Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - happy

Pages: 1 ... 415 416 [417] 418 419 ... 2248
6241
3 โรงแรมดังในเครือเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ จ.ชลบุรี
รับรางวัลดีเยี่ยมจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย


สุดาวดี ฤกษ์สุจริต (คนที่ 3 จากซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเคปราชา ศรีราชา,  ศิเรมอร พุทธชาติ (คนที่ 2 จากซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมแคนทารี ใกล้นิคมอมตะ บางปะกง, รุ่งโรจน์ พ้นภัย (คนที่ 4 จากซ้าย) ผู้จัดการ โรงแรมแคนทารี เบย์ ศรีราชา, พร้อมด้วย ศิริพร จงจิตเจริญยนต์ (คนที่ 1 จากซ้าย) ผู้จัดการ โรงแรมคลาสสิค คามิโอ ศรีราชา และ จุรีภรณ์ วัฒนะโส (คนที่ 5 จากซ้าย) ผู้จัดการแผนกต้อนรับ โรงแรมเคปราชา ศรีราชา ร่วมแสดงความยินดีที่โรงแรมเคปราชา ศรีราชา ได้รับรางวัลดีเยี่ยม, โรงแรมแคนทารี ใกล้นิคมอมตะบางปะกง และโรงแรมแคนทารี เบย์ ศรีราชา ได้รับรางวัลดีเด่น The Best of SHA Awards 2021 ประเภทกิจการโรงแรม ที่พัก และโฮมสเตย์ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ณ โรงแรมเคปราชา ศรีราชา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโรงแรมฯ ได้มีแนวทางการปฏิบัติที่เป็นที่สุดทั้งด้านมาตรฐาน SHA การท่องเที่ยวสีขาวและสิ่งแวดล้อมครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นต้นแบบที่ดีด้านสุขอนามัย ความปลอดภัย และการบริการที่ดีเยี่ยมตามมาตรฐานของโรงแรม รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทุกท่านที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวและมาพัก ณ โรงแรมทั้งสามแห่งในจังหวัดชลบุรีอีกด้วย

The Best of SHA Awards 2021 คือ รางวัลที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มอบให้กับสุดยอดสถานประกอบการที่ได้รับคะแนนโหวตจากแบบประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย ซึ่งแบบประเมินดังกล่าวได้ครอบคลุมในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) และมาตรฐานการท่องเที่ยวสีขาว (สะดวก สะอาด ปลอดภัย เป็นธรรม และรักษาสิ่งแวดล้อม) โดยนำคะแนนที่ได้จากการโหวตของนักท่องเที่ยวมาคำนวณเป็นคะแนนเฉลี่ย พร้อมจัดอันดับตามลำดับคะแนน คือ รางวัลยอดเยี่ยม รางวัลดีเยี่ยม และรางวัลดีเด่น

6242
ตรวจก่อนแต่งพร้อมให้จริงก่อนมีลูก

               การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เป็นการวางแผนก่อนใช้ชีวิตครอบครัวที่จะทำให้ทราบว่าสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่พร้อมแค่ไหนกับการมีเจ้าตัวเล็ก เพื่อครอบครัวที่สมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและใจ และหากพบปัญหามีบุตรยากย่อมสามารถรับมือได้ทันท่วงที ช่วยให้การมีเจ้าตัวเล็กเป็นไปอย่างราบรื่น


               พญ. วนิชา ปัญญาคำเลิศ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพสตรี รพ.กรุงเทพ​ กล่าวว่า การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานนั้นมีความสำคัญกับชีวิตครอบครัวมาก เพราะจะทำให้ทราบถึงความพร้อมในการมีบุตร ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการมีบุตร และแนวทางการดูแลร่างกายให้พร้อมสำหรับการมีบุตร สำหรับการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน แพทย์จะทำการซักประวัติโดยละเอียด ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสุขภาพทั่วไป เพื่อดูความสมบูรณ์ของร่างกายคุณพ่อและคุณแม่ ได้แก่ การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต ตรวจการทำงานของระบบหายใจ การทำงานของหัวใจ รวมถึงการตรวจเต้านมและตรวจหน้าท้องร่วมด้วย ตรวจเลือดดูความพร้อมประเมินความเสี่ยง โดยจะทำการตรวจดูกรุ๊ปเลือด ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงที่เสี่ยงต่อการเป็นโลหิตจาง ตรวจภูมิต้านทานที่ควรมี เช่น ภูมิต้านทานหัดเยอรมัน ไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะในผู้หญิงที่อายุเกิน 35 ปี หากมีโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไทรอยด์ อาจเป็นอันตรายขณะตั้งครรภ์ได้หากไม่ได้ควบคุมหรือดูแลอย่างเหมาะสม เพราะบางโรคในขณะตั้งครรภ์ไม่สามารถทานยาได้ ตรวจโรคทางพันธุกรรม โดยเฉพาะพันธุกรรมแฝงอย่างธาลัสซีเมียที่คนไทยมีภาวะแฝงจากโรคนี้ถึง 45%  ตรวจภายในเพื่อดูความปกติของมดลูกและรังไข่ เพื่อหาเนื้องอกมดลูก ช็อกโกแลตซีสต์ และความผิดปกติต่าง ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งมีผลต่อการตั้งครรภ์โดยตรง รวมทั้งการตรวจหาเซลล์มะเร็งปากมดลูกเมื่อถึงวัย ผู้ที่มีความเสี่ยงคือผู้ที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แต่หากยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ตั้งแต่อายุ 21 ปีขึ้นไปก็ควรตรวจค้นหาเซลล์มะเร็งปากมดลูกร่วมด้วย


               ในบางกรณีจะมีการตรวจอัลตราซาวนด์ก่อนแต่งงาน โดยจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์เป็นสำคัญ จะช่วยให้การตรวจวินิจฉัยละเอียด ถูกต้อง ชัดเจนขึ้น  ซึ่งการตรวจอัลตราซาวนด์เป็นไปเพื่อตรวจดูสุขภาพของมดลูกและรังไข่ ตรวจดูพยาธิสภาพที่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์ เช่น เนื้องอกมดลูก ช็อกโกแลตซีสต์ที่รังไข่ ประจำเดือนมากผิดปกติ มีลิ่มเลือด เป็นต้น รวมถึงตรวจดูการทำงานของรังไข่ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ไข่ไม่ตก ยิ่งในช่วงวัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิงคือ อายุ 18 – 35 ปี ตามสถิติพบว่า 20 – 30% ของคู่สมรสกลับต้องประสบปัญหามีบุตรยาก ที่น่าสนใจคือ กว่าจะทราบว่าตนเองมีบุตรยาก มักจะรู้หลังจากแต่งงานไปนานเป็นปี ๆ แล้ว เสียเวลาและโอกาสไปโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะในคุณผู้หญิงที่แต่งงานตอนอายุเกิน 35 ปี เพราะความสามารถในการเจริญพันธุ์เริ่มลดลงทุก ๆ ปีตามรังไข่ที่เสื่อมคุณภาพจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น โอกาสในการมีบุตรยากจึงสูง แต่ 70% ของคู่สมรสที่มีบุตรยากสามารถหาสาเหตุได้ไม่ยาก หากปรึกษาแพทย์และตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน


               ความเสี่ยงจากการไม่ตรวจก่อนแต่งจะทำให้ขาดการวางแผนในการมีบุตร เสียเวลาและโอกาสในการแก้ไขภาวะมีบุตรยากแต่เนิ่น ๆ อาจเกิดความเครียดและกังวลเมื่อตั้งครรภ์ เพราะขาดการเตรียมตัวเตรียมใจที่ดี อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์สูงกว่าปกติ เช่น โลหิตจาง เบาหวาน ไทรอยด์ ครรภ์เป็นพิษ และอาจทำให้ทารกอาจเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์หรือเจริญเติบโตช้า เกิดภาวะแท้งบุตร หรือ คลอดก่อนกำหนดได้ การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานหรือใช้ชีวิตครอบครัวจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นเพื่อชีวิตครอบครัวที่ดีและยังช่วยให้ทราบข้อมูลแต่เนิ่น ๆ หากมีปัญหามีบุตรยากและไม่เสียโอกาสถ้าต้องการมีบุตร สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สุขภาพสตรี รพ.กรุงเทพ​โทร.1719  หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

6243
โรคผมผลัดหลังจากการติดเชื้อโควิด-19

โดย  พญ.ชินมนัส เลขวัต
รศ.นพ. รัฐพล ตวงทอง
รศ.นพ. พูลเกียรติ สุชนวณิช
รศ.ดร.พญ. รัชต์ธร ปัญจประทีป
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย


               แนวทางการดูแลรักษาภาวะผมร่วงภายหลังการติดเชื้อ Corona Virus Disease 2019 (COVID-19) หรือโควิด-19 นานเกิน 12 สัปดาห์ขึ้นไป (Long-COVID-19) ส่วนใหญ่เกิดจาก​ “โรคผมผลัด (Telogen effluvium)” เนื่องจากการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ร่างกายเกิดความเครียดและมีการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่รากผม ซึ่งส่งผลต่อวงจรชีวิตของผมทำให้มีการเปลี่ยนเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้มากกว่าปกติ นอกจากโรคผมผลัดแล้ว ยังมีรายงานผู้ป่วยโรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) ที่เกิดขึ้นใหม่หรือในผู้ป่วยโรคผมร่วงเป็นหย่อมที่เป็นมากอยู่แล้วมีอาการมากขึ้นภายหลังจากมีการติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากภาวะเครียดจากการเจ็บป่วย อย่างไรก็ตามพบว่าในรายงานการศึกษาที่รวบรวมผู้ป่วยจำนวนมากพบว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ได้เป็นโรคผมร่วงเป็นหย่อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและผู้ป่วยโรคผมร่วงเป็นหย่อมที่เป็นน้อยไม่พบว่ามีอาการมากขึ้นภายหลังการติดเชื้อโควิด-19


               โรคผมผลัดเป็นภาวะผมร่วงที่พบได้บ่อยที่สุดภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 มีคำนิยามคือ ผมร่วงมากผิดปกติ (มากกว่า 100 เส้น/วันแต่ไม่มากเกิน 50% ของผมทั้งศีรษะ) ในระยะเวลา 2 - 3 เดือนภายหลังการติดเชื้อโควิด-19   แต่ในบางรายอาจจะเกิดได้เร็วประมาณ 1.5 เดือนภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 ภาวะโรคผมผลัดโดยปกติแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ โรคผมผลัดที่เป็นเฉียบพลัน (Acute telogen effluvium) และ โรคผมผลัดที่เป็นเรื้อรัง (Chronic telogen effluvium) จากการศึกษาในต่างประเทศ พบผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อโควิด-19  เกิดโรคผมผลัดหลังจากการติดเชื้อประมาณร้อยละ 25 ซึ่งใกล้เคียงกับข้อมูลของผู้ป่วยในประเทศไทยที่พบร้อยละ 23 นอกจากโรคผมผลัดหลังจากการติดเชื้อโควิด-19 โรคผมผลัดอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น เช่น เกิดภายหลังจากเกิดภาวะการเจ็บป่วยที่เป็นมาก, มีภาวะเครียดมากหรือการขาดสารอาหารหรือเป็นโรคไทรอยด์หรือการรับประทานยาบางอย่าง โดยอาการอาจเป็นชั่วคราวหรือเป็นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน


               การวินิจฉัยโรคผมผลัด ส่วนใหญ่การวินิจฉัยขึ้นกับประวัติและการตรวจร่างกาย โดย 1.ประวัติ ผู้ป่วยมักมีอาการผมร่วงมากผิดปกติหลังจากที่พบเชื้อโควิด-19 ประมาณ 1.5 - 2 เดือน ซึ่งค่อนข้างเร็วกว่าภาวะผมผลัดจากสาเหตุอื่นแต่ในบางรายอาจมีอาการในระยะเวลานานกว่า 3 เดือนหลังการติดเชื้อโควิด-19 ถ้าผู้ป่วยมีผมร่วงหลังจากที่เป็นโรคโควิด-19 เกิน 6 เดือนอาจจะต้องแยกโรคผมผลัดที่เกิดจากสาเหตุอื่น อย่างไรก็ตามโรคนี้อาจเกิดจากปัจจัยกระตุ้นอื่นร่วมด้วยได้ แพทย์ผู้ตรวจรักษาจึงควรซักประวัติและควรตรวจหนังศีรษะ, รากผม, เส้นผมและเล็บ ด้วย โดยเฉพาะ 1. อาการของผมร่วง : วันที่เริ่มมีอาการ, ระยะเวลาที่ผมร่วง, ปัจจัยกระตุ้นอื่น 2.ลักษณะของผมร่วง: จำนวนผมที่ร่วงต่อวัน, ลักษณะผมร่วงเป็นแบบหลุดจากโคนหรือผมขาด 3.ประวัติทางการแพทย์: ประวัติการเจ็บป่วยล่าสุดหรือเรื้อรัง, การผ่าตัดใหญ่, น้ำหนักลดมากในระยะเวลารวดเร็ว, การจำกัดอาหาร, การคลอดบุตร, ประจำเดือนมามาก, โรคไทรอยด์, โรคแพ้ภูมิตัวเอง 4. ภาวะเครียดทางจิตใจ 5.ยารับประทานบางชนิด เช่น ยาคุม, ยารักษาโรคไทรอยด์, ยากันชัก, ยากันเลือดแข็งตัว (Anticoagulants), ยารับประทานวิตามินเอ (Oral retinoids), ยาทางจิตเวชชนิด Mood stabilizers และ Anti-depression และ ประวัติการสัมผัสสารพิษ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาก่อนเพื่อพิจารณาว่ายาเป็นสาเหตุหรือไม่ ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาหรือเปลี่ยนชนิดยาเอง

               พญ.ชินมนัส  เลขวัต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การดูแลรักษาโรคผมผลัดที่สำคัญที่สุดคือ การหาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุ ถ้ามีปัจจัยกระตุ้นอื่นนอกเหนือจากภาวะเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 ก็ควรจะรักษาร่วมด้วย ถ้าผู้ป่วยเกิดภาวะผมร่วงภายหลังจากมีการติดเชื้อโควิด-19 โดยไม่มีปัจจัยอื่น โดยทั่วไป ผู้ป่วยที่มีโรคผมผลัดมักหายได้เองหลังจากสาเหตุหมดไปแล้วประมาณ 3 - 6 เดือน ในกรณีผู้ป่วยที่เป็นโรคผมผลัดหลังจากการติดเชื้อภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 อาจจะหายได้เร็วกว่าที่ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน การให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วย, แนะนำเทคนิคในการพรางผมบางและการติดตามการรักษามีส่วนช่วยทำให้ผู้ป่วยมีความกังวลลดลง

               รศ.ดร.พญ.รัชต์ธร ปัญจประทีป กล่าวเสริมว่า ควรดูแลสุขภาพให้ดีแบบองค์รวมร่วมด้วย เช่น รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงความเครียด ในกรณีผมไม่หยุดร่วงใน 6 เดือน หลังจากที่หายจากโรคติดเชื้อโควิด-19 แล้วหรือถ้าผมร่วงมากเกินร้อยละ 50 ของผมบนศีรษะหรือมีอาการผมร่วงจนหมดศีรษะอาจเป็นโรคอื่น เช่น โรคผมร่วงเป็นหย่อมที่มีอาการรุนแรง แพทย์ควรส่งต่อผู้ป่วยเพื่อการวินิจฉัยและรักษากับแพทย์เฉพาะทางเพื่อติดตามการรักษา

6244
iAM รับซัมเมอร์ส่งซิงเกิล “ Sayonara Crawl” สร้างปรากฏการณ์
พาเหรด 32 เซ็มบัตสึ 32 คาแรคเตอร์ วงBNK48+CGM48
ปล่อยเพลงหลักซิงเกิลที่ 11 เปรยความรักไม่สมหวัง ดุจดั่งทะเลกว้างใหญ่ไม่สามารถว่ายน้ำข้ามผ่านไปได้
 เปิดตัว MV และเพลงอย่างเป็นทางการเมื่อเร็วๆ นี้


กรุงเทพมหานคร : นางสาวเสาวณีย์ กาญจนโอฬารศิริ ชิไฮนินวง BNK48 ตัวแทน บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ iAM (ไอแอม) ต้นสังกัดกลุ่มศิลปินไอดอลหญิงวง BNK48 และ CGM48 (ลำดับกลาง) ควงแขน 4 เซ็นเตอร์เพลง Sayonara Crawl ซิงเกิลที่ 11 ของวง BNK48 ซึ่งมีสไตล์เพลงเป็นแนว J -pop ในแบบฉบับ 48 group เปิดตัวเพลงและมิวสิกวิดีโออย่างเป็นทางการโดยมีแฟนคลับและสื่อมวลชนร่วมงาน บริษัทฯ มุ่งสร้างความแปลกใหม่ด้วยการนำ 32 เซ็มบัตสึนับว่าเป็นจำนวนมากที่สุด มีความโดดเด่นทั้ง 32 คาแรคเตอร์ที่มีความสดใสน่ารัก เพื่อมอบความพิเศษนี้ให้แก่แฟนแฟนและสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในซิงเกิลประจำฤดูร้อนนี้

โดยมี 4 เซ็นเตอร์ตัวแทนจาก 32 เซ็มบัตสึร่วมถ่ายภาพ ได้แก่ มิวสิค-แพรวา สุธรรมพงษ์ รุ่น 1 (ลำดับที่3 จากขวามือ) , ฟ้อนด์ - ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา รุ่น 2 (ลำดับที่3 จากซ้ายมือ) , ปาเอญ่า-นิพพิชฌาน์ พิพิธเดชา รุ่นที่ 3 (ลำดับที่ 2 จากซ้ายมือ) , แชมพู-กชพร ลีละทีป วง CGM48 (ลำดับที่ 1 จากซ้ายมือ) , ออม-ปุณยวีร์ จึงเจริญ วง CGM48  (ลำดับที่2 จากขวามือ) และ คนิ้ง-วิทิตา สระศรีสม วง CGM48 (ลำดับที่ 1 จากขวามือ) ณ ลานกิจกรรม  Asiatique Park (AST Park) เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ถนนเจริญกรุง เมื่อเร็วๆ นี้

6245
กระทรวง อว. ตรวจความคืบหน้าโครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ผลความคืบหน้าไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ภายใต้กลุ่มการพัฒนา Global and Frontier Research


                นายพันธ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี (คนที่ 2 จากซ้าย) หัวหน้ากลุ่มภารกิจบริหารยุทธศาสตร์ สป.อว. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสาตร์ วิจัยและนวัตกรรม​ ลงตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย หรือ Reinventing University จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ในการจัดกลุ่มการวิจัยระดับแนวหน้าของโลก (Global and Frontier Research) โดยเข้ารับฟังแผนการดำเนินงานที่สำเร็จไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีแผนการพัฒนาที่ชัดเจน พร้อมเดินหน้าผลักดันผลงานสู่ระดับนานาชาติ โดยมี​ ศ.ดร.สุจิตรา วงศ์เกษมจิตต์ (คนที่ 2 จากขวา) รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง​ ได้นำเสนอแผนการพัฒนาพลิกโฉมมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศ ภายใต้ผลงานที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย หรือ Reinventing University พร้อมเยี่ยมชมศูนย์วิจัยชั้นแนวหน้าของประเทศ 2 แห่ง คือ ศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านการวิจัยเชื้อรา ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เมื่อเร็ว ๆ นี้

6246
ซีพีแรม x ฟอร์จูนทาวน์ จัดงาน “Fortune Chicken Town” ไก่จะขัน สนั่นเมือง


               บริษัท ซีพีแรม จำกัด ร่วมกับ ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ จัดงาน “Fortune Chicken Town” ไก่จะขัน สนั่นเมือง โดยภายในงานจัดขึ้นเพื่อจัดแสดงไก่สวยงามกว่า 15 สายพันธุ์ อาทิ ไก่ซิลกี้อเมริกา, ไก่ซีไบร์ท สีเงินและสีทอง, ไก่เวียนดอทท์ ราชินีไข่ไก่, ไก่ยักษ์บราห์มา เจ้าของฉายา “King of Chicken” และไก่มินิบราห์มา ที่มีชุดเดียวในประเทศไทย เพื่อสร้างการรับรู้ในการร่วมกันอนุรักษ์ไก่สายพันธุ์หายากให้คงอยู่สืบไป รวมถึง รับชมกูรูทางด้านไก่สวยงาม มาร่วมแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ พร้อมทั้ง ร่วมสนุกกับกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย




               ทั้งนี้ ซีพีแรม ได้นำติ่มซำจาก "เจด ดราก้อน" มาจัดจำหน่าย รวมถึงเบเกอรี่ แพลนต์เบสต์ และอาหารพร้อมรับประทาน แพลนต์เบสต์ อุ่นร้อนพร้อมทาน จาก "VG for Love" #อร่อยง่ายไม่มีเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก ซีพีแรม มาบริการแก่ผู้เข้าร่วมงานได้อิ่มท้อง สร้างรอยยิ้ม และสร้างความประทับใจเป็นอย่างดี ถือเป็นการส่งมอบความสุข และความเป็นอยู่ที่ดีให้ทุกคน พร้อมกับจัดกิจกรรม “สังคมไทยไร้ Food Waste” เพื่อสร้างความตระหนักในการลดความสูญเปล่าทางอาหารแก่ผู้เข้าร่วมงาน พร้อมลุ้นรับของที่ระลึก ณ ลานฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ 

#CPRAM #ซีพีแรม #FortuneTown #ฟอร์จูนทาวน์ #FortuneChickenTown #FortuneChicken #JadeDragon #เจดดราก้อน #VGforLove #วีจีฟอร์เลิฟ #อร่อยง่ายไม่มีเนื้อสัตว์











6247
คณะอนุกรรมการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย
ร่วมบรรยายในงานสัมมนา "การส่งเสริมสมรรถนะบุคลากรสู่การเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและชุมชนอื่น" มรภ.มหาสารคาม


                ในภาพ : รศ. ดร.นิรุต ถึงนาค อธิการบดี(คนกลาง) และนายวุฒิพล ฉัตรจรัสกูล​ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม  พร้อมด้วยคณะดำเนินงาน ได้ต้อนรับคณะอนุกรรมการด้านการพลิกโฉมมหาวิทยาลัยและคณะผู้เชี่ยวชาญจากสำนักปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สป.อว.) โดยมี​ รศ.ดร.รัฐชาติ มงคลนาวิน​ คณะอนุกรรมด้านการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (ที่ 3 จากซ้าย) และ นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี​ หัวหน้ากลุ่มภารกิจบริหารยุทธศาสตร์ สำนักปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) (ที่ 4 จากซ้าย) พร้อมจัดกิจกรรมสัมมนาวิชาการ "การส่งเสริมสมรรถนะบุคลากรสู่การเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและชุมชนอื่น" โดยมีการบรรยายหัวข้อสำคัญ ดังนี้ 1. มหาวิทยาลัยกับการพัฒนาบุคลากรที่เน้นสมรรถนะ เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและชุมชนอื่น  2. การพัฒนาหลักสูตรในรูปแบบ Sand box 3. ตัวชี้วัดการจัดกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ และ 4. เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ณ ห้องประชุมพระบรมธาตุนาดูน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม

6248
บีโอไอประกาศความสำเร็จมหกรรม “BCG Startup Investment Day”
เตรียมมาตรการสนับสนุน เสริมแกร่งสตาร์ทอัพไทย




               บีโอไอ เผยผลความสำเร็จ การจัดงานมหกรรม “BCG Startup Investment Day” ครั้งแรกในประเทศไทย มีผู้ร่วมงานกว่า 1,000 คน ทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ สนใจลงทุนสตาร์ทอัพไทย โดยบีโอไอและหน่วยงานพันธมิตรผนึกกำลังสนับสนุนสตาร์ทอัพเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่


               นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานมหกรรม “BCG Startup Investment Day” ณ ศูนย์ C asean จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA พร้อมพันธมิตรทั้งภาครัฐ และเอกชนร่วม 20 หน่วยงาน ที่เข้าร่วมสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ Startup ที่มีศักยภาพให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ


               นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้การพัฒนานวัตกรรมมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ


               “ประเทศไทยต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาช่วยยกระดับประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมที่เรามีความเข้มแข็งเป็นทุนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยวและยานยนต์ ควบคู่กับการสร้างอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยา ดิจิทัล โดยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในประเทศไทย ตลอดจนการเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาดของภูมิภาค เพื่อพลิกโฉมไทย สู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการได้คิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับศักยภาพของธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และ Startup ไปจนถึงการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ผ่านบุคลากรที่มีศักยภาพ และการสร้างบุคลากรคนรุ่นใหม่ให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว


               นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ กล่าวว่า การจัดงานมหกรรม “BCG Startup Investment Day” ในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมีกลุ่มสตาร์ทอัพ รวมถึงนักลงทุนไทยและต่างประเทศ เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน ผ่านทั้งช่องทางออนไลน์ และออนไซต์ โดยนักลงทุนที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ให้ความสนใจสตาร์ทอัพไทยทั้ง 24 ราย ที่เข้าร่วมในกิจกรรม BCG Startup Pitching และคาดว่าจะเกิดความร่วมมือกันในลำดับต่อไป


               “บีโอไอพร้อมให้การส่งเสริมสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในกลุ่ม BCG ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอให้การส่งเสริมเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในช่วงต่อไป ผ่านมาตรการต่าง ๆ ภายใต้ พ.ร.บ. นี้ บีโอไอรับผิดชอบอยู่ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ. ส่งเสริมการลงทุน และ พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 โดยตั้งเป้าหมายจะใช้เงินกองทุนเพิ่มขีดฯ สนับสนุนสตาร์ทอัพ จำนวน 30 ราย ในปี 2565” นางสาวดวงใจกล่าว


               สำหรับหลักเกณฑ์การให้เงินสนับสนุนสตาร์ทอัพของบีโอไอ มีดังนี้ (1) ต้องเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นมาไม่เกิน 5 ปี (2) ดำเนินกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่กำหนด (3) ต้องได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากหน่วยงานอื่นมาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ และ (4) ต้องเสนอแผนงาน โดยเฉพาะด้านบุคลากร ซึ่งบีโอไอจะสนับสนุนเงินเป็นค่าจ้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีและการบริหาร ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 50


               ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า การจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day ในครั้งนี้ NIA บีโอไอ และเครือข่ายพันธมิตร ต่างมุ่งผลักดันให้เกิดกลุ่มวิสาหกิจเทคโนโลยีเชิงลึก หรือ Deep Tech Startup ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ซึ่งปัจจุบันยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดย NIA ได้ทำหน้าที่เป็น “บูรณากรระบบ หรือ Systems Integrator” เพื่อเชื่อมโยงให้เกิดแนวร่วมจากทั้งภาครัฐและเอกชน ในการขับเคลื่อนให้เกิดระบบนิเวศ Deep Tech Startup อย่างแท้จริง


               NIA ได้ตั้งเป้าให้เกิด Deep Tech Startup ขึ้นภายในประเทศไทย 100 ราย ภายในปี 2566 โดยในกลุ่ม BCG จะเน้นผลักดัน 3 ด้าน ได้แก่ เกษตร (Agtech) อาหาร (Foodtech) และ การแพทย์ (Medtech) เนื่องจากเป็นสาขาที่ประเทศไทยมีความโดดเด่น สามารถดึงดูดการลงทุนทางนวัตกรรมในระดับนานาชาติเป็นอย่างดี ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจและเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และมีคาดการณ์ว่าสาขาเศรษฐกิจนี้จะสามารถเพิ่มมูลค่าได้ถึง 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 5 ปีข้างหน้า”


               ภายในงานมหกรรม “BCG Startup Investment Day” ในครั้งนี้ ได้รวบรวมมาตรการและการสนับสนุนต่าง ๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชนไว้ในที่แห่งเดียว ในลักษณะเหมือน One-Stop Shop โดยมีการจัดเสวนา Startup Talk “ปลุกพลัง Startup ไทย ก้าวไกลสู่ยูนิคอร์น” ซึ่งมี Startup ระดับยูนิคอร์นมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ ได้แก่ Ajaib, Flash Express, Bitkub Group และ Ascend Money กิจกรรม BCG Startup Pitching และกิจกรรมสร้างเครือข่ายพันธมิตร รวมทั้งการออกบูธของพันธมิตรจากภาครัฐ เอกชน และ Startup

"บีโอไอส่งเสริมการลงทุน ทั้งคนไทยและต่างชาติ ทุกขนาดการลงทุน"






6249
ไดเร็ค เอเชีย ครบรอบ 8 ปี ต่อยอดความสำเร็จ
ตั้งเป้าปี 65 มุ่งรักษาฐานลูกค้าปัจจุบัน พร้อมขยายพอร์ตเจาะตลาดใหม่


ไดเร็ค เอเชีย (DirectAsia) ผู้นำโบรกเกอร์ ประกันภัยรถยนต์ และ Digital Car Insurance Broker  รายแรกของประเทศไทย เปิดยุทธศาสตร์ ฉลองครบรอบ 8 ปี ต่อยอดความสำเร็จจากปี 2564 มียอดลูกค้าสะสมมากกว่า 400,000 กรมธรรม์ เดินหน้าใช้ CRM โซลูชัน เพิ่มขีดความสามารถด้านลูกค้าสัมพันธ์ในการดูแลและให้บริการลูกค้าปัจจุบัน เน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม หลังพบลูกค้าไว้ใจต่อกรมธรรม์เพิ่มขึ้นจาก 70% ในปี 2563 เป็น 75% ในปีที่ผ่านมา พร้อมเตรียมขยายตลาด เจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ ชูกลยุทธ์การตลาดแบบเซ็กเมนต์ หรือ Segmentation Marketing เพื่อทำการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง สนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดด้วยเครื่องมือการตลาดแบบ 360 องศา ตั้งเป้าปี 2565 ลูกค้าต่ออายุกรมธรรม์ต้องสูงกว่า 80% และมียอดลูกค้าใหม่ซื้อกรมธรรม์เติบโต 50% กว่าปีที่ผ่านมา ประเดิมมอบสิทธิพิเศษเพิ่มโค้ดส่วนลดให้ลูกค้าทุกคนในโอกาสครบรอบ 8 ปี เพื่อขอบคุณลูกค้า และขยายเวลาโครงการ “ชวนได้จ่ายจริง”


นายวรวุฒิ วาริการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไดเร็ค เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด โบรกเกอร์ ประกันภัยรถยนต์ในเครือฮิสค็อกซ์ (Hiscox Group) เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำโบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์ และ Digital Car Insurance Broker  รายแรกของประเทศไทย และได้ให้บริการดูแลลูกค้าในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องจนได้มีโอกาสฉลองครบ 8 ปี ในปี 2565 นี้ โดยตลอด 8 ปี ที่ผ่านมา ไดเร็ค เอเชีย ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด และเติบโตเฉลี่ย 50% ต่อปี โดยล่าสุด ณ ปี  2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดลูกค้าประกันรถยนต์ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กรชั้นนำ สะสมรวมมาแล้วกว่า 400,000 กรมธรรม์ โดยได้ให้บริการดูแลลูกค้าเคลมรวม กว่า 130,000 รายการ ซึ่งสะท้อนความมั่นคงของบริษัทฯ ในการดูแลชดเชยสินไหม และการบริหารจัดการการเคลมที่มีประสิทธิภาพ


ในปี 2565 ไดเร็ค เอเชีย มีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในการเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ ทั้งผ่านการต่ออายุกรมธรรม์ และการขายกรมธรรม์สำหรับรถคันอื่น ๆ ของสมาชิกในบ้าน เพื่อให้ไดเร็ค เอเชียได้ดูแลทั้งครอบครัว และนำเสนอการต่ออายุกรมธรรม์รูปแบบใหม่ทั้งการเพิ่มช่องทางการชำระค่าเบี้ยประกันแบบง่าย ๆ หรือ Easy Renewal ที่ลูกค้าสามารถเลือกจ่ายผ่าน QR code ได้ และการต่อแบบอัตโนมัติ หรือ Auto Renewal เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า หมดกังวลเรื่องการขาดต่ออายุในปีถัดไป ทั้งนี้จากฐานข้อมูลของบริษัทฯ พบว่าลูกค้าเดิมมีอัตราการต่อกรมธรรม์เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี กล่าวคือในปี 2564 มีลูกค้าเดิมต่อกรมธรรม์กับบริษัทฯ มากถึง 75% ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% จากปี 2563 และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายใหม่ที่ 80% ในปี 2565 บริษัทฯ ได้นำ Salesforce ซึ่งเป็น CRM โซลูชันบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์อันดับ 1 ของโลก ในการให้บริการลูกค้าของไดเร็ค เอเชีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการให้บริการลูกค้า และมอบสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับความต้องการรายบุคคล โดยมุ่งเป้าไปที่ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ
นอกจากการรักษาฐานลูกค้าเดิมแล้ว ไดเร็ค เอเชีย ยังตั้งเป้าขยายตลาดเพื่อเข้าถึงลูกค้าใหม่ ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบเซ็กเมนต์ หรือ Segmentation Marketing เจาะลึกเฉพาะกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งประเภทของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในรูปแบบการเจาะกลุ่มตามพื้นที่ ซึ่งจะเน้นเจาะไปที่ลูกค้าที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยนอกจากจะเน้นทำการสื่อสารทางการตลาด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ยังได้ทำการเก็บข้อมูลอินไซท์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย จนนำไปสู่การขยายอู่ในเครือ เพื่อให้ครอบคลุมทุกเขตในกรุงเทพฯ และทุก ๆ อำเภอในพื้นที่ปริมณฑล ส่งผลให้ ไดเร็ค เอเชีย มีจำนวนอู่ที่อยู่ภายในเครือมากเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการประกันรถยนต์ ทั้งยังใช้การเซ็กเมนต์ในรูปแบบการเจาะกลุ่มตามไลฟ์สไตล์ โดยพบว่าผู้บริโภคยุคนี้นิยมใช้รถกระบะและ SUV เพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ครอบคลุมการใช้งานทั้งในด้านธุรกิจการทำงาน หรือการท่องเที่ยวส่วนบุคคล ซึ่งไดเร็ค เอเชียได้ใช้กลยุทธ์ราคา และโปรโมชั่น โดยให้ส่วนลดพิเศษในการจองที่พักทั่วโลก เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ พร้อมนำเสนอความคุ้มครองของผลิตภัณฑ์ที่รองรับพฤติกรรมการขับรถที่หลากหลาย



ทั้งนี้ ไดเร็ค เอเชีย จะเดินหน้าทำการสื่อสารตลาดเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุมในทุกมิติ ด้วยเครื่องมือการตลาดแบบ 360 องศา โดยใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ควบคู่กับการใช้สื่อโฆษณาทั้งทางโทรทัศน์, สื่อนอกสถานที่ หรือ Out of Home Media, สื่อออนไลน์ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ รวมทั้งแคมเปญต่าง ๆ ของ ไดเร็ค เอเชีย


และเพื่อเป็นการฉลองโอกาสครบรอบ 8 ปี ของ ไดเร็ค เอเชีย และเป็นการแสดงความขอบคุณลูกค้า พร้อมตอกย้ำการเป็นโบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์ชั้นนำที่เข้าถึงผู้บริโภคอย่างแท้จริง ไดเร็ค เอเชีย ขอมอบสิทธิประโยชน์เมื่อซื้อประกันรถยนต์ ทั้งโค้ดเติมน้ำมันฟรีสูงสุด 1,000 บาท ในยุคน้ำมันแพงเช่นนี้ (จำกัดจำนวนและเงื่อนไขเป็นไปตามบริษัทฯ กำหนด) และเพิ่มโค้ดส่วนลดที่พักในอโกด้าพิเศษ 7% (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท อโกด้า ประเทศไทย กำหนด) ให้กับลูกค้า ไดเร็ค เอเชีย ทุกคน พร้อมกับขยายเวลาโครงการ “ชวนได้จ่ายจริง” ขานรับกลุ่มผู้ต้องการมีรายได้เพิ่มเติมในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน เพียงชวนคนรู้จักมาซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์กับ ไดเร็ค เอเชีย สำเร็จรับสูงสุด 1,500 บาทต่อกรมธรรม์ และสามารถใช้สิทธิได้ทุกคน โดยไม่จำกัดสิทธิ ตั้งแต่วันนี้ – 31 เมษายน 2565 รายละเอียดเพิ่มเติมhttps://www.directasia.co.th/refer/

“ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ไดเร็ค เอเชีย ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงขอถือโอกาสนี้ขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจใช้บริการของ ไดเร็ค เอเชีย และเพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้า เราจะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ โดยตระหนักถึงความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ พร้อมมองหาโซลูชันใหม่ ๆ เพื่อช่วยแก้ไข Pain-point ให้กับลูกค้าให้ได้มากที่สุด ด้วยการเตรียมเปิดฟีเจอร์การชำระเงินรูปแบบผ่อนผ่านการซื้อประกันผ่านทางเว็บไซต์ โดยในปี  2565 นี้ นอกจากจะมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนลูกค้าเดิมที่ต่ออายุกรมธรรม์ให้ได้สูงกว่า 80% และเรายังคาดว่าจะมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 50% กว่าปีที่ผ่านมาแล้ว อีกทั้ง ไดเร็ค เอเชีย ยังตั้งใจที่จะตอบแทนสังคมผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม ด้วยโครงการที่มุ่งเน้นในการช่วยบรรเทาและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน” นายวรวุฒิ กล่าว

###

เกี่ยวกับ บริษัท ไดเร็ค เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด

ไดเร็ค เอเชีย ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันภัยรถยนต์เพียงอย่างเดียว โดยให้ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์กับทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กรชั้นนำ พร้อมทั้งมีเครือข่ายอู่ซ่อมและศูนย์บริการคุณภาพในเครือกว่า 1,000 แห่งในประเทศ โดยตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ 365 แห่ง และกระจายอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน  635  แห่ง บริษัทตั้งเป้าหมายเป็นอันดับ 1 ของ Digital Car Insurance Broker ในประเทศไทยภายในปี 2568 นอกจากนี้ ไดเร็ค เอเชีย เป็นบริษัทในเครือของ ฮิสค็อกซ์ กรุ๊ป (Hiscox Group) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเบอร์มิวดา มีสำนักงาน 35 แห่งใน 14 ประเทศ เป็นบริษัทประกันภัยที่เป็นที่ยอมรับและมีความมั่นคงทางการเงิน ได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ด้านประกันภัย รวมถึงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมประกันภัยที่มีมาจากรากฐานระดับโลกตั้งแต่ปี 2444 ยาวนานกว่า 120 ปี ฮิสค็อกซ์ มีพนักงานมากกว่า 3,000 คนทั่วโลกและได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในระดับ A ที่มีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนสูง รวมทั้งเป็นที่รู้จักอย่างดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยเฉพาะทาง เช่น ประกันภัยรถยนต์ ของใช้ในบ้านที่มีมูลค่าสูง ธุรกิจขนาดเล็ก วิจิตรศิลป์ การลักพาตัวและเรียกค่าไถ่ และการประกันภัยการก่อการร้าย

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บริษัท ไดเร็ค เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด: (weblink)

6250
13 นักกอล์ฟไทยลงสู้ศึก “ดีจีซี โอเพ่น” ชิงเงินรวมกว่า 16 ล้านบาท ที่อินเดีย




นิวเดลี – โปรหนุ่มไทย 13 คน พร้อมลงสู้ศึกเอเชียน ทัวร์ รายการ “ดีจีซี โอเพ่น พรีเซนเต็ดบาย มาสเตอร์การ์ด” ชิงเงินรางวัลรวม 5 แสนเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16 ล้านบาท ที่สนามเดลี กอล์ฟ คลับ ระยะ 6,912 หลา พาร์ 72 ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เปิดฉากชิงชัยรอบแรกวันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคมนี้




การแข่งขันกอล์ฟเอเชียน ทัวร์ สัปดาห์นี้ เป็นการหวนคืนสู่ประเทศอินเดียอีกครั้งในรอบกว่า 3 ปี กับรายการ “ดีจีซี โอเพ่น พรีเซนเต็ดบาย มาสเตอร์การ์ด” ชิงเงินรางวัลรวม 5 แสนเหรียญหสรัฐ หรือประมาณ 16 ล้านบาท แข่งขันระหว่างวันที่ 24-27 มีนาคมนี้ ที่สนามเดลี กอล์ฟ คลับ ระยะ 6,912 หลา พาร์ 72 ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ซึ่งออกแบบโดย แกรี เพลเยอร์ โปรระดับตำนานของโลก โดยมีนักกอล์ฟลงชิงชัย 138 คน ซึ่งแชมป์จะได้รับเงินรางวัล 90,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 2.9 ล้านบาท


รายการนี้มีโปรไทยลงแข่งขัน 13 ราย นำโดย อติรุจ วินัยเจริญชัย นักกอล์ฟทำเงินรางวัลสะสมอันดับ 21 ของทัวร์ และ นิติธร ทิพย์พงษ์ มือ 37 เอเชียน ทัวร์ ร่วมด้วย เศรษฐี ประคองเวช, แดนไท บุญมา, จักรพันธ์ เปรมสิริกรณ์, กษิดิศ เล็บครุฑ, จณัตว์ สกุลพลไพศาล, ดลภัทรไชย นิยมชน, ธนภัทร พิชัยกุล, ภูมิ ภัทโรพงศ์, วุฒิวิทย์ เจริญพรนุกูล, แสงชัย แก้วเจริญ และ สุทธิเจตน์ คูห์รัตนพิศาล ทางด้านนักกอล์ฟเจ้าถิ่นลงแข่งขันมากถึง 78 คน นอกจากนี้ แกรี เพลเยอร์ ตำนานกอล์ฟชาวแอฟริกาใต้ ได้เดินทางมาร่วมพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเหล่าผู้เข้าแข่งขันและคณะเจ้าหน้าที่ของการแข่งขัน ดีจีซี โอเพ่น พรีเซนเต็ดบาย มาสเตอร์การ์ด ที่สนามเดลี กอล์ฟ คลับ ในครั้งนี้ด้วย


โปรดราก้อน-อติรุจ วินัยเจริญชัย วัย 21 ปีจากชลบุรี ซึ่งจบอันดับ 6 ร่วมในรายการ รอยัลส์ คัพ ที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เผยหลังออกรอบฝึกซ้อมที่สนามเดลี กอล์ฟ คลับ ว่า “เป็นครั้งแรกที่มาเล่นที่อินเดียในฐานะนักกอล์ฟอาชีพ รู้สึกดีที่ได้กลับมาเล่นที่นี่อีกครั้ง และอยากจะหาโอกาสในการลงเล่นให้ได้มากที่สุด สภาพสนามโดยรวมถือว่าดี แต่ค่อนข้างแคบและลมแรง ช็อตทีออฟจึงสำคัญมาก สนามนี้ต้องเล่นแบบใจเย็น ส่วนตัวก็พร้อมแล้วที่จะลงแข่งขัน เพราะเตรียมตัวมาดี และมีความมั่นใจ ต้องเป้าทำอันเดอร์ให้ได้ทุกวัน”


สำหรับการแข่งขันกอล์ฟรายการ “ดีจีซี โอเพ่น พรีเซนเต็ดบาย มาสเตอร์การ์ด” รอบแรก (24 มี.ค.) กลุ่มแรกเริ่มเวลา 06.50 น. ขณะที่กลุ่มสุดท้ายออกสตาร์ทเวลา 13.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น

ติดตามข่าวสารของการแข่งขันได้ที่​
www.asiantour.com

6251
กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เผยผลการศึกษาวิจัยและพัฒนาสื่อสำหรับเด็กปฐมวัย (อายุ 3-6 ปี) ระยะที่ 2 ร่วมกับวิทยาลัยนวัตกรรม ม.ธรรมศาสตร์ และสถานีโทรทัศน์ Thai PBS


กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับวิทยาลัยนวัตกรรม ม.ธรรมศาสตร์ และสถานีโทรทัศน์ Thai PBS เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยและพัฒนาสื่อสำหรับเด็กปฐมวัย (อายุ 3-6 ปี) ในระยะที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิจัย ทดลองและพัฒนาการผลิตสื่อสำหรับเด็กปฐมวัยช่วงอายุ 3-6 ปี ที่มุ่งเน้นให้มีความเหมาะสมกับพัฒนาการเด็กช่วงอายุ 3-6 ปี ซึ่งเป็นการต่อยอดกระบวนการศึกษาวิจัยและพัฒนาจากระยะที่ 1 ในปีที่ผ่านมา การพัฒนาครั้งนี้ได้ต่อยอดให้เกิดเป็นสื่อนำร่องหรือสื่อต้นแบบสำหรับการพัฒนาแนวทางการผลิตสื่อสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี ในอนาคต รวมถึงสร้างองค์ความรู้ด้านการพัฒนาสื่อสำหรับเด็กปฐมวัยประเภทจอ อันสามารถนำไปเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์ต่อไปในอนาคต


               นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้เปิดเผยว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วงเด็กปฐมวัยเป็นช่วงวัยที่สำคัญอย่างยิ่ง กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จึงมีแนวทางในการศึกษาและพัฒนาสื่อสำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งในช่วงอายุ 3-6 ปี เป็นช่วงวัยที่เริ่มเปิดรับสื่อประเภทจอ (Screen Media) ได้ในความยาวที่เหมาะสม และจากองค์ความรู้ด้านพัฒนาการเด็กช่วงวัยดังกล่าวและสถานการณ์สื่อสำหรับเด็กปฐมวัยในปัจจุบัน จึงร่วมมือกับภาคีทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ คือ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ทำงานต่อเนื่องพัฒนาต่อยอดจากงานวิจัยระยะที่ 1 โดยมุ่งสร้างองค์ความรู้ด้านการผลิตสื่อสำหรับเด็กปฐมวัย อายุ 3-6 ปี ที่สามารถนำไปเผยแพร่และประยุกต์ใช้ได้ต่อไป”

               ทางด้าน ผู้ช่วยศาตราจารย์ระวีวรรณ ทรัพย์อินทร์ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “การพัฒนาสื่อเพื่อเด็กปฐมวัยมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในประเทศไทยยังต้องการพัฒนาองค์ความรู้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง อีกทั้งกระบวนการผลิตสื่อสำหรับเด็กปฐมวัยนั้นมีรายละเอียดที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและใส่ใจในทุกขั้นตอน และต้องมีการบูรณาการองค์ความรู้หลากหลายสาขา ทั้งทางด้านสื่อและด้านพัฒนาการเด็ก ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะจึงจำเป็นจะต้องดำเนินการศึกษาวิจัยพัฒนาเพื่อให้เกิดผลผลิตที่เป็นสื่อที่ปลอดภัยและ สร้างสรรค์สำหรับเด็กอย่างต่อเนื่องและเป็นประโยชน์สอดคล้องกับพัฒนาการเด็กอย่างแท้จริง”


               ทั้งนี้เราได้นำรายการต้นแบบจากระยะที่ 1 มาพัฒนาต่อยอดโดยมีการกระบวนการทำงานร่วมกัน กับสหวิชาชีพ ทีมผู้ผลิต กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และทีมผู้วิจัยจน ได้ผลงานสื่อสำหรับเด็กปฐมวัยทั้งสิ้น 2 รายการ รวม 8 ชิ้นงาน คือ 1.รายการจังหวะคิดส์ สำหรับเด็กอายุ 3-4 ปี จำนวน 4 ตอน และ 2.รายการ Flowers Power สำหรับเด็กอายุ 5-6 ปี จำนวน 4 ตอน ทั้งนี้ผู้วิจัยและทีมสห วิชาชีพผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเห็นว่ารายการ Flowers Power สามารถใช้เป็นรายการต้นแบบเพื่อการผลิตรายการสำหรับเด็กปฐมวัยได้ ส่วนรายการจังหวะคิดส์ยังต้องมีการปรับพัฒนาต่อไปซึ่งจะสามารถใช้เป็นแนวทางในการศึกษาและพัฒนาต่อยอดสู่การเป็นรายการต้นแบบในอนาคตต่อไป นอกจากนี้การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ยังได้ องค์ความรู้ในประเด็นการพัฒนาด้านเนื้อหา ด้านกลวิธีการเล่าเรื่อง ด้านลักษณะ Character ของพิธีกรและตัวละคร (ที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ) และทำ Audience Test เพื่อนำไปปรับปรุงผลงาน และเป็นจุดสำคัญเพื่อการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการผลิตสื่อสำหรับเด็กปฐมวัยต่อไป

               พร้อมกันนี้จากการวิจัยนี้เราพบว่าองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นในโครงการพัฒนาผู้ผลิตสื่อสำหรับเด็กปฐมวัย (อายุ 3-6 ปี) นอกจากจะมีรายละเอียดที่ต้องออกแบบให้สอดคล้องกับพัฒนาการ ทั้งทางกาย ทางอารมณ์ ทางสังคมแล้ว เรื่องการออกแบบเนื้อหายังต้องอยู่บนแกนสาระสำคัญ โดยมีเช็คลิสต์ที่ 5 ข้อ ซึ่งเป็นหัวใจในการผลิตสื่อสำหรับเด็ก ดังนี้


               1.​ กระตุ้นจินตนาการและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ( Creative Thinking & Imagination) : มีเนื้อหาที่เปิดโลกจินตนาการ ให้เด็กฝึกคิดในแง่มุมใหม่ ยืดหยุ่นและเปิดมุมมองด้านความคิดสร้างสรรค์ อาจเพิ่มทักษะการสังเกต หรือตั้งคำถามในเชิงสร้างสรรค์

               2.​ พัฒนาทักษาทางสังคม (Social Skills) : ช่วยเพิ่มทักษะที่สำคัญในโลกยุคใหม่นี้ ทำให้เด็กๆ มีทัศนคติที่ดี มีพลังบวก การมีน้ำใจ ช่วยเหลือเพื่อนหรือคนในครอบครัว ทำให้เด็ก ๆ เข้าใจการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น มีความเข้าอกเข้าใจ และส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น

               3.​ สะท้อนและเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน (Related to Daily Life) เพื่อให้เด็กเข้าใจ เข้าถึง และอินกับเนื้อหาได้ง่าย เช่น ปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่เด็ก ๆ ต้องเจอในชีวิตประจำวันซึ่งสามารถเพิ่มเติมเนื้อหาการแก้ปัญหาอุปสรรคในเชิงบวกให้เด็ก ๆ ไปด้วยได้

               4.​ ส่งเสริมความเข้าใจ และความภูมิใจในตัวเอง (Self-esteem) การรู้จักรักและภาคภูมิใจในตนเองเป็นพื้นฐานสำคัญของความมั่นใจ การตัดสินใจ ทำให้เด็กมีความเข้าใจโลกและมีความสุข มีสุขภาพจิตที่ดี อาจมีเนื้อหาที่ทำให้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึก การรู้จักเคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่น โดยเลือกเนื้อหาที่เข้าใจง่ายเหมาะกับช่วงวัย

               5.​ สอดแทรกบริบทแวดล้อมให้เหมาะกับสังคมไทย (Cultural Context) สามารถสอดแทรกเรื่องราวของบริบทสังคมไทยเข้าไป ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ เรื่องวัฒนธรรม วิถีของสังคมไทยได้อย่างง่าย เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทในสังคม

ซึ่งหลักการ 5 ข้อนี้ จะช่วยให้มีจุดตั้งหลักในการคิดเนื้อหา ผู้ผลิตสื่อสำหรับเด็กก็จะมีแผนที่ที่ชัดเจน ที่จะสร้างสื่อเด็กที่ปลอดภัย สร้างสรรค์เหมาะกับเด็ก ๆ แต่ละช่วงวัยได้ โดยผลการศึกษาวิจัยยังพบแง่มุมที่น่าสนใจและนำไปปรับใช้ได้ต่อไป นอกจากนี้การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ยังได้ องค์ความรู้ในประเด็นการพัฒนาด้านเนื้อหา ด้านกลวิธีการเล่าเรื่อง ด้านลักษณะ Character ของพิธีกรและตัวละคร และการทดสอบรายการกับกลุ่มผู้ชมเป้าหมาย (Audience Test) ที่ทำให้ได้รับผลตอบกลับ (Feedback) จากผู้ชมกลุ่มที่เราต้องการสื่อสารจริง ๆ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการผลิตสื่อสำหรับเด็กปฐมวัยต่อไปในอนาคตด้วย

6252
ขยี้ตารัวๆ “มารี เบิร์นเนอร์” ทุ่มสุดตัว แปลงโฉม เป็นสาวเจ้าเนื้อ ใน
“พิษรักรอยอดีต” ดูย้อนหลังที่แรก
บนแอป iQiyi (อ้ายฉีอี้) และ เว็บไซต์
www.iQ.com


               ออนแอร์ไปให้ได้ชมกันแล้วกับละครเรื่องใหม่ของทางช่องวัน31 เรื่อง “พิษรักรอยอดีต” นำแสดงโดย มารี เบิร์นเนอร์, บี น้ำทิพย์, ไบร์ท นรภัทร, อาร์ต พศุตม์  ผลงานกำกับการแสดงของ ธนวัจน์  ปัญญารินทร์




               ประเดิมตอนแรกก็เรียกว่าต้องขยี้ตารัวๆ เมื่อนางเอกสาว “มารี เบิร์นเนอร์” ปรากฏตัวด้วยลุคสาวเจ้าเนื้อ ที่เรียกว่าแทบจำไม่ได้ เพราะต้องรับบทเป็น ผิง หญิงสาวเจ้าเนื้อจิตใจดี ที่กำลังจะเป็นเจ้าสาว ซึ่งในเรื่องนี้ มารีต้องใช้เวลาแต่งตัวนานกว่าคนอื่น เพราะเธอต้องใช้ ซิลิโคน สำหรับ แมคอัพ การแปลงโฉมบนใบหน้า เพื่อให้ดูสมจริงกับการเป็นสาวเจ้าเนื้อ และ ความลำบากอยู่ตรงที่ การแสดงต้องแสดงออกทางสีหน้าแววตาซึ่งถือว่าค่อนข้างยากสำหรับการรับบทนี้




               การพลิกบทบาทครั้งสำคัญของนางเอกสาว มารี เบรินเนอร์ ที่ต้องมาประชันกับตัวแม่ บี น้ำทิพย์ นักแสดงฝีมือฉกาจที่กลับมาฟาดฟันกันอีกครั้ง และร่วมด้วย, ดวงตา ตุงคะมณี, มนตรี เจนอักษร ฯลฯ




               “พิษรักรอยอดีต” ดูย้อนหลังที่แรกได้ตั้งแต่เวลา  22.30 น. บนแอปพลิเคชัน iQiyi (อ้ายฉีอี้) และเว็บไซต์​ www.iQ.com




               สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก VIP สามารถรับชม แบบไม่มีโฆษณาคั่น ด้วยภาพคมชัดระดับ Full HD และเสียงระบบ Dolby เสมือนดูในโรงภาพยนตร์ โปรโมชั่นเดือนแรก จ่ายเพียง 35 บาท

               และห้ามพลาดกับโปรโมชั่นสุดคุ้ม  iQiyi VIP SUPER SALE เพียงสมัครสมาชิก VIP 3 เดือน ลดทันที 100 บาท เหลือ 239 จากปกติ 339 ตั้งแต่ 21 มีนาคม - 3 เมษายน 2565 พร้อมรับสิทธิรับชมเนื้อหาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ, รับชมคอนเทนต์ได้ก่อนใคร, สามารถดูได้พร้อมกัน 2 จอ, ดาวน์โหลดเพื่อดูแบบออฟไลน์แบบไม่มีโฆษณาคั่น ด้วยภาพคมชัดระดับ Full HD และเสียงระบบ Dolby เสมือนดูในโรงภาพยนตร์ บนแอปพลิเคชัน iQiyi (อ้ายฉีอี้) และเว็บไซต์​ www.iQ.com

               ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ทั้งสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตได้ใน App Store และ Google Play – กดดาวน์โหลดฟรี​ https://i.qy.net/f34caJ-b7

               อัปเดตและติดตามความเคลื่อนไหวสาระบันเทิงยอดนิยมแห่งเอเชียได้ทาง Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/iQIYIThailand; IG:@iQIYIThailand; Twitter: @iQIYIThailand; YouTube: iQIYI Thailand

6253
แกร็บ หนุนภาครัฐ-ดันพลังงานสะอาด
ตั้งเป้า 5 ปีเพิ่มพาร์ทเนอร์ใช้รถ EV 10%


แกร็บ ประเทศไทย ขานรับนโยบายรัฐ-หนุนเทรนด์พลังงานสะอาด ประกาศตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับ-ผู้จัดส่งอาหารที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ 10% ของพาร์ทเนอร์คนขับทั้งหมดภายในปี 2569 เล็งหารือกับกลุ่มผู้ผลิต-สถานีชาร์จเพื่อส่งเสริม และผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับ ควบคู่ไปกับผนึกพันธมิตรกับธนาคาร-ไฟแนนซ์เพื่อสนับสนุนการวางแผนทางการเงินและการปล่อยสินเชื่อ พร้อมให้ความร่วมมือภาครัฐกระตุ้นการรับรู้ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้รถไฟฟ้าในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับ สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการร่วมมือกับกลุ่มอาเซียนขับเคลื่อนพลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาค

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการบริหาร แกร็บ ประเทศไทย​ กล่าวว่า “ประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนับเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก แนวคิดในการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนหรือเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำได้กลายเป็นหนึ่งในทางออกเพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินท์ และด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ทำให้ปัจจุบันยานพาหนะที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้กลายเป็นทางเลือกใหม่และกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในวงกว้าง ทั้งนี้ การผลักดันประเทศไทยให้ก้าวไปสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักและถือเป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิงและน้ำมัน รวมถึงปัญหามลพิษอย่างยั่งยืน”




“ที่ผ่านมา แกร็บ ประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ได้ตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม จึงได้ริ่เริ่มโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และพยายามลดผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในเชิงสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการนำร่องที่ส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์คนขับใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในการให้บริการจัดส่งอาหาร และการเปิดตัวฟีเจอร์พิเศษที่ชวนให้ผู้ใช้บริการมีส่วนร่วมในการชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนผ่านการบริจาคเงินเพื่อสมทบในการปลูกป่า เป็นต้น และเพื่อเป็นการแสดงถึงเจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ในปีนี้ แกร็บ จึงได้ประกาศเป้าหมายระยะยาว (2565-2569) ในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับ-ผู้จัดส่งอาหารที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ 10% ของจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาค”

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ แกร็บ ประเทศไทย จะมุ่งดำเนิน 3 กิจกรรมหลัก อันประกอบด้วย


              ●      การประสานความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า​ เพื่อสรรหารถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีสเป็คตรงตามความต้องการของกลุ่มกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหาร-พัสดุ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนหลายแสนคน รวมไปถึงการส่งเสริมการทดลองใช้งานและการทำการตลาดร่วมกัน นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงบริการที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ผู้ให้บริการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าและระบบบริหารจัดการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมและผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

              ●      การผนึกพันธมิตรกับกลุ่มธนาคารหรือสถาบันทางการเงิน เพื่อนำเสนอแผนการจัดไฟแนนซ์ หรือบริการสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษและการชำระคืนแบบรายวัน เพื่อสร้างแรงจูงใจและลดภาระหนี้ให้กับกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบ

              ●      การให้ความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า​ ในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหาร-พัสดุ โดยเฉพาะในเรื่องของประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทรนด์และเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างการรับรู้และการยอมรับ ซึ่งจะส่งผลต่อการทดลองใช้และบอกต่อ




“การประกาศเป้าหมายระยะยาวของ แกร็บ ประเทศไทย ในการส่งเสริมการใช้ EV ในครั้งนี้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่สะท้อนความตั้งใจของแกร็บในการมีส่วนแก้ปัญหาและสร้างความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ GrabForGood หรือ แกร็บ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ที่มุ่งส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนในสังคม โดยแกร็บพร้อมเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนในการสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดให้เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจของเรา และพร้อมให้การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการผลักดันนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้” นายวรฉัตร กล่าวทิ้งท้าย

###

เกี่ยวกับแกร็บ

แกร็บ (Grab) คือ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อ้างอิงข้อมูล “มูลค่าธุรกรรมรวมในตลาด” หรือ GMV ทั้งบริการจัดส่งอาหาร บริการการเดินทาง และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ในปี พ.ศ. 2564 โดยยูโรมอนิเตอร์) ปัจจุบัน แกร็บนำเสนอบริการต่างๆ แบบออนดีมานด์ ครอบคลุมทั้งบริการการเดินทาง การจัดส่งอาหาร สินค้าและพัสดุ ตลอดจนบริการทางการเงินในรูปแบบดิจิทัล เพื่อตอบสนองผู้ใช้บริการหลายล้านคนทั่วทั้ง 480 เมืองใน 8 ประเทศ อันได้แก่ กัมพูชา ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เมียนมาร์ เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ของพาร์ทเนอร์คนขับและพาร์ทเนอร์ร้านค้า ไม่ว่าจะเป็น การสั่งอาหารหรือการสั่งซื้อสินค้า การจัดส่งพัสดุ การเรียกรถรับ-ส่งหรือแท็กซี่ ไปจนถึงการทำธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์ เช่น การขอสินเชื่อ การทำประกัน การบริหารความมั่งคั่ง และการบริการทางการแพทย์ทางไกล เป็นต้น แกร็บก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2555 โดยมีวิสัยทัศน์ในการมุ่งขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการสร้างโอกาสและส่งเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับทุกคน จวบจนปัจจุบันแอปพลิเคชันแกร็บได้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วบนโทรศัพท์มือถือนับหลายล้านเครื่อง และแกร็บจะยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งให้กับผู้ถือหุ้น ควบคู่ไปกับการสร้างการเปลี่ยนแปลงเขิงบวกให้กับสังคมทั่งทั้งภูมิภาค ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแกร็บได้ที่ www.grab.com

6254
แม็คโคร ร่วมกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ แก้ปัญหาผลไม้ ปี 2565
เดินหน้ารับซื้อผลไม้ จำนวนกว่า 38,400 ตัน ช่วยชาวสวนทั่วประเทศฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน






                 บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) โดย​ นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร​ เข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการผลไม้กับ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ประจำปี 2565 เพื่อแก้ไขปัญหาของชาวสวนผลไม้ทั่วประเทศที่กำลังประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาด และการส่งออกได้รับผลกระทบ โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ แม็คโครมุ่งมั่นเดินหน้าพันธกิจเคียงข้างเกษตรกรไทย พร้อมตอกย้ำการเป็นผู้นำอาหารสดมาอย่างต่อเนื่อง ทุกปีมีการรับซื้อผลไม้จากเกษตรกรรายย่อยเป็นจำนวนมาก  ร่วมด้วยการจัดกิจกรรมกระตุ้นการบริโภค เพื่อช่วยกระจายผลผลิตไปยังแม็คโครทุกสาขา และทุกช่องทางจำหน่าย สำหรับในปี 2565 ตั้งเป้าการรับซื้อผลไม้จากชาวสวนทั่วประเทศ จำนวนกว่า 38,400 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14% ซึ่งพันธกิจดังกล่าวเป็นส่วนหนึงของแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยของไทยให้มีช่องทางการจำหน่ายและเติบโตอย่างยั่งยืน

6255
ออล อเบ้าท์ บอท รุกตลาดเครื่องดูดฝุ่นด้วยแบรนด์ Hoover แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ทั่วโลก การันตีด้วยรางวัล The World's First Portable Vacuum Cleaner

               ออล อเบ้าท์ บอท ผู้นำเข้า Hoover (ฮูเวอร์) แบรนด์ดูดฝุ่นสัญชาติอเมริกาบุกตลาดเครื่องดูดฝุ่นที่ผลิตมาเพื่อตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ชูคุณภาพมาตรฐานระดับโลก และราคาจับต้องได้ ตั้งเป้าขึ้นเป็นแบรนด์เครื่องดูดฝุ่นอันดับต้น ๆ ของไทย


               นายภิญโญ วัฒนศักดิ์ กรรมการบริษัท ออล อเบ้าท์ บอท จำกัด ผู้นำเข้านวัตกรรมเครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดบ้าน แบรนด์ Hoover แบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี และเป็นผู้คิดค้นเครื่องดูดฝุ่นเครื่องแรกในโลก ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในฐานะ The World's First Portable Vacuum Cleaner  เผยว่า บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องดูดฝุ่นแบรนด์ Hoover แบรนด์มาตรฐานระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ที่เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องดูดฝุ่นโดยเฉพาะ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้การดำเนินชีวิตของลูกค้าสะดวกสบาย และตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยมาตรฐานสินค้าที่มีคุณภาพในราคาสมเหตุสมผล เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น รวมถึงเข้ามารับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอยู่ติดบ้านเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการทำงานแบบ Work from home ซึ่งนอกจากทำงานของตนเองแล้วยังต้องมาทำงานบ้านด้วย อาทิ กวาดบ้าน ถูบ้าน ดูดฝุ่น ทำอาหาร ล้างจาน และรดน้ำต้นไม้ เพื่อให้บ้านสะอาดปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมตลาดสินค้าประเภทเครื่องดูดฝุ่นในปี 2021 ที่ผ่านมา มีการเติบโตด้วยมูลค่ารวมกว่า 3,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ ในส่วนของบริษัทฯ ที่นำเข้าสินค้าแบรนด์ Hoover มีทั้งหมด 6 รุ่น แบ่งเป็นแบบไร้สาย 5 รุ่น และมีสาย 1 รุ่น ดังนี้


               1.​ รุ่น Hoover Deluxe (แบบมีสาย) เป็นเครื่องดูดฝุ่นดูดเปียกขัดพื้น ลักษณะเหมือนเครื่องขัดพื้นตามห้างที่ถูกย่อส่วนและออกแบบใหม่เพื่อมาใช้แบบ Home use ใช้งานได้หลากหลายพื้นที่

               2.​ รุ่น Hoover Jet เครื่องดูดฝุ่น ถูพื้น ล้างพื้นและเช็ดแห้ง ในการทำงานเพียงครั้งเดียวนวัตกรรมใหม่ ทำให้เราสามารถดูดฝุ่นไปพร้อม ๆ กับถูพื้นล้างพื้นได้อย่างง่ายดาย สามารถดูดฝุ่นละเอียดชิ้นเล็กได้เศษแก้ว หรือจานที่ตกแตก จนถึงข้าวผัดกระเพราไข่ดาวที่ทำตกอยู่ที่พื้นได้

               3.​ รุ่น Hoover Blade Max​ เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย ระบบ Dual Cyclone เพิ่มแรงดูด 2 เท่า ด้วย Digital motor ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของทาง Hoover และหัวดูดหลากหลายแบบให้เลือกใช้ได้ตามสภาพพื้นที่และความเหมาะสมในกับการทำความสะอาด

               4.​ รุ่น Hoover Spotless Go​ เครื่องทำความสะอาดเฉพาะจุด เช่น โซฟา ที่นอน เก้าอี้ คาร์ซีด โดยใช้น้ำฉีดลงไปบนพื้นที่ที่ต้องการทำความสะอาด แล้วนำเครื่องไปดูดสิ่งสกปรกเก็บกลับมาที่เครื่องอีกครั้ง

               5.​ รุ่น Hoover HandVac​ เครื่องดูดฝุ่นมือถือ น้ำหนักเบา ตัวเครื่องเล็ก แต่ดูดได้แรง เหมาะสำหรับใช้ในรถยนต์

               6.​ รุ่น Hoover Fogger เครื่องพ่นละอองสเปรย์ สามารถใส่น้ำยาฆ่าเชื้อได้ เหมาะกับสถานการณ์โควิดในปัจจุบัน ซึ่งในต่างประเทศนิยมใช้ฆ่าเชื้อในพื้นที่สาธารณะหลังจากปิดบริการประจำวัน เช่น ฟิตเนส ร้านอาหาร


               “แบรนด์ Hoover มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 100 ปี จนได้รับการยอมรับจากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในฐานะ The World's First Portable Vacuum Cleaner ด้วยคุณภาพที่น่าเชื่อถือ และราคาสามารถจับต้องได้ เราจึงตั้งเป้าเป็นแบรนด์เครื่องดูดฝุ่นอันดับต้น ๆ ของไทย โดยเฉพาะรุ่น Hoover Jet, Hoover Deluxe และ Hoover Spotless Go ซึ่งจัดอยู่ในหมวดย่อย คือ Wet&Dry ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมดเพียง 4% เท่านั้น และถึงแม้ว่าตอนนี้เริ่มมีแบรนด์ต่าง ๆ นำเข้ารุ่นเหล่านี้มาจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนตัวมองว่ายังมีโอกาสที่จะสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะคู่แข่งยังไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับเครื่องดูดฝุ่นมือถือ หรือหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ที่กินส่วนแบ่งไปกว่า 70-80% จึงมั่นใจ Hoover จะเข้ามาสอดแทรกและเป็นที่รู้จักในตลาดเครื่องดูดฝุ่นเมืองไทยได้ไม่ยาก” นายภิญโญ กล่าว


               นอกจากนี้เครื่องดูดฝุ่น Hoover 5 รุ่นแบบไร้สายยังมีจุดเด่นในเรื่องของแบตเตอรี่ ที่ชาร์ตได้ค่อนข้างเร็ว โดยใช้เวลาในการชาร์ตต่อครั้งเพียง 3.5 ชั่วโมง และสามารถใช้แบตเตอรี่ร่วมกันได้ทุกรุ่น เรียกว่าตระกูล ONEPWR (One Power) ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของแบรนด์ Hoover และเนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีจำหน่ายมาแล้วในประเทศไทย แบรนด์ Hoover จึงเป็นที่รู้จักและยังมีฐานลูกค้าเดิมซึ่งอยู่ในกลุ่มอายุประมาณ 30-50 ปี โดยปัจจุบันนี้ทางแบรนด์ได้มีการพัฒนาและผลิตสินค้าเพื่อตอบโจทย์ และรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้นไปอีก

               สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเลือกซื้อเครื่องดูดฝุ่น Hoover ได้ที่ร้าน dotlife ร้าน SB Design Square และร้านค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ทาง Home Pro Online, Central Online, Lifestyle.Firster สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Hooverthailand

Pages: 1 ... 415 416 [417] 418 419 ... 2248