Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - happy

Pages: 1 ... 2244 2245 [2246] 2247 2248 ... 2258
33676
ของสะสมประเภท handbill / HB/BITTER / SWEET
« on: November 04, 2009, 02:10:16 PM »
ขนาดA4 ใบเดี่ยว เรื่องนี้ดาราไทยเล่นด้วย ได้จากงานหนังสั้นท่องเที่ยวไทย ได้มาแค่ 2 ใบ




33677
ของสะสมประเภท handbill / HB/NEW MOON
« on: November 04, 2009, 02:01:10 PM »
ขนาดA5 ใบเดี่ยว


33678
ขนาดA5ใบเดี่ยว


33679
ขนาดประมาณA4ใบเดี่ยว




33680
ของสะสมประเภท handbill / HB/my sister keeper
« on: November 04, 2009, 01:47:23 PM »
ขนาดA5ใบเดี่ยว ได้มาใบเดียวอีกแล้วครับ


33681
ของสะสมประเภท handbill / HB/ORPHAN
« on: November 04, 2009, 01:43:41 PM »
A5ใบเดี่ยว ได้มาใบเดียวให้ใครไม่ได้ครับ


33682
ของสะสมประเภท handbill / HB/HANGOVER
« on: November 04, 2009, 01:10:29 PM »
แผ่นเดี่ยวได้มาใบเดียวครับ ภาพไม่ชัดไม่ว่ากันนะ


33683
อกาลิโก ได้สิทธิ์"พระนารายณ์อวตาร"หนังการ์ตูนอินเดีย ตำนานอวตาร 10 ปาง ของเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู

ปกพระนารายณ์อวตาร





หลังจากประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง จากภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง "พระพิฆเนศมหาเทพแห่งปัญญา" อกาลิโก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ค่ายหนังน้องใหม่เดินหน้าต่อด้วยการนำเข้าภาพยนตร์ ANIMATION เรื่องที่ 2 "DASHAVATAR"ชื่อภาษาไทยว่า "พระนารายณ์อวตาร" นำทีมโดย  สมเกียรติ เรือนประภัสสร์ ประธานกรรมการบริษัท อกาลิโก เอ็นเตอร์เทนเม็นท์ จำกัด เผยว่า
"ขณะนี้ได้รับมอบลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ ANIMATION เรื่อง "DASHAVATAR" ซึ่งเป็นงานสร้างของ Shemaroo Entertainment ผู้สร้างการ์ตูน "พระพิฆเนศ"  สำหรับเนื้อหาของ"พระนารายณ์อวตาร" นี้เล่าถึงเรื่องราวการอวตารของพระนารายณ์ หรือ พระวิษณุเทพ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู  มีหน้าที่ในการปกป้องดูแลเหล่าทวยเทพและมวลมนุษย์จากความชั่วร้าย
ในการทำหน้าที่ให้สมบูรณ์นั้น มีหลายครั้งที่พระนารายณ์ได้ถืออวตารมาในรูปแบบต่างๆตามสถานการณ์แต่ละห้วงเวลาในคัมภีร์พระเวทมีการกล่าวถึงการอวตารของพระนารายณ์ว่า ได้อวตารมาในรูปแบบต่างๆ ถึง 24 อวตาร แต่ที่สำคัญนั้นมีอยู่ 10 อวตารคือ
1.    มัตสยาอวตาร โดยถืออวตารเป็นปลา
2.    กูรมาอวตาร โดยทรงอวตารมาเป็นเต่า
3.    วราหอวตาร ทรงอวตารมาเป็น หมู่ป่า
4.    นรสิงห์อวตาร เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงห์
5.    วามนาอวตาร ทรงมาเป็นคนแคระ
6.    ปรศุรามอวตาร เป็นนักบวชที่ถืออาวุธ
7.    รามาอวตาร เป็นพระราม เพื่อปราบ ทศกัณฐ์
8.    กฤษณะอวตาร เป็นพระกฤษณะผู้ทรงประทาน คัมภีร์ภัควัตคีตาให้กับชาวโลก
9.    พุทธอวตาร หรือสมเด็จพระสัมามัมพุทธเจ้า ผู้ทรงชี้นำทางแห่งอหิงสา
10.  กัลกิอวตาร อัศวินขี่ม้าขาวจะอวตารมาในอีกประมาณ 2500 ปี
ซึ่งภาพยนตร์การตูนเรื่องนี้เต็มไปด้วยสีสันและแอ็คชั่นรวมถึงการผจญภัย โดยหยิบเอาตอนสำคัญๆของแต่ละอวตารมาผูกโยงเข้าเป็นเรื่องเดียวกันอย่างกลมกลืนและเข้าใจง่าย  ในเรื่องราวการอวตารทั้ง 10 ภาคของพระนารายณ์  ผมมั่นใจว่าจะเป็นที่สนใจของเยาวชนและเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป โดยการ์ตูน พระนารายณ์อวตาร จะออกสู่สายตาเยาวชนและผู้ศรัทธาในศาสนาฮินดูปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ครับ”





















33684
ฉลองหอแต๋วแตก


















33685
โดราเอม่อน ตอน โนบิตะ กับ ตำนานยักษ์พฤกษา 





เนื้อเรื่องย่อ
       
เริ่มต้นจากการที่โนบิตะไปเก็บเอาต้นอ่อนมาจากภูเขาหลังโรงเรียน และ
โนบิตะได้ใช้ยาวิเศษของโดราเอมอนทำให้ต้นอ่อนเคลื่อนไหวและพูดเองได้ โนบิตะตั้งชื่อให้ว่า "คีโบ" วันหนึ่งเมื่อทุกคนพากันไปที่ภูเขาหลังโรงเรียนจู่ๆก็มีน้ำวนยักษ์ปรากฏขึ้น มา แล้วก็ดูดพวกโนบิตะเข้าไปและพาพวกเขาไปยังโลกอันแสนประหลาดที่มีต้นไม้ยักษ์ แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ที่มีชื่อว่า "ดาวแห่งสีเขียว"ซึ่งมีพวกพืชที่มีวิวัฒนาการจนสามารถพูดได้เหมือน อย่างคีโบปกครองอยู่โดยมีเจ้าหญิงรีเรเป็นผู้นำและอำมาตย์ใหญ่ชีร่าผู้วาง แผนลับเพื่อปกป้องอนาคตของดาวสีเขียวเอาไว้เป็นผู้รับใช้อยู่เบื้องหลัง โนบิตะ โดราเอมอน และเพื่อนๆ จะทำเช่นไร? เพื่อกลับคืนสู่โลกเดิมของตน และตำนานคนยักษ์สีเขียวในตำนานคืออไรกันแน่?...!










พร้อมเข้าฉายอย่างเป็นทางการ
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2552
ทุกโรงภาพยนตร์ SF เท่านั้น

โดราเอม่อน ตอน  ตำนานยักษ์พฤกษา

โดราเอม่อน เดอะมูวี่ ตอน  ตำนานยักษ์พฤกษา เรื่องที่ 28 เข้าโรงภาพยนตร์
ที่ญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อ วันที่ 8 มีนาคม 2008 และกวาดรายได้ไปอย่างมหาศาล โดยกวาดรายได้ ถึง 5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเป็นเงินราว 5 ร้อยล้านเย็น ในการออกฉายเพียงแค่สัปดาห์แรก แซงหน้า หนังดังอย่างจั้มป์เปอร์ของทางฮอลิวูดลิบลิ่วถึงกว่า 4 แสนดอลล่าเลยทีเดียว และกวาดรายได้ตลอดการออกฉาย 7 สัปดาห์ที่ญี่ปุ่นรวมรายได้ทั้งหมด 31,580,353 ดอลล่า สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินญี่ปุ่น กวาดรายได้ไปถึง 3,375 ล้านเยนนับได้ว่าเป็นภาพยนตร์การ์ตูนที่สร้างรายได้มหาศาลอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว นอกจากนั้นเรื่องนี้ได้ทำการออกอากาศในช่องฟรีทีวีของทางญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2009 เวลา 19.00 น. และได้รับเรตติ้งการออกอากาศอย่างถ้วมท้นถึง 12.1 %เลยทีเดียว เท่ากับว่าคน 100 คนในประเทศญี่ปุ่น รับชมการออกอากาศของการ์ตูนเรื่องนี้สูงถึง 12 คนเลยทีเดียว

การ์ตูนในเวรอ์ชั่นภาพยนตร์เรื่องนี้ สร้างมาจากพื้นเรื่องเดิม ของโดราเอม่อน
ซีรี่ส์ จากเล่ม 26 ในชื่อตอน ชีวิตในพงไพร และ ในเล่มที่ 33 กับชื่อตอน “ลาก่อนคิโบ” และนี่เป็นเรื่องแรกในโดราเอม่อนเดอะมูวี่หลังจากที่ครบคอบฉลอง 25 ปีโดราเอม่อนที่ไม่ได้เป็นการรีเมค แต่ประการใด แต่อย่างไรก็ตาม ตัวละครหลักของเรื่องนี้ที่ชื่อว่า คิโบ    ได้เคยมีการออกสู่สายตาประชาชนกันแล้วในรูปแบบของภาพยนตร์โดราเอม่อนตอน      “ตะลุยอาณาจักรเมฆ” ของปี 1992 ซึ่งชื่อของ คิโบ หนึ่งในตัวละครหลักของภาคนี้นั้น        มีความหมายมาจากคำว่า คิ ที่แปลว่า ต้นไม้ และคำว่า โบว ที่แปลว่า แท่ง ซึ่งหมายถึง     แท่งไม้ แต่ทว่า คำว่า คิโบ ก็ยังคงเป็นคำพ้องเสียงของคำว่า คิโบ ที่แปลว่า ความหวังได้อีกด้วย ซึ่งตรงจุดนี้ ก็เป็นการเชื่อมโยงกับคำโปรยทีว่า “การขับเคลื่อนวิถีแห่งอนาคต คือความหวังของพวกเรานั่นเอง”

33686
STAR SHOW มหา"ลัยสยองขวัญ ณ.ศูนย์การค้าและโรงภาพยนตร์เซ็นจูรี่ เดอะมูฟวี่ พลาซ่า
โดยมีดารานำมาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับหนังเรื่องมหา'ลัยสยองขวัญ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2552ที่ผ่านมา















33687
ขนาดA5 แผ่นเดี่ยว


33688
ของสะสมประเภท handbill / PC/เฉือน
« on: October 22, 2009, 11:47:02 AM »
คงมีแจกตามเมเจอร์ เห็นมีโลโก้เมเจอร์ด้วย


33689
ข่าวภาพยนตร์ / CROSSING OVER
« on: October 19, 2009, 03:59:11 PM »
CROSSING OVER
ครอสซิ่ง โอเวอร์ สกัดแผนยื้อฉุดนรก

เฉพาะในเครือ SF CINEMA CITY

19 พฤศจิกายนนี้










-เรื่องย่อ-   
             อเมริกามักเสนอความหวังให้คุณ แต่มันต้องมีค่าใช้จ่ายเสมอ หลายคนสามารถขอเป็นพลเมืองอเมริกันที่ถูกกฎหมายได้โดยผ่านขั้นตอนทางราชการอันยืดยาว แต่อีกหลายๆ คนก็พบว่าโชคไม่อยู่เคียงข้างพวกเขาในประเทศที่อะไรก็ซื้อได้ ไม่ว่าเซ็กส์, ความรุนแรง หรือการหลอกลวง ล้วนเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น บางคนรอคอยอยู่ที่เส้นพรมแดนประเทศสหรัฐฯ ขณะที่คนอื่นกุมชะตาชีวิตไว้ในกำมือของตนเอง
             งานของแม็กซ์ โบรแกน (แฮร์ริสัน ฟอร์ด) เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง (ICE) แห่งลอส แองเจลีส คือการรักษากฎระเบียบเรื่องการผ่านแดนอย่างเคร่งครัด เขาต้องพบเจอผู้คนนับหมื่นที่พยายามเข้ามาในสหรัฐอเมริกาเพื่อแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า เมื่อมองผ่านชีวิตของแม็กซ์ โบรแกน และเพื่อนคู่หูอย่าง ฮามิด บาราเฮอรี (คลิฟฟ์ เคอร์ติส) รวมทั้งเดนิซ แฟรงเคล (แอชลีย์ จัดด์) นักกฎหมายประจำหน่วย และสามีของเธอ โคล แฟรงเคล (เรย์ ลิออตต้า) ผู้มีหน้าที่พิจารณาคำร้องขอ เราจะเห็นภาระหนักหนาของความรับผิดชอบที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขา
             ด้วยความจำเป็น, เหตุบังเอิญ หรือพรหมลิขิตก็แล้วแต่ ชีวิตของพวกเขาต้องไปทาบทับกับชีวิตของมิเรอยา ซานเชส (อลิซ บรากา) สาวโรงงานชาวเม็กซิกัน, ซาฮ์รา บาราเฮอรี (เมโลดี้ คาซาอี) น้องสาวของฮามิด, ทาสลิมา จาฮานจีร์ (ซัมเมอร์ บิชิล) เด็กสาวชาวบังคลาเทศ, เกวิน คอสเซฟ (จิม สเตอร์เจส) นักดนตรีหนุ่มชาวอังกฤษ, แคลร์ เชพพาร์ด (อลิซ อีฟ) นักแสดงสาวชาวออสเตรเลีย และคิม ยอง (จัสติน ชอน) เด็กหนุ่มจากเกาหลี
             แต่ละคนต่างต้องดิ้นรนบนเส้นทางของตนเอง ในสถานะแม่ผู้เดินทางจากลูกของเธอมา, นักเรียนหญิงผู้ถูกเพ่งเล็งโดยเอฟบีไอ, นักแสดงผู้ยอมขายตัวเพื่อแลกกับกรีนการ์ด, นักดนตรีผู้ไขว่คว้าหาความสำเร็จ และเด็กหนุ่มผู้ตกอยู่ท่ามกลางสองวัฒนธรรมที่แตกต่าง และสิ่งที่โบรแกนต้องรับมืออยู่ทุกวัน ก็คือสิ่งเดียวกันกับที่ประเทศของเขาต้องรับมือในตอนนี้
             ใน Crossing Over ผู้ชมจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งเดียวที่จะเอาชนะสิ่งที่แบ่งแยกเราออกจากกันได้ ก็คือความฝันที่พวกเรามีร่วมกันนั่นเอง ผู้กำกับ/ผู้เขียนบท เวย์น เครเมอร์ ผู้สร้างชื่อจากผลงานชิ้นแรกในปี 2003 เรื่อง The Cooler ยกขบวนทีมงานคู่ใจกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องนี้ อาทิ เจมส์ วิเทเกอร์ ผู้กำกับภาพ, โทบี้ คอร์เบ็ทท์ ผู้ออกแบบงานสร้าง, อาเธอร์ โคเบิร์น ผู้ลำดับภาพ และผู้ออกแบบเสื้อผ้า คริสทิน เบิร์ก
           Crossing Over เป็นผลงานการสร้างของบริษัท เดอะ ไวน์สไตน์ คอมพานี โดยแฟรงค์ มาร์แชลล์ โปรดิวเซอร์ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ถึง 4 ครั้ง ซึ่งอำนวยการสร้างร่วมกับเกร็ก เทย์เลอร์ และมีไมเคิล บีอักก์ เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร








-นักแสดง-
แฮร์ริสัน ฟอร์ด (แม็กซ์ โบรแกน)
             หนึ่งในนักแสดงชายผู้มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องมากที่สุดในยุคของเรา พิสูจน์ได้จากผลงานภาพยนตร์ทั้งสิ้น 41 เรื่อง และมีถึง 11 เรื่องที่ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น ภาพยนตร์ชุด Star Wars และ Indiana Jones รวมถึง Air Force One (1997), The Fugitive (1993) และ Patriot Games (1992) ส่งผลให้เขากลายเป็นฮีโร่อเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ของแฟนภาพยนตร์ทั่วโลก
             ฟอร์ดได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ และลูกโลกทองคำจากภาพยนตร์เรื่อง Witness (1985) ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจาก Sabrina (1995), The Fugitive และ The Mosquito Coast (1986)
             สมาคมผู้ประกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์ยกให้เขาเป็นดาราแห่งศตวรรษเมื่อปี 1994 นิตยสาร People เลือกฟอร์ดเป็น “บุรุษผู้เซ็กซี่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่” ในปี 1998 และปีนั้นเองที่เขาได้รับรางวัล People’s Choice Award ในฐานะดาราภาพยนตร์ผู้เป็นที่นิยมตลอดกาล และได้รางวัลนี้อีกครั้งในปี 2000 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สถาบันภาพยนตร์อเมริกันได้มอบรางวัล Life Achievement Award ให้เขา และในปี 2002 ฟอร์ดก็ได้รับรางวัล Cecil B. DeMille จากสถาบันลูกโลกทองคำ ในฐานะผู้ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพของตน

-ผลงานเด่นเรื่องอื่นของแฮร์ริสัน ฟอร์ด-
American Graffiti (1973)   โดยผู้กำกับ จอร์จ ลูคัส
Hanover Street (1979)   โดยผู้กำกับ ปีเตอร์ ไอแอมส์
Blade Runner (1982)   โดยผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์
Frantic (1988)   โดยผู้กำกับ โรมัน โปลันสกี
Working Girl (1988)   โดยผู้กำกับ ไมค์ นิโคลส์
Persumed Innocent (1990)   โดยผู้กำกับ อลัน เจ พาคูลา
Regarding Henry (1991)   โดยผู้กำกับ ไมค์ นิโคลส์
Clear and Present Danger (1994)   โดยผู้กำกับ ฟิลลิป นอยซ์
Random Hearts (1999)   โดยผู้กำกับ ซิดนีย์ พอลแล็ค
What Lies Beneath (2000)   โดยผู้กำกับ โรเบิร์ต เซเมคคิส

เรย์ ลิออตต้า (โคล แฟรงเคล)
             อาชีพนักแสดงของเรย์ ลิออตต้า เริ่มต้นอย่างสวยหรูด้วยการได้รับเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากภาพยนตร์เรื่อง Something Wild เมื่อปี 1986 ตามมาด้วยบทเด่นในภาพยนตร์อีกสองเรื่องคือ Dominic and Eugene (1988) และ Field of Dreams (1989) จนกระทั่งมาถึง Goodfellas ผลงานชั้นเยี่ยมของมาร์ติน สกอร์เซซีในปี 1990 ที่ส่งให้ชื่อของเขาเป็นที่จดจำเพียงชั่วข้ามคืน
             ด้วยผลงานมากกว่า 25 เรื่อง ลิออตต้าเลือกรับบทที่แตกต่างในภาพยนตร์หลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เบาสมองอย่าง Heartbreakers (2001) และ Corrina, Corrina (1994) หรือภาพยนตร์แอ็คชั่นระทึกขวัญอย่าง Smokin’ Ace (2006), Hannibal (2001), No Escape (1994) และ Unlawful Entry (1992)
             ลิออตต้าเริ่มต้นงานด้านอำนวยการสร้างครั้งแรก ควบคู่ไปกับการแสดงในผลงานเรื่อง Narc (2002) ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล IFP Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วย ผลงานเด่นเรื่องอื่นของเขาได้แก่ Revolver (2005), Identity (2003), John Q (2002), Blow (2001), Cop Land (1997) และภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ออกอากาศทางช่อง HBO เรื่อง The Rat Pack (1998) ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล Screen Actors Guild จากการรับบทเป็น “แฟรงค์ ซินาตร้า”

แอชลีย์ จัดด์ (เดนิซ แฟรงเคล)
             จัดด์พิสูจน์ความสามารถด้านการแสดงของเธอเป็นครั้งแรกจากบท “รูบี้ ลี จิสซิ่ง” ในภาพยนตร์เรื่อง Ruby in Paradise ที่ทำให้เธอคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Chicago Film Critics Association Award และ Independent Spirit Award ในปี 1993 จากนั้นเธอก็มีผลงานตามมาอย่างต่อเนื่อง เรื่องที่รู้จักกันดี ได้แก่ High Crimes (2002), Someone Like You (2001), Where the Heart Is (2000), Double Jeopardy (1999), Eye of the Beholder (1999), Kiss the Girls (1997), A Time to Kill (1996), Heat (1995) รวมถึงภาพยนตร์ที่ออกฉายทางสถานีโทรทัศน์ HBO เรื่อง Norma Jean & Marilyn ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี่ และลูกโลกทองคำประจำปี 1996 จากบท “นอร์มา จีน ดัฟเฮอร์ตี้”
             นอกจากการเป็นนักแสดง จัดด์ยังเป็นนักต่อสู้เพื่อสังคมด้วย เธอภูมิใจมากที่รับตำแหน่งทูตประจำ YouthAIDS ซึ่งเป็นองค์กรที่ริเริ่มโครงการระดมเงินทุนเพื่อนำมาช่วยป้องกันการแพร่กระจายโรคเอดส์ไปยังประชากรเด็กทั่วโลก จัดด์ต้องเดินทางไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, แอฟริกา, สาธารณรัฐคองโก, รวันดา, อเมริกากลาง และอินเดีย เพื่อเยี่ยมเยือนสถานเด็กกำพร้า, ชุมชนแออัด, ซ่องโสเภณี, คลินิก, ที่พักผู้ป่วย และศูนย์เยาวชนในประเทศเหล่านั้น

คลิฟฟ์ เคอร์ติส (ฮามิด บาราเฮอรี)
             นักแสดงชายมากพรสวรรค์จากนิวซีแลนด์ ผู้เคยฝากฝีมือไว้ในภาพยนตร์ของผู้กำกับชื่อดังมานับไม่ถ้วน อาทิ Bringing Out the Dead (1999) ของมาร์ติน สกอร์เซซี, The Insider (1999) ของไมเคิล มานน์, Three Kings (1999) ของเดวิด โอ รัสเซลล์, Sunshine (2007) ของแดนนี่ บอยล์, The Majestic (2001) ของแฟรงค์ ดาราบองท์, The Piano (1993) ของเจน แคมเพียน, Training Day (2001) ของอังตวน ฟูคัว, The Fountain (2006) ของดาร์เรน อาโรนอฟสกี, Fracture (2004) ของเกรกอรี่ ฮอบลิท และ 10,000 BC (2008) ของโรลันด์ เอ็มเมอริช
             เคอร์ติสแจ้งเกิดจากการแสดงคู่กับไคชา คาสเซิล ฮิวส์ ใน Whale Rider () ภาพยนตร์นิวซีแลนด์เรื่องดังโดยผู้กำกับ นิกิ คาโร ในปี 1993 เขาได้รับรางวัล New Zealand Film Award สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Desperate Remedies
             ผลงานเด่นเรื่องอื่นของเคอร์ติส ได้แก่ Die Hard 4: Live Free or Die Hard (2007), Runaway Jury (2003), Blow (2001) และ Once Were Warriors (1994) 

จิม สเตอร์เจส (เกวิน คอสเซฟ)
             นักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษ ผู้โด่งดังมาจากบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Across the Universe (2007) โดยผู้กำกับ จูลี่ เทย์เมอร์ ที่นำบทเพลงอมตะของเดอะ บีเทิลส์ มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ผลงานก่อนหน้า Crossing Over ของเขาคือ The Other Boleyn Girl (2008) ของผู้กำกับ จัสติน แชดวิค, 21 (2008) ของผู้กำกับ โรเบิร์ต ลูเคติค และ Fifty Dead Men Walking (2008) ของผู้กำกับ แครี สกอกลันด์

อลิซ บรากา (มิเรอยา)
             นักแสดงสาวดาวรุ่งชาวบราซิล ผู้ถูกจับตามองหลังจากร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง City of God (2002) ซึ่งทำให้เธอได้มาเยือนฮอลลีวูด ด้วยการประกบคู่กับวิล สมิธ ใน I Am Legend (2007) ตามด้วย Redbelt (2008) ผลงานกำกับของเดวิด มาเม็ท แล้วจึงกลับมาร่วมงานกับเฟอร์นันโด ไมเรลเลส ผู้กำกับ City of God อีกครั้งใน Blindness (2008)
             ผลงานเรื่องอื่นของเธอ ได้แก่ The Milky Way (2007), Drained (2006), Journey to the End of the Night (2006), Only God Knows (2006) และ Lower City (2005)


33690
ข่าวภาพยนตร์ / THE BROTHERS BLOOM
« on: October 19, 2009, 03:32:40 PM »
                                       THE BROTHERS BLOOM



5 พฤศจิกายนนี้ เฉพาะที่ SFW เซ็นทรัลเวิล์ด และ APEX สยามสแควร์

-เนื้อหา-

             เอเดรียน โบรดี้ นักแสดงชายรางวัลออสการ์จาก The Pianist (2002), ราเชล ไวซ์ นักแสดงหญิงรางวัลออสการ์จาก The Constant Gardener (2005), มาร์ค รัฟเฟโล (Zodiac) และริงโกะ คิคูชิ นักแสดงสาวชาวญี่ปุ่นผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์จาก Babel (2006) ร่วมประชันบทบาทกันใน The Brothers Bloom ภาพยนตร์เบาสมองเรื่องของการผจญภัยครั้งสุดท้ายของสองหนุ่มนักต้มตุ๋นมือหนึ่งของโลก

             ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของคู่พี่น้องตระกูลบลูม โลกที่การหลอกลวงคือศิลปะ และไม่มีสิ่งใดเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น สองพี่น้องมีฝีไม้ลายมืออันหาที่ติไม่ได้ตลอดระยะเวลาหลายปีของการร่วมงานกัน บัดนี้ทั้งคู่ตัดสินใจทำงานชิ้นสุดท้าย ด้วยการวางแผนหลอกล่อสาวสวยรวยทรัพย์นิสัยประหลาดคนหนึ่ง ให้เดินเข้าสู่หลุมพรางที่ทำให้พวกเขาต้องออกเดินทางท่องไปทั่วโลก

             เท่าที่จำความได้ สตีเฟ่น  (มาร์ค รัฟเฟโล) และบลูม  (เอเดรียน โบรดี้) มีเพียงกันและกันตลอดมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่เป็นสิบแปดมงกุฎระดับชาติ ทั้งสองแบ่งปันทุกสิ่งร่วมกัน สตีเฟ่นเป็นคนคิดแผนการอันซับซ้อน ขณะที่บลูมผู้น้องยังคงใฝ่ฝันถึงการผจญภัยอันแท้จริง แบบที่ไม่ต้องพึ่งพาแผนการของพี่ชาย และเมื่ออยากวางมือ บลูมรับปากทำงานกับสตีเฟ่นเป็นครั้งสุดท้าย โดยเข้าไปตีสนิทกับเพเนโลพี (ราเชล ไวซ์) ทายาทมหาเศรษฐีจากนิวเจอร์ซีย์ จนเมื่อความสัมพันธ์เริ่มเบ่งบาน เพเนโลพีก็เชื่อว่าตนเองกำลังจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต เธอและ บลูม พร้อมด้วยสตีเฟ่น และแบงแบง (ริงโกะ คิคูชิ) ผู้ช่วยสาวของพวกเขา ร่วมเดินทางข้ามมหาสมุทรไปกรีซ และตระเวนไปทั่วโลก จากกรุงเอเธนส์ ไปกรุงปราก ไปเม็กซิโก สู่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มก้าวเข้าใกล้จุดอันตราย บลูมจึงได้รู้ว่าแผนครั้งนี้ของพี่ชายคือแผนที่เสี่ยงตายที่สุดในชีวิตการเป็นนักต้มตุ๋นของเขา









-เบื้องหลังงานสร้าง-

             ในฐานะนักสร้างภาพยนตร์รุ่นใหม่ไฟแรง  ไรอัน จอห์นสัน ผู้เขียนบทและผู้กำกับ The Brothers Bloom มีประสบการณ์เกี่ยวกับหนังมาตั้งแต่ช่วงวัยแรกรุ่น จากการดูหนังคลาสสิค และทำหนังโฮมมูฟวี่ร่วมกับเพื่อนๆ ของเขา Brick ผลงานขนาดยาวเรื่องแรกของจอห์นสันที่เป็นหนังสืบสวนในโรงเรียนมัธยม ชนะรางวัล Special Jury Prize จากเทศกาลภาพยนตร์ซันดานซ์ปี 2005 และผลงานต่อมาคือ The Brothers Bloom เรื่องนี้ คือการนำสไตล์เล่าเรื่องอันโดดเด่นในแบบของเขา มาใส่ไว้ในหนังแนวคลาสสิค

             ท่ามกลางภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจให้จอห์นสันในวัยเด็ก  มีหนังเบาสมองอย่าง The Sting และ Dirty Rotten Scoundrels ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักต้มตุ๋นมืออาชีพ ผู้ที่ชีวิตของพวกเขาต้องก้าวล้ำนำหน้าคนอื่นไปขั้นหนึ่งเสมอ “ผมอยากทำหนังตลกเกี่ยวกับนักต้มตุ๋น” เขากล่าว “ผมค่อยๆ เขียนเรื่องของสองพี่น้องและหญิงสาวคนหนึ่งที่พวกเขาพบ และในที่สุดมันก็เกิดเป็นหนังเรื่องนี้ขึ้นมา”

             บรรดาตัวละครพิเศษที่จอห์นสันสร้างสรรค์ขึ้นมา ทำให้เขาต้องออกไปค้นหาโลเคชั่นแปลกๆ ทั่วโลก มารองรับความใหญ่โตของเรื่องราว “มันกลายเป็นหนังผจญภัยเรื่องยิ่งใหญ่ ที่ต้องท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป” จอห์นสันกล่าว “เรามีฉากเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก, รถไฟวิ่งผ่านหุบเขาฮังกาเรี่ยน และตรอกซอกซอยในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีทุกอย่างที่เป็นจินตนาการอันสวยสดงดงามเกี่ยวกับยุโรปของชาวอเมริกัน”

             ด้วยเหตุที่ Brick ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง จอห์นสันจึงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากนักกับการหานายทุนมาสร้างภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขา “เราไม่ได้โยนบท The Brothers Bloom ให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้า” ผู้อำนวยการสร้าง แรม เบิร์กแมน กล่าว “เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น นี่คือหนังเรื่องต่อมาของไรอัน จอห์นสัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสองหนุ่มนักต้มตุ๋นผู้ผจญภัยไปทั่วโลก แค่นี้ใครๆ ก็อยากอ่านมันแล้ว ทุกคนชอบ Brick หรือถ้าไม่ชอบ พวกเขาก็ยังชื่นชมพรสวรรค์ของไรอัน และอยากร่วมงานกับเขาอยู่ดี”

             ตอนที่เบิร์กแมนอ่านบทหนังเรื่องแรกของจอห์นสัน เขาเชื่อว่าตัวเองค้นพบเพชรเม็ดงามเข้าแล้ว “แต่คุณก็ไม่รู้หรอกว่าเขามีพรสวรรค์จริงหรือเปล่า จนกว่าจะได้ทำงานกับเขา ตั้งแต่ตอนถ่ายฉากแรก เขาก็เป็นผู้นำได้อย่างดีแล้ว เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร มันเป็นหนังเรื่องแรกที่ผมสามารถพูดว่า ‘ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ผู้กำกับคนนี้รู้ดีว่าเขากำลังทำอะไร’ และที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ เขายังเป็นชายหนุ่มที่สุภาพน่ารักที่สุดในโลกด้วย”

             The Brothers Bloom เป็นผลงานการสร้างโดย Endgame Films บริษัทผลิตภาพยนตร์ที่อยู่เบื้องหลังหนังดังอย่าง Hotel Rwanda และ I’m Not There “เราโชคดีอย่างเหลือเชื่อที่ได้อ่านบทหนังของไรอันตั้งแต่เนิ่นๆ และเราก็หลงรักมันทันที” เจมส์ สเทิร์น หัวหน้าฝ่ายบริหารของ Endgame กล่าว “เรารู้เดี๋ยวนั้นว่า เราอยากสร้างหนังเรื่องนี้”

             เวนดี้ จาเฟ็ท ประธานฝ่ายผลิตของ Endgame บอกว่า แม้เธอจะได้อ่านบทภาพยนตร์จำนวนมากมายมหาศาลตลอดชีวิตการทำงานของเธอ แต่ The Brothers Bloom ก็โดนใจเธอด้วยเหตุผลหลายประการ “การเขียนบทที่ชาญฉลาด ความสนุกสนาน และเนื้อหาที่มองโลกในแง่ดี ไรอันเข้าใจตัวละครที่เขาเขียนอย่างถ่องแท้ ว่าทำไมพวกเขาถึงทำอย่างที่พวกเขาทำ และการเดินทางที่เกิดขึ้นนั้นมีความหมายอย่างไร”

             “หนังเรื่องนี้มีท่วงทำนองและโลกของมันเอง” จาเฟ็ท เจ้าของผลงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์อย่าง The Italian Job และ Without a Paddle กล่าว “มันอบอุ่นและมีอารมณ์ขัน ฉันชอบหนังที่ทำให้เรารู้สึกถึงบางสิ่ง ตอนที่ฉันอ่านบท ฉันหัวเราะ แล้วก็ร้องไห้ ฉันคิดว่าลูกสาวของฉันก็คงชอบหนังเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะว่ามันมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับพลังอำนาจของเพศหญิงแฝงอยู่ในเรื่อง ซึ่งฉันชอบมันจริงๆ”

             หนึ่งในเหตุผลของการตัดสินใจรับบทบาทผู้อำนวยการสร้าง  The Brothers Bloom ของเบิร์กแมน ภายใต้การลงทุนของสตูดิโอใหญ่แห่งหนึ่งคือ “หน้าที่อย่างหนึ่งของผมคือการปกป้องไรอัน” เบิร์กแมนกล่าว “มุมมองของเขาไม่เหมือนใคร และคุณต้องช่วยให้เขามีอิสระในการทำตามใจ หนังเรื่องแรกของเขาประสบความสำเร็จเพราะเขาสามารถทำมันตามความคิดของตัวเอง เขาทำทุกอย่าง ทั้งเขียนบท กำกับ ตัดต่อ ส่วนเราก็ช่วยให้เขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำ และก็เผยแพร่มันออกไป”

             จาเฟ็ท ผู้ทำงานภายใต้ระบบสตูดิโอ บอกว่าบริษัทสร้างภาพยนตร์อิสระเปิดโอกาสให้เธอได้ร่วมงานกับบรรดานักสร้างหนังผู้มีวิสัยทัศน์ “ไรอันคือหนึ่งในคนทำหนังเหล่านั้น” เธอกล่าว “และนั่นเป็นโชคของเรา บวกกับจังหวะที่เขามีบทหนังอยู่ในมือพอดี เราจึงคว้ามันเอาไว้”

             การถ่ายทำในสถานที่ต่างๆ ของยุโรปตะวันออก ทำให้นักแสดงและทีมงานต้องเผชิญกับงานหนักหนาสารหัส แต่จากถ้อยคำของเจมส์ สเทิร์นที่บอกว่าเบิร์กแมนคือผู้รวบรวมกลุ่มคนผู้เชี่ยวชาญมาไว้ด้วยกันเป็นทีมหนึ่ง “ผมชอบทำงานกับแรม” สเทิร์นกล่าว “การทำหนังไม่เคยเป็นเรื่องง่าย และงานนี้ต้องยกย่องไรอันและแรม ที่ทำให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่นมาก คุณต้องทำหนังมาสักหลายๆ เรื่อง ก่อนที่คุณจะพบทีมงานที่เหมาะสม”

             เมื่อตอนกำกับภาพยนตร์ครั้งแรก จอห์นสันทำเรื่องสืบสวนในโรงเรียนมัธยมให้ออกมาเป็นหนังแนวฟิล์มนัวร์ แต่กับ The Brothers Bloom เขาสร้างเรื่องราวผจญภัยของคู่นักเสี่ยงโชคยุคปัจจุบัน ให้ออกมาเป็นลักษณะกึ่งจริงกึ่งฝัน “เราสร้างโลกที่เป็นของเราเอง เพราะหนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องภายในโลกที่สตีเฟ่นเป็นคนสร้างขึ้นมา” ผู้กำกับกล่าว “มันเป็นโลกแห่งมายา ที่ทุกสิ่งดูจะเกินจริงไปนิดหน่อย และสตีเฟ่นจงใจใส่ความรู้สึกเพ้อฝันลงไปเพื่อชักจูงเพเนโลพีให้คล้อยตาม ลองจินตนาการดูสิว่า ถ้าทุกคนที่คุณเจอล้วนเป็นนักแสดงที่กำลังเล่นไปตามบท แต่คุณเป็นคนเดียวที่ไม่มีบท นั่นคือสิ่งที่ดึงดูดใจสำหรับเรื่องนี้ ในฐานะผู้ชม เราอาจเป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้น มันทำให้เราสนุกสนานไปกับเรื่องราวนั้นด้วย”

             จอห์นสันเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการสร้างหนังสั้นร่วมกับเพื่อนๆ และครอบครัว “การทำหนังไม่เคยเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องแยกตัวเองออกจากผู้คนที่อยู่รอบกาย มันควรให้ความรู้สึกเหมือนว่าคุณหยิบกล้องขึ้นมา แล้วก็ออกไปถ่ายหนังกับเพื่อน เช่นเดียวกับการสร้างหนังเรื่องนี้ที่ต้องใช้เงินทุนสูง และถ่ายทำในสถานที่มากมาย สิ่งหนึ่งที่ผมกังวลคือ มันจะให้ความรู้สึกเหมือนเดิมหรือเปล่า









-นักแสดง-

เอเดรียน  โบรดี้ (บลูม)

             ภาพยนตร์เรื่อง The Pianist ของผู้กำกับ โรมัน โปลันสกี้ ทำให้โบรดี้เป็นนักแสดงอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสาขาเดียวกันนี้บนเวทีลูกโลกทองคำ, Screen Actors Guild Award และ BAFTA ด้วย

            โบรดี้เกิดและโตในนิวยอร์ค เข้าศึกษาในโรงเรียนการแสดง และเรียนต่อที่ American Academy of Dramatic Arts ผลงานที่ทำให้เขาเริ่มถูกจับตามองคือ King of the Hill (1993) ตามมาด้วย Summer of Sam (1999) และ Liberty Heights (1999) ส่วนภาพยนตร์เด่นเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Cadillac Records (2008), The Darjeeling Limited (2007), Hollywoodland (2006), King Kong (2005), The Village (2004), The Thin Red Line (1998) และ The Last Time I Committed Suicide (1997) 


ราเชล ไวซ์ (เพเนโลพี)

             นักแสดงสาวชาวอังกฤษ ที่มักได้รับบทเป็นผู้หญิงกล้าหาญและชาญฉลาดคนนี้  ยังคงมองหาบทที่ท้าทายความสามารถของเธออยู่เสมอ หลังจากที่การแสดงอันยอดเยี่ยมของเธอในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง The Constant Gardener ทำให้เธอคว้ารางวัลมากมาย ทั้ง Screen Actors Guild Award, ลูกโลกทองคำ และออสการ์

             ไวซ์ก้าวเข้าสู่อาชีพนักแสดงตั้งแต่เธอยังเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  ที่ซึ่งเธอได้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Talking Tongues Theatre เพื่อนำเสนอละครแนวทดลองหลายเรื่อง จนได้รับรางวัล Guardian Award จากเทศกาลเอดินเบิร์ก

             ผลงานภาพยนตร์เด่นเรื่องอื่นของไวซ์  ได้แก่ My Blueberry Nights (2007), The Fountain (2006), Runaway Jury (2003), The Shape of Things (2003), About a Boy (2002), Enemy at the Gate (2001), The Mummy (1999) และ Stealing Beauty (1996)

             

มาร์ค รัฟเฟโล (สตีเฟ่น)

             หนึ่งในนักแสดงชายที่มีคนต้องการร่วมงานด้วยมากที่สุดในฮอลลีวูด รัฟเฟโลเริ่มต้นอาชีพนักแสดงในวงการละคร และได้รับรางวัล Lucille Award สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง This is Our Youth รวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี่จากบทบาทบนเวทีบรอดเวย์เรื่อง Awake and Sing!

             สำหรับวงการภาพยนตร์ รัฟเฟโลโด่งดังจาก You Can Count on Me ในปี 2000 ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์มอนทรีอัล และรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งลอส แองเจลิส

             รัฟเฟโลขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงที่เข้าถึงบทบาทได้ในภาพยนตร์ทุกแนว ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ดราม่าอย่าง Reservation Road (2007), Zodiac (2007), All the King’s Men (2006) ภาพยนตร์เบาสมองอย่าง Rumor Has It… (2005), Just Like Heaven (2005), 13 Going on 40 (2004) หรือภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่าง Collateral (2004), Windtalkers (2002)     

             

ริงโกะ  คิคูชิ (แบงแบง)

             ริงโกะ (หรือชื่อเดิมว่ายูริโกะ) คิคูชิ เริ่มต้นอาชีพนางแบบและนักแสดงตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น  ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอคือ  Ikitai ในปี 1999 จากนั้นก็มีผลงานโฆษณาและภาพยนตร์ตามมาอีกมากมาย อาทิ The Reason (2004), The Taste of Tea (2004), Funky Forest (2005), Portrait of the Wind (2005), Arch Angels (2006) และ Tokyo Serendipity (2007) แต่ผลงานที่สร้างชื่อให้เธอโด่งดังขึ้นมาอย่างแท้จริงคงหนีไม่พ้น Babel ภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกของเธอ ซึ่งการแสดงอันเปี่ยมพลังในบทเด็กสาวหูหนวก ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ และลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในปี 2006 


ร็อบบี้ โคลเทรน (เดอะ คูเรเทอร์)

             โคลเทรนปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์ตั้งแต่ยุค  80 ในผลงานอย่าง Britannia Hospital (1982), Krull (1983), Defence of the Realm (1985), Caravaggio (1986) และ Mona Lisa (1986) แต่เขามาเป็นที่จดจำจากบทจิตแพทย์ชื่อฟิทซ์ ในซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง Cracker ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล BAFTA สาขานักแสดงโทรทัศน์ชายยอดเยี่ยม

             เขาเคยรับบทเป็นวาเลนทิน  ซูคอฟสกี้ คู่ปรับของเจมส์  บอนด์ ในเรื่อง Goldeneye (1995) และ The World is Not Enough (1999) ผลงานเด่นเรื่องอื่นของโคลเทรน ได้แก่ Ocean’s Twelve (2004), Van Helsing (2004), From Hell (2001), The Pope Must Die (1991), Nuns on the Run (1990) และภาพยนตร์ชุด Harry Potter

             

แม็กซิมิเลี่ยน เชลล์ (ไดม่อน ด็อก)

             อีกหนึ่งผู้ชนะรางวัลออสการ์  และเป็นบุคคลที่ได้รับรางวัลทางด้านการแสดงมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วนตลอดอาชีพของเขา  ตัวอย่างเช่น ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์  6 ครั้ง, ชนะรางวัลจากชมรมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งนิวยอร์ค 3 ครั้ง, รางวัลลูกโลกทองคำอีกหลายครั้ง รวมถึงรางวัล Deutscher Filmpreis 7 ครั้ง เป็นต้น

             เชลล์ได้ชื่อเป็นนักแสดงที่พูดภาษาเยอรมันผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฮอลลีวูด เขาเกิดที่กรุงเวียนนา เป็นบุตรของกวีชาวสวิส และนักแสดงหญิงชาวออสเตรีย เริ่มแสดงละครเวทีเมื่อปี 1954 และแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องแรกเมื่อปี 1958 คือ The Young Lions ประกบกับดาราใหญ่ มาร์ลอน แบรนโด และมอนต์โกเมอรี่ คลิฟท์ สามปีต่อมา เชลล์ก็ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว ด้วยการพิชิตรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Judgment at Nuremberg จากนั้นก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ในสาขาเดิมอีกครั้งจาก The Man in the Glass Booth (1975) และสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Julia (1977) นอกจากการเป็นนักแสดงฝีมือเยี่ยม เขายังเป็นผู้กำกับฝีมือดีด้วย งานกำกับเรื่อง First Love (1970) และ The Pedestrian (1973) ได้รับเลือกเป็นตัวแทนจากประเทศเยอรมนีในการเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และในปี 1984 ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Marlene ของเขา ก็ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ รวมถึงได้รับรางวัลจากชมรมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งนิวยอร์ค และ National Board of Review

             ผลงานภาพยนตร์เรื่องเด่นของเชลล์มีดังนี้ Topkapi (1964), The Castle (1968), The Odessa File (1974), Cross of Iron (1977), Peter the Great (1986), The Freshman (1990), Little Odessa (1994) และ Deep Impact (1998) 

Pages: 1 ... 2244 2245 [2246] 2247 2248 ... 2258