Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - FB

Pages: 1 ... 569 570 [571] 572 573
8551
MOVIE GUIDE: Crazy Stupid Love

ภาพยนตร์เรื่อง Crazy Stupid Love
 
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Leqd1l4P7f8" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Leqd1l4P7f8</a>

8552
ช่วงเที่ยงคืนเป็นชั่วโมงแห่งเวทมนตร์ สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2”


 
          ตอนจบของภาพยนตร์ชุดที่ทำลายสถิติทั้งหมดของการเปิดตัวที่อเมริกาในช่วงเที่ยงคืน

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” ของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศที่อเมริกาในวันเปิดตัวช่วงเที่ยงคืนอย่างเป็นปรากฏการณ์ที่ 43.5 ล้านดอลลาร์ มีการประกาศวันนี้โดย แดน เฟลแมน ประธานฝ่ายจัดจำหน่ายภายในประเทศของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส

          นอกจากนั้นภาพยนตร์ยังทำลายสถิติการเปิดตัวช่วงเที่ยงคืนของโรงภาพยนตร์ระบบ IMAX ด้วยรายได้ 2 ล้านดอลลาร์จากจำนวนโรงภาพยนตร์ IMAX หลายแห่ง
          การฉายภาพยนตร์ช่วงเที่ยงคืนทั่วประเทศรวมถึงการฉายภาพยนตร์แบบมาราธอนของภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาคก่อนๆ จนมาถึงตอนจบที่มีการเฝ้าคอยมาอย่างยาวนาน มีการเฉลิมฉลองของแฟนๆ ของภาพยนตร์จำนวนมาก พร้อมด้วยผู้ชมที่แต่งตัวเป็นเหล่าตัวละครโปรดจนเปลี่ยนการแสดงภาพยนตร์เป็นปรากฏการณ์ที่มีส่วนร่วม

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2” เป็นภาพยนตร์ภาคแรกในซีรี่ส์ที่ฉายในรูปแบบ 3 มิติ แฟนๆ ผู้โชคดีจำนวนมากที่เข้าชมภาพยนตร์ช่วงเที่ยงคืนในรูปแบบ 3 มิติได้รับแก้วแฮร์รี่ พอตเตอร์แบบ 3 มิติเก็บไว้เพื่อเป็นที่ระลึกด้วย

          สถิติการเปิดตัวในช่วงเที่ยงคืนได้เริ่มต้นในการสร้างสถิติสำหรับตั๋วจองล่วงหน้า การฉายในวันเปิดตัวหลายแห่งถูกขายหมดตั้งแต่หลายอาทิตย์ก่อน บรรดาผู้ชมภาพยนตร์รีบเข้าร่วมเป็นผู้ชมกลุ่มแรกที่ได้ตอนจบของภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล

          เฟลแมนแถลงการณ์ว่า “ช่างเป็นการเริ่มต้นที่อัศจรรย์สำหรับภาพยนตร์ที่กำลังจะสิ้นสุด ผู้สร้างภาพยนตร์และเหล่านักแสดงได้ถักทอตอนจบที่สมบูรณ์และดี สำหรับภาพยนตร์แฟรนไชส์สุดพิเศษภาคนี้ ผลตอบรับจากแฟนๆ เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนที่วอร์เนอร์ บราเดอร์ส มาร่วมแสดงความยินดีกับผมและทีมงานจำนวนมากที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เรารู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นสัญญาณของสุดสัปดาห์ที่น่าประหลาดใจและเวทมนตร์แห่งช่วงซัมเมอร์”

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” เป็นการผจญภัยตอนสุดท้ายในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ มหากาพย์ภาพยนตร์ตอนสุดท้ายเป็นการต่อสู้ระหว่างพลังด้านดีและพลังชั่วร้ายของโลกพ่อมดที่ทวีตัวเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ ไม่มีการเดิมพันที่สูงขึ้นและไม่มีที่ใดปลอดภัย แต่นั่นคือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ถูกเรียกขานให้เสียสละ ในที่สุดเขาถูกดึงให้เข้าไปใกล้กับการเผชิญหน้าปะลองครั้งสุดท้ายที่สำคัญกับลอร์ดโวลเดอมอร์ ทั้งหมดต้องสิ้นสุดลงที่นี่

          นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์ และ เอ็มม่า วัตสัน กลับมารับบทของ แฮร์รี่ พอตเตอร์, รอน วีสลีย์ และ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เหล่านักแสดงที่มารวมตัวกันในภาพยนตร์ยังรวมถึง เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์, ร็อบบี้ โคลเทรน, วอร์วิค เดวิส, ทอม เฟลตัน, ราล์ฟ ฟีนส์, ไมเคิล แกมบอน, ซิอาแรน ไฮด์ส, จอห์น เฮิร์ท, เจสัน ไอแซ็คส์, แมทธิว เลวิส, แกรี่ โอล์ดแมน, อลัน ริคแมน, แม็กกี้ สมิธ, เดวิด ธิวลิส, จูลี่ วัลเตอร์ส และ บอนนี่ ไรท์

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2” กำกับการแสดงโดยเดวิด เยทส์ อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน เดวิด บาร์รอน และ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ดัดแปลงบทภาพยนตร์โดย สตีฟ โคลฟส์ สร้างขึ้นจากนิยายของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง อำนวยการสร้างบริหารโดย ไลโอเนล วิแกรม

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” เป็นภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคแรกที่ฉายทั้งรูปแบบ 3 มิติและ 2 มิติโดยมีการฉายพร้อมกันทั่วประเทศ ภาพยนตร์มีการฉายในโรงภาพยนตร์ IMAX® บางแห่ง ภาพยนตร์ได้ผ่านระบบดิจิตัล รีมาสเตอร์ ให้มาเป็นคุณภาพของภาพและเสียงของ The IMAX Experience® ผ่านทางการจดทะเบียนภายใต้ชื่อ IMAX DMR® เทคโนโลยี

ร่วมปิดตำนานแฮร์รี่ พอตเตอร์ อลังการสุดประทับใจได้แล้ว วันนี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

8553
ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” ทำลายสถิติล่วงหน้าก่อนวันเปิดตัวของภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
   


          มีการกำหนดฉายภาพยนตร์ช่วงเที่ยงคืนทั่วประเทศ ในฐานะของภาพยนตร์ที่สร้างการรอคอยอย่างคาดหวังในตอนจบของภาพยนตร์ซีรี่ส์เรื่องดัง
 
          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” ของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส ได้ทำลายสถิติภาพยนตร์จำนวนมากในช่วงหลายวัน จนกลายเป็นตอนจบของภาพยนตร์ซีรี่ส์ที่มีการเฝ้ารอวันฉายอย่างสูง มีการแถลงการณ์วันนี้โดย แดน เฟลแมน ประธานฝ่ายจัดจำหน่ายในประเทศของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส

          การจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้ามีรายได้ทะลุมากกว่า 32 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติก่อนเปิดครั้งใหม่ รอบฉายช่วงเที่ยงคืนและวันแรกหลายรอบถูกขายหมดข้ามประเทศไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรภาพยนตร์จะมีการฉายมากกว่า 11,000 แห่งใน 4,375 พื้นที่ โดยสร้างสถิติทั้งซีรี่ส์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ด้วยพื้นที่มากกว่า 3,800 แห่งเปิดตัวภาพยนตร์ช่วงเที่ยงคืนของวันพฤหัส และทำลายสถิติภาพยนตร์เรื่องอื่น ภาพยนตร์มีการฉายทั่วประเทศในระบบ IMAX 274 แห่ง

          ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ เรื่องแรกที่มีการฉายในรูปแบบ 3 มิติ ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” ฉายรูปแบบ 3 มิติในพื้นที่มากกว่า 3,000 แห่ง โดยมีการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีตัวละครนำที่โดดเด่น เพื่อเป็นการระลึกถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นพิเศษ จึงมีการมอบแก้วแบบ 3 มิติให้แก่แฟนๆ ที่เข้าชมภาพยนตร์ในรูปแบบ 3 มิติเท่าที่จะมีปริมาณแว่นเหลืออยู่

          ในการจัดแถลง เฟลแมนกล่าวว่า “เราซาบซึ้งในความจงรักภักดีของแฟนๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์และเข้าใจว่าพวกเขาเฝ้ารอมาตลอด 10 ปีเพื่อช่วงเวลานี้ เราอดใจรอดูพวกเขาในหนังแทบไม่ไหว ซึ่งพวกเราเชื่อว่าได้ถ่ายทอดเข้าไปในทุกระดับ เราจึงฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์หลายแห่งอย่างสุดความสามารถเพื่อความต้องการจากทั่วทุกแห่ง เราต้องการแน่ใจว่าแฟนๆ ที่กำลังนับถอยหลังตอนจบจะมีโอกาสได้ชมอย่างรวดเร็วและมีรอบฉายมากมาย เราหวังว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้ชมตัวละครโปรดของพวกเขาในรูปแบบ 3 มิติเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด”

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” เป็นการผจญภัยตอนสุดท้ายในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ มหากาพย์ภาพยนตร์ตอนสุดท้ายเป็นการต่อสู้ระหว่างพลังด้านดีและพลังชั่วร้ายของโลกพ่อมดที่ทวีตัวเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ ไม่มีการเดิมพันที่สูงขึ้นและไม่มีที่ใดปลอดภัย แต่นั่นคือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ถูกเรียกขานให้เสียสละ ในที่สุดเขาถูกดึงให้เข้าไปใกล้กับการเผชิญหน้าปะลองครั้งสุดท้ายที่สำคัญกับลอร์ดโวลเดอมอร์ ทั้งหมดต้องสิ้นสุดลงที่นี่

          นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์ และ เอ็มม่า วัตสัน กลับมารับบทของ แฮร์รี่ พอตเตอร์, รอน วีสลีย์ และ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เหล่านักแสดงที่มารวมตัวกันในภาพยนตร์ยังรวมถึง เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์, ร็อบบี้ โคลเทรน, วอร์วิค เดวิส, ทอม เฟลตัน, ราล์ฟ ฟีนส์, ไมเคิล แกมบอน, ซิอาแรน ไฮด์ส, จอห์น เฮิร์ท, เจสัน ไอแซ็คส์, แมทธิว เลวิส, แกรี่ โอล์ดแมน, อลัน ริคแมน, แม็กกี้ สมิธ, เดวิด ธิวลิส, จูลี่ วัลเตอร์ส และ บอนนี่ ไรท์

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2” กำกับการแสดงโดยเดวิด เยทส์ อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน เดวิด บาร์รอน และ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ดัดแปลงบทภาพยนตร์โดย สตีฟ โคลฟส์ สร้างขึ้นจากนิยายของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง อำนวยการสร้างบริหารโดย ไลโอเนล วิแกรม

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” เป็นภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคแรกที่ฉายทั้งรูปแบบ 3 มิติและ 2 มิติโดยมีการฉายพร้อมกันทั่วประเทศ ภาพยนตร์มีการฉายในโรงภาพยนตร์ IMAX® บางแห่ง ภาพยนตร์ได้ผ่านระบบดิจิตัล รีมาสเตอร์ ให้มาเป็นคุณภาพของภาพและเสียงของ The IMAX Experience® ผ่านทางการจดทะเบียนภายใต้ชื่อ IMAX DMR® เทคโนโลยี

ภาพยนตร์เปิดตัวทั่วประเทศวันที่ 14 กรกฎาคม จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์
www.harrypotter.com.th

8554
“เปาวลี” ตื่น!ห้องอัด บิ้วอารมณ์โชว์เพลง “แก้วรอพี่”


 
           อีกหนึ่งฉากประทับใจของสาวน้อย ฉายา เหน่อเสน่ห์ “น้องเปา-เปาวลี พรพิมล” ในภาพยนตร์เรื่อง พุ่มพวง เป็นฉากที่เล่าถึงจุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนของชีวิต พุ่มพวง ดวงจันทร์ เมื่อความฝันอยากเป็นนักร้องกำลังจะกลายเป็นจริงขึ้นมา และเมื่อครูไวพจน์ เพชรสุพรรณ รับบทโดย “บุญโทน คนหนุ่ม” ได้พาเธอเข้าห้องอัดเสียงเพลงเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วขับร้องเพลงที่ชื่อ แก้วรอพี่ ซึ่งมี ธีระพล แสนสุข รับบทโดย “ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ” ตามไปเป็นกำลังใจถึงห้องอัดเสียงครั้งนี้ ก่อนที่จะเริ่มเป็นนักร้องเต็มตัวและโด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้ โดยน้องเปารีบอาสายกมือแซงหน้านักแสดงรุ่นพี่ ขอเล่าถึงความประทับใจในฉากนี้ว่า

           “สำหรับฉากนี้ คือฝันที่เป็นจริงของแม่ผึ้งเลยค่ะ เพราะหลังจากที่มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของครูไวพจน์ เพชรสุพรรณ อยู่ได้สักพักนึงและก็ซ้อมเต้นเป็นหางเครื่อง จนเมื่อโอกาสมาถึงครูไวพจน์เห็นแววก็พาไปห้องอัดเสียง เพลงแรกที่ได้บันทึกเสียงคือ เพลงแก้วรอพี่ ฉากนี้เปาจะต้องแสดงอารมณ์ดีใจมากที่ตัวเองจะได้เป็นนักร้องแล้ว แต่อีกอารมณ์ก็จะรู้สึกเครียดและกดดันไม่น้อย เพราะว่าด้วยความที่อ่านหนังสือไม่ออกแล้วจะร้องเพลงได้อย่างไร หากครูไวพจน์รู้ก็กลัวว่าจะไม่ได้เป็นนักร้อง ซึ่งก็มีเพียงธีระพล คนเดียวที่รู้ว่าผึ้งอ่านหนังสือไม่ออก จึงได้ช่วยซ้อมท่องจำเนื้อเพลงมาก่อนจะเข้าห้องอัดเสียงจริงค่ะ

          ที่เปาประทับใจฉากนี้ เพราะว่าเปาประทับใจและชื่นชมในความสามารถ ความอัจฉริยะของแม่ผึ้ง ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้แต่สามารถร้องเพลงและจดจำบทเพลงได้กว่า 500 เพลง และเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น เข้มแข็งอดทนอย่างมาก ยอมฝ่าฟันอุปสรรคเรื่องราวต่างๆ เพื่อความฝันของตัวเอง จนกลายเป็นนักร้องราชินีลูกทุ่งของคนไทยทั้งประเทศค่ะ เปาขอฝากภาพยนตร์เรื่อง พุ่มพวง ด้วยนะคะ อยากให้มาชมกันเยอะๆ มาดูเรื่องราวชีวิตของแม่ผึ้ง รับรองว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนได้อย่างแน่นอนค่ะ”

          “พุ่มพวง” ภาพยนตร์แห่ง น้ำตาหยดแรก บทเพลงแห่งแรก และความรักครั้งแรก ร่วมสร้างแรงบันดาลใจและการกลับมาของราชินีลูกทุ่งผู้โด่งดังโดย เปาวลี พรพิมล และ ณัฐวุฒิ สกิดใจ ผลงานกำกับโดย บัณฑิต ทองดี พร้อมสร้างความประทับใจ 21 กรกฎาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

          “พี่จ๋าพี่ สัญญาปีนี้ แล้วไม่มาแต่ง ค่าสินสอด ก็ไม่แพง หรือ พี่แกล้งให้แก้วรอ เรื่อยไป...”

8555
“เปาวลี” จัดเต็ม ชุดคอนเสิร์ตสมจริง หน้าผม หางเครื่อง พร้อมโชว์เพลง “พุ่มพวง”



          มาถึงฉากคอนเสิร์ตแต่ละฉากในภาพยนตร์เรื่อง “พุ่มพวง” เป็นการรวบรวมคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ และสุดประทับใจหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ทุกฉากถูกออกแบบงานสร้างด้านโปรดักชั่นดีไซน์เหมือนจำลองมาจากเวทีจริงที่ “ราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์” เคยโชว์ลีลาการเต้นและน้ำเสียงร้องบนเวทีคอนเสิร์ต เช่น คอนเสิร์ตโลกดนตรี, คอนเสิร์ตโรงแรมดุสิตธานี และรวมไปถึงคอนเสิร์ตในครั้งต่างๆ แม้กระทั่งชุดเสื้อผ้า รวมถึงหน้าผมทุกอย่างถูกบรรจงสร้างเสมือนจริงทั้งหมดโดยทีมงานออกแบบเสื้อผ้า และทีมช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ซึ่งนางเอกน้องใหม่เจ้าของฉายา “เหน่อเสน่ห์” น้องเปา-เปาวลี พรพิมล เล่าถึงความภูมิใจที่ได้มีโอกาสแต่งชุดคอนเสิร์ตหลากหลายชุดในภาพยนตร์ครั้งนี้ว่า

          “นอกจากจะเป็นนักร้องราชินีลูกทุ่งอันดับหนึ่งแล้ว ต้องยกให้แม่ผึ้ง-พุ่มพวง ดวงจันทร์เป็นผู้นำด้านแฟชั่นการแต่งกายอีกด้วยค่ะ เพราะชุดแต่ละชุดไม่น่าเชื่อว่ายุคนั้นจะออกแบบดีไซน์ออกมาได้ทันสมัย นำมาใส่ในยุคนี้ก็ยังได้ ไม่รู้สึกว่าเชยเลยสักนิดค่ะ ส่วนตัวเปาเองก็รู้สึกดีใจและภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสใส่ชุดคอนเสิร์ตในเรื่องนี้ด้วย ต้องขอขอบคุณพี่ป็อป-เอกศิษฏ์ มีประเสริฐสกุล ผู้ออกแบบเสื้อผ้าชุดเครื่องแต่งกายนักแสดงรวมถึงหางเครื่องทุกคนในเรื่องนี้ ทำออกมาได้เหมือนมาก โดยเฉพาะทุกๆ ฉากคอนเสิร์ต แต่ละชุดอลังการ สวยงาม ยกตัวอย่างฉากคอนเสิร์ตโลกดนตรี จะเป็นชุดกระโปรงสีขาวยาวมีโบว์ผูกผมอันใหญ่ๆ หรือฉากคอนเสิร์ตโรงแรมดุสิตธานี จะเป็นชุดลายเสือมีผ้าคาดหัวลายเสือ เป็นชุดที่หลายคนจดจำแม่ผึ้งได้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ ซึ่งในเรื่องนี้เปาใส่ชุดเฉพาะฉากคอนเสิร์ตไม่ต่ำกว่า 20 ชุด และแต่ละชุดหน้าผมจะเป็นคนละแบบกันด้วย วันไหนที่ต้องถ่ายฉากคอนเสิร์ตหลายคอนเสิร์ต เปาก็ต้องเปลี่ยนชุดเปลี่ยนหน้าผมทั้งวันเลยค่ะ สนุกดีชอบถูกจับแต่งตัวเหมือนตุ๊กตาเลย (หัวเราะ) ชุดที่เปาชอบมากที่สุดคือชุดลายเสือ ส่วนทรงผมเปาชอบผมสั้นค่ะ คิดว่าสักวันนึงถ้ามีโอกาสเปาจะตัดทรงนี้ให้ได้ค่ะ”

          “พุ่มพวง” ภาพยนตร์แห่ง น้ำตาหยดแรก บทเพลงแห่งแรก และความรักครั้งแรก ร่วมสร้างแรงบันดาลใจและการกลับมาของราชินีลูกทุ่งผู้โด่งดังโดย เปาวลี พรพิมล และ ณัฐวุฒิ สกิดใจ ผลงานกำกับโดย บัณฑิต ทองดี พร้อมสร้างความประทับใจ 21 กรกฎาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

8556
LOURDES เชิญร่วมจาริกแสวงบุญสู่ความพิศวงอันน่าขันของ...มนุษย์ 21 กรกฎาคมนี้



          เจสสิก้า เฮาส์เนอร์ ผู้กำกับหญิงสุดเลือดเย็นแห่งออสเตรีย กลับมาพร้อมผลงานชิ้นใหม่ Lourdes ที่จะตั้งคำถามอันแสนท้าทาย “ความเชื่อ” และ “ศรัทธา” ของมนุษย์ ต่อสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ศาสนา”

          Lourdes (อ่านว่า ลูร์ดส์) เป็นชื่อเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งของฝรั่งเศส ซึ่งคริสต์ศาสนิกชนมักเดินทางไปจาริกแสวงบุญที่นั่น เพราะความเชื่อที่ว่า หากใครได้ไปอาบน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองลูร์ดส์ ก็จะช่วยให้โรคภัยที่กำลังรุมเร้า หายเป็นปลิดทิ้งราวกับปาฏิหาริย์

คริสตีน (รับบทโดย นักแสดงหญิงฝรั่งเศสชื่อดัง – ซิลวี เตสตุด) เป็นสาวที่พิการเป็นอัมพาต ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นตลอดเวลา เธอหมดโอกาสใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป และตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า เหตุใดพระเจ้าจึงกลั่นแกล้งให้เธอเกิดมาประสบชะตากรรมเช่นนี้

          เธอเดินทางมาถึงเมืองลูร์ดส์ พร้อมกับคณะทัวร์ที่มาเพื่ออาบน้ำมนต์ และเฝ้าภาวนาว่าพระเจ้าจะประทานพรให้เธอหายจากโรคร้าย แต่แล้วจุดหักเหบางอย่างก็เกิดขึ้น และมันคือ “ตลกร้าย” ของพระเจ้าที่คริสตีนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับมันดี

          Lourdes เป็นหนังดราม่าที่มีกลิ่นอายของความเป็นตลกร้าย ที่เจ็บปวด เย็นชา แทรกด้วยการเหน็บแนมพฤติกรรมอันน่าสมเพชของมนุษย์อย่างแสบทรวง ผู้กำกับ เจสสิก้า เฮาส์เนอร์ตั้งใจโยนคำถามง่ายๆ แต่ตอบยากให้กับผู้ชม จนทำให้การรับชมหนังเรื่องนี้ เป็นประสบการณ์ “จุกอก” ชนิดที่จะต้องอึ้งไปหลายวัน

          Lourdes จะเข้าฉายในบ้านเรา 21 กรกฎาคมนี้ เฉพาะที่โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ อาร์ซีเอ ห้ามพลาด โทรสอบถามรายละเอียดที่ 0-2641-5177-8 หรือ www.facebook.com/houseRCA

8557
“เบรทท์ แรทเนอร์” ขายของ KITES เพชรเม็ดงามของบอลลีวู้ด


 
          ผู้กำกับไฟแรงแถวหน้าของฮอลลีวู้ด เบรทท์ แรทเนอร์ เจ้าของผลงาน Rush Hour และ X-Men: The Last Stand นำ “ของดี” ที่เขาไปเจอมาจากวงการหนังอิเดียหรือบอลลีวู้ด มาขายให้แก่คนดูทั่วโลก พร้อมการันตี สนุกสุดติ่งตั้งแต่วินาทีแรกยันวินาทีสุดท้าย

แรทเนอร์ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับโปรเจคต์ร้อยล้านหลายโปรเจคต์ของเขา กลับหยุดทุกอย่างเมื่อได้ดูหนังอินเดียเรื่อง Kites เขารีบทำการซื้อลิขสิทธิ์มา เพื่อทำการตัดต่อใหม่ (ให้สั้นลง เนื่องจากหนังอินเดียทั่วไปความยาวอยู่ที่ 2 ชั่วโมงครึ่งโดยเฉลี่ย) ให้เหมาะสมกับตลาดนานาชาติ

          ผู้กำกับคนเก่งเล่าว่า เมื่อเขาดู Kites จบลง ก็ได้แต่นั่งอึ้ง และตื่นตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งเห็นตรงหน้า “มันเหมือนทำให้ร่างกายของผมแหลกระเบิดเป็นชิ้นๆ นี่เป็นหนังที่โคตรสนุก และคนทั่วโลกก็น่าจะชอบ แต่จะมีใครมีโอกาสได้ดูมันเหมือนกับผมบ้าง ผมคิดอย่างนั้น จึงตัดสินใจนำหนังเข้ามาฉายในอเมริกา”

          Kites เป็นผลงานของ อนุรัก บาซู ซึ่งนำแสดงโดยพระเอกชื่อดังของบอลลีวู้ด หริติ๊ก โรชาน เล่าเรื่องราวของ เจ ชายหนุ่มที่แอบไปหลงรัก นาตาชา สาวเม็กซิกันคู่หมั้นของเจ้าพ่อใหญ่แห่งเวกัส เจและนาตาชาตัดสินใจหนีไปด้วยกัน พร้อมกับเชิดเงินก้อนใหญ่จากบ่อนคาสิโนไปด้วย จากนั้นเกมไล่ล่าสุดระทึกจึงเริ่มต้นขึ้น

          เบรทท์ แรทเนอร์ เสริมอีกว่า Kites เป็นเหมือนอาหารที่มีครบทุกรสชาติ “มันเป็นการยากที่จะบอกว่า นี่เป็นหนังแบบไหนกันแน่ เพราะมันมีทั้งส่วนที่เป็นแอ๊คชั่น, ตลก, โรแมนติค และอย่างที่ทุกคนคาดไม่ถึง พอถึงส่วนที่ต้องเรียกน้ำตาจากผู้ชม หนังก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม”

แรทเนอร์รับประกันขนาดนี้ Kites จึงเป็นประสบการณ์พิเศษที่คอหนังทุกคนไม่ควรพลาด เริ่ม 21 กรกฎาคมนี้ ที่โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ อาร์ซีเอแห่งเดียวเท่านั้น

          สอบถามรายละเอียด 0-2641-5177-8 หรือ www.facebook.com/houseRCA

8558
Movie Guide: "WUXIA"

 

           Wu Xia
          ประเภท แอ็คชั่น-กำลังภายใน
          คำโปรย -
          กำหนดฉาย 2011
          บริษัทจัดจำหน่าย มงคลซีเนม่า
          อำนวยการสร้าง/กำกับ ปีเตอร์ ชาน (The Warlords, Comrades: Almost a Love Story)
          เขียนบท ออเบรย์ แลม (Perhaps Love, The Warlords)
          นำแสดง ดอนนี่ เยน (Ip Man 1 & 2, Bodyguards and Assassins)
          ทาเคชิ คาเนชิโร่ (Red Cliff I & II, The Warlords)
          ถังเหว่ย (Lust, Caution, Crossing Hennessy)
          หวังหยู่ (One-Armed Swordsman I-III, Master of the Flying Guillotine)

          คำนำ
          ปีเตอร์ ชาน คือผู้กำกับที่มีผลงานหนังบล็อคบัสเตอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Comrades: Almost a Love Story, Perhaps Love หรือ The Warlords ครั้งนี้เขาขอเข้าสู่โลกหนังกำลังภายในเป็นครั้งแรกกับ Wu Xia ที่จะปฏิรูปสไตล์การต่อสู้ใหม่ทั้งหมด ด้วยฉากแอ็คชั่นที่จะดึงคนดูเข้าไปในร่างกายมนุษย์ และสัมผัสถึงความรุนแรงของทุกการโจมตี
          ดอนนี่ เยน (Ip Man I & II) แอ็คชั่นสตาร์อันดับหนึ่งของโลกในปัจจุบัน กลับมาร่วมงานกับ ปีเตอร์ ชาน ที่อำนวยการสร้าง Bodyguards and Assassins อีกครั้ง โดยรับบทเป็นอดีตนักฆ่าเลือดเย็น ที่กลับใจเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่แล้วอดีตก็ได้ตามมาหลอกหลอนเขา เมื่อนักสืบหนุ่มที่รับบทโดย ทาเคชิ คาเนชิโร่ (House of Flying Daggers, Red Cliff) ตั้งใจที่จะนำคนร้ายไปชดใช้ความผิดให้ได้ แต่ต้องพบว่าคนที่เขาเผชิญหน้านั้นไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา

          Wu Xia แปลตามตัวอักษรก็จะหมายความได้ว่า “เกียรติแห่งศิลปะการต่อสู้” ภายใต้วัฒนธรรมของชาวจีน Wu Xia คือความหมายที่แท้จริงของการเป็นวีรบุรุษ ที่ต้องใช้ศิลปะการต่อสู้เพื่อหยุดยั้งสงคราม เขาคือผู้ยึดมั่นในเกียรติ รู้จักผิดชอบชั่วดี และคอยช่วยเหลือผู้เดือดร้อน

          เนื้อเรื่อง
          เรื่องราวใน Wu Xia เกิดขึ้นช่วงปลายราชวงศ์ชิง เมื่อ หลิวจินซี (ดอนนี่ เยน) ช่างทำกระดาษที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับ อายู (ถังเหว่ย) ภรรยาและลูกชายทั้งสองคนในหมู่บ้านเล็กๆ แต่แล้วการเดินทางมาของผู้ชายคนหนึ่ง ก็ทำให้โลกอันแสนสงบของเขาต้องจบลง
ซูไป๋จิ่ว (ทาเคชิ คาเนชิโร่) นักสืบจากเมืองหลวง เดินทางเข้ามาสืบสวนถึงการเสียชีวิตของโจรสองคน ที่ถูกสังหารจากการป้องกันตัวของ หลิวจินซี แต่ด้วยการชันสูตรด้วยวิธีการแบบตะวันตก ซูไป๋จิ่ว ค้นพบว่าทั้งสองไม่ใช่โจรธรรมดา แต่เป็นนักฆ่าที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการต่อสู้... แล้วชาวบ้านทั่วไปอย่าง หลิวจินซี สามารถจัดการนักฆ่ามืออาชีพได้ยังไง?
          ด้วยความเป็นคนใฝ่ศึกษาศาสตร์กังฟู ซูไป๋จิ่ว ได้ข้อสรุปว่านี่ไม่ใช่โชคของ หลิวจินซี เขาต้องมีฝีมือในการต่อสู้อย่างแน่นอน การสืบสวนของ ซูไป๋จิ่ว นำเขาโยงไปถึง “72 อสูร” สมาคมนักฆ่าที่โหดเหี้ยมและอันตรายที่สุด ที่สมาชิกแต่ละคนถูกฝึกให้ฆ่าคู่ต่อสู้ โดยเฉพาะ ซือฟู่ (หวังหยู่) หัวหน้าสมาคมนักฆ่า ที่มีเคล็ดลับวิชาที่ทรงพลังในแบบที่ไม่มีใครเทียบได้

          แต่ยิ่ง ซูไป๋จิ่ว ขุดค้นอดีตของ หลิวจินซี มากเท่าไร เขาก็ยิ่งสับสนว่า หลิวจินซี พูดความจริงหรือว่ากำลังหลอกเขาอยู่ เพื่อที่จะไขคดีนี้ ซูไป๋จิ่ว ตัดสินใจเข้าทำร้าย หลิวจินซี หวังที่จะให้เขาเผยความลับออกมา แต่ หลิวจินซี กลับนิ่งเฉยและถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ทำให้ ซูไป๋จิ่ว รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำ แต่ก่อนที่เขาจะถอดใจและกลับเมืองหลวง ก็มีหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งที่ยืนยันว่า แท้จริงแล้ว หลิวจินซี ก็คือ ถังหลง รองหัวหน้าของกลุ่ม 72 อสูร ที่เชี่ยวชาญเรื่องในการสังหารที่สุด วันหนึ่ง ถังหลง รู้สึกเสียใจกับความผิดที่เขาได้ก่อ และตัดสินใจทิ้งความชั่วร้ายเอาไว้เบื้องหลัง

          ข่าวคราวเรื่องที่กบดานของ หลิวจินซี ได้ล่วงไปถึงหูของ ซือฟู่ ซึ่งยังทำใจไม่ได้กับการถูกหักหลังโดยคนที่เขารักเหมือนลูก ซือฟู่ ส่งสารไปบอก หลิวจินซี ว่าจะสังหารทุกคนในครอบครัว ถ้าเขาไม่กลับมาอยู่ในสมาคมนักฆ่า โดยในขณะที่ ซูไป๋จิ่ว ซึ่งรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงก็ต้องตัดสินใจว่าจะนำ หลิวจินซี กลับไปรับโทษดีหรือไม่ สามนักฆ่ามือดีที่สุดจากกลุ่ม 72 อสูร ก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านเพื่อนำตัว หลิวจินซี กลับไปเช่นกัน

          การต่อสู้ครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของทุกคน เมื่อ ซูไป๋จิ่ว ต้องเลือกระหว่างความยุติธรรมหรือศีลธรรม เส้นทางสู่การไถ่บาปของ หลิวจินซี ที่เต็มไปด้วยเลือดจะลงเอยเช่นไร ติดตามกันได้วันที่ 4 สิงหาคมนี้

          แนะนำตัวละครหลักใน Wu Xia
          หลิวจินซี (รับบทโดย ดอนนี่ เยน)
          เขาคือสามี คุณพ่อลูกสอง และช่างทำกระดาษ หลิวจินซี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในหมู่บ้านเล็กๆ แต่การเดินทางมาของนักสืบหนุ่ม ซูไป๋จิ่ว ทำให้อดีตของเขากลับตามมาหลอกหลอน ในที่สุดทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วเขาคือ ถังหลง รองหัวหน้าของสมาคมนักฆ่า 72 อสูร ผู้ซึ่งมีวิทยายุทธไม่ด้อยไปกว่าใคร ซึ่งสำนึกผิดและหันหลังให้กับวงการนักฆ่า แต่เมื่อตัวตนของเขาถูกเปิดเผย อสูรร้ายที่หลับอยู่ภายในใจของเขาก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง

          ซูไป๋จิ่ว (รับบทโดย ทาเคชิ คาเนชิโร่)
          นักสืบหนุ่มจากเมืองหลวง ถึงแม้ ซูไป๋จิ่ว จะไม่เชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้ แต่เขาก็เป็นผู้สนใจเรื่องวิชากำลังภายใน เขาศึกษาศาสตร์แห่งศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง ด้วยความเป็นคนที่มีลางสังหรณ์ ช่างสังเกตุ ช่างจินตนาการ และดื้อรั้น ก็ทำห้เขาค้นพบถึงตัวตนที่แท้จริงของ หลิวจินซี แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เกิดความขัดแย้งในใจว่า ความยุติธรรมหรือการสำนึกผิดนั้น อะไรคือสิ่งที่สำคัญกว่ากัน

          อายุ (รับบทโดย ถังเหว่ย)
          เธอคือผู้หญิงที่เคยเจ็บปวดจากการถูกสามีทอดทิ้ง แต่เธอก็สามารถลุกขึ้นมาอีกครั้งหลังจากพบกับ หลิวจินซี และตั้งใจที่จะสร้างครอบครัวใหม่อีกครั้ง เธอพบว่า ซูไป๋จิ่ว จะนำอันตรายเข้ามาสู่ตัวเธอและ หลิวจินซี เธอจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาครอบครัวไว้ เพียงแต่เธอไม่เคยล่วงรู้ถึงอดีตอันโหดร้ายของสามีมาก่อน

          ซือฟู่ (รับบทโดย หวังหยู่)
          ซือฟู่ เป็นผู้รอดจากเผ่าตังกุท ที่ถูกชาวมองโกลทำลายล้าง เขาพยายามรวมรวบพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ที่เหลือ และก่อตั้งเป็นสมาคมนักฆ่าที่รู้จักกันในนาม “72 อสูร” ที่โหดเหี้ยมและอันตรายที่สุดในวงการ ซือฟู่ ถือว่าสมาชิกทุกคนเป็นลูก และในบรรดาลูก 50 คน หลิวจินซี ก็เป็นคนที่เขาโปรดปรานที่สุด เมื่อ หลิวจินซี หันหลังให้กับ 72 อสูร ซือฟู่ ก็หัวใจสลายและตั้งใจที่จะทำลายเขา

          ทีมนักแสดง
          ดอนนี่ เยน (รับบทเป็น หลิวจินซี / ผู้กำกับคิวบู๊)
          ดอนนี่ เยน กลายเป็นแอ็คชั่นสตาร์ที่มาแรงที่สุดในปัจจุบัน เขาคือนักแสดงที่มีรายได้สูงสุดของประเทศจีนในปีที่ผ่านมา โดยมีรายได้รวมกว่า 200 ล้านหยวน และยังได้รับการขนานนามว่าเป็น “เจ้าแห่งกังฟูคนใหม่” โดยอาจารย์ผู้ฝึกสอนและเป็นผู้ให้กำเนิดเขาอย่าง หยวนหวู่ปิง ได้พูดถึงตัวดอนนี่ เยน ว่า "สุดท้ายแล้วเมื่อเราว่ากันถึงหนังแอ็คชั่นจากเนื้อแท้ ไม่มีใครทำได้ดีไปกว่า ดอนนี่ เยน"
          เขาเติบโตท่ามกลางกลิ่นอายของศิลปะการต่อสู้ โดยพ่อแม่ของเขาเป็นนักศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียง เมื่ออายุ 18 ปี เขาได้รับเชิญไปปักกิ่งเพื่อฝึกฝน และมีโอกาสได้พบกับนักออกแบบฉากต่อสู้ที่มีชื่อเสียงอย่าง หยวนหวู่ปิง ซึ่งก็เป็นผู้เปลี่ยนชีวิตเขา โดย 1 ปีหลังจากที่ได้พบกัน เยน ได้แสดงในหนังเรื่องแรกที่กำกับโดย หยวนหวู่ปิง ชื่อ Drunken Taichi (1988) ก่อนที่จะก้าวไปแจ้งเกิดกับบทผู้ร้ายใน Once Upon A Time In China II (1992) ที่เขาต้องต่อสู้กับ หวงเฟยหง (เจ็ท ลี) ในฉากไคลแม็กซ์ของเรื่อง โดยทั้งสองก็ได้ประชันฝีมือกันอีกครั้งในเรื่อง Hero (2003) ของผู้กำกับ จางอี้โหม่ว ซึ่งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม
          จากนั้น ดอนนี่ เยน โกอินเตอร์ด้วยการแสดงหนังในฮอลลิวู้ดหลายเรื่อง โดยมีผลงานอย่างเช่น Highlander: Endgame (2000), Blade II (2002) และ Shanghai Knights (2003) ซึ่งเขาได้ประชันฝีมือกับเพื่อนเก่าอย่าง เฉินหลง
          ดอนนี่ เยน กลับมามีผลงานในบ้านเกิดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น SPL: Sha Po Lang (2005), Dragon Tiger Gate (2006), Flash Point (2007) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลออกแบบการต่อสู้ยอดเยี่ยม จากเวทีการประกวดรางวัลม้าทองคำ และ ฮ่องกง ฟิล์ม อวอร์ดส ก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง Ip Man ที่สร้างมาจากชีวิตของปรมาจารย์มวย ยิปมัน จะกลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในอาชีพนักแสดงของเขา
          จากผลงานที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่า ดอนนี่ เยน เป็นแอ็คชั่นสตาร์อันดับหนึ่งในปัจจุบัน โดยนอกจากหนังเรื่อง Bodyguards and Assassins “5 พยัคฆ์พิทักษ์ซุนยัดเซน" แล้ว เขาก็ยังมีหนังเรื่อง 14 Blades, Ip Man 2 รวมถึง The Legend of Chen Zhen ที่เข้าฉายในปี 2010 ที่ผ่านมาอีกด้วย

          ทาเคชิ คาเนชิโร่ (รับบทเป็น ซูไป๋จิ่ว)
          ทาเคชิ คาเนชิโร่ เป็นนักแสดงที่ได้รับความนิยมสูง และมีแฟนๆติดตามผลงานมากที่สุดคนหนึ่งในเอเชีย เขาเกิดบนเกาะไต้หวัน โดยมีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น และแม่เป็นคนไต้หวัน เขาแจ้งเกิดการแสดงในภาพยนตร์ของ หว่องการ์ไว เรื่อง Chungking Express (1994) และ Fallen Angels (1995) รวมถึง Sleepless Town (1998) ก็ทำให้ คาเนชิโร่ กลายเป็นนักแสดงที่ถูกต้องการตัวมากที่สุดในเอเชีย
คาเนชิโร่ มีผลงานหนังมากมายหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นหนังโรแมนติกใน Anna Magdalena (1998) ของ ชุงมั่นหยี และ Turn Left, Turn Right (2003) ของ ตู้ฉีฟง, หนังแอ็คชั่นอย่าง House of Flying Daggers (2004) ของ จางอี้โหมว และ The Warlords (2007) ของ ปีเตอร์ ชาน, หนังเพลงอย่าง Perhaps Love (2005) จนถึงหนังทริลเลอร์อย่าง Confession of Pain (2006) ของผู้กำกับ แอนดรูว เลา
          นอกจากนั้น คาเนชิโร่ ก็ยังมีผลงานหนังญี่ปุ่นอีกด้วย อย่างเช่นหนังแอ็คชั่น-ไซไฟ Returner (2002) และ K-20: The Fiend with Twenty Faces (2008) ของผู้กำกับ ชิมาโกะ ซาโต้ โดยผลงานล่าสุดของ คาเนชิโร่ ก็คือการรับบทเป็น ขงเบ้ง ในมหากาพย์สามก็ก Red Cliff 1 & 2 ของผู้กำกับ จอห์น วู โดยในปีนี้ Wu Xia ก็ถือเป็นหนังเรื่องที่สามที่ คาเนชิโร่ ร่วมงานกับผู้กำกับ ปีเตอร์ ชาน

          ถังเหว่ย (รับบทเป็น อายุ)
          ถังเหว่ย ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งใน 15 คนที่ฝากผลงานการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปี 2007 ของหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ค ไทมส์ โดยผู้กำกับ อังลี เลือกเธอจากนักแสดงกว่า 10,000 คน ให้เข้ามารับบทเป็นสายลับสาวคู่กับ เหลียงเฉาเหว่ย ในหนังคุณภาพ Lust Caution (2007) ซึ่งทำให้ชื่อของ ถังเหว่ย โด่งดังไปทั่วโลก และได้รับเสียงชื่นชมจากคนดูและนักวิจารณ์
          การแสดงของถังเหว่ย จาก Lust Caution ทำให้เธอได้รับรางวัล ม้าทองคำ สาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และได้รับรางวัล Chopard Trophy จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ครั้งที่ 61 และยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงในเทศกาลหนัง และการประกวดระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น BAFTA Awards, Independent Spirit Awards, Chicago Film Critics Association Awards, Asian Film Awards และอื่นๆ
          หลังจากความสำเร็จ ถังเหว่ย ก็ตัดสินใจที่จะหยุดพักการแสดงไปนานกว่า 3 ปี จนในที่สุดก็กลับมารับงานแสดงอีกครั้ง โดยในปี 2010 ที่ผ่านมา เธอมีผลงานหนังโรแมนติก-คอมเมดี้จากฮ่องกงเรื่อง Crossing Hennessy โดยแสดงคู่กับ จางเซี๊ยะโหย่ว รวมถึงหนังโรแมนติก-ดราม่าเรื่อง Late Autumn ที่ร่วมแสดงกับ ฮุนบิน นักแสดงชื่อดังของเกาหลีใต้

          หวังหยู่ (รับบท ซือฟู่)
          หวังหยู่ คือนักแสดงระดับตำนานของวงการหนังเอเชีย เขาได้รับยกย่องว่าเป็นแอ็คชั่นสตาร์คนแรกของฮ่องกง โดยเขาเข้าสังกัด ชอว์ บราเดอร์ ตั้งแต่ปี 1963 และก็ได้รับบทนำในหนังกำลังภายในของผู้กำกับในตำนาน จางเชอะ ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงที่สุดอย่าง One Armed Swordsman (1967) ซึ่งเป็นหนังฮ่องกงเรื่องแรกที่ทำรายได้เกิน 1 ล้านเหรียญในยุคนั้น และก็ยังมีภาคต่อออกมาอีก 3 ภาค
ผลงานเรื่องต่อมาของ หวังหยู่ ก็มีความคลาสสิกไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น The Chinese Boxer (1970) ที่ หวังหยู่ ทั้งกำกับและแสดงนำ ก็ถือเป็นการเปิดเทรนด์หนังกังฟูยุค 70 และปูทางให้กับแอ็คชั่นสตาร์รุ่นใหม่อย่าง บรูซ ลี หรือ เฉินหลง ด้วยการแสดงมากกว่า 70 เรื่อง หวังหยู่ สร้างสรรค์ผลงานคลาสสิกไว้มากมาย เช่น The Assassin (1967), The Golden Swallow (1968), The Invincible Sword (1972) และ Master of the Flying Guillotine (1976)
          หลังจากรับบทเล็กๆจากเรื่อง The Executioner ในปี 1993 หวังหยู่ ก็ตัดสินใจที่จะอำลาวงการ แต่ในที่สุด Wu Xia ก็กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของ หวังหยู่ ในรอบ 13 ปี ที่เขาตัดสินใจกลับมาแสดง และเพื่อทำให้หนังกำลังภายในกลับมาสู่ยุคเฟื่องฟูอีกครั้ง

          ฮุ่ยอิงหง (รับบทเป็น ภรรยาของซือฟู่)
          ผลงาน >>> A Chinese Tall Story, Infernal Affairs II, Night Corridor, Blood Brothers

          หลี่เสี่ยวหยาง (รับบทเป็น ภรรยาของซูไป๋จิ่ว)
          ผลงาน >>> Dragon Tiger Gate, Driverless, East Wind Rain

          ทีมงานเบื้องหลัง
          ปีเตอร์ ชาน (ผู้กำกับ / ผู้อำนวยการสร้าง)
          เขาถือเป็นผู้มีอิทธิพลของวงการหนังจีน ที่สร้างชื่อจากการเป็นผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง โดยผลงาน 4 เรื่องล่าสุดของเขาทำเงินไปกว่า 600 ล้านหยวนเฉพาะในประเทศจีน ช่วงต้นทศวรรษที่ 90 เขากำกับหนังเรื่องแรกที่ได้ทั้งเงินและกล่องที่ชื่อ Alan and Eric: Between Hello and Goodbye (1991) รวมถึง He’s a Women, She’s a Man (1994) และ Comrades, Almost a Love Story (1997) ที่ได้รับถึง 9 รางวัลจาก Hong Kong Film Awards และยังเป็นหนึ่งในสิบหนังยอดเยี่ยมของ Time Magazine ปี 1997
          ในปี 1998 ชาน ได้กำกับหนังฮอลลิวู้ดเรื่องแรก The Love Letter ภายใต้การสร้างของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก่อนที่เขาจะก่อตั้งสตูดิโอ Applause Pictures ที่ได้อำนวยการสร้างหนังอย่าง Jan Dara (2001), One Fine Spring Day (2001), ไตรภาค The Eye (2002, 2004, 2005), Three (2002) and Three…Extremes (2004), Golden Chicken (2002) และ Golden Chicken 2 (2003)
          ผลงานการกำกับเรื่องต่อมาของ ชาน ก็คือหนังมิวสิเคิล Perhaps Love (2005) ที่กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดประจำปีของจีน ไต้หวัน และฮ่องกง และได้รางวัลรวมกันมากถึง 29 รางวัล ต่อมาเขาได้กำกับ The Warlords (2007) ที่นำแสดงโดย หลิวเต๋อหัว, เจ็ทลี และ ทาเคชิ คาเนชิโร่ ซึ่งทำเงินได้มากกว่า 220 ล้านหยวน และ 40 ล้านเหรียญทั่วทั้งเอเชีย ได้รับ 8 รางวัล Hong Kong Film Awards และ 3 รางวัลม้าทองคำ รวมถึงหนังยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม
          ในปี 2009 ปีเตอร์ ชาน ได้อำนวยการสร้างเรื่อง Bodyguards and Assassins ของผู้กำกับ เท็ดดี้ เฉิน ซึ่งก็ทำเงินถล่มทลายไปกว่า 300 ล้านหยวน และ 50 ล้านเหรียญทั่วทั้งเอเชีย และยังได้รับ 8 รางวัล Hong Kong Film Awards โดยในปี 2011 ชาน ก็ได้กลับมากำกับหนังแอ็คชั่นที่ชื่อ Wu Xia นำแสดงโดย ดอนนี่ เยน และ ทาเคชิ คาเนชิโร่

          ออเบรย์ แลม (ผู้เขียนบท)
          ผลงาน >>> Perhaps Love, The Warlords, Who’s the Woman Who’s the Man

          หลี่หยูเฟย (ผู้กำกับภาพ)
          ผลงาน >>> Infernal Affairs, 2046, Confession of Pain

          หยีชุงมั่น (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
          ผลงาน >>> The Warlords, Curse of the Golden Flower, Perhaps Love, A Chinese Ghost Story

          ดอร่า อิง (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
          ผลงาน >>> Bodyguards and Assassins, Perhaps Love, An Empress and the Warriors

8559
โปสเตอร์และตัวอย่าง Sherlock Holmes: A Game of Shadows


 
          2 โปสเตอร์แรก และ ตัวอย่างแรก ซับไทย Sherlock Holmes: A Game of Shadows
 
          มาแล้ว 2 โปสเตอร์แรก และ ตัวอย่างแรก ซับไทย Sherlock Holmes: A Game of Shadows

          การกลับมาอีกครั้งของสองคู่หู Holmes และ Watson จากหนังเรื่อง Sherlock Holmes: A Game of Shadows ที่รอบนี้ได้ผู้กำกับคนเดิม Guy Ritchie มานั่งแท่นผู้กำกับอีกครั้ง พร้อมทั้งได้สองนักแสดงคู่เดิม Robert Downey Jr. และ Jude Law กลับมารับบทคู่หู Holmes และ Watson อีกครั้ง

          Sherlock Holmes: A Game of Shadows มีกำหนดเข้าฉายในไทยวันที่ 22 ธันวาคม 2011 นำแสดงโดย Robert Downey Jr., Jude Law, Noomi Rapace, Stephen Fry, Jared Harris, Gilles Lellouche กำกับโดย Guy Ritchie.

8560
อิมซูจอง ติดใจ ฝีมือชงกาแฟของ ฮยอนบิน ใน Come Rain, Come Shine เผยบทรักซึมลึกเรื่องนี้ แสดงยากที่สุด



          แม้จะเคยแสดงหนังรักหลากหลายแนวไม่ว่าจะเป็น I’m a cyborg กับ เรน หรือ SAD MOVIE จุงวูซุง แต่ล่าสุด เมื่อสาวสวย อิมซูจอง ถึงกับออกปากว่าบทหญิงสาวที่เก็บความรู้สึกอาวรณ์ไว้ในใจ ใน หนังเรื่อง Come Rain, Come Shine เป็นบทที่ยากที่สุดตั้งแต่เคยแสดงมาเลยทีเดียว “ที่ยากเพราะ เป็นความรู้สึกที่แสดงออกไม่ได้ อยากจะพูดว่ารักก็พูดไม่ได้ อยากจะร้องไห้ก็ไม่ควรร้องออกมา เพราะในเรื่อง ฉัน กับ ฮยอนบิน ต้อง แสดงเป็น คู่รักที่กำลังจะแยกทางกัน ยากมากๆ ค่ะ เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไม การเป็นห่วงเป็นใยใครแต่ไม่สามารถแสดงออกได้เพราะกลัวว่าเขาจะตัดใจไม่ได้มันเป็น มันให้ความรู้สึกซึมลึกได้มากแค่ไหน ..... ในหนัง ฮยอนบิน เป็นคนชอบดื่มกาแฟมาก เขามีวิธีปลอบใจฉันด้วยการ ชงกาแฟให้ดื่มมันเป็นการชงด้วยความใส่ใจ และใส่ความรักลงไป .... เขาชงมันเอง บอกตรงๆ ถ้าในชีวิตจริง มีคนมาชงกาแฟให้ฉันแบบ นี้ ฉันคงไม่มีทางเลิก กับคนๆ นั้นแน่ๆ ...” อิมซูจอง พูดติดตลก

          Come rain, Come Shine หนังที่ได้ สองนักแสดง สุดฮอตจากเกาหลี ฮยอนบิน หนุ่มหล่อเจ้าพ่อซีรีย์ ที่ตัดสินใจรับแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย ก่อนจะพักการแสดง 2 ปี เพื่อไปรับใช้ชาติ และ อิมซูจอง สาวสวยน้ำตาสั่งได้ ที่ทำให้ผู้ชมรักเธอหมดใจมาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง SAD MOVIE

          ทั้งคู่ถ่ายทอดความรัก ระหว่างนักเขียนเรื่องอาหารผู้เอาแต่ใจตัวเอง กับ ศิลปินหนุ่ม ปากแข็งและเจ้าทิฐิ คู่รักที่รู้สึกว่า ถึงพวกเขาจะยังคงรักกันอยู่ แต่ ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ อีกต่อไป และ ตัดสินใจแยกทางกันเมื่อ ฝ่ายหญิงมีคนที่รักมากกว่า ... ทั้งคู่ช่วยกันเก็บของในห้องสุดท้าย โดยก่อนที่พวกเขาจะต้องจากกันไป คนๆ หนึ่งก็กำลังตัดสินใจว่า เขาควรจะพูดประโยคที่ว่า เรายังคงรักกันอยู่ไหม ? ...ออกมาดีหรือไม่

          18 สิงหานี้ !
          พบบททดสอบหัวใจที่จะทำให้คุณอยากถามคนข้างๆ ตัวว่า
          เรายังรักกันอยู่ไหม? เฉพาะโรงภาพยนตร์ ลิโด้ เท่านั้น

8561
อีซูซุเดินหน้า “เอ็นเตอร์เทนเมนท์ มาร์เก็ตติ้ง” ส่ง “อีซูซุมิว-เซเว่น ช้อยส์” ประกบคู่พระเอกในภาพยนตร์ “รักเลี้ยวเฟี้ยวว!! (อ่ะ)




 
         อีซูซุเดินหน้าใช้กลยุทธ์ “เอ็นเตอร์เทนเมนท์ มาร์เก็ตติ้ง” ล่าสุดส่ง “อีซูซุมิว-เซเว่น ช้อยส์” โลดแล่นรับบทเด่นบนแผ่นฟิล์มในฐานะพาหนะคู่ใจของพระเอกหนุ่มเจ้าเสน่ห์ “หลุยส์ สก๊อต” ในโรดมูวี่แนวโรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง “รักเลี้ยวเฟี้ยวว!! (อ่ะ)” ร่วมถ่ายทอดชีวิตหลากหลายมุมมองกับการเดินทางบนเส้นทางอันสวยงามของเมืองไทย

          คุณปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ในฐานะผู้สนับสนุนหลักภาพยนตร์เรื่อง “รักเลี้ยวเฟี้ยวว!! (อ่ะ)” กล่าวว่า “อีซูซุภูมิใจที่ “อีซูซุ มิว-เซเว่น ช้อยส์” ได้รับความไว้วางใจจากไอพีเอ็มฟิล์ม ให้มารับบทเด่นควบคู่กับคุณหลุยส์ สก๊อต พระเอกหนุ่มฮอตที่กำลังมาแรงในเวลานี้ในฐานะรถยนต์คู่ใจในการเดินทางท่องเที่ยวทั่วไทย ด้วยความเป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ขับเคลื่อน 2 ล้ออารมณ์สปอร์ตที่สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้รถรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ Your way…Your Choiz สนุกกับชีวิตที่เลือกได้...ในสไตล์คุณ ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่าง “กรธวัช” (หลุยส์ สก๊อต) อีซูซุรู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนภาพยนตร์ไทย ฝีมือคนไทย ถ่ายทำบนผืนแผ่นดินอันงดงามของไทย อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศอีกด้วย”       
   
          สำหรับบรรยากาศเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “รักเลี้ยวเฟี้ยวว!! (อ่ะ)” หลังจากกองถ่ายได้ถ่ายทำภาพยนตร์ท่ามกลางบรรยากาศอันสวยงามของไร่กะหล่ำปลีบนภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กองถ่ายฯได้เลี้ยวมาที่จังหวัดเลย โดยเริ่มถ่ายทำฉากที่น้าชัย (อู๊ด เป็นต่อ) พา กรธวัช (หลุยส์ สก๊อต) มาศึกษาประวัติศาสตร์ที่พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน ในอำเภอด่านซ้าย จากนั้นเป็นการถ่ายทำฉากการเดินทางด้วยรถ “อีซูซุมิว-เซเว่น ช้อยส์” บนถนนหมายเลข 203 ที่มีความสวยงามตามธรรมชาติอย่างอุดมสมบูรณ์สู่เมืองเชียงคาน เพื่อถ่ายทำฉากหนังกลางแปลงบริเวณสวนสาธารณะริมแม่น้ำโขงยามเย็นกันต่อ โดยมีชาวเมืองเชียงคานให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

เช้าวันรุ่งขึ้น กองถ่ายฯ ยังคงเก็บเกี่ยวความงดงามของธรรมชาติที่ “แก่งคุดคู้” ก่อนเดินทางขึ้นเขาไปบน “ภูทอก” ภูทะเลหมอกที่มีระดับความสูงกว่าน้ำทะเลถึง 834 เมตร มองเห็นเมืองเชียงคานโดยรอบ 360 องศา บนภูทอกกรธวัชได้พบน้าเป๋อ (คุณปุ๊ย ตีสิบ) และภรรยา ที่มาเที่ยวชมธรรมชาติและแสดงความรักความเข้าใจต่อกัน เสริมมุขขำขันกันแบบสดๆ ก่อนที่จะกลับมาถ่ายทำฉากสวยๆ ในเมืองเชียงคานกันต่อ

          การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “รักเลี้ยวเฟี้ยวว!!(อ่ะ)” ที่เมืองเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นการรวมตัวของนักแสดงเกือบครบทีมบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา แม้จะต้องเจอทั้งฝนตกบนภูและแดดจ้าในเมืองตลอดการถ่ายทำก็ตาม โดยคุณอรุณศักดิ์ อ่องลออ ผู้กำกับการแสดง กล่าวว่า “เราเลือกเชียงคานเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สงบ และยังคงรักษาวัฒนธรรมไว้เป็นอย่างดี สามารถขับรถท่องเที่ยวได้ตามแนวโรดมูฟวี่ของหนังเรื่องนี้ โดยมีรถและหลุยส์เป็นพระเอกทั้งคู่เพราะเดินทางไปด้วยกันตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นความลงตัวของรถ “อีซูซุมิว-เซเว่น ช้อยส์” และกรธวัชที่สวมบทโดยคุณหลุยส์ สก๊อต ที่มีไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่และทันสมัยเหมือนกัน” ส่วนคุณหลุยส์ สก๊อต ปิดท้ายว่า “เหนื่อยนิดหน่อยเพราะอากาศร้อนและเจอฝนตกตลอด แต่ทุกคนในทีมก็สนุกสนานและให้ความเป็นกันเอง ซึ่งแต่ละสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีกลิ่นอายของความเป็นประเทศไทยที่แตกต่างกันไป ฝากผลงานเรื่อง “รักเลี้ยวเฟี้ยวว!!(อ่ะ)” รับรองว่าทุกคนจะได้เห็นหลายๆ มุมของประเทศไทยที่อันซีนจริงๆ ครับ”

          ภาพยนตร์เรื่อง “รักเลี้ยวเฟี้ยวว!!(อ่ะ)” ดำเนินเรื่องในลักษณะของโรดมูฟวี่ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไอพีเอ็มฟิล์ม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และอีซูซุ นำเสนอเรื่องราวของ “กรธวัช” รับบทโดย หลุยส์ สก๊อต นักบริหารหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จ แต่ต้องมาเผชิญกับปัญหาชีวิตที่จู่โจมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว จึงตัดสินใจเลี้ยวออกจากเส้นทางชีวิตแบบเดิมๆ เลือกออกเดินทางด้วยรถยนต์คู่ใจ “อีซูซุมิว-เซเว่น ช้อยส์” เพื่อค้นหาความหมายของชีวิต ไปยังสถานที่สวยงามต่างๆ ทั่วไทย ไม่ว่าจะเป็นภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์, อ.เชียงคาน จังหวัดเลย, จังหวัดเชียงใหม่, จังหวัดลำปาง, หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเชียงราย ไปสัมผัสธรรมชาติและผู้คนที่เขาไม่เคยรู้จัก ท้ายสุดเขาจะพบคำตอบของการแก้ปัญหา หรือพบการดำเนินชีวิตที่ดีกว่า “กรธวัช” จะบอกคุณพร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้
 
          ภาพยนตร์เรื่อง “รักเลี้ยวเฟี้ยวว!!(อ่ะ)”         
          นำแสดงโดย คุณหลุยส์ สก๊อต, คุณจอนนี่ อันวาร์, คุณปุ้ย ตีสิบ, คุณอู๊ด เป็นต่อ และตุ๊กติ๊ก (ณิชาวรินทร์ เบิกอรุณรุ่ง) นักแสดงคุณภาพจากรายการแอคติ้งควีน
          อำนวยการสร้างโดย คุณภีมเขตร บุตรเพชรวรัท
          กำกับการแสดงโดย คุณอรุณศักดิ์ อ่องลออ
 
          ส่วนประชาสัมพันธ์ สำนักงานองค์กรสัมพันธ์
          บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด
          โทร. 02-966-2127-9

8562
ใหม่ สริยา งานเข้า!!! ถูกทาบเล่นหนังอีโรติก “น้ำตาลแดง 3”


 
          ไม่น่าเชื่อว่าดารานักแสดงสาวมากฝีมืออย่าง ใหม่-สริยา อัศวเลิศพานิช จากละครเรื่อง ไฟอมตะ และ บันทึกกรรม จะถูกผู้บริหารคนเก่ง ปรัชญา ปิ่นแก้ว ทาบรับบทนางเอกในภาพยนตร์อีโรติกเรื่องใหม่ “น้ำตาลแดง 3” งานนี้สาวใหม่เผยให้ฟังว่า

           “พี่ปรัชฯ ติดต่อมาจริงค่ะ ติดต่อมาหลายเดือนแล้ว แต่ตอนนั้นใหม่ไม่พร้อมก็เลยปฏิเสธพี่เค้าไปค่ะ จริงๆ พี่เค้าจะให้ใหม่ไปเล่นเอ็มวีก่อน แต่เผอิญว่าใหม่ติดงานไม่สามารถไปเล่นได้ พี่เค้าก็เลยบอกว่า เดี๋ยวมาเล่นหนังให้พี่แล้วกัน ใหม่ก็ ค่ะ..ค่ะ..ไป จนกระทั่งพี่เค้าติดต่อมาอีกรอบหนึ่งว่าจะให้เล่นหนังเรื่อง น้ำตาลแดง 3 รับบท นางเอก เลยนะ ตอนแรกใหม่ก็นึกว่าเป็นหนังธรรมดา แต่พอพี่เค้าบอกว่าต้องเซ็กซี่นะ ใหม่ก็บอกพี่เค้าไปว่า ใหม่ไม่พร้อม ขอเป็นเรื่องหน้าแล้วกัน นั่น...มีต่อรองด้วย (หัวเราะ) พี่เค้าก็ไม่ว่าอะไรค่ะ เพราะก็วางโปรเจ็คหนังไว้หลายเรื่องเหมือนกัน ใหม่ก็ยังบอกพี่เค้าไปเลยว่าถ้ามีบทอะไรที่ไม่ต้องเซ็กซี่ก็ติดต่อใหม่ไปเล่นได้นะคะ (หัวเราะ)”

8563
“ซัคซี้ด ห่วยขั้นเทพ” กระแสแรงที่ไต้หวัน คนดูชื่นชอบ ต่อแถวขอลายเซ็นนานกว่า 2 ชม.


 
          “ซัคซี้ด ห่วยขั้นเทพ” ภาพยนตร์ร็อควัยรุ่น รักวัยเรียน ค่าย จีทีเอช ของผู้กำกับ หมู-ชยนพ บุญประกอบ นอกจากประสบความสำเร็จในเมืองไทย โกยรายได้ไปกว่า 80 ล้าน และส่งให้นักแสดง เก้า-จิรายุ ละอองมณี, พีช-พชร จิราธิวัฒน์, แนท-ณัฐชา นวลแจ่ม และ เอิร์ธ-ธวัช พรรัตนประเสริฐ แจ้งเกิดไปแล้วนั้น ล่าสุด “ซัคซี้ด ห่วยขั้นเทพ” ยังประสบความสำเร็จ ดังไกลถึงต่างแดน ในงานเทศกาลภาพยนตร์ “ไทเป ฟิล์ม เฟสติวัล” ประเทศไต้หวัน มีคนรอคิวชมหนังนับพันคน และต่อคิวขอลายเซ็น ผู้กำกับ นักแสดง แนท-ณัฐชา กับ พีช-พชร นานกว่า 2 ชั่วโมง

          พีช-พชร เผยว่า “ดีใจมากครับที่หนัง ซัคซี้ด ห่วยขั้นเทพ ประสบความสำเร็จทั้งในเมืองไทย และต่างประเทศ ที่ไต้หวัน ผมและพี่หมู ผู้กำกับ รวมถึงแนท นางเอก อึ้ง และทึ่งมาก ที่คนดูไต้หวันชอบหนังเรื่องนี้ และเข้าใจมุกตลกในเรื่อง รอบที่ฉายมีคนดูเต็มโรง ซึ่งคนดูชอบมาก หัวเราะในหลายๆ ฉาก และหลังจากหนังจบ ทุกคนก็ร่วมฟังการสัมภาษณ์พูดคุย และชอบฉากที่ผมแต่งตัวเป็นผู้หญิง แล้ววิ่งไล่ตีเด็ก เขาขำกันเยอะมาก คือทุกคนเข้าใจมุกในหนัง และเข้าคิวรอขอลายเซ็นพวกเรานานกว่า 2 ชั่วโมง เป็นสิ่งที่ผมและทีมงานประทับใจมากครับ ที่ทุกคนชอบหนังเรื่องนี้ และที่ปลื้มใจสุดๆ คือ แฟนๆ ไต้หวันมาส่งพวกเราที่สนามบินด้วย มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ซัคซี้ด เป็นหนังที่ตอบโจทย์ว่า หนังเป็นภาษาสากล ที่ไม่ว่าชาติไหนๆ ก็เข้าใจ ดีใจครับที่หนังไทยโดนใจต่างชาติ มันเป็นแรงใจที่จะทำให้ผมและเพื่อนๆ ทำงานให้ดียิ่งขึ้นครับ และซัคซี้ด กำลังจะไปฉายที่ สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เป็นประเทศต่อไปครับ”

8564
ครบปีความสำเร็จ “สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก” เสนาเพชรพร้อมลุย “30+” หนังโรแมนติคคอมมิดี้เรื่องที่ 2



          อีกไม่ถึงเดือนก็จะครบรอบ1ปีที่ “สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า” ได้สร้างปรากฎการณ์ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ให้ทุกหัวใจที่มีความรักได้อิ่มเอมและซาบซึ้งใจไปยังผู้ชมนับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรก และโดยที่ไม่มีใครคาดคิดเมื่อหนังรักเล็กๆ เรื่องนี้ได้เข้าไปอยู่ในความทรงจำแก่ผู้ชมในหลายๆ ประเทศ ที่ได้มีโอกาสสัมผัสเรื่องราวที่แสนอบอุ่นจนเกิดเป็นกระแสความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ให้หัวใจของทีมงานตลอดจนนักแสดง ผู้กำกับทุกคน หัวใจพองโตตลอด 1 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเกิดเป็นคำถามจากเหล่าแฟนๆ สิ่งเล็กเล็กว่า เมื่อไหร่หนอที่เราจะได้สนุกสนาน อิ่มอุ่น ซาบซึ้งไปกับรอยยิ้มเสียงหัวเราะ และหยาดน้ำตาแห่งความสุขกับหนังรักดีๆ ที่จะมาเติมเต็มหัวใจคนดูอีกครั้ง จนอดไม่ได้จะหาคำตอบจากคำถามที่หลายคนอยากรู้เหลือเกินว่า ตอนนี้ผู้กำกับสิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารักกำลังทำอะไรกันอยู่ เมื่อไหร่เราจะได้ดูหนังเรื่องที่ 2 กันสักที ทีมข่าวบันเทิงไม่นิ่งนอนใจ เจอตัวเสนาเพชร พุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร เลยจับมาเฉลยข้อข้องใจเสียเลย

          “ครับก่อนอื่นต้องขอบคุณนะครับสำหรับแฟนๆ ภาพยนตร์เรื่องสิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก คิดว่าระยะเวลาที่ผ่านไป ดูเหมือนจะเนิ่นนานแสนนาน ได้รับกระแส เสียงตอบรับคำชื่นชมที่แสนอบอุ่นมากๆ ทั้งผกก.ทั้งทีมงาน ทั้งนักแสดงมาตลอดเวลา รู้สึกว่าขอบคุณ และก็รู้สึกดีใจมากที่มีคนชื่นชอบภาพยนตร์ไทยเยอะขนาดนี้ รวมทั้งขอบคุณแฟนๆชาวต่างประเทศด้วยนะครับ I Would like to say thank you to all the audience ไม่รู้จะพูดว่าอะไร ก็ถือว่าคุณสนับสนุนหนังไทยได้ดีมาก แล้วก็ภูมิใจในความเป็นไทยนะครับ”

          แล้วรู้มั้ยว่าแฟนๆ หลายคนถามมาตลอดว่าจะครบปีแล้วจากสิ่งเล็กเล็กแล้วเมื่อไหร่จะได้ดูหนังเรื่องที่ 2 ของพี่ๆ กัน “สำหรับหนังเรื่องที่2 เหรอครับ ก็เริ่มก่อหวอดแล้วครับ ก็ถือว่าเริ่มเป็นคลื่นใต้น้ำเล็กๆ ค่อยๆ ปล่อย เริ่มแง้มออกมาทีละนิด ทีละนิดว่ามีอะไร จริงๆ แล้วก็เริ่มเปิดกล้องไปแล้ว โดยตอนนี้มีชื่อที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าโปรเจ็คต์ “30+” ครับ ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งซึ่งมาในแนวทางของโรแมนติคคอมมิดี้ เป็นความรู้สึกที่คิดว่าน่าจะสัมผัสโดนใจผู้หญิง อย่างเรื่องที่แล้วเป็นเรื่องของเด็กสาวมัธยมที่แอบรักรุ่นพี่และยอมเปลี่ยนตัวเองทุกอย่าง ส่วนเรื่องนี้ก็จะโตขึ้นมาเป็นหญิงสาววัยทำงาน ซึ่งก็คงต้องติดตามกันนะครับว่าโดนใจบางคนหรือทุกคนก็ยังไม่รู้นะครับ โดยเป็นการรวมทีมงาน ซึ่งมีผมเป็นผกก.นะครับ แต่อันนี้เป็นงานเดี่ยว เพราะคุณวศินก็กำลังพัฒนาอีกโปรเจ็คต์ แล้วก็ทีมงานผู้ช่วย 1 และผู้ช่วย 2 ซึ่งเป็นทีมงานที่สร้างสิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก หรือแม้แต่คนแต่งเพลง ก็ยังคงเป็นคนแต่งในเรื่องของสิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก แม้แต่นายทุนก็ใช่อีกนะครับ ก็เป็นโปรเจ็คต์ของ สหมงคลฟิล์มฯ และหัวฟิล์มท้ายฟิล์ม เพราะฉะนั้นรับรองได้ว่ามาตรฐานคุณภาพก็พยายามรักษาไว้คงเดิม และให้คงดีกว่าเดิมด้วยครับ แล้วที่สำคัญหัวใจของเรื่องก็คือบทภาพยนตร์ เราก็ยังได้คนเดิมที่เขียนบทเรื่องสิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารักด้วยครับ ส่วนพระเอกนางเอกรับรองว่าเซอร์ไพรส์แน่นอน เพราะเป็นซุปตาร์ระดับแนวหน้าแห่งยุค ที่ยังไม่เคยประกบบทบาทคู่กันมาก่อนทั้งหนัง และละคร โดยเฉพาะนางเอกเป็นเจ้าแม่เมโลดราม่าเลยทีเดียว จะพลิกบทบาทมาเล่นโรแมนติคคอมมิดี้เต็มๆ ตัวเป็นครั้งแรกด้วย ก็อยากให้แฟนๆ ทุกคนเอาใจช่วยกันนะครับ”

          แน่นอนว่าทีมข่าวบันเทิงก็จะเอาใจช่วยและไม่รีรอที่จะเสนอความคืบหน้าของ “30+” อย่างแน่นอน และมาตามดูกันว่าซุปตาร์รายใดที่จะมารับบทคู่พระนางของหนังตลกโรแมนติคเรื่องที่สองของผู้กำกับสิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารักกัน

8565
ประวัติทีมผู้สร้าง
          จอห์น ลาสเซ็ทเตอร์ (ผู้กำกับ เรื่องราวดั้งเดิมโดย) เป็นผู้กำกับที่เคยได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดมาแล้วสองครั้งและทำการดูแลภาพยนตร์ทุกเรื่องรวมถึงโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ของพิกซาร์และดิสนีย์ ลาสเซ็ทเตอร์เปิดตัวผลงานการกำกับครั้งแรกในปี 1995 ด้วยเรื่อง “Toy Story” ภาพยนตร์คอมพิวเตอร์อนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรก นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “A Bug’s Life,” “Toy Story 2” และ “Cars”
          ผลงานการควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ของเขาได้แก่ “Monsters, Inc.,” “Finding Nemo,” “The Incredibles,” “Ratatouille,” “WALL•E,” “Bolt” และภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเมื่อปีที่แล้วเรื่อง “Up” ที่เป็นภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องแรกที่ได้รับเกียรติให้เป็นภาพยนตร์เปิดงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และได้รับสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมและดนตรีประกอบยอดเยี่ยมอีกด้วย นอกจากนี้ ลาสเซ็ทเตอร์ยังทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ดิสนีย์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง “The Princess and the Frog” และ “Tangled” รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมและเพลงประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมเรื่องล่าสุดของดิสนีย์และพิกซาร์ “Toy Story 3” ซึ่งสร้างขึ้นจากเรื่องราวโดยลาสเซ็ทเตอร์, แอนดรูว์ สแตนตันและลี อังค์ริช
          ลาสเซ็ทเตอร์ได้เขียนบท กำกับและสร้างอนิเมชันให้กับภาพยนตร์ขนาดสั้นช่วงเริ่มแรกหลายเรื่องให้กับพิกซาร์ ซึ่งรวมถึง “Luxo Jr.,” “Red’s Dream,” “Tin Toy” และ “Knickknack” “Luxo Jr.” เป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์อนิเมชันสามมิติเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเมื่อมันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นยอดเยี่ยมในปี 1986 ส่วน “Tin Toy” เป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์ อนิเมชันสามมิติเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเมื่อมันคว้ารางวัลในสาขาภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นยอดเยี่ยมในปี 1988 มาครองได้สำเร็จ นอกจากนี้ เขายังได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นทุกเรื่องของสตูดิโอนับตั้งแต่นั้นมา เช่น “Boundin’,” “One Man Band,” “Lifted,” “Presto,” “Partly Cloudy,” “Day & Night” และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Geri’s Game” (1997) และ “For the Birds” (2000)
          ภายใต้การดูแลของเขา ภาพยนตร์อนิเมชันและภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นของพิกซาร์ได้รับรางวัลเกียรติยศจากนักวิจารณ์และจากวงการภาพยนตร์มากมาย เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขาความสำเร็จพิเศษในปี 1995 จากความเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน “Toy Story” นอกจากนี้ เขาและทีมงานเขียนบทของ “Toy Story” ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขานี้อีกด้วย
          ในปี 2009 ลาสเซ็ทเตอร์ได้รับรางวัลเกียรติคุณแห่งชีวิตสิงโตทองคำจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 66 ในปีถัดมา เขากลายเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อนิเมชันคนแรกที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณเดวิด โอ. เซลส์นิคสาขาภาพยนตร์ จากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา รางวัลอื่นๆ ที่ลาสเซ็ทเตอร์ได้รับได้แก่รางวัลคุณูปการต่อภาพของภาพยนตร์จากสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์ในปี 2004, ปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน และรางวัล 2008 วินเซอร์ แม็คเคย์ อวอร์ดจากเอเอสไอเอฟเอ-ฮอลลีวูด สำหรับความสำเร็จและคุณูปการที่เขามีต่ออนิเมชัน
          ก่อนหน้าการก่อตั้งพิกซาร์ขึ้นในปี 1986 ลาสเซ็ทเตอร์เป็นสมาชิกแผนกคอมพิวเตอร์ในลูคัสฟิล์ม ลิมิเต็ด ที่ซึ่งเขาได้ออกแบบและสร้างอนิเมชันภาพยนตร์เรื่อง “The Adventures of Andre and Wally B” ซึ่งเป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์อนิเมชันสามมิติจากตัวละครเรื่องแรกและสร้างอนิเมชันของตัวละครอัศวินกระจกแก้วในภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์กในปี 1985 เรื่อง “Young Sherlock Holmes”
          ลาสเซ็ทเตอร์ได้เข้าศึกษาหลักสูตรอนิเมชันตัวละครที่แคลอาร์ต และได้รับปริญญาตรีสาขาภาพยนตร์จากที่นั่นในปี 1979 ระหว่างที่เขาศึกษาที่แคลอาร์ต ลาสเซ็ทเตอร์ได้รับสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดนักศึกษาสาขาอนิเมชันจากผลงานนักศึกษาเรื่อง “Lady and the Lamp” (1979) และ “Nitemare” (1980) ลาสเซ็ทเตอร์ได้รับรางวัลเป็นครั้งแรกเมื่ออายุห้าขวบ เมื่อเขาได้รับเงินรางวัล 15 เหรียญจากโมเดล โกรเซอรี มาร์เก็ตในวิทเทียร์, แคลิฟอร์เนีย จากภาพวาดระบายสีคนขี่ม้าไร้หัว

          แบรด ลูอิส (ผู้กำกับร่วม เรื่องราวดั้งเดิมโดย) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2001 ด้วยประสบการณ์ 20 ปีในจอเงิน ละครเวที จอแก้วและโฆษณา ลูอิสเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Ratatouille” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลผู้อำนวยการสร้างแห่งปีสำหรับภาพยนตร์อนิเมชันจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา
          ก่อนหน้าพิกซาร์ ลูอิสได้ทำงาน 13 ปีในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง ผู้ควบคุมงานสร้างและรองประธานบริหารฝ่ายงานสร้างที่แปซิฟิค ดาต้า อิเมจิส ซึ่งเป็นบริษัทลูกของดรีมเวิร์คส์ อนิเมชัน เอสเคจี เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง “ANTZ” และผลงานภาพยนตร์ส่วนหนึ่งของเขาได้แก่ “Forces of Nature,” “The Peacemaker” และ “Broken Arrow”
          ลูอิสได้อำนวยการสร้างรายการพิเศษทางโทรทัศน์หลายเรื่องเช่น “The Last Halloween” โดยฮันนา-บาร์เบรา ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมีและเอพิโซด 3D แรกของ “The Simpsons” เขาได้รับรางวัลเอ็มมีครั้งที่สองจากงานออกแบบกราฟฟิคที่ใช้ในรายการ “Monday Night Football” ทางเอบีซี ผลงานการสร้างโฆษณาที่โดดเด่นของลูอิสทำให้เขาได้รับรางวัลคลิโอสองครั้ง
          ลูอิสได้เข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรกจากการเป็นผู้ช่วยส่วนตัวใน “The Merv Griffin Show” และเขาก็ได้ขึ้นเวทีแสดงบทสัตว์ประหลาดเต้นระบำในละครเรื่อง “Sesame Street Live!” อีกด้วย
          ลูอิสสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาการละครจากมหาวิทยาลัยเฟรสโน และใช้ชีวิตอยู่ในซานคาร์ลอส, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยา ลูกชายและลูกสาว เขาได้ทำหน้าที่นายกเทศมนตรีของเมืองในปี 2008
          เดนิส รีม (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนตุลาคม ปี 2006 ในตำแหน่งผู้ช่วยอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Up” ในฐานะผู้ช่วยอำนวยการสร้าง เธอได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง เพื่อจัดการตารางทำงาน งบประมาณ และทีมงาน ปัจจุบัน รีมกำลังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Cars 2” ที่มีกำหนดจะเข้าฉายในวันที่ 24 มิถุนายน ปี 2011
          รีมได้รับแรงบันดาลใจที่จะทำงานในสายงานสร้างจากภาพยนตร์เรื่อง “Apocalypse Now,” “Lawrence of Arabia,” “Gone With the Wind” และ “The Wizard of Oz” ด้วยแรงกระตุ้นจากความสนใจในการสร้างและควบคุมฝ่ายโลจิสติกของงานสร้างภาพยนตร์อีพิคแบบนั้น รีมจึงเริ่มต้นการทำงานในลอสแองเจลิส ในตำแหน่งผู้ช่วยงานสร้างในภาพยนตร์ทุนต่ำ โฆษณา มิวสิค วิดีโอและภาพยนตร์ทุนหนา
          เธอเข้าสู่แวดวงงานสร้างภาพยนตร์ด้วยการทำงานในบอส ฟิล์ม สตูดิโอส์ บริษัทวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่สร้างขึ้นตามแบบอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ที่เชี่ยวชาญด้านเอฟเฟ็กต์ 65 ม.ม. เป็นพิเศษ รีมเริ่มต้นทำงานที่บอสเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อก่อนที่จะไปลงเอยที่งานผู้อำนวยการสร้างโฆษณา ระหว่างที่เธอทำงานที่บอสนั้นเองที่เธอได้ตกหลุมรักงานอนิเมชันและเอฟเฟ็กต์
          หลังจากทำงานที่บอสห้าปี รีมก็ได้ทำงานที่อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ที่ซึ่งเธอทำงานฝ่ายงานสร้างนาน 13 ปี เธอเริ่มต้นทำงานเป็นผู้อำนวยการสร้างในแผนกโฆษณาก่อนจะขยับไปจับงานภาพยนตร์อย่างรวดเร็ว ระหว่างที่เธอทำงานที่นั่น เธอได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์และอนิเมชันในภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Daylight,” “Eraser,” “Deep Impact,” “Amistad,” “The Adventures of Rocky and Bullwinkle,” “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone,” “Timeline” และ “Tears of the Sun” นอกจากนี้ เธอยังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์และอนิเมชันใน “Star Wars: Episode III—Revenge of the Sith” และใช้เวลาในปีสุดท้ายที่ไอแอลเอ็มไปกับการทำหน้าที่ผู้บริหารที่ดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Mission Impossible 3,” “Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest,” “Lady in the Water” และ “Transformers”
รีมเกิดและเติบโตในลอสแองเจลิส, แคลิฟอร์เนีย เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวรรณคดีอังกฤษจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, เบิร์คลีย์ ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในมิลล์ วัลลีย์, แคลิฟอร์เนีย

          เบน ควีน (บทภาพยนตร์โดย) เริ่มเขียนบทให้กับภาพยนตร์ช่วงซัมเมอร์ของดิสนีย์และพิกซาร์เรื่อง “Cars 2” ในปี 2008 “Cars 2” ที่สร้างขึ้นจากเรื่องราวโดยจอห์น ลาสเซ็ทเตอร์, แบรด ลูอิสและแดน โฟเกลแมน เป็นโปรเจ็กต์แรกที่ควีนได้ร่วมงานกับพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์
          ควีนเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Art of Cars 2” กับคาเรน เพ็ค โดยมีคำนิยมเขียนโดยจอห์น ลาสเซ็ทเตอร์ ผู้กำกับของเรื่อง
ควีนเป็นผู้สร้างและผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ทางฟ็อกซ์เรื่อง “Drive” และเขาก็ได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างที่คอยให้คำปรึกษาซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Century City” เขาได้พัฒนาตอนไพล็อตร่วมกับเอ็นบีซี, เอบีซีและฟ็อกซ์และได้เขียนบทภาพยนตร์ให้กับสตูดิโอหลายแห่ง รวมถึงวอร์เนอร์ บรอส., นิวไลน์, ดรีมเวิร์คส์และยูนิเวอร์แซล
          ควีนสำเร็จการศึกษาจากยูเอสซี สคูล ออฟ ซีเนมา-เทเลวิชันและปัจจุบัน ใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับครอบครัว

          ไมเคิล จิอัคคิโน (คอมโพสเซอร์) เริ่มต้นอาชีพในแวดวงภาพยนตร์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบในสวนหลังบ้านของเขา และท้ายที่สุด เขาก็ได้ไปเรียนการสร้างภาพยนตร์ที่สคูล ออฟ วิชวล อาร์ตส์ในนิวยอร์ก ซิตี้ หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็ได้ทำงานการตลาดที่ดิสนีย์และเริ่มศึกษาด้านการประพันธ์ดนตรีที่จูเลียร์ด ก่อนจะไปศึกษาต่อที่ยูซีแอลเอ จากการตลาด เขาก็ได้กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างในแผนกดิสนีย์ อินเตอร์แอ็คทีฟ ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ ที่ซึ่งเขาสามารถจ้างตัวเองให้แต่งดนตรีสำหรับวิดีโอเกมของพวกเขาได้ ผลงานของเขาได้รับความสนใจจากสตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้บอกว่า “ผมทำในสิ่งที่คนสติดีทุกคนจะทำ นั่นคือผมเลือกเขาให้มาแต่งดนตรีประกอบ ‘Medal of Honor’ และประวัติที่เหลือของจิอัคคิโน ก็เกิดขึ้นจากตัวเขาเอง”
          ผลงานของไมเคิลในการแต่งดนตรีประกอบวิดีโอเกมเป็นที่สนใจของเจเจ อับรามส์ ผู้ติดต่อเขาผ่านทางอีเมล์เพื่อคุยถึงความเป็นไปได้ในการแต่งดนตรีประกอบซีรีส์ “Alias” พวกเขาได้พบกัน เขาได้งานนี้ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เกิดขึ้น และนำไปสู่ผลงานของเขาในซีรีส์น่าทึ่งเรื่อง “Lost” ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมี
          เขาได้เปิดตัวในโลกการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เป็นครั้งแรกจาก “The Incredibles” หลังจากนั้น เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศหลายเรื่องเช่น “Sky High,” “The Family Stone,” “Mission: Impossible III,” “Ratatouille” และ “Star Trek” เมื่อปีที่แล้ว ดนตรีประกอบที่เขาแต่งให้กับภาพยนตร์ฮิตของดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Up” ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ หลังจากที่เขากวาดรางวัลจากเรื่องนี้มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลบาฟตา รางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดและสองรางวัลแกรมมี อวอร์ด
          จิอัคคิโนเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำงานใน “Super 8” โดยเจเจ อับรามส์ และผลงานต่อจากนี้ของเขาได้แก่ “Mission Impossible: Ghost Protocol” ที่กำกับโดยแบรด เบิร์ด และ “John Carter” ที่กำกับโดยแอนดรูว์ สแตนตัน
          เขาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเอ็ดดูเคชัน ธรู มิวสิค ลอสแองเจลิส

          นาธาน สแตนตัน (ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเรื่องราว) เริ่มต้นทำงานที่พิกซาณ์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนมิถุนายน ปี 1998 ในตำแหน่งนักวาดภาพเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องที่สองของพิกซาร์ “A Bug’s Life” และได้ทำงานกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จของสตูดิโอหลายเรื่องนับแต่นั้น สแตนตันได้มีส่วนร่วมในการเขียนสตอรีบอร์ดในภาพยนตร์เรื่อง “Toy Story 2,” “Monsters, Inc.,” และบรรดาภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดทั้งหลายได้แก่ “Finding Nemo,” “Ratatouille” และ “WALL•E”
ก่อนหน้าการทำงานใน “Cars 2” สแตนตันเป็นส่วนหนึ่งของทีมเรื่องราวสำหรับภาพยนตร์พิกซาร์ที่จะเข้าฉายในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 เรื่อง “Brave” ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการทำงานในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ขนาดสั้น
          ในแผนกเรื่องราว สแตนตันและทีมงานของเขาร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับและมือเขียนบทของเรื่อง (ซึ่งบ่อยครั้งเป็นคนๆ เดียวกัน) เพื่อสร้างตัวเรื่องราวขึ้นมา ทีมงานได้วาดภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาทีละฉากๆ ผ่านทางสตอรีบอร์ดและได้จัดการเรื่องของการแสดง การจัดฉาก การคอมโพส และการลำดับภาพเพื่อสร้างตัวภาพยนตร์ขึ้นมาก่อนที่มันจะเคลื่อนไหวได้ ฟิล์มภาพเรื่องราวที่ถูกสร้างนั้นก็จะถูกฉายให้ทีมอื่นๆ ที่พิกซาร์ได้ดู ก่อนจะมีการปรับปรุง แก้ไขเพื่อทำให้เรื่องราวแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
          สแตนตันก็เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่เติบโตขึ้นมากับการดูการ์ตูน ภาพยนตร์ ภาพยนตร์อนิเมชันและอ่านหนังสือการ์ตูน เขาเริ่มต้นวาดภาพตั้งแต่ยังเด็กและเมื่อเขาโตขึ้น เขาก็เริ่มรู้ตัวว่าเขาอยากจะทำงานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ สแตนตันก็เหมือนกับเพื่อนๆ พิกซาร์หลายคน ที่ยินดีกับการค้นพบเส้นทางในการทำให้ความฝันในการได้วาดภาพของตัวเองเป็นจริงที่สถาบันแคลอาร์ตส์
          สแตนตันย้ายไปซานฟรานซิสโกในปี 1992 และไม่นานเขาก็ได้รับตำแหน่งอนิเมเตอร์ผู้ช่วย 2D ใน The Nightmare Before Christmas” ที่สแคลลิงตัน โปรดักชันส์ หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานในโคลอสซัล พิคเจอร์ส ในโปรเจ็กต์อนิเมชัน 2D หลายเรื่อง หลังจากนั้น สแตนตันก็ได้กลับไปทำงานที่สแคลลิงตัน โปรดักชันส์อีกครั้งใน “James and the Giant Peach” หลังจากที่ได้ทำงานระยะสั้นที่ไวลด์ เบรน สตูดิโอส์ สแตนตันก็ได้ทำงานที่พิกซาร์
          สแตนตันเกิดและเติบโตในร็อคพอร์ต, แมสซาซูเซทส์ เขาสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีสาขาศิลปกรรม อนิเมชันตัวละครจากแคลอาร์ตส์ในปี 1992 ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในโอ๊คแลนด์, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยาและลูกๆ สองคนของเขา

          ฮาร์ลีย์ เจสซัพ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนพฤษภาคม ปี 1996 ในตำแหน่งผู้ออกแบบงานสร้างภาพยนตร์ปี 2001 เรื่อง “Monster’s Inc” เจสซัพยังคงทำหน้าที่นี้ในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Ratatouille” ในฐานะผู้ออกแบบงานสร้าง เจสซัพได้ควบคุมทีมนักวาดภาพ ผู้สร้างและออกแบบฉากและตัวละครสำหรับภาพยนตร์แต่ละเรื่อง
          เจสซัพเริ่มต้นการทำงานในแวดวงอนิเมชันด้วยการออกแบบ “The Adventures of Thelma Thumb” ให้กับ “Sesame Street” ซึ่งเป็นเหมือนแพลทฟอร์มการฝึกฝนผลงานของเขาในฐานะผู้ออกแบบงานสร้างใน “Twice Upon a Time” ภาพยนตร์อนิเมชันที่สร้างจากกระดาษ หลังจากนั้น เขาก็ไปทำงานที่ลูคัสฟิล์มในตำแหน่งผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันหลายเรื่องก่อนที่จะเข้าทำงานในอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค (ไอแอลเอ็ม) ในปี 1986 ระหว่างทำหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่ไอแอลเอ็ม เขาก็ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากผลงานของเขาใน “Innerspace” และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจาก “Hook” หลังจากทำหน้าที่ผู้กำกับฝ่ายครีเอทีฟในแผนกศิลปะที่ไอแอลเอ็มแล้ว เจสซัพก็ได้ทำหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างให้กับภาพยนตร์อนิเมชันของดิสนีย์เรื่อง “James and the Giant Peach” ก่อนที่เขาจะเข้าทำงานที่พิกซาร์
          ก่อนหน้าการออกแบบภาพยนตร์ เจสซัพเคยเขียนบทและวาดภาพประกอบหนังสือสำหรับเด็กสามเรื่องคือ “What’s Alice Up To?” (1997) และ “Grandma Summer” (2000) ที่ตีพิมพ์โดยไวกิ้ง ชิลเดรนส์ บุ๊คส์และ “Welcome to Monstropolis” (2001) ที่มีเค้าโครงจากภาพยนตร์พิกซาร์เรื่อง “Monsters, Inc.”
          เจสซัพเกิดในโอเรกอน เขาเติบโตขึ้นมาในย่านซาน วาควิน วัลลีย์และเบย์ แอเรียในแคลิฟอร์เนีย เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาศิลปกรรม ออกแบบกราฟฟิคจากมหาวิทยาลัยโอเรกอนในปี 1976 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการออกแบบจากสแตนฟอร์ดในปี 1978 ปัจจุบัน เจสซัพใช้ชีวิตอยู่ในมาริน เคาน์ตี้, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยาและลูกๆ

          ชารอน คาลาฮัน (ผู้กำกับภาพ ฝ่ายแสง) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในปี 1994 ในตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแสงในภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องแรกของสตูดิโอ “Toy Story” หลังจากนั้น เธอก็ได้ทำงานเป็นผู้กำกับภาพใน “A Bug's Life,” “Toy Story 2” และ “Finding Nemo” นอกจากนั้น เธอยังได้รับหน้าที่ผู้กำกับภาพในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Ratatouille” อีกด้วย
คาลาฮันรู้ตั้งแต่เธออายุสามขวบแล้วว่าเธออยากเป็นนักวาดภาพให้กับดิสนีย์ เธอได้ศึกษาด้านการออกแบบกราฟฟิค การวาดภาพประกอบและการถ่ายภาพ หลังจากสำเร็จการศึกษา เธอก็ทำงานเป็นผู้กำกับศิลป์ให้กับสถานีโทรทัศน์และงานผลิตวิดีโอ ก่อนหน้าทำงานที่พิกซาร์ เธอทำงานเป็นผู้กำกับฝ่ายแสงที่แปซิฟิค ดาตา อิเมจิส โดยเธอได้ทำงานโฆษณา ซีรีส์โทรทัศน์เรื่องยาวและบรรจุภัณฑ์ที่มีลวดลายกราฟฟิค
คาลาฮันได้นำเสนอพรีเซนเทชันและสอนคลาสต่างๆ ในเรื่องการให้แสงตัวละคร การให้แสงช็อต การให้แสงโดยรวมและการวาดภาพด้วยแสงและคอมโพซิชันโดยรวม ทั้งที่พิกซาร์และสถาบันอื่นๆ

          เจเรมี ลาสกี้ (ผู้กำกับภาพ ฝ่ายกล้อง) เริ่มต้นทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนสิงหาคม ปี 1997 ในฐานะนักวาดภาพเลย์เอาท์ใน “A Bug’s Life” หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานในแผนกเลย์เอาท์ใน “Toy Story 2” และ “Monsters, Inc.” ลาสกี้ได้ทำหน้าที่ผู้กำกับภาพในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง “Cars” และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Finding Nemo,” “WALL•E” และ “Toy Story 3”
          ลาสกี้เติบโตขึ้นในเซนต์หลุยส์, มิสซูรี เขาพบแรงบันดาลใจงานสร้างสรรค์ช่วงแรกๆ จากภาพยนตร์และรายการไซไฟเช่น “Battlestar Galactica” และ “Star Wars” เขาได้ค้นพบความรักในการสร้างภาพยนตร์และความสนใจในศาสตร์การถ่ายทำระหว่างที่ศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
          ลาสกี้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาศิลปกรรมศาสตร์จากโร้ด ไอส์แลนด์ สคูล ออฟ ดีไซน์และตอนนี้ที่เขารับหน้าที่ผู้กำกับภาพฝ่ายกล้อง เขาทำหน้าที่สร้างช็อตและซีเควนซ์ที่บอกเล่าเรื่องราว พร้อมๆ กับสนับสนุนด้านภาพและขับเน้นธีมในเรื่อง ลาสกี้และครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ในเบย์ แอเรีย

          เจย์ ชูสเตอร์ (ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละคร) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนกันยายน ปี 2002 ในตำแหน่งนักออกแบบคอนเซ็ปต์ในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง “Cars” ซึ่งเขาได้แปลงไอเดียของผู้กำกับจอห์น ลาสเซ็ทเตอร์ให้กลายเป็นตัวละครและสิ่งแวดล้อมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนั้น หลังจากนั้น ชูสเตอร์ก็ได้ทำงานเป็นนักออกแบบตัวละครให้กับภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “WALL•E”
          ชูสเตอร์เป็นลูกชายของนักออกแบบรถ ห้องนอนสมัยเด็กๆ ของชูสเตอร์ก็เลยเต็มไปด้วยแบบพิมพ์เขียว ภาพวาด โปสเตอร์ เครื่องยนต์และแบบโมเดลของทุกสิ่งที่เกี่ยวกับยานพาหนะเครื่องจักรกลแทบทุกแบบ อย่างไรก็ดี เขาได้มาคิดเชื่อมโยงระหว่างความชื่นชอบของเขาและอนาคตที่เป็นไปได้ในแวดวงภาพยนตร์ก็เมื่อเขาได้ดู “Star Wars” ภาคแรกนั้นเอง
          ก่อนหน้าที่จะทำงานในพิกซาร์ ชูสเตอร์เริ่มทำงานที่ลูคัสฟิล์ม ที่ซึ่งเขาทำงานเป็นนักวาดภาพคอนเซ็ปต์ ในตำแหน่งนี้ เขาได้ออกแบบยานพาหนะและสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายให้กับ “Star Wars: Episode I – The Phantom Menace” และ “Star Wars: Episode II – Attack of the Clones”
          ชูสเตอร์เกิดและเติบโตในเบอร์มิงแฮม, มิชิแกน เขาสำเร็จการศึกษาในปี 1993 จากหลักสูตรออกแบบอุตสาหกรรมที่คอลเลจ ฟอร์ ครีเอทีฟ สตัดดีส์ในดีทรอยท์ ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในเอล เซอร์ริโต, แคลิฟอร์เนีย ที่อยู่ตรงข้ามกับอ่าวจากซานฟรานซิสโก

          เจย์ วอร์ด (ผู้ดูแลแฟรนไชส์ “Cars”) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนธันวาคม ปี 1998 ในตำแหน่งผู้ช่วยงานสร้างในแผนกศิลป์ในภาพยนตร์ปี 2001 เรื่อง “Monsters, Inc.” ไม่นานหลังจากนัน เขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นผู้ประสานงาน และในปี 2001 เขาก็เริ่มต้นงานพัฒนาช่วงเริ่มแรกของภาพยนตร์ปี 2006 เรื่อง “Cars” ระหว่างการถ่ายทำ “Cars” ความรู้เรื่องรถยนต์ของเขาทำให้เขามีบทบาทอื่นๆ ในเรื่องด้วย ซึ่งรวมถึงผู้จัดการฝ่ายตัวละครและที่ปรึกษาของผู้กำกับและผู้กำกับร่วมของเรื่อง จอห์น ลาสเซ็ทเตอร์และโจ แรนท์ วอร์ดยังคงใช้ความกระตือรือร้นในเรื่องรถและความรักในงานศิลป์ไปกับการสร้างทุกสิ่งทุกอย่างภายในขอบเขตแฟรนไชส์ของ “Cars”
          ก่อนหน้าพิกซาร์ วอร์ดประจำการอยู่ในกองกำลังสำรองของนาวีสหรัฐ และเข้าศึกษาที่แคลอาร์ตส์ ก่อนจะสำเร็จการศึกษาสาขาศิลปกรรม วาดภาพประกอบในปี 1993 แบ็คกราวน์ด้านอาชีพที่หลากหลายของเขาได้แก่เด็กเสิร์ฟสมัยไฮสคูล คนส่งสัญญาในนาวีสหรัฐฯ ผู้เติมน้ำมันเครื่องบิน ผู้จัดการแผนกอะไหล่ฮาร์ลีย์ เดวิดสัน และนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์ ประสบการณ์ที่หลากหลายเหล่านี้ทำให้เขามีโอกาได้ใช้ประโยชน์จากทักษะด้านการรู้จักผู้คน การร่วมมือและความสร้างสรรค์ในการทำงานอย่างประสบความสำเร็จที่พิกซาร์
ปัจจุบัน วอร์ดใช้ชีวิตอยู่ในโอ๊คแลนด์, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยาและลูกสองคน

Pages: 1 ... 569 570 [571] 572 573