Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - du_sit

Pages: [1] 2 3 ... 71
1
ที่สุดปรากฏการณ์แห่งความภาคภูมิใจข้ามปี
เซ็นทรัลเวิลด์ ฉลองเคาท์ดาวน์ระดับโลกแบบ New Normal
ในงาน “centralwOrld bangkOk cOuntdOwn 2021”
ตัวแทนประเทศไทยส่งต่อพลังบวกให้กำลังใจคนทั่วโลก ด้วยโชว์ตระการตาใจกลางกรุงเทพฯ
‘A Symbol of Hope’


•   เอกลักษณ์หนึ่งเดียวในไทย! ด้วยการแสดงพลุผสานเทคนิค Digital Synchronization ในรูปแบบสื่อผสม Audio & Visual Graphic Art อลังการบนจอ the panOramix ที่ยาวที่สุดในโลก




              กรุงเทพฯ – บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัล ภูเก็ต และเซ็นทรัลวิลเลจ จับมือพันธมิตรธุรกิจ ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, มาสเตอร์การ์ด, บริษัท แพลน บี มีเดีย จํากัด (มหาชน), บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท วันสามสิบเอ็ด จำกัด (ช่อง ONE 31) สร้างปรากฏการณ์งานเคาท์ดาวน์ข้ามปีรูปแบบ New Normal ระดับโลก “centralwOrld bangkOk cOuntdOwn 2021 – A Symbol of Hope” ถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ผ่านทางช่อง ONE 31, LINE TV, Bangkok Post, Workpoint Entertainment, Post Today และ centralwOrld Facebook ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลกก็สามารถรับชมการแสดงสุดประทับใจได้ ด้วยเซอร์ไพรส์โชว์เพลงแห่งความหวัง และไฮไลท์นับถอยหลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2021 ด้วยไฮไลท์โชว์พลุสุดตระการตาต่อเนื่อง 5 นาที ในธีม ‘A Symbol of Hope’ สร้างสัญลักษณ์แห่งความหวัง เป็นตัวแทนประเทศไทยส่งต่อพลัง Meaningful Positivity ส่งต่อพลังจากคนไทยให้กำลังใจคนทั่วโลก ให้สมกับที่เป็น Times Square แห่งเอเชีย




            ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ปีนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่แลนด์มาร์กเคาท์ดาวน์ทั่วโลกได้พร้อมใจกันปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงาน โดยรณรงค์ให้ทุกคนเฉลิมฉลองอยู่ที่บ้าน รวมถึงที่เซ็นทรัลเวิลด์ แลนด์มาร์กเอ็นเตอร์เมนท์เคาท์ดาวน์ชั้นนำระดับโลกของประเทศมากว่า 20 ปี สำหรับไฮไลท์เด็ดของการฉลองเคาท์ดาวน์ในปีนี้คือพลุฉลองเทศกาลปีใหม่ที่จุดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ A Symbol of Hope สัญลักษณ์แห่งความหวัง ส่งต่อ Meaningful Positivity พลังจากคนไทยให้กำลังใจคนทั่วโลก มีความตระการตาต่อเนื่องยาว 5 นาที พร้อมผสานเทคนิค Digital Synchronization ในรูปแบบสื่อผสม Audio & Visual Graphic Art อลังการบนจอ the panOramix ที่ยาวที่สุดในโลก ให้สมกับดีกรีแลนด์มาร์กเอ็นเตอร์เทนเมนต์เคาท์ดาวน์ที่ดีที่สุดตลอดกาล ปิดท้ายค่ำคืนด้วยการนับถอยหลังพร้อมกันกับเซ็นทรัลเวิลด์ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2021 ด้วยไฮไลท์พลุสุดตระการตาต่อเนื่อง 5 นาที ในธีม ‘A Symbol of Hope’ สร้างสัญลักษณ์แห่งความหวัง เป็นตัวแทนประเทศไทยส่งต่อพลัง Meaningful Positivity ส่งต่อพลังจากคนไทยให้กำลังใจคนทั่วโลก ให้สมกับที่เป็น Times Square แห่งเอเชีย

ครั้งแรกกับการชมพลุย้อนหลังแบบ 5G and VR Live Broadcast สุดล้ำ ด้วยการร่วมมือครั้งสำคัญระดับอินเตอร์ กับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด (Huawei) และ บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) หรือ Bangkok Post ให้ทุกท่านได้รับชมการแสดงพลุ  A Symbol of Hope ย้อนหลังแบบจุใจอย่างง่ายๆ เพียงสแกน QR Code ภายในศูนย์การค้า หรือดาวน์โหลด VR Application เพื่อรับชมแบบคมชัดบนมือถือของท่าน หรือรับชมที่จุด VR Experience ได้ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่วันที่ 7-18 มกราคม 2564





      ความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้การแสดงพลุ A Symbol of Hope ทั้ง 4 องก์ ได้แก่

•   องก์ที่ 1 : Spirit of Togetherness “ความสามัคคี” ของคนทั้งโลก คือวัคซีนล้ำค่า สื่อถึงจิตวิญญาณของผู้คนทั่วโลกที่ร่วมมือร่วมใจกันอย่างสมัครสมานสามัคคี เพื่อร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตโควิด-19

•   องก์ที่ 2 : Believe in Positivity ส่งต่อ “พลังใจ” สู้ไปด้วยกัน สื่อถึงประกายแห่งความคิดบวก และการร่วมกันส่งพลังใจให้กับเพื่อนร่วมโลก

•   องก์ที่ 3 : Reunite Thailand & Our World เพื่อพวกเรา เพื่อประเทศชาติ เพื่อโลกของเรา พลุสามสี สีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีของสีของธงไตรรงค์และสีของปลากัด สัตว์น้ำประจำชาติไทย สื่อถึงความสง่างาม ทรงพลัง อ่อนช้อย แต่มีความเป็นนักสู้อยู่ในตัว

•   องก์ที่ 4 : There is Always Hope ความหวังเป็นพลังของชีวิต พลุหลากหลายสีสัน สื่อถึง diversity ของผู้คนทั่วโลก และเน้นการใช้สีแดง ซี่งเป็นสีของกาชาดสากล เพื่อส่งต่อพลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าสำคัญในการต่อสู้กับโควิด-19

เซ็นทรัลเวิลด์ในฐานะตัวแทนประเทศไทยและแลนด์มาร์กเอ็นเตอร์เทนเมนต์เคาท์ดาวน์ระดับโลกของประเทศมากว่า 20 ปี ขอร่วมส่งต่อพลัง Meaningful Positivity ให้กำลังใจคนทั่วโลก จุดประกายความหวังให้ทุกคนอดทน ไม่ย้อท้อ ช่วยกันส่งผ่านกำลังใจจากคนไทย ให้กับคนทั้งโลกที่กำลังร่วมกันก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปพร้อมกันอย่างเต็มไปด้วยความหวังที่เชื่อมั่นว่า เราจะสามารถเอาชนะได้ในที่สุด





เรามีความห่วงใยในความปลอดภัยและสุขอนามัยของลูกค้าทุกคน และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ในการคุมเข้มมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ลดความแออัด เน้นวินัย รักษาระยะห่างแบบ New Normal โดยทางเซ็นทรัลพัฒนาพร้อมให้ความร่วมมือกับทางสาธารณสุข และสำนักงานศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) อย่างเต็มที่ รวมทั้งสร้างมาตรฐาน New Norm ด้วยแผนแม่บท “เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ” ที่ออกแบบ Journey การใช้ชีวิตของผู้คนอย่างละเอียดและรอบคอบ ทำให้สามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกสถานการณ์” ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวทิ้งท้าย


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=P1dyYth72a0" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=P1dyYth72a0</a>















2
“JKN Spectacular Investment for Life

อลังการเจเคเอ็นอาณาจักรแห่งการเติบโตอย่างยั่งยืน

อลังการงานโชว์ ขนทัพศิลปินดาราดังร่วมงานคับคั่ง เตรียมทะยานสู่หมื่นล้าน





(กรุงเทพมหานคร): “แอน - จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) ประกาศความยิ่งใหญ่ เปิดตัวธุรกิจใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ ในงาน “JKN Spectacular Investment for Life (เจเคเอ็น สเปคแทกคิวลาร์ อินเวสเม้นท์ ฟอร์ ไลฟ์) - อลังการเจเคเอ็นอาณาจักรแห่งการเติบโตอย่างยั่งยืน” ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์เธียเตอร์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าสยามพารากอน




เปิดงานด้วยความยิ่งใหญ่สุดอลังการโดย “แอน จักรพงษ์” นำทัพศิลปินดาราคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย แบบฉบับซุปตาร์มาร์เก็ตติ้ง จัดเต็มโชว์เริ่ด เดินเจิดจรัสบนพรมทอง อาทิ แอน-สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์, นาว-ทิสานาฏ ศรศึก, โยชิ-รินรดา ธุระพันธ์, เคิร์ก บอนแดด, เซเลบตัวน้อย แอนดรูว์ - แองเจิ้ล, มาเรียม-เกรย์ อัลคาลาลี่, เบน ชลาทิศ, ไข่มุก-ชุติมา ดุรงค์เดช และ ดู๋-สัญญา คุณากร ปิดท้ายฟินนาเล่ด้วย แอน จักรพงษ์ ควงคู่มากับ ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา ต่อด้วย “ทอล์กโชว์” การเดี่ยวไมโครโฟนสุดเอ็กซ์คลูซีฟของ ซีอีโอข้ามเพศหมื่นล้าน ที่ทุกคนตั้งตารอ 1 ปีมีเพียงครั้งเดียว ที่ฟังแล้วจะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล กับเรื่องราวที่ลิขิตชีวิตสวยด้วยตัวเอง




ในงานชูศักยภาพความแข็งแกร่ง แสดงแสนยานุภาพของอาณาจักรหมื่นล้านเจเคเอ็น สยายปีกรุกธุรกิจใหม่ จากผู้ค้าคอนเทนต์ระดับโลก สู่การเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ-ความงาม ธุรกิจเครื่องดื่ม และธุรกิจบริการด้านความงามและไลฟ์สไตล์ ครบวงจร โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

(1) หมวดสินค้าสุขภาพและความงามมี C-TRIA by Anne JKN (ซีเทรีย) ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวสวย ขาว กระจ่างใส, Olig Fiber (โอลิก ไฟเบอร์) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อรูปร่างดีช่วยดีท็อกซ์ปรับสมดุลในลำไส้, V-Allin (วี ออลิน) ช่วยบาลานซ์และปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกาย, Fish Cap (ฟิช แคป) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก วัย 1 ขวบขึ้นไป ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทั้ง IQ และ EQ บำรุงสมองและสารสื่อประสาทที่มีผลต่อความจำและสมาธิ, Hair Now (แฮร์ นาว) ผลิตภัณฑ์ปลูกหนวด คิ้ว ผม และบำรุงรากผมให้แข็งแรง

(2) หมวดอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ได้แก่ อาหารแห้งและอาหารสำเร็จรูปแบรนด์ หมี่วอย และ ทูฟิต เครื่องดื่มสมุนไพรสกัด และ เครื่องดื่มสมุนไพรสกัดผสมวิตามิน ภายใต้แบรนด์สินค้า CUPID (คิวปิด) และ

(3) หมวดสินค้าบริการด้านความงามและไลฟ์สไตล์ ได้แก่ ธุรกิจสอนทำอาหาร คลินิกศัลยกรรมตกแต่งความงาม





แอน จักรพงษ์ กล่าวว่า “ในปี 2563 นี้เป็นปีสำคัญที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของ JKN ในทุกด้านบนเส้นทางที่ยิ่งใหญ่นี้ เราก้าวจากการเป็นผู้นำตลาดในการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในภูมิภาคอาเซียน ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายจากการเลือกสร้างคอนเทนต์ ทำการตลาดที่เชี่ยวชาญเข้าถึงและตรงใจผู้บริโภค วันนี้เราพร้อมนำความเชี่ยวชาญไปต่อยอดสู่ธุรกิจ สำหรับสินค้าเพื่อสุขภาพ ความงาม และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญครั้งใหม่ของ JKN ที่ต้องการนำพาบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและก้าวสู่การเป็น Content Commerce Company มูลค่า 10,000 ล้าน อย่างเต็มภาคภูมิ”

























3
เวที Shell Forum ขับเคลื่อน 'พลังงานที่ยั่งยืน' ตอบโจทย์โลกหลังวิกฤตโควิด-19




เวที Shell Forum ระดมวิสัยทัศน์ทุกภาคส่วน ร่วมเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่ออนาคต มองทิศทางโลกหลังวิกฤตโควิด-19 เน้น 3 ด้าน ความมั่งคั่ง ความมั่นคงปลอดภัย และสุขภาพ ขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลจะพลิกโฉมการขนส่งและคมนาคม ด้าน รมว.พลังงาน ย้ำรัฐบาลพร้อมเร่งมาตรการลดโลกร้อนให้เร็วกว่าเป้าหมาย ร่วมมือชาติอาเซียนขับเคลื่อนในทุกมิติ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 11 พฤศจิกายน 2563 : บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด จัดเวทีเสวนา "2020 Shell Forum"  หัวข้อ "Energy Transition : COVID-19 and Beyond" เพื่อระดมวิสัยทัศน์สถานการณ์ด้านพลังงานในทศวรรษหน้าซึ่งถูกท้าทายจากวิกฤตโควิด-19  โดยมีผู้บริหารจากภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำ ทั้งในและต่างประเทศให้เกียรติเข้าร่วมจำนวนมาก




นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงนโยบายพลังงานของประเทศไทยว่า ทิศทางของรัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับเป้าหมายลดภาวะโลกร้อนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เช่นเดียวกับสหภาพยุโรปและประชาคมโลกกว่า 200 ประเทศที่มีภารกิจร่วมกันในนาม COP21  โดยประเทศไทยได้ขับเคลื่อนนโยบายพลังงานทดแทน ทั้งไบโอดีเซล ไบโอแมส ไฟฟ้า และไบโอเคมิคัล มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 25% ภายในปี 2030 และวัดผลทุก 3-5 ปี หากทำได้ดีว่าเป้าหมาย ก็จะเป็นบันไดให้เราก้าวไปเช่นเดียวกับยุโรป และกลุ่มอาเซียนก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากเช่นกัน
 
“นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่บริษัทเชลล์เป็นต้นแบบที่ดี ที่ได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ พร้อมให้ความสำคัญกับพลังงานเพื่อลดภาวะการปล่อยก๊าซคาร์บอน”




นายปนันท์ ประจวบเหมาะ


ด้าน นายปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า แม้โรคระบาดโควิด-19 นำมาซึ่งความท้าทายหลายประการ แต่สำหรับเชลล์ประเทศไทย ในฐานะพันธมิตรที่ไว้วางใจได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย เราปรับเปลี่ยนความท้าทายเหล่านั้นเป็นโอกาสในการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่งขณะนี้เดินหน้าไปตามแผนและกลยุทธ์ที่วางไว้ แต่การไปสู่เป้าหมายขึ้นกับการกำหนดแนวทางที่สอดคล้องร่วมกันของภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชนด้วย

“แนวทางและความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากเวที 2020 Shell Forum ในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถนำไปตัดสินใจต่อทิศทางพลังงานในอนาคตได้เป็นอย่างดี”
 




นายเคส พิเทอร์ ราเดอ


นายเคส พิเทอร์ ราเดอ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “วิกฤติโควิด-19 เป็นโอกาสที่รัฐบาลทั่วโลกจะออกแบบมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ส่งเสริมพลังงานสะอาดต่างๆ เพราะมีงบประมาณอัดฉีดเข้าสู่ระบบถึง 19 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ”
 
ในเวที 2020 Shell Forum ยังมีการนำเสนอแบบจำลองทิศทางพลังงานในทศวรรษ 2020 หรือ ‘Rethinking the 2020s’ ภายใต้โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรให้พลังงานเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืน เพื่อให้ชีวิตของผู้คนมีความสุข




ดร.โช-อุน คง


ดร.โช-อุน คง หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านการเมือง เชลล์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า โลกในทศวรรษ 2020 ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ระหว่างความมั่งคั่ง (Wealth)  ความมั่นคงปลอดภัย (Security) และสุขภาพ (Health) ขึ้นแต่ละสังคมจะเลือกจัดลำดับความสำคัญอย่างไร
 
“ถ้าคนทั่วโลกเลือกให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพเป็นอันดับแรก เราจะเห็นการปรับโครงสร้าง เพื่อปูทางไปสู่พลังงานที่ยั่งยืนและไปสู่เป้าหมายปฏิญญาปารีสที่ต้องการลดภาวะโลกร้อน”




อเมอร์ อเด็ล


สำหรับอีกหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจ “Mobility of the Future” นำเสนอแนวโน้มระบบขนส่งในอนาคต โดย อเมอร์ อเด็ล รองประธาน เชลล์ รีเทล อีสต์ มองว่า ความต้องการผู้บริโภคที่ปรับตัวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดอนาคตการเดินทางและขนส่งในประเทศไทย ขณะที่รัฐบาลอาศัยนโยบายคมนาคมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรรมจัดหาโครงสร้างพื้นฐานและการวิจัยพัฒนาพลังงานให้ดียิ่งขึ้น
 
“สิ่งที่สำคัญคือถึงเวลาแล้วที่ผู้กำหนดนโยบาย ผู้ขับเคลื่อนการให้บริการ และลูกค้า จะต้องมีเจตจำนงร่วมกัน เพื่อปูทางไปสู่วิถีพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง”






4
“SPM Coffee” กาแฟเพื่อสุขภาพที่ผลิตโดยบริษัทที่ร่วมทุนกับ สวทช. ให้คนไทยปลอดภัย ไร้โรค




“บริษัท ไมโครอินโนเวต จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ผลิตกาแฟปรุงสำเร็จรูป SPM Coffee กาแฟเพื่อสุขภาพ ไม่มีน้ำตาล ไม่มีคอเลสเตอรอล อุดมไปด้วยสารสกัดเพื่อสุขภาพนานาชนิด เพื่อสุขภาพที่ดีของคอกาแฟยุคใหม่”

ในปัจจุบัน กระแสการดื่มกาแฟตามร้านหรือคาเฟ่ต่างๆ กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หลายคนจริงจังถึงขึ้นติดกาแฟจนขาดไม่ได้ อาการคล้ายกับว่าถ้าวันไหนไม่ได้ดื่มก็จะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง จนกาแฟเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญกับชีวิตเรามากขึ้น

ร้านกาแฟ คาเฟ่ต่างๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนสามารถพบเจอได้ทุกหัวมุมถนน แต่ถ้าหากลองมองลึกเข้าไปอีกนึดนึง ส่วนประกอบของกาแฟแก้วอร่อยที่เรากำลังดื่มอยู่นั้นมันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ในหนึ่งแก้วเราได้รับความหวานทั้งจากน้ำตาล น้ำเชื่อมและนมข้นหวาน ความหอมมันจากนมข้นหวานและครีมเทียม แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้หากกินติดต่อกันแม้เพียงสัปดาห์เดียวก็สามารถเพิ่มน้ำหนักตัวได้หลายกิโลกรัมและเป็นตัวการสำคัญของกลุ่มโรค NCDs ที่เกิดจากไขมันทรานส์จากส่วนผสมในกาแฟแก้วโปรดของคุณอย่างครีมเทียม ที่เมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากๆ ก็จะเป็นการเพิ่มระดับไขมันเลว (LDL)  และลดไขมันดี (HDL) ในเส้นเลือด ซึ่งนำไปสู่โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ รวมถึงโรคเบาหวานอีกด้วย เราจึงพบเห็นผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆเหล่านี้ เป็นกลุ่มอายุน้อยลงไปทุกที

มีการเก็บข้อมูลว่า แม้ว่าบริษัทจะมีมุมกาแฟสำหรับพนักงาน แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้พอใจกับรสชาติกาแฟสวัสดิการของบริษัทเท่าไรนัก 66% ของคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำยังคงพอใจที่จะซื้อกาแฟดื่มเองเพื่อรสชาติและคุณค่าของแบรนด์ที่ชอบ และนอกจากนี้ในปัจจุบันกลุ่มของนักดื่มกาแฟยังเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยลงเมื่อเทียบกับนักดื่มกาแฟรุ่นก่อนๆอีกด้วย





อันตรายจากไขมันทรานส์

              ปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขประกาศบังคับใช้กฎหมายห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่าย ทรานส์แฟท (Trans Fat) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ไขมันทรานส์ ซึ่งถ้าหากได้รับเข้าไปในปริมาณมากๆ ก็จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น มะเร็ง โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคสมองเสื่อม(อัลไซเมอร์) จอประสาทตาเสื่อมรวมถึงนิ่วในถุงน้ำดีได้

              แต่ก็ใช่ว่าจะทานไขมันทรานส์ ไม่ได้เลยนะคะ เพราะเอาเข้าจริงๆ พฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็คงจะทำให้ใครหลายคนเลี่ยงได้ยาก องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงแนะนำว่า  ไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันทรานส์เกิน 1% ของพลังงานที่เราได้รับต่อวัน ซึ่งพลังงานเฉลี่ยที่ควรได้รับอยู่ที่ 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน ก็เท่ากับว่าเราไม่ควรทานอาหารที่มีไขมันทรานส์เกิน 2.2 กรัมต่อวัน หรือคิดเป็น 0.5 กรัม (500 มิลลิกรัม) ต่อหน่วยบริโภค เพื่อสุขภาพที่ดี

4 ใน 5 ลำดับแรกของสถิติการเสียชีวิตของคนไทย เริ่มต้นมาจากโรคที่เกิดจากการบริโภคและการสะสมของไขมันทรานส์นั่นเอง สืบเนื่องมาจากการใช้ชีวิตประจำวันและพฤติกรรมการกิน เช่น การทำงานหนัก การกินอาหารจังก์ฟู้ดที่ให้พลังงานมากเกินความจำเป็นและไม่มีคุณภาพทางโภชนาการ การดื่มเครื่องดื่มที่มีความหวาน ไขมันและคอเลสเตอรอลในปริมาณมาก แม้สั่งแบบหวานหรือไม่หวาน พนักงานก็ยังคงใส่น้ำเชื่อมหรือน้ำตาลให้เราอยู่ดี แต่แค่ในปริมาณที่น้อยกว่าเดิมเท่านั้นเอง ถึงเวลาที่เราจะดูแลสุขภาพกันแล้วหรือยัง





ทำไมต้องเป็น SPM Coffee

SPM Coffee เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์สำหรับคอกาแฟที่รักสุขภาพในยุคนี้ นอกจากรสชาติที่อร่อย หอม กลมกล่อมจากเมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าที่มีคาเฟอีนต่ำ แต่ให้ความหอมละมุนแล้ว ยังมีสารสกัดจากโกจิเบอร์รี่, สารสกัดจากถั่วขาว, ครีมเทียมจากถั่วเหลือง, เห็ดหลินจือ, สารสกัดจากใบแปะก๊วย, สารสกัดจากกระบองเพชร, ซูคราโลส(สารให้ความหวานแทนน้ำตาลทราย) รวมไปถึงไฟเบอร์ที่เป็นประโยชน์ในการช่วยบำรุงรางกายอีกด้วย บอกได้เลยว่าเพียงแค่คุณดื่ม SPM Coffee 1 แก้ว ก็จะได้รับคุณประโยชน์ไปเต็มๆ ที่สำคัญคือผู้ที่เป็นเบาหวานและความดันสามารถดื่มได้โดยไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ





SPM Coffee กาแฟที่เป็นมากกว่ากาแฟสำเร็จรูปทั่วไป เพราะมีส่วนช่วยในการบำรุง ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพให้แข็งแรงพร้อมทั้งดูแลร่างกายให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่าได้ตลอดวัน ด้วยสารสกัดจากธรรมชาตินานาชนิด ที่ได้รับการคัดสรรแล้วว่ามีคุณสมบัติในการบำรุงและปรับสมดุลร่างกายโดยรวม อย่างเช่น คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึกที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ สารสกัดจากถั่วขาวที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต ช่วยย่อยแป้งให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง ดึงไขมันเก่าที่สะสมมาเผาผลาญ ทำให้ไขมันในร่างกายลดลง  สารสกัดจากเห็ดหลินจือที่มีส่วนช่วยระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ขจัดสารพิษ บรรเทาภูมิแพ้และมีส่วนช่วยในการชะลอความแก่  สารสกัดจากโกจิเบอรี่ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา มีไฟเบอร์สูง ป้องการอัลไซเมอร์ได้ มั่นใจได้ว่าถึงแม้จะดื่มเป็นประจำทุกวันก็ยังไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่มีไขมันทรานส์ ไม่มีน้ำตาล ไม่มีคอเลสเตอรอล ทำให้มีผิวพรรณผ่องใส อารมณ์ดี ยังช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย




SPM Coffee แตกต่างจากกาแฟยี่ห้ออื่นอย่างไร

ในการผลิตกาแฟ SPM Coffee ขึ้นมาเพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพจริงๆ และใส่ส่วนผสมที่เป็นสมุนไพรเพื่อช่วยบำรุงและฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคอกาแฟที่รักสุขภาพ SPM Coffee ได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นระดับโลก เหรียญเงินจากสถาบัน Bruxelles international qualiti institute ณ นครบลัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม ได้รับมาตรฐานการผลิต GMP  และได้รับมาตรฐานความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) อย่างถูกต้อง ,ทำให้เรามั่นใจได้ว่า SPM Coffee นั้นเป็นกาแฟเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง

ผู้ที่ดื่ม SPM Coffee บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า SPM Coffee มีรสชาติอร่อย ดื่มได้ทุกวัน ไม่อ้วน ไม่มีผลข้างเคียงและไม่เป็นต้นเหตุของการเกิดกลุ่มโรค NCDs ด้วยค่ะ









5
เดอะสเน็ค นางพญางู ได้ฤกษ์เข้าฉายแล้ว




เมเจอร์เปิดไฟเขียว ให้ เดอะสเน็ค พร้อมฉายในโรงภาพยนตร์  5 พฤศจิกายน นี้ เตรียมพบกับความลี้ลับกับงูจงอางหวงไข่  ที่ได้ไข่เป็นลูกแก้ววิเศษสามสี  ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือมาร ลูกแก้วก็จะ มีพลังแห่งความชั่ว แต่ถ้าอยู่ในเงื้อมมือคนดี ก็จะมีคุณธรรม  ในหมู่บ้านพญางูได้มีการทำพิธีบูชาลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์  ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ถูกพวกมารมาทำลายพิธี นำลูกแก้วไปทำความชั่ว  เราได้ดัดแปลงให้เป็นนางพญาเพื่อที่จะไปเอาลูกแก้วคืนมา  พวกมารได้ลูกแก้วไปแล้วก็ทำแต่สิ่งชั่วร้าย จับเด็กและหญิงสาวมาเป็นสาวก ฆ่าตาย  จึงมีการสืบสวน  เพื่อจะค้นหาความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น

นางพญางูจะได้ลูกแก้วคืนหรือไม่ติดตามได้ในภาพยนตร์เดอะสเน็ค

ดารานักแสดง แซ็ค ชุมแพ กระต่าย พรรณณิภา  วินัย  ไกรบุตร เบสท์  คำสิงห์ ขวัญ กชชสร  ดาว สเตลลา  หยก ธัญญพัทธ์  อี๊ด โปงลาง หมู ธีรภัทร  ปุณ ศิริปัญญา  เจมส์  นิติธร  สมรักษ์  คำสิงห์  ตอง กนกพร โจอี้ จาไมก้า แก้ม รัตน์ขนิฎฐ์   เจิ้นเหวิน เหลย ริชาร์ด เกียนี่  พวง เชิญยิ้ม ดาว ขำมิน รอน สมูเลนเบิร์ก ครีม พิมพิศา แพทริค แอนดริสต์

5 พฤศจิกายน ติดตามได้ ในโรงภาพยนตร์


















6
โครงการ Better Farms, Better Lives ช่วยชาวนา

สู่ชีวิตวิถีใหม่ด้านการเกษตร ห่วงใยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม





ภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายเกษตรกรกว่า 100 คน ร่วมกับ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด จัดกิจกรรมภายใต้โครงการ Better Farms, Better Lives ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หวังยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อยไทยหลังสถานการณ์โควิด-19 ทั้งด้าน ต้นทุนผลิต การใช้สารกำจัดศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย รวมทั้งการนำเทคโนโลยีโดรนมาใช้ในพื้นที่เพาะปลูก ช่วยส่งผลดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในอนาคต

วิถีชีวิตของชาวนาและภาวะเศรษฐกิจชุมชนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ล่าสุดยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทาง บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด ร่วมกับมูลนิธิคลังสมองสหกรณ์ไทย จัดกิจกรรม “การฟื้นฟูธุรกิจ และเศรษฐกิจข้าวชุมชน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา”ภายใต้ โครงการ Better Farms, Better Lives  ณ โรงเรียนวัดสามบัณฑิต อำเภออุทัย จังหวัดพระนครอยุธยา โดยจัดให้มีการฝึกอบรมความรู้ให้กับเกษตรกร เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการใช้นวัตกรรม เช่น อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ฯลฯ โดยมีเครือข่ายเกษตรกรรายย่อยเข้าร่วมกว่า 100 คน





นายอนันต์ ภู่สิทธิกุล ประธานมูลนิธิคลังสมองสหกรณ์ไทย เปิดเผยว่า โครงการฯ นี้ มุ่งเน้นให้เกษตรกรปลูกข้าวในผืนนาที่ปลอดภัยต่อทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค ส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อยให้ได้ถึง 50,000 คน ครอบคลุม 25 จังหวัดหรือราว 150 ชุมชน โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและเครือข่ายเกษตรกรต่างๆ

โครงการ Better Farms, Better Lives ณ ชุมชนเกษตรสามบัณฑิต  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการจัดกิจกรรมผ่านสถานีการเรียนรู้ที่สนับสนุนเกษตรกรในการทำนา อาทิ การปลูกข้าวปลอดภัย นวัตกรรมปลูกข้าว การใช้โดรน การสร้างเงินออม ฯลฯ โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาให้ความรู้การทำการเกษตรครบวงจร อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมการข้าว สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น

สำหรับกิจกรรมที่เกษตรกรให้ความสนใจมาก ก็คือสถานีให้ความรู้ โดรนเพื่อการเกษตร ช่วยเรื่องการพ่นยาปราบวัชพืชในนาข้าว ทำให้เกษตรกรประหยัดต้นทุนและเวลา ที่สำคัญคือปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการใช้คนเดินพ่นยา





นายฆาแวน คำดี ประธานศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุข้าวชุมชน ตำบลเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี กล่าวว่า การใช้โดรนเพื่อการเกษตรนับเป็นนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมหลายพื้นที่และกำลังขยายตัวรวดเร็วเพราะตอบโจทย์ชาวนา เนื่องจากการใช้โดรนพ่นยาปราบวัชพืชคิดค่าบริการไร่ละ 60-80 บาท และ 1 ชม. สามารถพ่นได้ถึง 25 ไร่

“ถ้าใช้แรงงานคนอาจเปลืองเวลาทั้งวัน แถมแรงงานที่จะมาทำแบบนี้ก็หาได้ยากขึ้น เทียบกันแล้วค่าแรงคนกับการใช้โดรนเท่ากัน แต่โดรนมีความปลอดภัยกว่า ไม่ต้องให้เกษตรกรไปสัมผัสสารเคมีอีกด้วย”





ส่วนการบริหารต้นทุนอื่นๆ ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อชีวิตชาวนา โดย นางธนภรณ์ หงส์ทอง ในฐานะประธานกลุ่มนาแปลงใหญ่ อำเภอวังน้อย และประธานสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. กล่าวว่า การทำนาให้ประสบผลสำเร็จคือต้องบริหารจัดการแปลงนาของเราให้ดี โดยปัจจุบันมีแปลงนา 12 ไร่ เลือกปลูกพันธุ์ข้าว กข.43 น้ำตาลต่ำมาหลายปีแล้ว

"ข้าวพันธุ์นี้คนไทยนิยมบริโภคเพราะช่วยควบคุมน้ำตาล และเราก็คุมต้นทุนด้วย เวลาหว่านเมล็ดพันธุ์ใช้ปริมาณไม่มาก 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ จากก่อนหน้านี้ต้องใช้ถึง 25 กิโลกรัม แถมข้าวในนาก็ไม่หนาแน่นพอมีช่องหายใจ ช่วยป้องกันศัตรูของข้าวอีกด้วย และการเป็นข้าวเพื่อสุขภาพ ราคาที่ขาย 5 กิโลกรัม 200 บาท หรือ 50 บาทต่อกิโลกรัม ถือเป็นราคาที่ชาวนาอยู่ได้”





นายสินสมุทร คงประโยชน์ ชาวนาต้นแบบอีกท่านหนึ่ง กล่าวเสริมว่า การใช้ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชอาจ ยังจำเป็นต้องใช้ต่อไป แต่ก็ควรผสมผสานกับปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ และต้องให้ความร่วมมือไม่เผาในแปลงนา ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง




ด้านนายสุทธินาท คงสมทอง ประธานศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีตำบลสามบัณฑิต ระบุถึงสาเหตุที่ชาวนาจำนวนมาก ยังไม่เปลี่ยนวิถีการทำนาแบบเดิมๆ เป็นเพราะความ “กลัว” การปรับเปลี่ยนสู่วิถีใหม่แล้วต้นทุนจะสูงขึ้น หรือบางส่วนยังไม่ตระหนักถึงสารตกค้างในนาข้าวเท่าที่ควร ซึ่งโครงการฯ นี้ช่วยแก้ปัญหาได้




ขณะที่ นายประพันธ์ ตรีบุบผา นายอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มองว่า ปัจจัยที่จะทำให้ชาวนาเข้าถึงการช่วยเหลือจากภาครัฐก็คือการรวมกลุ่มเป็น “เกษตรแปลงใหญ่” และต้องใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุน ทั้งการปลูก การขาย และต้องเป็นการทำเกษตรที่ดีต่อคนและสิ่งแวดล้อม

โครงการ Better Farms, Better Lives จัดขึ้นโดย บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมการข้าว มูลนิธิคลังสมองสหกรณ์ไทย สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โปรดิวส์ จำกัด ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่เผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด -19 ด้วยการมอบชุดผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์ความปลอดภัยจำนวน 50,000 ชุด พร้อมโครงการการฝึกอบรมความรู้การผลิตข้าวในวิถีใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ปลอดภัย เกิดความยั่งยืน รวมมูลค่า 20 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา จังหวัดปทุมธานี สุพรรณบุรี พิษณุโลก และพื้นที่ใกล้เคียง 26 จังหวัด









7
“AIA” เสริมศักยภาพย่านบางนาด้วย “เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์” อาคารแนวใหม่ระดับพรีเมียม
เตรียมจัดเต็ม “ฟังก์ชั่นไลฟ์สไตล์” ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตและสุขภาพคนทำงาน

•   AIA East Gateway อาคารแนวใหม่ สูง 33 ชั้น บนพื้นที่ 10 ไร่ ดีไซน์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดี ด้วย AIA Vitality Deck, ลู่วิ่ง, ฟิตเนส ครบวงจร ปักหมุดศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) บนทำเลทองย่านบางนา คาดสร้างเสร็จไตรมาสที่สี่ของปี พ.ศ. 2565




“เอไอเอ ประเทศไทย” ประกาศแต่งตั้ง “บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด” (CBRE) ให้เป็นตัวแทนหลัก (Principal Agent) ในการบริหารพื้นที่โครงการ “เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์” (AIA East Gateway) อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าระดับพรีเมียมแห่งใหม่ที่ออกแบบเพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีล่าสุดบนถนนบางนาตราด กม. 4.5 ซึ่งถือเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งที่ 3 ของเอไอเอในประเทศไทยหลังประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพัฒนาและปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงานอาคาร “เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์” และ “เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์” ด้วยรางวัลด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง โดย “เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์” เป็นอาคารระดับพรีเมียมเกรด A แห่งแรกบนถนนบางนา-ตราด มีความสูง 33 ชั้น เพดานสูง 3 เมตร มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 70,000 ตร.ม. บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ สะดวกด้วยที่จอดรถมากกว่า 1,500 คัน พร้อมการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้ใช้สอยอาคาร เน้นความสำคัญในด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของผู้เช่าตามเกณฑ์มาตรฐานของ LEED และ WELL ระดับโกลด์ ในงานนำโดยผู้บริหารระดับสูงของ เอไอเอ ประเทศไทย ได้แก่ คุณอัลเจอร์ ฟัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คุณฮิว เท็ด เชียน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน คุณปกป้อง ยินดีผล ผู้อำนวยการฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ และ รพีพร วงศ์ทองคํา ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด ได้แก่ คุณอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ คุณรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงาน และ คุณมณีรัตน์ วิจิตรรัตนะ ผู้อำนวยการ แผนกพื้นที่สำนักงาน ณ อาคารเอไอเอ ทาวเวอร์ ถนนสุรวงศ์




อัลเจอร์ ฟัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย


คุณอัลเจอร์ ฟัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดย่านบางนา ติดถนนบางนา-ตราด กม. 4.5 ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพเพื่อสนับสนุนให้ผู้เช่ามีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีระดับเวิลด์คลาส อาทิ AIA Vitality Deck, Fitness, Trail network, Rooftop Running Track, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, Edible garden และ Co-working area ออกแบบตามเกณฑ์มาตรฐานของ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) และ WELL Building Standard ระดับโกลด์ เน้นคุณสมบัติหลัก 3 ประการ คือ 1) การอนุรักษ์พลังงาน 2) การรักษ์สิ่งแวดล้อม และ 3) การผสมผสานนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในทุกรายละเอียดทั่วอาคาร เช่น กระจกอนุรักษ์พลังงานคุณภาพสูงจากต่างประเทศ เทคโนโลยีแกนกลางในการออกแบบเพื่อพื้นที่ใช้สอยโดยไร้เสากีดขวาง พรั่งพร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวรายล้อมทั่วโครงการ พร้อมด้วยสวนพักผ่อนบนอาคาร โดยตามแผนการดำเนินงานคาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปี พ.ศ. 2565”




AIA และ  CBRE ลงนามความร่วมมือบริหารเอไอเอ อีสต์ เกตเวย์


“ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต เนื่องจากเป็น New CBD หรือศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ย่านกรุงเทพฯ ตะวันออก และบางนา เป็นทำเลที่ได้รับการเกื้อหนุนจาทางภาครัฐให้มีโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ทั้งในด้านการคมนาคม ระบบราง และการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง จนทำให้พื้นที่โซนบางนาเป็นหนึ่งในแหล่งที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม ซึ่งถือว่า “เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์” จะเป็นพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมียมแห่งแรกในโซนบางนา เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคตของกลุ่มบริษัทและนักลงทุนชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ”




คุณปกป้อง ยินดีผล ผู้อำนวยการฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ ประเทศไทย


ทางด้าน คุณปกป้อง ยินดีผล ผู้อำนวยการฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ  ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่อย่างมากเราจึงได้สร้าง AIA  Vitality Deck ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับให้พนักงานสามารถเข้ามาใช้พื้นทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพได้ เพราะเรามองถึงไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพที่ดี เช่น เรามีลู่วิ่งลอยฟ้าในสวนขนาด 400 เมตรทั้งแบบกลางแจ้งและในร่ม ฟิตเนสเซ็นเตอร์ครบวงจร โดยมีความคิดที่ว่าแทนที่เขาจะต้องเสียเวลาอยู่บนท้องถนน ในช่วงเช้าก่อนเข้างานหรือหลังเลิกงาน แต่จะดีกว่าไหมถ้าจะเอาเวลาเหล่านี้มาออกกำลังกาย โดยเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันรองรับในส่วนนี้  ทั้งนี้ ในส่วนพื้นที่รีเทลนั้น เรามองถึงคนทำงาน ที่อาจจะอยากสังสรรค์หลังเลิกงานหรือทานข้าวกลางวันพร้อมคุยธุระไปด้วย ก็มีร้านที่สามารถรองรับตรงส่วนนี้ได้ครบถ้วน”




อัลเจอร์ ฟัง และ อลิวัสสา พัฒนถาบุตร


“นอกจากนี้ เราต้องการดึงศักยภาพและมาตรฐานของย่านบางนาให้สูงขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากสิ่งที่เราทุ่มเทให้กับอาคารที่เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ ไม่ว่าจะเป็น Water Retention ซึ่งเป็นระบบดึงน้ำเพื่อกันไม่ให้น้ำฝนจากอาคารลงไปท่วมที่พื้นถนนเวลาฝนตก เพดานในอาคารที่มีความสูง 3 เมตร กระจกอนุรักษ์พลังงาน 3 ชั้น และพื้นที่ AIA Vitality Deck แล้วนั้น เพราะเรายังต้องการสร้างศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย เช่นเดียวกับที่เราประสบความสำเร็จมาแล้วกับอาคาร “เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์” และ “เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์” 

สนใจเช่าพื้นที่ อาคารเอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร 02-119-1500





รพีพร วงศ์ทองคํา ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย




ศิรนุช โรจนเสถียร, ปกป้อง ยินดีผล, รพีพร วงศ์ทองคํา










8
กระทรวงวัฒนธรรมให้การสนับสนุน เดอะสเน็ค นางพญางู สืบทอดวัฒนธรรมไทย




           ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คุณสุรชัย ชินชัย ได้สนับสนุนภาพยนตร์เรื่องเดอะสเน็ค นางพญางู และให้ภาพยนตร์เรื่องเดอะสเน็ค นางพญางู เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมหมู่บ้านงูจงอางให้เป็นวัฒนธรรมไทยสืบทอดต่อไป  ผู้กำกับ วิดิฐ  ธัญพันธุ์ ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง จากคุณสุรชัย ชินชัย มาเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ของภาพยนตร์เรื่องเดอะสเน็ค นางพญางู เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับตำนาน ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นแฟนซีคอเมดี้  ไม่ได้ทำให้ดูน่ากลัวหรือลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สร้างเพื่อความบันเทิง และให้คนทั่วประเทศได้รู้จักหมู่บ้านงูจงอางมากขึ้น ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้จดจำ

           คุณปู วิดิฐ ธัญพันธุ์ ขอขอบคุณ คุณสุรชัย ชินชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และท่านจาตุรนต์ ฉายแสง ที่มาร่วมให้การสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้





   เดอะสเน็ค นางพญางู ดาราร่วมแสดง แซ็ค ชุมแพ , กระต่าย พรรณณิภา , เบสท์  คำสิงห์ , วินัย ไกรบุตร , สมรักษ์ คำสิงห์ ,ปุณ ศิริปัญญา, หมู ธีรภัทร์  ,ขวัญ กชชสร  ,ดาว  สเตลลา  ,หยก ธัญญพัทธ์  ,อี๊ด  โปงลาง, โจอี้ จาไมก้า ,อรชร เชิญยิ้ม , เท่งน้อย เอนจอยโชว์ ,ปู วิดิฐ   ,เก่ง  ชาติชาย, รอน สมูเรนเบิร์ก, ทนายเจมส์

   ติดตามได้เร็วๆนี้ ในโรงภาพยนตร์







9
กรมอนามัยร่วมกับไบเออร์ไทย รณรงค์สังคมไทยหยุดท้องไม่พร้อม
 
สนับสนุนการตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพในวันคุมกำเนิดโลก 2563





นายแพทย์พีระยุทธ สานุกูล ผู้อำนวยการสำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข


25 กันยายน 2563 กรุงเทพฯ – สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด ร่วมรณรงค์ลดปัญหาการท้องไม่พร้อมในวัยรุ่นไทย พร้อมสร้างการตระหนักถึงการวางแผนครอบครัวเพื่อส่งเสริมให้เกิดการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในวันคุมกำเนิดโลก 2563 (ซึ่งตรงกับวันที่ 26 กันยายน ของทุกปี)

นายแพทย์พีระยุทธ สานุกูล ผู้อำนวยการสำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือท้องไม่พร้อมในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นยังเป็นปัญหาที่น่าวิตกและจำเป็นต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้มีการเกิดอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้เกิดการวางแผนครอบครัวอย่างยั่งยืนในสังคมไทย

กรมอนามัย พบว่า ในปี 2562 สถิติการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น อายุ 15-19 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 169 คน โดยมีวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 15 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 6 คน เปรียบเทียบกับ ปี  2543 พบว่าวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 240 คน และในอายุต่ำกว่า 15 ปี คลอดบุตรวันละ 4 คน

ทั้งนี้ในปี 2562 พบว่า จำนวนหญิงคลอดอายุต่ำกว่า 20 ปี มีอยู่ 63,831 ราย โดยแยกหญิงคลอดอายุระหว่าง 15-19 ปี มีจำนวน 61,651 ราย หญิงคลอดอายุต่ำกว่า 15 ปี มีจำนวน 2,180 ราย และยังพบว่าหญิงตั้งครรภ์ซ้ำและคลอดอายุต่ำกว่า 20 ปี มีถึง 5,222 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.2

              “แม้ว่าสถานการณ์ท้องไม่พร้อมในวัยรุ่นจะมีแนวโน้มพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกันป้องกันปัญหาทางสังคมที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้เรื่องปัญหาที่เป็นผลตามมาจากการท้องไม่พร้อม การเป็นคุณแม่วัยใสอาจส่งผลกระทบต่อการเรียน รวมถึงสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจของคุณแม่ที่อายุน้อยอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนให้วัยรุ่นสามารถปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิดกับผู้ปกครองหรือเภสัชกรได้อย่างเปิดเผยมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าอาย แต่เป็นการทำเพื่ออนาคตของตัวเอง”





แพทย์หญิง ปานียา สูตะบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด


              ด้าน แพทย์หญิง ปานียา สูตะบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไบเออร์ในฐานะหนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านเภสัชกรรมที่มีความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพผู้หญิงและยาฮอร์โมนคุมกำเนิด กล่าวว่า ไบเออร์มีนโยบายสนับสนุนโครงการวางแผนครอบครัวโดยร่วมมือกับเครือข่ายภาครัฐและภาคประชาสังคมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และมีเจตนารมณ์ในการร่วมกันลดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งพบการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรและตั้งครรภ์ซ้ำ สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งคือการขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการคุมกำเนิดอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในปีนี้ เป็นวาระครบรอบ 60 ปี ของการคิดค้นยาเม็ดคุมกำเนิด โดยหลังจากมีการแนะนำยาเม็ดคุมกำเนิดครั้งแรกในปีพ.ศ. 2503 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสในการวางแผนชีวิตและครอบครัวได้ดีมากยิ่งขึ้น 

พญ.ปานียา กล่าวว่า ยาเม็ดคุมกำเนิดสามารถช่วยให้ผู้หญิงสามารถควบคุมการวางแผนครอบครัวได้ดีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในภาพรวมกลับยังพบว่าในระหว่างปี 2553-2557 มีจำนวนผู้หญิงที่ตั้งท้องไม่พึงประสงค์ถึง 99 ล้านคน ซึ่งโดยประมาณร้อยละ 56 เลือกที่จะทำแท้ง นอกจากนั้นมีการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญประมาณการว่าสถิติร้อยละ 44 ของผู้หญิงตั้งครรภ์ทั่วโลก เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยสถิติการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ ร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับสถิติในประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่ร้อยละ 45
 
สำหรับเรื่องการรณรงค์ส่งเสริมให้ความรู้ต่อเยาวชนและผู้หญิงวัยทำงาน สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัยได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการให้ความรู้ในโรงเรียน และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นี้ ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมสัมมนาในสถานที่ดังกล่าวได้ จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมมาใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้นผ่านทาง facebook.com/younglovethailand และ Line@YoungLove เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกับกลุ่มวัยรุ่น ที่หันมาใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิดมากยิ่งขึ้น   

กิจกรรมที่จัดขึ้นจะมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ที่ถูกต้องแก่กลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้ได้รับข้อมูลในการป้องกันตนเองจากปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ด้วยวิธีการที่หลากหลายและปลอดภัย ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน อาทิ ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย ฯลฯ  พร้อมส่งเสริมการมีบุตรเมื่อพร้อม





แพทย์หญิง วรมา เกษมพิพัฒน์ชัย โรงพยาบาลจุฬาภรณ์


สำหรับในวันคุมกำเนิดโลก ปี 2563 นับเป็นปีที่ 13 แห่งความร่วมมือที่ สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย ร่วมกับ ไบเออร์ ไทย จัดกิจกรรมรณรงค์ลดปัญหาการท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น โดยจัดให้มีกิจกรรม Facebook Live ผ่าน facebook “Young Love รักเป็น ปลอดภัย” ในวันที่ 24 กันยายน 2563 ได้รับเกียรติจากแพทย์หญิงวรมา เกษมพิพัฒน์ชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นวิทยากร และดำเนินรายการโดยคุณกวาง อริศรา เจ้าของเพจ Deerlong (เดียร์ลอง) เพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้เรื่องการคุมกำเนิดที่เหมาะสมในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถคลิกเข้าไปรับชมวิดีโอ และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ facebook.com/younglovethailand และ Line@YoungLove

แพทย์หญิง วรมา เกษมพิพัฒน์ชัย โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวถึง ทางเลือกของการคุมกำเนิด ในสังคมยุคปัจจุบัน ควรมีการเน้นย้ำเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (safe sex) โดยต้องปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ เพราะฉะนั้นวิธีการคุมกำเนิดที่ดีที่สุด คือการใช้วิธีคุมกำเนิด 2 วิธี (dual protection) โดยใช้ถุงยางอนามัยร่วมกับวิธีอื่นอีก 1 วิธี การคุมกำเนิดวิธีอื่นๆ ได้แก่ ยาฝังคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด และยาเม็ดคุมกำเนิดที่เรารู้จักกันดี ซึ่งวิธีคุมกำเนิดแต่ละวิธีก็มีข้อดี ข้อเสีย สามารถเลือกนำมาใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือมีช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและบริการรับการปรึกษาวิธีการคุมกำเนิดต่างๆได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง

เนื่องในโอกาสวันคุมกำเนิดโลก 2563 หรือWorld Contraception Day 2020 ในต่างประเทศ ไบเออร์ ยังร่วมกับ 15 องค์กรพันธมิตรนานาชาติ ดำเนินการผ่านโครงการ Your Life จัดให้มีกิจกรรมรณรงค์เพื่อลดปัญหาท้องไม่พึงประสงค์และส่งเสริมให้เกิดความรู้การคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง ภายใต้แนวคิด #60YRSOFEMPOWERMENT ทางเว็บไซต์ www.yourlife.com นับเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นขององค์กรภาคีที่ดำเนินกิจกรรมนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 พร้อมกันใน 70 ประเทศทั่วโลก




10
สสว.ประสานความร่วมมือ กอช. เพิ่มการออมพร้อมพัฒนาธุรกิจ




สสว. ลงนามความร่วมมือกับ กอช. หนุนสมาชิกผู้ประกอบการรายย่อยของ สสว. ให้มีสวัสดิการและเงินออมเพิ่มขึ้น พร้อมตั้งเป้าให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาสมาชิก กอช. กว่า 2 ล้านราย พัฒนาศักยภาพในการทำธุรกิจสมัยใหม่ ซึ่งจะช่วยให้สมาชิกของทั้ง 2 หน่วยงานมีเงินออมและธุรกิจที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว) เปิดเผยว่า ในปัจจุบันสมาชิกของ สสว. ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย หรือไมโครเอสเอ็มอี พบว่ามีสมาชิกจำนวนมากมีปัญหาขาดแคลนเงินลงทุน และเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ทำให้ประสบปัญหาในการทำธุรกิจ ในขณะที่สำนักงานกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งมีสมาชิกจำนวนมากที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย พบปัญหาการขาดทักษะในการดำเนินธุรกิจและความรู้สมัยใหม่ในการดำเนินกิจการ

ดังนั้น สสว. จึงลงนามความร่วมมือกับ กอช. ช่วยเหลือสมาชิกของทั้ง 2 หน่วยงานในการยกระดับการออม และพัฒนาศักยภาพการทำธุรกิจ โดยมีขอบเขตดังนี้

1. ส่งเสริมและสนับสนุนการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ กอช. และกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อการสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิประโยชน์การเป็นสมาชิก กอช. เพื่อให้ผู้ประกอบการและบุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ได้สมัครเป็นสมาชิก กอช. รวมถึงการส่งเสริมให้สมาชิก กอช. ได้รับการสนับสนุนด้านการสร้างอาชีพเพื่อการประกอบธุรกิจ และเพื่อการเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ การให้คำปรึกษาแนะนำ การให้ความเห็น และการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับการส่งเสริมให้สมาชิกและบุคคลในครอบครัวของผู้ประกอบการ  ได้มีความรู้ทางการเงินและการออมเพื่อการเกษียณ การวางแผนการเงินส่วนบุคคล การส่งเสริมปริมาณการออมในครัวเรือนของสมาชิกให้เพิ่มขึ้นและเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายเมื่อเกษียณจากการทำงาน และให้สิทธิประโยชน์แก่สมาชิกทั้งสองฝ่าย

2. ส่งเสริมให้สมาชิกหรือบุคคลากรของทั้งสองฝ่ายที่ยังไม่มีสวัสดิการเรื่องบำนาญและไม่ได้เป็นผู้ประกันตนตามกฏหมายประกันสังคม ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดสามารถสมัครเป็นสมาชิก กอช. และสมาชิก สสว. ได้

3. ส่งเสริมสิทธิประโยชน์แก่สมาชิก สสว. ที่เป็นสมาชิก กอช. เพื่อส่งเสริมปริมาณการออมในครัวเรือนของสมาชิกให้เพิ่มขึ้นและเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายเมื่อเกษียณจากการทำงาน และให้สิทธิประโยชน์ แก่สมาชิกหรือบุคคลากรของทั้งสองฝ่ายเป็นกรณีพิเศษ รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกันของทั้งสองฝ่าย เพื่อผลักดันการดำเนินกิจกรรมให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของความร่วมมือเพื่อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ MSME ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือในครั้งนี้ คาดหวังเพื่อให้สมาชิกของทั้งสององค์กร ทั้งที่เป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนกับภาครัฐแล้ว และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ได้ตะหนักถึงความสำคัญของการออมเงินเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจ เนื่องจากการวางแผนการออมเงินอย่างเป็นระบบทำให้เห็นภาพของเงินในอนาคตได้ชัดเจนมากขึ้น การออมและการจัดการเรื่องเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการจึงมีความสำคัญมาก

นอกจากนี้ สมาชิกของ สสว. ที่ยังไม่มีสวัสดิการบำนาญสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการกับ กอช. และสมาชิกของ กอช. จำนวนกว่า 2 ล้านราย ที่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ค้าขาย เกษตรกร และผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะ สามารถลงทะเบียนสมาชิกกับ สสว.  ผ่านทางศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจร (SME One-Stop Service Center : OSS) ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ หรือ ผ่านทางเวปไซต์ สสว. www.sme.go.th เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการต่อไป





11
เริ่มแล้วงาน Wedding Fair 2020 by NEO งานที่จะทำให้เจ้าสาวทุกคนมีความสุข
ดึง ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก นำโชว์ชุดเจ้าสาวสุดอลัง





บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด หรือ นีโอ จัดงาน Wedding Fair 2020 by NEO ชูธีม “The Bride’s Dream” สานฝันงานวิวาห์ แบบ One stop shopping พร้อมขนทัพ ดารา – นางแบบชื่อดัง ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก, แนท-อนิพรณ์, แซมมี่-เคาวเวล์, คาริสา สปริงเก็ตต์ จัดแฟชั่นโชว์ชุดเจ้าสาว พร้อมเผยเทรนด์ปี 2021 คนนิยมจัดงานสะท้อนความเป็นตนเองยิ่งขึ้น




นางเปรมพร สายแสงจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดงาน Wedding Fair 2020 by NEO กล่าวว่า งาน Wedding Fair 2020 by NEO งานแสดงสินค้าและบริการด้านงานวิวาห์ครบวงจรที่ยิ่งใหญ่แห่งปี โดยในปี 2563 นี้ จัดขึ้นในธีม “The Bride’s Dream” งานเดียวที่จะทำให้คุณเป็นเจ้าสาวที่มีความสุขที่สุด จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 13 กันยายน 2563 เวลา 11.00 - 21.00 น. ชั้น 5 รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ตอกย้ำการเป็นผู้นำการจัดงานแสดงสินค้าและบริการด้านธุรกิจงานวิวาห์ครบวงจรแบบ One stop shopping ซึ่งในปีนี้ได้จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 28 โดยได้รับการตอบรับจากทั้งผู้ประกอบการ และผู้ชมได้ด้วยดีเสมอมา




สำหรับปีนี้ยังได้จัดแฟชั่นโชว์ชุดวิวาห์สุดอลังการ ซึ่งว่าที่เจ้าสาวไม่ควรพลาด โดยมีนางเอกแถวหน้าของวงการอย่าง ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก มาร่วมเดินแฟชั่นโชว์ชุดวิวาห์ พร้อมกับนางแบบ-ดาราชื่อดัง อาทิ แนท อนิพรณ์, แซมมี เคาวเวลล์, ซาบีน่า ไมซิงเกอร์, คารีสา สปริงเก็ตต์ เป็นต้น และยังมี ไบรท์ วิชเวช เอื้ออำพน ร่วมร้องเพลงประกอบการเดินแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ด้วย

ภายในงานได้รวบรวมเหล่ามืออาชีพด้านการจัดงานแต่งงาน สินค้าและบริการด้านงานวิวาห์ไว้ครบจบในงานเดียว พร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษมากมาย อาทิ แหวนเพชร และเครื่องประดับเพชร ของชำร่วย สตูดิโอถ่ายภาพ ชุดวิวาห์จากห้องเสื้อแบรนด์ดัง เวดดิ้งแพลนเนอร์ และโรงแรมห้องจัดเลี้ยงชั้นนำ และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Wedding Fair Check Point “เช็คปั๊ป รับของรางวัลกว่า 100,000 บาท” ชวนคู่รักร่วมสนุกง่ายๆ โดยการตามหาจุด Check Point ภายในงานให้ครบทั้ง 6 จุด เพื่อรับของรางวัลมากมาย อาทิ Voucher ชุดแต่งงาน พร้อมเวลประดับผม จากห้องเสื้อ Elisabeth Bridal มูลค่ากว่า 100,000 บาท จำนวน 1 รางวัล และรางวัลปลอบใจ Voucher ที่พัก Villa Maroc Resort ห้อง Pool Court มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 และบัตรรับประทานอาหารจาก Peppina at Crystal Park มูลค่า 2,000 บาท จำนวน 2 ใบ / 2 รางวัล





ในปี 2021 นี้เทรนด์การจัดงานวิวาห์ที่ได้รับความนิยม มีค่อนข้างหลากหลาย อาทิ การจัดงานแบบ Eco Wedding งานวิวาห์แบบรักษ์โลก ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสิ่งที่คนยุคใหม่ให้ความสำคัญ การจัดงานแบบ Micro Weddings งานวิวาห์แบบส่วนตัวเชิญเฉพาะญาติและคนใกล้ชิดประมาณ 40-50 คนร่วมงาน ตามพฤติกรรมของคนสมัยนี้ที่ชอบความเป็นกันเองลดความเป็นทางการลง และการจัดงานแบบ New Gen เป็นการจัดงานที่ฉีกกฎงานวิวาห์ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นชุดที่ไม่เหมือนชุดวิวาห์ทั่วไป แต่เน้นแสดงออกถึงตัวตนของบ่าวสาวให้ออกมาชัดเจนแทน เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเทรนด์การจัดงานแบบไหนภายในงาน Wedding Fair 2020 by NEO สามารถตอบโจทย์ทุกคู่รักที่เริ่มต้นวางแผนแต่งงานได้ตรงตามความต้องการ ด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านงานวิวาห์ที่หลากหลาย ร่วมออกงานในครั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเข้าชมงาน Wedding Fair 2020 by NEO งานแสดงสินค้าและบริการด้านงานวิวาห์ครบวงจรที่ยิ่งใหญ่แห่งปี ได้ตั้งแต่วันที่ 11 - 13 กันยายน 2563 เวลา 11.00 - 21.00 น. ณ ชั้น 5 รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน หรือสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.thaiweddingfair.com หรือ www.facebook.com/Weddingfairbyneo





















12
“คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล” มอบผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัย มูลค่า 1.75 ล้านบาท
แก่กลุ่มโรงแรม State Quarantine เพื่อสนับสนุนด้านสุขอนามัยของพนักงานและผู้เข้าพัก






เพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้ผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัยและขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปันน้ำใจแก่ผู้ถูกกักกันเข้าพักสังเกตอาการโควิด-19 “คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชันแนล” ผู้นำกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัยระดับโลก นำโดย แอนดี้ แมคแนร์ ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มประเทศอาเซียน ร่วมด้วย เจิดสาย สุขแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอาเซียน ได้มอบผลิตภัณฑ์คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชันแนลที่มีความจำเป็นต่อสุขอนามัยส่วนบุคคลเพื่อยกระดับสุขอนามัย มูลค่ารวม 1,750,000 บาทแด่กลุ่มโรงแรมควบคุมโรคที่ภาครัฐจัดตั้งขึ้น โดยมี วิวรรณ วิชัยดิษฐ ผู้จัดการฝ่ายธุรการ โรงแรมบ้านไทยบูทีค และ พลอากาศตรี ภูริทัต จันทร์แก้ว ผบ. เหตุการณ์ เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยทีมผู้บริหารจาก บริษัท คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ได้แก่ โยธนา อนันต์รัตนชัย หัวหน้าฝ่ายขายประจำภาคเหนือ, ปิยะพร ปฏิมาวิรุจน์ หัวหน้าฝ่ายขายประจำภาคใต้ ร่วมงานด้วย ณ โรงแรมเดอะภัทรา-พระรามเก้า และ โรงแรมบ้านไทยบูทีค 




มร. แอนดี้ แมคแนร์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มประเทศอาเซียน คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล (ASEAN GM) กล่าวว่า “ด้วยเป้าหมายของทาง คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชันแนล คือการสร้างสุขอนามัย ความปลอดภัย และความมีประสิทธิผลที่ดีให้แก่สถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะที่ทำงาน เราจึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเพื่อการรักษาสุขอนามัยของผู้ที่ต้องกักกันตน จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ให้แก่โรงแรม State Quarantine สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล ให้การสนับสนุนมูลค่ารวม 1.75 ล้านบาท ได้แก่ กระดาษเช็ดมือสก๊อตต์ AIRFLEX ที่มีคุณสมบัติพิเศษคือมีเนื้อกระดาษที่เหนียวไม่ขาดง่าย และยังซึมซับน้ำได้ดีเยี่ยม แนะนำให้ใช้ร่วมกับการล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และเช็ดมือให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดมือสก๊อตต์ AIRFLEX  และ “ผ้าไมโครไฟเบอร์ WypAll” สำหรับเช็ดทำความสะอาดทั่วไป โดยใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดหรือแอลกอฮอล์เช็ดหลังการสัมผัสพื้นผิวและสิ่งของต่างๆ ที่อาจมีเชื้อไวรัส เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อจากการติดเชื้อรวมถึงการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยทางโรงแรมจะเตรียมผลิตภัณฑ์ไว้ประจำที่ห้องพักให้เพียงพอสำหรับการใช้งานตลอด 14 วัน

ไม่เพียงแค่ “ผู้ถูกกักกันตน” เท่านั้นที่ต้องดูแลเรื่องความสะอาดส่วนบุคคลเป็นพิเศษ แต่ “พนักงานโรงแรม” ที่ปฏิบัติงานก็มีความจำเป็นต้องดูแลด้านสุขอนามัยไม่แพ้กัน เพราะบุคคลกลุ่มนี้มีโอกาสสัมผัสกับผู้เสี่ยงต่อโรค ต้องเฝ้าระวังตนเอง จึงต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดจุดสัมผัสต่างๆ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายสู่ภายนอก





ทางด้าน วิวรรณ วิชัยดิษฐ ผู้จัดการฝ่ายธุรการ โรงแรมบ้านไทยบูทีค กล่าวว่า การสนับสนุนครั้งนี้ของทาง คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของโรงแรมได้มาก เพราะงบสนับสนุนจากรัฐบาลไม่เพียงพอทั้งหมด เนื่องจากเราหาจัดสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนความปลอดภัยทุกอย่างๆ เต็มที่เพื่อที่จะทำให้ผู้ถูกกักกันมีความปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจตลอดระยะเวลา 14 วันที่พักกับทางโรงแรม เช่น เรื่องอาหารที่มีเมนูหลากหลายไม่จำเจ อุปกรณ์ในห้องพักก็เลือกใช้ของดีมีคุณภาพ เป็นต้น จริงๆ โรงแรมเราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ “คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล” มาตลอด จึงทำให้เรารู้จักและมั่นใจในคุณภาพดีอยู่แล้ว รู้สึกภูมิใจค่ะที่ได้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ชีวิตที่มีค่าที่ได้ช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน
 
“ทางโรงแรมเรามีกิจกรรมให้ผู้กักตัวได้ร่วมกิจกรรมกันภายใต้แคมเปญ “กักตัวไม่กลัวเหงา” เช่น ไลฟ์โยคะ นักร้องจิตอาสามาไลฟ์ร้องเพลงสด โดยเรามี “ไลน์กลุ่ม” ไว้สื่อสารและส่งข่าวสารถึงกัน เมื่อมีองค์กรหรือจิตอาสามาร่วมสนับสนุนสิ่งของ เราก็จะมีการแบ่งปันไปยังชุมชนข้างเคียง เนื่องจากการเป็นโรงแรม State Quarantine จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากชุมชน คนที่เข้ากักตัวที่นี่ส่วนใหญ่มาจากประเทศมุสลิม ทำให้ได้รับการต้อนรับและมีการส่งกำลังใจจากคนในชุมชนเป็นอย่างดี เพราะเขาก็จะได้รับประโยชน์ตรงที่จะมีการสั่งซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันจากร้านค้าในย่านนี้” วิวรรณ กล่าว





ในขณะที่ทั่วโลกยังคงตอบสนองต่อวิกฤต COVID-19 และอุตสาหกรรมโรงแรมได้รับผลกระทบในวงกว้าง เราต้องการให้ธุรกิจโรงแรมของไทยได้ตระหนักว่า คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล จะเป็นองค์กรที่อยู่เคียงข้างพร้อมสนับสนุนช่วยเหลือทั้งในปัจจุบันและในอนาคต” มร. แมคแนร์ กล่าวเสริม








13
DITP ดันรายได้ธุรกิจโลจิสติกส์ไทยพุ่ง
ในงาน TILOG-LOGISTIX Online Business Matching





   เวทีธุรกิจ TILOG-LOGISTIX Online Business Matching จัดโดย DITP ประสบความสำเร็จเกินคาด ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและผู้ซื้อจากทั่วโลก ร่วมวงเจรจาการค้ากับโลจิสติกส์ชั้นนำของไทย ดันมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทะลุ 3,800 ล้านบาท

   นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ดำเนินการภายใต้นโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการผลักดันการค้าระหว่างประเทศ เร่งพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการไทย และปรับรูปแบบกิจกรรมให้ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้จัดกิจกรรมจับคู่เจรจาผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทยผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ TILOG-LOGISTIX Online Business Matching โดยงานนี้มีบริษัทคู่ค้าจากทั่วโลกร่วมเจรจากับผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยมากถึง 110 บริษัท

   “งาน TILOG-LOGISTIX Online Business Matching ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง มีการเจรจาจับคู่เพื่อเจรจาการค้ารวมมากถึง 264 ครั้ง เกิดมูลค่าการค้าระหว่างประเทศกว่า 3,800 ล้านบาท และยังช่วยส่งเสริมพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยสู่สากล”





   สำหรับบรรยากาศตลอดทั้ง 2 วัน ของ TILOG-LOGISTIX Online Business Matching มีคู่ค้าในต่างประเทศจองคิวขอเจรจาผ่านระบบออนไลน์แน่นขนัดต่อเนื่องตั้งแต่เช้า เกินเป้าหมายที่คาดไว้แม้อยู่ในสถานการณ์โควิด-19 ระบาดทั่วโลก อาทิ ผู้ประกอบการโลจิสติกส์จากต่างประเทศ อาทิ จีน มาเลเซีย พม่า อินเดีย ไต้หวัน รัสเซีย แอฟริกาใต้ ฯลฯ

   อีกทั้งงาน TILOG-LOGISTIX Online Business Matching ปีนี้ ยังมีโลจิสติกส์ไทยหลากหลายกว่า 50 บริษัท คู่ค้าจึงเลือกใช้บริการได้ตรงความต้องการทั้งบริการขนส่งสินค้าทั้งทางอากาศ เรือ และรถยนต์ บริการศุลกากร และ Startup ด้านโลจิสติกส์ ฯลฯ พร้อมเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพและโอกาสฟื้นตัวเร็วกว่าชาติอื่นในภูมิภาค






14
ทีเซลส์,ควอลิตี้ พลัส เอสเทติค และฟินิกซิคท์ 

ทำข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนา เมลบี แพลตฟอร์ม

สนับสนุนอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพของประเทศไทย





ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ บริษัท ควอลิตี้ พลัส เอสเทติค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท ฟินิกซิคท์  จำกัด ทำข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนา MELB (เมลบี) แพลตฟอร์ม โดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพของประเทศไทย




เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563 ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ร่วมกับ นายอัษฎา เทพยศ ประธานบริษัท ควอลิตี้ พลัส เอสเทติค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ HongSin KWEK ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัท สินวัฒนา จำกัด ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มเมลบี ณ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) โดยการลงนามข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้เป็นการร่วมมือระหว่างศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กับบริษัท ควอลิตี้ พลัส เอสเทติค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีสุขภาพและความงาม และ บริษัท ฟินิกซิคท์ จำกัด ซึ่งถือเป็นความร่วมมือของเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ภายใต้ แพลตฟอร์มเมลบีที่มุ่งหวังให้เกิดการระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างขึ้นมานั้นจะนำมาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้น




โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มให้เป็นศูนย์กลางในการประสานการระดมทุนระดับโลก ระหว่างนวัตกร นักวิจัย นักประดิษฐ์ นักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ให้การบริจาค แพลตฟอร์มเมลบี คือกลไกที่เป็นทางเลือกใหม่ในการส่งเสริมแหล่งทุนให้กับอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เพื่อต่อยอดผลงานวิจัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการต้นแบบอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนั้น แพลตฟอร์มเมลบีมีความมุ่งหวังที่จะช่วยสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือกรณีที่เกิดวิกฤต การขาดแคลนสิ่งของตลอดจนเงินทุน โดยจะใช้รูปแบบการรับบริจาคสิ่งของหรือระดมทุนเพื่อนำมาสร้างเป็นเทคโนโลยีเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาวเพื่อความยั่งยืน

โดยนายวุฒิพงษ์ ผาณิตเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการบริษัท ควอลิตี้ พลัส เอสเทติค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การร่วมลงนามในครั้งนี้จะเป็นการพลิกโฉมวงการ Life Science (วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต) ซึ่ง แพลตฟอร์มเมลบี จะเป็นแพลตฟอร์มที่นำพาอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ข้ามข้อจำกัดในด้านเงินทุน รวมถึงช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมขั้นสูง เทคโนโลยี นักวิจัยและนวัตกร ให้สามารถนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ใช้สร้างขึ้น ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ตลอดจนช่วยเหลือผู้คนในสังคมที่มีความต้องการใช้ หรือขาดแคลนสิ่งต่างๆ ให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น










15
ก้าวสู่เส้นทางแห่งการปฏิวัติเทคโนโลยีด้านอาหาร

OmniMeat Luncheon –– ขจัดความกังวลเรื่องสุขภาพของคุณออกไป

OmniMeat Strip –– ให้นวัตกรรมเข้าถึงเมนูคลาสสิคของคุณ



[img width= height= alt=fe6c27e8d4c66439e5520ce8a1785d1f.jpg" border="0]https://www.img.in.th/images/fe6c27e8d4c66439e5520ce8a1785d1f.jpg[/img]



(ประเทศไทย, 18 พฤษภาคม 2020) การเปิดตัวครั้งแรกของ OmniMeat ในเดือนเมษายน 2018 ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยส่วนผสมของโปรตีนพืชที่ไม่เหมือนใคร ในขณะที่ยังคงรสชาติและรูปลักษณ์ได้ใกล้เคียงกับเนื้อหมูจริง ภายในระยะเวลา 2 ปี  OmniMeat มีจำหน่ายแพร่หลายทั้งในฮ่องกง มาเก๊า จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ ไทยและแคนาดา ซึ่งมีเป้าขยายที่จะขยายสู่ตลาดระดับภูมิภาค 20 ประเทศ และจุดจำหน่าย 40,000 จุดภายในสิ้นปีนี้ ทั้งยังมุ่งมั่นเป็นผู้นำวัตถุดิบอาหารโปรตีนพืชของโลก และวันนี้มี 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่สุดล้ำออกมาสร้างความตื่นเต้นให้ทุกคนในเอเชียและทั่วโลก คือ OmniMeat Luncheon และ OmniMeat Strip

 

ชื่อใหม่ของบริษัท : OmniFoods

เพื่อสนับสนุนการสร้างแบรนด์และกลยุทธ์การพัฒนาในอนาคตของบริษัท ทาง Right Treat บริษัทวิจัยผลิตภัณฑ์อาหาร OmniMeat ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น OnimFoods วันนี้อย่างเป็นทางการ

“การเปลี่ยนชื่อจาก Right Treat เป็น OmniFoods ทำให้บริษัทต้องปรับตัวเข้ากับการสร้างแบรนด์และพัฒนาการโลกในอนาคตให้โดดเด่นและสอดคล้องยิ่งขึ้น” เดวิด ยัง, ผู้ก่อตั้ง OmniFoods กล่าว “ผลิตภัณฑ์ซีรี่ย์ Omni ใครๆก็ทานได้โดยเฉพาะกลุ่มที่บริโภคทั้งพืชและสัตว์ อีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทานแค่ plant-based หรือทานแค่เนื้อสัตว์ก็สามารถเอนจอยกับผลิตภัณฑ์ซีรี่ย์นี้ได้เช่นกัน สี gradient ของโลโก้ OmniFoods มีสีพื้นฐานที่ไล่จากแดงไปเขียว เป็นสัญลักษณ์สื่อว่าคนที่ทานมังสวิรัติและคนที่ทานแต่เนื้อสัตว์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่ทุกคนจะมีส่วมร่วมในการรับประทานอาหารที่ทำจากพืชเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าต่อโลกและตนเอง”

แคนาดาเป็นฐานการวิจัยและพัฒนาของ OmniFoods โดยสำนักงานใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง ทีม OmniFoods ทราบว่าเนื้อหมูมานำประกอบอาหารได้หลากหลายและเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ของคนเอเชีย ภายใต้การระบาดของไข้หวัดหมูแอฟริกัน ความไม่มั่นคงด้านอาหารที่มีอยู่ทั่วโลกและราคาเนื้อหมูเพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ เราจะเห็นได้ชัดคือห่วงโซ่อุปทานอาหารถูกครองด้วยโปรตีนเนื้อสัตว์ที่ไม่สร้างความยั่งยืน ประกอบกับประชากรที่เพิ่มมากขึ้นและระบบอาหารที่ล้าสมัยสร้างภาระต่อโลกอย่างมาก ดังนั้นการปรับปรุงนิสัยในการกินของผู้คนจึงสำคัญ ทั้งนี้ OmniFoods จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อหมูที่ทำจากพืชเพื่อเร่งฝีเท้าและขยายการเปลี่ยนแปลงของระบบอาหาร โดยมีเป้าหมายสร้างทางเลือกของอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในสภาวะการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายเช่นนี้

 

ยอดขายประจำปีของ luncheon meat ในเอเชียแปซิฟิคเกินกว่า 400 ล้านกระป๋อง

จากรายงาน “Global Luncheon Meat Market 2020 by Manufacturers, Regions, Type and Application, คาดการณ์ถึง 2025” เผยแพร่โดย Global Info Research ยอดขายทั่วโลกประจำปี 2019 ของ luncheon meat ขายได้ 3.1 พันล้านบาท คาดการณ์ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 29% เป็นจำนวน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025 ห้าในแปดของภูมิภาคที่มียอดขาย luncheon meat ในปีที่แล้วอยู่ในเอเชียแปซิฟิค คือ จีน (460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ), เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ), ญี่ปุ่น (130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ), เกาหลีใต้ (96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และอินเดีย (93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

 ยอดขายทั่วโลกของ luncheon meat ปี 2019 อยู่ที่ 374,000 เมตริกตัน ซึ่งเอเชียแปซิฟิคขายได้ 146,000 เมตริกตัน คิดเป็น 39% ตามด้วยอเมริกาเหนือขายได้ 119,000 เมตริกตัน (32%) และยุโรปขายได้ 88,000 เมตริกตัน (23%) โดยขนาดมาตรฐานของตลาดที่ขาย luncheon meat 340 กรัม ประมาณ 1.1 พันล้านกระป๋องนั้นขายทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนอย่างน้อย 400 ล้านกระป๋องที่ขายในเอเชียแปซิฟิค





คนเอเชียชอบทาน luncheon meat หลายคนจากฮ่องกงมองว่าเป็นเนื้อสัตว์แปรรูปที่น่าโปรดปราน[/b]

การสำรวจโดยบริษัทวิจัยทางตลาดอิสระ IPSOS และได้รับมอบหมายจาก OmniFoods พบว่าชาวเอเชียมีดีมานด์การบริโภค luncheon meat ที่ใหญ่มาก ในบรรดาเนื้อสัตว์แปรรูปประเภทต่าง ๆ luncheon meat คืออาหารที่คนฮ่องกงชื่นชอบ รองมาคือไส้กรอกและเบคอน ชาวเกาหลีถือว่า luncheon meat คืออาหารที่สุดโปรดมากกว่าไส้กรอกและเบคอน สะท้อนให้เห็นว่า luncheon meat เป็นเนื้อสัตว์แปรรูปที่เป็นที่นิยมในเอเชีย

ชาวเอเชียชื่นชอบ luncheon meat และบริโภคบ่อยครั้ง 88% ของคนจีนบริโภค luncheon meat อย่างน้อยเดือนละครั้ง รองมาคือ เกาหลี (78%) และ ฮ่องกง (69%) ในการสำรวจ 50% ของคนจีนและ 29% ของคนเกาหลีใต้บริโภค luncheon meat หนึ่งถึงสี่ครั้งต่อสัปดาห์

แม้ผู้บริโภคจะชอบรับประทาน luncheon meat มากแต่ก็ยังกังวลกับความเสี่ยงต่อสุขภาพ 60-70% ของผู้บริโภคในหลายภูมิภาคมีความกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบกับสุขภาพที่บริโภคเนื้อสัตว์แปรรูป 72% ของผู้บริโภคชาวฮ่องกงและ 64% ของผู้บริโภคชาวจีนกังวลเกี่ยวกับการก่อมะเร็งของเนื้อสัตว์แปรรูป ในขณะที่ 70% ของผู้บริโภคชาวอเมริกันและ 60% ของผู้บริโภคชาวเกาหลีมีความกังวลต่อระดับโซเดียมในเนื้อสัตว์แปรรูป จากสถิติแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความกังวลที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลกระทบของเนื้อสัตว์แปรรูปที่มีต่อสุขภาพ

WHO ระบุว่า luncheon meat เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 การบริโภควันละหนึ่งชิ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง

เพราะมีสารไนเตรทใส่เป็นวัถตุกันเสียใน luncheon meat องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (The International Agency for Research on Cancer) หน่วยงานระหว่างรัฐบาลเป็นหน่วยงานหนึ่งขององค์การอนามัยโลก จัดประเภทเนื้อสัตว์แปรรูปอย่าง luncheon meat เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 ทุกการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูป 50 กรัมต่อวัน ประมาณหนึ่งชิ้นสไลซ์ของ luncheon meat สามารถเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 18% แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 34,000 คนทั่วโลกเกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปที่มากเกินไป สภาผู้บริโภคฮ่องกง (The Consumer Council of Hong Kong) ตีพิมพ์รายงานที่ระบุถึงการพบสารตกค้างประเภทยาปฏิชีวนะที่ใช้ในกลุ่มปศุสัตว์ใน luncheon meat อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในผู้บริโภค

การระบาดของไข้หวัดหมูแอฟริกันทำให้ราคาเนื้อหมูเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงราคา luncheon meat เช่นกัน มีผลให้การบริโภค luncheon meat ลดลง นำไปสู่ยอดขายประจำปีที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในปี 2019 จากรายงาน “Global Luncheon Meat Market 2020 by Manufacturers, Regions, Type and Application, คาดการณ์ถึง 2025” เผยแพร่โดย Global Info Research แสดงถึงยอดขายประจำปีที่ลดลงของ luncheon meat ปีที่แล้วในหลายประเทศ/ภูมิภาค: เกาหลีใต้ลดลง 9.2% ญี่ปุ่นลดลง 6.8% เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลง 4.1% อินเดียลดลง 3.8% และจีน 3.1%

การสำรวจ โดยบริษัทวิจัยทางตลาดอิสระ IPSOS และได้รับมอบหมายจาก OmniFoods พบว่าผู้บริโภคสนใจ vegan luncheon meat ที่รสชาติเหมือนกับแบบ traditional ไม่เพียงแค่ปราศจากโคเลสเตอรอล, ส่วนผสมของยาปฎิชีวนะ, การดัดแปลงพันธุกรรมและสารเร่งการเจริญเติบโต ยังให้ไขมันและแคลอรี่ต่ำ มี 88% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่สนใจ มี 42% ที่สนใจมาก และ 46% ที่สนใจ ผลการสำรวจสะท้อนว่าผู้บริโภคเฝ้ารอ luncheon meat ที่เป็นเนื้อสัตว์ทางเลือกเพื่อสุขภาพ


[img width= height= alt=e8db9eac55d27f3fe5b08a4dad1fa732.jpg" border="0]https://www.img.in.th/images/e8db9eac55d27f3fe5b08a4dad1fa732.jpg[/img]



เลือกรับประทานด้วยเมตตา – การเปิดตัวของ OmniMeat Luncheon ซึ่งทำมาจากพืชตัวแรกของโลก

เปิดตัว luncheon meat เวอร์ชั่นที่ทำจากพืชเพื่อสุขภาพ – OmniMeat Luncheon มีโคเลสเตอรอล 0 มิลลิกรัม อุดมไปด้วยโปรตีนและมีไฟเบอร์, โพแทสเซียมและแคลเซียม เมื่อเทียบกับ luncheon meat แบบกระป๋องที่ทำจากหมูทั่วไปนั้น OmniMeat Luncheon มีแคลอรี่และไขมันรวมที่ต่ำกว่าถึง 40% และ 49% ตามลำดับ ทั้งมีโซเดียมต่ำกว่า 62% OmniMeat Luncheon ผ่านกระบวนการผลิตโดยไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่มีการดัดแปลงพันธุกรรม ไม่มีสารเร่งการเจริญเติบโต ไม่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะและผงชูรส

ที่สำคัญที่สุดคือ OmniMeat Luncheon ไม่มีไนเตรทที่เป็นสารก่อมะเร็ง ถูกออกแบบให้สะดวกต่อการทำอาหาร เพื่อผลลัพธ์ที่แสนอร่อยเพียงทอดทั้งสองด้านของ OmniMeat Luncheon เป็นเวลาหนึ่งถึงสองนาทีก็พร้อมเสิร์ฟ ถือเป็นวัตถุดิบที่ไม่ว่าใครก็ทำเองได้

“ตั้งแต่เปิดตัว OmniMeat มาได้ 2 ปี ใครๆ ก็เข้ามาถามว่าผลิตภัณฑ์ตัวต่อไปจะเป็นอะไร ที่จริงแล้วก็มีการนำเนื้อหมูนำมาใช้ประกอบอาหารอยู่ทุกวัน ประกอบกับมีผลสำรวจบ่งชี้ว่า luncheon meat เป็นอาหารที่คนเอเชียทั้งรักและเกลียดในเวลาเดียวกัน ทั้งในฮ่องกง จีนและเกาหลี ฯลฯ การรับประทานไม่ใช่แค่การทำให้อิ่มท้องหรือดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นในแต่ละวัน แต่ยังเป็นการตอบสนองความพึงพอใจเพราะได้ทานสิ่งที่ชอบด้วยเช่นกัน อย่างที่คนฮ่องกงชอบทาน luncheon meat กับบะหมี่ไข่ และทาน luncheon meat กับแซนด์วิชไข่ ซึ่งผมก็ชอบเช่นกัน แม้ผมจะทานอาหารที่ทำจากพืชมาเกือบ 20 ปีแล้วก็ตาม นานๆ ครั้งผมก็ยังคิดถึงรสชาติของ luncheon meat กับแซนด์วิชไข่ ดังนั้นผมจึงตื่นเต้นมากๆ เมื่อในที่สุดก็ได้มี OmniMeat ที่ทำจากพืชมาเป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพออกมาให้ได้ทานเสียที” เดวิด ยัง กล่าว

 

 Omni-purpose OmniMeat Strip กลายมาเป็นทางเลือกสายสุขภาพของทุกคน

หมูเส้นนับเป็นส่วนประกอบหลักประจำครัวสไตล์เอเชียในหลากหลายเมนูที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เช่น Vermicelli with Pork Strips & Preserved Vegetables, Noodles with Pork Strips (Zhajiangmian), Stir-Fried Spaghetti with Assorted Meat Strips, Shanghai Fried Noodles with Pork Strips และอื่น ๆ อีกมากมาย OmniFoods จึงได้ผลิตหมูเส้นที่ทำจากพืชชื่อ OmniMeat Strip ขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

OmniMeat Strip อุตมไปด้วยโปรตีน 18.6 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม ด้วยปริมาณไขมันอิ่มตัวต่ำ ไม่มีโคเรสเตอรอล ทั้งยังเป็นแหล่งไฟเบอร์ อุดมไปด้วยโพแทสเซียม แคลเซียม และธาตุเหล็กอีกด้วย หากเทียบกับเนื้อหมูเส้นแบบสดแล้ว OmniMeat Strip มีแคลอรี่และไขมันที่ต่ำกว่าถึง 48% และ 76% ตามลำดับ ด้วยกระบวนการผลิตที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่มีการดัดแปลงพันธุกรรม และปราศจากสารเร่งการเจริญเติบโต

“นอกจากหมูบดแล้ว หมูเส้นก็เป็นอีกวัตถุดิบหนึ่งที่ใช้กันโดยทั่วไปในร้านอาหารและบ้านของคนเอเซีย OmniMeat Strip จึงเป็นส่วนประกอบที่สามารถเข้ากันได้กับในทุก ๆ เมนู และจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากยิ่งขึ้น หากปรุงด้วยกันกับ OmniMeat ซึ่งจะทำให้เชฟได้รังสรรค์เมนูเนื้อสัตว์จากพืชออกมาได้อย่างไม่รู้จบ” เดวิด ยัง กล่าว

 

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ของ OmniFoods – OmniMeat, OmniMeat Luncheon และ OmniMeat Strip–ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผู้ที่ทานเจอีกด้วย

Langham Hospitality Group ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์อันยาวนานของ OmniFoods ได้ให้การสนับสนุนและโปรโมตเรื่องปกป้องสิ่งแวดล้อมและการบริโภคสีเขียวอย่างยั่งยืนมาตั้งแต่ปี 2013  ร้านอาหาร 2 แห่งของที่นี่จะเปิดตัวเมนูหลากหลายเมนูในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งเมนูเหล่านี้เป็นเนื้อจาก OmniMeat Luncheon และ OmniMeat Strip นาย Li Yuet Faat หัวหน้าเชฟร้านอาหารมิชลินสตาร์ชื่อ Ming Court at Cordis ในฮ่องกง  ซึ่งตั้งอยู่ในย่านมงก๊ก ได้สรรค์สร้างเมนูใหม่หลากหลายเมนู โดยใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 ชนิดนี้ ประกอบไปด้วย Steamed OmniMeat Luncheon with Eggplant and Black Bean Sauce, Braised Rice Vermicelli with OmniMeat Strip and Pickled Mustard Vegetables, Fried Crispy Noodle with OmniMeat Strip.

 
เชฟ Faat กล่าวว่า “ตอนผมได้ปรุงอาหารด้วย OmniMeat ครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อน ผมคิดว่าเนื้อสัมผัสของมันช่างคล้ายกับเนื้อหมูของจริงมาก และตอนนี้มี OmniMeat Luncheon ขึ้นมาอีกตัว ผมก็รู้สึกประทับใจมากกับเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ใกล้เคียงกับ luncheon meat จริง ๆ เช่นเดียวกัน”

หัวหน้าเชฟ  นาย Chan Hon Cheong ที่ Ming Court สาขาหว่านไจ๋ ก็เป็นอีกคนที่ได้รังสรรค์เมนูจาก  OmniMeat Luncheon with Egg and Rice in Spicy Tomato Sauce for Rice and Roast ให้ร้านอาหารแบบ take away สำหรับมื้อเช้าและเที่ยง ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านหว่านไจ๋ เชฟ Cheong ต้องการที่จะยกระดับอาหารมื้อเที่ยงแบบ take away เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและอร่อย เพื่อผู้บริหารได้พกพาไปรับประทานในช่วงระหว่างเดินทางไปทำงานหรือประชุมได้

เชฟ Cheong เพิ่มเติมว่า “เนื้อของ OmniMeat Luncheon มีความคล้ายคลึงกับเนื้อ luncheon meat ของจริงเป็นอย่างมากในแง่ของหน้าตาและรสชาติ เมื่อนำมาทำอาหารก็มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก สามารถนำไปทอดได้เลยทันทีที่นำออกจากช่องแช่แข็ง ทั้งกลิ่นที่ออกมาในระหว่างการปรุงอาหารด้วย OmniMeat Luncheon นั้นช่างเย้ายวนใกล้เคียงกับเนื้อจริง ๆ มาก”

ในส่วนของ Omni Luncheon & Eggless Sandwich, Omni K-Ramen และ Omni Zha Jiang จะวางจำหน่ายโดยเฉพาะที่ Green Monday’s Kind Kitchen ในฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป

ส่วน OmniMeat Luncheon และ OmniMeat Strip แพ็คขายปลีกก็จะเริ่มวางจำหน่ายในฮ่องกงในเดือนกรกฎาคม 2020



[img width= height= alt=3e4fb6410a9a2855c335ac9b1714a664.jpg" border="0]https://www.img.in.th/images/3e4fb6410a9a2855c335ac9b1714a664.jpg[/img]



{ เกี่ยวกับ OmniFoods }

OmniFoods (เดิมชื่อ Right Treat) เป็นบริษัทเทคโนโลยีอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Green Monday Holdings จัดตั้งในเดือนเมษายน 2018 บริษัทมีพันธกิจในการผลิตคิดค้นอาหารที่ไม่ทำร้ายโลก ไม่ทำร้ายสัตว์และมนุษย์ด้วยกัน ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารในแคนาดาได้ผลิตนวัตกรรมอาหาร 2.0 ตามวัฒนธรรมการรับประทานและการปรุงอาหารแบบชาวเอเซีย พร้อมกับทำให้มั่นใจว่าส่วนประกอบของอาหารจะต้องไม่เกิดจากการเบียดเบียนสัตว์ ไม่มีคลอเรสเตอรอล ปราศจากส่วนผสมของยาปฏิชีวนะและสารเร่งการเจริญเติบโตใด ๆ การเปิดตัวของ OmniMeat ผลิตภัณฑ์ตัวแรกของ OmniFoods ได้รับความสนใจในระดับระหว่างประเทศ ในระยะเวลาเพียง 2 ปี บริษัทได้เปิดตัวไปยังตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก และได้รับความนิยมในฐานะที่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากพืช ในเดือนเมษายน 2020 OmniFoods ได้เปิดตัว OmniMeat Luncheon and OmniMeat Strip ซึ่งนับเป็นการนำกระแสคลื่นลูกใหม่ในด้านเทคโนโลยีอาหาร นอกจากนี้ OmniFoods ก็ยังมีอาหารพร้อมทาน ready-to-eat series –– OmniEat ที่ได้คัดสรรสารอาหารที่มีคุณค่าลงไปในอาหารประเภทพร้อมทานได้อย่างเพียบพร้อม

 
{ เกี่ยวกับ Green Monday Group }

Green Monday Group ยังคงมุ่งมั่นในพันธกิจที่ว่า “Make Change Happen, Make Green Common” ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2012 และประสบความสำเร็จในแง่ของการสนับสนุนนการบริโภคอาหารที่ทำจากพืช (plant-based) และปกป้องสิ่งแวดล้อมผ่านต้นแบบทางสังคมในหลากหลายแง่มุม ด้วยความหวังที่จะรับมือกับวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง (climate change) ความไม่มั่นคงทางด้านอาหารของโลก และการโปรโมตด้านสาธารณสุข หากกล่าวถึง Green Monday Foundation กับ Green Monday Holdings และ Green Monday Ventures ซึ่งเป็นสามสาขาหลักของ Green Monday Group นั้น นับตั้งแต่ Green Monday Foundation ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมา ทางบริษัทได้โปรโมตปรัชญาการรับประทานอาหารที่ทำจากพืช (plant-based) สัปดาห์ละครั้งไปกว่า 30 ประเทศ ธุรกิจของ Green Monday Holdings ประกอบด้วย Green Common และ OmniFoods โดย Green Common เป็นสโตร์ภายใต้คอนเซปต์ plant-based แห่งแรกของโลกที่ได้ปฎิวัติวงการอาหารและนำประสบการณ์เกี่ยวกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอาหารที่ก้าวหน้าที่สุดมาสู่ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค มีเครือข่ายการวางจำหน่ายขยายไปกว่า 10 ประเทศในหลายภูมิภาค โดย OmniFoods ได้ก่อตั้งทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารขึ้น ณ ประเทศแคนาดา ผู้พัฒนา OmniMeat, OmniMeat Luncheon และ OmniMeat Strip (ทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยวัตถุดิบ 2.0) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาของวงการอุตสาหกรรมอาหารและอนาคตของวงการอาหารทั่วโลก ด้าน Green Monday Ventures นั้นเกิดขึ้นเพื่อเป็นพลังกระตุ้นการเติบโตของผู้ประกอบการและ startups ทั่วโลก ในปี 2018 นายเดวิด ยัง ผู้ก่อตั้ง Green Monday Group ได้รับรางวัล “2018 Social Entrepreneur of the Year” จาก the World Economic Forum และ Schwab Foundation


[img width= height= alt=870f1afe3744a6b53d13dd7868129275.jpg" border="0]https://www.img.in.th/images/870f1afe3744a6b53d13dd7868129275.jpg[/img]





Pages: [1] 2 3 ... 71