Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - wmt

Pages: 1 ... 122 123 [124] 125 126 ... 138
1846
ธ.ก.ส.โชว์ผลงานไตรมาส 3 พร้อมขยายสินเชื่อรูปแบบใหม่ให้กับอาชีพอิสระ
 
          ธ.ก.ส. เผยผลงาน 9 เดือน จ่ายสินเชื่อเพิ่มกว่า 5.6 หมื่นล้านบาท เล็งขยายฐานสินเชื่อสู่กลุ่มอาชีพอิสระ รองรับนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและลดช่องว่างการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน พร้อมมอบบัตรสินเชื่อเงินด่วนมูลค่า 50,000 บาทและกรมธรรม์ประกันชีวิตฟรีให้กับลูกค้าชั้นดีเป็นของขวัญปีใหม่

          นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ ธ.ก.ส. ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ( เมษายน-ธันวาคม 2553) ว่ามียอดสินเชื่อคงเหลือจำนวน 550,191 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปี (31 มีนาคม 2553) จำนวน45,307 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 8.97 โดยจำแนกเป็น สินเชื่อการเกษตรเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก พืชพลังงานทดแทนและปศุสัตว์ เป็นต้น จำนวน 366,293&n bsp; ล้านบาท สินเชื่อสนับสนุนการสร้างงานในชนบท จำนวน 117,671 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน จำนวน 35,116 ล้านบาท สินเชื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล จำนวน 3,180 ล้านบาท และสินเชื่ออื่น ๆ เช่น สินเชื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ ธนาคารชุมชน เป็นต้นอีกจำนวน 27,931 ล้านบาท

          ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มีลูกหนี้รอการชดใช้จากรัฐบาลอีก 141,945 ล้านบาท ดังนั้น ธ.ก.ส.ได้อำนวยสินเชื่อสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากรวมทั้งสิ้น 692,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปี 56,786 ล้านบาท ด้านเงินฝากมีจำนวน 677,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปี 34,927 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 จำนวนหนี้ที่ไม่ก่อเกิดรายได้อยู่ในอัตราร้อยละ 10.73 โดยมีกำไรสุทธิ 4,670 ล้านบาท จำนวนสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 839,009 ล้านบาท

          สำหรับการดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา ธ.ก.ส.ได้มีการขยายฐานสินเชื่อไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ กลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กรด้านสถาบันและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายด้านการผลิต การตลาดให้กับเกษตรกรอย่างครบวงจร โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม ได้มีการอนุมัติสินเชื่อในกลุ่มนี้ไปถึง 3,416 ล้านบาท เช่น สินเชื่อเพื่อนำไปจัดซื้อและ รวบรวมผลผลิตของชุมนุมสวนปาล์มกระบี่ สินเชื่อเพื่อจัดซื้อเครื่องจักรและเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมผลผลิตของบริษัท ผลไม้กระป๋องประจวบ จำกัด สินเชื่อเพื่อนำไปรวบรวมผลผลิตให้กับสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. เป็นต้น

          ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวต่อไปว่า ธ.ก.ส.ได้เตรียมแผนที่จะขยายฐานการให้บริการสินเชื่อใหม่ ๆ เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการทางการเงินในระบบและช่วยลดปัญหาการกู้หนี้นอกระบบตามนโยบายรัฐบาล ทั้งนี้เพื่อช่วยสร้างงาน สร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับทุกกลุ่มอาชีพทั้งในเมืองและชนบท ตัวอย่างเช่น มอเตอร์ไซด์รับจ้าง คนขับแทกซี่&nb sp; โดยสนับสนุนให้คนในกลุ่มอาชีพดังกล่าวมีการรวมตัวในรูปของวิสาหกิจชุมชนหรือในรูปของสหกรณ์ มีการอบรมให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ก่อนจะให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่านไปยังกลุ่ม และกลุ่มนำไปกระจายต่อยังสมาชิก เช่น ธ.ก.ส. คิดดอกเบี้ยจากกลุ่มร้อยละ 4.75 ต่อปี กลุ่มนำไปปล่อยกู้ต่อไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ในลักษณะต้นลดดอกเบี้ยลด ส่วนต่างดอกเบี้ยที่เหลือทางกลุ่มสามารถนำไปสร้างแรงจูงใจ เช่น ชำระหนี้ตรงเวลาจะคืนดอกเบี้ยให้ 1% หรือจัดทำประกันชีวิต ให้ฟรีในช่วงที่กู้ยืม นอกจากนี้ยังสามารถนำมาจัดทำเป็นสวัสดิการที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิกภายในกลุ่ม เช่น ทุนการศึกษา การรักษาพยาบาล เป็นต้น แนวทางดังกล่าวเป็นการสนับสนุนให้คนในกลุ่มอาชีพอิสระมีการดูแลซึ่งกันและกัน ทำให้โครงสร้างทางสังคมและการประกอบอาชีพอิสระมีความเข็มแข็งเพิ่มมากขึ้น

          ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ธ.ก.ส.ได้ออกบัตรสินเชื่อเงินด่วนให้กับลูกค้าที่มีประวัติการชำระหนี้ดีติดต่อกัน 2 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินในวงเงินรายละ 50,000 บาท พร้อมกับเปิดให้บริการสินเชื่อสำหรับนำไปเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% ใน 3 เดือนแรก เดือนที่ 4 ถึงปีที่ 3 คิดในอัตรา MRR-2 หรือ 4.75 % ต่อปี ปีที่4 –5 คิดอัตรา MRR-1หรือ 5.75% ต่อปี และปีที่ 6 ขึ้นไปดอกเบี้ย MRR หรือ 6.75% ต่อปี นอกจากนี้ยังจะมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตฟรีให้กับลูกค้าชั้นดีดังกล่าวจำนวนกว่า 2,900,000 ราย ตามวงเงินที่กู้แต่ไม่เกินรายละ 100,000 บาท

1847
เอ็มเอฟซีนำกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ M-WHA เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก
 
          บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ตอบโจทย์นักลงทุน เสนอกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ M-WHA โดยซื้อกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ (Freehold) ในคลังสินค้าและโรงงานมาตรฐานพรีเมี่ยมที่มีผู้เช่าเป็นผู้ผลิตสินค้าระดับโลก ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม ปิดจองซื้อเต็มมูลค่าโครงการ 1,283 ล้านบาท พร้อมนำหน่วยลงทุน M-WHA เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรก เพิ่มสภาพคล่องให้นักลงทุน 24 ธันวาคมนี้

          ดร.ศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเสนอขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี-ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ หรือ M-WHA ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากทั้ง นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย โดยทรัพย์สินที่เข้าลงทุนคือคลังสินค้าและโรงงานเป็นทรัพย์สินระดับพรีเมี่ยม ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อ M-WHA ว่าจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเริ่มซื้อขายวันที่ 24 ธันวาคม 2553 เป็นวันแรก และใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “M-WHA” ซึ่งเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองท้ายสุดที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้

          กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ M-WHA ได้เข้าลงทุนในทรัพย์สินโดยซื้อกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ (Freehold) ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทคลังสินค้า 2 หลังในจังหวัดชลบุรี และโรงงานผลิตชิ้นส่วนอากาศยานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง มูลค่าโครงการรวม 1,283 ล้านบาท โดยมีผู้บริหารทรัพย์สินคือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นมืออาชีพในการให้บริการและสร้างคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าและโรงงานผลิตขนาดใหญ่ คุณภาพระดับพรีเมี่ยม ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) โดยปัจจุบันบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีโครงการที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 9 โครงการ รวมพื้นที่กว่า 260,000 ตารางเมตร โดยมีประสบการณ์ในธุรกิจดังกล่าวมากว่า 20 ปี กองทุนจึงมีความเชื่อมั่นต่อผู้บริหารทรัพย์สินว่าจะสามารถให้บริการแก่ผู้เช่าทรัพย์สินของกองทุนได้อย่างดีเยี่ยม

          นอกจากนี้ ดร. ศุภกรกล่าวว่า จุดสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งที่ทำให้ M-WHA ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อย คือ ความมีคุณภาพของทรัพย์สินและความแข็งแกร่งของผู้เช่าที่เช่าทรัพย์สินของกองทุนที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โดยมีผู้เช่ารายใหญ่ 2 ราย คือ บริษัทคาโอ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีชื่อเสียงด้านสินค้าอุปโภคที่รู้จักกันดี โดยการเช่าอาคารคลังสินค้าของกองทุน ช่วยในการบริหารต้นทุนการขนส่งและการบริหารจัดการของผู้เช่ามีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากอยู่ใกล้โรงงานผลิตสินค้าของบริษัทคาโอ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด ในขณะที่บริษัทไพรมัส อินเตอร์เนชั่นแนล กรุงเทพฯ จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนอากาศยานที่ใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน รายใหญ่ของอเมริกา ที่มีเชี่ยวชาญเทคโนโลยีการผลิตคุณภาพสูง โดยมีกลุ่มลูกค้าสำคัญ เช่น ผู้ผลิตและประกอบเครื่องบินโบอิ้งของ อเมริกา ผู้ผลิตและประกอบเครื่องบินแอร์บัสของเยอรมัน เป็นต้น โดยการเข้าลงทุนเพื่อขยายฐานการผลิตในประเทศไทยสามารถลดต้นทุนในบริหารจัดการด้านการขนส่งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตในประเทศและจากประเทศใกล้เคียง รวมถึงการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการที่โรงงานของกองทุนอยู่ในเขต Free zone ทำให้ผู้เช่าตกลงทำสัญญาเช่าแบบระยะยาว เป็นผลให้กองทุน M-WHA ได้รับรายได้ที่มั่นคงและแน่นอนได้ในระยะยาวเช่นกัน นอกจากนี้ กองทุน M-WHA ยังได้รับเงินประกันการเช่าจากผู้เช่าทั้งสองรายเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเลิกสัญญาก่อนกำหนด รวมมูลค่าประมาณ 74 ล้านบาทอีกด้วย

          ทั้งนี้ กองทุน M-WHA ประสบความสำเร็จจากความร่วมมือกันระหว่าง บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในฐานะผู้บริหารทรัพย์สิน และ บล.เคที ซีมิโก้ ในฐานะผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน ทำให้กองทุน M-WHA สามารถจัดตั้งและเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,283 ล้านบาท ได้อย่างรวดเร็ว

          ดร. ศุภกรกล่าวเพิ่มเติมว่า เอ็มเอฟซี มีความสนใจตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในคลังสินค้าและโรงงานเนื่องจากในปัจจุบันความต้องการใช้คลังสินค้าอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยบริษัทต่างชาติที่เข้าลงทุนในประเทศไทยเพื่อเป็นฐานการผลิตและการลงทุนที่สำคัญในระดับภูมิภาคเอเชีย ซึ่งคลังสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารระบบลอจิสติกส์สำหรับผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าทุกราย โดยเฉพาะคลังสินค้าที่มีทำเลที่ดีเหมาะแก่การขนส่งสินค้าและรูปแบบอาคารที่สนับสนุนต่อการบริหารจัดการภายในได้เหมาะสม ตรงตามความต้องการของผู้เช่าโดยเฉพาะ (Built to Suit) รวมถึงการสนับสนุนจากภาคการลงทุนในประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับโรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ Free zone ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี จึงเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนโดยการขยายการลงทุนเพิ่มเติมของกองทุน M-WHA ได้ในอนาคต

          ปัจจุบัน เอ็มเอฟซีมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้น 5 กองทุนได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นิชดาธานี กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นิชดาธานี 2 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี-สแตรทิจิกสโตรเรจฟันด์ และกองทุน M-WHA รวมมูลค่าโครงการรวมกว่า 5,350 ล้านบาท โดยทุกกองทุนเป็นการลงทุนแบบซื้อกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ (Freehold) ซึ่งมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณร้อยละ 7 ถึง 8.5 ซึ่งใกล้เคียงกับผลตอบโดยเฉลี่ยของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดปัจจุบัน

          การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต

          ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
          บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) คุณสุทรรศิกา คูรัตน์, คุณสุวรรณา ชีวนันทชัย โทร.0-2649-2230, 0-2649-2232
โทร. 02 204 8221

1848
ดีแทคเดินหน้าเปิดทดลองบริการ 3G ครบ 1,220 สถานี หลังได้ไฟเขียว จาก บอร์ด กสท.
 
          บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับการอนุมัติจากบอร์ดของบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้ปรับปรุงโครงข่ายเดิมโดยใช้เทคโนโลยี High Speed Data Packet Access (HSPA) เพื่อทดลองให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิร์ตซ แบบไม่เชิงพาณิชย์ จำนวน 1,220 สถานีฐาน จากปัจจุบันที่ทดลองให้บริการเพียง 36 สถานีฐาน

          นายทอเร่ จอห์นเซ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ดีแทคยินดีที่ได้รับการอนุมัติจาก กสท. โทรคมนาคม หลังจากที่รอมาเป็นเวลานาน และการอนุมัติครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ดีแทคได้ให้บริการ 3G แก่ผู้ใช้บริการได้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

          ดีแทคเชื่อมั่นว่าการอนุมัติดังกล่าวเป็นเครื่องตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะทำให้บริการ 3G เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยในทันทีโดยใช้คลื่นความถี่เดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่กำลังรอการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งจะเป็นผู้รับผิดชอบการประมูลใบอนุญาตให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1GHz ต่อไป เป้าหมายหลักของดีแทคคือการให้บริการ 3G แบบเชิงพาณิชย์ และบริษัทฯ มั่นใจว่ารัฐบาลจะดำเนินการให้การให้บริการเชิงพาณิชย์เป็นจริงได้ในไม่ช้านี้ รวมทั้งเชื่อมั่นว่า กสทช. จะได้กำหนดระเบียบหรือกฎเกณฑ์ที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการให้บริการดังกล่าวต่อไป.
 
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (ดีแทค)
วรรษิษฐ์ ไสยวรรณ (WansitS@dtac.co.th

1849
โรส มีเดีย ชวนดูภาพยนตร์รักโรแมนติก “สะบายดี2 ไม่มีคำตอบจาก..ปากเซ” รูปแบบ VCD และ DVD


 
          ใครที่ประทับใจกับภาพยนตร์รักข้ามประเทศที่แสนโรแมนติกท่ามกลางทิวทัศน์อันสวยงาม “สะบายดี2 ไม่มีคำตอบจาก..ปากเซ” ซึ่งนำแสดงโดย เร แม๊คโดแนลด์ และคำลี่ พิลาวง ค่ายโรส มีเดีย ได้เก็บความประทับใจไว้ให้คุณแล้ว ในรูปแบบ VCD และ DVD วันนี้ ที่ร้านจำหน่ายทั่วประเทศ  

1850
นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยชื่นชมตำรวจตรวจเข้มละเมิดลิขสิทธิ์

ในความเห็นของตัวแทนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ผู้ที่ต่อต้านการตรวจค้นละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ คือผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

                กรุงเทพฯ วันที่ 24 ธันวาคม พ. ศ. 2553 – ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก. ปอศ.) เพื่อลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในประเทศไทย 

                นับตั้งแต่การประกาศกวาดล้างซอฟต์แวร์เถื่อนทั่วประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นมา   เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ดำเนินการเข้าตรวจค้นองค์กรธุรกิจ ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ รวมถึงบริษัทธุรกิจอาหารทะเลที่มีสำนักงานตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ซึ่งต้องสงสัยว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์จำนวน 325 เครื่อง และจัดเป็นหนึ่งในการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์รายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในปีนี้

                ในการดำเนินงานที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจมักเผชิญกับการต่อต้านเมื่อพยายามบังคับใช้กฏหมายลิขสิทธิ์ นาย สมพร มณีรัตนะกูล ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยซอฟท์แวร์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด   มองว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีบทบาทสำคัญยิ่งในความพยายามพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของไทย และกล่าวว่าเสียงต่อต้านการตรวจค้นหรือการกำหนดให้ปรับเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องนั้น ล้วนเป็นเสียงของผู้ที่ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน

                “เราต้องร่วมกันทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยปรับเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์แท้ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างงานคุณภาพ” นางสาว วารุณี รัชตพัฒนากุล ที่ปรึกษากลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ หรือ       บีเอสเอ กล่าว “หากธุรกิจหรือองค์กรใดไม่ต้องการเป็นกังวลว่าจะถูกตรวจค้นก็ต้องให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์แท้ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฏหมาย”

                “องค์กรธุรกิจซึ่งใช้แต่ซอฟต์แวร์แท้ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง จะปลอดภัยจากการถูกตรวจค้นและจับกุมอย่างแน่นอน” นายสมพรกล่าว “บริษัทต่างๆ ที่บ่นเรื่องการตรวจค้น ควรหันไปเร่งตรวจสอบให้แน่ใจว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องครบถ้วนแทนจะเป็นประโยชน์กว่า”

                กลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ย้ำว่า การลดการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์เป็นเสาหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และความพยายามลดการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สมควรได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนเป็นอย่างยิ่ง

                “ความพยายามให้ภาคธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมายลิขสิทธิ์ของประเทศ อาจไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม แต่การลดการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย” นายสมพรกล่าวว่า “ความพยายามของตำรวจในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์เพราะตระหนักว่าความคิดของตนจะได้รับความคุ้มครอง และจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนของตนอย่างแน่นอน เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก. ปอศ. กำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วสำหรับประเทศไทย”

                เมื่อก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2541 บริษัท ไทยซอฟท์แวร์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ได้พัฒนาและผลิตซอฟต์แวร์พจนานุกรมไทยขึ้นมา ถึงวันนี้ บริษัทมีทีมงานโปรแกรมเมอร์และผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทฯ กล่าวว่าความสามารถในการสร้างงานเพิ่มนั้นถูกจำกัดจากการที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ    ถูกละเมิดลิขสิทธิ์

                “เราได้เห็นรายงานในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า โดยเฉลี่ยแล้วองค์กรธุรกิจที่ถูกตรวจค้นในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์มีสินทรัพย์หลายพันล้านบาท และมีรายได้ต่อปีหลายร้อยล้านบาท” นายสมพร กล่าว “องค์กรธุรกิจเหล่านี้สามารถซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ได้ แต่กลับใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนเพียงเพราะคิดว่าคงรอดตัวไปได้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถบังคับใช้กฎหมายกับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ได้”

                แต่การดำเนินงานเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาด้านซอฟต์แวร์ของตำรวจ ที่ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งนี้กลับได้รับแรงกดดันจากภายนอก ทั้งจากภาคเอกชนและหน่วยงานอื่นๆ ที่ร้องเรียนเรื่องการได้รับโทรศัพท์แจ้งเตือนให้ปรับเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์แท้ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง หรือไม่ก็พยายามร้องขอความคุ้มครองจากการเข้าตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

                อย่างไรก็ตาม นายสมพร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจควรได้การสนับสนุนให้ดำเนินการบังคับใช้กฏหมายได้อย่างเต็มที่

                “ผู้บริหารขององค์กรธุรกิจหลายแห่งทำในสิ่งที่ถูกต้องและถูกกฎหมาย โดยการปรับเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์แท้ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง แต่ผู้บริหารบางรายที่ยังละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์อยู่ กลับร้องว่าพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมเมื่อถูกตรวจค้น” นางสาว วารุณี กล่าว “การละเมิดลิขสิทธิ์นั้น ไม่ต่างอะไรจากความผิดฐานลักทรัพย์ ดังนั้นจึงไม่ควรมีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น”

                “ความพยายามของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมนั้น มีรากฐานอยู่บนความเคารพในกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา” นายสมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความพยายามใดๆ ของภาคเอกชนเพื่อขอการคุ้มครองจากการตรวจค้นของตำรวจ เป็นการบั่นทอนความสามารถในการสร้างงานคุณภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจอันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ใช่ต่อองค์กรธุรกิจรายใดรายหนึ่ง”

                “องค์กรธุรกิจทุกแห่งควรเคารพกฎหมายไทย” นายสมพร กล่าว “ตำรวจต้องเผชิญกับงานยากในการลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในประเทศไทย ชุมชนธุรกิจไทยควรให้ความร่วมมือเพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย”

                เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ เปิดเผยข้อมูลเผยแพร่ต่อสาธารณะเกี่ยวกับการเข้าตรวจค้นองค์กรธุรกิจที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าองค์กรธุรกิจต่างๆ ที่มีความแข็งแกร่งด้านการเงินกลับใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์กันอย่างกว้างขวางในการดำเนินธุรกิจ จากการวิเคราะห์พบว่า การลงทุนในซอฟแวร์แท้ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.63 ของรายได้ประจำปีขององค์กรธุรกิจเหล่านี้

                อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์บนพีซีในประเทศไทยคือร้อยละ 75 และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจซอฟต์แวร์มองว่า เป็นผลมาจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ   บก. ปอศ. และการที่ประชาชนในสังคมไทยตระหนักรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของการลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์มากขึ้น

                ซอฟต์แวร์เพื่อการดำเนินธุรกิจได้รับการออกแบบมาให้ช่วยเพิ่มผลกำไร ลดค่าใช้จ่าย และเสริมประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กรธุรกิจต่างๆ ตั้งแต่ยุคต้นๆ ที่มีการนำมาใช้งาน ซอฟแวร์ได้สร้างผลกำไรมหาศาลให้กับธุรกิจในประเทศไทยและทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ CAD – CAM ซอฟต์แวร์บริหารโครงการ ซอฟท์แวร์ห่วงโซ่อุปทาน ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยของข้อมูล หรือโปรแกรมประมวลผลคำแบบง่าย ซอฟต์แวร์มีบทบาทอย่างมากในกระบวนการผลิตและการดำเนินงานในสำนักงานและธุรกิจต่างๆ อย่างกว้างขวาง

                “ซอฟต์แวร์ให้ประโยชน์มากมายแก่ชุมชนธุรกิจ” นางสาววารุณี กล่าว “ผู้ประกอบการเช่นคุณสมพร และพนักงานของบริษัท ไทยซอฟท์แวร์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และใช้เวลาหลายพันชั่วโมงในการเขียนโปรแกรมและทำตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ สมควรได้รับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนที่จะปฏิบัติตามกฎหมายและเคารพทรัพย์สินทางปัญญาและซอฟต์แวร์ในประเทศไทย”

1851
สุขภาพดีรับปีใหม่ ยูเนียนฟูดอินดัสตรีชวนช้อปน้ำมันงาสุดพิเศษ
 
          บริษัท ยูเนียนฟูดอินดัสตรี จำกัด ชวนช้อปน้ำมันงาจีนคุณภาพในราคาประหยัด พบกับเทศกาลลดราคาพิเศษส่งท้ายปี น้ำมันงาตรามังกรคู่ ขนาด 3,000 ซีซี. ราคาเพียง 470 บาท จากปกติ 506 บาท และขนาด 630 ซีซี. ลดเหลือเพียง 111 บาท มาพร้อมของสมนาคุณตำราอาหารรวมเมนูเด็ดเคล็ดไม่ลับเพื่อสุขภาพที่ดีรับปีใหม่ฟรีทุกขวด ตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 28 ธ.ค. 2553 ที่ห้างสรรพสินค้าแม็คโคร ทุกสาขาทั่วประเทศ สอบถามเพิ่มเติมโทร 02-4200088, 02-4202163 หรือทาง www.unionfood.com

 
 

1852
TWZ ลุยต่างประเทศเต็มตัว ดันรายได้ปี 54 พุ่ง 4.5 พันลบ. 20 ตุลาคม 2553

          ทีดับบลิวแซด รุกลงทุนต่างประเทศ ตั้งบริษัทย่อยที่ฮ่องกง TWZ international Limited ส่งสินค้าไปจำหน่ายยังแถบเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม อินเดีย เริ่มภายในเดือนธันวาคมนี้ ตั้งเป้ากวาดรายได้ 180-200 ล้านบาท ในปี’54 ช่วยดันรายได้ปี’54 เพิ่มเป็น 4,500 ล้านบาท

          นายพุทธชาติ รังคสิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ TWZ เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) ของ บริษัทฯ ได้มีการประชุมพร้อมกับอนุมัติแผนการไปลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการให้จัดตั้งบริษัทย่อยในฮ่องกง โดย TWZ ถือหุ้น 100% และใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง

          สำหรับบริษัทย่อยที่ฮ่องกงดังกล่าว คือ TWZ international Limited จะจัดจำหน่ายสินค้าในรูปแบบ Original Equipment Manufacturer (OEM) และ Original Design Manufacturing (ODM) พร้อมกับการจัดตั้ง สำนักงานตัวแทน TWZ Corporation (เซิ่นเจิ้น) ที่จะเป็นศูนย์อำนวยการของ TWZ ที่ประเทศจีน

          ทั้งนี้ TWZ international Limited ผู้จัดจำหน่าย โดยจะการกระจายสินค้าไปยังประเทศแถบเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม บังกลาเทศ อินเดีย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ TWZ ตั้งเป้าหมายจะส่งสินค้าเข้าไปจำหน่าย เพราะมีความต้องการสูง

“เราต้องการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศอย่างเต็มตัว โดยสำนักงานตัวแทน TWZ Corporation (เซินเจิ้น) จะคอยควบคุมการบริหาร คุณภาพสินค้า ซึ่งเชื่อมั่นว่ากลุ่มประเทศที่เราส่งสินค้าไปจำหน่ายจะได้ผลตอบรับที่ดีเพราะสภาพตลาดไม่แตกต่างจากบ้านเรามากนัก นอกจากนี้อุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือก็มีอัตราการขยายตัวค่อนข้างสูง ประกอบกับ TWZ เองก็ได้ทำการพัฒนาเทคโนโลยีตัวสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดอยู่ตลอดเวลา”

          บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้เร็วสุดในเดือนธันวาคมนี้ หรืออย่างช้าก็จะอยู่ประมาณในไตรมาส 1 ปี 2554 ส่วนรายได้จากการลงทุนนั้น ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีจำนวน 180 - 200 ล้านบาทหรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 5-10% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทฯ ในปี 2554 ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ระหว่าง 4,200-4,500 ล้านบาท

          การขยายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศ จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยทำให้รายได้และกำไรของบริษัทในปีหน้าเติบโตขึ้นจากปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ ยังมั่นใจว่าจะสามารถมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้จำนวน 4,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นมาประมาณ 10% จากปี 2552 โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายทุกปีจะเป็นช่วงฤดูกาลขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะลุกค้าในเขตต่างจังหวัดจะมีกำลังซื้อมากขึ้นตามราคาสินค้าเกษตร ส่วนลูกค้าในเขตกรุงเทพจะมีเทศกาลปีใหม่ ที่จะมีการแจกของขวัญต่างๆ

          “ปีนี้ตลาดมือถือน่าจะโตได้ 10% แต่เราน่าจะโตได้มากกว่านั้นจากการขยายตลาดด้วยตัวเอง โดยจะขายมือถือได้ 1.2-1.5 ล้านเครื่อง”นายพุทธชาติ กล่าว

1853
รีเสิร์ช อิน โมชั่น แถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน ปีนี้
 
          รีเสิร์ช อิน โมชั่น หรือ ริม (Research In Motion – RIM) (NASDAQ: RIMM; TSX: RIM) ผู้นำด้านตลาดการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือทั่วโลก รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 (ก.ย. – พ.ย. 2553) สิ้นสุดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2553 (ตัวเลขที่ระบุเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และ U.S. GAAP)

          ตัวเลขสำคัญ:
          จำนวนสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี่ที่จัดจำหน่ายในไตรมาสนี้ คิดเป็น 14.2 ล้านเครื่อง เติบโตขึ้น 40% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน
          รายได้เติบโตขึ้น 40% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน หรือคิดเป็นมูลค่ารายได้ 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
          มีกำไรต่อหุ้นในไตรมาสนี้ คิดเป็น 1.74 เหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน
          มูลค่าเงินสดเพิ่มขึ้นอีก 446 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมมูลค่าเงินสดเมื่อสิ้นสุดไตรมาสนี้ คิดเป็น 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

          ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 (เดือน ก.ย. – พ.ย. 2553)
          รายได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2554 คิดเป็น 5.49 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 19% จาก ไตรมาสก่อนที่มีรายได้ประมาณ 4.62 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 3.92 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยรายได้ดังกล่าวมาจากการจำหน่ายเครื่องแบล็กเบอร์รี่ 82% มาจากการให้บริการ 15% จากซอฟท์แวร์และรายได้อื่นๆ 3% ทั้งนี้ในระหว่างไตรมาสนี้ ริมได้จัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี่ประมาณ 14.2 ล้านเครื่อง

          สำหรับไตรมาสที่ 3 นี้ มียอดผู้สมัครใช้บริการแบล็กเบอร์รี่รายใหม่เพิ่มถึง 5.1 ล้านราย ทำให้ในช่วงปลายไตรมาส ยอดจำนวนผู้สมัครใช้บริการแบล็กเบอร์รี่ทั่วโลกทั้งหมดอยู่ที่ 55 ล้านราย

          มร. จิม บัลซิลลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งกับความสำเร็จของผลประกอบการในไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของยอดจำหน่ายเครื่องแบล็กเบอร์รี่ จำนวนยอดผู้สมัครที่ลงทะเบียนใช้บริการแบล็กเบอร์รี่ และผลกำไรที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจของริมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยความหลากหลายของการพัฒนาแบล็กเบอร์รี่ ซึ่งเป็นตัวเร่งกระตุ้นตลาดทั่วโลก ทั้งนี้ ด้วยผลประกอบการที่ยอดเยี่ยม และการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนกระแสตอบรับจากคู่ค้าและกลุ่มลูกค้า เกี่ยวกับแผนการเปิดตัวสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ซอฟต์แวร์ รวมถึงการนำเสนอบริการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า จึงทำให้เราตั้งเป้าหมายความสำเร็จไว้อย่างต่อเนื่อง”

          รายได้สุทธิของบริษัทในไตรมาสนี้คิดเป็น 911.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.74 เหรียญสหรัฐฯ เปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้วซึ่งมีรายได้สุทธิ 796.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.46 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มีรายได้สุทธิ 628.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.10 เหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ มีจำนวนเงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด การลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน คิดเป็นมูลค่า 2.47 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 446 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีมูลค่า 2.03 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทางด้านกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 มีมูลค่าประมาณ 975 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การใช้จ่ายเงินสดดังกล่าวครอบคลุมทั้งรายจ่ายที่เป็นการลงทุนประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การเรียกซื้อคืนหุ้นสามัญ ประมาณ 133 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการซื้อสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ มูลค่าประมาณ 45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

คาดการณ์ตัวเลขในไตรมาสที่ 4 (เดือน ธ.ค. 2553 – ก.พ. 2554)
          คาดการณ์ตัวเลขรายได้ในไตรมาสที่ 4 ประจำปีงบประมาณ 2554 จะอยู่ระหว่าง 5.5-5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และกำไรในไตรมาสที่ 4 จะอยู่ในสัดส่วนใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 3 รวมถึงกำไรสุทธิต่อหุ้นซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าประมาณ 1.74-1.80 เหรียญสหรัฐฯ
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับคณะกรรมการบริหารของริม

          ริม ประกาศในวันนี้ว่า คณะกรรมการบริหารได้แต่งตั้ง มร. จิม บัลซิลลี และ มร. ไมค์ ลาซาริดิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ให้เป็นประธานคณะกรรมการบริหารร่วม ทั้งนี้ มร. จอห์น ริชาร์ดสัน ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการอิสระของริม และยังคงทำหน้าที่ในฐานะคณะกรรมการบริหารอิสระ โดยเชื่อมั่นว่าการแต่งตั้งดังกล่าวควบคู่กับการทำงานของ มร. ริชาร์ดสัน จะทำให้โครงสร้างผู้บริหารของริมมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ริมยังได้ประกาศเรื่องการลาออกของ มร. จิม เอสทิล ในตำแหน่งผู้อำนวยการของริม และได้กล่าวขอบคุณ มร. เอสทิล ที่ทุ่มเทการทำงานให้กับคณะกรรมการบริหารมาตลอด 13 ปี

1854
ทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น เลือกติดตั้งโซลูชั่นพุชอีเมล EMOZE บนโทรศัพท์มือถือ
 
          - EMOZE เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบพุชอีเมล (Push Email) บนโทรศัพท์มือถือของทีซีแอล (TCL) และอัลคาเทล (Alcatel) ได้อย่างแท้จริง

          บริษัท EMOZE Ltd. ประกาศข้อตกลงเชิงกลยุทธ์ระดับโลกกับบริษัททีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น เทคโนโลยี โฮลดิ้งส์ จำกัด (TCL Communication Technology Holdings Ltd.) เพื่อติดตั้งโซลูชั่นพุชอีเมล EMOZE บนโทรศัพท์มือถือแบรนด์ทีซีแอลและอัลคาเทล โดย ทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น ได้สั่งซื้อโซลูชั่นพุชอีเมล EMOZE จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงครั้งนี้
          ทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น หนึ่งในผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือชั้นนำระดับโลก นำเสนอโซลูชั่นโทรศัพท์มือถือในรูปแบบต่างๆ ให้กับผู้ใช้งานและผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีวางจำหน่ายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก
          โซลูชั่นพุชอีเมล EMOZE ทำงานอยู่บนพื้นฐานเทคโนโลยีที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ EMOZE ซึ่งมีประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลตามการใช้งานจริง รวมถึงลดความแออัดในการส่งผ่านข้อมูลและลดการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ของโทรศัพท์มือถือทุกรุ่น (โทรศัพท์มือถือทั่วไปและสมาร์ทโฟน) ความร่วมมือครั้งใหม่นี้จะช่วยให้ลูกค้าของทีซีแอลที่มีอยู่หลายล้านรายทั่วโลกสัมผัสกับประสบการณ์การใช้ระบบพุชอีเมลได้อย่างแท้จริง
          ดร.จอร์จ กัว (Dr. George Guo) ซีอีโอของทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้นำโซลูชั่น EMOZE มาติดตั้งไว้ในโทรศัพท์มือถือของเรา และเชื่อว่าการร่วมมือกันครั้งนี้จะนำมาซึ่งบริการที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแน่นอน ซึ่งจะสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ของทีซีแอลและทำให้ลูกค้าเดิมติดใจในแบรนด์ของเรา…”
          โมเช เลวี (Moshe Levy) ซีอีโอของ EMOZE กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ ทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น เลือกให้ EMOZE เป็นผู้จัดหาโซลูชั่นพุชอีเมล เพื่อให้ลูกค้าจดทะเบียนของบริษัทสามารถใช้บริการนี้บนโทรศัพท์มือถือทุกรุ่นได้ทุกที่ทุกเวลา และเราภาคภูมิใจที่ได้ช่วยให้ลูกค้าของทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น สามารถใช้บริการพุชอีเมลของ EMOZE ที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย”

          หมายเหตุถึงบรรณาธิการ:
          เกี่ยวกับทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น
          ทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น เทคโนโลยี โฮลดิ้งส์ จำกัด (TCL Communication Technology Holdings Limited: TCL Communication) เป็นบริษัทในเครือของทีซีแอล คอร์ปอเรชั่น (TCL Corporation) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในโลก และจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง (Stock Code: 2618) โดยทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น เป็นบริษัทผู้ให้บริการอุปกรณ์มือถือชั้นนำระดับโลกจากประเทศจีนที่ดูแลแบรนด์โทรศัพท์มือถือ 2 แบรนด์ ได้แก่ ทีซีแอลและอัลคาเทล ที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเองและผสานประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นภายใต้นิยาม "the Best of the two Worlds”
          ด้วยการนำของทีมงานฝ่ายบริหารที่มาจากหลากหลายประเทศ ทีซีแอล คอมมิวนิเคชั่น ได้พัฒนาและต่อยอดจุดแข็งด้านบริการในตลาดให้ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและผู้จัดจำหน่ายรวมกว่า 30 รายทั่วโลกด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองครบทุกความต้องการ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทซึ่งมีวางจำหน่ายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลกสามารถแข่งขันด้านต้นทุนภายใต้มาตรฐานของจีนที่มีคุณภาพสูงทัดเทียมกับมาตรฐานระดับสากล ด้วยรูปลักษณ์การออกแบบที่มีสไตล์ไม่เหมือนใครในราคาโดนใจและสามารถหาซื้อเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก
          เข้าชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทได้ที่ http://www.tclcom.com/

          เกี่ยวกับ EMOZE Ltd.
          บริษัท Emoze เป็นผู้นำระดับโลกซึ่งเป็นที่ยอมรับด้านการเชื่อมต่อข้อมูลบนมือถือ บริการรับส่งข้อความและข้อมูลบนมือถือสำหรับลูกค้าบุคคล ลูกค้าธุรกิจ และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ บริษัท Emoze พัฒนาบริการด้านการรับส่งอีเมลที่สำคัญในทุกรูปแบบ (Web mail, ISP mail, Outlook และ Social Media) ซอฟต์แวร์ของ Emoze ที่ติดตั้งในอุปกรณ์มือถือแต่ละรุ่นสามารถรองรับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล การติดต่อ ปฏิทินนัดหมาย และแฟ้มเอกสารที่แตกต่างกันออกไป โดยสถาปัตยกรรม Emoze อยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ และสามารถปรับขนาดได้ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวมในการเป็นเจ้าของ (TCO) และสามารถตีตลาดได้รวดเร็ว ทั้งนี้ Emoze ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2549 และเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Emblaze Group (LSE:BLZ) http://www.emoze.com

          สอบถามข้อมูลได้ที่:
          โมเช เลวี (Moshe Levi) ซีอีโอ
          อีเมล: moshel@emoze.com

          โจนาธาน ชิลลิงตัน (Jonathan Shillington) / อลิสแตร์ สกอตต์ (Alistair Scott) จากเกรย์ลิ่ง(Grayling)
          โทร +44-20-7932-1850
          อีเมล: alistair.scott@grayling.com

1855
ไซแมนเทคเผย การคาดการณ์ด้านการรักษาความปลอดภัย และการจัดเก็บข้อมูลท็อปฮิต ในปี 2554
 
ไซแมนเทคเผย การคาดการณ์ด้านการรักษาความปลอดภัย และการจัดเก็บข้อมูลท็อปฮิต ในปี 2554 คลาวด์, เวอร์ชวลไลเซชัน ระบบรักษาความปลอดภัยบนโมบาย และโซเชียล มีเดีย  ขึ้นแท่นยอดนิยมในปีใหม่นี้

          ไซแมนเทค คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยการคาดการณ์ด้านระบบรักษาความปลอดภัย และสตอเรจในปี 2554 ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรักษาความปลอดภัยและสตอเรจได้มีการสังเกตการณ์เกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลในภาพรวม โดยองค์กรธุรกิจต่างๆ ในปัจจุบันต่างเต็มไปข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไป เนื่องจากข้อมูลมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด และในแทบจะทุกวันก็มีการเปิดตัวหรือไม่ก็นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสู่ตลาด ซึ่งล้วนแล้วแต่ให้คำมั่นสัญญาว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยลดค่าใช้จ่าย อีกทั้งช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกิจได้มากขึ้น
          “เนื่องจากทุกวันนี้ งบด้านไอทีเริ่มชะลอและลดลง ทำให้บรรดาบริษัทชั้นนำต่างๆ ต้องทำให้ค่าใช้จ่ายไอทีที่จ่ายไปสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น” นายนพชัย ตั้งไตรธรรม, ที่ปรึกษาทางเทคนิคอาวุโส, ไซแมนเทค ประเทศไทย กล่าวพร้อมเสริมว่า “การที่องค์กรธุรกิจมีความเข้าใจในเรื่องความท้าทาย ความเสี่ยงและ ภัยคุกคาม ก็จะช่วยให้องค์กรเหล่านี้สามารถวางแผนพร้อมนำความริเริ่มด้านไอทีในเชิงกลยุทธ์มาใช้ภายในองค์กร อย่างเช่น เวอร์ชวลไลเซชัน การรักษาความปลอดภัยบนระบบสื่อสารเคลื่อนที่ การเข้ารหัส การแบ็กอัพและกู้คืนข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในระยะยาว รวมถึงคลาวด์คอมพิวติ้ง มาช่วยปกป้องและบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

          คลิ๊กเพื่อทวีต การคาดการณ์ของไซแมนเทคในปี 2554 - คลาวด์ เวอร์ชวลไลเซชัน การรักษาความปลอดภัย
          บนระบบสื่อสารเคลื่อนที่ และโซเชียล มีเดีย มีบทบาทสำคัญมากขึ้น http://bit.ly/ibGkcr

เทคโนโลยีใหม่ กับ ความท้าทายใหม่
          เนื่องจากเทคโนโลยีเริ่มมีความฉลาดมากขึ้นและเร็วขึ้น ภัยคุกคามต่อเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ฉลาดขึ้นและพัฒนาเร็วขึ้นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟนในหมู่ผู้บริโภคมีจำนวนสูงขึ้นมาก ซึ่งส่งผลให้มีการนำสมาร์ทโฟนมาใช้ร่วมกับระบบงานในองค์กรมากยิ่งขึ้น ทำให้เส้นแบ่งระหว่างธุรกิจกับการใช้งานส่วนตัวเริ่มไม่ชัดเจน และทำให้เกิดรูปแบบใหม่ของการรักษาความปลอดภัยบนอุปกรณ์โมบายในปี 2544 นี้
          นักวิเคราะห์จากไอดีซี คาดการณ์ว่า จนถึงปลายปีนี้ มีการส่งมอบอุปกรณ์โมบายเพิ่มขึ้นถึง 55% ด้านการ์ทเนอร์ก็คาดการณ์ไว้ว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ จะมีผู้คนประมาณ 1.2 พันล้าน ที่ใช้โทรศัพท์มือถือที่สามารถเชื่อมต่อเว็บได้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา อาชญากรไซเบอร์อาจจะยังดูไม่ค่อยสนใจกับอุปกรณ์โมบายนี้ แต่เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้เติบโตมากขึ้น และมีแพลตฟอร์มระบบโมบายอยู่พอสมควรในท้องตลาด ทำให้ดูจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ผู้โจมตีจะพุ่งเป้าไปที่อุปกรณ์โมบายในปี 2554 และอุปกรณ์เหล่านี้ ก็ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในแง่ที่เป็นเหตุให้ข้อมูลสำคัญสูญหายได้

ช่องว่างในการปกป้องเครื่องเสมือน
          การนำเวอร์ชวลไลเซชันมาใช้กันแพร่หลายก็ทำให้เกิดความท้าทายในลักษณะเดียวกัน แม้ว่าหลายบริษัทเชื่อว่าข้อมูลและแอพพลิเคชันที่อยู่บนระบบโครงสร้างแบบเสมือนจะได้รับการปกป้องอยู่ก็ตาม หากยังมีผู้ดูแลด้านไอทีอีกหลายคนที่ต้องยอมรับความจริงว่าในปี 2554 เรื่องอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น การนำระบบโครงสร้างแบบเวอร์ชวลไลเซชันมาใช้ในเวลารวดเร็ว โดยติดตั้งใช้งานเป็นส่วนๆ และขาดมาตรฐาน ก่อให้เกิดช่องว่างตามมาทั้งเรื่องของความปลอดภัย ความพร้อมของระบบงานและการแบ็กอัพ แม้ว่าเวอร์ชวลไลเซชันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเซิร์ฟเวอร์ แต่องค์กรธุรกิจหลายแห่งก็กำลังพบว่าทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสตอเรจและการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นในขณะเดียวกัน และถ้าไม่มีการวางแผนปกป้องสภาวะงานเหล่านี้ ก็อาจทำให้ไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างเต็มที่เช่นกัน

การควบคุมข้อมูล
          ระดับการเติบโตของข้อมูลในลักษณะก้าวกระโดด นับเป็นอุปสรรคในเวลาที่องค์กรต้องบริหารจัดการและกู้คืนข้อมูลให้ได้ประสิทธิภาพ ในปี 2544 ผู้ดูแลสตอเรจจะต้องพยายามควบคุมข้อมูลให้ได้ทั้งหมด พร้อมกับต้องปล่อยวางความคิดเรื่องที่ว่าจะต้องเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้หมด และต้องแยกประเภทให้ได้ว่าข้อมูลใดที่มีความสำคัญมากและควรเก็บรักษาไว้ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ค่าใช้จ่ายด้านสตอเรจก็จะพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง และองค์กรยังต้องเผชิญกับการที่ต้องเสียเวลาจำนวนมากไปกับการกู้คืนข้อมูล อีกทั้งยังไม่สามารถดำเนินการได้สอดคล้องตามมาตรฐานด้านกฏเกณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฏหมายสิทธิส่วนบุคคล และการสืบค้นข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
          นอกจากนี้ การใช้โซเชียลมีเดียมาช่วยในเรื่องของการสื่อสารและเพิ่มผลิตผลทั่วทั้งองค์กรยังเป็นการเพิ่มความซับซ้อนให้กับระบบ แม้ว่าโซเชียลมีเดียจะยังคงเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนแนวทางในการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องในปี 2544 หากองค์กรด้านไอทียังต้องเข้าใจถึงวิธีการป้องกันและบริหารจัดการแอพลิเคชันที่ไม่ใช่มาตรฐานเหล่านี้ให้ได้ทั้งในแง่ของการกู้คืนและสืบค้นข้อมูลทางธุรกิจที่สื่อสารผ่านช่องทางเหล่านี้ การจัดเก็บข้อมูลในโซเชียลมีเดียแบบระยะยาวจะกลายเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากองค์กรต้องอาศัยศักยภาพในการทำธุรกิจผ่านเครือข่ายสังคม นอกจากนี้ยังต้องมีเก็บรักษาข้อมูลเหล่านี้ไว้ในระยะยาวในแง่ของการควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงด้านข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น
          นอกจากนี้ ในเวลาที่มีการใช้ข้อมูลผ่านระบบโมบายมากขึ้น ทำให้ข้อมูลไม่ได้รับการจัดการผ่านระบบงานส่วนกลางเหมือนเคย ผู้มีอำนาจในการออกกฏจะเริ่มเข้ามาจัดระเบียบเรื่องนี้มากขึ้นในปี 2554 และจะผลักดันให้องค์กรเหล่านี้มีการติดตั้งเทคโนโลยีการเข้ารหัส โดยเฉพาะในอุปกรณ์โมบายต่างๆ

ดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ ในปี 2544
          องค์กรธุรกิจยังคงเน้นเรื่องการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในปี 2554 ในขณะที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามในรูปแบบเฉพาะที่มีความฉลาดมากขึ้น ผู้ดูแลระบบไอทีต้องมีแนวทางที่ใช้ทั้งนวัตกรรมและกลยุทธ์มาช่วยในการแก้ปัญหา ในขณะที่ซอฟต์แวร์ยังคงเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2554 ก็จะมีโมเดลใหม่ๆ ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในการช่วยให้งานส่วนปฏิบัติการด้านไอทีง่ายขึ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ คลาวด์ คอมพิวติ้ง โฮสต์ เซอร์วิส และอุปกรณ์ประเภทแอพพลายแอนซ์ต่างๆ ล้วนเป็นตัวอย่างของโมเดลที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และจะเปลี่ยนโฉมดาต้าเซ็นเตอร์ในปัจจุบัน โดยช่วยให้องค์กรปรับใช้โมเดลต่างๆ นี้ได้อย่างง่ายดาย และให้ความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น
          องค์กรต่างๆ จะมีการใช้ทั้งในพับลิกคลาวด์ และไพรเวทคลาวด์ เนื่องจากระบบเหล่านี้จะยิ่งมีความพร้อมมากขึ้นไปอีกในปีหน้า และจะมีเครื่องมือต่างๆ ออกมาเพื่อช่วยจัดการสภาวะงานด้านสตอเรจแบบใหม่ที่ซับซ้อนขึ้น อีกทั้งช่วยให้ผู้ดูแลระบบไอทีมีความเข้าใจที่ดีขึ้นและเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้มีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ สิ่งนี้จะช่วยให้หน่วยงานด้านไอทีได้ใช้ประโยชน์ของคลาวด์อย่างเต็มที่ รวมถึงทำเป็นรายงานเสนอผู้บริหารได้อย่างชาญฉลาด ในขณะที่ลูกค้ายังสามารถเลือกใช้ประโยชน์จากบริการข้อความบนคลาวด์ และยังพบว่า สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการสืบค้นข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในองค์กรเป็นระยะยาวด้วยรูปแบบผสมผสานในการทำอาไคฟว์หรือจัดเก็บข้อมูลระยะยาวบนคลาวด์ ช่วยให้องค์กรสามารถใช้บริการโฮสต์ข้อความไว้บนคลาวด์ ในขณะที่สามารถเก็บข้อมูลระยะยาวไว้ที่ไซท์งานตัวเองได้ ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้องค์กรสามารถผสานการใช้งานด้านอีเมลร่วมกับแหล่งเนื้อหาที่จัดเก็บอยู่ในองค์กรเช่นบน PST, IM และในแชร์พอยท์ในกรณีที่ต้องมีการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวข้องต่างๆ

มัลติมีเดีย
          -  วิดีโอ เกี่ยวกับ การคาดการณ์แนวโน้มในปี 2554 จากไซแมนเทค
          -  พ็อดแคสท์ เกี่ยวกับ การคาดการณ์ด้านระบบรักษาความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต
         
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
          -  บล็อกโพสต์: การคาดการณ์เกี่ยวกับความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตในปี 2554: สิ่งที่กำลังจะเกิด
          -  ชมพรีเซนเทชันบน Slideshare: การคาดการณ์เกี่ยวกับความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตในปี 2554
          -  การสำรวจ: การคาดการณ์ความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตในปี 2554
          -  การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันระบบโครงสร้างสำคัญประจำปี 2553
          -  การศึกษาเกี่ยวกับการกู้คืนภัยพิบัติประจำปี 2553
          -  การศึกษาเกี่ยวกับการบริหารจัดการข้อมูล 2553
          -  แนวโน้มการเข้ารหัสข้อมูลจัดทำโดย Ponemon ประจำปี 2553
          -  รายงานสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในองค์กรประจำปี 2553
          -  รายงานสถานการณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ประจำปี 2553
          -  รายงานภัยคุกคามความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตฉบับที่ 14
          -  ภาพรวมของ Trojan.Hydraq
          -  การสำรวจด้านความปลอดภัยของมือถือและอุปกรณ์สมาร์ทโฟนจัดทำโดย Mocana ประจำปี 2553: ความกังวลที่เพิ่มตามความนิยม สมาร์ทโฟนต้นเหตุของปัญหาที่อาจบานปลาย (PDF)
          -  Stuxnet Dossier (PDF)
         
แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
          -  โซลูชันเพื่อการปกป้องข้อมูลจากไซแมนเทค
          -  โซลูชันเพื่อการกู้คืนภัยพิบัติจากไซแมนเทค
          -  โซลูชันด้านความพร้อมของระบบจากไซแมนเทค
          -  ข้อมูลความปลอดภัยจากไซแมนเทค
          -  การบริหารจัดการด้านความปลอดภัยจากไซแมนเทค
          -  การบริหารจัดการด้านสตอเรจจากไซแมนเทค
          -  โซลูชันการบริหารจัดการระบบเวอร์ชวลไลเซชันจากไซแมนเทค
          -  การรักษาความปลอดภัยบนเว็บจากไซแมนเทค
         
ติดต่อกับไซแมนเทคได้ที่ช่องทางต่อไปนี้
          -  ติดตามเกี่ยวกับสตอเรจของไซแมนเทคบน Twitter
          -  ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ Symantec บน Facebook
          -  อ่านข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ
          -  ไซแมนเทค เชื่อมโยงชุมชนธุรกิจ

1856
อเด็คโก้ เผยข้อมูลตลาดแรงงานปี 2554 ส่งสัญญาณบวก อุปโภค-บริโภค อุตสาหกรรม ไอที-สื่อสาร พลังงานมาแรง
 
          อเด็คโก้ ผู้ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลแบบครบวงจร (HR Solutions) จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผยแนวโน้มการจ้างงานในปี พ.ศ. 2554 เป็นปีของตลาดแรงงานไทย ทั้งในภาคอุตสาหกรรมทั่วไป ธุรกิจไอทีและการสื่อสาร กลุ่มธุรกิจสินค้า อุปโภค-บริโภค และ การกลับมาของภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ สอดคล้องกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวโน้มการจ้างงานเพิ่มขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย

          นางสาวธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์ Country Manager – Adecco Group Thailand ผู้ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลแบบครบวงจร (HR Solutions) เปิดเผยว่า สถานการณ์ของตลาดแรงงานในประเทศไทยในปี พ.ศ.2554 ยังมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น คาดว่า ภาคธุรกิจที่จะมีการขยายตัวของตลาดแรงงาน ประกอบด้วย ภาคอุตสาหกรรมทั่วไป ธุรกิจไอทีและการสื่อสาร กลุ่มธุรกิจสินค้า อุปโภค-บริโภค และ ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ รวมถึงภาคธุรกิจการเงินการธนาคารซึ่งมีการควบรวมกิจการในปีที่ผ่านมา

          สำหรับ แนวโน้มความต้องการในตลาดการจ้างงาน ในปี 2554 คาดการณ์การเติบโตธุรกิจโดยภาพรวมของบริษัทจัดหางานเทียบกับปี 2553 น่าจะมีการเติบโตไม่น้อยกว่า 10-15 % โดยแบ่งความต้องการการจ้างงานตามประเภทของตลาดแรงงาน พบว่า จะมีความต้องการทั้งแบบการจ้างพนักงานประจำและแบบการจัดจ้างตามสัญญา โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจไอทีและการสื่อสาร สินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภค การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการผลิต และยังมีสัญญาบวกจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ที่มีแนวโน้มดี

          “ส่วนธุรกิจด้านการธนาคารและการเงินที่มีการขยายตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ยังคงขยายตัวต่อไปในปี พ.ศ. 2554 จากการควบรวมกิจการของธนาคารต่างประเทศและธนาคารท้องถิ่น ด้านธุรกิจไอที มีแนวโน้มความต้องการที่เพิ่มขึ้น สำหรับทักษะใหม่ๆ ที่ตอบสนองในเรื่อง Server virtualization, Collaboration technologies (“Web 2.0”), Rich Internet apps and mobile apps, Cross-platform support และ Web services งานในตำแหน่งที่เกี่ยวกับการขายและการบัญชียังคงเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานตลอดมา ทั้งนี้แนวโน้มการขยายตัวของตลาดแรงงานไม่ได้เกิดขึ้นแต่เฉพาะในประเทศไทย แต่ยังเป็นการเติบโตทั้งภูมิภาคเอเชีย ตามการปรับตัวของเศรษฐกิจโลก” นางสาวธิดารัตน์ กล่าว

          อย่างไรก็ตาม ตลอดปี 2553 ที่ผ่านมานับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับองค์กรที่มีฐานธุรกิจในประเทศไทย ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมือง ยังคงส่งผลกระทบต่อปัจจัยบวกทางธุรกิจจึงทำให้การจ้างงานลดน้อย หรือชะลอตัวลง ดังนั้นในปี พ.ศ. 2554 ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมได้เตรียมปรับตัวโดยการจับตามองสัญญาณในเชิงบวกของการจ้างงานที่มีการเจริญเติบโต และองค์กรต่างๆ ก็เริ่มเตรียมตัวที่จะรับสมัครแรงงานทั้งประเภทพนักงานประจำและประเภทการจ้างงานแบบชั่วคราว ซึ่งการเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ ก็จะทำให้เราเริ่มเห็นสัญญาณการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างองค์กรที่เตรียมสรรหาหาบุคคลที่มีความสามารถ มีทักษะทั้งในส่วนงานเฉพาะทาง และทักษะพื้นฐานใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับองค์กร อย่างไรก็ตาม พลังขับเคลื่อนองค์กรในปีหน้ายังต้องเผชิญความท้าทายสำหรับบริษัทที่ดำเนินนโยบายด้วยการใช้บุคคลากรอย่างคุ้มค่า

          “อเด็คโก้ ในฐานะที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล คาดการณ์ว่าเราจะเห็นความยืดหยุ่นในการจัดองค์กรการทำงานมากขึ้น โดยบริษัทต่าง ๆ จะต้องการรับพนักงานที่มีความสามารถมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการสูงขึ้น ทั้งนี้ บทบาทของอเด็คโก้ในปี 2554 ยังคงทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และคัดสรรบุคลากรทีมีศักยภาพสำหรับองค์กรทุกระดับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์และมีประสิทธิภาพสูงก็จะมองหาองค์กรที่เสนอเงินเดือนและสวัสดิการที่ดีที่สุดเช่นกัน” นางสาวธิดารัตน์กล่าวในที่สุด

1857
Hi-jet จัดโปรโมชั่นพิเศษส่งท้ายปี
 
 
          บริษัท ปภาวิน จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระดาษและหมึกสำหรับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท กระดาษสำหรับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ภายใต้แบรนด์ Hi-jet จัดโปรโมชั่นพิเศษส่งท้ายปี ที่ร้านไอทีซิตี้ และออฟฟิศดีโป้ เมื่อซื้อสินค้า Hi-jet ครบ 1,000 บาท รับฟรี แก้วต้อนรับปีใหม่ 1 ชุด (เฉพาะสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล) และเมื่อซื้อสินค้าครบ 3,000 บาท รับฟรีตุ๊กตา Hi-jet Robot 1 ตัว (เฉพาะสาขาต่างจังหวัด) ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 นี้ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท ปภาวิน จำกัด โทร.02-423-3555 หรือเว็บไซต์ http://www.hi-jet.com
 
 

1858
ผู้ถือหุ้น G Land ขายหุ้น Big Lot ให้กลุ่มธนายง
 
          ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLand เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่บีทีเอส 3.41 ล้านหุ้นหรือ 0.33% ในราคา 7.00 บาทต่อหุ้น

          นางสาวรมณี บุญดีเจริญ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มเจริญกฤษ และ กลุ่มบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ (ช่อง 7 สี) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ได้เสนอขายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ให้แก่ บริษัท บีทีเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2553 รวมกันจำนวน 3.41 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.33 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว

          การเข้าซื้อหุ้นจำนวน 0.33% ของบีทีเอสครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนระยะยาว โดยจะทำให้สัดส่วนของ Free Float เพิ่มขึ้นจาก 3.74% มาเป็น 4.07%

          อย่างไรก็ตาม ภายหลังการขายหุ้นในครั้งนี้ กลุ่มเจริญกฤษ และ กลุ่มบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเท่ากับ 54.48% และ 29.89% ตามลำดับ

ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ วิรัตน์ ตรีรานุรัตน์
บริษัท เฮอร์เมส คอมมูนิเคชั่น จำกัด
โทรศัพท์ 02 954 4305
Email: virathr@gmail.com

1859
วายแอลจี เผยแผนปี 54 เตรียมบุกหนัก ตั้งเป้าเทรดทองคำแท่ง 300 ตัน พร้อมดันโกลด์ฟิเจอร์สโต 20 %
 
          นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลียน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจทองคำในปีหน้าว่า ราคาทองคำจะยังรักษาแนวโน้มขาขึ้นเอาไว้ได้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ ปัญหาหนี้สินในยุโรป การคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคต จากการที่ประเทศต่างๆได้พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการอัดฉีดเงินเป็นจำนวนมหาศาลพร้อมๆกันทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมีอยู่ค่อนข้างมากส่งผลให้เกิดสภาพคล่องส่วนเกิน อาทิ จีน ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของความต้องการทองคำของจีนและอินเดีย

          โดยวายแอลจี ได้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปี 54 อยู่ระหว่าง 1,200-1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และภายในไตรมาส 2 จะเห็นราคาทองขึ้นไปแตะ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เนื่องจากราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากในปี 53 อาจส่งผลราคาทองคำมีความผันผวนมากขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังสำหรับการลงทุนให้มากขึ้นในปี 54 ส่วนราคาทองคำภายในประเทศยังคงได้รับแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาทองคำเฉลี่ยทั้งปีจะยืนอยู่เหนือ 20,000 บาท/บาททองคำ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ามูลค่าการซื้อขายทองคำแท่งไว้ประมาณ 300 ตัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 25% ภายใต้แผนการดำเนินงานเชิงรุก เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทองคำ และการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่คือโลหะเงิน เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนเพิ่มขึ้น

          สำหรับภาพรวมของกลุ่มวายแอลจีในปีนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ โดยในส่วนธุรกิจทองคำแท่ง คาดว่ายอดการส่งออกและนำเข้าทองคำแท่งสิ้นปีจะอยู่ที่ประมาณ 244 ตัน โดยยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ธุรกิจทองคำแท่งไว้ได้ จากที่ตั้งเป้าเมื่อต้นปีว่ามียอดเทรดประมาณ 200 ตัน

          นางพวรรณ์ กล่าวว่า ความสำเร็จดังกล่าวมาจากการมีฐานลูกค้าใหม่เข้ามาจำนวนมาก รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดที่เน้นให้ความรู้ด้านการลงทุนในทองคำต่อเนื่องตลอดปี พร้อมการออกบริการใหม่ๆ อาทิ การเปิดขยายบริการรับซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% และทองคำแท่ง 96.5% ถึงเวลา 24.00 น. โดยอ้างอิงราคา spot การรายงานสดราคาทองผ่านเว็บไซต์ และการดูราคาทองผ่านมือถือด้วย YLG Application บน iPhone

          “ล่าสุดเราได้ออก “โปรแกรมออมทอง” สำหรับลูกค้ารายย่อยที่ต้องการลงทุนในทองคำแท่งเป็นรายเดือนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองคำในตลาดโลก และสามารถขายคืนได้ทุกวันในลักษณะ Real Time โดยไม่ต้องเสียค่าบริการ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี บริษัทฯจึงวางแผนขยายการรับรู้บริการดังกล่าวไปสู่กลุ่มลูกค้าในปีหน้าให้กว้างขึ้น” นางพวรรณ์กล่าว

          ด้านนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลียน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 12,000 สัญญาต่อเดือน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำนวน 16% ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 15% ขณะที่มีปริมาณลูกค้า 1,500 ราย เพิ่มขึ้นใหม่ประมาณ 800 ราย ความสำเร็จดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของทีมงาน การเทรดโกลด์ฟิวเจอร์ส การเปิดให้บริการมินิโกลด์ฟิวเจอร์ส รวมทั้งการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปีอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการให้ข่าวสารที่แม่นยำและรวดเร็ว

          ส่วนในปี 2554 บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะขยายตัวประมาณ 20% เนื่องจากมองว่า ธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์ส ยังมีโอกาสขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สต้องมีอัตราการเติบโตประมาณ 10 เท่าของตลาดอนุพันธ์แต่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 เท่า ประกอบกับในปีหน้าจะมีการขยายเวลาซื้อขายจนถึงเวลา 22.30 น. รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อาทิ Silver และ ETF ทองคำ

          อย่างไรก็ตาม คาดว่า การแข่งขันธุรกิจในปีหน้าจะยังคงรุนแรงเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ในส่วนของวายแอลจีจะใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบทั้งการทำตลาดที่เน้นการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ลูกค้าใหม่ การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการออกรูปแบบการลงทุน หรือการบริการใหม่ๆที่ให้ลูกค้าสะดวกมากขึ้น ซึ่งเป็นการสานต่อแคมเปญ “คุณได้มากกว่าที่ YLG” ที่ได้ออกมาในปีนี้ รวมทั้งการทำ Branding เพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายรู้จักมากขึ้น

1860
สรุปราคาซื้อขายทองคำ และ Gold Futures ภายในประเทศ ณ วันจันทร์ ที่ 20 ธันวาคม 2553 เวลา 09.00 น.
 
          ทิศทางราคาทองคำ
          ราคาทองคำเปิดตลาดวานนี้ที่ระดับ 1374 เหรียญ ค่าเงินบาท 30.11 บาท/ดอลลาร์ กับ 30.14 บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 19600 บาท กับ 19700 บาท GFZ10 เปิดที่ 19700 บาท และ GFG11 เปิดที่ 19840 บาท และ GF10Z10 เปิดที่ 19700 บาท และ GF10G11 เปิดที่ 19840 บาท SPDR ถือครอง 1283.76 ตัน (ซื้อเข้า 15.18 ตัน) ราคาน้ำมันปิดบวก 32 เซนต์ มาอยู่ที่ 88.02 เหรียญ/บาร์เรล ดัชนีดาวโจนส์ลบ 7.34 จุด มาปิดที่ระดับ 11491.91 จุด ราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ในตลาดเอเชียค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นเล็ก น้อยในระหว่าง 1375-1377 เหรียญ ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาท อยู่ที่ 4088 คู่สัญญา และ Gold Futures 10 บาท 2586 คู่สัญญา เมื่อเทียบกับ Volume 63% เมื่อเทียบกับมูลค่า 13% ตลาดลอนดอนและComex เองราคาทองคำทรงตัวในช่วงต้นที่ระดับ 1372 เหรียญ ก่อนที่จะมีแรงเทขายหลุดระดับ 1370 เหรียญ จนไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1364 เหรียญ และดีดกลับมาในปลายตลาดที่ระดับ 1377 เหรียญ ในส่วนของ SPDR (ซื้อเข้า 15.18 ตัน) ถือครอง 1298.94 ตัน ในคืนวันศุกร์ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่มี และยังเป็นข่าวเดิมๆ ที่ไอซแลนด์ถูก Downgrade ลง ค่าเงินดอลลาร์เองปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยที่ค่าเงินยูโรอยู่ที่ที่ระดับ 1.3180 ดอลลาร์/ยูโร โดยหลุดจากระดับ 1.3245 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ราคาน้ำมันปิดบวก 32 เซนต์ มาอยู่ที่ 88.02 เหรียญ/บาร์เรล ดัชนีดาวโจนส์ลบ 7.34 จุด มาปิดที่ระดับ 11491.91 จุด ค่าเงินเยนกลับมาอ่อนค่าลงอยู่ที่ระดับ 84.06 เยน/ดอลลาร์ และค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าอยู่ที่ระดับ 30.19 บาท/ดอลลาร์ โดยที่เช้าวันนี้ราคาทองคำเปิดที่ระดับ 1378 เหรียญ และขยับขึ้นมาตลอด ณ ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 1384 เหรียญ

          วิเคราะห์ทางเทคนิค
          ราคาทองคำร่วงสู่แนวรับสำคัญที่เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และสามารถกลับมาปิดได้ที่ระดับ 1378 เหรียญ ดูเทคนิคระยะสั้นยังเป็นเพียงการปรับฐานธรรมดาจากการที่มียัง มีแรงเข้าซื้อในทองคำ โดยจะเห็นได้ว่า SPDR เข้าซื้อ ภาพรวมระยะสั้นๆ เป็นการปรับฐาน ถ้าอีก 1-2วันไม่หลุดระดับ 1360 เหรียญ ก็น่าจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้ แนวรับอยู่ที่ระดับ 1360 เหรียญ และแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1400 เหรียญ ภาพรวมๆยังเป็นการปรับฐานพร้อมที่จะดีดตัวกลับ ราคาทองคำแท่งของไทยปิดตลาดที่ระดับ 19700 บาท และ 19800 บาท Spot ปิดตลาดที่ระดับ 1377 เหรียญ ราคาทองคำแท่งของไทย จะมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 19500 บาท และมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 19950 บาทสำหรับ Gold Futures Z10 จะมีแนวรับที่ระดับ 19800 บาท แนวต้านที่ระดับ 19950 บาท ใกล้จะหมดอายุ ในอีก 7วันข้างหน้า เตือนอีกครั้ง ให้นักลงทุนทยอยปิดสถานะ Series z10 และย้ายการลงทุนไปเปิด Series G11Gold Futures G11 จะมีแนวรับที่ระดับ 19900 บาท และแนวต้านที่ระดับ 20050 บาท

          คำแนะนำ
          สำหรับนักลงทุนระยะรายวัน (Daily Trade) เก็งกำไรในภาวการณ์การดีดกลับ
          นักลงทุนรายสัปดาห์ (Weekly Trade) ให้เข้าทยอยช้อนซื้อ สะสม เพิ่ม Port ที่ระดับ 60%
          นักลงทุนระยะยาวทองคำแท่ง คาดว่าซื้อสะสมไปเมื่อวันศุกร์แล้ว รักษา Port อยู่ที่ 40-50%

Pages: 1 ... 122 123 [124] 125 126 ... 138