (OMR) software สร้างข้อสอบอย่างง่าย Eco-Printing Room  นำเสนอการพิมพ์หรือถ่ายเอกสารที่ได้คุณภาพการพิมพ์ที่ดี แต่ได้ต้นทุนการพิมพ์ที่ประหยัด คุ้มค่า Photo Printing Solution สำหรับหลักสูตรที่มีการเรียนการสอนที่มีความต้องการพิมพ์ภาพผลงานออกมา Innovation Device for Educations  อุปกรณ์ที่จะมาช่วยให้การเรียนน่าสนุกและน่าสนใจมากขึ้น ผ่านแว่นตาอัจริยะแสดงผลเสมือนจริง”

คุณทรงพล สาหร่าย ผู้จัดการฝ่ายบริหารงานธุรกิจ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “แคนนอนได้นำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรตอบโจทย์สำหรับการจัดการในสถาบันการศึกษาไว้อย่างมากมาย นอกเหนือจากกล้อง ซึ่งเป็นสินค้าหลัก และทำให้แบรนด์แคนนอน มีชื่อเสียงในวงการถ่ายภาพแล้ว ในปัจจุบัน แคนนอนยังเป็นผู้นำในธุรกิจการพิมพ์ ตั้งแต่การพิมพ์สำหรับ HOME USE การพิมพ์สำหรับองค์กร จนถึงการพิมพ์ระดับโปรดัคชั่น เพื่อรองรับการพิมพ์ ON DEMAND ทุกประเภท โดยโซลูชั่นที่แคนนอนได้นำมาเสนอมีดังนี้ DOCUMENT SECURITY ด้วยซอฟท์แวร์ที่สามารถจัดการกับเอกสารได้อย่างหลากหลาย COST SAVING MANAGEMENT สินค้าและโซลูชั่นได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลิตผลขององค์กรและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลได้พร้อมๆกัน PRODUCTION PRINTING SYSTEMS ที่สามารถรองรับการผลิตงานได้หลากหลายรูปแบบ PHOTO PRINTING SOLUTION ช่วยด้านการพิมพ์ภาพ พิมพ์เอกสารอย่างเต็มรูป NVS NETWORK VIDEO SYSTEM ระบบสำหรับการดูภาพและการจัดการต่างๆครบชุด เพื่อให้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด”

คุณจีรวุฒิ วงศ์พิมลพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในประเทศไทย เลอโนโว จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากไอซีทีให้กับภาคการศึกษาหลายกิจกรรมด้วยกัน ดังเช่น การสนับสนุนเซิร์ฟเวอร์เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ การมอบเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนและหน่วยงานการศึกษาที่ห่างไกล และขาดแคลน หรือการมอบเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา และฝึกหัดการซ่อมบำรุงให้กับโรงเรียนและหน่วยงานการศึกษาที่ต้องการ เป็นต้น และในงานครั้งนี้ วิทยากรจากเลอโนโว จะร่วมนำเสนอเทคโนโลยีล่าสุด พร้อมทั้งฝึกฝนการใช้นวัตกรรม เพื่อนำไปปรับใช้ทั้งในด้านการศึกษาและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ด้วยเทคโนโลยีระดับสากลทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ที่ถูกพัฒนามาเพื่อสนับสนุนภาคการศึกษาโดยเฉพาะ”

ภายในงาน ยังมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ
•    บริษัท เอ-โฮสต์ จำกัด (A-HOST) หนึ่งในบริษัทชั้นนำที่เป็นตัวแทนจำหน่ายหลัก ของผลิตภัณฑ์ IBM และ Oracle ได้พัฒนาโครงการ “ระบบนิเวศสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัล” (A sustainable ecosystem for Digital Economy) พร้อมร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ในการพัฒนาระบบนิเวศให้เกิดขึ้นในสถาบัน โดยใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มโมบายล์คลาวด์ “บลูมิกซ์” (BlueMix) ของ IBM หรือ เข้าร่วมโครงการด้านการศึกษาของ Oracle Academy ซึ่งจะช่วยสนับสนุนนักศึกษาในสายเทคโนโลยี ให้มีความพร้อมที่จะเป็นนักพัฒนาโปรแกรม สามารถริ่เริ่มหรือสร้างนวัตกรรมสำหรับแอพใหม่ๆ ได้
•   บริษัท เอชพี อิงค์(ประเทศไทย) จำกัด นำเสนอ Solution “Mobility as a Service” ซึ่งเป็น Solution ที่จะช่วย support การดำเนินงานต่างๆ ในสถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การสอน หรืองาน Back office ให้ง่ายขึ้นและตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว
•   บริษัท เน็ค ทู สเต็ปส์ มุ่งเน้นการพัฒนาระบบการเรียนการสอนสำหรับสถาบันการศึกษาในประเทศไทยโดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการของทางสถาบันทั้งในด้าน IT พื้นฐาน จนถึงระบบที่ใช้ในการเรียนและสอนในห้องเรียน นอกจากจากนำเทคโนโลยีมาใช้แล้ว บริษัทได้มีการวิจัยและพัฒนาระบบต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่สำหรับใช้งานในระบบการศึกษา เช่นระบบควบคุมการสอนในห้องเรียนที่เรียกว่า nextCLASS ที่พัฒนามาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบห้องเรียนแบบเก่าให้เป็นห้องเรียนแบบ Digital สำหรับรองรับการศึกษาในศตวรรษที่ 21 อีกด้วย
•   เทรนด์ไมโคร นำเสนอโซลูชั่น Hybrid Cloud Security สำหรับการปกป้องเซิร์ฟเวอร์ในศูนย์คอมฯ รองรับได้ทุกสภาพแวดล้อม และโซลูชั่นรักษาความปลอดภัยเครื่องลูกข่ายทุกแพลตฟอร์ม - วินโดวส์ แมค และสมาร์โฟนที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันการศึกษาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์คอมฯ ธุรการ การเงิน ครูผู้สอน ห้องเรียน ห้องอบรม และห้องแล็ปต่าง ๆ  โดยเข้าชุดโปรโมชั่นราคาพิเศษคำนวณจากจำนวนบุคลาการเท่านั้น ให้สิทธิความคุ้มค่ามากที่สุดสำหรับสถาบันการศึกษาที่มีจำนวนเครื่อง และอุปกรณ์ไอทีมากกว่าจำนวนบุคลากร หมดกังวลกับปัญหาไวรัส มัลแวร์ สปายแวร์ ภัยร้ายหน้าเว็บ อุดช่องโหว่ระบบหยุดการบุกรุกระบบจากมิจฉาชีพไซเบอร์ได้จริง
•   บริษัท แอพลิเทค โซลูชั่น จำกัด นำเสนอโปรแกรมการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ จากเยอรมนี ด้วย Speexx Mobile Language Learning
•   Venable Co., Ltd. โซลูชั่นที่จะนำไปแสดงในงาน คือ Digital Media For Teaching and Learning ระบบบริหารจัดการและเผยแพร่วีดีโอสื่อการเรียนการสอน ในรูปแบบรูปแบบวีดีโอออนดีมานด์ (VOD) และ การถ่ายทอดสด (Lives Streaming) รวมถึงระบบบันทึกการเรียนการสอนแบบวีดีโอ พร้อมระบบบริหารจัดการที่สามารถควบคุมการเผยแพร่เนื้อหาเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และ ระบบ Interactive Whiteboard สำหรับห้องเรียน
•   Softnix Technology Co., Ltd. Solution ที่จะไปแสดงในงานนี้คือ Softnix Logger ระบบจัดการ Log File แบบรวมศูนย์ Softnix Authenticator ระบบ Authentication ที่รองรับ LDAP และ Radius เหมาะสำหรับการทำหน้าที่เป็น Authentication Server

3939
เวที ETDA ชูประเด็น ความคิดสร้างสรรค์สำคัญ ต้องร่วมมือกันคุ้มครอง

เครือข่ายรัฐ-เอกชน ร่วมเปิดใจ หาทางแก้ไขปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ พร้อมแชร์แนวคิด Operation Creative เพื่อรัฐ-เอกชนร่วมมือกันคุ้มครองอุตสาหกรรมกลุ่มที่เป็นเจ้าของความคิดสร้างสรรค์อย่างดิจิทัลคอนเทนต์














สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงไอซีที ร่วมกับ สมาคมผู้สร้างภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (MPA) เปิดเวที Open Forum ในหัวข้อ “Creative Operation for Thailand ร่วมด้วยช่วยกัน...เว็บไซต์ปลอดภัย” โดยได้รับเกียรติจาก Dr. Michael Kwan อดีตผู้บัญชาการ Digital Forensics Lab ของศุลกากรฮ่องกง และอดีตผู้บัญชาการการสอบสวนด้านทรัพย์สินทางปัญญาของกรมศุลกากรฮ่องกง บรรยายสรุปเรื่อง ผลกระทบของการโฆษณาความเสี่ยงสูงที่มีผลต่อสังคมไทย สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ และตัวอย่างแนวทาง Operation Creative ในต่างประเทศ และช่วงสนทนา ได้รับเกียรติจาก วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) พ.ต.อ.เถลิง พิษณุวงษ์ ผู้กำกับการสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ดร.ขจิต สุขุม ผู้อำนวยการสำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา และ พิเศษ จียาศักดิ์ ผู้ชำนาญการ สำนักกฎหมาย ETDA โดยมี อุมาศิริ ทาร่อน รองผู้อำนวยการ MPA ดำเนินรายการ
 
Dr. Michael กล่าวว่า ทุกวันนี้ โฆษณาออนไลน์ปรากฏหลายรูปแบบและซับซ้อนขึ้น โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ โฆษณาสินค้าถูกกฎหมาย (Mainstream ads) และโฆษณาสิ่งที่ผิดกฎหมาย (High-risk ads) เช่น สิ่งลามกอนาจร การพนันออนไลน์ แอนติไวรัสปลอม ฯลฯ ซึ่ง High-risk ads มักแฝงมากับเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย เช่น เว็บไซต์ดูหนังออนไลน์ (Movie Streaming) หรือเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งหากเด็กและเยาวชนไปคลิกดูโฆษณาที่แฝงมาก็อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้ โดยจากการสังเกตโฆษณาบนเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย  พบว่ามีโฆษณาแบบ Mainstream เพียง 6% ที่เหลือเป็นพวก High-risk โดยกว่า 60% มีเนื้อหาลามก และกว่า 10% เป็นการพนันออนไลน์ ในต่างประเทศ แนวทางหนึ่งในการแก้ไขคือ ใช้ความร่วมมือ อย่างในสหรัฐอเมริกา เรียกว่า ‘TAG’ เป็นความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนด้วยกันเอง มีการรวมเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเข้าไปดูรายชื่อได้ ส่วนในสหราชอาณาจักร เรียกว่า ‘Operation Creative’ และ ‘IWL’ (Infringing Website List) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ได้แก่ ผู้บังคับใช้กฎหมาย กับผู้ประกอบการ โดยใช้การตัดรายได้ของเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย การทำงานของ ปอท. จะเน้นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ฯ เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เรื่องลามกอนาจารต่าง ๆ ทาง ปอท. จะถือปฏิบัติตามหลักกฎหมาย มาตรา 20 เป็นผู้แจ้งให้กับกระทรวงไอซีที ปิดเว็บไซต์นั้น ๆ ส่วนเรื่องลิขสิทธิ์เป็น พ.ร.บ.อีกฉบับ ซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ ปอศ. ซึ่งมีอยู่หลายเคสที่ทาง ปอท. เป็นผู้สนับสนุนข้อมูลเพื่อการเข้าจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด

พ.ต.อ.เถลิง จาก ปอศ. เสริมว่า การจับกุมผู้กระทำผิดการละเมิดลิขสิทธิ์ทางเว็บไซต์ มีปัญหาตั้งแต่เริ่มแรกคือ แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความรู้ด้านกฎหมาย แต่ก็ขาดความชำนาญด้านเทคโนโลยีที่จะใช้ในการแกะร่องรอยผู้กระทำผิด จึงทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้กระทำผิดอยู่ที่ใด หรือบางครั้งพบแล้วว่าผู้กระทำผิดมีเซิร์ฟเวอร์ติดตั้งอยู่ต่างประเทศ กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำผิดนอกราชอาณาจักรหรือไม่ และต้องมีพนักงานอัยการเข้ามามีส่วนร่วมในการสอบสวนหรือไม่ ต่อมาคือ ปัญหาของการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นต่อศาล เดิมเป็นการสรุปสำนวนและส่งต่อศาลในรูปแบบกระดาษ แต่ปัจจุบันการสรุปสำนวนในรูปแบบกระดาษถือว่ายังไม่เพียงพอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่ทาง ปอศ. ยังต้องพบอยู่เสมอ

ดร.ขจิต กล่าวในมุมของผู้ถือกฎหมายแต่ไม่ใช่ผู้บังคับใช้ ว่าล่าสุดในปี 2558 กฎหมายเพิ่มเติมในส่วนของ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ก็ดูแลในเรื่องการคุ้มครองผลงานลิขสิทธิ์ที่อยู่บนสื่อออนไลน์ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ผลงานลิขสิทธิ์ไม่ว่าจะอยู่บนสื่อไหนก็ได้รับความคุ้มครองจากฎหมายนี้อยู่แล้ว เพราะได้มีการระบุไว้ว่า ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ ต่อสาธารณชน ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใดก็ตาม แต่ปัญหาคือ การเผยแพร่ทางสื่อนี้ยากต่อการแกะรอยไปยังต้นตอของผู้กระทำผิด ไม่รู้ว่าเป็นคนใดและอยู่ในประเทศใด โดยเฉพาะในเรื่องของการตามจับข้ามเขตราชอาณาจักร เช่น การนำภาพยนต์ต่างประเทศมาฉายหรือใช้โดยละเมิดลิขสิทธิ์ในไทย ซึ่งหากจะมีการจับกุมไปดำเนินคดีในต่างประเทศต้องมีการประสานงานหลายขั้นตอนและกระบวนการ เจ้าหน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงต้องไล่ตามเทคโนโลยีให้ทัน และเข้าไปประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่องของการตรวจจับและรับฟังความเห็นว่าต้องมีการไปตามจับตรงไหน หากเกิดกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ในบางครั้ง ทางกรมฯ ก็ยังมีช่องทางกฎหมายให้ดำเนินการกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ได้โดยเร่งด่วนเป็นการชั่วคราว เช่น ใครพบเว็บไซต์ที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ของตนเอง ก็สามารถส่งข้อมูลกับทางศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งระงับการเผยแพร่เว็บไซต์นั้น ๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะดำเนินการฟ้องดำเนินคดีตามกระบวนการกฎหมายต่อไป

พิเศษ กล่าวถึงบทบาทของ ETDA ในการส่งเสริมสภาพตลาดที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกรรมออนไลน์ รวมถึง การทำอีคอมเมิร์ซ ซึ่งไม่ใช่แค่การซื้อของที่จับต้องได้ หมายรวมถึงดิจิทัลคอนเทนต์ด้วย โดย ETDA ยังต้องการให้การแข่งขันเป็นไปอย่างเสมอภาค จึงต้องมีกรอบในการปกป้องคุ้มครอง ซึ่งยังมีบางเรื่องที่กฎหมายยังตามไม่ทัน  ETDA จึงได้เข้ามามีบทบาทเป็นคนกลางในการระดมผู้เกี่ยวข้องจากภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมกันหาแนวทางที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย อย่างเวทีพูดคุยวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการหาทางออกร่วมกัน เพื่อคุ้มครองผลงานที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย และสามารถเสริมสร้างให้สินค้าในกลุ่มที่เป็นดิจิทัลคอนเทนต์เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน วีระศักดิ์ ได้แชร์ประสบการณ์ว่า สมาพันธ์ฯ ได้ระดมทุนจัดตั้งกองทุนปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ภาคเอกชนดูแลกันเอง โดยหาทีมที่มีประสบการณ์แกะรอยผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนต์ต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ แต่สุดท้ายกฎหมายไทยก็ไม่สามารถเอื้อมออกไปนอกราชอาณาจักรไทยได้โดยตรง ซึ่งจะทำได้เพียงแค่ส่งจดหมายเตือนไปยังผู้ปล่อยที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการตอบสนองยินยอมนำภาพยนต์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์นั้น ๆ ลงจากเว็บไซต์ในระดับหนึ่ง แต่หากมีจดหมายตักเตือนแล้วยังไม่ยอมหยุดการเผยแพร่ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมีผลประโยชน์เรื่องรายได้จากการเก็บค่าโฆษณา ทางสมาพันธ์ฯ จะเป็นผู้ไปดำเนินการแจ้งความพร้อมหารือแนวทางการจัดการกับตัวผู้ละเมิดลิขสิทธิ์นั้น ๆ กับทาง ปอศ. อีกครั้ง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งพอมาศึกษาในทางคดีจะพบว่ายังไม่เคยมีการพิจารณาในชั้นศาลในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ว่าควรจะมีขั้นตอนและรูปแบบเป็นอย่างไร ดังนั้นเพื่อให้คดีไปต่อได้ ทางสมาพันธ์ฯ จะมีการตกลงกับผู้ประกอบการในสมาพันธ์ว่าจะไม่มีการยอมความ ต้องเดินหน้าให้เกิดคดีตัวอย่างของการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ให้ได้

ข้อเสนอแนะในการป้องกันการถูกล่วงละเมิดทางลิขสิทธิ์ ที่ วีระศักดิ์ ได้สรุปทิ้งท้ายไว้มีอยู่ 5 ข้อ คือ (1) ระดมทุนจ้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมาแกะรอยผู้ละเมิดลิขสิทธ์จากทางสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ที่มีการเผยแพร่แบบผิดกฎหมาย (2) หน่วยงานของรัฐ ควรมีการสร้างเครื่องมือหรือเว็บไซต์กลางในการแชร์ข้อมูลของการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์เพื่อเผยแพร่ให้กับประชาชนได้รับทราบว่าเว็บไซต์หรือแหล่งข้อมูลใดกำลังมีการทำผิดกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์ (3) ควรมีการพัฒนาร่างกฎหมายให้รองรับกับการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ (4) มีการจัดการ Site Blocking หรือการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ (5) การสร้างและรักษาชุมชนให้เกิดการตื่นรู้ในเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ โดยมีคนกลางในการระดมผู้เกี่ยวข้องมาหาแนวทางร่วมกันและสร้างความเข้าใจต่อข้อจำกัดของการดำเนินงานในแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้การทำงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนให้เป็นไปทิศทางเดียวกันบนข้อตกลงร่วมกัน

3940
ไบโอเทค สวทช. เปิดศูนย์นวัตกรรมและอาหารสัตว์ ช่วยยกระดับความสามารถผู้ประกอบการในการแข่งขันทางธุรกิจ
 




20 เมษายน 2559: กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) จัดพิธีเปิดศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (Food and Feed Innovation Center หรือ FFIC) ณ โถงชั้น 1 ทาวเวอร์ C อาคาร กลุ่มนวัตกรรม 2 (INC 2) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ. ปทุมธานี
 
ประเทศไทยถือเป็นแหล่งทรัพยากรด้านอาหารที่สำคัญ  และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับ 14 ของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออกถึง 1 ล้านล้านบาทในปี 2557  คิดเป็น 9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ด้วยสภาพการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดอาหารโลก และความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป อุตสาหกรรมอาหารไทยจึงจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วย“นวัตกรรม” นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพยากรด้านอาหารและสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ
 
ดร. พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า “โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ ฟู้ดอินโนโพลิส เป็นหนึ่งในซุปเปอร์คลัสเตอร์ที่รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกำลังขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร โดยมุ่งเน้นที่จะดึงดูดบริษัทผู้ผลิต หรือวิจัยพัฒนาอาหารชั้นนำของโลกมาลงทุนในกิจการด้านนวัตกรรมอาหารในประเทศไทย และสนับสนุนให้บริษัทเอกชนไทยในทุกระดับตั้งแต่ Startup, SMEs ไปจนถึงบริษัทไทยขนาดใหญ่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะได้ประสานกับภาคส่วนต่างๆ ในการจัดสิทธิประโยชน์และแรงจูงใจ และมาตรการสนับสนุน”
 
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. โดย ไบโอเทค จึงจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ขึ้น เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ไว้ที่จุดเดียว หรือ One Stop Service และด้วยความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินงานวิจัยตั้งแต่ระดับห้องปฏิบัติการวิจัย สู่การทดสอบระบบการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม จนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่พร้อมถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างครบวงจร นอกจากนี้ศูนย์ฯ ยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางจัดหาและปรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เหมาะสมกับผู้ประกอบการในไทย และให้บริการทางวิชาการในด้านการเป็นที่ปรึกษา การให้บริการด้านเทคนิค การให้บริการเช่าเครื่องมือสำหรับภาครัฐและเอกชน และถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงการฝึกอบรมเฉพาะทางให้กับบุคลากร เกิดการประสานงานในการทำงานวิจัยอย่างใกล้ชิด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ส่งผลให้งานวิจัยบรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การรับช่วงการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคเอกชน
 
ดร. กัญญวิมว์ กีรติกร ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า “ไบโอเทค สวทช. เป็นหน่วยงานที่ดำเนินงานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่มุ่งมั่นสร้างผลงานที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการในด้านต่างๆ ได้แก่ การเกษตรและอาหาร ทรัพยากรชีวภาพ การแพทย์และสาธารณสุข และพลังงานและสิ่งแวดล้อม และนำเอาองค์ความรู้ต่างๆ นี้ประยุกต์สร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ทั้งเชิงพาณิชย์และการพัฒนาสังคมและชุมชนของประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ของประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงทั้งการใช้วัตถุดิบในประเทศและในการผลิตเพื่อบริโภคในประเทศและเพื่อการส่งออก เป็นเวลากว่า 30 ปี ที่ไบโอเทคได้ดำเนินงานวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพด้านการเกษตรและอาหารเพื่อปรับปรุงผลผลิตทางการเกษตร ยกระดับมาตรฐานการผลิตอาหารของผู้ประกอบการให้มีคุณภาพและความปลอดภัย ในยุคที่ตลาดมีการแข่งขันสูง จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องสร้างนวัตกรรมของตนเอง”
 
ดร. วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพอาหาร ไบโอเทค กล่าวเสริมว่า “ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์จัดตั้งขึ้นด้วยงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท มีทีมวิจัยประมาณ 40 คน ที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย ตั้งแต่ การคัดเลือกจุลินทรีย์ที่มีความสามารถพิเศษ เทคโนโลยีการหมัก เทคโนโลยีชีวกระบวนการ การประเมินความเสี่ยงความปลอดภัยในอาหาร เคมีอาหาร การผลิตสารมูลค่าสูงจากวัสุดเศษเหลือจากการแปรรูปอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ เปปไทด์ต้านจุลชีพ  วิทยาศาสตร์เนื้อสัตว์ และ nutrigenomics เป็นต้น โดยศูนย์ฯ มีห้องปฏิบัติการวิจัยตั้งอยู่ที่ขั้น 9 ทาวเวอร์ B ของอาคาร กลุ่มนวัตกรรม 2 มีเนื้อที่ประมาณ 900 ตารางเมตร มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยพร้อมสำหรับการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมนอกจากนี้ เรามีโครงสร้างพื้นฐานในการทดสอบกระบวนการผลิตในระดับขยาย ที่เรียกว่า BIOTEC-Bioprocessing facility ที่อาคาร BIOTEC Pilot Plant บนพื้นที่ 1,200 ตารางเมตร ซึ่งมีเครื่องมือสำคัญประกอบด้วย เครื่อง Submerged Fermentor ขนาด 300 ลิตร และเครื่อง Solid State Fermentor ขนาด 500 กิโลกรัม พร้อมกระบวนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstream processing)”
 
แผนการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาที่เป็นโจทย์จากความต้องการของภาคเอกชนตั้งแต่เริ่มต้น จะเป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคอุตสาหกรรมนำไปใช้ประโยชน์ โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายคือ อุตสาหกรรมอาหาร  อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอาหารเสริมสัตว์ ซึ่งจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ และเกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนต่อไป โดยมีตัวอย่างผลงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยีจุลินทรีย์ต้นเชื้อบริสุทธิ์ เช่น ต้นเชื้อจุลินทรีย์บริสุทธิ์สำหรับหมักแหนม ผักกาดดองเปรี้ยว ด้านการผลิตเอนไซม์ที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ เช่น อาหารหมักชีวภาพสำหรับสัตว์ ผลิตภัณฑ์เอนไซม์รวมสำหรับสัตว์ ด้านการผลิตสารมูลค่าสูง เช่น กระบวนการผลิตกรดไขมันไม่อิ่มตัวและโพลีแซคคาไรด์จากจุลินทรีย์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ด้านนวัตกรรมอาหาร เช่น คอลลาเจนชนิดผง ผลิตภัณท์โปรตีนไข่ พาสเจอร์ไรซ์ เป็นต้น
 
“ในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทำให้การทำธุรกิจจำเป็นต้องสร้างความแตกต่าง โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนภาคการผลิต และช่วยยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการในการแข่งขันของธุรกิจ ซึ่งศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์เล็งเห็นความสำคัญนี้ ได้มุ่งเป้าดำเนินงานวิจัยที่สอดคล้องและสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์  อันเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้ทัดเทียมระดับโลกต่อไป” ดร. วรรณพ กล่าวสรุป

3941
ทีพี-ลิงค์ ประกาศแต่งตั้งเอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ Gaming อย่างเป็นทางการ พร้อมรุกตลาด Home Use และงานโปรเจค



ทีพี-ลิงค์ ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์เน็ตเวิร์คระดับโลก ประกาศแต่งตั้งบริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ Network ภายใต้แบรนด์ TP-LINK อย่างเป็นทางการ โดยพร้อมผนึกกำลังร่วมกันในการเพิ่มช่องทางในการทำตลาด Home Use และกลุ่มงานโปรเจค ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาพร้อมกับนโยบายประกันหลังการขายแบบ Limited Life Time จากบริษัทฯ

นายเม ซีไล กรรมการผู้จัดการบริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า การแต่งตั้งบริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ทีพี-ลิงค์รายล่าสุด นับว่าเป็นไปตามแผนงานการรุกขยายสินค้ากลุ่ม Network ในตลาด โดยเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าใหม่ๆ เพิ่มเติมเพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้  Home Use ให้ทะลุยอดขายตามเป้าที่ตั้งไว้ ซี่งตลาดนี้ทางทีพี-ลิงค์ มีจุดแข็งทั้งเรื่องของสินค้าที่มีหลากหลายรุ่น และราคาที่น่าจับต้อง ทำให้ลูกค้าเข้าถึงตัวสินค้าได้ง่าย และจุดเด่นของทางเอสเทรคด้วยที่มีช่องทางศูนย์บริการตามห้างไอทีมอลล์ชั้นนำ ทั้งพันธุ์ทิพย์ประตูน้ำ, พาลาเดียม, ฟอร์จูนทาวน์ และสนง.ใหญ่ ซอยสุคนธสวัสดิ์ 28  ทั้งนี้ทางเอสเทรค ยังมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มงานโปรเจค ลักษณะเป็นผู้รวบรวมระบบ SI (System Integrated) ซึ่งเอื้อต่อนโยบายทางการตลาดของ TP-LINK ในปีนี้ด้วยที่จะขยายตลาดในกลุ่มงานโปรเจคมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการประกาศแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายรายล่าสุด
   
สำหรับบริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์(ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำตลาดในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน โดยสินค้าทีพี-ลิงค์ กระจายอยู่ในตลาดทั้งพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด  โดยปัจจุบันขายผ่านตัวแทนจำหน่าย ประกอบด้วย บริษัท คิงส์ อินเทลลิเจ้นท์ เทคโนโลยี จำกัด, บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน),บริษัท เอสเจเอส คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (จำหน่ายสินค้าประเภท Accessories), และล่าสุดบริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายรายล่าสุด เพื่อรองรับกับตลาดที่เติบโต และการบริการลูกค้าที่ใช้สินค้า TP-LINK อย่างต่อเนื่องในอนาคต ดังกล่าวข้างต้น

สำหรับเรื่องการรับประกันสินค้าสามารถดูรายละเอียดได้ที่  http://www.tp-link.co.th/support/rma/ หรือสอบถามจากคอลล์เซ็นเตอร์ โทร.0-2440-0029 ทุกวันจันทร์ถึงวันเสาร์เวลา  08.30-17.30 น. หรือติดตามข้อมูลที่ www.tp-link.co.th หรือแฟนเพจที่ https://www.facebook.com/tplinkenterprisesthailand  หรือลูกค้าสามารถเช็ค Serial number ข้างกล่องได้ในเงื่อนไขการรับประกันสินค้า

3942
Sophos Email Appliance ได้เพิ่มเทคโนโลยี Sandbox แบบ Next-Gen ! ช่วยลดความเสี่ยงของอีเมล์หลอกลวง, การตกเป็นเป้าโจมตีทางเมล์, และอันตรายที่ซับซ้อน





BryanBarney_Sophos



เบอร์ลิงตัน, รัฐแมสซาชูเซตส์,  – Sophos (LSE: SOPH) ผู้นำระดับโลกด้านความปลอดภัยบนเครือข่ายและจุดปลายการเชื่อมต่อ ได้แถลงข่าวว่าผลิตภัณฑ์ Sophos Email Appliance ในปัจจุบันได้เพิ่มฟีเจอร์ Sophos Sandstorm ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแซนด์บ็อกซ์แบบ Next-Gen ที่ล้ำสมัย ทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำทั้งด้านการตรวจจับ, ปิดกั้น, และตอบสนองต่ออันตรายทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

Sophos Sandstorm เป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ป้องกันอันตรายต่อเนื่องขั้นสูง (APT) และมัลแวร์แบบ Zero-day ซึ่งการรับมือกับอันตรายที่พุ่งเป้ายังบัญชีอีเมล์บนแพลตฟอร์มและอุปกรณ์พกพาได้หลากหลายนั้น องค์กรจำเป็นต้องใช้ระบบป้องกันที่ไม่พึ่งพาข้อมูล Signature ด้วยนอกเหนือจากระบบป้องกันมัลแวร์ปกติ ปัจจุบันอันตรายต่างๆ ถูกออกแบบให้มีพฤติกรรม “ไม่โดดเด่น และค่อยๆ ทำงานอย่างช้าๆ” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ โดยเฉพาะการใช้เทคนิคพรางตัวและเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองตลอดเพื่อชะลอการถูกตรวจสอบ นอกจากนี้อาชญากรไซเบอร์ปัจจุบันยังจู่โจมเชิงรุกด้วยการเจาะจงเป้าหมาย, ค้นคว้า, และทะลวงระบบความปลอดภัยแต่ละระบบขององค์กรโดยเฉพาะ ด้วยการส่งมัลแวร์เป็นไฟล์แนบไปกับอีเมล์ที่พรางตัวเหมือนปกติได้อย่างแนบเนียน แต่ด้วย Sophos Sandstorm ที่ใช้เทคโนโลยีบนคลาวด์ที่ทรงพลัง ทำให้จำกัดบริเวณและระบุอันตรายเหล่านี้ได้ก่อนเข้าสู่เครือข่ายของธุรกิจ รวมทั้งสามารถทำรายงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมของอันตราย รวมทั้งดำเนินการสืบสวนและดำเนินการต่อเนื่องได้เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้จัดการฝ่ายไอที

“Sophos Sandstorm ได้รวมเอาการปกป้อง, ตรวจจับ, และสืบสวนมาไว้ในโซลูชั่นเดียวเพื่อป้องกันอาชญากรไซเบอร์ที่หันมาใช้เทคนิคทางจิตวิทยาหรือ Social-Engineering ร่วมกับมัลแวร์ตัวใหม่ล่าสุดที่ยังไม่เคยถูกตรวจพบมาก่อนมาใช้บุกรุกเครือข่ายของบริษัท” ไบรอัน บาร์นีย์ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปของ Sophos Network Security Group กล่าว “การกีดกั้นอันตรายให้ห่างออกจากเครือข่ายถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญของการรักษาความปลอดภัย ซึ่ง Sophos Sandstorm จะจำกัดบริเวณไฟล์ออกจากเครือข่ายโดยอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบว่าไฟล์ดังกล่าวปลอดภัยหรือไม่ ให้การตรวจจับและป้องกันในทันทีขึ้นอีกระดับ แม้ว่าเทคโนโลยีชั้นสูงมักราคาแพงและต้องการความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมในการติดตั้งและดูแล แต่ Sophos ได้เปลี่ยนความคิดเหล่านี้โดยให้ธุรกิจทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงระบบความปลอดภัยชั้นสูงที่ราคาเหมาะสม และติดตั้งได้ง่าย”

Sophos Sandstorm สามารถตรวจจับพฤติกรรมอันตรายบนระบบปฏิบัติการหลากหลาย ได้แก่ วินโดวส์, แมค, และแอนดรอยด์ ทั้งบนโฮสต์แบบกายภาพและเวอร์ช่วล, บนเครือข่าย, เว็บเมล์, ไม่ว่าเป็นเอกสารไฟล์เวิร์ดหรือ PDF รวมทั้งไฟล์อื่นอีกกว่า 20 ประเภท, แอพบนอุปกรณ์พกพา, และอื่นๆ อีกมากมาย Sophos Sandstorm มีให้เลือกใช้ในรูปออพชั่นของ Subscroption ใน Sophos Email Appliance 4.0

นอกจากนี้ Sophos Sandstorm ยังมีในรูปออพชั่นเสริมสำหรับ Sophos Web Appliance ซึ่งเป็นโซลูชั่นการปกป้องบนเว็บชั้นสูง ที่สแกนเนื้อหาบนเว็บและบล็อกอันตรายบนเว็บตัวล่าสุดได้ อีกทั้งลูกค้ายังสามารถเลือกออพชั่นในการเพิ่ม Sophos Sandstorm ลงใน Sophos UTM 9.4 ที่เป็นโซลูชั่นไฟร์วอลล์ครบวงจรที่ยังอยู่ในรุ่นเบต้าได้อีกด้วย

อ่านข่าวสารและมุมมองด้านความปลอดภัยล่าสุดจาก Naked Security News ของเราที่ได้รับรางวัลการันตี รวมทั้งอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเราได้ทาง Sophos News

เชื่อมต่อกับ Sophos ได้ทาง
Twitter http://soph.so/CfuKd
LinkedIn http://soph.so/Cfv36
Facebook http://soph.so/CfvaA
Google+ https://plus.google.com/+sophos
Spiceworks http://soph.so/Cgbwa
YouTube http://www.youtube.com/user/sophoslabs
Sophos Blog http://blogs.sophos.com/
Naked Security News http://nakedsecurity.sophos.com/

เกี่ยวกับ Sophos
ผู้ใช้กว่า 100 ล้านรายใน 150 ประเทศต่างเลือกใช้โซลูชั่นความปลอดภัยสมบูรณ์แบบของ Sophos เพื่อการปกป้องที่ดีที่สุดจากอันตรายที่ซับซ้อนและการรั่วไหลของข้อมูล ด้วยความง่ายในการติดตั้ง, จัดการ, และใช้งาน โดยโซลูชั่นที่ได้รับรางวัลของ Sophos ทั้งด้านการเข้ารหัส, ความปลอดภัยที่จุดปลายการเชื่อมต่อ, บนเว็บ, อีเมล์, อุปกรณ์พกพา, และความปลอดภัยบนเครือข่าย ต่างได้รับการซัพพอร์ตจาก SophosLabs ซึ่งเป็นศูนย์บริการข้อมูลอันตรายแบบอัจฉริยะ Sophos มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองออกฟอร์ด, สหราชอาณาจักร และเปิดให้ร่วมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของลอนดอนภายใต้สัญลักษณ์ “SOPH” สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้ามาดูได้ที่ www.sophos.com

3943
เทคโนบิซฯ เตรียมจัดงานแสดงสินค้านานาชาติด้านพลาสติก พร้อมเชิญชวนผู้สนใจร่วมออกบูธ



บริษัท เทคโนบิซ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ผู้นำในธุรกิจจัดอบรมและประชุมสัมมนาเชิงเทคนิค และเป็นผู้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติด้านยาง พลาสติก และสิ่งแวดล้อม เตรียมจัดงาน “Medical Plastics Expo 2016 และ Polymer Testing Rheology Expo 2016”  ซึ่งเป็นหนึ่งใน “งานแสดงสินค้าด้านกระบวนการผลิตพลาสติก ซีรี่ส์ปี 2559 - Plastics Processing Exhibition Series 2016 (PPES 2016)”

สำหรับซีรี่ส์ในปี 2559 แยกออกเป็น 4 วาระ ได้แก่ วาระที่ 1 พลาสติกในอุตสาหกรรมเครี่องมือแพทย์ และการทดสอบพอลิเมอร์ ระหว่างวันที่ 25-26 เมษายน 2559 / วาระที่ 2 การผสมพอลิเมอร์ และพลาสติกขึ้นรูป ระหว่างวันที่ 15-16 สิงหาคม 2559 / วาระที่ 3 การฉีดพลาสติก และการออกแบบแม่พิมพ์พลาสติก/ วาระที่ 4 วัสดุเชิงประกอบ-คอมโพสิท และไม้สังเคราะห์จากพลาสติก  นอกจากงานแสดงสินค้าแล้วยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ งานประชุม งานอบรม จัดจำหน่ายหนังสือ และกิจกรรมสร้างเน็ตเวิร์คทางธุรกิจสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม พลาสติก พอลิเมอร์ เครื่องมือวัดและทดสอบ

ทั้งนี้ ขอเชิญชวนบริษัทหรือผู้ที่สนใจในภาคอุตสาหกรรมพลาสติก เครื่องมือแพทย์ และอุตสาหกรรมสนับสนุนที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยเข้าร่วมออกบูธเพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการ สำหรับงานนี้เป็นการจัดงานแสดงสินค้าในรูปแบบซีรี่ส์เป็นครั้งแรก ซึ่งรวมเอางานประชุมสัมมนาและมินิเอ็กโปไว้ด้วยกัน โดยแยกเน้นตามกลุ่มเป้าหมายและกระบวนการผลิตเป็นหลัก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.plasticsprocessing-expo.com หรือ โทรศัพท์ 02-933 0077

3944
กลับมาใหม่ ASUS ZenFone Go รุ่นล่าสุด ZB452KG สมาร์ทโฟนดีไซน์พรีเมียม คุ้มค่า ทันสมัย หลากหลายสี เอาใจวัยรุ่น
 
















หลังจากที่มีการออกสมาร์ทโฟน ZenFone Go (รหัส ZC500TG) หนึ่งในสมาร์ทโฟนที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพในขนาด 5 นิ้วกับราคาที่จับต้องได้ง่ายมาแล้ว ล่าสุดเอซุสขอเสนอ ZenFone Go (รหัส ZB452KG) ขนาด 4.5 นิ้ว ที่มาพร้อมดีไซน์แบบพรีเมียม มีหลากหลายสี ถูกใจวัยรุ่น รวมถึงความครบครันที่น่าครอบครอง

มร. เจฟฟ์ โล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ความพิเศษของเอซุส ZenFone Go ในรุ่น ZB452KG ก็คือดีไซน์ที่มีความพรีเมียม เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนขนาด 4.5 นิ้ว อื่นๆ อีกทั้งยังตอบโจทย์ทุกความต้องการใช้งานได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นด้านของประสิทธิภาพการใช้งาน ด้วยกล้องถ่ายภาพ PixelMaster ที่มีโหมดให้เลือกได้อย่างอิสระ รวมถึงความสามารถในการรองรับ 2 ซิมการ์ดได้ในเครื่องเดียว ทำให้ ZenFone Go รุ่นนี้ ถูกวางให้เป็นสมาร์ทโฟนที่จะครองใจวัยรุ่นอย่างแน่นอน”

จุดเด่นที่สุดของ ZenFone Go (ZB452KG) ก็คือการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ในรูปแบบของเอซุส ด้วยการผสมผสานขึ้นมาจากความงามอย่างเรียบง่ายในแบบของ Zen ร่วมกับการออกแบบที่คำนึงถึงหลักการใช้งานจริง และสีสันที่มีให้เลือกหลากหลายเฉดสีบนผิวฝาหลังที่มีถึง 2 แบบ ช่วยให้ ZenFone Go (ZB452KG) เป็นหนึ่งในสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสีสันสดใสสำหรับวัยรุ่น หรือเป็นสีสันในโทนที่ให้ความหรูหรา เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

ZenFone Go (ZB452KG) มาพร้อมหน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core processor จาก Qualcomm ทำให้การประมวลผลรวดเร็วแม้เมื่อเปิดหลายแอพพลิเคชันพร้อมกัน รวมถึงให้คุณรู้สึกสนุกไปกับการเล่นเกมได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังมีการประหยัดพลังงานที่ดีเยี่ยม ทำให้คุณสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวัน ในทุกที่ทุกเวลา

สมาร์ทโฟนรุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอขนาด 4.5 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ลงตัวทั้งในด้านของความสะดวกในการพกพา และความสามารถในการใช้งาน เหมาะกับวัยรุ่นที่ต้องการสมาร์ทโฟนในขนาดที่กะทัดรัดถือง่าย สามารถพกไปได้ทุกที่

ทางด้านฟังก์ชันกล้องถ่ายภาพ ZenFone Go (ZB452KG) เลือกใช้กล้องที่มีรูรับแสงกว้าง f/2.0 มาพร้อมกับเทคโนโลยี PixelMaster ทำให้ภาพที่ออกมามีคุณภาพสูง สีสันสวยงาม คมชัด รวมถึงยังมีโหมดกล้องให้ใช้งานได้หลากหลาย ตอบทุกโจทย์ความต้องการ ตัวอย่างเช่น โหมดแสงน้อยเพื่อการเก็บภาพได้ในทุกสถานการณ์ โหมดบิวตี้เพื่อการถ่ายภาพบุคคล ให้ได้สีสัน รวมถึงการปรับหน้าตาตัวแบบให้ออกมาตรงใจมากยิ่งขึ้น โดยสามารถปรับแต่งได้แบบเรียลไทม์ก่อนกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ

ZenFone Go (ZB452KG) รองรับซิมการ์ดได้พร้อมกัน 2 ซิมในลักษณะ Dual SIM, Dual Standby สายอากาศได้รับการออกแบบให้รับสัญญาณได้เต็มประสิทธิภาพ แม้ว่าจะอยู่ในบริเวณที่มีสัญญาณน้อย ทำให้คุณวางใจได้ว่าจะไม่พลาดทุกการติดต่อ แม้จะอยู่ในรถไฟฟ้าก็ตาม นอกจากนี้ ยังได้รับการพัฒนามาให้มีการใช้พลังงานที่ต่ำ ทำให้สามารถใช้งานและเปิดสแตนด์บายเครื่องไว้ได้อย่างยาวนาน

นอกจากนี้ยังสัมผัสประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าไปกับ เอซุส ZenUI ซึ่งมอบอิสระในการใช้งานให้กับทุกท่านอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นในด้านความสวยงาม ฟีเจอร์ที่ครบครัน เช่น ZenMotion ที่ทำให้คุณสามารถเปิดหน้าจอได้ด้วยการเคาะหน้าจอติดกัน 2 ครั้ง การปรับเปลี่ยนธีมให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณ รวมถึงการอัพเดตฟีเจอร์ที่ทันที 24 ชั่วโมง 7 วันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คุณสนุกกับการใช้งาน ZenFone Go (ZB452KG) ได้อย่างเต็มที่

ZenFone Go (ZB452KG) มีฝาหลังให้เลือกด้วยกัน 2 สไตล์ ได้แก่
•   ฝาหลังแบบแฮร์ไลน์ (สีทอง, สีเงิน และสีฟ้า) ราคา 3,290 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
•   ฝาหลังแบบด้าน (สีดำ, สีขาว และสีแดง) ราคา 2,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

เกี่ยวกับเอซุส
เอซุส ผู้จำหน่ายโน้ตบุ๊ครายใหญ่หนึ่งในสามอันดับที่มีผู้ใช้ทั่วโลกสูงสุด เราเป็นผู้นำในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการทางด้านดิจิตอลทั้งที่บ้านและที่ทำงาน อาทิ โน้ตบุ๊ค เดสก์ท็อปพีซี ออลอินวันพีซี แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน หลักในการออกแบบคือเรายึดถือความต้องการของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราเป็นผู้ปฎิวัติวงการคอมพิวเตอร์ด้วย Eee PC ที่ได้รับรางวัลต่างๆ ถึง 4,256 รางวัล ในปี 2013  ปัจจุบันเอซุส มีพนักงานกว่า 13,600 คนทั่วโลก มีทีมวิจัยและพัฒนากว่า 4,500 คน รายได้เมื่อปี 2013 ประมาณ 14 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook:  www.facebook.com/ASUSTHAILAND หรือติดต่อสอบถามได้ที่ E-mail : Asusth_pr@asus.com หรือโทร 02-677-4422-9

Specifications
Zenfone Go (ZB452KG)
Processor   Qualcomm Snapdragon MSM8212 Quad-core 1.2 GHz
GPU   ARM Mali-302 400 MHz
OS   Android 5.1 (Lollipop) with Brand-new ASUS ZenUI
Display   4.5-inches, FWVGA (854 x 480)
Memory   1 GB LPDDR3 RAM
Storage   8 GB ROM
5 GB free lifetime ASUS WebStorage
100 GB Google Drive free space (2 years)
Memory Slot   MicroSD card (up to 64 GB)
PixelMaster
Camera   Front 2 Megapixels, f/2.4 aperture
Rear 8 Megapixels, f/2.0 aperture   Front 0.3 Megapixels, f/2.8 aperture
Rear 5 Megapixels, f/2.0 aperture
Connectivity
Technology   WLAN 802.11 b/g/n
Micro USB
Bluetooth V4.0
Dual Micro SIM card Dual Standby
SIM1 Support 2G/3G
SIM2 Support 2G/3G
Network Standard   3G :
WCDMA : 850MHz/900MHz/1900MHz/2100MHz
Battery   2070 mAh Li-Polymer removable battery
Audio   FM Radio Receiver
Audio Slot   3.5mm audio jack
Sensor   Accelerator/E-Compass/Proximity/Ambient Light Sensor
Navigation   GPS, A-GPS, GLONASS, BDS
Weight   125g (with battery)
Dimensions   136.5 x 66.7 x 11.2 mm (WxDxH)
Color   Sheer Gold, Glacier Gray, Silver Blue   Charcoal black, Pearl white, Glamour red

3945


แซดทีอี เปิดตัว เบลด แอลห้า พลัส พร้อมจัดแฟลชเซลส์ที่แรกที่ลาซาด้าวางขายแบบเอ็กคลูซีฟที่เดียวบนเว็บไซด์ลาซาด้า ณวันที่ 21 เมษายน 2559













18 เมษายน 2559, ประเทศไทย – แซดทีอี (ZTE) ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือชั้นนำของโลก ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง แซดทีอี เบลด แอลห้า พลัส ในประเทศไทย พร้อมจัดการแฟลชเซลส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟบนเว็บไซด์ลาซาด้า http://www.lazada.co.th/exclusive-zte-blade-l5-plus/ ในวันที่ 21 เมษายน นี้ ระหว่างเวลา 12.00 – 14.00 น. ด้วยราคา 2,990 บาท โดยมีให้เลือกสองสีคือ สีขาวและสีเทา

ด้วยดีไซน์ล้ำสมัย และประสิทธิภาพอันทรงพลังในราคาที่ทุกคนสามารถเอื้อมถึง แซดทีอี เบลด แอลห้า พลัส จึงเป็นสมาร์ทโฟนราคาปานกลางที่ตอบโจทย์ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ เบลด แอลห้า พลัส ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างเช่น หน้าจอกว้าง 5 นิ้ว ชิปเซ็ตแบบ dual-core กล้องถ่ายภาพประสิทธิภาพเยี่ยม และปุ่มเมนูที่สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งได้ตามการตั้งค่าของผู้ใช้

ดีไซน์สวยล้ำ ทันสมัย: แซดทีอี เบลด แอลห้า พลัส ถูกออกแบบให้มีความบางและโค้งมนเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น และรับกับรูปมือ ด้วยจำนวนปุ่มน้อย และราบไปกับตัวเครื่อง รวมไปถึงปุ่มย้อนกลับ และปุ่มเมนูที่ผู้ใช้สามารถกำหนดตำแหน่งได้เอง

ประสิทธิภาพสุดล้ำ: แซดทีอี เบลด แอลห้า พลัส มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5 นิ้ว ที่มีความละเอียด 1280x720p เพื่อให้คุณสามารถรับชมความบันเทิงบนสมาร์ทโฟนได้อย่างจุใจ

ระบบปฏิบัติการทรงประสิทธิภาพ: แซดทีอี เบลด แอลห้า พลัส สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุดในทุกสถานการณ์ด้วยหน่วยประมวลผลชิปเซ็ต 4 Core MT6580 Quad Core 1.3GHz และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ Lollipop 5.1

ความจุ: แซดทีอี เบลด แอลห้า พลัส วางจำหน่ายพร้อม 1GB RAM และความจุขนาด 8GB ROM โดยรองรับหน่วยความจำภายนอกได้จาก microSD card

ฟีเจอร์กล้องคุณภาพเยี่ยม: กล้องหลังและกล้องหน้าของแซดทีอี เบลด แอลห้า พลัส มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และ 2 ล้านพิกเซล ตามลำดับ โดยกล้องหลังมีหลากหลายฟีเจอร์ เพื่อคนรักการถ่ายภาพ เช่น ออโต้โฟกัส และแฟลช ในการถ่ายภาพในที่มืด การจับภาพด้วยรอยยิ้ม (Smile Shot) เอชดีอาร์ โทน เพื่อเพิ่มความสว่างและสดใสให้กับรูปภาพและวิดีโอ การถ่ายภาพต่อเนื่องถึง 99 ช๊อต ที่จะทำให้คุณไม่พลาดช่วงเวลาดีๆ รวมไปถึงการจับภาพนิ่งจากวิดีโอ และการถ่ายภาพแบบพาโนรามา

รองรับแอปพลิเคชั่นที่หลากหลาย: แซดทีอี เบลด แอลห้า พลัส มาพร้อมกับหลากหลายแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันจากกูเกิล แอปพลิเคชันสำหรับการทำงาน ระบบคลาวด์ ได้แก่ Evernote และ Dropbox ที่ติดตั้งมากับเครื่อง แผนที่และระบบนำทาง และแอปพลิเคชั่นที่เกี่ยวกับ โซเชียล เน็ตเวิร์ค

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจจากสมาร์ทโฟน แซดทีอี เบลด แอลห้า พลัส:

Dimension   143x72x8.3mm   
Front Camera   2 megapixel
Battery   2150mAh   
Rear Camera   8 megapixel AF with flash
Processor   MT6580 Quad Core   
Display   5 inches screen with 720P HD resolution
RAM   1GB   
Platform   Android Lollipop 5.1
Colors    White and Grey
Storage   8GB ROM 1GB RAM and microSD
Network   - GSM/UMTS
- GSM 850/900/1800/1900
- UMTS 850/1900 or 850/2100 or 900/2100   
Other features   - GPS
- WiFi 802.11 b/g/n
- BT 4.0
- Accelerometer
- Proximity
- Ambient Light, Hall sensor
- FM Radio
- FOTA
- ISDB-T(Optional)

เกี่ยวกับลาซาด้า
ลาซาด้า โดยลาซาด้ากรุ๊ป เป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์มการช้อปปิ้งและพื้นที่ขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย (www.lazada.co.id) มาเลเซีย (www.lazada.com.my) ฟิลิปปินส์ (www.lazada.com.ph) สิงคโปร์ (www.lazada.sg) ไทย (www.lazada.co.th) และเวียดนาม (www.lazada.vn)

ลาซาด้ากรุ๊ป ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2555 และมีการเจริญเติบโตทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 5,500 คน โดยในแต่ละวันมีผู้เข้าชมผ่านทางเว็บไซด์และแอปพลิเคชันกว่าห้าล้านครั้ง นอกจากนี้ยังมีจำนวนแฟนเพจเฟซบุ๊คมากกว่า 15 ล้านคนทั่วทั้งภูมิภาค นับเป็นแฟนเพจในเฟซบุ๊คที่มีจำนวนผู้ติดตามมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลาซาด้าเป็นผู้บุกเบิกอี-คอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมอบความสะดวกสบายในการช้อปปิ้งให้กับผู้บริโภคผ่านวิธีการชำระเงินหลากหลายรูปแบบ อาทิ การเก็บเงินปลายทาง (Cash-on-Delivery) ศูนย์บริการลูกค้าแบบครบวงจร หรือบริการส่งคืนสินค้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลาซาด้านำเสนอสินค้าที่หลากหลายในแต่ละหมวดหมู่ ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ เครื่องใช้ภายในบ้าน ของเล่น สินค้าแฟชั่นและอุปกรณ์การกีฬา

ลาซาด้ามีแพลตฟอร์มพื้นที่การขายหรือมาร์เก็ตเพลสสำหรับแบรนด์สินค้า และผู้ค้า ด้วยระบบการจัดการที่เป็นมิตร และสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 550 ล้านคนในหกประเทศผ่านช่องทางการขายปลีกของลาซาด้าเพียงที่เดียว

ลาซาด้า กรุ๊ป ยังเป็นผู้ดำเนินธุรกิจ Lazada Services หรือบริการด้านระบบการจัดส่งสินค้า และ บริการชำระเงินออนไลน์ helloPay ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มอบความปลอดภัยในการช้อปปิ้งออนไลน์

Pages: 1 ... 261 262 [263] 264 265 ... 301