enjoyjam.net

ภาพยนตร์ => ข่าวภาพยนตร์ => Topic started by: FB on July 07, 2012, 01:42:43 PM

Title: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on July 07, 2012, 01:42:43 PM
Movie Guide: ยักษ์

ทีเซอร์ ยักษ์ [Yak : Official Teaser]
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=TABKqUt2kVc" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=TABKqUt2kVc</a>

เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ Ost.ยักษ์ (Official Audio)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=UdlCWAUDvAE" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=UdlCWAUDvAE</a>









         "ว่ากันว่าอวตารของนารายณ์มีมากมายนับไม่ถ้วน  ก่อเกิดเรื่องราวรามเกียรติ์กว่า 10 ล้านรูปแบบ และนี่คือรูปแบบที่ "สิบล้านเอ็ด"รามเกียรติ์ในยุคหุ่นยนต์"
          สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล / บ้านอิทธิฤทธิ์/ ซูเปอร์จิ๋ว / เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส /
          สุดภูมิใจที่ได้ร่วมกันสร้างฝันครั้งใหญ่ยิ่งกับ. .อภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยที่มีชื่อสั้นๆว่า "ยักษ์"
          ด้วยแรงบันดาลใจจากตัวละครคลาสสิคในมหากาพย์รามายณะ หนุมาน, ทศกัณฐ์ ฯลฯ จุดประกายไอเดีย ..
          ถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือก่อนกำกับทุกภาพให้โลดแล่นเป็นการ์ตูนโดย
          . . . ประภาส ชลศรานนท์ . . .
          เตรียมพบกับมิตรภาพต่างไซส์ ที่จะมากุมหัวใจคนไทยทั้งประเทศ
          . . . ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ . . .
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 03:13:34 PM
แสตมป์, Room 39 ร่วมแจม โปรเจ็คท์ “ยักษ์” ส่ง “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ” เพลงสนุกสนานน่ารักโดนใจคนทุกวัย






Mv.เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ - Room 39(Official Ost.ยักษ์)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=40vsqsd6TGQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=40vsqsd6TGQ</a>






          “ยักษ์” ภาพยนตร์อนิเมชั่นสายเลือดไทย โปรเจ็คท์ใหญ่บิ้กเบิ้มงานร่วมทุนสร้าง จาก สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล, บ้านอิทธิฤทธิ์ และ ซุปเปอร์จิ๋ว ดำเนินงานสร้างโดย เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส ผลงานการกำกับของ จิก-ประภาส ชลศรานนท์ ครีเอทีฟ นักคิด-นักเขียน ฝีมือฉกาจร่วมมือกับ เอ็กซ์- ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ อนิเมเตอร์ระดับแถวหน้าของประเทศไทย หลังจากปล่อยทีเซอร์ตัวอย่างให้เป็นที่ฮือฮา ในเรื่องของคอนเซ็ปท์ที่จับรามเกียรติ์มาเป็นหุ่นยนต์ เรียกกระแสความสนใจจากผู้ชมมาได้สักพัก ก็เริ่มปล่อยทีเด็ดพิเศษอีกระลอก ด้วยการปล่อยเพลง “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ” เพลงประกอบภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาซึ้งๆ แฝงไปด้วยความน่ารักของมิตรภาพ จากผลงานการผนึกกำลังของสุดยอดนักร้องไอดอลแห่งยุคนี้

          ซึ่งงานนี้หัวเรือใหญ่ของงานอย่างพี่ จิก ประภาส เป็นผู้เลือกศิลปินมาร่วมทำงานด้วยตัวเอง โดยเลือก แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข มาแต่งเนื้อร้องและทำนองเพราะชอบภาษาการแต่งเพลงของแสตมป์ที่เรียบง่ายและนุ่มลึก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเลือกวง Room39 ศิลปินรุ่นใหม่ขวัญใจชาวโซเชียลเน็ตเวิร์คมาเป็นผู้ร้องเพลง แบบไม่มีคู่แข่งอื่น เพราะนอกจากเป็นวงดนตรีรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ วงนี้ยังเป็นวงดนตรีแบบกลุ่มเพื่อน ตรงตามคอนเซ็ปท์ของเรื่องที่ว่าด้วยมิตรภาพ แถมเป็นแก๊งผู้ชายสองคนผู้หญิงหนึ่งตรงกับคาร์แร็คเตอร์หลักในเรื่องได้อย่างพอดี

          ส่วนทางด้านแสตมป์ ก็เผยถึงความรู้สึกที่มอบหมายให้ทำเพลงประกอบภาพยนตร์อนิเมชั่นครั้ง แรกในชีวิตว่า “งานของผมครั้งนี้ก็คือการแต่งเพลงธีม เพลงที่เป็นตัวสรุปเนื้อหาทั้งหมดของหนังครับ ตั้งแต่ทราบว่าพี่จิกจะทำหนังอนิเมชั่น ก็รู้สึกว่า เอาแล้วล่ะเมืองไทยคงจะมีภาพยนตร์อนิเมชั่นเจ๋งๆ จ๊าบๆ แล้ว ก็รู้สึกว่ามันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากเลย เพราะงานของพี่จิกนี่อย่างแรกเลยงานเป็นสากล คือทำแล้วไม่ได้ทำดูแค่เมืองไทย แต่จะต้องดูได้ระดับโลก ก่อนแต่งเพลงผมก็ได้เข้ามาดูหนังบางส่วนก่อนครับ พอดูปุ๊บก็ได้ไอเดียว่า ถ้าเราเอาเรื่องของภพชาติมาแต่งเป็นเพลงน่ารักๆ มันก็จะมีทั้งความเป็นไทย และมันก็ดูเท่ดีด้วยนะที่ได้พูดในหนังอนิเมชั่น เราก็เลยเอามาแต่ง จะมีท่อนหนึ่งร้องไว้ว่า ‘จะแสนนานแค่ไหน กี่ภพชาติหมื่นปี เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนเธอ’ ผมว่าจ๊าบดีนะ (หัวเราะ)

          ส่วนคนร้องผมดีใจมากครับที่ได้ Room 39 มาร้อง เพราะนอกจากเขาจะตรงกับคาร์แร็คเตอร์ในเรื่องแล้วเขายังถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ยอดเยี่ยม ตอนที่ผมร้องไกด์เอง ผมก็ว่าก็เป็นเพลงที่โอเคแล้ว แต่พอทอม, มน, พี่โอ ร้องผมก็รู้สึกว่าเพราะเลย เป็นเพลงที่เหมาะกับพวกเขา เสียงของ Room39 เวลามาอยู่กับดนตรีที่เป็นอะคูสติคหรือว่า น้อยๆ ชิ้นแบบนี้มันเกิดเลย ความหมายต่างๆ ของเพลงมันจะ โดดเด้งออกมาก็ต้องขอบคุณ Room 39 มากครับ ที่ตั้งใจร้องมากขนาดนี้”          

          ฝ่ายวง Room39 ก็เผยถึงความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการทำงานครั้งนี้ว่า (มน) “พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติและดีใจมากๆ นะคะที่พี่จิกเลือกพวกเรามาร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ พี่จิกบอกว่าพวกเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เลย (หัวเราะ) สมาชิกของวงเรามีสามคน เป็น ผู้หญิง ผู้ชายตัวโต กับ ผู้ชายตัวเล็กเหมือนในหนังพอดีเลยค่ะ”

          (โอ) “การทำงานกับแสตมป์ก็เป็นไปอย่างสนุกสนานครับ เพราะเรารู้จักกันอยู่แล้ว ตอนทำงานเลยเป็นกันเองมากครับ”

          (ทอม) “เพลงนี้เป็นเพลงที่น่ารักครับเป็นเพลงที่สื่อถึง มิตรภาพความรักระหว่างเพื่อนได้ดีจริงๆ ผมดีใจที่ได้ร้องเพลงนี้ พวกเรา Room 39 ก็ขอฝากภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องยักษ์ และเพลง “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ” ด้วยนะครับ เราก็มีโอกาสได้ดูอนิเมชั่นเรื่องนี้บางส่วนในขั้นตอนการทำเพลงก็รู้สึกทึ่งมาก อยากให้ทุกคนได้มีความสุขเหมือนพวกเรานะครับ ที่ได้มาร่วมโปรเจ็คที่รวมความพิเศษนี้ ทั้งหนังพิเศษ เพลงพิเศษ แล้วก็ทีมงานแบบพิเศษ ครับ “

          ภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” ว่าด้วยเรื่องรามเกียรติ์ในยุคหุ่นยนต์ เล่าความสัมพันธ์ของหุ่นยักษ์และหุ่นกระป๋อง ที่บังเอิญมีเหตุต้องมาตัวติดกันแบบไม่ตั้งใจ ทั้งคู่ออกเดินทางเพื่อหาทางแยกออกจากกันให้ได้ ผ่านเรื่องราวผจญภัยที่จะตั้งคำถามว่า “หน้าที่” และ “มิตรภาพ” อย่างไหน สำคัญกว่ากัน

          ติดตามฟังเพลง “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ” ได้ที่คลื่นวิทยุชั้นนำทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์จาก www.facebook.com/sahamongkolfilmint หรือ www.youtube.com/sahamongkolfilmint และติดตามความเคลื่อนไหวของภาพยนตร์ได้ที่ www.facebook.com/YakTheMovie

          ตุลาคม นี้ ระวังจะตกหลุม “ยักษ์”
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on August 18, 2012, 07:45:48 AM
MV เพลง เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ เพลงประกอบภาพยนตร์อนิเมชั่น “ยักษ์”

          MV เพลง : เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ
          เพลงประกอบภาพยนตร์อนิเมชั่น “ยักษ์”
          <a href="http://www.youtube.com/watch?v=40vsqsd6TGQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=40vsqsd6TGQ</a>         

          อภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยที่มีชื่อสั้นๆ ว่า "ยักษ์" ด้วยแรงบันดาลใจจากตัวละครคลาสสิคในมหากาพย์รามายณะ หนุมาน, ทศกัณฐ์ ฯลฯ จุดประกายไอเดีย ถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือก่อนกำกับทุกภาพให้โลดแล่นเป็นการ์ตูนโดย ประภาส ชลศรานนท์
          4 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

          เพลง : เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ
          เพลงประกอบภาพยนตร์อนิเมชั่น : ยักษ์ ( YAK : The Giant King )
          คำร้อง ทำนอง : สแตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข
          ขับร้อง : Room 39
          มิวสิควีดีโอ โดย นิ้วกลม
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 04:37:13 PM
“นิ้วกลม” กำกับมิวสิควีดีโอ “ยักษ์” “Room 39” ร่วมโชว์มิตรภาพผ่านเพลง “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ”



<a href="http://www.youtube.com/watch?v=40vsqsd6TGQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=40vsqsd6TGQ</a>

          เรียกว่าเป็นงานที่รวมยอดฝีมือทั่วฟ้าเมืองไทยเลยจริงๆ กับ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่น โปรเจ็คท์ใหญ่งานร่วมทุนสร้าง จาก สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล, บ้านอิทธิฤทธิ์ และ ซุปเปอร์จิ๋ว ดำเนินงานสร้างโดย เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส เพราะนอกจากสองผู้กำกับอย่าง จิก-ประภาส ชลศรานนท์ นักคิดนักเขียนมือฉกาจ ที่มาผนึกกำลังร่วมกับ เอ็กซ์- ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ อนิเมเตอร์ระดับแถวหน้าของประเทศไทยแล้วเรื่องนี้ยังเป็นการรวมสุดยอดบุคคลในวงการบันเทิงมากฝีมือจากแขนงต่างๆ มาร่วมกันสร้างฝันครั้งใหญ่นี้ให้สมบูรณ์

ล่าสุดหลังจากปล่อยเพลง “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ”เพลงประกอบภาพยนตร์ผลงานการแต่งเนื้อร้องของแสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข และขับร้องโดย Room39 ให้ได้ฟังกันจนติดหูไปแล้ว ก็ได้เวลาปล่อย มิวสิควีดีโอเก๋ๆ ให้ได้ชมกัน โดยเป็นผลงานกำกับมิวสิควีดีโอจาก “นิ้วกลม” สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ครีเอทีฟ- นักเขียนชื่อดังแห่งยุคนี้ ซึ่งพี่ จิก ประภาส เผยถึงที่มาของการทำงานร่วมกันครั้งนี้ว่า ชอบแนวคิดของนิ้วกลมที่เป็นนักทำโฆษณาที่มีความคิดเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ดี สามารถสร้างงานที่สัมผัสคนดูได้ และตีความเรื่องมิตรภาพใจความหลักของหนังเรื่องนี้ออกมาได้น่าประทับใจ

          ซึ่งเบื้องหลังการถ่ายทำมิวสิควีดีโอนี้ก็เป็นไปด้วยความสนุกสนาน ในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยมิตรภาพ ตามคอนเซ็ปท์ มีนักแสดงต่างไซส์ ต่างเพศ ต่างวัย หลากหลายคู่มาร่วม ถ่ายทอดความเป็นเพื่อนกันในแบบต่างๆ โดย และมีไฮไลท์อยู่ที่ วง Room39 ทั้งสามคน เจ้าของเสียงร้องเพราะๆ ได้มาร่วมแสดงใน MV นี้ด้วย ฝ่ายนิ้วกลม ก็เผยถึงการทำงานครั้งนี้ว่า

          “คอนเซ็ปท์ก็มาจากตัวเนื้อเรื่อง ผมตีโจทย์ ว่ามันอาจจะมีเพื่อนบางคนที่เกิดร่วม มิตรภาพกันมาหลายชาติแล้วก็ยังคงเกิดวนเวียนอยู่อย่างนั้น ก็เลยสื่อแสดงออกมาด้วยคนหลายๆคู่ แต่ก็คงยังมาเป็นเพื่อนกันผ่านยุคผ่านสมัย เราก็เอามาทำให้มันดูทันสมัยขึ้น และเรียบง่ายครับ ถ้าดู MV ทั้งหมดแล้วก็จะเข้าใจว่าแต่ละคู่เกิดมา ต่างเวลากัน แต่ว่าทั้งหมดนี้ อาจจะเกิดกันมา ร้อยชาติพันชาติเหมือนเพลง แต่ก็คงยังเป็นเพื่อนกันอยู่ จนถึงวันนี้ การเตรียมงานก็นานมากเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ) 4-5 เดือนเห็นจะได้ครับแต่การทำงานครั้งนี้ผมดีใจมากครับที่ ได้ทำงานร่วมกับวง Room 39 ตอนที่บอกญาติมิตรว่าจะได้ทำงานกับวงนี้เขาก็กรี๊ดกัน เพราะว่าเขาดูคลิปของวงนี้อยู่เป็นประจำ น้องๆ เป็นคนน่ารักทุกคนครับ ก็ขอฝากหนังเรื่องยักษ์นะครับ เพราะว่าทีมงานก็ตั้งใจทำกันมากเลย และMV ตัวนี้ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนะครับ ก็ขอให้เท่ายอดคลิกเข้าดูของวง Room39 ทั้งหมดรวมกันก็พอนะครับ ประมาณ 100 กว่าล้าน (หัวเราะ) ขอบคุณครับ”

          ส่วน Room39 ที่ได้มาถ่าย MV สำหรับหนังแอนิเมชั่นเป็นครั้งแรก ก็ตื่นเต้นไม่ใช่น้อยที่ได้ทำงานแบบพิเศษครั้งนี้ ก็เผยความรู้สึกว่า
          
          “วันนี้เรามาถ่ายมิวสิควีดีโอที่สตูดิโอเวิร์คพอยท์นะครับ ข้างหลังนี้เป็นบลูสกรีน เป็นครั้งแรกของพวกเราเลยครับที่ได้ทำ MV เกี่ยวกับแอนิเมชั่น ไม่เคยทำมาก่อนเลย เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่น่ารักครับ สื่อถึง มิตรภาพความรักระหว่างเพื่อนได้ดีจริงๆ ครับพวกผมก็ดีใจที่ได้ร้องเพลงนี้นะครับ แถมพวกเราก็มีกันสามคนเหมือนในหนังพอดีเลย (หัวเราะ) สำหรับการทำงานกับพี่เอ๋ ก็รู้สึกภูมิใจครับ เป็นเกียรติของพวกเรามากๆ เลย พวกเราติดตามอ่านหนังสือของพี่มาตลอด แล้วก็วันนี้ก็ได้ร่วมงานกันจริงๆแล้ว ยังไงก็อย่าลืมรอชมนะครับ ภาพยนตร์ แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ และก็ฝาก MV นี้ด้วยนะครับ รับรองว่าน่าชมน่าดูแน่นอน”

          ติดตามชมความน่ารัก ของมิวสิควีดีโอ “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ” ได้ที่ www.facebook.com/sahamongkolfilmint หรือ www.youtube.com/sahamongkolfilmint และติดตามความเคลื่อนไหวของภาพยนตร์ได้ที่ www.facebook.com/YakTheMovie

          เตรียมตัวเตรียมใจหลงรัก “เพื่อน (ยักษ์) รักต่างไซส์” ได้ตุลาคมนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 04:59:50 PM
Movie: ยักษ์





          “มีรามเกียรติ์เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน ทุกแห่งหน ทุกผู้คน ไม่เว้นแม้แต่ในโลกของหุ่นยนต์”
          สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล/บ้านอิทธิฤทธิ์ /ซูเปอร์จิ๋ว/เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส
          สุดภูมิใจที่ได้ร่วมกันสร้างฝันครั้งใหญ่ยิ่งกับอภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยที่มีชื่อสั้นๆว่า
          ยักษ์

          ด้วยแรงบันดาลใจในตัวละครคลาสสิคจากมหากาพย์รามายณะ ราม, หนุมาน, ทศกัณฐ์ ฯลฯ
          จุดประกายไอเดีย ให้เขียนเรื่องขึ้นมาใหม่ก่อนกำกับทุกภาพให้โลดแล่นเป็นการ์ตูนโดย
          ประภาส ชลศรานนท์
          พร้อมร่วมเดินทางสร้างสรรค์จินตนาการภาพและเสียงให้เคลื่อนไหวอย่างมหัศจรรย์
          จากหลากหลายศิลปินแห่งยุคในแขนงต่างๆ มาร่วมเนรมิตยักษ์ที่เรารักให้แผลงฤทธิ์บนผืนโลกใบนี้
          4 ตุลาคมนี้ ถึงเวลาที่เรามั่นใจและเชื่อว่าทุกคนจะรัก “ยักษ์” เหมือนที่เรา “รัก”
 
          แนวหนัง แอนิเมชั่น -แอ็คชั่น-ผจญภัย
          ผู้สร้าง สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล / บ้านอิทธิฤทธิ์ / ซูเปอร์จิ๋ว / เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส
          จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
          บริษัทดำเนินการสร้าง บ้านอิทธิฤทธิ์และเวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส
          กำกับภาพยนตร์ ประภาส ชลศรานนท์
          ร่วมกำกับภาพยนตร์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์
          อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ, ประภาส ชลศรานนท์, ชัยพร พานิชรุทติวงศ์, วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ
          ควบคุมการสร้าง พาณิชย์ สดสี
          ที่ปรึกษา ปรัชญา ปิ่นแก้ว
          ดำเนินการสร้าง กาญจนา ไทยถานันดร์
          กำกับแอนิเมชั่น ชัยพร พานิชรุทติวงศ์
          เรื่อง ประภาส ชลศรานนท์
          บทภาพยนตร์ ประภาส ชลศรานนท์,พัลลภ สินธุ์เจริญ,วิรัตน์ เฮงคงดี,ณัชพล เรืองรอง
          ลำดับภาพ สมิทธิ์ ทิมสวัสดิ์
          กำกับเสียงพากย์ พัลลภ สินธุ์เจริญ
          บันทึกเสียง TECHNICOLOR
          ฟิล์มแล็ป TECHNICOLOR
          ดนตรีประกอบ จักรพัฒน์ เอี่ยมหนุน
          ออกแบบเสียง ธีรศักดิ์ ไชยยศ
          ออกแบบงานสร้างและกำกับศิลป์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์
          ให้ชีวิตให้เสียงโดย สันติสุข พรหมศิริ, เกียรติศักดิ์ อุดมนาค, ด.ญ.ชนินาภ ศิริสวัสดิ์, บริบูรณ์ จันทร์เรือง, ปวันรัตน์ นาคสุริยะ, แจ๊ป เดอะริชแมนทอยและนักแสดงรับเชิญ อุดม แต้พานิช

เรื่องราวของ “ยักษ์
          หลังสงครามอันยิ่งใหญ่ระหว่างหุ่นกระป๋องฝ่ายราม กับ หุ่นยักษ์ ฝ่ายทศกัณฐ์จบลงแบบล้างเผ่าพันธุ์ปล่อยทิ้งให้สนามรบกลายเป็นเพียงสุสานซากเศษโลหะและเป็นขุมทรัพย์ให้กับบรรดาหุ่นค้าของเก่า และแล้วเรื่องราวมิตรภาพและการเดินทางผจญภัยของเจ้าหุ่นยนต์ 2 ตัวที่ดูๆ ไปแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะเหมือนกันสักนิดเดียวก็ได้เริ่มต้นขึ้นในอีกหลายล้านวันต่อมา
          เจ้าหุ่นตัวหนึ่งใหญ่ยักษ์สมร่างชื่อ “น้าเขียว” บ่งบอกตามลักษณะสีอันเป็นเอกลักษณ์ ดูน่าเกรงขาม กับ “เจ้าเผือก” หุ่นกระป๋องมินิตัวเล็กประเมินจากสภาพจากพวกค้าหุ่นยนต์เก่าบอกได้คำเดียวว่าไร้ราคา แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าหุ่น2ตัวต่างตื่นขึ้นมาจากการถูกขุดขึ้นพร้อมกับสภาวะหน่วยความจำเสื่อม ไม่จำอดีตไม่รู้อนาคต แถมยังมีโซ่พิเศษที่ตัดเท่าไหร่ก็ตัดไม่ขาดผูกล่ามติดกัน
          หนำซ้ำงานนี้พอทั้งคู่ตื่นขึ้นมาก็อาละวาดซะจนเมืองขายของเก่ากระเจิดกระเจิงราบเป็นหน้ากลอง ทำให้ทั้งคู่ต้องหนีและกลายเป็นร่วมผจญภัยไปด้วยกันอย่างไม่มีทางเลือก ทีแรกดูเผินๆต่างฝ่ายต่างเป็นส่วนเกินของกันและกัน แต่ตลอดการเดินทางกลับมีเรื่องราวหลากหลายเกิดขึ้นทำให้ทั้งคู่กลายเป็นฮีโร่โดยไม่รู้ตัว สร้างความผูกผันให้กับทั้งน้าเขียวและเจ้าเผือกก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่ทำให้ส่วนเกินกลายแปรเปลี่ยนเป็นส่วนเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของทั้งคู่ และจนวันหนึ่งที่พวกเขาพร้อมจะเป็นเพื่อนสนิทด้วยความเต็มใจ กลับเป็นวันที่ต้องรู้ว่า... แท้จริงแล้วตัวตนของพวกเขาคือใคร หน้าที่และภารกิจที่ได้รับมอบหมายจะต้องดำเนินต่อไป ทำให้ต้องเลือกระหว่าง มิตรภาพกับหน้าที่ สิ่งใดสำคัญกว่ากัน
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 05:00:29 PM
4 ตุลาถึงเวลาที่พวกเขาทั้ง 5 จะพา “ยักษ์” ออกเดิน



           “ยักษ์”โปรเจ็คต์ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ทุนสร้างกว่า100ล้านบาทที่ค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง “สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล” จับมือร่วมกับ3พันธมิตรอย่างบ้านอิทธิฤทธิ์ โปรดักชั่นเฮาส์ทีมผลิตแอนิเมชั่นที่คร่ำหวอดและอยู่เบื้องหลังงานโฆษณา,มิวสิควิดีโอและภาพยนตร์ต่างๆ มานับไม่ถ้วน บ.ซูเปอร์จิ๋ว ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์วาไรตี้ขวัญใจเด็กๆและคุณพ่อคุณแม่ยืนหยัดยาวนานมากว่า21ปีและบ.เวิร์คพอยท์พิคเจอร์สในการผนึกกำลังสร้างสรรค์ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นสายเลือดไทยที่กลั่นจากสมองและสองมือกำกับของ พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ครีเอทีฟนักคิดนักเขียนนักแต่งเพลง ฯลฯ อันดับต้นๆ ของประเทศที่คิดฝันอยากทำการ์ตูนมาค่อนชีวิต ผ่านลายเส้นดีไซน์การออกแบบอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยเอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ (ชนะเลิศ FIRST PRIZE:SIGGRAPH 1998 ซึ่งเปรียบได้กับรางวัลออสการ์สำหรับนักศึกษา)การประกวดผลงานแอนิเมชั่น ประเภทนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก โดยใช้เวลากว่า 6 ปีจนถึงวันนี้พวกเขาพร้อมแล้วที่จะร่วมกันพา “ยักษ์” ออกเดินเข้าไปอยู่ในใจคอการ์ตูนแอนิเมชั่นอย่างภาคภูมิใจ 4 ต.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วไทยทั้งในแบบเสียงไทยและเสียงภาษาอังกฤษ
 
          เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ผู้สร้างแอนิเมชั่น “ยักษ์”
          หัวเรือใหญ่แห่งค่ายหนังใหญ่ยักษ์ “สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล”
          “ตั้งแต่คุณจิกมาเสนอชวนทำโปรเจ็คต์ยักษ์ด้วยกันว่าอยากหยิบรามเกียรติ์มาทำหนังโดยเอาทศกันฐ์ หนุมานมาทำเป็นหุ่นแล้วสู้กัน แน่นอนว่าเรื่องทศกันฐ์มันดีแน่ ใครๆ ก็รู้จักไม่ใช่แค่เมืองไทยด้วย เพราะเรื่องรามเกียรติ์เป็นเรื่องของเอเชีย ผมยังคิดในใจว่าการ์ตูนที่จะสร้างจะออกมาเป็นอย่างไรนี่เป็นหนังเรื่องแรกที่เราร่วมกับคุณจิกประภาส ชลศรานนท์ และเวิร์คพอยท์พิคเจอร์โดยเขาได้ไปชักชวนพรรคพวกมาร่วมทุนด้วยอย่างบ้านอิทธิฤทธิ์, ซูเปอร์จิ๋ว เราลงทุนไป 100 กว่าล้าน รอจนถึงวันนี้การ์ตูนเสร็จแล้ว ลองคิดในใจดูว่าเรารอมา 5-6 ปีกว่าจะได้เห็นภาพนี้ ยังจำได้วันที่คุณจิกชวนผมดูหนัง โอ้โห! คิดไม่ถึงว่าทางคุณจิกจะทำออกมาได้ดีอย่างนี้ ภาพทุกภาพสวยมากมีครบทั้งฉากบู๊ฉากรบตอนสนุกต่อสู้ผจญภัยแล้วตัวหนังก็สนุกมาก เป็นหนังการ์ตูนที่ครบรสพูดได้ว่ารู้สึกพอใจมาก อยากเชิญชวนให้คนดูทุกคนลองมาดูหนังการ์ตูนคนไทยเรื่องนี้ ว่าคนไทยเราก็มีฝีมือนะอย่างน้อยๆ ช่วยให้กำลังใจคนไทยบ้างที่ทุ่มเททำผลงานออกมาได้ขนาดนี้ เพื่อที่จะได้มีคนไทยที่ยังทำหนังการ์ตูนต่อไปได้อีก ส่วนตัวผมรู้สึกภูมิใจและพอใจอย่างมาก คุณจิกทำได้ดีมากๆ”

          “โอ๋-พาณิชย์ สดสี” หัวเรือใหญ่ “เวิร์คพอยท์พิคเจอร์ส”
          ผู้ควบคุมงานสร้างแอนิเมชั่น“ยักษ์”
          “คือการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์เป็นหนังที่เป็นเรื่องราวของเพื่อน เราได้แรงบันดาลใจมาจากรามเกียรติ์ แต่ว่าไม่ใช่รามเกียรติ์เอามาสร้างใหม่นะ มันเป็นเรื่องเล่าอีกอย่างเลย มันคือศัตรูเก่าที่รบกันมาทุกเวอร์ชั่นของทุกประเทศในเอเชีย เล่าใหม่ในเวอร์ชั่นที่เป็นเพื่อนกัน ศัตรูที่ความทรงจำหายไปมาเป็นเพื่อนกัน ความทรงจำกลับคืนมาจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อคนเป็นเพื่อนกันจำได้ว่าเป็นศัตรูแล้วจะเป็นยังไง เล่าอีกแบบหนึ่งเลย เล่าแบบงานเขียนของพี่จิก เล่าโดยเพลงของพี่จิก เล่าโดยความรู้สึกที่อยากเล่าแบบพี่จิก เล่าโดยลายเส้นการ์ตูนของเอ็กซ์มีความเฉพาะตัวมาก มันน่าจะเป็นส่วนผสมที่ดีมากๆ สำหรับพี่รู้สึกว่านอกจาก บทภาพยนตร์ที่สนุก การออกแบบงานสร้างที่ งดงาม แตกต่าง และมีเอกลักษณ์ เนื้อหาดูแล้วมีอะไรให้คนดูในแง่ ความลึกของเรื่องราวและอารมณ์มากๆ เป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้ชมจะสนุกสนานไปกับหนังเอนิเมชั่น”

          วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ –ผู้สร้างร่วมภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์”
          พี่ซุป “ซูเปอร์จิ๋ว” ผู้เชื่อมั่นในพลังของการ์ตูนแอนิเมชั่น
          “ความทรงจำที่ประทับใจสมัยอดีตของผมก็คือทุกเย็นก่อนกลับบ้าน ครูจะให้นักเรียนทั้งห้องท่องอาขยาน "บัดนั้น พระยาภิเภกยักษีเห็นพระองค์ทรงโศกโศกี อสุรีกราบลงกับบาทาทูลว่าพระลักษณ์สุริยวงศ์ยังไม่ปลงชีวังสังขา อันโมขศักดิ์อสุรา พรหมาประสิทธิ์ประสาทไว้" เราผูกพันกับ รามเกียรติตั้งแต่วันนั้นโตขึ้นมา ความบันเทิงที่สุดของเราก็คือ การดูการ์ตูนทอม แอนด์ เจอรี่, หน้ากากเสือ, โดราเอม่อน ฯลฯเราเป็นเด็กที่โตมากับการ์ตูนต่างชาติ เมื่อถึงวัยทำงาน21ปี ที่มีโอกาสงานสร้างสรรค์รายการซูเปอร์จิ๋ว ประสบการณ์ที่ผูกพันกันทำให้เราเกิด "Dream" มีความฝันว่า วันหนึ่งเราอยากทำแอนิเมชั่นสัญชาติไทยให้ลือลั่นสักครั้งในชีวิต ผมแทบจะตอบรับในทันทีที่ได้รับได้รับคำชวนให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็คต์ภาพยนตร์"ยักษ์"เพราะศรัทธา ในทุกผลงานของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ เชื่อมือการแอนิเมชั่นของคุณเอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ และเชื่อมั่นในมุมมองของสหมงคลฟิลม์ฯ หลายปีที่ผ่านมานี้ยักษ์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และพร้อมแล้วที่จะให้ทุกคนได้ชม ถึงวันนี้ความตื่นเต้นของเราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
          อยากให้ทุกคนได้ดูได้ชมได้แรงบันดาลใจจากการชมภาพยนตร์"ยักษ์"แอนิเมชั่น สำหรับคนทุกเพศทุกวัยผมเชื่อว่าทุกคนจะรัก และภูมิใจกับ "ยักษ์ "ไปด้วยกันครับ

          เอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์
          ร่วมกำกับภาพยนตร์และกำกับแอนิเมชั่น “ยักษ์” ผู้ก่อตั้ง “บ้านอิทธิฤทธิ์”
          “เสน่ห์ของเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่บท เป็นสิ่งแรกที่ทำให้ผมและทีมงานอยากทำเลยและบทที่พี่จิกเขียน มันแข็งแรงพอที่จะมาทำการ์ตูน แล้วคาแร็คเตอร์ที่ผมนำไปให้พี่จิกดูมันเข้ากันได้พอดี จนเรามาช่วยกันทำให้มันออกมาสมบูรณ์มากขึ้น เอาความเป็นสากลกับความเป็นไทยมาผสมกัน ที่สำคัญผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่การ์ตูนนะ ผมเคยคุยกับพี่จิกว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูนคน มันเป็นการ์ตูนคนแสดง เราจะทำการเคลื่อนไหวอิงจากคนจริงๆ หมายถึงการเคลื่อนไหวมันจะเป็นตามจริง เช่น ยักษ์วิ่ง-เดินก็เดินหนักๆ ช้าๆ จริงๆ ยักษ์เศร้าก็เศร้าจริงๆ มันจะเป็นงานที่ไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กมาก เราจะไม่ให้การเคลื่อนไหวดูเป็นการ์ตูนเกินไป แต่ถ้าอันไหนเป็นฉากสนุกๆ เราจะทำการเป็นเคลื่อนไหวเป็นแบบการ์ตูนไว้บ้างเช่นฉากร้องเพลง แต่อะไรที่แสดงอารมณ์เยอะๆ ผมจะให้แอนิเมเตอร์อิงจากจากการเคลื่อนไหวของคนพากย์ให้ใกล้เคียงที่สุดครับ ถึงจะเป็นหุ่นแต่เราต้องทำให้คนเชื่อก่อนว่าตัวนี้มันไม่ใช่แค่อนิเมชั่นนะ มันเป็นหุ่นที่มีชีวิตจริงๆ มีการเคลื่อนไหวแบบคนจริงๆ มีอารมณ์มีความรู้สึกต่างๆ มีโกรธกัน มีงอนกัน มีสู้กัน มีความเจ็บปวด เป็นหนังที่จะเล่าถึงความรู้สึกของเพื่อนเน้นความสัมพันธ์ อารมณ์สูงมาก”
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 05:01:06 PM
          ประภาส ชลศรานนท์ ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยง “ยักษ์”
          “ทุกงานที่ผมทำมันมักจะมีตัวเราเข้าไปอยู่เหมือนเพลงของเฉลียง เหมือนเรื่องสั้น เหมือนบทละคร แอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็มีตัวเราเข้าไปอยู่ สิ่งแรกที่ผมตั้งใจให้คนดูได้ก็คือความสนุกและความตื่นใจ ความตื่นใจเวลาดูหนังนี่มันเป็นความสุขนะ และผมก็คิดว่าคนดูแต่ละวัยจะได้อะไรเพิ่มนอกจากความสนุก มีหลายความคิดที่ผมสอดแทรกไว้ในหนัง หัวใจของยักษ์คือเรื่องมิตรภาพเรื่องหน้าที่ ทำไมผมถึงอยากพูดเรื่องนี้ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ มันทำให้เราเดินต่อในชีวิตอย่างราบรื่น คำถามมากมายที่ผมตั้งไว้ในหนังไม่ว่าจะเป็น เราเกิดมาทำไม เราจะรู้ได้อย่างไรว่าหน้าที่ของเราคืออะไร หรือถ้าเราถูกกำหนดให้มีหน้าที่รบกันไปตลอด ที่แท้แล้วมันคือหน้าที่ของเราจริงๆ หรือเปล่า ?
          ที่ชื่อเรื่องยักษ์เพราะยักษ์ภาษาไทยมันไม่ได้แปลว่าใหญ่อย่างเดียว มันแปลว่าดุร้ายด้วย ยักษ์มันแทนสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของคน พลังมหาศาลอย่างยักษ์นี่ถ้าเราคุมมันได้มันก็จะเป็นพลังที่ยอดเยี่ยม สังเกตดีๆ ในหนังยักษ์จะมีบางช่วงที่มีเหตุฉุกเฉินพลังของเขาจะออกมาเอง หรือว่าพอเขาจะช่วยเพื่อนไอ้พลังอันยิ่งใหญ่ตัวนี้ก็จะออกมา ยักษ์มันเป็นทั้งความรักและความโกรธ เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย นี่คือพลังที่แอบอยู่ในมนุษย์ทุกคน ถ้าคุมมันไม่อยู่มันก็จะออกมาคุมเราเอง”

ทำไมต้องยักษ์? พลิกรูปแบบรามเกียรติ์ในอวตารที่สิบล้านเอ็ด
          ด้วยความชื่นชอบและหลงใหลในตัว “ทศกัณฐ์”ราชันย์แห่งผองยักษ์ ตัวละครเอกแห่งมหากาพย์รามายณะสุดยอดวรรณกรรมของชาวเอเชียที่
          “ประภาส ชลศรานนท์”มองว่านี่คือสุดยอดงานครีเอทีฟที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ชิ้นเอกที่ปรากฏขึ้นบนผืนพิภพ พูดได้ว่ามนต์เสน่ห์ของ “ทศกัณฐ์” ยักษ์ 10 หน้า 20 แขน 20 มือและเหล่าตัวละครอันหลากหลายรวมทั้ง “หนุมาน” ทหารเอกของพระราม ที่ซนยังกะเด็กแต่ถึงกระนั้นก็คือฮีโร่ที่เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ชนิดที่ยากจะหาใครเทียบทานโดยเฉพาะหางหนุมานที่มัดภูเขาบรรพตได้ทั้งลูกรวมไปถึงบรรดาฉากรบแห่งจินตนาการต่างๆ ในมหากาพย์รามายณะคือภาพจำที่ติดตามาตลอดชีวิตและหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องนำสิ่งที่ตนเองรักนำมาทำอะไรสักอย่าง
          จนกระทั่งเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วโปรเจ็คต์ “ยักษ์” ก็ถือกำเนิดขึ้นในรูปแบบของภาพยนตร์โดยมีประภาส ชลศรานนท์รับหน้าที่กำกับภาพยนตร์ จากแนวคิดและไอเดียของตนเองร่วมเขียนบทภาพยนตร์กับพัลลภ สินธุ์เจริญ เพียงทว่าไม่ใช่ภาพยนตร์คนแสดงแต่เป็นภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นอย่างเต็มรูปแบบ หลายคนอาจแปลกใจที่ครีเอทีฟนักคิดนักเขียนระดับแถวหน้าของประเทศลุกขึ้นมากำกับหนังการ์ตูน แต่ถ้าใครที่ได้สัมผัสและรู้จักตัวตนของประภาสแล้วจะรู้ว่าเขาคิดเขาฝันที่จะทำหนังการ์ตูนมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
          “เรื่องการทำการ์ตูนแอนิเมชั่นเป็นสิ่งที่อยากทำมามากกว่าสิบปีแล้ว แต่มันยังหามือคู่ใจไม่ได้ และโดยเทคนิควิธีการในขั้นตอนการทำแอนิเมชั่น พอเราได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาจริงๆ จังเลยรู้ว่า หนึ่งมันต้องใช้เงินเยอะมาก สองเราต้องไปใช้ทีมงานในต่างประเทศด้วย เพราะถ้าจะพึ่งคนเขียนคนวาดแค่ในประเทศไทยอย่างเดียวก็คงไม่พอ คือเราก็ศึกษาหาข้อมูลมาตลอดนะ แต่เรารู้ว่ายังทำไม่ได้ก็ไม่คิดอะไร ก็หันไปทำอย่างอื่นก่อนจนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอเอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ (ดีกรีชนะเลิศ FIRST PRIZE:SIGGRAPH 1998 ซึ่งเปรียบได้กับรางวัลออสการ์สำหรับนักศึกษา การประกวดผลงานแอนิเมชั่น ประเภทนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก) ซึ่งเพิ่งกลับมาจากอเมริกาใหม่ๆ แล้วตอนนั้นเทคโนโลยีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการทำแอนิเมชั่นพัฒนาไปไกล แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คิดว่าโอกาสที่จะได้ทำการ์ตูนเริ่มจะมีความเป็นไปได้ และเป็นที่มาที่ทำให้ตัดสินใจเปิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ขึ้นพร้อมกับโปรเจ็คต์ที่จะทำการ์ตูนแอนิเมชั่น”
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 05:02:20 PM
“ยักษ์” แอนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมจาก ประภาส ชลศรานนท์ เปิดตัวใหญ่สมชื่อ รวมสุดยอดศิลปิน-ดาราร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

 

          เปิดตัวกันไปอย่างยิ่งใหญ่สำหรับ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นสายเลือดไทย งานร่วมทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท จาก สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล, บ้านอิทธิฤทธิ์ และ ซูเปอร์จิ๋ว ดำเนินการสร้างโดย เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส ผลงานการกำกับของ ประภาส ชลศรานนท์ นักคิด-นักเขียน ผู้เป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นใหม่มากมาย ร่วมกับ เอ็กซ์- ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ แอนิเมเตอร์ไทยมือรางวัลระดับโลก โดยในงานยังเป็นการเปิดตัวทีมงานระดับหัวกะทิในวงการบันเทิง ทั้งนักพากย์ และ ศิลปินผู้ทำเพลงประกอบ มาร่วมพูดคุยถึงที่มาของโปรเจ็คต์ และประสบการณ์ต่างๆ ในการทำงานที่ใช้ความทุ่มเท กว่า 6 ปีเต็ม พิถีพิถันสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาดีที่สุด พร้อมจะส่งออกสู่สายตาผู้ชมชาวไทยและต่างประเทศ ณ โรงภาพยนตร์เอสเอฟเวิลด์ ซีเนม่า ชั้น 9 ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา

          เริ่มงานด้วยเหล่าผู้ให้กำเนิดยักษ์ คุณ ประภาส, คุณเอ็กซ์- ชัยพร, คุณ พาณิชย์ สดสี โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ และ คุณ พัลลภ สินธุ์เจริญ ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ ขึ้นแนะนำที่มาของการร่วมมือกันสร้างงานครั้งนี้โดยเผยถึงจุดกำเนิดไอเดียของเรื่องยักษ์นี้ว่ามาจากความชื่นชอบในตัวทศกัณฐ์ที่เป็นยักษ์ตัวโปรดของคุณ ประภาส จนเกิดการพัฒนาบทหยิบรามเกียรติ์มากลั่นกรองเล่าออกมาในแบบใหม่ฉบับหุ่นยนต์ที่จะทำให้ทุกคนประทับใจไปกับมิตรภาพของเพื่อนซี้ต่างไซส์ จากหุ่นยักษ์ และ หุ่นกระป๋อง ซึ่งงานสร้างครั้งนี้ก็ยังมีโอกาสได้ไปฉายโชว์ที่ต่างประเทศได้ให้ชาวต่างชาติได้ทึ่งกับศักยภาพของคนไทยจนสนใจติดต่อไปฉายต่างประเทศอีกด้วย พร้อมกันนี้ได้มีการนำเสนอ ภาพยนตร์ตัวอย่างฉบับสมบูรณ์ในระบบดิจิตอลให้เหล่าสื่อมวลชนได้ชมกันเป็นครั้งแรก

          จากนั้นเป็นการเปิดตัวทีมนักแสดงที่มาร่วมสร้างเสียงให้ชีวิตเหล่าคาแร็คเตอร์ ได้แก่ สันติสุข พรหมศิริ ผู้ให้เสียง “น้าเขียว” ปวันรัตน์ นาคสุริยะ ผู้ให้เสียง “สดายุ” บริบูรณ์ จันทร์เรือง ผู้ให้เสียง “กุม” แจ๊ป เดอะ ริชแมนทอย ผู้ให้เสียง “ก๊อก” น้องออมสิน ชนินาถ ศิริสวัสดิ์ ผู้ให้เสียง “สนิมน้อย” ทอดด์ ทองดี ผู้กำกับและควบคุมการพากย์ฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งทุกคนต่างก็แนะนำตัวละครและเล่าประสบการณ์การพากย์แอนิเมชั่นครั้งนี้กันอย่างสนุกสนาน และพิเศษด้วยคลิปวีดีโอ จากเสนาหอย เกียรติศักดิ์ อุดมนาค ผู้ให้เสียง “เผือก” ที่ติดภารกิจไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ก็ส่งภาพมาทักทายทุกคน พร้อมทั้งเผยความรู้สึกที่ได้เป็นส่วนร่วมในงานยักษ์ครั้งนี้ ต่อด้วยอีกหนึ่งความพิเศษของภาพยนตร์ก็คือเหล่าทีมเพลงที่เรียกว่าเป็นการรวมศิลปินสามทหารเสือผู้เป็นขวัญใจวัยรุ่นแห่งยุค ได้แก่ แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ผู้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ” และ นิ้วกลม (สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์) ผู้กำกับ MV เพลงนี้ ได้พูดคุยถึง ที่มาของการเข้ามาร่วมงานกันและพูดถึงความประทับใจที่ได้วง Room 39 มาร้องเพลงอีกด้วย มาถึงช่วงท้าย คุณวิวัตน์ วงศ์ภัทรฐิติ หรือ พี่ซุป แห่ง ซูเปอร์จิ๋ว หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ได้พูดถึงกิจกรรมการตลาดสนุกๆ ของ “ยักษ์” ที่พร้อมเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย Yak Festival ที่จะเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงเดือนตุลาคมนี้

          ปิดท้ายงานด้วยการถ่ายภาพร่วมกันกับผู้บริหารและผู้ร่วมสนับสนุนภาพยนตร์ โดยได้รับเกียรติจาก เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนะประเสริฐ ประธานบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดและผู้อำนวยการสร้าง คุณกฤษฏา ล่ำซ่ำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย คุณทรงกฤช บุญญาบารมี ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและเทคนิคหล่อลื่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คุณปาจรีย์ เตชะเกรียงไกร ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส บริษัท ดูแม็กซ์ จำกัด โดยผลิตภัณฑ์ดูเม็กซ์ ไฮคิว ซุปเปอร์ โกลด์ คุณสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์ ประธานกรรมการ บริษัทเอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับทีมสร้างภาพยนตร์, ผู้กำกับ, ทีมนักพากย์ และทีมเพลง เพื่อเป็นเกียรติและเป็นที่ระลึกในงานเปิดตัวภาพยนตร์ครั้งนี้

          เตรียมพบกับมิตรภาพต่างไซส์ที่จะมาพิชิตใจคนทั้งประเทศ
          “ยักษ์” 4 ตุลาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on August 25, 2012, 07:55:39 AM
ตัวอย่าง “ยักษ์”

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=rZyuReZa9dw" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=rZyuReZa9dw</a>



          เรื่องราวการผจญภัยของเจ้าหุ่นกระป๋อง 2 ตัว ที่ถูกล่ามติดกันไว้ด้วยโซ่ที่ผลิตจากวัสดุพิเศษ ที่ตัดอย่างไรก็ไม่ขาด เจ้าหุ่นตัวใหญ่ ถูกเรียกว่า "น้าเขียว" และ เจ้าตัวเล็กสีม่วง ถูกเรียกว่า "เจ้าเผือก"เรื่องราวความสนุกจึงเริ่มต้นขึ้นเมื่อทั้ง 2 จะต้องออกเดินทางเพื่อตามหาความทรงจำ ที่เกิดขึ้นพร้อมมิตรภาพ เสียงหัวเราะ และความสนุกสนาน

          "มีรามเกียรติ์เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน ทุกแห่งหน ทุกผู้คน ไม่เว้นแม้แต่ในโลกของหุ่นยนต์"
          สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล / บ้านอิทธิฤทธิ์ / ซูเปอร์จิ๋ว / เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส
          สุดภูมิใจที่ได้ร่วมกันสร้างฝันครั้งใหญ่ยิ่งกับอภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยที่มีชื่อสั้นๆ ว่า"ยักษ์"

          ด้วยแรงบันดาลใจในตัวละครคลาสสิคจากมหากาพย์รามายณะ ราม, หนุมาน, ทศกัณฐ์ ฯลฯ
          จุดประกายไอเดีย ให้เขียนเรื่องขึ้นมาใหม่ก่อนกำกับทุกภาพให้โลดแล่นเป็นการ์ตูนโดย
          ประภาส ชลศรานนท์

          พร้อมร่วมเดินทางสร้างสรรค์จินตนาการภาพและเสียงให้เคลื่อนไหวอย่างมหัศจรรย์
          จากหลากหลายศิลปินแห่งยุคในแขนงต่างๆ มาร่วมเนรมิตยักษ์ที่เรารักให้แผลงฤทธิ์บนผืนโลกใบนี้

          4 ตุลาคมนี้ ถึงเวลาที่เรามั่นใจและเชื่อว่าทุกคนจะรัก "ยักษ์" เหมือนที่เรา "รัก"

          ติดตามความเคลื่อนไหวก่อนใครที่ www.facebook.com/yakthemovie
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 01, 2012, 01:01:52 PM
         “เสี่ยเจียง” ยกนิ้วชม “จิก ประภาส” กลั่นไอเดียสมองกำกับ “ยักษ์”
          ผนึก3พันธมิตรทุ่มกว่า 100 ล้านซุ่ม 6 ปีเต็มสมบูรณ์พร้อมฉาย 4 ต.ค.
          สุดภูมิใจภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ทีมงานทุกคนถือบัตรประชาชนคนไทย



          ปล่อยทีเซอร์ตัวอย่างขนาดสั้นด้วยความยาวไม่ถึงนาทีเรียกน้ำย่อยในหมู่สังคมออนไลน์ที่ต่างพากันเข้าไปคลิ๊กไลก์จนยอดผู้ชมต่างล้นทะลักในเวลาเพียงไม่กี่วันจนสร้างกระแสความสนใจให้เหล่าคอหนังได้ฮือฮากันไปไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายคนที่ได้ชมต่างตื่นตะลึงเมื่อรู้ว่านี่คือผลงานของคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับ “ยักษ์” โปรเจ็คต์ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาทเรื่องล่าสุดจากสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนลที่คราวนี้จับมือร่วมกับพันธมิตรอย่างบ้านอิทธิฤทธิ์ โปรดักชั่นเฮาส์ทีมผลิตแอนิเมชั่นที่อยู่เบื้องหลังงานโฆษณา, มิวสิควิดีโอและภาพยนตร์ต่างๆ มากมาย รวมทั้ง บ.ซูเปอร์จิ๋ว ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์วาไรตี้ขวัญใจเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่มาที่ยืนหยัดยาวนานมากว่า 21 ปีและ บ.เวิร์คพอยท์พิคเจอร์ที่ใช้เวลา 6 ปีเต็มในการผนึกกำลังสร้างสรรค์เกิดเป็นภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นสายเลือดไทยที่กลั่นจากสมองและสองมือกำกับของ จิกประภาส ชลศรานนท์ ครีเอทีฟนักคิดนักเขียนนักแต่งเพลง ฯลฯ อันดับต้นๆ ของประเทศจนถึงวันนี้เสร็จสมบูรณ์พร้อมแล้วที่จะเตรียมตัวเข้าฉายในวันที่ 4 ตุลาคม โดยงานนี้เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐหัวเรือใหญ่แห่งค่ายสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนลที่คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์มากว่า 40 ปี และประสบความสำเร็จในการสร้างภาพยนตร์มาแล้วในทุกๆ แนวทางไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่างองค์บาก,ต้มยำกุ้ง,หรือภาพยนตร์รักโรแมนติคอย่างสิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก,เดอะเลตเตอร์จดหมายรัก,รักแห่งสยาม หรือภาพยนตร์คอมมิดี้อย่างแหยมยโสธร1-2, วงษ์คำเหลา, บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม, สาระแนห้าวเป้ง ฯลฯ มั่นใจว่าภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” ที่หยิบเอาเหล่าตัวละครคลาสสิคในมหากาพย์รามายณะที่ถือกันว่ายิ่งใหญ่และโด่งดังที่สุดแห่งเอเชียอย่าง “หนุมาน” และ “ทศกัณฐ์” มาออกแบบและตีความใหม่ในรูปลักษณ์ของหุ่นกระป๋องและหุ่นยักษ์พร้อมนำเสนอออกมาเป็นเรื่องราวการผจญภัยท่ามกลางมิตรภาพและความสนุกสนานในโลกของหุ่นยนต์จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่ทางด้านภาพยนตร์ไม่ต่างจากภาพยนตร์ที่คนแสดงเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เสี่ยเจียงได้ดูภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วรู้สึกภูมิใจและยอมยกนิ้วให้กับความอัจฉริยะของจิก-ประภาสเจ้าของไอเดียผู้ให้กำเนิด “ยักษ์” และทีมงานทั้งหมดที่ต่างระดมความสามารถและระดมพลังใจตลอด 6 ปีอย่างไม่ย่อท้อจนงานทั้งหมดสำเร็จลุล่วงมาด้วยดีและที่สำคัญทุกคนล้วนถือบัตรประชาชนคนไทยทั้งสิ้น

          “ก็ตั้งแต่พี่จิกเขามาเสนอมาคุยตั้งแต่เริ่มแรกก่อนที่จะทำโปรเจ็คต์ยักษ์ด้วยกันแล้วว่าอยากหยิบเอารามเกียรติ์มาทำหนังโดยเอาทศกันฐ์มาทำเป็นหุ่นแล้วสู้กัน ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องทศกันฐ์มันดีแน่ เพราะใครๆ ก็รู้จัก ไม่ใช่แค่เมืองไทยด้วยเพราะเรื่องรามเกียรติ์เป็นเรื่องของเอเชีย แล้วตัวหนังแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์เองตัวหนังก็น่าดูมาก สนุกมาก นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่เราร่วมกับคุณจิกประภาส ชลศรานนท์ และเวิร์คพอยท์พิคเจอร์โดยเขาได้ไปชักชวนพรรคพวกเขามาร่วมทุนด้วยอย่างบ้านอิทธิฤทธิ์, ซูเปอร์จิ๋ว เราลงทุนไป 100 กว่าล้าน วันที่คุณจิกเขาชวนผมดูหนังที่ทำเสร็จออกมาแล้ว โอ้โห พูดได้ว่าผมรู้สึกพอใจมาก การ์ตูนทำออกมาภาพทุกภาพสวยมาก คิดไม่ถึงว่าทางคุณจิกจะทำออกมาได้ดีอย่างนี้ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เราภูมิใจและพอใจอย่างมาก การ์ตูนเรื่องนี้เชื่อผม ทุกคนดูได้หมด มีทุกอย่าง มีทุกรสชาติ เรื่องนี้คุณจิกทำได้ดีมากๆ จากวันแรกที่เขาเล่าให้ผมฟัง ผมยังคิดในใจว่าการ์ตูนจะสร้างให้ได้อย่างนี้ยังไง รอจนถึงวันนี้การ์ตูนเสร็จแล้วแต่คุณคิดในใจดูว่าเรารอมา 5-6 ปีกว่าจะได้เห็นภาพนี้ มันมีทั้งฉากบู๊ฉากรบตอนสนุกต่อสู้ผจญภัยทุกอย่างผมว่ายักษ์เป็นหนังการ์ตูนที่ครบรส คุณดูแล้วต้องสบายใจดูแล้วจะไม่เครียด ผมอยากเชิญชวนให้คนดูทุกคนลองมาดูหนังการ์ตูนคนไทยบ้าง ว่าคนไทยเราก็มีฝีมือนะอย่างน้อยๆ ช่วยให้กำลังใจคนไทยบ้างที่ทุ่มเททำผลงานออกมาได้ขนาดนี้ เพื่อที่จะได้มีคนไทยที่ยังทำหนังการ์ตูนต่อไปอีกได้ นี่ไม่ใช่หนังธรรมดา เพราะหนังธรรมดาใช้เวลาแค่3เดือน แล้วที่สำคัญพูดได้ว่าทั้งหมดคือฝีมือของทีมงานที่เป็นคนไทย ที่ล้วนถือบัตรประชาชนคนไทย อยากให้ทุกคนมาชื่นชมและให้กำลังใจคนทำการ์ตูนเรื่องนี้กัน”
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 09:03:41 AM
ยักษ์ ชวนอวดภาพ “เพื่อนซี้ต่างไซส์” ซี้กันได้จะต่างไซส์ก็ไม่แคร์ ลุ้นรางวัลจี้ทองคำ มูลค่า 10,000 บาท !



          “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นสายเลือดไทย ผลงานร่วมทุนสร้างจาก บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมมือกับ บริษัท บ้านอิทธิฤทธิ์ จำกัด , บริษัท ซูเปอร์จิ๋ว จำกัด และดำเนินงานสร้างโดย บริษัท เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส จำกัด ผลงานการกำกับของ ประภาส ชลศรานนท์ ร่วมกับ เอ็กซ์- ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ พร้อมจะออกอาละวาดความสนุกโชว์มิตรภาพที่จะพิชิตใจผู้ชมทั้งประเทศ 4 ตุลาคมนี้

          และภาพยนตร์ “ยักษ์” ได้ปล่อยกิจกรรมสนุกๆพร้อมชวนคนรักเพื่อนทุกท่านร่วมกิจกรรมประกวดภาพถ่าย “เพื่อนซี้ต่างไซส์” ซี้กันได้จะต่างไซส์ก็ไม่แคร์ ลุ้นรางวัล จี้ทองคำ “ยักษ์ มูลค่า 10,000บาท! (1 รางวัล) เพียงอวดภาพถ่ายของคุณกับเพื่อนซี้ ไม่ว่า จะ2 ขา หรือ 4 ขา ก็ไม่จำกัด แล้วส่งภาพถ่ายมาที่ www.facebook.com/yakmovie ได้ ตั้งแต่วันนี้ถึง 19 ตุลาคมนี้เท่านั้น ประกาศผลผู้โชคดีวันที่ 23 ตุลาคม 2555 ทางหน้าแฟนเพจ yakmovie และทางโทรศัพท์

          พิเศษสุดๆ!! ทุกภาพที่ได้รับการคัดเลือกจะได้อวดโฉมใน MV “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ” โดย Room39 (เวอร์ชั่นเพื่อนซี้) อีกด้วย

          มีมิตรภาพดีๆ ก็ไม่ต้องอายใคร รีบส่งมาอวดกันได้ส่งก่อนมีสิทธิ์ก่อนนะจ้ะ!
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 09:04:53 AM
“ยักษ์” ชวนน้องๆ ประกวดวาดภาพ โชว์ไอเดียเด็ดไม่ซ้ำใคร หัวข้อ “อะไรที่ปลายโซ่” ชิงรางวัลรวมกว่า 100,000 บาท!



      “ยักษ์” สุดยอดภาพยนตร์แอนิเมชั่นแห่งความภูมิใจของคนไทย ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงานสุดยอดวรรณกรรมแห่งเอเชีย“รามเกียรติ์”โดยหยิบยกตัวละครสุดคลาสสิค มาสร้างสรรค์เป็นเรื่องราวแห่งมิตรภาพและการผจญภัยของหุ่นกระป๋องและหุ่นยักษ์ที่จะทำให้คนดูได้สัมผัสถึงคำว่า “มิตรภาพ” ผลงานการกำกับของ ประภาส ชลศรานนท์ ร่วมกับ เอ็กซ์- ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ พร้อมจะออกอาละวาดความสนุกในโรงภาพยนตร์ 4 ตุลาคมนี้ แต่ก่อนจะไปชมยักษ์ล่าสุด บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมมือกับ บริษัท บ้านอิทธิฤทธิ์ จำกัด , บริษัท ซูเปอร์จิ๋ว จำกัด และ บริษัท เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส จำกัด ขอเชิญน้องๆ นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป.1 - ป.3) และระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4 - ป.6) ร่วมโชว์ความคิดสร้างสรรค์และความสามารถด้านศิลปะ ในโครงการ การประกวดภาพระบายสีภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” ภายใต้หัวข้อ “อะไรที่ปลายโซ่” เพื่อชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท !

          กิจกรรมครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ น้องๆทุกคนถ่ายทอดจินตนาการไร้ขอบเขต โดยวาดรูปแต่งเติมตามจินตนาการ ในหัวข้อ อะไรที่ปลายโซ่ พร้อมเขียนคำบรรยายใต้ภาพ ถึงเรื่องราวที่ตนเองวาด โดยสามารถระบายสีได้ตามใจไม่จำกัดชนิดของสีที่ใช้ และสามารถแต่งเติมเทคนิคการวาดภาพอื่นๆ มาใช้ประกอบได้ ส่งผลงานมาร่วมสนุกได้ที่ บริษัท ซูเปอร์จิ๋ว จำกัด เลขที่ 230 อาคาร ซี เอส ทาวเวอร์ ชั้น 11 ถ. รัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 เพื่อชิงทุนการศึกษา และ ของรางวัลที่ระลึกจากภาพยนตร์เรื่อง “ยักษ์”

ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 14 กันยายน 2555 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.yakmovie.com หรือ http://www.facebook.com/YakMovie สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณอมรรัตน์ มาเบ้า (ติ๊ก) Tel. 02-274-0671-4 ต่อ142, 085-918-3560 Fax. 02-274-0670 ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลาทำการ 10.00 – 18.00 น.
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 09:17:20 AM
“จิก-ประภาส” ฝันอยากทำการ์ตูนมากกว่า 10 ปีแท็คทีม “เอ็กซ์-ชัยพร” แอนิเมเตอร์ไทยชนะเลิศ SIGGRAPH ประเดิมทำ “ยักษ์” ยอมทุ่มเวลา 6 ปี


 
          เริ่มเห็นสีสันหน้าตาตัวคาแรคเตอร์น่ารักน่าชัง ของการ์ตูนแต่ละตัวกันบ้างแล้วสำหรับ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นฟอร์มโตสมชื่อที่ทาง บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนลจับมือร่วมกับ บ้านอิทธิฤทธิ์,ซูเปอร์จิ๋วและเวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส 3 พันธมิตร ทุ่มทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท ร่วมกันเนรมิตรจากไอเดียที่กลั่นออกมาจากสมองและสองมือกำกับของ “จิก ประภาส ชลศรานนท์” ที่คิดฝันอยากทำการ์ตูนมากว่า 10 ปี แต่ติดปัญหาเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือในยุคนั้นรวมไปถึงแอนิเมเตอร์มือดีที่จะมาถ่ายทอดตัวหนังสือให้โลดแล่นเป็นภาพจนกระทั่งมาเจอกับเอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์แอนิเมเตอร์ไทยฝีมือระดับแชมป์จนตัดสินใจเปิดบ.บ้านอิทธิฤทธิ์เพื่อผลิตงานแอนิเมชั่นโดยตรง

          “เรื่องการทำการ์ตูนแอนิเมชั่นเป็นสิ่งที่อยากทำมามากกว่าสิบปีแล้ว แต่ตอนนั้นยังหามือคู่ใจไม่ได้ และโดยเทคนิควิธีการในขั้นตอนพอเราได้เข้าไปศึกษาจริงจังรู้ว่าต้องใช้เงินเยอะมาก และต้องใช้ทีมงานในต่างประเทศด้วย เพราะถ้าพึ่งคนเขียนคนวาดแค่ในไทยมันไม่พอ ที่ผ่านมาเลยยังไม่ได้ทำแต่ก็ศึกษาข้อมูลมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอเอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ (ดีกรีชนะเลิศ FIRST PRIZE:SIGGRAPH 1998 ซึ่งเปรียบได้กับรางวัลออสการ์สำหรับนักศึกษา การประกวดผลงานแอนิเมชั่น ประเภทนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก) ซึ่งเพิ่งกลับมาจากอเมริกาใหม่ๆ แล้วตอนนั้นเทคโนโลยีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการทำแอนิเมชั่นพัฒนาไปไกล แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คิดว่าโอกาสที่จะได้ทำการ์ตูนเริ่มจะมีความเป็นไปได้ และเป็นที่มาที่ทำให้ตัดสินใจเปิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ขึ้นพร้อมกับโปรเจ็คต์ที่จะทำการ์ตูนแอนิเมชั่น”

          และเพื่อให้โปรเจ็คต์แอนิเมชั่นยักษ์ออกมายิ่งใหญ่สมความตั้งใจของจิกประภาสที่คิดฝันมาตลอดชีวิตตามแนวทางและมาตรฐานที่วางไว้ การหยิบเอาตัวละครคลาสสิคในมหากาพย์รามายณะอย่าง ทศกัณฐ์, หนุมาน, กุมภกรรณ, ราม, สดายุ ฯลฯ ถูกนำมาตีความใหม่ในโลกของหุ่นยนต์ (รูปลักษณ์ของหุ่นยนต์ยักษ์ และหุ่นยนต์กระป๋องที่) ผ่านการดีไซน์ใหม่ภายใต้ลายเส้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ เอ็กซ์-ชัยพร ไปจนถึงการเนรมิตฉากใหญ่อลังการนับ 10 ฉากรวมไปถึงตัวละครอื่นๆนับร้อยนับพันตัว ถ่ายทอดผ่านเรื่องราวการผจญภัยที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานขณะเดียวกันก็ลึกซึ้งกินใจตามสไตล์ของงานเขียนในแบบประภาส ชลศรานนท์ที่พิถีพิถัน และให้ความสำคัญกับตัวบทภาพยนตร์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะอยางยิ่งเราจะได้เห็นฉากมิวสิคคัลที่ตัวการ์ตูนต้องร้องเพลงในฉาก ฯลฯ และอื่นๆ อีกมากมายฯลฯ ซึ่งส่งผลให้ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นยักษ์ใช้เวลาถึง 6 ปี ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานปกติของแอนิเมชั่นระดับโลก

          “ปกติแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งจะใช้เวลาประมาณนี้อยู่แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนของ Pixar เองก็ใช้เวลาประมาณนี้ 5-7 ปี เพราะว่ามันเป็นแอนิเมชั่น พอพี่จิกมาชวนทำก็ไม่ได้ตกใจเลยนะเตรียมใจแล้วมากกว่า หนังแอนิเมชั่น 2D บางเรื่องใช้เวลานานถึงสิบปีก็มี แต่ผมไม่ได้กังวลนะเพราะว่ามันเป็นหุ่นยนต์ ทิศทางในการทำเรามีชัดเจนอยู่แล้ว หกปีนี้ก็จะมีช่วงที่ต้องพัฒนาเรื่องต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ทั้งเรื่องเครื่องมืออุปกรณ์, แอนิเมเตอร์ที่จะรับมาทำก็ต้องดูฝีมือกันก่อนว่าทำไว้ได้อย่างที่เราวางแผนไว้หรือไม่ และก็ทำบทด้วยทำควบคู่กันไป”

          เป็นความรู้สึกของเอ็กซ์ ชัยพร ซึ่งรับผิดชอบในส่วนของผู้กำกับแอนิเมชั่นและเป็นผู้กำกับร่วมในโปรเจ็คต์ยักษ์คู่กับเจ้าของไอเดียอย่าง จิก ประภาส ที่มีส่วนสำคัญให้ “ยักษ์” กลายเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นเต็มรูปแบบที่เสร็จสมบูรณ์ในท้ายที่สุด ในขณะที่ พาณิชย์ สดสี ผู้ควบคุมงานสร้างแอนิเมชั่นยักษ์ที่ผ่านการทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะมันสมองระดับหัวกะทิ คู่กับจิกประภาสมากว่า 2 ทศวรรษในส่วนของรายการทั้งหมดในนามของบ.เวิร์คพอยท์เอนเทอร์เทนเมนท์ และเป็นหัวเรือใหญ่ของ “เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส” ที่ร่วมดำเนินงานสร้างในโปรเจ็คต์ยักษ์ ซึ่งรู้แนวคิดสไตล์และวิธีการทำงานตลอดจนวิสัยทัศน์ของผู้ให้กำเนิดยักษ์ได้เป็นอย่างดีขยายความให้ได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นในเหตุผลที่ตอกย้ำถึงมาตรฐานการทำงานในแบบประภาส ชลศรานนท์เพื่อให้ผลงานออกมาสมกับความอลังการของโปรเจ็คต์

“ต้องบอกว่าพี่จิกเองแกมีมาตรฐานสูงมากๆ ขนาดลองอะไรไปเยอะคิดว่ามันดีแล้ว แต่พอวันหนึ่งแกคิดอะไรได้ใหม่ขึ้นมาอีก แกเปลี่ยนแกรื้อทิ้งดื้อๆ จะบอกว่าแกมีความต้องการที่ชัดเจน ลองก็ส่วนลอง พอได้สิ่งๆ นั้นมาแล้วมันไม่ใช่แกยอมทิ้งเวลาเป็นปีเพื่อสร้างใหม่ที่คิดว่ามันใช่ที่สุดในความคิดของแก แกไม่ยอมเอาสิ่งที่คิดว่าไม่ใช่ไว้ในหนังเลย ซึ่งจะบอกว่ามันก็ยากในหลายๆ อันจะบอกว่ามันทิ้งอะไรไปเยอะ ไอ้ที่ทิ้งดีนะไม่ใช่ไม่ดีแต่ไม่ตรงกับสิ่งที่แกคิด เราเห็นในความพยายามของแกคือต้องคนพลังเยอะมาก ต้องไม่เสียดายด้วย ยกตัวอย่างมีอยู่ฉากหนึ่งมิวสิคคัลเลย เป็นฉากร้องเพลงประมาณว่าหุ่นยักษ์ถูกขุดขึ้นมา ชาวเมืองร้องเพลงกัน เป็นฉากที่ทำโพรเซสนาน ร้องเพลงคอมโพสต์เพลงทำมา เขียนแอนิเมทตัดต่อเสร็จดีมากเลย เป็นใครใครก็ชอบ แต่ในหนังไม่มีนะ แกทิ้งแกว่าไม่ใช่ มันเยอะไปมารื่นเริงอะไรตอนนี้ ซีนนั้นถ้าดูเป็นตอนๆ ดีมากเลย สนุกด้วย แต่ถ้ามาอยู่ในหนังในความคิดของพี่จิกแกคิดว่าเยอะไป มันทำให้เรื่องอืด แล้วแค่ฉากนี้ฉากเดียวนะเขียนกันอยู่หกเจ็ดเดือนนะ ไม่ใช่น้อยๆ มันเป็นซีนยาว เป็นแบบ CROWD SCENE เขียนเมืองทั้งเมือง คนเขียนแอนิเมชั่นทั้งเมืองตัวประกอบโมเดลเป็นร้อย โอ้โหมันน่าเสียดาย เราคิดว่าถ้าเป็นหนังคนคงประมาณซีนสงครามหรือซีนร้องเพลงที่คนทั้งเมืองลุกขึ้นมาเต้นนะ แล้วกล้องเลื้อยไปเลื้อยมาและโปรดักชั่นใหญ่มาก ในที่สุดไม่เอา”

          และเมื่อได้เห็นภาพตัวอย่างฉบับเต็มของยักษ์ที่กำลังอาละวาดอยู่ในโรงภาพยนตร์ขณะนี้ก็ไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดว่าทำไมถึงใช้เวลา 6 ปี ตอนนี้พูดได้คำเดียวว่าอยากดูใจจะขาด 4 ต.ค.นี้ ยักษ์กันทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 07, 2012, 03:29:59 PM
“ยักษ์” บุกโรงเรียน! ชวน ประกวดวาดภาพ “อะไรที่ปลายโซ่” น้องๆ สนใจส่งภาพจากจินตนาการกันอย่างล้นหลาม



          หลังจากเผย โครงการ การประกวดภาพระบายสีภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” ภายใต้หัวข้อ “อะไรที่ปลายโซ่” โครงการดีๆจาก บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมมือกับ บริษัท บ้านอิทธิฤทธิ์ จำกัด , บริษัท ซูเปอร์จิ๋ว จำกัด และ บริษัท เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส จำกัด ที่ขอเชิญน้องๆ นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป.1 - ป.3) และระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4 - ป.6) ร่วมโชว์ความคิดสร้างสรรค์และความสามารถด้านศิลปะ เพื่อชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท ล่าสุด ทีมจัดกิจกรรม “ยักษ์” ก็ได้บุกไปจัดกิจกรรมสนุกๆ กับน้องๆ ระดับประถมศึกษากันถึงโรงเรียน! โดยพาเหล่าเพื่อนพ้องตัวละครหลักจากเรื่องยักษ์ ทั้งพี่เผือก ,น้าเขียว และเจ้ากุมไปสร้างสีสันไปแนะนำให้รู้จักกันอีกด้วย

          ซึ่งงานนี้ก็ได้รับความร่วมมือ และความสนใจจากน้องๆ จากโรงเรียนต่างๆกันอย่างล้นหลาม เด็กๆทุกคน ต่างสนใจและเข้าร่วมวาดภาพจากจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์กันอย่างดี แต่ละคนก็โชว์ความสามารถ เทคนิคทางศิลปะกันอย่างเต็มที่ แถมยังมีไอเดียเก๋ๆ วาดภาพออกมาได้อย่างแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร อีกด้วย ซึ่งน้องๆ คนไหนที่อยากเข้าร่วมประกวดวาดภาพครั้งนี้ ก็สามารถ ส่งผลงานมาร่วมสนุกได้ที่ บริษัท ซูเปอร์จิ๋ว จำกัด เลขที่ 230 อาคาร ซี เอส ทาวเวอร์ ชั้น 11 ถ. รัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 เพื่อชิงทุนการศึกษา และ ของรางวัลที่ระลึกจากภาพยนตร์เรื่อง“ยักษ์”

          ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 14 กันยายน 2555 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.yakmovie.com หรือ facebook.com/yakmovie สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณอมรรัตน์ มาเบ้า (ติ๊ก) Tel. 02-274-0671-4 ต่อ142, 085-918-3560 Fax. 02-274-0670 ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลาทำการ 10.00 – 18.00 น.
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:32:33 PM
แปลง “หนุมาน” ทหารเอกแห่งรามเป็น “เผือกหุ่นกระป๋อง” ฮา ป่วน กวนซ่าส์ คือคาแรคเตอร์ที่ออกแบบยากสุดใน “ยักษ์”



          นอกเหนือจาก “น้าเขียว” หุ่นยนต์ยักษ์ที่ ถอดแบบมาจาก “ทศกัณฐ์” ยังมีอีกหนึ่งคาแรคเตอร์สำคัญที่เป็นดั่งคู่ปรับ และมิตรคนสำคัญที่จะร่วมผจญภัยไปด้วยกันใน “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิมชั่นฟอร์มยักษ์ทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท นั่นคือ “หนุมาน” ทหารเอกคนสำคัญของพระราม ตัวละครสำคัญจากมหากาพย์ “รามายณะ” ที่ครั้งนี้อวตารมาในรูปลักษณ์ของหุ่นยนต์กระป๋องตามแนวคิดและไอเดียของ ประภาส ชลศรานนท์ ที่ให้นิยามว่าเป็นหุ่นกระป๋อง จอมแสบ ฉลาดแกมโกง ซ่าไม่แคร์ไซส์ แท้จริงแล้วคือ หนุมาน ทหารเอกแห่งราม แม้จะตัวเล็กแต่หุ่นยักษ์ทุกตัวในสงครามล้วนครั่นคร้าม

          “อย่างคาแรคเตอร์หนุมานเก่งมากไวมาก ทหารเอกของพระราม ถ้าใครศึกษารามเกียรติ์อย่างดีจะรู้ว่าหนุมานมีนิสัยขี้เล่นแน่นอน เพราะเป็นลิง หรือถ้าอย่างในวงการโขนนี่เป็นที่รู้กันว่าคนที่จะเล่นเป็นลิงนี่ เขาต้องคัดคนที่คล่องตัวมาเล่น หุ่นกระป๋องหนุมานก็เหมือนกัน ตอนแรกที่เรากำหนดให้หุ่นกระป๋องมีล้อนี่เราก็คุยกันหนักเหตุผลใหญ่เลยน่าจะมาจากมันจะทำให้หุ่นที่ตัวเล็กกว่าอย่างเผือกเดินทันหุ่นยักษ์อย่างเขียวได้ แล้วพอเราเลือกหอยเกียรติศักดิ์มาเป็นคนให้เสียงให้ชีวิตตัวนี้มันทำให้เราออกแบบง่ายขึ้น อย่างเสาอากาศของหุ่นกระป๋องหนุมานที่เราเอามาจากทรงผมของหอยแล้ว คิ้วเราก็เอามาจากหัวโขน รวมไปถึงลายมุมปากด้วย ใครที่เคยเห็นภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจะนึกออกว่าลายก้นหอยที่อยู่ตามตัวหนุมานนั้นเป็นอย่างไร หนุมานหรือเผือกในการ์ตูนยักษ์จะเป็นหุ่นกระป๋องตัวเล็ก แขนเล็ก เพื่อให้หุ่นกระป๋องที่แขนสั้นๆ เล็กๆ สู้กับหุ่นยักษ์ได้ เราเลยเอาอาวุธจากรามเกียรติ์ใส่เข้าไป ทั้งตรีเพชรสามง่ามที่สามารถฟันเหล็กอย่างทศกัณฐ์เป็นรอยขีดข่วนได้ รวมไปถึงหางที่ยาวเท่าไหร่ก็ได้ของเขา หางของหนุมานในรามเกียรติ์แข็งแรงแสดงอภินิหารได้เท่าไหร่ ผมก็พยายามทำให้ไม่แพ้กัน จะบอกว่าเป็นอาวุธสำคัญที่เท่ที่สุดในเรื่องก็น่าจะได้ หางที่ยาวของหนุมานนี่ตอนไปฉายโชว์ฝรั่งเห็นแล้วชอบมาก”

          และที่สำคัญเป็นตัวการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ เอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ซึ่งรับหน้าที่ในการออกแบบและดีไซน์คาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนทุกตัวในภาพยนตร์ยอมรับว่าเป็นตัวที่ออกแบบยากที่สุด

          “ยอมรับเลยครับว่า เผือก หรือหนุมาน เป็นตัวที่ออกแบบยากสุด แก้หลายรอบ ตอนแรกออกแบบมาแล้วมันยังไม่มีความเป็นฮีโร่ เรากำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อดี ยกตัวอย่างในส่วนของคิ้วตอนแรกดูแล้วธรรมดาไป ผมเลยลองหยิบลายจากหัวโขนหนุมานมาลองดัดแปลงดู เป็นกึ่งๆ ลายไทยนิดๆ เหมือนเป็นเหล็กที่โดนตัดออกมาเป็นลายไทย เออมันได้นะ มีความเป็นฮีโร่ เวลาโกรธหรือเวลาสู้จริงๆ เวลาที่ต้องแสดงอารมณ์จริงๆ มีคิ้วที่มันหักๆ อย่างนี้มันจะเพิ่มอารมณ์ให้ได้มากกว่า คิ้วตัวนี้ออกแบบยากสุดครับ แล้วพอดีว่าพี่จิกเลือกที่จะให้คุณหอย เกียรติศักดิ์มาเป็นคนที่จะให้เสียงให้ชีวิตตัวละครตัวนี้ปุ๊บลงตัวเลย ผมเลยได้เอาทรงผมเดดร็อคของเสนาหอยมาเป็นส่วนหนึ่งในตัวหุ่นกระป๋องทำให้แตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น ขณะที่หุ่นยนต์ทั้งโลกถูกบังคับด้วยรามและมีเสาเดียว หนุมานจะแปลกกว่าตรงที่มีสามเขาหักลงมาข้างหนึ่ง”

          เตรียมพบกับเสน่ห์ความน่ารักสุดซ่าในแบบฉบับของ “เผือก หุ่นกระป๋อง และความฉลาด คล่องแคล่วว่องไวและเก่งกล้าสามารถของหนุมานได้ ใน ยักษ์ ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นเต็มรูปแบบได้ 4 ต.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:33:24 PM
บทสัมภาษณ์ เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ ผู้พากย์เสียง สดายุ ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”


 
          เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ กับบทบาทพิเศษ“สดายุ”
          นกเหล็ก สุดเก่าเก๋าไม่กลัวใคร ผู้ถือคติ บินไป บ่นไป
          อีกหนึ่งตัวละครที่สร้างมาเรียกเสียงฮาก๊ากจากผู้ชม

          Q: โดยส่วนตัวแอนิเมชั่นมีอิทธิพลอย่างไรกับชีวิตพี่เหมี่ยวบ้าง มีเรื่องไหนที่ชอบเป็นพิเศษบ้างไหม
          M: เด็กๆ ชอบดูการ์ตูนอยู่แล้ว พอโตขึ้นผู้ใหญ่ก็ยังดูการ์ตูนอยู่ เดี๋ยวนี้การ์ตูนมันก็ไม่ได้ใสซื่อเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเป็นดิสนีย์มันจะสะอาดมากนะ แต่เดี๋ยวนี้มีหนังอย่าง Shrek มีขุ่นๆ บ้าง การ์ตูนญี่ปุ่นก็จะเป็นซึ้งๆ บีบๆ อารมณ์ แต่มันจะเป็นโลกที่ทุกคนดูแล้วมีความสุขค่ะ แม้ว่าจะเป็นการ์ตูนซีเรียสก็ตาม เพราะมันเหมือนมาแทนความฝันของเราทุกเรื่องเลย
          ส่วนตัวแล้ว พี่ชอบเรื่อง Bambi ชอบเรื่อง The Jungle Book ไม่ได้ชอบตัวเมาคลีนะ ชอบตัวหมี ที่ชื่อบาลู ใน The Jungle Book พี่พูดบทได้หมดเลยเพราะดูซ้ำๆ เป็นร้อยๆ ครั้ง แล้วก็ชอบกลุ่มที่เป็นวอลต์ ดิสนีย์ทั้งหมดค่ะ หลังๆ นี้ก็จะชอบนีโม ชอบการ์ตูนของเขาเพราะมันเป็นการ์ตูนที่บทดีมาก เพราะเราได้มาดูตอนโตขึ้นและเราทำงานสายนี้ด้วย เราเลยรู้ว่า เฮ้ยนี้มันเก่งมาก ตอนเด็กๆ เราดูแล้วสนุก พอทำงานแล้วเราค่อยรู้สึกว่าพวกเขามันชาวมนุษย์มหัศจรรย์ มันเก่งอะไรขนาดนี้ คิดเก่งทำให้การ์ตูนที่เราก็รู้อยู่แล้วเป็นภาพวาด แต่ทำให้เราร้องไห้ได้ ทำให้เราหัวใจฟู ตอนที่นีโมมันเจอพ่อมันหรืออะไรอย่างนี้ และก็ชอบคาแร็คเตอร์ต่างๆ ชอบเชร็คด้วยนะ แต่เชร็คมันจะกวนๆ ประสาทหน่อย มันจะขุ่นๆ หน่อย จะไม่ใส

          Q: พี่เหมี่ยวทำงานในวงการมายาวนานได้ทำงานที่หลากหลาย เคยมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เสียงบ้างไหม
          M: งานที่ใช้เสียงที่พิถีพิถัน ที่ต้องยุ่งกับเสียงมากที่สุดก็คือละครเวทีค่ะ ถ้าทีวีนี้ยังไม่เท่า แต่ละครเวทีทำให้เรารู้ว่า จะต้องบังคับเสียงใช้เสียงสื่ออารมณ์ทำให้เสียงมันกว้างใหญ่ และก็ต้องให้มันเสถียรด้วย และเราต้องเล่นเป็นหลายรอบ ยี่สิบสามสิบรอบห้าสิบรอบ อย่างทีวีมันจะเป็นฉากๆ มันยังช่วยกันได้มี พักมีอะไรได้ ถ้าเล่นละครเวทีนั่นคือสุดๆ ของการใช้เสียงสำหรับตัวพี่นะ และยิ่งละครเวทีที่ร้องเพลงด้วย ส่วนการพากย์เสียงก็เคยพากย์เรื่อง ทาร์ซาน Tarzan (1999) พากย์เป็นลิงเพื่อนสนิททาร์ซาน เรื่องนี้คือทำให้ได้เข้าสู่วงการพากย์ นอกนั้นก็จะเป็นการลงเสียงที่หนังที่เล่นบ้าง เป็นการเข้าไปพากย์ซ่อมเสียงตัวเอง มีพากย์สปอตโฆษณาบ้างซึ่งก็ต้องพากย์ให้ตรงปาก แต่สำหรับการพากย์การ์ตูนสำหรับพี่มันเหมือนการแสดงเลยแหละ มันไม่ใช่แค่ไปพากย์ให้เสียง เราไม่ใช่แค่นักพากย์หมายถึงเราต้องแสดงด้วย

          Q: เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” นี้ได้อย่างไร และยังเป็นการร่วมงานกับ พี่จิกประภาส ชลศรานนท์รู้สึกอย่างไรบ้าง
          M: ตอนนั้นก็ทำงานในวงการตามปกติก็ได้รับการติดต่อมาจากพี่จิกนะคะ รู้ว่าพี่จิกจะทำการ์ตูนนานมาก ตั้งแต่เล่นซิทคอมของเวิร์คพอยท์เรื่องแรกๆ ของโต๊ะกลมนะคะแต่ถ่ายที่สตูดิโอเวิร์คพอยท์ เวิร์คพอยท์ ตอนนั้นเพิ่งสร้างเสร็จ สียังไม่แห้งเลย จำได้เลย (หัวเราะ) ว่ายังเป็นปูนๆ อยู่ยังไม่แห้ง เขาก็ชวนมาก็พากย์การ์ตูน ถามว่าพากย์เรื่องอะไร เรื่องรามเกียรติ์ โอ้โห พี่จิกทำการ์ตูนเรื่องรามเกียรติ์ เฮ้ยคงจะรำกันเลยทีเดียว (หัวเราะ) ได้สิพี่ และก็จะหายไป เป็นปี สองปี ก็ติดต่อมา อ้าวให้พากย์แล้วหรอไปก็พากย์ แต่เอ๊ะทำไมเป็นหุ่นยนต์ล่ะ และก็ไม่ใช่เรื่องรามเกียรติ์ไม่ใช่แบบขนบธรรมเนียมเดิมเป็นแบบคิดใหม่อีกมุมหนึ่ง
          พี่จิกเป็นคนที่มองอีกมุมเก่งเป็นบ้า เวลาแกแต่งเพลง ก็รู้จักพี่จิกมาตั้งแต่แกเริ่มแต่งเพลง เขาเรียนสถาปัตย์ จุฬาฯ และเขามาเล่นเรื่องเจ้าสมุทรในเรื่องพรายน้ำ และพี่ไปฝึกงานเป็นช่างแต่งหน้า ก็รู้สึกคนนี้ประหลาด (หัวเราะ) เขาเล่นละครแล้วเสียงเขากว้าง และหน้าเขาประหลาดมากเขาผอมๆ หน้ายาวๆ เล่นเป็นเจ้าสมุทรเหมือนโพไซดอนน่ะ ก็รู้สึกว่าคนนี้ที่ชื่อพี่จิกเนี่ยเก่งมาก! และเขาก็แต่งเพลงด้วย โอ้โหสุดยอด ชอบคนนี้ฉันชอบคนนี้ และชอบมุมมองของพี่จิก และที่ชอบมากที่สุดคือเพลงของเขาอย่าง ต้นชบากับคนตาบอด และเขาจะเล่าเบื้องหลังเวลาแต่งเพลง ให้ฟังอย่างเพลงดอกมะลิมาจากแฟนเขาให้ดอกมะลิมา เราก็จะแซวว่าว้ายเอาเรื่องส่วนตัวมาแต่งเพลง (หัวเราะ) เราก็ชอบแหย่ ในกลุ่มเขาก็จะมีพี่จิก พี่ดี้ (นิติพงษ์ ห่อนาค) พี่ตั้ว(ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) พี่เจี๊ยบ (วัชระ ปานเอี่ยม) พี่อั๋น (วัชระ แวววุฒินันท์) และทุกคนจะเป็นมนุษย์มหัศจรรย์สำหรับพี่มาก ชอบนั่งฟังเขาพูดกันน่ะค่ะ รุ่นน้องเขาก็จะเป็นกิ๊ก (เกียรติ กิจเจริญ) ,ดู๋ (สัญญา คุณากร) พี่โค้ก (สมชาย เปรมประภาพงศ์) พี่ชอบความคิดของพี่จิกอย่างตอนที่เขาทำละคร เทวดาตกสวรรค์สนุกดี พอพี่จิกทำการ์ตูนพี่เลยคิดว่าไม่ต้องธรรมดา แต่พี่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นอย่างนี้นะ รามเกียรติ์มันก็ต้องมีใส่ชฎากันบ้างนะ แต่นี่ไม่มีเลย(หัวเราะ)

          Q: คิดว่าพี่จิกเลือกเรามาพากย์เพราะอะไร และช่วยเล่าให้ฟังถึงตัวละครของเราสักนิด
          M: ในเรื่องยักษ์นี้ พากย์เป็นนกยักษ์นะคะ ชื่อ สดายุ พี่จิกเขาคงเลือกเราเพราะรู้จักเรา รู้ว่าเราพูดจาเป็นยังไง แต่มารู้ว่าเป็นคาแร็คเตอร์หน้าตาเป็นแบบนี้ไม่นานนี้เอง พี่จิกเขาบอกว่าเป็นตัวละครที่ออกแบบมาจากคนพากย์ ก็โกรธนะเพราะมันแก่ (หัวเราะ) สดายุเป็นเครื่องบินรบสมัยสงคราม มันอยู่ในโกดังแล้วสนิมเขรอะ บินก็ไม่ไหว และก็ขี้บ่น ขี้โมโห และก็ขี้ประชด ผมมันสั้นแต่เป็นเหล็กหมด เวลาพากย์พี่จิกก็จะบอกว่าพูดแบบเหมี่ยวเลยประชดๆ เวลาที่แบบพูดอยู่ไกลๆและก็จะไม่ได้มีบทละเอียด ให้พูดแบบเราได้เลย มีประชดหลายแบบด้วยนะ ประชดโมโห ประชดเบื่อ ประชดเร่งรีบอะไรแบบนี้ แต่พี่ก็มีไปฝังใจกับสดายุเรื่องเดิมว่ามันต้องเหมือนนกทหารใช่ไหม และก็ตายเพื่อพระรามเลยนะ ก็ชอบถามพี่จิกเขาว่าเรื่องนี้หนูตายป่ะ เพราะเราดันรู้เรื่องรามเกียรติ์ด้วยไง หนูตายไหมพี่ๆ เขาจะทำหน้าแบบอะไรของเธอ เซ้าซี้อยู่ได้ สดายุตายไหมๆ เซ้าซี้จนกระทั่งมารู้ อ่อมันไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องในวรรณคดี มันเป็นสดายุแบบตีความใหม่ นกสดายุมันก็เลยไม่ใช่นกที่มีปีกหรือมีลายไทยแบบในผนังโบสถ์นะ ตัวนี้จะเป็นแบบโกโรโกโสนิด สนิมหน่อย บินก็ไม่ค่อยขึ้น
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:34:23 PM
          Q: คาแร็คเตอร์ของตัวนี้มีเสน่ห์ ความน่าสนใจอย่างไรบ้าง
          M: พี่ว่าขาแขนมันเล็กไปหน่อยนะ ก็ดูกงโก้ แน่จริงทำตัวอ้วนๆ สิ (หัวเราะ) มันเป็นเครื่องบินที่มีชีวิตประหลาดดีค่ะ ท่าทางเอะอะมะเทิ่ง ดูกะเปิ๊บกะป๊าบ ไม่มีความสง่างามใดๆ ทั้งสิ้น คือไม่มีฟอร์ม แต่ไม่รู้ตัวหรอกนะ มันมั่นใจในความเป็นนกยักษ์ของมัน และก็มุ่งมั่นให้ทำอะไรก็ทำ แต่ว่าอย่าขัดใจมากอย่าเยอะ เยอะด่า สำหรับตัวนี้ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรมากมาย แต่พอพี่พากย์ไป ไอ้สดายุมันคือคนที่มีภารกิจมันต้องทำให้สำเร็จนะ ไอ้การประชดประชันก็คงเป็นตามนิสัย นิสัยของตัวละครตัวนี้ แต่อันหนึ่งคือจุดมุ่งหมายที่มันเจอ ต้องทำให้สำเร็จอ่ะ และก็บ้าๆ บอๆ ยังไงก็ทำ เพราะว่าตั้งใจทำแล้ว มาด้วยกันแล้วยังไงก็ต้องทำ ก็ต้องเอาให้สำเร็จ สดายุเนี้ย มันก็ต้องเจอเรื่องแก้ไขแปลกๆ เวลาเจอท่านทศก็จะเปลี่ยนเลย จากขี้ประชดก็จะเป็นสอพอ รักแบบเลิฟ เป็นบอสที่หายไปนานก็จะรักๆ และก็จะยอมทุกอย่าง

          Q: ประสบการณ์การพากย์เสียงแอนิเมชั่นครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทราบมาว่าต้องทำมากกว่าหน้าที่ให้เสียงอย่างเดียวต้องมีการแสดงเพื่อให้เหล่าแอนิเมเตอร์นำไปสร้างคาแร็คเตอร์อีกด้วย มีความยากง่าย ความสนุกอย่างไร
          M: เราไม่ใช่นักพากย์ที่ใช้เสียงอย่างเดียว อารมณ์มันต้องเกิดขึ้นจริงๆ ในตอนพากย์ อย่างถ้าช่วงเหนื่อยเราต้องกระโดด กระพือปีก ในห้องพากย์จริง เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่ออก เหนื่อยชิบเป๋ง มันเหนื่อยมาก (หัวเราะ) เหนื่อยแบบว่าหน้ามืดเลย เพราะมันต้องหอบจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะทำเสียงไม่เป็น เพราะฉะนั้นต้องเล่นจริง วันนั้นเป็นวันที่เหนื่อยจริงๆ วันนั้นต้องพูดบทเองเยอะ เจ้าประคุณเอ๋ย แล้วไม่หยุดไงมันต้องพูดหลายๆเทคไง ให้เขามีเลือกหลายๆ แบบ แล้วพี่จิกเขาจะอยากให้เราพากย์ด้วยเสียงจริง เขาก็จะถามว่าดัดเสียงหรือเปล่า ไม่ดัดใช่ไหม ไม่ดัดพี่ พากย์ให้ทันยังลำบากให้หนูดัดเสียงอีกหรอ (หัวเราะ) แสดงว่าพี่จิกเขาเอาคาแร็คเตอร์ของเราด้วยส่วนหนึ่ง
          บางทีการพากย์ในฉากที่ตัวละครสองตัวมันอยู่ในซีนเดียวกันแต่ตัวหนึ่งก็ต้องพูดอยู่ พอตัดมาที่เราบางทีมันไม่ทันไง ก็ต้องใช้ความสามารถส่วนตัว คือต้องกะจังหวะเอา ต้องพูดให้ในเวลาเท่านี้ เท่านั้นวินาที แต่จะว่าไปการทำงานก็ค่อนข้างจะฟรีอยู่เหมือนกัน ไม่เครียดค่ะ เหมือนไปเล่นละคร เราไม่เคยคิดว่าคาแร็คเตอร์ เราเนี่ยจะเป็นนกแก่ที่ขี้บ่น ขี้โมโห ขี้ประชด จนกระทั่งได้พากย์เรื่องยักษ์นี้ แล้วปรากฏว่าไอ้ที่พากย์ๆ ไปอ่ะมันตัวเองทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) มันเป็นอารมณ์จริงๆ ที่เรารู้สึกกับเรื่องและก็เหตุการณ์ที่อยู่ในการ์ตูน ลองพูดมาปรากฏว่าอ้าวนี้มันฉันนิ อ้าวตายแล้วฉันคือสดายุหรอ ก็เครียดเหมือนกันนะ พอพากย์หลายๆ ทีเข้าเออฉันกับสดายุมันก็เหมือนๆ กันอยู่แหละ (หัวเราะ)

          Q: รู้สึกยังไงบ้างที่คนออกแบบตัวละคร พี่เอ็กซ์ ชัยพร ทำตั้งใจให้เหมือนพี่เหมี่ยว
          M: ตอนแรกไม่เชื่อหรอกค่ะ พอพากย์ไปก็เชื่อแล้วค่ะ พอไปพากย์หลายๆ ทีมันใช่เลยค่ะ เพราะหน้าตาเพราะตาเขาจะตาโปนๆ หูตาเหลือกตลอดเวลา ก็ต้องทำกันขนาดนี้เชียวหรอ ก็คือตอนแรกที่คิดก็คือการ์ตูนก็หน้าตาแบบนี้แหละ แต่พอมันมีตัวละครอื่นเข้ามามันไม่ใช่นิ มีฉันคนเดียวที่หูตาเหลือกขนาดนี้ ไอ้สนิมก็น่ารัก เออไอ้เขียวก็เป็นแบบเท่ห์ๆ

          Q: คาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้ มีการออกแบบให้ดูเป็นตัวรอง แต่สามารถมาเป็นพระเอกได้ รู้สึกอย่างไรบ้างกับประเด็นนี้
          M: มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าถึงแม้ว่าคนที่หมดสภาพดูเป็นไก่รองบ่อน หรือว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้ใครเชื่อได้ว่าจะทำสิ่งที่สำคัญได้สำเร็จ แต่พอมันอยู่กับกลุ่มที่ใช่ ความเชื่อที่มีและก็ทำอะไรที่ยากๆ ได้จนสำเร็จ จริงๆ แล้วภารกิจของสดายุมันถึงชีวิตเลยนะ มันตายได้นะ แต่มันก็ทำ สำเร็จหรือเปล่า ก็ต้องไปดูกันอีกที ในเรื่องพี่ชื่นชมตัวสดายุที่มันทำจนสำเร็จ ถ้าเป็นพี่ พี่อาจจะไม่ทำนะ เพราะมันเสี่ยงอันตรายเกินไป ทั้งที่พี่ว่าเขาไม่พร้อมอะไรเลยนะ สภาพร่างกาย มีแต่จิตใจอย่างเดียวก็พาไปจนได้ เอาสิเหมือนกับลงเรือลำเดียวกันแล้ว มันทำให้ทุกตัวมีเสน่ห์ ตัวพี่ตอนมาร่วมงานนี้ใหม่ๆ พี่จะเปรียบเทียบกับเรื่องรามเกียรติ์ตลอดเลย อ้าวทำไม เป็นอย่างนั้น ไอ้นี้เป็นอย่างนี้คู่อริกันนิ เอ๊ะและเป็นเพื่อนกัน ทำไมเป็นอย่างนี้หรอ เราก็จะลุ้นไปกับเรื่องนี้เราก็จะลืมเรื่องดั้งเดิมของรามเกียรติ์ไป และเราก็จะเข้าถึงบท และพอพากย์ด้วยมันต้องมีอารมณ์เข้าไปในนั้น เราก็จะผูกพันกับไอ้ตัวกุมภกรรณ เริ่มผูกพันกับน้าเขียวๆ และไอ้สนิมอีก เพราะมันก็จะน่ารักน่าเอ็นดูและก็ ไอ้ตัวไอ้เผือกอีก และพอเราก็จะเห็นเหตุการณ์บางอัน ก็เป็นสิ่งที่ดูแล้วก็รู้สึกว่าเราจะอยู่กับเพื่อนเราหรือเราจะอยู่กับคนที่เกลียดหรืออยู่ด้วยความรัก
          พี่ว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันจะมันจะบอกเราหลายอย่าง เช่นบางทีเราจะทำอะไรเราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกนะ แต่การ์ตูนเรื่องนี้จะทำให้เราเห็นว่า จำเป็นไหมที่เราจะต้องโกรธเกลียดกันไปทั้งโลก จะด้วยอะไรก็ไม่รู้ที่เกลียดกัน แต่พอไม่มีโจทย์พวกนั้นมา ก็เพื่อนกันได้ เป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้จะโกรธกันไปทำไม เราจะฆ่ากันทำไม พี่คิดอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้ซีเรียสแบบนี้ เป็นเรื่องตลก

          Q: ในฐานะที่รู้จักพี่จิกมานานคิดว่าเสน่ห์ของเรื่องราวแบบ จิก ประภาส อยู่ตรงไหน
          M: พี่จิกเป็นคนที่มีมุมมองที่ไม่ค่อยเหมือนใคร เป็นมุมคิดบวกที่ไม่ใช่เป็นดอกไม้สายรุ้ง แต่เขาจะมองโลกนี้แบบมีความจริงอยู่ในนั้น บางทีมันก็มีความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นในเพลงในละครในหนังที่พี่จิกเขาทำมา ก็จะเป็นลายมือพี่จิกที่เขาจะพาเราไปสู่โลกรามเกียรติ์ในแบบของพี่จิก ซึ่งพี่ว่าไม่เคยมีใครทำเลย ก็ไม่ค่อยมีใครค่อยกล้าทำ เฮ้ยจะมาเอามาทำเป็นแบบนี้เหรอ มาทำให้มันเสียหรือเปล่า แต่พี่ว่าไม่ใช่ พี่จิกรักความเป็นไทยมาก ชื่นชมความเป็นไทยและพี่จิกจะทันสมัยและเฮฮา แต่ก็ไทยๆ เหมือนรายการคุณพระช่วยอย่างนี้ก็ไทยที่เป็นไทยแบบที่ไม่ต้องพับเพียบดูหรือว่าต้องใส่ชุดไทยหรือว่าเปิบข้าวด้วยมือ เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่พี่จิกก็คงไม่มีใครทำได้นะ อันนี้พูดตรงๆ (หัวเราะ)

          Q: การทำแอนิเมชั่นเรื่องนี้ใช้เวลาใส่ใจในการทำ ถึง 6 ปี คิดว่าคุณภาพของเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
          M: ไม่น่าเชื่อ พี่ยังคิดว่าเขาคงเปลี่ยนคนพากย์ไปแล้วเลย ทิ้งระยะการพากย์ไปเป็นปีๆ มีช่วงหลังนี้แหละที่เข้าที่ เรื่องนี้คิดก่อน Wall-E ก่อนโรบ็อท อีกนะ เอาพี่ไปสาบานที่ไหนก็ได้เพราะพี่ได้รับการติดต่อมาตั้งแต่เวิร์คพอยท์สร้างเสร็จใหม่ๆ จริงๆ บอกแล้วปูนยังไม่แห้ง (หัวเราะ) พี่คะ จะทำอีกนานไหมคะ ทำอยู่นั้นน่ะ แต่ว่าพอออกมาเป็นเรื่องแล้วโอ้โห! มันต้องใช้ความนานอย่างนี้ ก็เพราะแบบนี้นี่เอง และพอถึงขั้นนี้ก็คือพี่จิกไม่ต้องไปห่วงว่าใครจะบอกว่าไปเลียนแบบใคร ไม่ต้องคอยอธิบายด้วย เพราะว่ามันไม่เหมือนก็คอยดูล่ะกัน ตอนแรกที่พี่คิดไง เฮ้ยจะเหมือนวอล-อี เปล่าเนี่ย มีกองขยะอะไรคล้ายๆ กันด้วยแต่มันต่างกันจริงๆ
          การ์ตูนเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาสำหรับทีมงานที่ได้ร่วมงาน ที่ได้ไปพากย์นะ เราอยู่เรื่องนี้มาหกปีทีเดียว แต่เมื่อเราได้เห็นงานแล้วหกปีมันก็ไม่นานหรอก ได้อีกพี่จิกได้อีก พี่เอาอีกไหมเอาด้วย เขาไม่ใช่แบบคิดแค่หลวมๆ มันคือรวมทุกอย่างทั้งหมด ตั้งแต่เนื้อเรื่องในการตีความแล้วก็ภาพที่เป็นแอนิเมชั่นที่ มันน่ารัก ละเอียด พี่ไม่รู้ว่า มันต้องใช้ความยากแค่ไหนนะคะ แต่เราดูแล้วเราเชื่อ ไปกับเรื่องด้วย พี่ว่ามันคงไม่ใช่กดๆ เอา เอามือขีดๆ เอาในคอมพิวเตอร์ ด้วยศักยภาพที่คนที่จะทำงานด้านแอนิเมชั่นในเมืองไทย ก็มีไม่กี่คนอ่ะ ก็คิดว่า แต่ทุกอย่างมันเมดอินไทยแลนด์หมด เพราะฉะนั้น 6 ปีมันก็ไม่นานหรอกพี่จิก เอาอีกไหมอ่ะ ให้อีกปีหนึ่ง พากย์กันให้แก่คาห้องกันเลย (หัวเราะ)

          Q: การพากย์ครั้งนี้มีฉากประทับใจบ้างไหม
          M: ก็จะมีฉากบินเนี่ยแหละ บินกันอ้วกแตกเกือบเป็นลม อันอื่นก็จะเป็นของเรื่องการคิดบท คือเวลาต้องพูดบทเพิ่ม ก็ต้องทำให้หลายเวอร์ชั่น เพราะฉะนั้นมันก็จะสนุก สนุกฉากที่ประชดไอ้สนิมอ่ะ ที่มันไม่ร้องไห้ซะที อันนั้นขำพากย์ไปก็ขำ คือต้องพากย์เป็นละครน้ำเน่าอ่ะ เหมือนเป็นนังแม่ตัวอิจฉาอะไรอย่างนี้ ให้สนิมมันร้องไห้อ่ะ แล้วมันตลกมากคือทุกคนมองพี่เหมือน เป็นอะไรมากไหม พากย์การ์ตูนแต่มีอารมณ์ขึ้น หลุดใส่การ์ตูน (หัวเราะ)

          Q: หากได้ยินคำว่า “ยักษ์” นึกถึงอะไร
          M: สำหรับพี่คือยักษ์วัดพระแก้ว มันน่ากลัวมาก แม่พาไปตัวสูงมาก มีหลายตนเยอะมาก แล้วก็อยู่ทุกประตูเลย และก็เขาบอกว่าตอนกลางคืนก็ออกไปตีกับยักษ์วัดโพธิ์ ก็เชื่อสิผู้ใหญ่ไม่โกหกหรอก ตีกันเตียนเลย และไปเจอยักษ์วัดโพธิ์หน้าจีนมาก ก็มีเป็นหน้าไทยแต่ตัวเล็กกว่า กลัวนะก็เพราะเป็นเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็เล่าไปไง รู้ไหมเนี่ยว่าเด็กมันเชื่อ โอ๊ยกว่าจะหายกลัว โตจนตัวใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่าแล้ว (หัวเราะ) กลัวยักษ์พระแก้วอยู่ตั้งนาน แล้วคนรุ่นพ่อรุ่นแม่พี่ก็ต้องเข้าวัดพระแก้ว จะไปเมืองนอกทีก็ไปลาพระแก้ว ปีใหม่ เทศกาลก็วัดพระแก้ว ก็กลัวสุดๆ ขาเข็งเลยอ่ะ เดี๋ยวนี้ไปก็เฉยๆ ล่ะ

          Q: ในเรื่องนี้มีประเด็นหลักอยู่ที่มิตรภาพระหว่างหุ่นยนต์ทั้งสอง ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและต้องทำอะไรในชีวิหากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง“หน้าที่”กับ“มิตรภาพ”จะเลือกอย่างไหน
          M: เลือกทำไมล่ะ แสดงว่า หน้าที่อันนี้มันต้องไม่มีมิตรภาพ ถ้าให้เลือกแสดงว่าต้องตรงข้ามกัน จริงๆ พี่ว่ามันน่าจะอยู่ด้วยกันได้นะอย่าต้องให้ต้องเลือกเลย

          Q: คิดว่าคนเราที่เคยเป็น “ศัตรู” กันมาก่อนจะสามารถเปลี่ยนมาเป็น “มิตร”กันได้ไหม
          M: ได้สิ คนเราเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกันได้ โลกนี้ความเกลียดไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ความเกลียดไม่มีดีเลย แต่เราจะเอาชนะตรงนี้ยาก ความเกลียดมันทำให้มีแต่เรื่องเลวร้าย ยิ่งกระพือให้มันเกลียดมากขึ้นมันก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น แต่ถ้าสับสวิทซ์ให้มารักเลยก็คงยากนะ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องหรอก คนเราถ้ามีแต่ความรักมันก็คงจะลั้ลลาใช่ไหม มีทุ่งดอกไม้

          Q: คิดว่าหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ตรงไหนถึงควรค่าแก่การไปชมกัน
          M: คนเราควรจะดูการ์ตูนอย่างน้อยปีละเรื่องจะได้เห็นว่าโลกนี้มันไม่ได้มีแต่ความเลวร้ายหรือความเครียด หรืออะไรที่ทำให้เราต้องต่อสู้ดิ้นรน การ์ตูนมันจะพาเราไปสู่โลกของจินตนาการโดยที่ไม่มีขีดจำกัด และการ์ตูนเรื่องนี้มันจะมีเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ต้องเกลียดใคร ไม่ใช่ว่าเราเกลียดกันแล้วก็ต้องเกลียดกันตลอดชีวิต ก็ลองดูถ้ามันเลิกเกลียดได้มันคงมีอะไรดีๆ อีกเยอะ เกิดขึ้นในชีวิตเราในโลกนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:35:38 PM
บทสัมภาษณ์ เสนาหอย เกียรติศักดิ์ อุดมนาค ผู้พากย์เสียง เผือก/หนุมาน ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”



          ฉลาดคล่องแคล่ว ไวยังกะลิง ฤทธิ์เดชเหลือล้น -“ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”  ปล่อยพลังแบบสุดขั้วเมื่อหอยเกียรติศักดิ์ ให้ชีวิตหนุมานในคราบของหุ่นกระป๋อง กับ “ยักษ์” แอนิเมชั่นไทย ผลงานเขียนบท-กำกับภาพยนตร์โดย ประภาส ชลศรานนท์

          Q.ทราบมาว่าตอนนี้ฮอตมากมี7วันทำงาน7วันเลยอยากให้พี่หอยอัพเดทชีวิตสุดฮอตสักหน่อย
          H. ครับตอนนี้ชีวิตก็วุ่นวายมากๆชีวิตส่วนตัวไม่ค่อยมีนะครับ มีแต่ชีวิตของคนอื่นก็ตอนนี้มีทำรายการทีวีนะครับ รายการในSATTLELITEนะครับ และก็มีทำหนังสือ OHOนะครับ และก็ทำหนังอะไรต่างๆ ตอนนี้ก็คงไม่ได้มีเวลาแต่งงานมีลูกแบบคนอื่นเขา เพราะว่าให้สัญญากับวิลลี่ว่า5 ปีต่อจากนี้ไปผมจะไม่มีครอบครัว เพราะว่าเขามีลูกกันหมดแล้ว ถ้าผมมีลูกอีกบริษัทก็คงจะหงอยกันแน่ๆ ผมก็เลยคิดว่าให้เวลาตัวเองอีกสัก5ปี 7วันนี้ก็ทำงานชนิดที่ว่าสแตนบายเสาร์-อาทิตย์ ตอนนี้ก็คงเน้นเรื่องรายการทีวีก็ต้องรีบนำเสนอ และที่ฮอตๆจริงก็น่าจะเป็นSATTLELITEสาระแนแชนแนล เพราะตอนนี้มีกิจกรรมทุกๆเดือนทุกอาทิตย์ทุกอย่างที่ออกเองครับ เพราะว่ามันไม่มีใครนะครับก็ต้องลุยด้วยตัวเองครับ
          Q.ชีวิตของพี่หอยผูกผันและเกี่ยวข้องกับการ์ตูนมากน้อยแค่ไหนอย่างไรและมีการ์ตูนตัวไหนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ
          H. จริงๆคำว่าการ์ตูนนี้มาคู่และติดมาตั้งแต่สมัยหนังจักรๆวงศ์ๆตอนแปดโมงเช้าที่ตื่นขึ้นมาต้องมาดูพระทิณวงศ์ โสนน้อยเรือนงามอะไรอย่างนั้นเลยนะครับ ก็คิดว่ามันอยู่คู่กัน อย่างเรานี้เราบอกตรงๆว่าเราติดช่องเก้าการ์ตูน ดูมาตั้งแต่ ดราก้อนบอล โดเรมอน ที่ชอบมากที่สุดคืออาราเล่ พูดถึงอาราเล่ เรียกได้ว่าผมมีทุกคอลเล็คชั่นอาราเล่ที่เป็นเคสไอโฟนเลย(ชูมือถือที่ใส่เคสอารเล่ให้ดู) นี่ก็จะเป็นอาราเล่ มีซูปเปอร์แมนจู๋ มีไอ้ตัวที่ปั่นจักรยานน้องคิโนโกะ และก็การ์ตูนที่ผมติดอีกอันคือคอบร้าเป็นการ์ตูนที่ไม่ใช่การ์ตูนเด็ก มันจะเป็นการ์ตูนผู้ใหญ่ขึ้นมานิดนึงก็ดูไล่ลงมาเรื่อยๆ เมื่อ ก่อนมีดราก้อนบอลหลังๆก็คงไม่ค่อยได้ดูแล้ว เพราะตื่นมาไม่ทันพระทิณวงศ์กับโสนน้อยเรือนงามก็เลยทำให้ช่องเก้าการ์ตูนเลือนหายไปครับ แต่รู้สึกว่าจะมีเป็นตอนเย็นแล้ว เพราะการ์ตูนตอนเย็นก็จะมีเยอะตามที่เป็นนโยบายของ กสทช. มั้งครับสามช่วงเวลา ตอนนี้ต้องเป็นรายการเด็ก ต้องเป็นการ์ตูน ต้องเป็นอะไรอย่างนั้น ก็เหมือนเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กไม่เหมือนตอนที่เราเป็นเด็กเย็นๆก็ยังดูได้อยู่
          Q.การ์ตูนมีอิทธิพลและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตหรือไม่อย่างไร
          H. การ์ตูนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตไหม ผมว่ามันทำให้ชีวิตตอนเด็กมันมีความสุขนะ การ์ตูนมันเป็นชีวิตที่เหนือความเป็นจริงอย่างโดเรมอนอย่างนี้ ไทม์แมชชีน เฮ้ยเราอยากมีไทม์แมชชีนซึ่งทำให้เด็กมีจินตนาการครับ จริงๆแล้วหนังการ์ตูนมันทำให้เด็กที่ดูมันมีจินตนาการไม่ว่าจะเป็นดราก้อนบอล เซนต์เซย่า เฮ้ยเครื่องมือที่มันทำให้จำได้ดีของโดเรมอน มันทำให้เราเริ่มมีจินตนาการ เหมือนการเรียน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือว่าพวกที่ได้เรียนศิลปะหรือได้ดูพวกแอนิมอลแพลนเน็ตหรือสัตว์ ได้ดูอะไรพวกนี้จะทำให้มีจิตใจอ่อนโยนและมีจินตนาการซึ่งมีผลแน่นอนครับ
          Q.สำหรับประสบการณ์ในการพากย์การ์ตูนที่ผ่านมา
          H. การพากย์การ์ตูนสำหรับเรื่องยักษ์ถือว่าเป็นเรื่องที่สองครับ เรื่องแรกจะเป็นเรื่องDINOSAURซึ่งผมบอกกับตัวเองว่าผมจะไม่พากย์การ์ตูนอีกเพราะมันยาก เพราะว่าตอนนั้นมันเป็นฮอลลีวู้ดไง ผมจำได้ว่าผมพากย์เป็นไอ้ตัวลิงหรืออะไรในเรื่องDINOSAURนะ คือฝรั่งทางฮอลลีวู้ดเขาไม่รู้สึก แล้วการพากย์การ์ตูนของไทยกับฝรั่ง ผมว่าไม่เหมือนกันนะ ของฝรั่งเขาจะ นี่เจ้ารู้สึกยังไง เขาชี้เลยว่าห้ามเสียงขึ้นเสียงลง ผมจำได้ผมไม่เอาแล้วนะผมรู้สึกว่ามันยาก เพราะว่าบางทีคนไทยกับฝรั่งมันอาจจะไม่เหมือนกัน ต้องบอกให้เสียงนี้โทนเหมือนกันเลย ผมก็เลยคิดว่าหลังจากหนังเรื่องนั้นแล้ว คือไม่ใช่ว่าพากย์ไม่ดีนะครับ หนังเรื่องนั้นดีมาก แต่ผมเสียใจตัวเองว่าผมทำไม่ได้ เพราะว่าผมเป็นคนที่ไม่รู้สิอารมณ์มันต้องชัดเจน แต่เขาบอกให้เป็นอารมณ์แบบนี้ ผมก็เลยคิดว่าไม่อยากจะพากย์เอง แต่พอได้รับการติดต่อจากไอดอลของผมเองอย่างพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ที่ผมติดตามอ่านหนังสือมาตลอด ดูผลงาน ฟังผลงาน ทั้งดูทั้งฟังทั้งร้องตามกับผลงานของเขาบอกว่าอยากจะให้ผมพากย์การ์ตูน ตอนแรกผมก็หวั่นๆว่ามันจะเหมือนเดิมหรือเปล่านะ เราทำไม่ได้รึเปล่านะ เขาบอกว่าไม่ เพราะว่าการทำการ์ตูนของเขาในครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่เอาปากของเราจริงๆ เอาคาแร็คเตอร์ของเราจริงๆมาผสมผสานกับการทำแอนิเมชั่น คนไทย ตอนแรกผมก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันจะเป็นยังไง เขาก็บอกว่าใช้วิธีเดียวกับไอ้ที่เขาทำการ์ตูนกันเลย ให้ผมแอ็คติ้งไปด้วย ผมถ่ายไปพูดไปในตอนแรกเลยก็เหมือนเป็นตัวนั้นเลย ซึ่งเขาก็บอกว่าเป็นหนังเรื่องหุ่นกระป๋องเรื่องราม เฮ้ย หรอ พอไปอ่านจริงๆพี่จิกเป็นคนเขียนบทที่ดัดแปลงผมรู้สึกว่า เฮ้ยทำได้ไง คือมันมาเป็นหุ่นกระป๋องเฉยเลย ซึ่งแต่เอาเรื่องจากรามเกียรติ์จริงๆ ซึ่งผมก็ได้รับเกียรติจริงๆที่ว่าผมดูมาตั้งแต่เด็กๆแล้วแหละ ตัวหนุมาน แต่ตัวนี้ในหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ชื่อ เผือก
          Q.โดยส่วนตัวแล้วพี่หอยถือได้ว่าเป็นคนหนึ่งที่ชีวิตผูกพันเกี่ยวกับเรื่องของดนตรีและการควบคุมการใช้มาทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ซึ่งแม้แต่การแสดงของพี่หอยเองค่อนข้างเชื่อมโยงและพูดได้ว่าเกี่ยวพันกับเรื่องของการใช้เสียงพอสมควรเลยทีเดียว
          H. ก็ในชีวิตผมจริงๆแล้วพูดได้ว่าดนตรีมีผลและก็เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะผมเรียนดนตรีมา คณะศิลปศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกดนตรีตะวันตก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพลิกผัน จริงๆชีวิตผมนี้ผมอยากทำรายการทีวีจริงๆก็เลยสอบเข้านิเทศฯตอนนั้นเลือกได้หกอันดับ ผมเลือกนิเทศมาห้าอันดับ มาเลือกศิลปกรรมจุฬา เพราะแม่ แม่ให้เลือก เพราะแม่รู้ว่าผมเรียนดุริยางค์ วัดสุทธิฯ น่าจะโอเคนะ สอบอันนี้ติดศิลปกรรม จุฬาครับ แต่ผมก็รักดนตรีไหม ผมรักมาตั้งแต่ม.หนึ่งนั่นแหละ เพราะผมเรียนดุริยางค์มาหกปี บางคนก็เรียนหนึ่งปีสองปี แต่ผมเรียนหกปี ผมก็เลยได้มาอยู่ในวงจรดนตรี เรียกได้ว่าวงจรดนตรีทั้งวันครับเป็นเวลาห้าปี เรียนห้าปีครับ ส่วนหนึ่งในชีวิตก็ได้ฝึกฝนดนตรีมาหลายๆแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีที่ผมเป่า โอโบครับ บางคนก็ไม่รู้จักวว่าโอโบคืออะไร โอโบนั้นคือเครื่องดนตรีสีดำๆครับ(เครื่องเป่าเป็นเครื่องดนตรีหลักในวงออเครสต้า) ถ้าเปรียบเสมือนก็เรียกว่าเป็นปี่เรียกงู
ถามผมว่าแล้วทำไมผมถึงไม่ดำเนินชีวิตหรือว่าทำอาชีพนี้ เพราะว่าคนที่เป่าโอโบในเมืองไทยนี้มีประมาณสี่คน สี่คนตอนนั้นนะครับ ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่งปีสองถ้าจะคิดทำอาชีพนี้ลองคิดดูครับว่าในสี่คน คนที่หนึ่งเป็นอาจารย์ผมเป็นคนที่สอนผม คนที่สองเป็นรุ่นพี่ผม คนที่สามเป่าเก่งมากอยู่ครุศาสตร์ ผมคนที่สี่ และในบรรดาวงออเครสต้าใหญ่ๆในเมืองไทยมีอยู่เพียงหนึ่งวงครับคือบางกอกซิมโฟนี่ออร์เครสตร้า(BSO) และที่เขาเป่ามีอยู่สองแนว ผมอันดับสี่อย่างน้อยต้องมีการฆ่าอาจารย์ ฆ่าพี่ ฆ่าอะไรอย่างนี้ ก็คงแบบว่าเอาลิ้นที่เป่าไปจุ่มยาพิษและก็เสียชีวิตกันไป และผมก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสนั้นล่ะ ผมก็คิดว่าผมมาทางที่ผมชอบทำรายการทีวีทำอะไรไปดีกว่า แต่ส่วนหนึ่งที่ยังคงเข้ามาอยู่ในชีวิตของผมก็ยังคงเป็นดนตรีอยู่ ในการใช้เสียง ในการใช้อะไรก็แล้วแต่ การเรียนดนตรีมันสามารถทำให้ผมควบคุมอะไรได้หลายๆอย่าง ซึ่งมีคนบอกนะครับผมก็ไม่ได้พูดเองก็เสียงผมนี่ถ้าฟังดูก็จะรู้วาเป็นเสียงหอยแหละ เสนาหอยเนี้ยแหละ ลีลาหรืออะไรก็ผสมตอนที่ผมเรียนละครที่อักษรศาสตร์ มาผสมกับการเรียนดนตรีมันก็เลย การควบคุมในการใช้เสียงนี่มันก็เลยดี เออก็มีคนบอกว่าเป็นเอกลักษณ์ดี คือถ้าสมมติว่าเสียงเราเป็นแบบนี้ แล้วเรามามัวคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ แต่กลับกันการที่เราฝึกฝน ทำอะไรบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นพิธีกร การทำอะไรโน่นนั้นนี่ก็ก็เลยทำให้เราเป็นคนที่รู้จัการควบคุมการใช้เสียง รู้จังหวะลีลาในการใช้เสียงมากกว่าคนอื่น
          Q.เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในโปรเจ็คต์ยักษ์ได้อย่างไร
          H.คือตอนแรกที่พี่จิกติดต่อมาผมไม่ได้คิดครับ ไม่ได้คิดอะไรเลย ผมตอบตกลงอยู่แล้ว เพราะว่าถ้าพี่มีงานอะไรถ้าผมได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของพี่ อะไรก็ได้ เขาทำคอนเสิร์ต เขาทำอะไร เฮ้ยพี่ได้เสมอ แต่ยังไม่เคยถูกเรียกสักที ก็คือสุดท้ายแล้วมาโปรเจ็คต์นี้เขาบอกว่าเขาอยากได้เสียงผมเป็นตัวนี้เป็นตัวที่ค่อนข้างจะเป็นตัวเอกก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ แต่ผมไม่ได้สำคัญที่ว่าจะต้องเป็นตัวเด่นหรือเป็นผลงานพี่จิก ประภาส ได้เป็นส่วนหนึ่งมันก็น่าจดจำ มันเป็นผลงานที่ดี เพราะเขาไม่ได้มาเป็นแค่ควบคุมมาเขียนบท มาทำดนตรีอีก เขาทำทุกอย่าง เขามาดูเวลาที่เราเรียกว่าFIRST LIPS คือการอ่านบทครั้งแรก ครั้งแรกเขาก็มานั่งฟังนะครับ เขาเทสต์หลายๆตัว ตอนเทสต์ผมเขาก็มีการเลือกจับคู่กับหลายๆคนที่น่าจะเป็นน้าเขียวหรือทศกัณฐ์เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็เลือกพี่หนุ่ม สันติสุข พอพากย์กันจริงมันเหมือนกับการพากย์ เฮ้ยผมดูเขาตั้งแต่หวานมันฉันคือเธอ ไม่เคยร่วมงานกันเลยไม่เคยจริงๆไม่เคยที่จะได้โต้ตอบ ผมว่าพี่หนุ่มสันติสุขเป็นอะไรที่สุดยอด เพราะว่าจังหวะจะโคนเรานึกว่าเอ๊ยเราจะเข้ากับเขาไหม ตอนอ่านบทปั๊บเนี้ยรู้เลยว่าสนุกแน่นอน
          Q.เป็นครั้งแรกกับวิธีการทำงานที่เป็นไม่ใช่แค่การพากย์หรือการให้เสียงแต่เป็นการให้ชีวิตให้อารมณ์ความรู้สึกในตัวการ์ตูนเลยทีเดียวก่อนที่แอนิเมเตอร์จะจับคาแรคเตอร์จากการแสดงนำไปถ่ายทอดวาดเป็นการ์ตูนอีกทีหนึ่ง
          H.พากย์การ์ตูนเป็นเรื่องที่สองในชีวิต แต่นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกจริงๆของผมนะครับที่พากย์ไปด้วยแสดงไปด้วย ถือได้ว่าเป็นเรื่องแรกในการทำการ์ตูนที่มันมีการใช้เทคนิคอย่างผมเคยอ่านหรือดูในยูทูปนะครับในการทำแอนิเมชั่นการ์ตูนต่างๆที่เขาใช้ดาราอย่างพระเอกระดับโลกหรือนางเอกระดับโลกมาทำเป็นการ์ตูนคือเขาต้องมีอะไรไม่รู้เป็นจุดๆเป็นจุดมาร์กจุดอะไรอย่างนี้ แต่ของเรามันยังไม่ถึงขนาดนั้น คือเขาจะเอากล้องมาตั้งสักสามตัวและให้ผมอ่านบทและก็เล่นไปเลย เล่นและก็โต้ตอบกับพี่หนุ่ม สันติสุข หรือว่าอะไรอย่างนี้ ผมก็โต้ตอบไป ผมก็ต้องทำท่าว่าผมจะทำยังไงปากผมมันก็จะพูดไดอาล็อคไป โดยกล้องจะจับอยู่สามส่วนประมาณแบบว่าโคลสอัพปาก โคลสอัพตัว โคลสอัพแขนต่างๆ เพื่อที่จะไปเขียนเป็นการ์ตูน ผมก็มันจะเป็นไปได้ยังไงนะ แต่พอเขาเขียนออกมาเฮ้ยมันเหมือนตัวผมจริงๆนะ มันเหมือนตัวผม แบบว่าจุกผมเดทร็อคที่พี่จิกเขาจับคาแร็คเตอร์ของผมมาใส่ในตัวการ์ตูน และสิ่งที่สำคัญที่สุดของผมคือจุกตรงนี้ครับ จุกนี้ครับก็น่าจะเป็นเอกลักษณ์ของตัวนี้ไม่น่าเชื่อ ก็ต้องขอบคุณมากนะครับ ผมก็จะบอกลูกบอกหลานว่าตัวนี้มันคือผมจริงๆก็คงจะเป็นอะไรที่ผมจำได้ว่าเขาเอาตรงนี้ไปด้วย เขาเข้าใจว่าเอกลักษณ์มันคืออะไร
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:36:40 PM
          Q.แต่คิดไหมว่ากว่าการ์ตูนเรื่องยักษ์จะเสร็จสมบูรณ์ต้องใช้เวลานานขนาดนี้6ปีเลยทีเดียว
          H. ผมว่าอย่างมากก็ปีหนึ่ง จริงๆนะหรือมากกว่าปีหนึ่ง แต่พอเข้าไปครั้งที่หนึ่งก็แล้วพอครั้งที่สองยังไม่เสร็จพอสามผมโดนเข้าไปพากย์ซ่อมพากย์ซ้ำ อาจจะรู้สึกว่ามันต้องเป็นการทำงานที่น่าเบื่อ ไม่ใช่ครับ ผมกลับรู้สึกว่าเขาเอาจริงนี่นาไม่ได้แบบพากย์ไปแล้วเอาไปตัดเสียงไม่ใช่ครับ วันนั้นไปสตูดิโอของเวิร์คพอยท์แค่อู้ย อึ๊ยยย เสียงแค่นี้วันหนึ่งแค่นั้นเองไม่มีเสียงพูดเลย มีแค่อูย แค่นี้ แบบเราเป็นเหมือนตัวอย่างไกด์ให้ทีมแอนิเมเตอร์เขามีอารมณ์ แล้วเขาจะได้เอาไปเขียนตัวการ์ตูนต่อ อย่างของผมแค่ประมาณสี่ปีแต่การเตรียมการน่ะหกปี เห็นพี่จิกบอกว่าเขาเตรียมงานมาเป็นปีสองปีนะ รวมของผมอีกสี่ปีน่าจะหกพอดี เป็นหนังการ์ตูนเรื่องแรกของเมืองไทยที่ใช้เรียกว่าเป็นมหากาพย์ในการใช้เวลานานมากที่สุดแล้วมั้ง แต่ผมเห็นบางช็อตแล้วผมว่าน่าจะไปทั่วโลกได้นะ เรื่องราวถ้าพูดไปถึงอย่างเรื่องรามอย่างนี้คนทั่วโลกน่าจะรู้จักคำว่าอวตารยังรู้จักเลย จริงๆแล้วผมว่าระยะเวลาหกปีไม่ได้นานเลยนะ โหมันแป๊ปเดียวเองหกปี นี่จะได้ฉายแล้วไม่น่าเชื่อ อยากดู ก็นานขนาดที่เรียกได้ว่าผมยังจำได้ว่าผมมาอ่านบทได้ครั้งแรกน้องออมสินที่เล่นเป็นน้องสนิม(หุ่นกระป๋องตัวเล็กสีชมพู)ของเรายังเด็ก ตอนนี้น่าจะมีแฟนแล้วนะครับ น่าจะแต่งงานแล้วด้วยมั้งไม่ถึงหรอกตอนนั้นยังเด็กยังถักผมเปียมาเลยชุดอนุบาล(7-8ขวบ)(หัวเราะ) ตอนนี้น่าจะเกือบสิบล่ะมั้ง13แล้วละมั้งนะครับผมว่าขนาดนั้นเลยนะครับ มันยาวนานขนาดที่น้องคนหนึ่งที่มาพากย์เป็นตัวเด็กๆเป็นน้องหนิมนะคัรบ โตเป็นสาวแล้วด้วยก็น่าจะได้เจอเร็วๆนี้
          Q.ความประทับใจของแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ในมุมมองของพี่หอย
          H. จริงๆแล้วเรื่องที่น่าประทับใจในแอนิมชั่นเรื่องยักษ์นะครับ สิ่งที่พี่จิกหยิบมามันไม่ได้เอามาทั้งเรื่องหยิบคาแร็คเตอร์หยิบเรื่องราวเอามาแล้วก็เขาเรียกว่าตีความใหม่ คือผมพากย์ไปผมรู้สึกว่า นี่มันเปลี่ยนความรู้สึก มันเปลี่ยนแง่คิดจริงๆแล้ว เวลาของมิตรภาพดีกว่าเวลาของการเป็นศัตรูซะอีก ซึ่งในเรื่องไอ้ตัวเผือกกับตัวเขียวมันไม่รู้อะไรว่าเบื้องหลังก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยเป็นศัตรูกัน แต่สุดท้ายพอมันได้ทำอะไรด้วยกันที่ช่วยเหลือกัน ผมว่ามันทำให้สองคนนี้เป็นเพื่อนกันเสร็จมันมากพอที่จะรักษาตรงนั้นมากกว่าการที่ไปรู้เรื่องราวในอดีตที่สู้กันมาตลอด สุดท้ายเชื่อว่าเด็กๆถ้าเข้าไปดูจะได้เรียนรู้ว่าเป็นมิตรดีกว่าเป็นศัตรูเยอะ คิดดีทำดีดีกว่า การเป็นศัตรูกันผมว่ามันเสียเวลา มันทำให้ชีวิตไม่มีความสุข
          Q.อยากให้พี่หอยเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของ ยักษ์
          H. ก็เรื่องราวของยักษ์นะครับก็เป็นเรื่องราวที่เป็นเขาเรียกว่าเป็นหุ่นกระป๋องที่ต้องรบราฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านตัวหนุมานเอง เล่าง่ายๆตัวหนุมานจะต้องต่อสู้กันกับทศกัณฐ์ แล้วก็มีอาวุธที่แสนยานุภาพของธนูหรือแสงอะไรบางอย่างของรามนะครับยิงลงมาเพื่อที่จะล้างโลกกันเลยทีเดียว ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังรบกัน ในระหว่างนั้นหางของหนุมานปักเข้าไปตรงอกของทศกัณฐ์ ไอ้ทศกัณฐ์ก็ดำดิ่งลงไปเพื่อที่จะหลบศรของรามนะครับ หลังจากนั้นเวลาผ่านไปนะครับ จนทั้งคู่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทั้งสองหุ่น หุ่นยักษ์กับหุ่นกระป๋อง ก็เลยตัวติดกันหางก็ติดกันอยู่ ไปไหนก็ไปด้วยกัน และก็ลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองในอดีตทั้งหมดเลย ชีวิตที่ผ่านไปก็ผจญภัยไปเรื่อยๆสุดท้ายแล้วพยายามที่จะตัดโซ่ออกจากันนะครับ ไอ้ตัวเผือกก็พยายามที่จะตัดโซ่ออกจากน้าเขียว จริงๆมันจำไม่ได้ว่าตัวเองชื่ออะไรเห็นกระป๋องอันนั้นมันขาวๆไอ้ตัวนี้เขียวๆก็เรียกน้าเขียวกับเผือก พยายามตัดโซ่กันไปพยายามยังไงก็ไม่ได้ะ และก็ได้ใช้ชีวิตด้วยกันจับผลัดจับผลูอะไรต่างๆนานา จนมิตรภาพเกิดขึ้นจนทั้งสองคนก็ลืมเรื่องราวตัดโซ่ไปในระยะหนึ่งก็มีความสุข สุดท้ายแล้วก็ทั้งสองคน คนแรกที่จำความได้ว่าตัวเองคือหนุมานที่ต้องมาฆ่าตัวๆนี้ที่ติดกับเขาอยู่ที่เป็นเพื่อนกันแล้วเนี้ยะ เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไปก็ต้องไปดูความมันส์กัน
          Q.พี่หอยเล่าให้ฟังถึงคาแรคเตอร์ของตัวหนุมานหรือเผือกหน่อยว่าเป็นไงบ้าง
          H.ก็ตัวหุ่นกระป๋องเผือก คือหนุมาน จริงๆแล้วในชาติปางก่อนจะเป็นทหารเอกของรามที่เก่งกาจมากและก็ยะโส และก็เรียกว่าภูมิใจในฝีมือของตัวเองจะปราบหรือสู้กับใครก็สบายไม่ยากเย็นนัก แต่แล้วก็เกิดเหตุล้างโลกขึ้นมา พอฟื้นขึ้นมาอีกก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม คนขี้โวยวาย ขี้ทุกอย่าง และก็ไม่ได้ชอบไอ้ตัวน้าเขียวเท่าไร จะแบบเห็นเป็นคนโง่ ทึ่ม พยายามจะปัดให้ไปไกลๆ หุ่นกระป๋องยักษ์เขียวนั้นแหละ ก็ยังคงนิสัยเหมือนเดิมสุดท้ายแล้วสิ่งที่สอนเขาก็คือมิตรภาพที่ช่วยเหลือกันมากกว่า พอได้มิตรภาพเข้าไปเจ้าเผือกนี่ก็ใจอ่อนและก็เริ่มรักเริ่มผูกพันไอ้เจ้ายักษ์เขียวตัวนี้ แล้วต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ต้นเรื่องเลยมีปล่อยแสงแซทเทิลไลท์เป็นแอนิเมชั่นที่มีสีสันและความตื่นเต้นแล้วเจ้าตัวเผือกก็จะขี้โวยวายอยู่ตลอดเวลา รับรองว่าสนุกสนานและก็มีมุขตลกมีความอารมณ์ดีมีความเสียดสีว่ากล่าวด่าทอ เป็นตัวละครที่เด็กๆน่าจะชอบและตัวหนังเรื่องนี้เองก็สนุกครับ
          Q.ทราบมาว่าพี่หอยเองมีส่วนร่วมในการให้ชีวิตสร้างสีสันให้กับตัวเผือกมากๆมีเสนอนั่นโน่นนี่แชร์ไอเดียกับพี่จิกกันตลอด
          H. คือจริงๆแล้วการให้ชีวิตกับตัวละครตัวนี้ต้องให้เครดิตกับพี่จิกประภาสมากกว่าที่เลือกผมมาเล่นเป็นตัวนี้ ถ้าผมไปเล่นเป็นตัวอื่นผมก็คงเล่นไม่ได้เพราะว่าไอ้ตัวเผือกหรือว่าไอ้ตัวหนุมานนี่ค่อนข้างที่จะมีนิสัยคล้ายๆผมเหมือนกัน โวยวาย ไม่อยู่นิ่ง และก็ได้ใช้เสียงอย่างอิสระ พี่จิกเขาบอกเออแบบนี้ เอาแบบนี้ตลอด พอเราเล่นมุกไปอันนี้เอา อันนี้ไม่เอาคือเราเล่นไปก่อน เราเป็นคนขยันอยู่แล้วยิงไปก่อนอันที่ไม่เอาบอก แต่ส่วนใหญ่เอานะ ก็เอาเกือบทุกอันที่เราเสนอไปหรือเขาไปตัดตอนสุดท้ายก็ไม่รู้ ก็จริงๆแล้วการที่พี่จิกมาดูมากำกับเอง เรารู้สึกสบายใจ เรารู้สึกทุ่มเทอยากจะทำอะไรเสนออะไรหลายๆอย่าง บางคำบางอะไรที่เราไม่ได้ตั้งใจมันเป็นธรรมชาติ ก็อย่างเช่น (หัวเราะ) ไม่ต้องกลัวหรอกเกิดมาเพื่อสิ่งสิ่งนี้ และก็เห็นบอกว่าเอาไปทำเป็นเพลง ก็เกิดมาเพื่อสิ่งสิ่งนี้ มันเป็นสิ่งที่ผมพูดประจำอยู่แล้วว่าไม่ต้องห่วงนะครับผมเกิดมาเพื่อสิ่งสิ่งนี้อยู่แล้วอย่างนี้ เขาก็เอาไปทำมา เกิดมา ก็ไม่รู้ว่าเป็นไอเดียที่เขาเอาไปหรือเปล่านะ คือว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปสิ่งๆนี้แสตมป์ได้เอาไปทำเป็นเพลง ไม่รู้ชื่อเพลงอะไร เพลงเกิดมาเป็นเพื่อนเธอ ขอขอบคุณด้วย แต่สิ่งที่พูดออกไปทุกอย่างมันคือธรรมชาติมากกว่า ขอบคุณมากครับก็คือใช้ชีวิตประจำวันใครมาถ่ายรูป พี่หอยเบื่อมั้ยครับ ไม่ครับ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งสิ่งนี้ครับ
          Q.ความโดดเด่นของแอนิเมชั่นยักษ์
          H.ครับเรื่องงานดีไซน์อีกอย่างหนึ่งที่ผมอึ้ง ทึ่ง เสียว เลยทีเดียว เพราะว่าจริงๆแล้วรูปทรงมันเหมือนฝรั่ง แต่ว่ารายละเอียดการวาดปากหรือการวาดที่เป็นหนุมานหรือยักษ์หรืออะไรต่างๆนานๆเป็นการดีไซน์ของไทย หรือว่าอาวุธหรืออะไรที่เป็นของไทยจะมาเป็นของไทย เพราะว่าจริงๆมันไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่พอสุดท้ายมันมาและมันเป็นความเคลื่อนไหวอะไรต่างๆนานา ถ้าคนไม่สังเกตก็จะเฉยๆนะ สังเกตดีๆรายละเอียดที่เขาวาดมันจะมีความเป็นไทยอยู่สูงเลยทีเดียว สุดยอด
          Q.ทำไมการ์ตูนแอนิเมชั่นยักษ์ถึงเป็นที่จับตามองว่าจะเป็นการ์ตูนที่สร้างปรากฎการณ์
          H. ผมว่าการ์ตูนเรื่องยักษ์นะครับมันเป็นปรากฏหารณ์หลายๆอย่างที่ร่วมมือกันไม่ว่าจะเป็นทางสหมงคลฟิล์ม ซูเปอร์จิ๋ว บ้านอิทธิ์ฤทธิ์ และก็พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์นะครับได้มีการร่วมมือกัน ผมว่ามันน่าจะเป็นปรากฏการณ์เท่าที่ได้ฟังมานี้หรือการรอคอย ผมรอคอยมาเอ๊ะปีนี้ก็ยังไม่ฉาย ปีนี้ก็ยังไม่ฉาย คือก็สอบถามไปเหมือนกันว่าทำไมยังไม่ฉาย ก็บอกว่าพี่จิกมาดูขนาดตัวละครหรือฉากไหนไม่เวิร์คตัดออกทำใหม่ ก็ยังบอกว่าฉากนี้หกเดือนนะ ฉากนี้สี่เดือนนะ โอ้โห แกไม่สนครับ คือถ้าบางคนที่เออฉากนี้เหลือสองตัวก็พอ มีตัวละครสองตัวก็พอ ไม่ครับแกมาเป็นโขลงครับ มาแบบจัดเต็มขนาดที่เรียกได้ว่าไม่รู้ว่ามาทำไม ตอนที่ผมไปซ่อมเสียงมาฉากที่อยู่ในโรงกลึงเหล็ก และมันไม่ได้ธรรมดามันเป็นมิวสิคัลด้วยนะครับ มีการร้องเพลงด้วย ซึ่งผมก็ได้ยินมันเป็นกลิ่นไอเฉลียงเลยนะ เหมือนเฉลียงจริงๆนะแต่เป็นแบบมิวสิคคัลแบบสไตล์พี่จิกที่ชอบแต่งคำค่อนข้างคมค่อนข้างที่แบบฟังแล้วมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ผมว่ามันยาก สมแล้วครับหกปี หกปีผมว่าเด็กที่เจริญเติบโตมาหกปีน่าจะได้ดูมัน เหมือนเป็นการข้ามวัยกันเลยที่เดียวเหมือนอย่างที่ผมเล่าว่าน้องออมสินที่เล่นเป็นน้องสนิมจากเด็กเลยตอนนี้วัยรุ่นแล้วแหละ น่าดูมาก เพราะว่าความละเอียดความพิถีพิถันน่าจะเป็นปรากฏการณ์ของเมืองไทยเลยทีเดียว
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:37:31 PM
          Q.ทราบว่ามีการรวบรวมศิลปินคนทำงานเก่งๆในวงการบันเทิงมาร่วมสร้างความสมบูรณ์ให้กับโปรเจ็คต์ยักษ์นี้ด้วย
          H. ก็เรียกได้ว่าเป็นหนังที่รวบรวมคนเก่งๆเยอะนะครับตั้งแต่หัวเรือเราเลยนะ พี่จิก ประภาสนะ พอพี่จิกบอกจะทำอะไรเนี่ยผมว่าทุกคนพร้อมที่จะร่วมมือโดยที่ไม่ถามเรื่องเงินเรื่องอะไร บอกตรงๆว่าไม่ได้ถามอะไรเลย อย่างคนพากย์อย่างพี่หนุ่ม สันติสุข คุณโน้ส อุดม เรียกใครมาก็แล้วแต่ คุณส้มเช้ง ตั๊ก บริบูรณ์ เขาเป็นแฟนฟันธุ์แท้ทศกัณฐ์ และก็หลายคนไม่ว่าจะเป็น คุณแสตมป์ ที่จะต้องมาแต่งเพลงและก็มีRoom39มาร้องนะครับ คุณเอ็กซ์ซึ่งมาทำการ์ตูน โอ๊ยเยอะไปหมด ผมว่าทั่วฟ้าเมืองไทยดีกว่าที่เอ่ยชื่อมาต้องมาอยู่ในนี้ พี่เหมี่ยว ปวันรัตน์และก็อีกหลายๆคน ในหนังเรื่องนี้คุณจะไม่เชื่อเลยว่ามีคนพากย์ขนาดนี้เลยหรอ เขาเรียกเหมือนคามิโอ(ดารารับเชิญ)ในหนังมีแบบเจอคนโน้นเจอคนนี้แบบเซอร์ไพร์ส ต้องจับเสียงเอาเองว่าใครบ้าง ผมว่าถ้าเอ่ยชื่อมานี่ระดับต้นๆของเมืองไทยทั้งนั้นเลยครับ
          Q.อยากฝากอะไรกับคนที่รอชมภาพยนตร์
          H. ผมว่าการ์ตูนเรื่องนะครับผมว่ามันก็จะมีข้อคิดสำหรับเด็ก และข้อคิดสำหรับผู้ใหญ่ที่ตอนนี้กำลังทะเลาะกันอยู่ ผมว่ามิตรภาพที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากครอบครัวเดียวกัน มาจากต่างเผ่าพันธุ์ที่หนุมาน ทศกัณฐ์หหรือเผือกกับเขียวที่มาคนละสายพันธุ์เลยคนละสีสันเลย มาดูที่พี่จิกเขียนหรือว่าอะไรเนี้ยะ คือคนไทยไม่ชอบหรอกมาดูหนังแล้วต้องสอน น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงนะ มันคงไม่ดีมันคงไม่สนุก แต่ว่าพี่จิกได้สอนความน่ารักความเป็นมิตรภาพ ผมว่าเด็กก็ดูได้ ผู้ใหญ่ที่กำลังทะเลาะกันก็ดูดีครับ ไปดูกันนะครับว่าการเป็นมิตรภาพมันดีกว่าการเป็นศัตรูกันแค่ไหน และอยากจะว่าดีใจและประทับใจที่เป็นส่วนหนึ่งของยักษ์ ขอบคุณพี่จิก ,เสี่ยเจียงอีกครั้งหนึ่งนะครับที่เลือกผมมาเป็นตัวนี้ ซึ่งเป็นตัวขวัญใจวัยรุ่นอย่างผมมาก หนุมานตัวนี้นะครับ ถ้าเป็นตัวอื่นก็คงจะทำไม่ได้นะครับ เพราะว่าไอ้ตัวนี้ลักษณะนิสัยตัวนี้มันค่อนข้างที่จะคล้ายผมจริงๆนะครับ ขี้โวยวาย ขี้อะไรอย่างนี้ มันเล่นได้อย่างคล่องแคล่วและลงตัว ขอบคุณมาก ดีใจกับพี่จิกด้วยนะครับสำหรับหกปีที่รอคอย คอยจนตอนแรกไม่เป็นเก๊าท์ จนตอนนี้เก๊าท์กินแล้วครับตอนนี้เข่าเริ่มมีเสียงแล้ว(หัวเราะ) หกปีเลยทีเดียว อยากจะบอกว่านี้เป็นหนังการ์ตูนไทยเรื่องแรกเทียบเท่าฮอลลีวู้ดได้เลยนะครับ ดูจากการเคลื่อนไหวจากแอนิเมชั่นทุกๆตัวและก็เอกลักษณ์ของไททยก็ยังมีอยู่ในรูปทรงของหุ่นกระป๋องทุกๆตัวนะครับ ก็ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งของพี่จิก ประภาสและยักษ์ครับ
          Q.ยักษ์ตัวแรกที่พี่หอยรู้จัก
          H.ยักษ์ตัวแรกที่ผมรู้จักคือยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ เพราะตอนนั้นเป็นจัมโบ้เอกับยักษ์วัดแจ้งปะทะกับยักษ์วัดโพธิ์อะไรสักอย่าง หนุมานพบเจ็ดยอดมนุษย์ ซึ่งเจ้าแม่อุลตร้านับถือศาสนาพุทธ ผมยังเคยดูเลยผมจำได้ในหนังมีประกาศว่าเจ้าแม่อุลตร้านับถือศาสนาพุทธ (หัวเราะ) ผมว่าน่าจะวัดแจ้งกับวัดโพธิ์ ไปนวดเส้นก็วัดโพธิ์ครับ วัดโพธิ์นวดดี (หัวเราะ)
          Q.ยักษ์ในความคิดของพี่หอย
          H.ยักษ์ในความคิดผมคงเป็นอะไรที่น่ากลัวและมีเขี้ยวนะครับ มีถือกระบองอันหนึ่งเท่าที่ตอนเด็กจินตนาการ เพราะว่าก็ที่บอกครับได้ดูหนังเสร็จก็ไปที่วัดแจ้งกับวัดโพธิ์เลยว่ามันเหมือนเปล่าถือกระบองอันหนึ่งและมีเขี้ยวใส่ชุดเชิดๆหน่อยๆ น่ากลัว
          Q.ถ้าต้องเลือกระหว่างหน้าทีมิตรภาพและความถูกต้องจะเลือกอะไร
          H.ถ้าให้ต้องเลือกระหว่างหน้าที่กับมิตรภาพและความถูกต้อง จะให้เลือกอะไร น่าจะเลือกความถูกต้องมากกว่านะครับ ส่วนตัวผมเองนะความถูกต้อง และเป็นมิตรภาพที่ไม่ถูกต้องมันก็คงจะยาก ผมชอบความถูกต้อง แต่ผมว่ามันจะโอเคกว่านะครับถ้าเลือกมิตรภาพมันจะหาซื้อได้ยากกว่าครับ เพราะว่ามิตรภาพบางทีมันมาด้วยความไม่ตั้งใจ มันมาด้วยความที่มาด้วย
          Q.จากศัตรูจะแปรเปลี่ยนเป็นมิตรได้ไหม
          H.ผมว่าได้นะใช้หัวใจในการคิดอย่าใช้อย่างอื่น ผมว่ามิตรภาพมันมายากไหม ผมว่าก็ไม่ได้ยากนะถ้าทุกคนเปิดใจ ไม่ได้ปิดใจ
          Q.เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้
          H. ผมว่าเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ผมว่าเวลาหกปีนะคุณ หกปีกับความตั้งใจของคนๆหนึ่ง ผมงานไม่หนักเท่าพี่จิกเลย พี่จิกต้องดูทั้งหมดทุกๆอย่าง อันไหนไม่ได้ก็แก้ เขาบอกว่าผมจำได้นะเขาบอกว่าทำให้ลูกดู ทำให้ลูกแกดูจริงๆนี้เรื่อง เขาทำแบบว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเขาพูดอย่างนั้นจริงๆ พอหกปีปั๊บผมรู้แล้วแหละพี่ทำให้ลูกพี่ดูจริงๆ ตอนนี้ลูกพี่โตในระดับหนึ่งและก็ดูผลงานของคุณพ่อที่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ทำเรื่องราวของไทยเอาจับมาทำระดับฮอลลีวูดเลยนะและเป็นคนไทยทำ และมันมีลักษณะการเคลื่อนไหวอะไรไม่ต้องห่วงเลยว่าสุดยอดเลยทีเดียว ก็ไปดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่และลูก ถ้าผู้ใหญ่ไปก็อยู่ในความควบคุมดูแลของเด็กอย่าซนอย่าลุกหนีไปไหน ดูเป็นเพื่อนลูกด้วย ผมว่าสนุกแน่นอนครับ (หัวเราะ)
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:38:23 PM
บทสัมภาษณ์ ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง ผู้พากย์เสียง กุมภกรรณ ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”



          การโชว์พลังครั้งล่าสุดของ ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง
          ในการสวมวิญญาณ “กุมภกรรณ” ยักษ์ใหญ่ เพี้ยน แสบ ซ่า
          บทบาทสุดฮาที่จะขอมา “กุมหัวใจ” ทุกๆ คน

Q: ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมานาน ทำงานมาหลากหลายแขนง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พากย์เสียงภาพยนตร์แอนิเมชั่น และยังเป็นการร่วมงานกับพี่จิกประภาส ชลศรานนท์รู้สึกอย่างไรบ้าง
T: ในเรื่องยักษ์ผมพากย์เสียงเป็น “กุมภกรรณ” หรือ “กุม” นะครับ สำหรับผมเองนะครับก็ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ผมได้มาร่วมงานกับพี่จิก ประภาส นะครับผม เพราะว่าเขาเป็นทั้งนักคิด นักเขียน ที่เก่งมากๆ คนหนึ่งครับ และก็รู้สึกภูมิใจมากที่ได้รับเลือกมา โดยผมผ่านเข้ารอบมาจากการแคสติ้งเหมือนกับการคัดตัวนักแสดงเลย ทางผู้ใหญ่เขาคงเห็นลักษะของเราเห็นว่าไอ้เจ้ากุมเนี้ยมันน่าจะเป็นตั๊ก บริบูรณ์ (หัวเราะ) เพราะว่าหนึ่งเลยนะครับมีความทะเล้น มีความเป็นโรคจิต เดี๋ยวเสียงสูงหรือเสียงต่ำคือมันเหมือนกับว่าสมองของมันเนี่ยไม่ค่อยจะเต็มนะ เอะอะอยากจะแหกปากก็แหกปาก จะขรึมก็ขรึม ที่สำคัญชอบพูดกับตัวเองด้วยครับ บ่นกับตัวเองตลอด งึมงำงึมงำ น่ารักครับ

Q: ทราบมาว่าตัวละครตัวนี้เป็นอีกหนึ่งความสนุกของเรื่องราว อยากให้ช่วยแนะนำความน่าสนใจและเสน่ห์ของตัวละคร “กุมภกรรณ” สักนิด
T: เป็นตัวละครที่ไม่ธรรมดาเลยครับ คือบอกได้เลยว่าเป็นตัวละครที่มีสีสันมากในหนังเรื่องนี้นะครับ เพราะว่าลักษณะของมันจะเป็นยักษ์ที่ตัวใหญ่สีแดงและก็มีขาที่พิการ เวลาจะพูดทีต้องคอยสูดน้ำลายเข้าปากด้วย เวลาที่มันพูดก็คือเสียงมันจะแหบๆ และตอนที่ผมมาพากย์เขาห้ามเลยนะห้ามดื่มน้ำ คือห้ามทุกอย่างเลยต้องการให้เสียงมันแหบๆ จริงๆ (หัวเราะ) อาชีพของมันก็คือจัดโชว์ปาหี่ขายของตามตลาด และก็จะเป็นคนที่บ้าทศกัณฐ์มาก คิดว่าซักวันหนึ่งทศกัณฐ์ต้องกลับมา ก็เลยขายของเก็บเงินเก็บทอง สะสมเงินและก็สะสมอาวุธเพื่อที่จะไปรับใช้ทศกัณฐ์ให้ได้ มีลูกน้องด้วยก็คือไอ้สนิม จะเป็นหุ่นกระป๋องที่น่ารักมาก เป็นผู้ช่วยของกุมขายของแต่ชอบทำงานเสียอยู่เรื่อย
กุมมันจะมีปืนประจำกายที่เรียกว่าปืนโมกขศักดิ์ แต่ว่าปืนกระบอกนี้จะมีความพิเศษยังไงต้องไปติดตามครับ ในเรื่องนี้นะครับกุมจะมีของสะสมเยอะมาก แต่จะมีของอยู่อย่างหนึ่งที่กุมรักและก็หวงมากนั่นก็คือคือ นกสดายุ นกตัวนี้มันมีความพิเศษและมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องด้วยต้องลองไปติดตามดูกันครับ นกเหล็กตัวนี้แสบมากๆเลย เพราะว่ามันเป็นนกที่พูดเก่งมากและคนที่พากย์ก็เหมาะสมกันมากครับ ก็คือพี่เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ ครับเหมาะมากๆ เลยครับสีผิวดำเหมือนกันเลยครับ (หัวเราะ)

Q: การพากย์แอนิเมชั่นเรื่องนี้มีความท้าทาย อย่างไรบ้าง
T: ความท้าทายในการพากย์เรื่องนี้นะครับขอบอกไว้เลยว่าฮอลลีวู้ดสู้ไม่ได้ (หัวเราะ) หนังการ์ตูนหลายๆ เรื่องเขาต้องพากย์อยู่ในห้องคนเดียว แต่ของที่นี่อย่างฉากที่ผมต้องขึ้นไปขี่นกเหล็กสดายุ นกเหล็กมันต้องคอยบินซ้ายบินขวา แต่ผมพากย์อยู่ในห้อง เพื่อให้มันสมจริงทีมงาน เขาจะคอยยืนอยู่ข้างหลังผมจับตัวผมครับโยกซ้ายโยกขวา เห็นไหมครับ ฮอลลีวู้ดสู้เราไม่ได้หรอกครับ (หัวเราะ) และมันจะสมจริงมาก โยกเสร็จนะครับเขย่าด้วย ขึ้น-ลง เขายกตัวผมลอยเลยครับ คือเทคนิคในการพากย์ครั้งนี้เยอะเลยครับผม อีกฉากคือตอนที่มาขายปืน ที่อื่นไม่มีปืนมานะ ที่นี่มีพร้อมครับ มีปืนมาให้ผมเลย นี่เป็นปืนโมกขศักดิ์ ให้ผมหยิบปืนขึ้นมาเล็งเปรี้ยงๆ และก็พากย์ ขอบอกเลยว่ามันก็เหมือนว่าเรามาเล่นหนังจริงๆ และก็มันสามารถจะมองเห็นภาพได้ว่า ยักษ์ตัวนี้มันก็กำลังจะทำอะไรอยู่ และเราก็สวมบทเป็นยักษ์ตัวนั้น

Q: ประสบการณ์ความรู้สึกที่ได้จากการมาพากย์หนังเรื่องนี้
T: ประสบการณ์ที่ได้จากการมาพากย์เรื่องยักษ์นะครับ โอ้โห ขอบอกได้เลยว่าได้เยอะมากๆ ปกติแล้วผมเองก็เป็นคนที่บ้าอยู่แล้ว แต่พอมาพากย์เรื่องนี้จบนะเชื่อไหมครับผมบ้าหนักกว่าเก่า (หัวเราะ) ผมต้องอยู่ในห้องคนเดียวและผมต้องคอยแสดงท่าทางต่างๆ บินกระพือปีก มุดดินด้วย หัวเราะอยู่คนเดียว ยิงปืนผมก็ยิงอยู่คนเดียว อยู่ในห้องคนเดียวเหมือนกับว่า ผมมาพากย์หนังอยู่ที่โรงพยาบาลศรีธัญญาครับผม (หัวเราะ) แต่มันก็ได้อรรถรสในการพากย์ เพราะว่าในการที่เราจะมาพากย์และก็ให้มันสมจริงสมจังก็ เราต้องเป็นตัวละครตัวนั้นด้วยครับ

Q: ได้ยินมาว่าต้องมีการร้องเพลงมีฉากมิวสิคคัลด้วย
T: ฉากมิวสิคัลยากครับ ขอบอกเลยนะว่าพากย์มันก็ยากอยู่แล้ว แต่ผมก็สามารถผ่านได้ แต่ที่มาหนักก็วันแรกเลยครับ ให้ผมร้องเพลงก่อนเลย เชื่อไหมครับสิบโมงครึ่งยันบ่ายสองยังไม่จบสามบรรทัดเลย (หัวเราะ) ฉากนี้จะเป็นฉากโชว์ปาหี่ขายของ ของกุมภกรรณ มันต้องร้องให้ตรงล็อคให้ตรงจังหวะให้ตรงเมโลดี้มันยากและมันต้องใช้พลังงานมากครับ

Q: โดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบภาพยนตร์แอนิเมชั่นมากน้อย แค่ไหนและคิดว่าแอนิเมชั่นมีความสนุก และส่งผลกับชีวิตเราอย่างไรบ้าง
T: ผมเคยดูแอนิเมชั่นมานะครับก็ถือได้ว่าเยอะเลยตั้งแต่สมัยเรื่อง Antz (1998) ที่เป็นมด เป็นมดที่น่ารักมาก แต่พอมาดูแล้วผมคิดว่าแพ้หนังเรื่องยักษ์ ถ้าได้มาดูที่ตั๊ก บริบูรณ์พากย์ โอ้โหท่านผู้ชมต้องประทับใจไม่รู้ลืมเลยดีกว่า การันตีโดยตั๊ก บริบูรณ์ครับ (หัวเราะ) ถ้าถามว่าการ์ตูนแอนิเมชั่นให้อะไรกับเราบ้างนะครับ ผมขอบอกเลยว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจมากๆ คือเรื่อง Up ปู่ซ่าบ้าพลัง ประทับใจในเรื่องราวของคุณปู่ซู่ซ่าส์ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของปู่กับเด็กคือคุณปู่เนี่ยจะอยู่บ้านคนเดียวไม่มีใครเป็นเพื่อนเลย จนมาเจอกับไอ้เด็กคนนี้แล้วเรื่องก็ผูกเรื่องราวเกิดความรักและความเข้าใจซึ่งกันและกัน แอนิเมชั่นก็มีส่วนที่สอนคนครับ คือสอนให้ผมเป็นคนที่มีความรักกับทุกๆ คน ไม่ใช่ว่าเราจะมีโลกส่วนตัว เราเรียนรู้ที่จะรู้จักกับคนอื่นและก็เข้าใจคนอื่นๆ ด้วย ผมว่าหนังแอนิเมชั่นมักจะมีคำสอนอยู่ทุกๆ เรื่องครับ

Q: รู้สึกอย่างไรที่หนังเรื่องนี้กำลังจะออกสู่สายตาทุกคน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับแวดวงแอนิเมชั่นไทยอย่างไรบ้าง คิดว่าจะสามารถประสบความสำเร็จเหมือนกับหนังแอนิเมชั่นต่างประเทศไหม
T: ดีใจที่เราได้มีส่วนร่วม ก็รู้สึกภูมิใจครับ แอนิเมชั่นไทยก็ไม่ด้อยไปกว่าต่างประเทศหรือฮอลลีวู้ด เราเองก็มีความสามารถ และผมเองก็มีความมั่นใจด้วยว่าจะเป็นหนังการ์ตูนที่น่ารักมาก มันจะเป็นเรื่องของยักษ์ มันเป็นเรื่องของความรักแบบมิตรภาพ สนุกมากๆ ครับผม มั่นใจเลยครับว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ผมคิดว่าแอนิเมชั่นไทยจะประสบความสำเร็จได้ในอนาคต มั่นใจว่าทำได้ครับ เพราะว่าถ้าเกิดเราได้ริเริ่มทำแล้วและเราไม่หยุด ซักวันหนึ่งสำเร็จแน่ๆ แต่ถ้าเราได้แต่คิดและเราก็ไม่ได้ทำอันนี้แหละเราไปไม่ถึงฝันแน่ๆ เหมือนผมเหมือนกัน เมื่อเรามีฝันแล้ว ฝันให้ไกลไปให้ถึงสิ แล้วถ้าเรามีความพยายามต่อไปเรื่อยๆได้ มั่นใจว่าเราต้องสู้ฮอลลีวูดได้ เรื่องนี้เรื่องยักษ์เรื่องนี้ก็สู้ฮอลลีวูดได้นะ ต้องมาดูกัน เนื้อเรื่องสนุก แอนิเมชั่นเข้าขั้นเซียน สู้ได้ (หัวเราะ)

Q: หากได้ยินคำว่า “ยักษ์” นึกถึงอะไร
T: นึกถึงอะไร ขอถามเลยดีกว่ายักษ์อะไรตาเขียว ไม่รู้ใช่ไหมครับ ยักเงินเพื่อน เพื่อนต่อยตาเขียว (หัวเราะ) ไม่ใช่ครับ นึกถึงยักษ์นึกถึง ยักษ์วัดโพธิ์กับวัดแจ้งสิครับ ยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เขามาตีกันที่ท่าเตียน ทุกคนถามว่าท่าเตียนมันเตียนได้เพราะอะไร ยักษ์มาตีกันหรือเปล่าอันนี้ผมก็ไม่รู้ เด็กๆ ผมเชื่อ แม่บอกว่าลูกๆ หนูตั๊กๆ หนูรู้ไหมท่าเตียน มันเตียนได้เพราะอะไร ผมตอบเขาก็คงมาทำถนน ไม่ใช่นะลูกยักษ์มาตีกัน ทุกวันนี้ผมก็รู้แล้วว่าแม่หลอกผม (หัวเราะ)

Q: ในเรื่องนี้มีประเด็นหลักอยู่ที่มิตรภาพระหว่างหุ่นยนต์ทั้งสอง ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและต้องทำอะไรในชีวิต หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง หน้าที่ กับมิตรภาพจะเลือกอย่างไหน
T: ผมเลือกมิตรภาพก่อน ถ้าเกิดเหตุการณ์วันหนึ่งผมต้องมาเป็นตำรวจ และเพื่อนผมต้องมาเป็นโจร ถามผมว่าผมจะยิงเพื่อนไหม ผมไม่ยิงแต่ผมจะกล่าวเขา ตักเตือนเขา เฮ้ย เพื่อน ทำไมทำแบบนี้ ผมไม่ยิงเพื่อนผม แต่ผมจะจับเขาเข้าคุก คือทุกอย่างมิตรภาพก็ยังอยู่ มิตรภาพก็ยังอยู่ใช่ไหมครับ หน้าที่ก็ยังอยู่ สองคำนี้มันไปด้วยกันได้ อยู่ที่ว่าคุณจะเดินทางไปทางไหน อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะตัดสินไปทางไหน มิตรภาพหรือว่าหน้าที่ คุณกลับไปคิดเป็นการบ้านเอง จากศัตรูจะมาเป็นเพื่อนได้ไหม

Q: คิดว่าคนเราที่เคยเป็น “ศัตรู”กันมาก่อนจะสามารถเปลี่ยนมาเป็น “มิตร” กันได้ไหม
T: ผมคิดว่าคนเราเป็นเพื่อนกันได้เสมอครับ อยู่ที่ว่าเรานั้นคิดยังอย่างไร จะเดินไปทางไหน จะเดินทางจะเป็นคนดีหรือว่าคนไม่ดี ง่ายๆ ครับผมอยู่ที่ตัวของคุณเอง
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:40:05 PM
จิก ประภาสจับมือเอ็กซ์ชัยพรเนรมิตร 5 ตัวละครเอกจากรามเกียรติ์ สู่โลกหุ่นยนต์ทั้งหุ่นกระป๋อง, หุ่นยักษ์, นกยักษ์ พร้อมตัวละครใหม่นับร้อยนับพัน



          ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ภาพยนตร์แอนิมชั่นสักเรื่องจะประสบความสำเร็จเป็นที่ชื่นชอบสำหรับผู้ชมได้นั้นสิ่งแรกสุดที่ผู้สร้างจะต้องทำให้ได้ก่อน คือเสน่ห์ของตัวการ์ตูนที่จะโลดแล่นให้คนดูตกหลุมรัก และนี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เหล่าตัวการ์ตูนที่ ประภาส ชลศรานนท์ หมายมั่นปั้นมืออย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาใน “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นทุนสูงที่ 4 พันธมิตรจากการนำโดยยักษ์ใหญ่วงการหนังอย่างสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับบ้านอิทธิฤทธิ์, ซูเปอร์จิ๋ว และเวิร์คพอยท์พิคเจอร์ส ร่วมลงทุนไปกว่า 100 ล้านบาท และใช้เวลานานถึง 6 ปีเพื่อให้ได้อย่างสมความตั้งใจ ตั้งแต่แนวคิดที่จะหยิบเอาเสน่ห์ความโดดเด่นของตัวละครเอก และฉากสำคัญในรามายณะมาถ่ายทอดผ่านลายเส้นของ เอ็กซ์-ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ หัวเรือใหญ่บ้านอิทธิฤทธิ์ โดยหยิบเอาเหล่า5คาแรคเตอร์ตัวละครเอกจากรามเกียรติ์อย่าง หนุมาน, ทศกัณฐ์, ราม, กุมภกรรณ, สดายุ มาตีความใหม่ออกแบบและสร้างสรรค์ขึ้นมาในรูปลักษณ์ของหุ่นยนต์ ไม่ว่าจะเป็นหนุมานที่กลายเป็นหุ่นกระป๋อง-เผือก, ทศกัณฐ์แปรเปลี่ยนเป็นหุ่นยักษ์นาม น้าเขียว, รามเอง หรือกุมภกรรณเป็นหุ่นพันธุ์ยักษ์สีแดง และสดายุกลายมาเป็นนกยักษ์เครื่องบินรบ พร้อมกับสร้างสรรค์ตัวละครใหม่อย่างหุ่นกระป๋องเด็กผู้หญิง-น้องสนิม

          “เวลาเราเล่าให้ใครฟังว่าเราจะทำรามเกียรติ์คนก็ถามว่าจะทำแบบโบราณเลยหรือ เราก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีเลยบอกตรงๆ ว่ามันเป็นเรื่องของหุ่นยนต์ พอบอกหุ่นยนต์ทุกคนจะสนใจ แสดงว่าการที่รามเกียรติ์เป็นหุ่นยนต์นี่คนทั่วไปเขาอาจจะรู้สึกว่ามันไม่โบราณ แต่เหตุผลที่ว่าทำไมต้องเป็นหุ่นยนต์ คือมันเขียนบทได้โลดโผนกว่า รุนแรงได้โดยที่ไม่รู้สึกว่ารุนแรง มันอาจจะแค่รู้สึกว่ามันน่ารักหรือมันเด๋อเท่านั้นเอง ที่น่าสนใจคือมันมี MOVEMENT ของความเป็นแอนิเมชั่นสูง และการที่เป็นหุ่นยนต์ทำให้อวตารครั้งนี้ประหลาดกว่าครั้งอื่นๆ สมกับเป็นอวตารครั้งล่าสุด พอเริ่มออกแบบก็รู้สึกสนุกดี หนุมานจะเป็นยังไงทศกัณฐ์จะเป็นยังไง แล้วเราจะแต่งเรื่องขึ้นใหม่อย่างไรให้ไม่เหมือนเดิมแต่มีเค้าเดิมให้สมัยใหม่และยังมีขนบ เพราะเรื่องมันก็เกิดเรื่องใหม่ขึ้นมา คงเสน่ห์ของตัวการ์ตูนและคาแรคเตอร์ของตัวละครแต่ละตัวเช่นหนุมาน เก่งมากไวมากเป็นฮีโร่ อย่างที่เรารู้จักนี่ต้องขี้เล่นแน่นอน เพราะเป็นลิงหน้าตาต้องกวนๆ หน่อย ทศกัณฐ์คือพญายักษ์ที่ดุร้าย เก่งที่สุด ฆ่าไม่ตายส่วนตัวละครอื่นในรามเกียรติ์ที่เราเลือกมาใช้ อย่างพอคิดถึงหอกโมกขศักดิ์ตัวที่ใช้หอกก็มีกุมภกรรณ ในเรื่องนี้เราให้กุมภกรรณเป็นหุ่นพันธุ์เดียวกันกับหุ่นพันธุ์ยักษ์ เป็นพวกคลั่งทศกัณฐ์ประมาณแฟนพันธุ์แท้แต่ไม่ได้อยู่ยุคเดียวกันตอนที่ทศกัณฐ์รบ แต่มีความเชื่อว่าสักวันทศกัณฐ์จะต้องกลับมา ส่วนสดายุเรื่องเดิมเป็นนกตัวหนึ่งที่อยู่ฝั่งพระราม มาคราวนี้เราให้เป็นผู้หญิงแล้วก็เอามาเป็นเครื่องบินรบของทศกัณฐ์ด้วย เป็นเหมือนวัตถุโบราณสมัยสงครามที่กุมภกรรณเขาเก็บๆ มาเรื่อยๆ จากการประมูลมา และมีน้องสนิมน้อยที่สร้างขึ้นใหม่เป็นตัวแทนคนดูที่เป็นเด็ก ผมอยากให้เด็กเป็นตัวเชื่อมมิตรภาพของ 2 ศัตรูหนุมานทศกัณฐ์

          และตัวละครสมทบอื่นๆ อีกที่มีบทบาทโดดเด่นไม่แพ้กันอย่างหุ่นยนต์นักไต่ฝัน, หุ่นยนต์พ่อค้าหุ่นเก่า, รวมไปถึงตัวละครอื่นๆ อีกเป็นร้อยๆ พันๆ ตัว มาร่วมสร้างสีสันความสนุกสนานให้ภาพยนตร์แอนิเมชั่นยักษ์ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด

          “ต้องออกแบบหุ่นในเรื่องนี้เป็นร้อยๆ ตัว อย่างนักไต่ฝัน, พ่อค้าหุ่นยนต์เก่า, เพื่อนเด็ก, ลูกนายกเทศมนตรี ตัวนายกเทศมนตรี ลุงช่างคนแก่ๆ ที่รู้ตำนาน พวกหุ่นทหารยักษ์ที่เป็นกองทัพ พวกที่อยู่ในย่านซื้อของ กลุ่มคนขายของเก่าโดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังก็จะแบ่งหุ่นยนต์ออกเป็นหุ่นกระป๋องกับหุ่นยักษ์ มันเหมือนกับลิงกับยักษ์นั้นแหละ เราแปลงลิงเป็นหุ่นกระป๋องและแปลงยักษ์เป็นหุ่นยักษ์หุ่นกระป๋องส่วนใหญ่จะใช้ล้อ แต่ที่ไม่ใช้ก็จะมีบ้าง ส่วนยักษ์ก็จะมีขา”

          แหมแค่ฟังว่าเราจะได้เห็นตัวละครรามเกียรติ์โลดแล่นในโลกของหุ่นยนต์ก็น่าสนใจแล้วแต่นี่ยังมีอีกสารพัดหุ่นและหลากหลายคาแรคเตอร์ที่ผ่านการออกแบบและเต็มไปด้วยเสน่ห์ครบถ้วนในความเป็นแอนิเมชั่นอย่างเต็มรูปแบบต้องไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง 4 ต.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:40:48 PM
ดีไซน์สุดหิน “ราชาแห่งยักษ์-ทศกัณฐ์” ส่งพระเอกสันติสุขสวมคาแรคเตอร์ “น้าเขียว” หุ่นยนต์ยักษ์น่ารักใจดี



          ด้วยความชื่นชอบและหลงใหลในตัว “ทศกัณฐ์” ราชันย์แห่งผองยักษ์ ตัวละครเอกแห่งมหากาพย์รามายณะสุดยอดวรรณกรรมของชาวเอเชียที่“ประภาส ชลศรานนท์”มองว่า นี่คือสุดยอดงานครีเอทีฟที่เต็มไปด้วยจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ชิ้นเอกที่ปรากฏขึ้นบนผืนพิภพ พูดได้ว่ามนต์เสน่ห์ของ “ทศกัณฐ์” ยักษ์ 10 หน้า 20 แขน 20 มือคือภาพจำที่ติดตามาตลอดชีวิต และหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องนำสิ่งที่ตนเองรักนำมาทำอะไรสักอย่าง จนกระทั่งเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วโปรเจ็คต์ “ยักษ์” ก็ถือกำเนิดขึ้นในรูปแบบของภาพยนตร์แอนิเมชั่นอย่างเต็มรูปแบบจากไอเดีย และสองมือกำกับภาพยนตร์โดย ประภาส ชลศรานนท์

          “ทศกัณฐ์คือพญายักษ์ที่ดุร้ายเก่งที่สุด แก่นหลักของรามายณะคือทศกัณฐ์ฆ่าไม่ตาย เราเอาคำว่าฆ่าไม่ตายมาใช้ด้วย ผมตีความตรงนี้ว่าไม่มีอะไรทำลายมันได้นอกจากตัวของมันเอง แล้วตัวทศกัณฐ์เป็นจอมราชายักษ์มาก่อน พอฟื้นขึ้นมาก็เกิดความจำเสื่อมก็จะกลายเป็นเอ๋อๆ เนื่องจากเป็นหุ่นรบตัวใหญ่ เพราะฉะนั้นการสร้างบุคคลิกตัวละครอย่างทศกัณฐ์ จะว่าสนุกก็สนุก จะว่ายากก็ยาก เพราะมี2บุคคลิก และไม่ได้ตัดขาดกันเหมือนคนละคน ในส่วนที่เป็นน้าเขียวก็มีหลายตอนที่เขาฮึดขึ้นมา ลองนึกถึงตอนคนซื่อๆใจดีฮึดน่ะ มันดูจริงใจ น้าเขียวหรือทศกัณฐ์เป็นตัวละครที่เราต้องเน้นเป็นพิเศษเพราะเขาเป็นตัวเอกเป็นพระเอกที่ต้องเดินเรื่องทั้งเรื่อง เราคุยกันละเอียดถึงสีของตาดำที่เราจะใช้ให้ต่างกันใน2บุคคลิก เราคุยกันหนักเรื่องปากที่ขยับเขียว และกงจักรที่เป็นโลหะพิเศษ ที่ไม่ลุกไหม้ไปกับเปลวไฟ เราเทสต์กันค่อนข้างนานกับการเคลื่อนไหว เพราะท่าทางของคนที่ขาเล็กแต่ตัวใหญ่นั้นจะเดินเหมือนอะไรดี จะก้มขนาดกอลิร่าไหม ที่เราชอบกันมากที่สุดก็คือแขนที่เป็นปล้องๆยืดได้ เพราะเราต้องการให้แขนของทศกัณฐ์เคลื่อนไหวได้ไกลเหมือนท่อเหมือนสปริงที่ยืดได้ แม้แต่ส่วนหลังของทศกัณฐ์เราก็หาวิธีให้มีที่เก็บของแขนอีกแปดแขนว่าจะงอกมาจากไหน

          ส่วนเสียงของตัวน้าเขียวหรือทศกัณฐ์ออกมาแล้วต้องใหญ่มีอำนาจคนที่จะสามารถพากย์เป็นตัวร้ายได้และในขณะเดียวกันที่พากย์ให้อารมณ์ใสซื่อแบบบุญชูได้ในตัวเดียวกันในเมืองไทยมีไม่กี่คนต้องบอกว่ามีคนเดียวคือหนุ่มสันติสุข แล้วตัวหนุ่มเองเขาเป็นนักแสดงที่ไม่ได้มาพากย์อย่างเดียวนะเขาแสดงเลยโดยที่ยังไม่เห็นการ์ตูนเคลื่อนไหวเลยเห็นแต่ภาพนิ่งแต่เขาต้องแสดงออกมา ต้องบอกว่ามันจะมีตัวเขาอยู่ในหนังเยอะมากสิ่งที่เขาแสดงเราถ่ายวิดีโอไว้หมดเลย เราจับอารมณ์และการเคลื่อนไหว

          จากการเล่นจากการแสดงของหนุ่มชนิดที่ว่าเห็นถึงอารมณ์จากดวงตาแววตาของเขาเลยนะ แล้วเอามาให้แอนิเมเตอร์ดู”

โดยมี เอ็กซ์-ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ หัวเรือใหญ่บ้านอิทธิฤทธิ์ (แอนิเมเตอร์ไทยดีกรีชนะเลิศ FIRST PRIZE:SIGGRAPH 1998 การประกวดผลงานแอนิเมชั่น ประเภทนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก) รับหน้าที่ออกแบบและดีไซน์คาแรคเตอร์ของน้าเขียวหรือทศกัณฐ์

“ตัวละครนี้ผมออกแบบให้ช่วงบนใหญ่ และขาเล็ก เวลาเขาเป็นทศกัณฐ์ก็จะดูผงาด ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นน้าเขียวก็จะแสดงออกแบบหลังค่อม หงอๆ งอตัว ดังนั้นมันก็จะเป็นทั้งตัวเอ๋อได้ด้วย ตัวน่ากลัวก็ได้ ผมออกแบบยักษ์รวมๆ มาจากหลายอย่างครับ หน้าท้องจะออกแบบมาจากท้องแมลงครับ เป็นปล้องๆ ข้อดีคือ มันสามารถงอได้เหมือนหุ่นยนต์จริงๆ”

          พร้อมกับได้พระเอกเจ้าบทบาทอย่างหนุ่ม สันติสุข พรหมศิริมาเป็นผู้ให้เสียงให้ชีวิตให้ตัวละครเอกของภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” ได้โลดแล่น

          “ทศกัณฐ์หรือยักษ์เขียวเป็นตัวละครที่มีหลากหลายอารมณ์แล้วมี 2 แคแร็คเตอร์ด้วย ตัวตนตอนที่ความจำเสื่อมเป็นน้าเขียวก็คือยักษ์ใสซื่อ อาโนเนะไม่รู้เรื่อง ใจดี ค่อนข้างจะซื่อบื้อด้วยนิดๆ เหมือนเด็กแบบเอาแต่ใจตัวเองและอีกด้านที่เป็นยักษ์ทศกัณฐ์โหดเหี้ยมดุร้ายและไม่ได้มีหน้าเดียวมีสิบหน้าตัวคาแร็คเตอร์นี้จะมี 2 ด้านแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เลยต้องทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นส่วนเดียวกันด้วยคือไม่ใช่ 2 ตัวไม่ใช่ตัวดีตัวร้าย แต่อันนี้ตัวดีตัวร้ายอยู่ในตัวเดียวกัน แล้วมีอารมณ์ที่หลุดออกมา บางทีเป็นดีๆ อยู่ก็หลุดร้ายขึ้นมา หรือกำลังร้ายอยู่หลุดดีออกมา ในเรื่องค่อนข้างที่จะออกแอ็คชั่นเยอะ ใส่สีหน้าออกไป และเขาถึงจะไปวาดไปทำอะไรให้มันร้อยเปอร์เซ็นต์อีกทีหนึ่ง เล่นแล้วต้องจินตนาการออกไปต้องเล่นใส่เสียง ก็จะมีหลายตอนในเรื่องที่บางทีมันยากมาก สำหรับบางฉากดูแล้วก็มีน้ำตาซึมเหมือนกัน คิดว่าตัวละครที่คนดูจะรักมากที่สุดก็คือน้าเขียวนี่เอง”

          การันตีว่ากว่าจะผ่านขั้นตอนออกมาเป็นแต่ละคาแรคเตอร์ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่าย เลยไม่แปลกใจว่าทำไม การ์ตูนแอนิเมชั่นยักษ์ถึงใช้เวลา6ปี 4 ต.ค.นี้พร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:41:42 PM
ยักษ์ ป่วน กวน แพนด้า



          เมื่อกล้อง CCTV ที่บันทึกภาพเจ้าแพนด้าอยู่
          เกิดจับภาพอะไรบางอย่างได้ ลองไปดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น น่ากลัวมาก

          <a href="http://www.youtube.com/watch?v=4F2DRFd9amU" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=4F2DRFd9amU</a>
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 22, 2012, 01:16:57 AM
“ใสซื่อแบบบุญชู ดุร้ายแบบทศกัณฐ์” ตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของ “ประภาส ชลศรานนท์” อีกหนึ่งผลงานจากพระเอกตลอดกาล “หนุ่ม-สันติสุข พรหมศิริ” ทั้งเล่นทั้งให้เสียง ต้นแบบ “น้าเขียว”



          “ใสซื่อแบบบุญชู ดุร้ายแบบทศกัณฐ์” ตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของ “ประภาส ชลศรานนท์” อีกหนึ่งผลงานจากพระเอกตลอดกาล “หนุ่ม-สันติสุข พรหมศิริ” ทั้งเล่นทั้งให้เสียง ต้นแบบ “น้าเขียว” หุ่นยักษ์ตัวใหญ่แต่ใจดีที่รับรองทุกคนจะรัก ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์”

          Q. ก่อนอื่นถามพี่หนุ่มก่อนเลยว่าโดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบ และหลงใหล “การ์ตูน” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ที่ผ่านมาถือได้ว่าการ์ตูนมีอิทธิพลและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างไรบ้าง
          S. สวัสดีครับ พี่หนุ่มสันติสุข พรหมศิริครับ คนเดิมครับ กำลังจะมีผลงานภาพยนตร์การ์ตูนแอนิมชั่นเรื่องยักษ์ครับ ก็มารับบทเล่นและให้เสียงเป็นหุ่นยักษ์ที่ชื่อว่าน้าเขียวหรือทศกัณฐ์นะครับ ก็เรียกได้ว่าเติบโตมาชีวิตก็เกี่ยวพันกับการ์ตูนตั้งแต่เด็กนะครับ คือจริงๆ ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ แต่เป็นคนต่างจังหวัด พอสักอายุ 7-8 ขวบได้ก็มีทีวี และสิ่งที่ชอบดูที่สุดก็คือการ์ตูน สมัยก่อนจะมีมิกกี้เม้าส์เป็นอันนั้นเป็นอันโน้นอันนี้ การ์ตูนก็เหมือนเป็นของหวานสำหรับเด็ก เอะอะพอนึกถึงทีวีเราจะนึกถึงการ์ตูน และก็พอโตขึ้นมาหน่อยตอนอายุได้สักสิบกว่าก็เปลี่ยนมาเป็นตามพวกซูเปอร์ฮีโร่ต่างๆ ก็ตามวัยของเด็กในสมัยนั้น ก็ส่วนใหญ่ในยุคสมัยนั้นก็จะเป็นญี่ปุ่นซะเยอะ พวกไอ้มดแดงมั่ง พวกยอดมนุษย์บ้าง ก็ชอบมาเรื่อยๆ ครับ

          Q. หลายคนอาจคุ้นภาพของพี่หนุ่มสันติสุข ในฐานะพระเอกหนังไทย แต่ถ้าใครเป็นแฟนตัวจริงจะจำกันได้ว่า อีกบทบาทหนึ่งที่เกี่ยวพันกับพี่หนุ่มมาพร้อมๆ กับการแสดงเลยก็คือการพากย์เสียง เป็นไงมาไงถึงได้มาทำตรงนี้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
          S. ก็เริ่มมาจากการเข้าวงการก่อนเลยนะครับ พอเข้าวงการก็เริ่มเล่นหนังนะครับ อย่างที่รู้กัน เล่นเรื่องบุญชูเล่นอะไร ก็เริ่มทำงานหนังก็เริ่มทำงานเรื่องเสียงมาพร้อมกันเลย เพราะว่าสมัยก่อนภาพยนตร์ไทยจะยังไม่ได้สร้างระบบ SOUND ON FILM คือจะถ่ายแล้วมาลงเสียงทีหลัง ถ่ายทีหลังใส่เสียงทีหลัง ซึ่งปกติสมัยก่อนมันจะมีนักพากย์ มีทีมพากย์ว่าคนนี้พากย์เป็นเสียงพระเอกก็มักจะเป็นอารอง เค้ามูลคดีซึ่งก็จะเป็นคนให้เสียงอาแอ็ด สมบัติ เมทะนี, พี่เอก สรพงษ์ แต่พอมาถึงรุ่นของตัวพี่ พี่ก็แบบเอ๊ะเราอยากให้หน้าเราเป็นเสียงของเราเอง และมันอาจจะเป็นยุคที่คือเสียงพาย์ส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงเดิมๆ มาแล้ว เสียงพากย์ที่มีอยู่กันก็อาจจะดูมีอายุกว่าเราตอนนั้น เพราะว่าตอนพี่เริ่มเล่นหนังก็ประมาณยี่สิบกว่าๆ คือถ้าใช้เสียงนักพากย์เสียงมันจะดูแก่ไปนิดนึง ก็เลยเอาเสียงตัวเองพากย์ ก็เริ่มพากย์มาตั้งแต่เรื่งแรกที่พี่เล่นหนัง ก็คือเรื่องคำมั่นสัญญา หลังจากนั้นก็พากย์มาด้วยเสียงตัวเองโดยตลอดทุกเรื่อง ก็เริ่มมีความชำนาญพอสมควร พออยู่มาพักหนึ่งก็จำไม่ได้แล้วว่าสักกี่ปีมาแล้วนะ ก็มีทางบริษัทติดต่อมาให้ไปพากย์การ์ตูน เราก็ดีใจเพราะว่าเราก็ชอบการ์ตูนอยู่แล้ว คือเขาจะไม่ใช้คำว่าการ์ตูนมันจะเชยไปนิดนึง (หัวเราะ) เขาจะเรียกว่าแอนิเมชั่นอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่การ์ตูนนะเป็นหนังแอนิเมชั่น ก็เรื่องโพคาฮอนทัสเป็นเรื่องแรกเลยที่ได้ไปลองเทสต์ดูก็พากย์เป็นจอห์น สมิทที่เป็นพระเอกนะ ก็รู้สึกจะพากย์กับคุณสินจัย ตอนนั้นก็นับเป็นเรื่องแรกก็แบบงงไปหมด เพราะเราต้องลืมจากที่เราเคยพากย์เป็นมนุษย์เป็นคนมา เพราะว่าอันนี้มันเป็นการ์ตูน การ์ตูนมันจะมีอะไรที่ไม่เหมือนคน จะพูดเร็วพูดช้าอารมณ์มันจะเยอะกว่าอะไร โอ้โหกว่าจะพากย์ได้ก็นานทีเดียว ก็มีได้พี่ต๋อง พี่ต๋องเขาคุมอยู่เขาก็ช่วยแนะนำ ตรงนี้อย่างนี้นะ ต้องฮึบเสียง เก็บพลังไว้เพื่อที่จะปล่อยตอนนี้ ก็เริ่มพากย์ตั้งแต่เรื่องนั้นมา ตามมาก็เป็นเรื่องทอย สตอรี่ ก็มาเริ่มพากย์เป็นบัซ ไลท์เยียร์, ไอซ์เอจนะครับทั้งสามภาคสี่ภาค ที่พากย์ก็เป็นเสือดิเอโก้ และยังมีเรื่องโรบ็อท มีเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ (พากย์เป็นซีเรียส แบล็ก) ก็นิด ๆหน่อยๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่น ก็มาอยู่เรื่อยๆ ก็พากย์อยู่เรื่อยๆ งานส่วนใหญ่จะมีภาคต่อ เราก็พากย์ต่อมา และก็จนกระทั่งมาถึงโปรเจ็คท์แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์นี้

          Q. พี่หนุ่มมองว่าระหว่างเล่นหนังกับพากย์หนังแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
          S. การเล่นหนังกับการให้เสียงหรือการพากย์เสียงของหนัง มันเป็นคนละศาสตร์กัน จริงๆ มันคนละเรื่องกันเลย แต่ว่ามันต้องใช้พื้นฐานเดียวกัน คือต้องใช้พื้นฐานในเรื่องการแอ็คติ้งการแสดงเหมือนกัน เพราะฉะนั้น สมมติเมื่อก่อนเราพากย์หนังเป็นหนังของเราเองเราก็ไม่เท่าไร เพราะเราเป็นคนเล่นเอง เรารู้ว่าอารมณ์เราอะไรแค่ไหน แต่พอมาพากย์เป็นตัวแอนิเมชั่นเป็นตัวอื่นเป็นบัซ ไลท์เยียร์อย่างนี้ เฮ้ยยังไงนี่เรา เราต้องเป็นกัปตันอวกาศ มันจะต้องใส่ความเป็นกัปตันอวกาศลงไปในเสียง หรือว่าพากย์ดิเอโก้เป็นเสือช่วงนั้นก็มีคนคุมพากย์มาจากฝรั่งเศสเลย บอกต้องทำเสียงให้เหมือนเสือ พากย์แล้วต้องทำเสียงให้เสือมีเขี้ยว มันก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แต่การแสดงมันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันก็จะไม่เหมือนกัน แต่สำหรับโปรเจ็คท์ท์เรื่องนี้มันต้องใช้ทั้งสองอย่างรวมกัน คือเราไม่ได้มาพากย์อย่างเดียวหรือเรามาเล่นอย่างเดียว เขาเรียกว่าเราต้องเป็นก้อนดาต้าสำหรับโปรเจ็คท์เลย เป็นตัวกำเนิดก็ต้องเอาจากแอ็คติ้งของเราเอาจากเสียงของเราไปคิดไปสร้างไปกำหนดเป็นภาพขึ้นมา

          Q. เป็นไงมาไงถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมสำคัญในโปรเจ็คท์ภาพยนตร์แอนิมชั่นยักษ์นี้ได้ แล้วพอรู้ว่าเป็นผลงานการกำกับของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ซึ่งทั้งเป็นคนต้นคิดและเป็นเจ้าของไอเดียทั้งหมดนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง
          S. ก็ก่อนหน้านี้ก็เคยได้มาอัดรายการที่บ.เวิร์คพอยท์ ก็เลยได้มีโอกาสได้เจอกับพี่จิกประภาส พี่จิกแกก็เลยแย่บๆ ว่ากำลังจะมีโปรเจ็คท์พิเศษ เราก็เอ๊ะโปรเจ็คท์อะไรให้เราไปเล่นหนังหรือเปล่า ก็หลายปีมากพูดจนเราลืมไปแล้วจนสุดท้ายพี่จิกแกก็เรียกมาที่บริษัทก็มาคุย ก็เพิ่งรู้วันนั้นว่าพี่จิกกำลังจะทำภาพยนตร์แอนิเมชั่น ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่าเมืองไทยก็ยังไม่ค่อยมีคนทำแอนิเมชั่นเท่าไร ถ้ามีก็เป็นพื้นๆ ไม่เท่าไรเป็นอะไรง่ายๆ เราก็อู้หู ถามไปว่าทำจริงๆ เหรอพี่ เขาก็ฉายตัวอย่างให้ดูวันนั้นเลยวันที่มาคุย อู้หูสวย โอ้โหเจ๋งแหะ มันมาก โชว์ฉากบู๊นิดนึง ขายของนิดนึง โอ้โหพี่สุดยอดๆ ตอนนั้นพี่จิกเขาก็เริ่มคุยว่าความตั้งใจของเขาเป็นแบบนี้ๆ พอเราฟังแล้ว เรารู้เลยว่าสิ่งที่พี่จิกกำลังจะทำไม่น่าเป็นแค่หนังการ์ตูนแอนิเมชั่นธรรมดาๆ รู้สึกว่าเป็นโปรเจ็คท์ที่พิเศษเลยละ และถ้าเสร็จนะน่าจะเป็นงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่เราทำแล้วน่าจะขายทั่วโลก ประกาศศักดาให้คนทั้งโลกรู้เลยว่าเมืองไทยก็ทำแบบนี้ได้ เราก็ดีใจ ที่พี่จิกเขาเลือกเรา ก็ยังถามกลับไปเหมือนกันว่าทำไมพี่จิกถึงเลือกผม พี่มีคนให้เลือกตั้งเยอะแยะ ผมแก่ไปเปล่า พี่เขาก็อธิบายให้ฟังว่าไม่ได้อยากได้คนที่แค่มาพากย์เสียงอย่างเดียว แต่อยากให้เป็นการแสดงมากกว่า ก็เลยมองคนที่เป็นนักแสดงเป็นหลัก คนที่มีทั้งความสามารถในเรื่องการแสดงและการให้เสียงพากย์ เพราะต้องใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน และคาแรคเตอร์ของ “ยักษ์” ตัวนี้ก็มีคาแรกเตอร์หลายๆ อย่างคล้ายๆ กับตัวผม จึงเรียกให้มาลองเทสต์เสียงกันดู

          Q. ตอนนั้นพอนึกออกไหมว่าพี่จิกมาทำการ์ตูนมากำกับการ์ตูนมันจะออกมาเป็นอย่างไร
          S. โดยส่วนตัวแล้วก็รู้จักกับพี่จิกก็นานทีเดียวนะครับ พี่จิกก็เป็นนักคิดนักเขียนที่มีอะไรแปลกๆ ออกมาอยู่เรื่อยไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา จะมีมุมมองอะไรที่เหมือนที่คุยกับพี่จิกแล้วมันจะได้อะไรที่หลายๆ อย่างที่แตกต่างออกไป อย่างเออทำไมเราไม่มองอย่างนี้บ้าง คือมุมอะไรต่างๆ พี่เขาจะมองไม่เหมือนคนอื่น และก็มาถึงการ์ตูนเรื่องยักษ์นี้อีก ก็คือเป็นเรื่องรามเกียรติ์นั่นเอง โอ้โห โปรเจ็คท์มันจะอะไรกันนักกันหนานี้ มันจะใหญ่โตมโหฬาร แสดงว่าต้องมีอะไรที่มันลึกซึ้งมากกว่านั้น ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเรื่องยักษ์ พอตอนหลังพอเราเริ่มทำงานไป ทำไป ออกเป็นเนื้องานแล้ว มันก็รู้สึกได้ทันทีว่าเป็นของประเทศไหน ประเทศไทยหรือว่าเป็นเอเชียอะไรอย่างนี้ แล้วรามเกียรติ์เองมันเป็นเรื่องที่คนรู้จักเยอะ คนไทยก็รู้จัก และก็ในแถบเอเชียก็รู้จัก ก็ดูว่าเออเป็นโปรเจ็คท์ใหญ่ดีน่าร่วมงานเลยทีเดียว และคิดว่าการทำงานครั้งนี้คงไม่หมูแน่เพราะว่าโปรเจ็คท์ใหญ่ขนาดนี้ เตรียมตัวแล้วว่าคงต้องใช้เวลา เพราะเท่าที่รู้มาก็เคยศึกษาว่าสมัยก่อนอย่างพิกซาร์กว่าเขาจะทำเรื่องทอย สตอรี่ กว่าจะออกมาได้ เขาใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว สำหรับเรื่องแรกๆ อู้หู และโปรเจ็คท์นี้หลายปีแน่ และหลายปีจริงๆ

          Q. คิดไหมว่าจะนานถึงหกปีขนาดนี้
          S. ก็คิดว่ามันคงจะหลายปี แต่ไม่คิดว่ามันจะนานขนาดนี้

          Q. สำหรับคาแร็คเตอร์ “ยักษ์หรือน้าเขียว”นี่ถือได้ว่าเป็นตัวละครสำคัญเลยทีเดียว
          S. ครับสำหรับผมแล้วถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างที่จะได้รับเกียรตินะครับ เพราะว่าหลายๆ อย่าง แม้กระทั่งบท พอเราได้ลองสัมผัสดูแล้ว นี่คือตัวละครที่มันเป็นตัวเอกของเรื่องเลยนะครับ โดยพื้นๆ แล้วตั้งแต่ที่เราได้สัมผัสมาจากการอ่านบทตั้งแต่แรกนะครับในเรื่อง ยักษ์เขียวจะเป็นตัวละครที่มันมีหลากหลายอารมณ์มีหลากหลายคาแร็คเตอร์มาก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นการทำหนังหรือว่าแอนิเมชั่นที่สำคัญที่สุดคือเรื่องบท บทมันจะต้องสำคัญ มันจะต้องเป๊ะและบทที่เราอ่านอยู่แล้วมันก็มีอยู่หลายอย่างที่มันมีในตัวของเรา ก็คือพี่จิกเขาอาจจะเห็นว่าตัวผมเองเป็นคนเล่นหลายบทได้ เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับบทเดิมๆ เดี๋ยวร้ายก็ร้ายได้ร้ายเต็มที่ จะดีจะใสซื่อเป็นบุญชูก็ทำได้ ก็เลยคิดว่าถ้าบทมันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นการที่จะเลือกหาเอาคนมาทำมาเล่นก็คงต้องเป็นแบบนี้ และมันก็ต้องอาศัยอีกหลายอย่าง ซึ่งทำให้การทำงานตรงนี้ต้องการนักแสดงที่ต้องมีองค์ประกอบดังกล่าวครบ ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักอารมณ์ของการแสดง และไหนจะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการพากย์ ให้เสียง โดยเฉพาะคาแรคเตอร์ของตัวยักษ์ตัวนี้ที่จะต้องใสซื่อได้ โหดได้ตอนเป็นทศกัณฐ์ เป็นอะไรก็ได้และที่สำคัญเคยทำงานทางด้านนี้มาสามารถที่จะเล่นและให้คนเชื่อได้ว่าเราดีหรือเราเล่นให้คนเชื่อได้ว่าเราร้าย เพราะฉะนั้นมันก็เลยแบบว่าภูมิใจนะว่าเหมือนเขาเขียนมาเพื่อเราโดยเฉพาะ เราก็เต็มที่กับงานนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 22, 2012, 01:17:38 AM
          Q. สำหรับตัวคาแรคเตอร์ “ยักษ์” มีความสำคัญและมีความน่าสนใจอย่างไร
          S. ครับสำหรับคาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้นะครับก็คือยักษ์เขียวหรือน้าเขียวนะครับที่หนุมานหรือเผือกเขาชอบเรียกนะครับ ก็เป็นตัวเอกในเรื่อง ซึ่งมีคาแร็คเตอร์ที่หลากหลายนะครับ ตามเรื่องก็คือจะมีภาคหมดสติ ภาคจำความไม่ได้ ตัวตนที่แท้จริงก็คือประมาณยักษ์ใสซื่อ อาโนเนะไม่รู้เรื่อง ใจดี ค่อนข้างจะซื่อบื้อด้วยนิดๆ เหมือนเด็กแบบเอาแต่ใจตัวเอง อันนั้นคือเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาน้าเขียว และก็มีอีกด้านหนึ่งก็คือที่เป็นทศกัณฐ์ซึ่งพูดได้ว่าเป็นชะตาลิขิตที่เขาต้องมาเป็นแบบนี้ที่ว่าแกต้องเป็นทศกัณฐ์ ก็เป็นคาแร็คเตอร์แบบโหดเหี้ยมดุร้ายและไม่ได้มีหน้าเดียวมีสิบหน้า สารพัดจะดุร้ายต่างๆ นะครับ คือตัวคาแร็คเตอร์นี้จะมีสองพาร์ทที่สำคัญก็คือสองด้านมันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย แต่ว่ามันเป็นตัวละครตัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นการที่จะแสดงหรือเล่นออกมามันจะต้องทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นส่วนเดียวกันด้วยคือไม่ใช่สองตัว ไม่ใช่ตัวดีตัวร้าย แต้อันนี้ตัวดีตัวร้ายอยู่อันเดียวกันแล้วมีอารมณ์ที่หลุดออกมา บางทีเป็นดีๆอยู่ก็หลุดร้ายขึ้นมา หรือกำลังร้ายอยู่หลุดดีออกมา ก็มีอยู่หลายฉากในหนังที่ออกมา คือมันเหมือนมันหลุดเครื่องมันรวนอะไรอย่างนี้ ยังไม่ร้ายก็ไม่ร้ายเต็มที่ ก็โดยคาแร็คเตอร์หลักๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ก็จะมีสองด้าน แต่ว่าจะมีกลับไปกลับมามีฝันอะไรแบบนี้ไปเรื่อย

          Q. พอบอกว่าตัวยักษ์มีทั้งในส่วนที่เป็นทศกัณฐ์ที่ดูร้ายมีดุดันนอกเหนือจากพาร์ทที่เป็นน้าเขียวแสดงว่าในภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ก็จะมีพาร์ทที่เป็นแอ็คชั่นด้วยนอกเหนือจากเรื่องของมิตรภาพ ความสดใส
          S. คาแร็คเตอร์ก็ประมาณนี้ แต่ว่าเวลาถ่ายทอดออกมาในหนังคือบทมันจะเยอะ มันค่อนข้างที่จะออกแอ็คชั่นเยอะ มีรบกัน มียกทัพโยธาข่มกัน มีหอก มีย้ายพระอาทิตย์ ซึ่งมันจะเป็นอะไรที่เราค่อนข้างที่จะเล่นแล้วคือต้องจินตนาการออกไป ตอนที่เราเล่นก็จะมีภาพให้ดู แต่ว่าจะภาพที่เป็นคร่าวๆ ให้ดูว่าประมาณนี้ๆ แต่ว่าคือจริงๆ เราต้องเล่นใส่เสียง ใส่สีหน้าออกไป และเขาถึงจะไปวาดไปทำอะไรให้มันร้อยเปอร์เซ็นต์อีกทีหนึ่ง ก็ต้องจินตนาการให้มันเยอะเข้าไว้ ก็จะมีหลายตอนในเรื่องที่บางทีมันยากมาก คือบางทีสิบหัวที่มันอยู่บางทีมันทะเลาะกันเอง ไอ้หัวนี้จะทะเลาะกับไอ้หัวนั้น ไอ้หัวนี้จะฆ่าไอ้หัวนั้น ไอ้หัวนี้จับอะไรอย่างนี้ คือฉากนั้นก็ปวดหัวมากพากย์ยากมากเลยฉากนั้น เพราะต้องไล่พากย์กันทีละหัวๆ และก็หลายอย่างเรื่องนี้ต้องจินตนาการ และที่สำคัญที่เราจะต้องทำงานร่วมกับตัวของน้องหอย (เสนาหอย-เกียรติศักดิ์ให้เสียงเผือกหรือหนุมานด้วย) เพราะว่าในเรื่องเขาจะคู่กันตลอด ปกติเวลาเราทำงานเกี่ยวกับด้านนี้ ถ้าไปพากย์ของหนังทั่วไปใช้พากย์คนเดียว มโนภาพเอาเองนะ แต่เรื่องนี้จะต้องพากย์คู่กัน บางฉากจะต้องพากย์ด้วยกัน เพราะว่ามีการโต้ตอบกันเยอะ และมันก็จะมีมุกเสริมมุก อะไรที่บางทีหอยก็ชอบใส่มันขึ้นมา รามอ้าวเรียนรามเปลวเทียนให้แสง ก็จะมีมุกออกมาอยู่เรื่อยๆ อันไหนได้พี่จิกเขาโอเคก็เอา อันไหนไม่เอาก็ตัดทิ้งไป ก็เป็นการลองเล่นให้ดูก่อน

          Q. ในความรู้สึกของพี่หนุ่มแล้วคิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของตัวละครตัวนี้
          S. สำหรับบางฉากดูแล้วก็มีน้ำตาซึมเหมือนกัน แต่ไม่บอกให้ไปดูกันเอาเอง ก็คือดูแล้วคิดว่าตัวละครที่คนดูจะรักมากที่สุดก็คือน้าเขียวในเรื่องยักษ์ เพราะว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงจากไม่รู้เรื่อง จากเป็นตัวร้าย จากรู้เรื่องกลับมา ต่อต้านตัวร้าย ยอมสละชีพ ช่วยเหลือ เขาเป็นฮีโร่เลยในเรื่องก็คือเก่งมากเป็นตัวที่คนจะเอาใจช่วยตอนหลังเขาก็กลับมาสู้กับความชั่วร้าย ยอมสละชีวิตตัวเอง และก็มีอีกหลายๆ ตัวหนุมานเองก็น่ารัก ตัวหนุมานก็เป็นทหารของพระราม ก็ได้หอยมาก็โอเคเลย ดูแล้วก็ตลกไปเรื่อยเลย ฮาจริงๆ ก็เหมาะกับคาแร็คเตอร์เขาเพราะหนุมานมันจะเป็นลิงมันก็จะปุ๊บปั๊บๆ และก็จะมีอีกหลายตัวนะครับ คือการถ่ายทอดออกมาบางทีเราไม่เคยเห็น เราไม่เคยคิดว่าเฮ้ยอะไรรามเกียรติ์มาทำเป็นหุ่นยนต์ได้ยังไงเออเข้าใจคิด สำหรับผมว่าดูแล้วอมยิ้มอยู่ในใจเวลาเราดูหนังเรื่องนี้ เพราะชอบวิธีที่เขาคิดออกมาว่าเออทำให้มันเป็นหุ่นยนต์ มีล้อ หรือหุ่นบางตัวก็มีล้อเดียว สองล้อ มีแบบขึ้นสนิมมีอะไรอย่างนี้ คือมันแปลกและมันก็มีความที่เป็นไทยอยู่ในเรื่องด้วย

          Q. คงต้องให้พี่หนุ่มเล่าให้ฟังแล้วว่า“ยักษ์”เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
          S. ก็เป็นเรื่องของหุ่นสองตัวที่ตัวหนึ่งเป็นหุ่นกระป๋องนะครับคือหนุมานหรือเผือก ส่วนอีกตัวเป็นหุ่นยักษ์ที่ตัวใหญ่กว่าซึ่งก็คือทศกัณฐ์หรือน้าเขียว ในเรื่องก็เป็นเหตุการณ์ที่พูดถึงทศกัณฐ์กับหนุมานที่เคยสู้รบกันมาในภาคที่เป็นอวตารที่สิบล้านเอ็ดก็มาในรูปลักษณ์ของหุ่นยนต์ ก็สู้กันตอนนั้นพระรามก็ได้ยิงแสงลงมาเพื่อจะทำลายล้างทั้งหมดทั้งความดีความชั่วเกิดระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงขณะที่หนุมานก็กำลังจับทศกัณฐ์อยู่คือใช้โซ่คล้องมัดตัวทศกัณฐ์ไว้ ก็เกิดระเบิดตูมทุกอย่างก็สลายหายไปหมด แต่ว่าสองหุ่นยังอยู่แต่ว่าสลบไป ก็หายไปอีกข้ามไปประมาณหลายร้อยล้านวัน จนกระทั่งวันหนึ่งหุ่นสองตัวนี้ฟื้นขึ้นมามีชีวิตขึ้นมาใหม่แต่หุ่นทั้งสองตัวจำความกันไม่ได้ และก็จำไม่ได้ว่าเคยเป็นศัตรู แถมยังจำไม่ได้เลยว่าทำไมฉันกับแกมีโซ่ผูกติดกันอยู่ ก็ไม่รู้ก็พยายามหาที่มาที่ไป ก็พยายามที่จะตัดโซ่ ไปหาทางตัดโซ่ ก็ในระหว่างที่เดินทางไปมันจะทำให้เกิดเรื่องเกิดราวให้เกิดมิตรภาพ เดินทางมาด้วยกันก็เป็นเพื่อนกัน ก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วแต่ละคนนี้มีหน้าที่อะไร ก็เดินทางไปผจญภัย เจอโน่นเจอนี่ แล้วยิ่งพยายามจะตัดโซ่เท่าไหร่กลับกลายเป็นว่ามิตรภาพมันก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มารู้ความจริงว่าตัวเองแต่ละตัวมีหน้าที่อะไร จะต้องทำอะไร ก็เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาครับ

          Q. ฟังดูแล้วก็ลึกซึ้งเหมือนกันและค่อนข้างมีอะไรให้ชวนคิดดีทีเดียวแล้วตัวพี่หนุ่มเองละคิดว่าคนที่เป็นศัตรูกันจะกลายมาเป็นมิตรกันได้ไหม
          S. คนที่เป็นศัตรูกัน หรือว่าศัตรูจะกลายเป็นมิตรกัน พี่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้มันอยู่ที่เหตุผลหลายๆ อย่าง คนที่เป็นศัตรูกันมันมาจากอะไร เป็นศัตรูกันเพราะหน้าที่ เป็นศัตรูกันเพราะว่าอยู่คนละประเทศ เป็นศัตรูกันเพราะว่าอยู่คนละบ้านหรือว่าอะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นศัตรูเพราะเรื่องหน้าที่หรืออุดมการณ์แล้วพี่ว่ามันไม่ยากที่จะเป็นมิตรกันได้ แต่ถ้าเป็นศัตรูกันเพราะว่าอย่างแมวกับหนูคงจะลำบากนะครับ คิดว่าเป็นไปได้ครับ คนที่เป็นศัตรูกันมาเป็นมิตรกัน ก็น่าจะเป็นมิตรกันที่ดีด้วยเพราะว่าอย่างคนที่ไม่เคยถูกกันมาก่อนเกลียดกันมาก่อน แต่พอมาคบกันเป็นเพื่อนกันเขาจะรู้อะไรกันเยอะว่าคนนี้เป็นอย่างนี้เขาก็จะรักกันมากกว่าคนที่คบกันและเป็นเพื่อนกันไม่เคยมีเรื่องอะไรกัน เขาก็จะไม่รู้ว่าจริงๆ นิสัยเป็นยังไง ว่าเวลาโกรธเป็นยังไงครับ

          Q. ถ้างั้นขอถามเลยละกันว่าเมื่อพูดถึงยักษ์ตัวแรกที่พี่หนุ่มรู้จักคือยักษ์อะไร
          S. ครับถ้าพูดถึงยักษ์ตัวแรกที่รู้จักเลยนะครับ เดี๋ยวต้องเท้าความไปนิดนึงมันมีหลายยักษ์ เพราะว่านิทานพื้นบ้านของไทยมันก็ยังมียักษ์ ยักษ์ตัวแรกที่รู้จักน่าจะอยู่ในทีวีจำได้ก็คือของดาราวีดีโอสมัยโน้นที่มียักษ์และจะมีมือโผล่มาจับคน และเป็นยักษ์ที่เขียนหน้ารู้สึกจะมาจากในเรื่องโกมินทร์กุมาร ก็จะเป็นยักษ์แบบนั้น เป็นยักษ์ตัวใหญ่ที่มีเขี้ยวและก็กินคนเป็นอาหารก็คือเป็นยักษ์ในนิทานพื้นบ้านครับ (หัวเราะ)

          Q. ท้ายนี้อยากให้พี่หนุ่มฝากถึงผลงานการ์ตูนแอนิเมชั่นยักษ์กับแฟนๆ
          S. ถ้าจะพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ก็ถือว่าเป็นการกลั่นกรองอะไรจากหลายๆ บุคลากร ใช้บุคลากรเยอะเป็นร้อยนะครับ และก็ใช้เวลาในการทำหลายปีมาก ซึ่งก็มีชื่อของประภาส ชลศรานนท์นะครับเป็นอะไรหลายๆ อย่างในโปรเจ็คท์นี้ทั้งกำกับทั้งคิดเรื่อง คิดคอนเซ็ปท์ สร้างตัวละคร สอดแทรกเนื้อหา ควบคุมดูแลในแทบทุกขั้นตอน ซึ่งผมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้พอถูกนำเสนอออกไปก็นอกจากว่าเด็กๆ ทั่วไปได้มาดูหนังการ์ตูนที่เขาก็จะได้รับความสนุกไปอีกแบบหนึ่งจากเรื่องราวการผจญภัยของหุ่นยนต์ซึ่งมีทั้งที่เป็นหุ่นกระป๋อง หุ่นยักษ์อะไรต่างๆ นานา จะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ได้เห็นตัวละครคลาสสิคจากรามเกียรติ์ มีเรื่องของมิตรภาพ และก็มีทั้งเพลงเพราะๆ ในเรื่อง มีอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งความเป็นหนัง ที่มีหลากหลายองค์ประกอบทั้งความตื่นเต้น เร้าใจ มีต้น มีกลาง มีจบ มีตัวเอก มีตัวร้ายแต่แบบน่ารักๆ คือครบรสจริงๆ นอกเหนือจากตรงนั้นแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ผมว่าพี่จิกเขาซ่อนไว้ในหนังเรื่องนี้นะครับพอเราดูไปจนจบแล้ว ไอ้ความเป็นยักษ์หรือความไม่ดีมันมีอยู่ในทุกคน มันมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน อยู่ที่ว่ามันจะไปโดนอะไรกระตุ้นออกมาหรือมันจะออกมาเมื่อไรเท่านั้นเอง คือสิ่งไม่ดีมันมีอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว ไม่มีใครที่เพียบพร้อมทั้งหมด เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ มันไม่มี ก็จะมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ แต่ว่ามันจะควบคุมมันได้ไหมเหมือนน้าเขียว ถ้าควบคุมได้ก็ผ่านมันไป แต่ถ้าจะให้มันหมดมันคงเป็นไปไม่ได้ หรือคนเราเมื่อต้องตัดสินใจระหว่างมิตรภาพกับหน้าที่ เมื่อคุณต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกมันอาจจะต้องเผชิญกับความขัดแย้ง (conflict) อะไรอีกหลายอย่างนะครับ อย่างในเรื่องในตัวของเผือกหรือหนุมานก็จะให้เห็นว่าระหว่างหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมาคือกำจัดไอ้ยักษ์ตัวนี้ให้ได้ไม่ว่าจะในโลกไหน ไม่ว่าจะกี่ปีสิบปีแต่ด้วยความผูกพันที่มาเจอกับน้าเขียวแล้วไม่รู้ว่าเขาเป็นยักษ์ คือต่างคนต่างจำไม่ได้ ก็ผูกพันกันจนกลายเป็นสนิทอะไรต่างๆ ตอนหลังมารู้ว่าเป็นศัตรูที่ตัวเองต้องกำจัดและมันก็แหมทำให้คลาสสิคอยู่เหมือนกัน มันทำให้ตรงนี้ที่ทุกคนก็เอาใจช่วย จะทำยังไงหรือให้ฆ่ายังไง มันก็เหมือนกับว่าความเป็นมนุษย์มันต้องตัดสินจากตรงนี้ บางทีความสนิทมันจะต้องตัดสินอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป และสุดท้ายหนุมานเขาก็ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ต้องไปดูเองในหนังว่าเขาตัดสินใจยังไง แต่มันก็เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างลำบากอยู่เหมือนกัน ในยุคสมัยนี้นะก็อยากให้ไปชมกันการ์ตูนแอนิมชั่นเรื่องยักษ์ตุลาคมนี้ครับผม
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 22, 2012, 01:18:19 AM
หอย สุดปลื้มไม่ใช่แค่พากย์แต่ให้ชีวิต เผือก หุ่นกระป๋องหนุมาน เล่นจริงยิงมุกออกท่าสุดฤทธิ์ประกบหนุ่ม-สันติสุขเป็นยักษ์เขียวทศกัณฐ์









          เป็นอีกมาตรฐานการทำงานที่ถือเป็นความตั้งใจของ จิกประภาส ชลศรานนท์และทีมงานที่อยู่เบื้องหลัง “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ใช้เวลา 6 ปี และทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นผลิตงานว่างานนี้จะพยายามสร้างชิ้นงานออกมาให้ดีที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสมจริงในการโลดแล่นมีชีวิตของคาแรคเตอร์แต่ละตัวการ์ตูนตรงกับจินตนาการของผู้กำกับ ทำให้งานนี้ทีมแอนิเมเตอร์จะต้องเข้ามามีส่วนสำคัญในการหยิบจับเอาบุคลิกท่าทาง การเคลื่อนไหว ขยับฝีปาก ขมวดคิ้ว แม้แต่แววตาจากการถ่ายทอดผ่านการให้ชีวิตให้เสียงตัวการ์ตูนแต่ละตัวจากเหล่านักแสดงที่ผ่านการคัดเลือกให้มารับหน้าที่เป็นตัวการ์ตูนนั้นๆ และหอย เกียรติศักดิ์ อุดมนาค คือ1ในนักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่ให้ชีวิต “เผือก” หุ่นกระป๋องแสบซ่า หรือ อีกนัยหนึ่งคือ หนุมาน ทหารเอกคนสำคัญแห่งรามตามความตั้งใจของจิก ประภาส ชลศรานนท์นั่นเอง

          “มันเริ่มมาจากตัวคาแร็คเตอร์ของการ์ตูนแต่ละตัวถูกกำหนดถูกดีไซน์ไว้ก่อนแล้วตามท้องเรื่อง แล้วเราต้องหาเนื้อเสียงให้ตรงกับคาแร็คเตอร์ แล้วผมต้องการนักแสดงที่เก่งที่มีบุคลิกโดดเด่นแล้วคล้ายตัวละครที่ออกแบบมาแล้ว หลายตัวละครเราก็เลยปรับเอาเอกลักษณ์ของคนพากย์มาใส่ลงไปในตัวการ์ตูนด้วย เช่นเสนาหอยก็จะมีผมที่เป็นเร้กเก้ เราก็เอามาดัดเป็นเสาอากาศที่ประหลาดกว่าตัวอื่น ตัวอื่นมีเขาอันเดียวแต่อันนี้มีถึงสามอัน ปากหนาตาโปนก็จะมีความเป็นหอยอยู่ ตัวหอยฉลาดคล่องแคล่วพูดเก่งติดตลก ตรงนี้เป็นบุคลิกเดียวกันกับเผือกหอยเป็นหนุมานจริงๆ ผมเชื่อว่าถ้าตอนเขาเด็กๆ ไปสมัครโขนครูบาอาจารย์ก็คงคัดหอยให้อยู่ในกลุ่มลิง หอยเป็นคนหัวไวความคิดซนมีลูกตอดต่อเนื่องตลอดเวลา คือเป็นหนุมานในโทนคอมมิดี้ ตัวลิงเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แม้แต่ทางกรมศิลป์คนที่เคยเล่นเป็นบทหนุมานทุกคนซนหมดครูมืด (ประสาท ทองอร่าม) ยังเคยเล่นหนุมานเลย ที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเสียงของหอย มันลงตัวกับเสียงของหนุ่มสันติสุขที่เล่นเป็นยักษ์หรือทศกัณฐ์ที่จะต้องร่วมผจญภัยไปด้วยกันตลอดทั้งเรื่องด้วย”

          และพอเนื้องานเสร็จสมบูรณ์ขึ้นมาไม่เพียงโดนใจผู้กำกับจิกประภาสเจ้าของไอเดีย กระทั่งหนุมาน หรือ เผือกหุ่นกระป๋อง ที่ได้หอย เกียรติศักดิ์ นักแสดงมากฝีมือที่กล้าพูดได้ว่าตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมาล้วนข้องแวะและผูกผันกับการแสดงโดยมีการใช้เอกลักษณ์ของเสียงเป็นส่วนสำคัญในอาชีพยังอดปลื้มและภูมิใจไปกับการให้ชีวิตตัวละครสำคัญอย่างหนุมานในแอนิเมชั่นยักษ์ไม่ได้

          “จำได้ว่าทีมงานเอากล้องมาตั้ง 3 ตัว และให้ผมอ่านบท และก็เล่นไปเลย เล่นจริงแล้วก็โต้ตอบกับพี่หนุ่มสันติสุขที่เป็นยักษ์จริงๆ ระหว่างที่พากย์เสียงกันไปก็ต้องโต้ตอบกันไป แล้วผมก็ต้องทำท่าทำทางด้วย มารู้ว่ากล้อง 3 ตัวจะคอยจับภาพโคลสอัพที่ปาก ที่ตัว และที่แขนต่างๆ ก็เพื่อให้แอนิเมเตอร์เขาจับไปเขียน ผมก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง แต่พอเห็นภาพที่เขาเขียนออกมาเฮ้ยมันเหมือนตัวผมจริงๆ นะไม่น่าเชื่อ ก็ขอบคุณมากนะครับ ผมก็จะบอกลูกบอกหลานว่าตัวนี้มันคือผมจริงๆ ต้องยกประโยชน์ให้พี่จิกที่เลือกผมมาเล่นเป็นตัวนี้ เพราะเผือกหรือหนุมานค่อนข้างมีนิสัยคล้ายๆ ผมเหมือนกัน โวยวาย ไม่อยู่นิ่ง และก็ได้ใช้เสียงอย่างอิสระ พี่จิกปล่อยให้ผมเติมนั่นเล่นมุกนี้คือให้เราเล่นไปก่อน เอาไม่เอาอีกเรื่อง แล้วเราเป็นคนขยันอยู่แล้วยิงไปก่อน แต่ส่วนใหญ่เอานะ ก็เอาเกือบทุกอันที่เราเสนอไป”

          ทั้งนักแสดงและทีมงานตั้งอกตั้งใจกันซะขนาดนี้แล้ว อย่าลืมไปให้กำลังใจและร่วมภูมิใจกับอีกย่างก้าวของภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยอย่าง “ยักษ์”กันด้วยนะ 4 ต.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 22, 2012, 01:19:12 AM
“สนิมน้อย” หุ่นกระป๋องเด็กสดใสน่ารักเพื่อนซี้ของเผือกและน้าเขียว อีกหนึ่งตัวการ์ตูนที่ทุกคนต้องหลงรักจากภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์”

 

           “สนิมน้อย” หุ่นกระป๋องเด็กสดใสน่ารักเพื่อนซี้ของเผือกและน้าเขียว อีกหนึ่งตัวการ์ตูนที่ทุกคนต้องหลงรักจากภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” ให้เสียงให้ชีวิตโดยน้องออมสิน - ด.ญ.ชนินาภ ศิริสวัสดิ์

Q.ก่อนอื่นแนะนำตัวกันก่อนดีกว่านะ
O. สวัสดีค่ะ หนูชื่อเด็กหญิงชนินาถ ศิริสวัสดิ์ค่ะ ชื่อเล่นว่าออมสิน พากย์เสียงเป็น “สนิม” ในแอนิเมชั่นยักษ์ เป็นตัวน้องสนิมน้อยค่ะ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีผลงานภาพยนตร์มาก่อนค่ะก็เคยเล่นเรื่องบุญชูเก้าค่ะ และก็หนังเทิดพระเกียรติอีกหลายๆ เรื่องค่ะ ส่วนละครก็มีเรื่องอุบัติรักเกาะสวรรค์ค่ะ แล้วก็ละครเทิดพระเกียรติ ตามรอยพ่อค่ะ มีร้องเพลงคอนเสิร์ตกว่ายี่สิบปีทุ่งแสงตะวัน สำหรับแอนิมชั่นเรื่องยักษ์งานนี้เป็นงานพากย์เสียงครั้งแรกค่ะ

Q.คิดว่าเสน่ห์ของแอนิเมชั่นอยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
O. แอนิเมชั่นในความคิดของหนูก็คือมันจะใส่จินตนาการได้เยอะกว่าปกติ เพราะว่าถ้าสมมติเป็นละครอะไรแบบนี้คือเอาคนมาเล่นเลยก็จะเห็นอยู่ทุกวันก็จะไม่ได้จินตนาการอะไรเลย ส่วนอย่างเป็นแอนิเมชั่นเด็กเขาก็เหมือนรู้สึกว่าเขาได้จินตนาการไปด้วยอย่างเรื่องนี้นะค่ะเป็นเรื่องแอนิเมชั่นที่เป็นหุ่นยนต์มันทำให้เราใส่จินตนาการได้เต็มที่ เราดูไปเราสามารถจินตนาการได้มากกว่าในกรอบที่เราใช้อยู่ปกติทุกวัน

Q.มีโอกาสได้เข้ามาให้เสียงให้ชีวิตตัวละครสำคัญในภาพยนตร์แอนิเมชั่นยักษ์อย่างน้องสนิมน้อย แล้วเป็นการพากย์ครั้งแรกด้วยรู้สึกยังไงบ้าง
O. ตื่นเต้นค่ะ และก็สนุก และก็บางทีก็มีเกร็งๆ บ้าง เพราะว่าเป็นงานแรกกลัวจะทำได้ไม่ดีค่ะ ก็เลยพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุดค่ะ

Q.แล้วเป็นไงมาไงถึงได้เข้ามาเป็นน้องสนิมได้
O. คือพี่ต้อง (พัลลภ สินธุ์เจริญ) ติดต่อไปทางหนูนะค่ะเหมือนกับว่าเห็นมาจากหนังเรื่องบุญชูเก้าค่ะที่หนูรับบทเป็นกระแต เห็นบุคลิกหรืออะไรต่างๆ ก็เลยลองเรียกมาเทสต์พากย์เสียงดูค่ะ

Q.ทราบมาว่าตอนแรกที่เราเข้ามาพากย์ไม่ได้อายุเท่านี้ใช่ไหม
O. (หัวเราะ) ตอนที่เข้ามาพากย์ครั้งแรกสุดเลยเรียนอยู่ชั้น ป.2 ค่ะอายุประมาณ 7-8 ปีค่ะ ส่วนตอนนี้ปัจจุบันอยู่ ม.1 อายุ 13 ค่ะ ซึ่งก็นานมากๆ เลยประมาณห้าหกปีค่ะ

Q.เห็นบอกว่าตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ให้เสียงพากย์ให้ชีวิตตัวน้องสนิมน้อย
O. ตื่นเต้นทุกครั้งค่ะที่ทำงาน คือมาพากย์เราก็ตื่นเต้นเพราะเหมือนกับทุกครั้งที่เรามาพากย์ใหม่ก็เหมือนเราได้ทำอะไรใหม่ๆ ค่ะ ยังไงก็ตื่นเต้นและดีใจค่ะ

Q.งั้นลองเล่าให้ฟังหน่อยว่าต้องคาแรคเตอร์ของน้องสนิมน้อยที่เป็นหุ่นกระป๋องเด็กเป็นอย่างไร
O. บุคลิกของสนิมก็คือจะเป็นหุ่นกระป๋องเด็ก คือในเรื่องแอนิเมชั่นยักษ์ทุกตัวก็จะเป็นหุ่นหมดเลยแล้วแต่ว่าใครจะเป็นหุ่นอะไร ส่วนสนิมจะเป็นหุ่นกระป๋องค่ะก็คือเป็นหุ่นที่ตัวเล็กมากๆ เลย ถ้าเป็นคนก็น่าจะเป็นเด็กผู้หญิงประมาณหกเจ็ดขวบค่ะ และก็ที่ชื่อสนิมก็เพราะว่าตัวของสนิมเองก็คือจะเป็นเด็กที่คล้ายกับเป็นหวัดตลอดเวลาค่ะ เพียงแต่พอเป็นหุ่นยนต์แทนที่จะเป็นหวัดก็จะเป็นสนิมแทน แล้วก็จะมีน้ำมูกสนิมไหลออกมาตลอดเวลาและก็ตัวก็จะเต็มไปด้วยสนิมหมดเลย สนิมตัวเขาจะเป็นสีชมพูตรงไหนที่มีสีอยู่ก็จะเป็นสีชมพูค่ะ แล้วที่เหลือก็จะเป็นสีสนิมน้ำตาล ส่วนบุคลิกนิสัย สนิมเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่หวานเจี๊ยบค่ะ เป็นผู้หญิงที่แก่นๆ กระโต๊กกระต๊ากเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวแสบๆ แก่นๆ และก็ไม่ค่อยฟังใครค่ะ ดื้อซนๆ ส่วนเสน่ห์ก็คือจริงๆ ถ้าสนิมไม่ได้เป็นสนิม จะมีเพื่อนเยอะมากเพราะว่าสนิมเองเป็นเด็กที่มีจิตใจดีค่ะแล้วก็แบบรักเพื่อน ถ้าเกิดได้ดูหนังเรื่องนี้จะรู้เลยว่าสนิมรักเพื่อนมากในหลายๆ ตอน สนิมจะคอยรักษามิตรภาพกับเพื่อนไว้ค่ะ โดยที่เขาไม่ห่วงตัวเอง สนิมจะมีเพื่อนเป็นหุ่น2ตัวก็คือ ยักษ์กับเผือก ซึ่งทั้งคู่จะเป็นหุ่นที่ตัวเขาเป็นโลหะพิเศษที่แบบสนิมจามใส่ก็จะไม่เป็นสนิม เพราะทุกทีเวลาสนิมจามใส่ใครหุ่นตัวนั้นก็จะเป็นสนิมทันที ทั้งคู่ก็เลยยอมเป็นเพื่อนกับสนิม และกลายมาเป็นเพื่อนสองคนแรก สนิมก็จะรักทั้งคู่มากๆ เลย เพราะที่ผ่านมาสนิมพยายามจะหาเพื่อนมาตลอดชีวิตแต่ก็ไม่เคยมีเพราะด้วยโรคประจำตัวของสนิมนั่นเอง

Q.เห็นเป็นหุ่นกระป๋องอย่างนี้น้องสนิมก็มีภารกิจหน้าที่รับผิดชอบด้วย
O. สนิมเป็นหุ่นที่เป็นเด็กอยู่นะคะแต่ก็ทำงานไปด้วยก็คือเป็นผู้ช่วยของกุมภกรรณ ที่เป็นหัวหน้าคณะขายของเร่ก็คือจะเอาปืนไปขายเร่ตามที่ต่างๆ ไปพร้อมกับการแสดงโชว์ ซึ่งตัวสนิมเองเป็นทั้งลูกมือและ1ในผู้แสดงโชว์ด้วย จริงๆ ตัวสนิมเองก็จะมีความสามารถพิเศษหลายๆ ด้านอย่างเช่น การซ่อมปืนค่ะ ที่ต้องทำงานก็เพื่อหวังจะเก็บตังค์มาซ่อมแซมรักษาตัวเองที่ชอบจามเหมือนภูมิแพ้ แต่หลายๆ ครั้งสนิมก็ทำให้งานพังเพราะจามใส่ลูกค้าจนเป็นสนิม แล้วกุมภกรรณก็จะโกรธมากๆ จนบางทีก็ไม่ยอมจ่ายเงินค่าแรงให้สนิมเลยยังต้องทำงานอยู่อย่างนี้

Q.ความยากง่ายของการให้เสียงให้ชีวิตแอนิเมชั่นยักษ์
O. การพากย์นะคะเหมือนเป็นการแสดงละครเลยแต่ไม่เอาภาพค่ะ เราต้องมีการแสดงท่าทางและก็ต้องมีการพูดโดยใช้ความรู้สึกค่ะ ก็คือเหมือนเราแสดงจริงๆ เลยออกท่าทางจริงๆ เลย เวลาจะดึงก็ดึงจริง จะผลักก็ผลักจริงๆ เลยค่ะ ก็เหมือนการแสดงแต่ไม่เอาภาพเอาเสียงค่ะ ส่วนความยากในการพากย์ก็คือมันยากมาก ก็คือเหมือนบางเรื่องค่ะที่เรายังไม่เคยได้เจอด้วยตัวเอง เราก็อาจจะยังไม่ถึงความรู้สึกนั้นๆ แต่ตัวละครค่ะอารมณ์จะต้องเค้นอารมณ์จะต้องถึงให้มันรู้สึกกับอารมณ์นั้นๆ จริงๆ ค่ะ และก็พวกคำอุทานค่ะมันเป็นคำที่พยายาม โอ๊ะ อ๊ะ เอ๊ะ อะไรอย่างนี้ค่ะ มันก็เลยจะทำให้ไม่ค่อยตรงค่ะ และก็เป็นประโยคพูดยาวๆ บางทีเราก็พูดไม่ตรง บางทีเราก็พูดตรง แต่ไม่มีอารมณ์ เวลามีอารมณ์เราก็พูดไม่ตรงยังงี้ค่ะ ก็เลยค่อนข้างยาก ค่ะพี่ต้อง (พัลลภ สินธุ์เจริญ ผู้ควบคุมการพากย์) จะคอยช่วยอยู่ตรงด้านหน้าค่ะ จะคอยแบบต่อบทให้ค่ะเพื่อที่จะเหมือนส่งอารมณ์ถึงกันค่ะก็เลยจะพูดได้ฟีลมากขึ้นค่ะ ก็จะคอยช่วยและก็บางทีจะให้หนูพากย์แล้วใส่อารมณ์ด้วยตัวเองให้ได้ หรือปรับแปลงบทพูดเพื่อให้เข้ากับปากตัวละคร ซึ่งตัวละครเป็นหุ่นยนต์อ่านปากจะยากหน่อยก็เลยทำให้อาจจะมีติดขัดนิดหน่อยก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มา เข้าห้องอัดและก็อัดเป็นจริงเป็นจังมากขนาดนี้ ก็สนุกดีค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 22, 2012, 01:19:46 AM
Q.มีฉากในแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ที่เรารู้สึกประทับใจเป็นพิเศษไหม
O. ฉากที่ชอบเป็นพิเศษนะค่ะก็จะมีอยู่ฉากหนึ่งค่ะที่กุมกรรณไปเร่ขายของ และก็มีการแสดงโชว์
กุมภกรรณก็จะร้องเพลงแนะนำตัวเขา เราก็ร้องเพลงแนะนำตัวเรา ซึ่งหนูชอบร้องเพลงอยู่แล้วค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าฉากนี้สนุกไปด้วยค่ะ และก็จะมีหลายๆ ฉากค่ะที่เวลาที่ตัวละครที่น้าเขียวกับพี่เผือกเล่นมุกกันไปกันมาแล้วเวลาเราฟังแล้วเราจะรู้สึกสนุกและก็ประทับใจค่ะ จริงๆ แล้วถ้าเกิดจะพูดจริงๆ แล้วประทับทุกฉากเลยค่ะ และก็ที่ประทับใจก็คือตอนที่สนิมยอมที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของกุมภกรรณค่ะหนีไปช่วยพี่เผือก และก็แสดงให้เห็นว่า สนิมละทิ้งหน้าที่ก็จริงแต่เขาทำไปเพื่อมิตรภาพค่ะ ซึ่งถ้าเด็กๆ ได้ดูเขาน่าจะมีอะไรที่ทำให้เขาคิดได้มากขึ้นค่ะ ซึ่งหนูก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ได้ดูก็ได้รู้สึกประทับใจค่ะ ส่วนฉากที่ยากสำหรับหนูคือฉากตะโกนค่ะ คือเอาตอนเด็กๆ ก่อนนะคะ คือถ้าฉากยากคือฉากร้องไห้ถึงเราร้องไห้จริงๆ เลยนะค่ะแต่บางทีเสียงของเรามันฟังแล้วมันก็ไม่เหมือนร้องไห้เราก็จะต้องเค้นอารมณ์มากกว่าปกติคือมากกว่าใชีวิตประจำวันนิดหน่อยค่ะถ้าตอนโตมาคือตอนที่ปัจจุบันค่ะก็คือจะยากตรงที่ตะโกนเพราะว่าถ้าตะโกนแล้วเราใช้เสียงสูงมากๆ เสียงก็จะแตก พอใช้เสียงต่ำมากๆ เสียงมันก็จะดูเป็นสาวเกินไปค่ะ มันก็เลยจะมีปัญหาคิดว่ายาก

Q.เห็นบอกว่าในระหว่างการพากย์ถึงกับรู้สึกอินไปกับตัวน้องสนิมด้วย
O. ก็คือก็ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกหรือเปล่านะคะ แต่หนูว่าถ้าดูก็น่าจะรู้สึกนะเราจะรู้สึกเหมือนกับว่าถึงหนูพากย์เองยืนพากย์อยู่อย่างนี้ ฉากไหนที่ลุ้นนี่โอ้โหตัวโก่งเลย มันไม่ใช่การ์ตูนที่แบบดำเนินเรื่องเรียบๆ ง่ายๆ ทั้งเรื่อง แต่มันคือมันแฝงอารมณ์หรืออะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในการ์ตูนนั้นจริงๆ เลยอย่าง เช่น เวลาที่การแข่งกับเวลาคือตอนที่เพื่อนที่กำลังจะช่วยชีวิตเราคือเราจะลุ้นไปด้วยจะห่วงเขาไปด้วย คือพูดง่ายๆ เลยเหมือนกับเราเป็นสนิมจริงๆ เลยค่ะทำให้เหมือนให้มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในการ์ตูนเรื่องนั้นจริงๆ เลยค่ะ

Q.ในมุมมองของออมสินคิดว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์มีความสนุกสนานอย่างไร
O. ภาพยนตร์เรื่องนี้นะคะ อย่างแรกเลยแอนิเมชั่นค่ะ ตัวละครก็คือปราณีตกันมากค่ะ แก้กันหลายครั้งพยายามจะทำมันออกมาให้ดีที่สุดค่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องภาพไม่ต้องเป็นห่วงสุดยอดมากค่ะ และก็ทีมพากย์ทุกคนด้วยค่ะ รับรองฟังแล้วไม่ผิดหวังว่าจะใส่อารมณ์อะไรเข้าไปเต็มที่ ส่วนเรื่องนี้นะคะจะมีจุดเด่นตรงที่ว่าอาจจะแฝงข้อคิดอะไรดีๆ เห็นเด่นชัดเลยก็คือเรื่องมิตรภาพ และก็หน้าที่และก็อะไรอีกหลายๆ อย่างที่ต้องให้เราเลือก ซึ่งทุกคนดูเรื่องนี้ก็จะรู้เลยค่ะว่าตัวเองจะต้องเลือกอะไรจะต้องเลือกยังไงกับมิตรภาพค่ะ

Q.เสน่ห์ของตัวการ์ตูนแต่ละตัวในแอนิเมชั่น ยักษ์
O. ในความคิดของหนู ในตัวละครทุกตัวในเรื่องยักษ์นะคะ ก็จะมีเสน่ห์ทุกตัวไม่ว่าจะเป็นฝ่ายร้ายหรือฝ่ายดีอย่างตัวสนิมน้อยคิดว่าใครดูก็จะต้องรักสนิมกันทุกคน เพราะว่าบุคลิกที่น่ารักสดใสก็ความรักเพื่อนรักมิตรภาพก็คือ สนิมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเพื่อนของตัวเองค่ะ และก็เรื่องทศกัณฐ์กับหนุมานนะค่ะ ถึงจะเป็นตัวละครที่มาจากตัวละครดั้งเดิมนะคะก็ยังไม่เคยมีใครเห็นอะไรแบบนี้ยังไม่เคยมีใครเห็นในรูปแบบนี้ เขาจะเป็นตัวละครที่มีความเกี่ยวข้องกันเป็นเพื่อนค่ะ ซึ่งตัวละครมีเสน่ห์ทุกตัวรวมทั้งกุมภกรรณค่ะ ก็จะมีเรื่องความจงรักภักดี ความแน่วแน่ค่ะ ซึ่งสามารถทำให้คนดูทุกคนชอบแน่นอนหรือแม้แต่นก
สดายุก็จะน่ารักขำๆ ค่ะ

Q.ถ้าพูดถึง “ยักษ์” จะนึกถึงอะไร
O. ถ้าได้ยินคำว่ายักษ์ สิ่งแรกที่คิดถึงก็คงจะคิดถึงตัวอะไรก็ได้ที่รูปร่างเหมือนคนหรือรูปร่างคล้ายๆ ลิงคล้ายๆ สัตว์อะไรต่างๆ ที่ตัวสูงๆ อ้วนๆ และก็หน้าตาใจดีๆ หน่อยหรือไม่ก็หน้าตาดุไปเลย ก็ถ้าเป็นยักษ์ใจดีก็จะเป็นยักษ์ที่ชอบเล่นกับเด็กที่มีความเป็นเด็กในตัวเยอะๆ ถ้าเกิดเป็นยักษ์ดุก็จะเอาแต่ใจตัวเองมีเขี้ยวและก็คิ้วดกๆ ค่ะ ส่วนยักษ์ตัวแรกที่รู้จักก็น่าจะเป็นยักษ์จากตอนที่ไปไหว้พระกับคุณแม่ค่ะก็คือเห็นยักษ์วัดแจ้งค่ะที่ตัวสูงๆ ถือกระบอง หน้าตาน่ากลัวๆและก็รู้จักจากการดูหนังเรื่อง THE HULK ค่ะ ซึ่งเป็นยักษ์เขียวตัวอ้วนๆ สูงๆ เลยค่ะก็ไปรู้จักมาจากเรื่องนั้นค่ะ

Q.ถ้าต้องให้เลือกระหว่างมิตรภาพกับหน้าที่จะเลือกอะไร
O. เลือกมิตรภาพค่ะ เพราะว่าหน้าที่มันก็ควรควบคู่ไปกับความถูกต้องค่ะ ซึ่งเราก็ควรที่จะรู้ว่าหน้าที่มันถูกหรือหน้าที่ไหนมันไม่ถูก ซึ่งถ้าเรานำมิตรภาพที่ดีเป็นหลักเกณฑ์นะคะ หนูเชื่อว่าเราก็ต้องทำถูกอยู่แล้วค่ะ แต่พูดจริงๆ แล้วหน้าที่ก็สำคัญ มิตรภาพก็สำคัญค่ะ ซึ่งหนูว่าทุกคนในโลกมีหลักสัจธรรมแบบในเรื่องหนูว่าก็น่าจะดีค่ะ

Q.แล้วคิดว่าศัตรูจะเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม
O. ศัตรูจะเปลี่ยนมาเป็นมิตรกันได้ไหม ได้ค่ะ ได้แน่นอนเลยค่ะ ถ้าเกิดทั้งสองฝ่ายปรับความเข้าใจกันและก็ไม่เอาแต่ทะเลาะและก็ใช้กำลังกันค่ะ เผลอๆบางทีอาจจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุดเลยก็ได้ เพราะว่าจากการที่เราทะเลาะกันทำให้เราเห็นบุคลิกนิสัย และก็ความคิดต่างๆ ของศัตรูของเราค่ะ ซึ่งถ้าเกิดเราลองคบกันเป็นเพื่อนเราก็จะรู้อะไรหลายๆ อย่างจากศัตรูคนนั้นค่ะ

Q.ฝากผลงานกับผู้ชมหน่อย
O. ก็การ์ตูนเรื่องนี้นะค่ะ สร้างจากความตั้งใจของหลายๆ คน ซึ่งหนูก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ร่วมสร้างสรรค์ขึ้นมาคืออยู่เป็นหนึ่งในผู้พากย์นะค่ะ ซึ่งมีลุงหนุ่มสันติสุข เสนาหอย, พี่เหมี่ยว ปวันรัตน์, พี่ตั๊ก บริบูรณ์, พี่แจ๊ป เดอะริชแมนทอย, พี่โน้ส อุดม ฯลฯ และก็มีอีกหลายๆ คนเลยค่ะ ที่ช่วยกันร่วมสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งใช้เวลานานมากๆ เลยค่ะ ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าจากหนูประมาณ ป.1 ป.2 ตอนนี้มาอยู่ ม.1 แล้วค่ะ ซึ่งใช้เวลาประมาณหกเจ็ดปีเลยแปลว่ามันเป็นหนังที่ยิ่งใหญ่อลังการ และที่สำคัญหนังเรื่องนี้นะค่ะกำกับโดยพี่จิก ประภาสนะคะ ซึ่งเป็นผู้กำกับที่เก่งมากๆ และก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีซึ่งเป็นผู้คิดผู้เขียนเป็นผู้แต่งที่ซึ่งทำให้หนังเรื่องนี้สุดยอดขนาดนี้ค่ะ และก็รู้สึกดีใจและก็ภูมิใจที่ได้มาเป็นหนึ่งในผู้สร้างหนังเรื่องนี้ ได้เป็นผู้ที่ทำหนังเรื่องนะค่ะ ซึ่งอยากให้ทุกคนเห็นความตั้งใจของเราก็มาดูหนังเรื่องนี้กันเยอะๆ ค่ะ รับรองดูยังไงก็ไม่ผิดหวังค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 27, 2012, 06:36:13 PM
บทสัมภาษณ์ เอ็กซ์-ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผู้ร่วมกำกับภาพยนตร์ –ผู้กำกับแอนิเมชั่น (Co-Director , Animation-Director)



 
 
          เปิดใจ “คนสร้างยักษ์” เอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ แอนิเมเตอร์สายเลือดไทย ฝีมือระดับโลก ผู้ร่วมสร้างบ้านอิทธิฤทธิ์ แหล่งผลิตฝัน ร่ายเวทมนตร์ให้กับภาพยนตร์

Q: ในแวดวงแอนิเมชั่นแล้วพี่เอ็กซ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการมานาน ในฐานะแอนิเมเตอร์ไทยผู้เคยคว้ารางวัลจากต่างประเทศมากมาย และยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาเพื่อสร้างนักแอนิเมเตอร์รุ่นใหม่ๆ มาประดับวงการอีกด้วย อยากให้ช่วยเล่าถึงที่มาของการทำงานในเส้นทางสายแอนิเมชั่น ก่อนจะมาถึงการทำงานในเรื่องยักษ์สักนิด
X: สวัสดีครับ ผมชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผมมีหน้าที่เป็นโคไดเร็คเตอร์ และก็เป็นแอนิเมชั่นไดเร็คเตอร์ รับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับแอนิเมชั่นของเรื่องยักษ์ครับ ครั้งแรกที่สนใจผมสนใจแอนิเมชั่น ก็คือหลังจากเรียนปริญญาตรีคณะมัณฑนศิลป์ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร สมัยนั้นยังไม่มีวิชาแอนิเมชั่น พอเรียนจบผมก็ทำงานได้สักพัก แต่วันหนึ่งไปเห็นตัวอย่างหนังเรื่องเดอะ ไลอ้อน คิง (The Lion King) ก็ตกใจมาก ประทับใจมากรู้สึกทึ่งไปกับภาพที่เห็น วันรุ่งขึ้นไปลาออกเลยครับ (หัวเราะ) แล้วตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา ก็ตอนนั้นวัยรุ่นหน่อย อยากไปเจอผู้กำกับที่ทำไลอ้อน คิง ก็ไปอเมริกาเลย ก็เป็นความฝันของเด็กๆ ครับ (หัวเราะ) ผมไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านดิจิตอล อาร์ตที่ มหาวิทยาลัย โอเรกอน ตอนที่เรียนอยู่ผมก็ทำผลงานส่งประกวด Siggraph ซึ่งเป็นการประกวดผลงานแอนิเมชั่นประเภทนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยทั่วโลกครับ อันนี้ก็ได้รางวัลชนะเลิศมาและก็มีได้รางวัลแอนิเมชั่นโลก World Animation Celebration อีกด้วยครับ หลังจากกลับมาจากอเมริกา ก็มีบริษัทแอนิเมชั่นไทยติดต่อมาหลายบริษัทครับ หลังจากกลับมา ผมก็ทำงานสายนี้มาตลอดเกือบ 20 ปี แล้ว งานที่ทำก็มีไตเติ้ลของเวิร์คพอยท์เกือบทุกตัว งานสองมิติที่น่าจะพอคุ้นๆ กันก็เป็นกบ One-2 Call วันทูคอลที่ออกมาจากกะลา และงานด้านภาพยนตร์ก็เป็น CG SUPERVISOR ให้กับหนังมาประมาณสิบสามเรื่อง ล่าสุดก็มีตุ๊กกี้ เจ้าหญิงขายกบ, สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก, 30+ โสด ON SALE ครับ และหลังจากนั้นก็มาเปิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เพื่อทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” เป็นเรื่องแรกครับ”

Q: คิดว่าอะไรที่เป็นเสน่ห์ของแอนิเมชั่น ทั้งๆที่รู้ว่าการจะทำให้เสร็จสมบูรณ์เรื่องหนึ่งนั้นไม่ใช้เรื่องง่าย แต่ก็ทุ่มเทสร้างจนเสร็จออกมาได้
X: เพราะมันเป็นศาสตร์ที่เราสามารถทำให้ตัวละครที่เราคิดนั้นเกิดชีวิต เคลื่อนไหวได้ขึ้นมาได้ และมันเป็นการรวมศาสตร์ทางศิลปะทั้งหมดเพื่อสร้างขึ้นมา หรืออีกอย่างหนึ่งคือใครๆ ก็สามารถเป็นผู้กำกับด้วยตัวเองได้ เหมือนเราสามารถใส่ตัวละครเข้าไปในแอนิเมชั่นโดยไม่ต้องกำหนดคนอื่น อย่างถ้าเรากำกับหนังคนแสดง เราจะต้องกำหนดคนให้เป็นอย่างที่เราต้องการ แต่แอนิเมชั่นเราใส่ความเป็นตัวเราเองลงไปในตัวละครที่เราออกแบบ จนทำให้มันเคลื่อนไหวได้ ตัวการ์ตูนที่เรากำหนดเองมันจะน่าเกลียดหรือน่ารักก็เป็นตัวเราที่เราดีไซน์ขึ้นมาเอง เสน่ห์ของมันอยู่ที่เราสร้างโลกที่เรากำหนดเองได้ครับ

Q: หลังจากที่ไปเรียนและทำงานอยู่ต่างประเทศอยู่นาน รู้จักพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ จนมาทำงานร่วมกันได้อย่างไร
X: ครั้งแรกที่รู้จักพี่จิกผมรู้จักผ่านผลงานของพี่จิกเขาครับ ผมเคยได้ยินชื่อเสียงเขามาบ้าง แต่ผมไปอยู่ต่างประเทศนานเหมือนกัน พอกลับมาเสร็จปุ๊บ มีคนชวนว่าเดี๋ยวคุณจิก-ประภาสจะมาคุยด้วย ยอมรับว่าผมไม่เคยเห็นหน้าพี่จิกเลย รู้แค่ว่าเขาเป็นนักคิดนักเขียน ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้บริหาร เวิร์คพอยท์ ก็เลยไม่เกร็งตอนคุย (หัวเราะ) ซึ่งมันกลายเป็นข้อโชคดีของผม พอไม่เกร็งผมก็เล่าเรื่องการ์ตูนไปเรื่อยๆ และก็คุยกันเรื่องทำแอนิเมชั่น พอคุยเสร็จเพื่อนๆ ก็ชื่นชมตื่นเต้นกันมากว่าจะได้ทำงานกับพี่จิก ผมก็เลยลองหาหนังสือเขามาอ่านเรื่องแรกรู้สึกจะเป็นเชือกกล้วยมัดต้นกล้วย ต่อไปก็เริ่มคุยเกี่ยวกับการทำแอนิเมชั่นกับพี่จิก ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีไอเดียดีมาก และโชคดีว่าลายเส้นการ์ตูนของผมไปตรงใจพี่จิกพอดีครับ

Q: พอทราบไหมว่าพี่จิกถูกใจลายเส้นของเราตรงไหน และทำไมถึงทำงานเข้ากันได้ดี
X: เราได้เริ่มคุยกันก็เพราะ ผมวาดภาพประกอบให้กับพี่จิกในหนังสือหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่ เรื่อง สุธี, แม่เภา อภินิหารพระดิน, นิทานล้านบรรทัด, มังกรไฟไม่เรียนหนังสือ และพอเริ่มร่างแบบคาแร็คเตอร์เรื่องยักษ์ พี่จิกก็พูดขึ้นมาว่า ตัวคาแร็คเตอร์เอ็กซ์เหมือนใครนะ ก็นึกกันขึ้นมาได้ว่าน่าจะเป็นคุณอา รงค์ (ณรงค์ ประภาสะโนบล) อารงค์ก็คือคนที่เขียนทาร์ซานกับเจ้าจุ่น ในหนังสือ ชัยพฤกษ์การ์ตูน แต่ชอบวาดแบบนี้มาตั้งแต่เด็กละ จังหวะการเขียนหรือบางอย่างจึงใกล้กันมาก น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ได้มาแบบไม่รู้ตัว บวกกับผมเขียนการ์ตูนอเมริกาด้วยแต่ก็ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นมันจึงออกมาผสมผสานกัน แต่หลักๆ พี่จิกบอกว่าอารมณ์ชัยพฤกษ์ซึ่งพี่จิกเองก็ชอบการ์ตูนของอารงค์เช่นกัน เราจึงเข้ากันได้ดีครับ

Q: คิดว่าอะไรเสน่ห์ลายมือหรือเอกลักษณ์ของพี่เอ็กซ์
X: มันน่าจะอยู่ที่ตัวละครของผมมักจะเป็นตัวละครที่ไม่สมบูรณ์ พี่จิกว่าเป็นตัวละครป่วย (หัวเราะ) มันเป็นการ์ตูนที่ไม่ค่อยสมประกอบผมชอบตรงนั้น ชอบความไม่สมดุล อย่างแขนเล็กขาเล็กต่างกัน ตาห่าง ถ้าดูจริงๆ นะคาแร็คเตอร์ที่ผมชอบออกแบบ ถ้าอยู่ในการ์ตูนเรื่องอื่นมันจะเป็นหมารองบ่อน แต่สำหรับของผม ผมทำให้มันเป็นพระเอก ทำให้มันพิเศษขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องยักษ์มีตัวละครกุมภกรรณที่ถูกใจพี่จิกมาก เพราะเป็นตัวละครที่แขนใหญ่มากขาเล็ก ขาเสียเดินไม่ค่อยดี เป็นคนไม่ปกติ และอีกเรื่องหนึ่งคือผมเป็นคนชอบวางโครงสีของภาพรวมทั้งหมดครับ ผมจะวางโครงสีว่าในเรื่องนี้ ใช้สีไหนดี วางสีสันลงไปในแต่ละจุด จุดเด่นของผมอีกอย่างคือการวางโครงสีครับ

Q: เรื่องยักษ์นี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานเปิดตัว “บ้านอิทธิฤทธิ์” อยากให้ช่วยเล่าหน่อยว่า กำเนิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เป็นมาอย่างไร
X: บ้านอิทธิฤทธิ์เกิดขึ้นมาได้เพราะพี่จิก ประภาส ครับ มันเริ่มจากพี่จิกอยากทำหนังแอนิเมชั่น ผมกับพี่จิกเคยคุยกันมาก่อนเพราะว่าแกชอบสไตล์อาร์ตกับแอนิเมชั่นของผม ก็เลยคุยกันว่าเราจะมาเปิดบริษัทกันที่ทำการ์ตูนกันดีไหม ตอนแรกชื่อบริษัท ชื่อว่า “ฤๅษี” จากนั้นก็คุยกันเรื่องยักษ์ ก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรไทยๆ มี หนุมาน มียักษ์ อีกอย่างผมรู้สึกว่าแอนิเมชั่นหรือสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ มันทำขึ้นมาเพื่อให้คนเชื่อจากสิ่งที่ไม่มีมาก่อน มันเหมือนเป็นเวทมนต์ เป็นอิทธิฤทธิ์ ก็เลยได้ชื่อว่า “บ้านอิทธิฤทธิ์” แรกๆ บ้านอิทธิฤทธิ์ยังไม่เป็นที่รู้จัก ลูกค้าก็แซวว่าขี่ม้ามาหรือป่าวเพราะเป็นบ้านอิทธิฤทธิ์ (หัวเราะ) ตอนนี้บ้านอิทธิฤทธิ์ก็เกิดได้ประมาณแปด เก้าปีแล้วครับ การทำงานหลักๆ ของบ้านอิทธิฤทธิ์คือทำหนังแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ครับ แต่ในช่วงที่ยักษ์กำลังมีการพัฒนาบทหรือพัฒนาคาแร็คเตอร์ ก็จะมีงานโฆษณา งานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ติดต่อเข้ามา แต่บ้านอิทธิฤทธิ์จริงๆ สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นโดยเฉพาะ และเรื่องแรกก็คือเรื่องยักษ์นี่แหละครับ

Q: ช่วยเล่าที่มาของเรื่องยักษ์สักนิด ทำไมถึงมาลงตัวที่เรื่องนี้ได้
X: ที่มาที่ไปของยักษ์มันมาจากหุ่นยนต์ที่พี่ออกแบบให้เวิร์คพอยท์นานมากแล้วถ้าจำได้จะเป็นตอนจบของรายการเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เดินมาแล้วแปลงแขนเป็นอาวุธสงคราม มันเอากองขยะมาประกอบจนเขียนคำว่าเวิร์คพอยท์ ตอนจบปุ๊บ พอพี่จิกก็เห็นตัวนี้เขาก็พูดว่าเออมันน่ารักดีนะ เอ็กซ์อยากทำหนังหุ่นยนต์ไหม หุ่นยนต์สงครามอะไรที่มันสนุกเล่าไปมามันก็เป็นรามเกียรติ์ รามเกียรติ์ทำไงให้เป็นหุ่นยนต์หรือว่ารามเกียรติ์มันมีหลายภาคมีตั้งนับล้านภาค ญี่ปุ่นก็มี จีนก็มี เราก็รู้สึกว่ารามเกียรติ์มันมีตายเกิดตายเกิดเป็นล้านๆ ถ้าตายแล้วเกิดใหม่แล้วเป็นหุ่นยนต์ก็น่าจะดีนะและเราก็เลยเอาตรงนั้นมา และตัวที่หุ่นยนต์สังเกตว่าหุ่นยนต์หุ่นกระป๋องส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นล้อเดียวเหมือนไตเติ้ลเวิร์คพอยท์ตอนจบตอนนั้นนะครับ ตัวหุ่นที่เป็นตัวนักสู้หรือตัวที่มันเป็นวรรณะสูงขึ้นมาเนี้ยจะเดินได้สองขา เราดีไซน์ก่อนหนังเรื่องโรบ็อท Robots (2005) อีกนะครับ แต่พอโรบ็อทออกมาปุ๊บเราก็ต้องเดินหน้าต่อ เพราะว่าเราทำไปแล้ว และเรามานั่งคุยกันว่าถ้าเกิดเป็นปลาทำสัตว์ใต้ทะเลก็เหมือนกับไฟดิ้ง นีโม (Finding Nemo -2003) ทำสัตว์ป่าก็เหมือนมาดากัสการ์(Madagascar -2005) ทำการ์ตูนสัตว์น่ารักก็เหมือน กังฟู แพนด้า ( Kung Fu Panda -2008) และเราทำหุ่นยนต์เนี้ยคนก็ว่าเหมือนโรบ็อท แต่จริงๆ เราทำขั้นตอน Pre – Production ไปปีหนึ่งแล้วครับ เราก็เลยเดินหน้าต่อเพราะว่ามันก็ไม่เหมือน เนื้อเรื่องเราก็ไม่ได้คล้ายกันเลยครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 27, 2012, 06:37:04 PM
Q: ตอนแรกที่รู้ว่าพี่จิกอยากทำรามเกียรติ์รู้สึกยังไง แล้วส่วนตัวรู้สึกยังไงกับรามเกียรติ์
X: ผมรู้สึกว่าคงไม่ใช่ทศกัณฐ์ที่มีกล้ามน่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าผมเคยทำภาพประกอบให้พี่จิก ผมรู้ว่าพี่จิกจะไม่ออกอะไรที่เป็นกล้ามๆ ดุดันเป็นคนจริง มันจะไม่ใช่สไตล์พี่จิก พอมาคุยว่าเป็นหุ่นกระป๋องสู้กับทศกัณฐ์ มันก็น่าจะสนุกขึ้น แต่ครั้งแรกพี่จิกพูดพี่ก็รู้แล้วว่าไม่น่าจะใช่รามเกียรติ์ที่ดุดัน ไม่ใช่เป็นกล้ามเนื้อไม่ใช่คน ผมรู้สึกว่าตื่นเต้นกับไอเดียนี้นะครับโดยเฉพาะกับตัวหนุมาน เพราะมีฤทธิ์มาก สามารถสำแดงเดชต่างๆ ยืดหางยาวพันภูเขาได้ผม รู้สึกว่าหนุมานมีเสน่ห์ ทศกัณฐ์ก็มีเสน่ห์ แต่ถ้าเกิดผมทำแอนิเมชั่นผมก็จะไม่ไปอิงกับเรื่องราวต้นฉบับมาก ผมคิดว่ามันจะไม่สนุกถ้าอิงเยอะๆ ชนิดถ้าเป็นทศกัณฐ์ก็ต้องเป็นตัวใหญ่มีกล้ามๆ อะไรอย่างนี้ แต่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวเสมอ ผมมองเห็นมันเป็นหนังเรื่องหนึ่งเลย

Q: ยากไหมกับการแปลงรามเกียรติ์มาเป็นแอนิเมชั่น
X: ยากครับ ยากเพราะว่ามันต้องมาอิงกับบทเดิม คาแร็คเตอร์เดิมบ้างนิดหน่อย แล้วบทที่เรามาเขียนใหม่เนี่ยเราสร้างมาจากศูนย์เลย เราต้องดีไซน์ฉากจะเป็นอย่างไร ยักษ์จะเป็นยังไง พี่จิกก็ถามเหมือนกันว่าเอ็กซ์เห็นฉากหินที่ลากไปเหลี่ยมหรือคมหรือกลม ผมก็ต้องบอกว่าต้องเป็นหินเหลี่ยมเพราะตอนที่เห็นมือยักษ์ที่ถูกลากไปกับหินเหลี่ยมเวลา หินมันจะคมจะบาดเหล็กด้วยมันจะดูสะเทือนใจขึ้น แล้วผมจะไปออกแบบให้พี่จิกเห็นด้วยว่าสภาพของหินผาที่พูดถึงมันเป็นยังไง รายละเอียดมากครับ (หัวเราะ)

Q: พอรู้โจทย์แล้วคิดไหมว่าจะเป็นงานที่ต้องใช้เวลาทำต่อเนื่องนานถึงหกปี
X: ปกติแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งจะใช้เวลาประมาณนี้อยู่แล้วครับ เพราะว่าหนังอย่าง Brave ของ Pixar ก็ใช้เวลาประมาณนี้ ห้าถึงจ็ดปี เพราะว่ามันเป็นแอนิเมชั่น ดูของฝรั่งส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ครับ ผมไม่ได้ตกใจเลยนะเตรียมใจแล้วมากกว่า หนังแอนิเมชั่น 2D บางเรื่องใช้เวลานานถึงสิบปีก็มี แต่ผมไม่ได้กังวลนะเพราะว่ามันเป็นหุ่นยนต์ ทิศทางในการทำเรามีชัดเจนอยู่แล้ว หกปีนี้ก็จะมีช่วงที่ต้องพัฒนาเรื่องต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ทั้งเรื่องเครื่องมืออุปกรณ์ ,แอนิเมเตอร์ที่จะรับมาทำก็ต้องมาทดลองงานกันก่อนว่าทำไว้ได้อย่างที่เราวางแผนไว้หรือไม่ และก็ทำบทด้วยทำควบคู่กันไป กว่าจะเรียนรู้ระบบที่ทำให้มันเร็วขึ้นหรือให้มันตอบโจทย์กับบทที่เขียนมาลงตัวก็ใช้เวลาประมาณสามปี ค่อยๆ พัฒนากันไป

Q: เรื่องราวของเรื่อง “ยักษ์” นั้นบอกเล่าถึงอะไรบ้าง
X: คุยกันเริ่มแรกเป็นเรื่องรามเกียรติ์ครับ แต่เราไม่ทำรามเกียรติ์ เราจะไปทำหุ่นยนต์ที่มีกลิ่นไอเป็นรามเกียรติ์ มันเป็นเรื่องราวของมิตรภาพหลังจากที่ทศกัณฑ์กับหนุมานสู้กัน ทั้งสองสู้กันในสงครามยิ่งใหญ่และก็เกิดระเบิดขึ้น จากรามที่ยิงศรลงมาเพื่อนฆ่าทศกัณฑ์ ทำให้ทุกอย่างหายเกลี้ยง ยกเว้นหนุมานกับทศกัณฐ์ พอเวลาผ่านไปทั้งสองตื่นขึ้นมาทั้งสองคนนี้จำไม่ได้เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ตอนที่สู้กัน โซ่ของหนุมานไปปักที่ทศกัณฑ์ และเนื้อเหล็กของทั้งสองนั้นเป็นเหล็กสงคราม เหล็กพิเศษที่ไม่สามารถที่จะตัดได้ ทำให้ทั้งสองต้องตัวติดกันโดยมีโซ่เชื่อมโยงไว้อยู่ไปไหนไม่ได้ต้องไปด้วยกัน ทั้งสองเลยออกเดินทางหาวิธีที่จะตัดโซ่แยกออกจากกันให้ได้ ในระหว่างนั้นก็เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนขึ้นมา แต่ในระหว่างที่เดินไปเนี้ยหนุมานดันจำความได้ครับ ว่าตัวเองเป็นทหารเอกของรามและก็รู้หน้าที่ว่าต้องเอาทศกัณฐ์ไปฆ่าไปที่ลานประหารที่รามกำหนดไว้แล้ว เพื่อที่จะให้จบสงครามอันนี้ไป ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เกิดคำถามแล้วว่าจะเลือกอย่างไหนระหว่าง มิตรภาพหรือหน้าที่

Q: ช่วยเล่าขั้นตอนการทำงานของการสร้าง “ยักษ์”สักหน่อยว่ากว่าจะออกมาเสร็จสมบูรณ์จะต้องมีวิธีการสร้างอย่างไรบ้าง
X: ขั้นตอนการผลิตนี้ให้จินตนาการว่าแอนิเมชั่นทรีดีก็เหมือนหุ่นดินน้ำมันปั้นน่ะครับ และก็เริ่มสเก็ตดินสอก่อน จากนั้นก็เป็นการขึ้นโมเดล ต่อด้วยการใส่แกนกระดูก ซึ่งเรียกว่า Rigging ขั้นตอนนี้คือการทำให้แกนกระดูกลิงค์กับตัวโมเดล เพื่อให้โมเดลสามารถขยับได้ จากนั้นก็ลงสีที่โมเดลใส่รายละเอียดเสร็จทุกตัว เราก็เอาตัวนี้ไปวางในฉาก เพิ่มฝุ่น เพิ่มบรรยากาศเรียกว่าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กซ์ พูดง่ายๆ ว่ามันก็เหมือนหุ่นปั้น แต่ปั้นด้วยคอมพิวเตอร์ทุกอย่าง จากนั้นเราก็พากย์เสียงมา พอพากย์เสียงมาปุ๊บเราก็ให้แอนิเมเตอร์มา ขยับปากตัวละครตามเสียงคนพากย์และเราก็เอาหุ่นตัวนี้ไปเล่นในฉาก ซึ่งขั้นตอนการพากย์นี้ เราถ่ายวีดีโอนักแสดงที่มาพากย์ไว้เพื่อให้แอนิเมเตอร์ได้ดูอารมณ์ของตัวละครเป็นไกด์ไว้ให้ก่อน ดูอารมณ์เสร็จมันเป็นหน้าที่ของแอนิเมเตอร์ที่จะนำมาทำให้เกิดการเคลื่อนไหว อย่างเช่น เราจะมีภาพของพี่หนุ่มสันติสุข ที่พี่จิกบอกว่าไหนลองเล่นเป็นทศกัณฐ์ที่น่ากลัวซิ สายตาของพี่หนุ่มจะเปลี่ยนไปเลย พอพี่หนุ่มลองกลับมาเป็นทศกัณฑ์แบบเอ๋อๆ ที่ลืมว่าตัวเองเป็นใครความจะเสื่อม การเล่นของพี่หนุ่มก็จะกลายเป็นคนเอ๋อๆ เราก็จะบันทึกการแสดงของผู้พากย์ให้แอนิเมเตอร์ดูเป็นต้นแบบครับ แต่สุดท้ายแอนิเมเตอร์กำหนดคาแร็คตอร์เองครับว่าจะให้ตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกเป็นอย่างไร ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแอนิเมชั่นครับ เพราะหน้าที่ของผู้กำกับ ผมกับพี่จิกจะมาคอยดูว่าการเคลื่อนไหวมันควรจะเป็นอย่างไรเช่น เวลาเอ๋อมันควรจะยกมือแบบนี้หรือเปล่า มันควรจะหลังงุ้มไหม เป็นหน้าที่ของการกำกับอีกทีหนึ่ง

Q: จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือการได้นักแสดงมืออาชีพมาเป็นต้นแบบตัวละครต่างๆ ช่วยเล่าถึงการทำงานขั้นตอนนี้สักนิด
X: ในเรื่องนี้ผมกับพี่จิกจะทำงานกันแบบประสานงานกันตลอดกันครับโดยผมเป็นคนออกแบบคาแร็คเตอร์มาก่อน ส่วนพี่จิกจะหานักแสดงมาให้เข้ากับตัวละคร จากนั้นก็จะมาปรับให้สมบูรณ์ขึ้นเพิ่มเติมจุดเด่นของดาราแต่ละคนมาใส่ต่อ อย่างเช่นตัวหนุมาน ผมออกแบบเป็นหุ่นกระป๋องก่อนเพื่อที่จะให้พี่จิกดู พอเราได้เสนาหอยมาปุ๊บ ก็รู้สึกเอ๊ะมันใกล้เคียงกับเสนาหอยมาก แต่รู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป ก็เลยออกแบบเพิ่มเติม เราจะเห็นว่าเสาไฟบนหัวของหนุมานจะหักๆ เหมือนทรงผมของพี่หอยเลย อย่างพี่เหมี่ยวที่เป็นนกสดายุพี่ก็จะออกแบบง่ายที่สุดเลย ออกแบบมาใกล้ๆ กับพี่เหมี่ยวคือผิวดำนิดๆ (หัวเราะ) ผมก็เป็นทรงม้าก็คือตรงกับพี่เหมี่ยวพอไปให้พี่จิกดูตรงใจพอดี
แต่ตัวที่ออกแบบยากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือหนุมานนั่นเอง เพราะหนุมานตอนที่เราออกแบบมาครั้งแรกนี้ยไม่มีความเป็นฮีโร่ ผมก็เลยเอาแบบหัวโขนหนุมาน ลองมาใส่ดูและปรับหน้าให้ดูหักหน้าดูคมขึ้น บวกกับผมหยิกๆ ของ เสนาหอย ทำให้หนุมานแตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น มีความเป็นฮีโร่เพิ่มขึ้น ส่วนตัวเขียวก็ออกแบบไม่ยากเท่าไร เพราะว่าราชายักษ์ตัวต้องใหญ่ ผมออกแบบขาเขาเล็กเพื่อที่จะให้เขาดูตัวใหญ่ขึ้น เวลาเขาเงยหน้าขึ้นมา เขาดูเป็นราชายักษ์ แต่พอก้มมาปุ๊บเขาก็เหมือนคนอ้วนๆ น่ารักๆ ได้

Q: คาแร็คเตอร์ของเรื่องยักษ์เป็นอย่างไรบ้างและแต่ละตัวมีวิธีการออกแบบมาอย่างไร
X: ตัวทศกัณฑ์เขาเป็นจอมราชายักษ์มาก่อน หลังจากนั้นเกิดความจำเสื่อมก็จะกลายเป็นเอ๋อๆ ตัวละครนี้ผมออกแบบให้ช่วงบนใหญ่ และขาเล็ก เวลาเขาเป็นทศกัณฑ์ก็จะดูผงาด ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นน้าเขียวก็จะแสดงออกแบบหลังค่อม หงอๆ งอตัว ดังนั้นมันก็จะเป็นทั้งตัวเอ๋อได้ด้วย ตัวน่ากลัวก็ได้ ผมออกแบบยักษ์รวมๆ มาจากหลายอย่างครับ หน้าท้องจะออกแบบมาจากท้องแมลงครับ เป็นปล้องๆ ข้อดีคือ มันสามารถงอแล้วโมเดลไม่ทับกัน
หนุมานออกแบบยากสุด แก้หลายรอบ ตอนแรกออกแบบมาแล้วมันไม่มีความเป็นฮีโร่ เรากำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อดี พอดีว่าพี่จิกก็เอาเสียงพากย์ของเสนาหอยมา ปุ๊บลงตัวเลย เลยเอาทรงผมที่เสนาหอยที่เป็นทรงเดดร็อคมาทำให้แตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น เพราะว่าหุ่นยนต์พวกนี้ทั้งโลกจะถูกบังคับด้วยรามและก็มันจะมีเสาเดียว หนุมานจะแปลกกว่าคนอื่นคือมีสามเขาหักลงมาข้างหนึ่ง ส่วนคิ้วตอนแรกไม่ใช่เป็นคิ้วตัดปกติแต่ดูแล้วไม่เป็นฮีโร่เลย ผมเลยลองหยิบลายจากหัวโขนหนุมานมาลองดัดแปลงดู เป็นกึ่งๆ ลายไทยนิดๆ เหมือนเป็นเหล็กที่โดนตัดออกมาเป็นลายไทย เออมันได้แฮะ เพราะมีความเป็นฮีโร่ เวลาโกรธหรือเวลาสู้จริงๆ เวลาที่ต้องแสดงอารมณ์จริงๆ มีคิ้วทีมันหักๆ อย่างนี้มันจะเพิ่มอารมณ์ให้ได้มากกว่า คิ้วตัวนี้ออกแบบยากสุดครับ
น้องสนิมตัวนี้ออกแบบเป็นตัวการ์ตูนที่น่ารัก แต่ไม่มีเพื่อนและก็ขี้แพ้นิดๆ ครับ ออกแบบหลายรอบเหมือนกัน
ตอนแรกไม่มีปานที่หน้า แต่พอไม่มีมันดูเป็นปกติเกินไป เลยเพิ่มปานขึ้นมา เพราะสนิมมันกินตัวเองนิดหน่อย มีขี้มูกนิดๆ เป็นคราบเพราะว่าชอบจาม ตัวสนิมออกแบบยากเหมือนกัน เพราะว่าหุ่นยนต์ที่เป็นผู้หญิงด้วยน่ารักด้วยทำยาก ก็เลยมากำหนดด้วยตา ด้วยโครง ด้วยสีให้มันสีเบาลงมานิดนึงเป็นชมพูส้ม ถ้าชมพูเกินไปก็หวานไปจะดูไม่สู้ชีวิตก็เลยใส่สีส้มให้หมดเลย สนิมเป็นเด็กที่จามแล้วอะไรที่เป็นเหล็กโดนจามใส่จะเป็นสนิมทันที แต่ถ้าจามโดนเหล็กสงครามอย่างยักษ์จะไม่เป็นสนิมซึ่งก็มีส่วนสำคัญกับเรื่องด้วยต้องไปลองดูครับ
กุมภกรรณ เป็นหุ่นยนต์ยักษ์ หุ่นตัวนี้ทำอาชีพปาหี่ขายของ ที่แขนมันจะมีวิทยุคาสเซ็ทเทปอยู่ครับ ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้เห็นหรือเปล่า บ่งบอกให้รู้ว่ามันเป็นของเก่า มันจะใส่เทปและก็ฟังเพลงของมันตลอดเหมือนคนไม่ปกติ ชอบสะสมอาวุธ เป็นคนศรัทธาทศกัณฐ์มาก ถึงขั้นสักรูปทศกัณฐ์ที่หน้าอก เหมือนเราชื่นชมใครเราก็สักยันต์เลย แต่รอยสักของโลกหุ่นยนต์ จะไม่เหมือนกับของคนสักของหุ่นจะเอาเหล็กมาแล้วก็ยิงตะปูติด ตัวกุมภกรรณข้างหลังจะสักยันต์เก้ายอดด้วยเป็นลายเลขเก้าเหมือนคนที่สักยันต์ทั้งตัว ผมตั้งใจใส่กลิ่นอายความเป็นไทยลงไปด้วย แต่ที่ไม่ทำรอยสักลงไปในเหล็กเลยเพราะมันจะดูน่ากลัวไป กุมภกรรณออกแบบง่ายหน่อย เพราะออกแบบไม่ได้อิงดารา ผมกับพี่จิกมีความคิดตรงกันว่าคาเร็คเตอร์กุมภกรรณต้องเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดแล้วน้ำลายจะไหล พี่ก็เลยออกแบบให้น็อตที่กรามปากมันหลุดอันหนึ่ง มันจะหลุดแล้วมันก็ดูดน้ำลายมันขึ้นมา แขนขามันก็ไม่เท่ากัน ใหญ่ข้างเล็กข้างข้าง แต่ออกมามันก็น่ารักดีนะ (หัวเราะ)
นกสดายุ เราออกแบบไว้แต่แรกว่าตัวนกสดายุต้องเป็นนกดำ และหาคนพากย์ผิวสีคล้ำที่เป็นสีดำเพราะวางโครงสร้างสีทั้งหมดไว้ มีครบทุกสีแล้ว ทศกัณฑ์สีเขียว หนุมานสีม่วง กุมภกรรณสีแดงน้องสนิมเป็นสีส้มชมพู ขาดอีกสีเลยใช้สีดำ และพอได้พี่เหมี่ยว (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) มาตรงเป๊ะพอดี ผมเลยออกแบบทรงผมเป็นหน้าม้านิดๆ ผมว่าออกแบบอันนี้ง่ายสุดแล้ว นกสดายุ ตัวนี้เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือมาจากสงครามครั้งก่อนยังไม่ตายกลับถูกขายต่อๆ มาอยู่ที่ยุคนี้ เป็นอาวุธสงครามของรักของหวงที่กุมภกรรณสะสมไว้ มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งก็คือจะเป็นหุ่นมีใบพัดบินได้ แต่ต้องไขลาน ไขลานปุ๊บก็จะขยับได้ บินได้ ถ้าเกิดลานหมดก็จะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นซึ้งเมื่อเวลามันถูกจำกัดด้วยการไขลาน ก็ช่วยให้หนังตื่นเต้นขึ้น ซึ่งจุดรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องนี้ออกแบบเพื่อรองรับเนื้อเรื่องไว้ตั้งแต่แรกครับ
ก๊อก ตัวนี้ออกแบบไม่ยากมากครับเพราะว่าคาแร็คเตอร์ชัดเจนว่าต้องเป็นพ่อค้าที่ขายของเก่ง พูดมาก มีเล่ห์เหลี่ยม การออกแบบของผมจะเน้นไปที่ดวงตาโตๆ ลึกๆ แขนขาเล็กๆ ลีบๆ ดูเป็นคนขายของ และพอได้คุณแจ๊ป เดอะ
ริชแมนทอย เข้ามาพากย์เสียงผมก็ใช้ลักษณะโครงหน้าของเขาเข้าไปรวมด้วย หัวของตัวนี้จะแปลกจากตัวอื่นตรงที่มีหัวที่เรียวยาวยื่นไปด้านหลัง ให้มีจุดเด่นและที่พิเศษกว่าตัวละครอื่นก็คือ ตัวนี้จะเป็นหุ่นตัวเดียวที่มีไฝ เพราะผมเอามาจากโหวงเฮ้งของคนที่พูดเก่ง ก็เลยเติมไฝไปแถวๆ ปาก และเจ้าก๊อกก็จะชอบเปลี่ยนอะไหล่ไฝของเขาชอบเอาตัวหุ่นแมลงมาติดเป็นไฝ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนขี้งกครับ
นักไต่เขา ตัวนี้เป็นตัวละครพิเศษครับ ตัวนี้ เราได้พี่โน้ส อุดม แต้พานิช มาพากย์ ตอนแรกผมออกแบบมาก่อน โดยมีไกด์มาก่อนว่าอยากได้แบบไหน และพอเอามาลองเทียบแล้วยิ่งเหมือนคุณโน้สเลย ต้องลองไปติดตามดูครับว่าเหมือนยังไง
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 27, 2012, 06:37:45 PM
Q: ความยากง่ายของการออกแบบคาแร็คเตอร์
X: ตอนแรกพี่ออกแบบหนุมานตัวเล็กเกินไป ยักษ์ตัวใหญ่มาก เพราะผมเข้าใจว่ายักษ์มันต้องตัวใหญ่ ตอนนี้มันวางกล้องไม่ได้เพราะพอไปจับหนุมานปุ๊บไม่เห็นยักษ์เลย เพราะว่าผมดีไซน์หนุมานไม่ถึงหัวเข่า มันเลยโต้ตอบกันไม่ได้กล้องมันต้องผ่านหลังยักษ์อย่างเดียวเพื่อมาหนุมาน ผมต้องเลยขยายขึ้นมาให้มันใกล้ๆ กันหน่อย อันนี้มันเลยกลายเป็นข้อปัญหาจากที่เราไม่รู้มาก่อน คาแร็คเตอร์หาเสียงยากสุดคือยักษ์ เพราะว่ายักษ์ต้องมีทั้งความน่ากลัว เสียงต้องใหญ่ แต่พอติงต๊องก็ต้องเสียงน่าสงสารด้วย หามาหลายคนมากจนในที่สุดมาเจอพี่หนุ่ม พอพากย์เสร็จพี่จิกเรียกเข้ามาดู พี่จิกว่าใช่พี่ก็ว่าใช่ ทำให้ใส่การเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ช่วงแรกเสียงยังไม่ลงตัว แอนิเมเตอร์ก็ทำการเคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะอารมณ์มันไม่ได้ จังหวะการพูดถ้าช้าหรือเร็วกว่านี้จะทำยาก เพราะว่าถ้าเกิดช้ากว่านี้ปุ๊บ แอนิเมเตอร์เขาเรียกว่ามันจะย้วย ภาพมันจะช้า ดังนั้นจังหวะการพูดการให้อารมณ์ของดารานี่สำคัญกับแอนิเมเตอร์เหมือนกัน เพราะว่าเราทำงานตามเสียงพากย์ครับ

Q: แสดงว่าเสียงพากย์มีความสำคัญมากกับเรื่องนี้
X: มีความสำคัญมากครับ ตอนที่ทำก็แอนิเมเตอร์ก็จะเริ่มเข้าใจล่ะ ตอนทำซีนแรกๆ จะยาก พอซีนหลังๆ แอนิเมเตอร์จะเริ่มอินกับความสัมพันธ์ของตัวละครจริงๆ เพราะว่าตอนพากย์พี่จิกให้ดารามาพากย์ด้วยกันเลย โต้ตอบกันจริงๆ แล้วพอมันออกมาปุ๊บแอนิเมเตอร์เริ่มจะเข้าใจในความสัมพันธ์ ว่าเขาโกรธกันจริงๆ เขางอนกันจริงๆ จะทำแอนิเมชั่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

Q: นอกจากตัวละครหลักแล้ว ยังมีตัวละครอื่นอีกไหม
X: จริงๆ แล้วคาแร็คเตอร์ทั้งหมดไม่ได้มีแค่ห้าตัวนะครับ มีอีกเป็นพันตัวเลย มีทั้งที่เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือจากสงครามหุ่นที่น่ารักๆ เป็นชาวเมืองต่างๆ ก็มี ผมจะดีไซน์มาแยกออกมาอีกที หุ่นประชาชนทั่วไปในเรื่องมักจะมีล้อเดียว สองล้อก็จะมีฐานะขึ้นมาหน่อยสามารถจะซื้ออะไหล่มา ถ้าตัวไหนดีมากๆ มีเงินเยอะก็สามารถเปลี่ยนเป็นสองขาได้ แต่สองขาไม่ใหญ่ ในเรื่องจะมีฉากที่เล่าว่ามีการขุดเจอราชายักษ์และเอามาขายชาวเมืองก็ตื่นเต้นกันใหญ่เพราะว่าเหล็กดีมาก แต่ทุกตัวที่มาก็อยากจะเอาอะไหล่มาเปลี่ยนให้ตัวเองครับเราก็ต้องดีไซน์มาเยอะ และเวลาที่ตัวละครเดินทางไปแต่ละเมืองเราก็จะเห็นดีไซน์ของหุ่นที่ไม่เหมือนกัน เมืองแต่ละเมืองก็จะมีสัญลักษณ์บาอย่างง เช่นเมืองที่เป็นเชียงกง เมืองนี้ก็จะเป็นเมืองที่เป็นสนิมๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ และก็พอเข้าไปโรงไฟฟ้าก็จะเป็นอีกเมืองหนึ่งก็จะเป็นอีกสีหนึ่ง ตรงนี้ก็จะใช้เวลานานอยู่ มีออกแบบไว้ ประมาณเกือบพันตัว ครับ ก็มีเอามาใช้สลับๆ กัน

Q: อีกหนึ่งความน่าสนใจของเรื่องนี้ที่ไม่แพ้ตัวละครเลยก็คือฉาก และบรรยากาศในเรื่อง ในโลกหุ่นยนต์ของเรื่อง “ยักษ์” นี้มีฉากไหนเป็นฉากเด่นน่าสนใจบ้าง
X: ในเรื่องนี้มีฉากเยอะครับ ฉากที่ใช้เวลาทำนานที่สุดจะเป็นฉากมหาสงครามครับ ที่ใช้เวลานานเพราะว่ามันเป็นฉากแรกและเราเริ่มลองทดลองการทำครั้งแรก ใช้เวลาประมาณครึ่งปีสำหรับฉากแค่สี่นาทีนะครับ ในฉากนี้เราจะเห็นหุ่นยนต์เยอะมาก มีการสร้างพวกสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์มากมายเพราะเป็นฉากโชว์ด้วย เรนเดอร์นาน เพราะว่ามันจะมีทั้งหินแตก ทั้งฝุ่น แสง ฉากนี้เราสร้างเพราะว่าต้องการให้เห็นความโหดร้ายของสงครามก่อนที่จะให้เห็นว่าสงครามมันไม่ดียังไงนะครับ เราก็เลยดีไซน์มาให้มันมีสีสันความเป็นสีส้ม สีแดง สีอะไรที่มันเป็นสงครามและก็มีการสูญสิ้นทั้งหมดเพราะว่าสงคราม และหลังจากนั้นมาหากันว่าเรามาหยุดสงครามกันยังไงในอนาคตในเรื่องครับ
ฉากต่อไปคือฉากเชียงกง เป็นตลาดที่ใช้ขายอะไหล่ให้หุ่นยนต์ตัวอื่นได้มาซื้อเปลี่ยน ฉากนี้ผมได้ไอเดียมาจากตลาดจริงๆ จากตลาดเซียงกงที่ขายพวกอะไหล่รถยนต์ เครื่องยนต์ต่างๆ ในบ้านเรา โดยผมออกแบบเริ่มจากท้องฟ้า สีของบรรยากาศ จะให้ความรู้สึกตอนเช้าๆ ที่เรากำลังจะไปตักบาตร พื้นดินด้านใต้เซียงกงนั้นจะ เต็มไปด้วยเศษเหล็ก หลังจากที่เกิดการระเบิดจากสงครามครั้งใหญ่ดินก็จะทับถมพวกซากต่างๆ ไว้ ทำให้มีอาชีพขุดของเก่าขาย ตอนเราสร้างฉากนี้ เราก็ต้องสร้างดินหรือหินคลุมเหล็กอยู่ข้างล่าง มันก็จะสร้างยากนิดนึงเพราะว่าในดินเราจะซ่อนเหล็กไว้ด้วย เวลาลากหุ่นยักษ์ขึ้นมาจากดินก็ต้องมีเศษเหล็กติดขึ้นมาทำให้เกิดความซับซ้อนในการสร้าง และเนื่องจากการเป็นตลาดก็ต้องมีตัวละครเยอะ ฉากนี้จะมีตัวละครสมทบเยอะมากเลยครับ
ต่อไปเป็นฉากที่เรียกว่าฉากยักษ์ตื่นครับ ในเรื่องฉากนี้พอราชายักษ์ตื่นขึ้นหลังจากที่หลับมานานมันก็จะเกิดความสับสน อลหม่าน เพราะมันทำลายเมืองแบบไม่ตั้งใจ ชาวเมืองก็เลยโกรธและออกไล่ล่า เป็นฉากที่สนุกสนานและ น่ารักครับเพราะตัวยักษ์จะดูเอ๋อๆ ฉากนี้ก็สร้างกันนานครับ เพราะเราเริ่มสร้างจากทุกอย่างเป็นศูนย์ มีทั้งตึกรามบ้านช่องมากมาย และตัวละครชาวเมืองเยอะไปหมด ที่ต้องใช้เวลาเพราะต้องใส่การเคลื่อนไหวให้ตัวละครทุกตัว ให้มันวิ่งตามๆ กัน มีการแสดงอารมณ์ที่สีหน้าไปด้วย และฉากนี้มันมีการเคลื่อนไหวฉากหลังมันก็เลยต้องเปลี่ยนไป เลยจะยากกว่าฉากที่อยู่นิ่งๆ แล้วตัดฉากไป
ฉากปาหี่ของกุมภกรรณ ฉากนี้เป็นฉากเปิดตัวของกุมภกรรณกับน้องสนิม เป็นการเล่าเรื่องแบบละครเวทีมิวสิคคัลฉากนี้ใช้เวลาทำนานเหมือนกัน เพราะมีหุ่นยนต์ที่ใช้หลายร้อยตัวมาดูการแสดงปาหี่ การจัดแสงต่างๆ ได้ไอเดียมาจากงานคอนเสิร์ตครับ แต่ฉากนี้ใช้เวลาจัดแสง จัดไฟ ค่อนข้างยากเพราว่ากุมภกรรณเป็นสีแดง แต่แสงเป็นสีเขียวและมันเป็นสีที่ตัดกัน ใช้เวลาจัดนานกว่าจะลงตัวสวยงาม ต้องใส่ใจเรื่องการจับคู่สีกับอารมณ์ของภาพ บางภาพเราจัดไปปุ๊บมันมืดไปเด็กไม่น่าจะชอบเราก็จะเพิ่มไฟให้สว่างขึ้นมาอีก ส่วนเรื่องการใส่การเคลื่อนไหวของฉากนี้ต้องดูเสียงเพลงประกอบด้วยครับเพราะเป็นฉากมิวสิคคัลเลยต้องทำให้เข้ากับเพลง ยากตรงที่เราต้องทำให้หุ่นเหล็กให้ดูเป็นทั้งการ์ตูนด้วยเป็นทั้งเหมือนจริงด้วย แต่การที่มีเพลงเข้ามานั้นเป็นผลดีเลยครับ ถ้าเกิดมันมีเพลงเข้ามาอยู่ในฉากนั้นมันจะทำให้
แอนิเมเตอร์รู้อารมณ์ของเรื่อง และก็การเคลื่อนไหวของปากที่ถูกเพลงกำหนดไว้ได้ง่ายขึ้น มันจะง่ายขึ้นจากการพากย์ธรรมดา แต่มันยากตรงที่ว่าถ้ามันถูกเพลงกำหนดไว้แล้วการเคลื่อนไหวมันจะเร็วหรือช้าเนี้ย แอนิเมเตอร์จะต้องเรียนรู้กันเองด้วย และผมจะไปช่วยดูอีกทีหนึ่ง
ฉากฟาร์มแม่เหล็ก ฉากนี้ใช้การออกแบบง่ายๆ ครับ ถ้าพูดถึงฟาร์มแล้ว ในความคิดแรกของหลายคนมันต้องเป็นฉากใหญ่ ตอนแรกฟาร์มแม่เหล็กที่เราจินตนาการมันต้องมีเครื่องปั่นไฟฟ้าเยอะมาก แต่ทีนี้ผมลองมาเปลี่ยนการออกแบบให้มันน้อยลง ผมก็เลยใช้เป็นแม่เหล็กเกือกม้าครับ เป็นแม่เหล็กอันใหญ่ๆ อันเดียวเลยก็สื่อความหมายได้แล้ว แม่เหล็กนี้ไว้ใช้เปลี่ยนเหล็กให้กลายเป็นแม่เหล็ก และใช้ผลิตกระแสไฟไฟฟ้าให้กับเมืองหุ่นยนต์ เมื่อหุ่นยนต์ที่เข้าใกล้แม่เหล็กก็จะถูกดูดเข้าไป ฉากนี้เป็นฉากที่น่าตื่นเต้นน่ารอชมอีกฉาก
ฉากตัดโซ่ ในเรื่องนี้จะเห็นสถานการณ์ที่เผือกและเขียวพยายามจะตัดโซ่ออกจากกันหลายครั้งคนดูจะได้สนุกไปกับสถานการณ์หลากหลายที่ทำให้ตัวละครทั้งสองเป็นฮีโร่เพราะได้ช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่ได้ตั้งใจ และสร้างความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปตลอดการเดินทาง แต่เบื้องหลังการสร้างนั้นยากเหมือนกันครับเพราะมันเปลี่ยนฉากเยอะ ฉากไหนที่มันเกิดการเปลี่ยนฉากเร็วมันจะส่งผลทั้งการขึ้นโมเดลของเมือง ฉากนี้มีประมาณหกถึงเจ็ดฉากมันเลยต้องเปลี่ยนเร็ว ใช้เวลาในหนึ่งฉากแค่ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ใช้แรงในการทำงานในการสร้างฉากเยอะ ฉากหนึ่งใช้เวลาเฉลี่ยแล้วประมาณ 4-6เดือน บางฉากก็ปีหนึ่งก็มีครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 27, 2012, 06:38:33 PM
Q: คิดว่าเสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่ไหน และอะไรที่ทำให้เรื่องนี้มีความน่าใจกว่าหนังแอนิเมชั่นทั่วไป
X: เสน่ห์ของเรื่องนี้ที่ไม่เหมือนใครน่าจะอยู่ที่บท เป็นสิ่งแรกที่ผมอยากทำเลย ทางทีมงานของเราชอบบทก่อนเลยมันเลยทำงานกันแบบรู้ทิศทาง และบทที่พี่จิกเขียน มันแข็งแรงพอที่จะมาทำการ์ตูน แล้วเราก็มาช่วยกันทำให้มันออกมาสมบูรณ์มากขึ้น แล้วคาแร็คเตอร์ที่ผมนำไปให้พี่จิกดูมันเข้ากันได้พอดี มันรองรับกัน ผมเลยรู้สึกว่าอาร์ตไดเร็คชั่นมันตรงกับบท เราก็เลยเริ่มมาสร้างดีไซน์สร้างโมเดล เราก็ใช้อาร์ตไดเร็คชั่นพวกความเป็นไทย พวกบรรยากาศท้องฟ้าอารมณ์ของการใส่บาตรตอนเช้าผมเอาอันนี้ใส่ไปด้วย อาจจะไม่มีลายไทยจ๋านะ เราใส่ความเป็นไทยอย่าง เช่น รอยสักยันต์ของหุ่นยนต์แต่ละตัว บางตัวถ้าสังเกตให้ดีมีเสือเผ่นด้วย ตัวเสือเผ่นนี้พี่จิกมาพากย์ด้วย (หัวเราะ)
เรื่องแสงสีเราก็ศึกษาเอาความเป็นสากลกับความเป็นไทยมาผสมกัน โปรเจ็คนี้มันเปิดโอกาสให้ผมทำอะไรที่มันไม่ปกติ มันไม่ปกติคือมันไม่ใช่การ์ตูนตาใส มันไม่ใช่การ์ตูนที่มันดิสนีย์ทั่วไปอ่ะ หรือที่เราเคยเห็นว่าการ์ตูนมันต้องน่ารัก จริงๆ การ์ตูนเราก็น่ารัก แต่เป็นแบบไม่ปกติแบบป่วยๆ นิด (หัวเราะ) ไอ้ตัวที่มันไม่น่าเป็นพระเอกมันเป็นพระเอกได้
นอกจากนี้พี่ว่าองค์ประกอบภาพของเรื่องนี้มันจะเปิด Space (พื้นที่) ให้คนดูหายใจได้ อย่างฉากที่ตัวละครหลักมันเดินแล้วมีโซ่ติดกันอยู่จะเห็นพื้นที่เป็นท้องฟ้ากว้างๆ หรือ ฉากหลังเป็นทะเลทราย ผมจะออกแบบวางองค์ประกอบกึ่งๆ สไตล์ญี่ปุ่นบวกกับทางอเมริกานิดๆ แต่ก็ไม่ได้ไปด้านไหนด้านหนึ่งเป็นกลิ่นอายมามากกว่า
และผมว่า เรื่องนี้มันไม่ใช่การ์ตูนนะ มันเป็นหนัง เหมือนอย่างหนังคนแสดงนี่แหละ ผมเคยคุยกับพี่จิกนะว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูนคน มันเป็นการ์ตูนคนแสดง เราจะทำการเคลื่อนไหวอิงจากคนจริงๆ ครับ หมายถึงการเคลื่อนไหวมันจะเป็นตามจริง เช่น ยักษ์วิ่ง-เดินก็เดินหนักๆ ช้าๆ จริงๆ ยักษ์เศร้าก็เศร้าจริงๆ มันจะเป็นงานที่ไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กมาก เราจะไม่ให้การเคลื่อนไหวดูเป็นการ์ตูนเกินไป แต่ถ้าอันไหนเป็นฉากสนุกๆ เราจะทำการเป็นเคลื่อนไหวเป็นแบบการ์ตูนไว้บ้างเช่นฉากร้องเพลง แต่อะไรที่แสดงอารมณ์เยอะๆ จะให้ผมจะให้แอนิเมเตอร์อิงจากจากการเคลื่อนไหวของคนพากย์ให้ใกล้เคียงที่สุดครับ ถึงจะเป็นหุ่นแต่เราต้องทำคนเชื่อก่อนว่าตัวนี้มันไม่ใช่แค่แอนิเมชั่นนะ มันเป็นหุ่นที่มีชีวิตจริงๆ มีการเคลื่อนไหวแบบคนจริงๆ มีอารมณ์มีความรู้สึกต่างๆ มีโกรธกัน มีงอนกัน มีสู้กัน มีความเจ็บปวด เป็นหนังที่จะเล่าถึงความรู้สึกของเพื่อนเน้นความสัมพันธ์ อารมณ์สูงมาก

Q: บ้านอิทธิฤทธ์ มีทีมงานกี่คน และคนทำงานยังไงบ้าง
X: บ้านอิทธิฤทธิ์ก็มีทีมงานประมาณสามสิบกว่าคนนิดๆ และรวมแม่บ้านแล้วด้วย (หัวเราะ) งานหลักของเราคือเราทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นครับ และโปรเจ็คแรกก็เรื่องยักษ์ครับ แต่ตอนนี้เรากำลังร่างโปรเจ็คใหม่อยู่ ซึ่งระหว่างเรากำลังพัฒนาบทของหนังแอนิเมชั่น เราก็จะรับทำงานโฆษณาที่เป็น CG บ้าง เพื่อหาเงินมาจะทำความฝันของพวกเรา (หัวเราะ) เราอยากทำหนังใหญ่ เราก็ต้องเอารายได้จากหลายๆ ทางมาทำให้โปรเจ็คที่สองของเราเกิดขึ้นด้วยตอนนี้ ทีมงานของเราราเรียกว่าน้อยมากถ้าเทียบกับเมืองนอกครับ แต่ศักยภาพของบ้านอิทธิฤทธิ์ไม้แพ้กันเพราะเราทำงานแบบสับเปลี่ยนได้ ผมรู้ว่าทีมงานคนไหนมีศักยภาพด้านไหนบ้าง สมมุติว่าคนนี้สร้างโมเดลเสร็จปุ๊บ คนนี้ผมรู้ว่าสามารถจะใส่ลิงค์กระดูกให้แอนิเมเตอร์ได้ ก็จะสับเปลี่ยนเขามาช่วยทำงานตรงนี้ต่อ และเอาคนอื่นมาสลับงานแทนกันได้ สามสิบคนนี้สามารถจะทำหนังใหญ่ได้เรื่องหนึ่ง ผลงานเราไม่แพ้ต่างชาตินะ แต่คนเราน้อยกว่า แต่เราใช้ความสามารถทางศิลปะช่วยด้วย ซึ่งผมว่ามันทำได้นะโดยที่คนไม่ต้องเยอะ

Q: หนังจากหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ออกฉาย มีเตรียมผลงานถัดไป บ้างแล้วรึยัง
X: ตอนนี้เราก็กำลังทำผลงานเรื่องที่สองอยู่ครับ กำลังอยู่ในขั้นตอนออกแบบคาแร็คเตอร์กันอยู่ หลังจากที่เราทำยักษ์เราก็จะเรียนรู้ประสบการณ์มาพัฒนากับหนังเรื่องต่อไปครับ แอนิเมชั่นที่กำลังจะทำขึ้นก็เป็นบทจากพี่จิก ประภาส เช่นเดิมครับ แต่เราจะทำด้วยเทคโนโลยีสูงขึ้น อะไรที่เคยทำไม่ได้เมื่อ หกปีที่แล้วตอนนี้เราก็ทำได้แล้ว ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและก็บุคลากรก็จะมีพัฒนาขึ้นด้วย เพราะเราก็มีประสบการณ์กันมาแล้วครับ

Q: เรื่องยักษ์นี่ ขึ้นชื่อกันมากว่าได้ทำงานร่วมกับคนเก่งๆ มากมาย สิ่งที่ได้จากการทำงานเรื่องนี้คิดว่าเป็นอะไรบ้าง
X: สิ่งที่ผมได้จากการทำหนังเรื่องนี้ก็คือได้ร่วมงานกับคนเก่งๆมากมาย อย่างเช่น พี่จิกเขามีฝีมือการเขียนบท และการแก้ปัญหาที่แม่นยำมากครับ เรื่องนักพากย์ก็เยี่ยม ถ้าคนพากย์ พากย์เสียงแบบไม่ได้อารมณ์ เราก็จะทำแอนิเมชั่นไม่ได้ขนาดนี้ ทั้งคนแต่งเพลงทำเพลง ฝ่ายประสานงาน ทุกๆ ฝ่ายเลย มันทำให้ผมทำงานดีขึ้นด้วยและโตขึ้นด้วย การทำงานกับคนเก่งๆ มันทำให้ตัวเราพัฒนาขึ้นเยอะและเร็วมากด้วย ผมก็ซึมซับการเรียนรู้ไปด้วยว่าการทำงานอันนี้เราไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน เราก็ศึกษามาจากคนนี้ คนที่มีศักยภาพบางอย่างมารวมกัน โดยที่เราไม่ต้องใช้เงินทุนเยอะหรือสูงมากถ้าเกิดคนเก่งๆ มาทำงานกัน คือเราจะประหยัดทั้งเงินและเวลาด้วย และเราจะได้เรียนรู้ด้วย คือทุกส่วนเลยคนไม่เท่าฝรั่งแน่ๆ แต่คนเก่งๆ มารวมกันเนี่ย แต่ละคนเก่งในสายแต่ละสาย ทำให้งานมันเร็วขึ้น และงานมันตรงที่เราคิดเยอะขึ้น ทำให้บ้านอิทธิฤทธิ์ทำงานง่ายขึ้นด้วย

Q: หนังได้ไปฉายโชว์ ที่เมืองคานส์ และไปโปรโมทตามประเทศต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง รู้สึกอย่างไรบ้างที่หนังได้รับการยอมรับจากต่างชาติ
X: ผมก็ดีใจครับที่คุณภาพของหนังของเราฝรั่งเขายอมรับ คุณภาพมันสูงพอที่ออกต่างประเทศได้ ตอนไปฉายโชว์ที่ญี่ปุ่นก็มีคนมาคุยด้วย ไม่รู้ว่าคนนี้เป็นใคร มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นนักเขียนการ์ตูนดังเลย เขาบอกว่าอยากจะมาร่วมงานด้วย อยากทำงานด้วย เขาชอบการเคลื่อนไหวของตัวยักษ์ เขาก็พูดภาษาญี่ปุ่นว่าเห็นเราทำดี เห็นแล้วมีไฟกลับไปเขียนการ์ตูนต่อด้วย เราก็ปลื้มครับ

Q: คำนิยามของคำว่า “ยักษ์” ของพี่เอ็กซ์หมายถึงอะไร
X: หากผมคิดถึงยักษ์ จะคิดถึงยักษ์ที่ตัวใหญ่ๆ มีบารมีสูงๆ มีอำนาจ แอบคิดว่าบุคลิกของผมใกล้กับตัวนี้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) เพราะว่ามันจะมีความดุร้าย และก็อ่อนโยนด้วย จริงๆ ก็ใกล้ๆ กันกับตัวที่อยู่ในเรื่องนี้

Q: ยักษ์ตัวแรกที่รู้จัก เป็นยักษ์อะไร
X: น่าจะเป็นทศกัณฐ์ครับเพราะส่วนหนึ่งเรียนด้วย แต่ทศกัณฐ์ของผมจะเป็นยักษ์ที่ตัวใหญ่มากใหญ่กว่าวรรณคดีครับ

Q: ในหนังเรื่องนี้มีประเด็นแกนหลัก เกี่ยวข้องกับมิตรภาพ หากอยู่ในสถาณการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง “มิครภาพและ หน้าที่” จะเลือกอย่างไร
X: ผมเลือกทั้งสองอย่างได้ไหม (หัวเราะ)

Q: คิดว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม
X: ได้ครับ ถ้าเราตัดทุกอย่าง เข้าไปคุยกับศัตรูดูบางทีอาจจะดีกว่าที่เราคิดก็ได้ เพราะว่าเราคิดกันเอง บางทีเราคิดว่าคนนี้เป็นศัตรูเพราะว่าอาจจะโหงวเฮ้งไม่ตรงกับเรา หรือว่าโหงวเฮ้งแบบนี้เคยทำร้ายเรามาก่อน (หัวเราะ) แต่ถ้าเข้าไปคุยมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 27, 2012, 06:40:51 PM
อลังการแอนิเมชั่นฟอร์ม “ยักษ์” ส่ง 2 เวอร์ชั่นให้คนไทย-ต่างชาติ เลือกดู 2 ภาษาทั้ง “เสียงไทยและเสียงอังกฤษ”









                        ยิ่งใหญ่สมชื่อจริงๆ สำหรับ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ที่ใช้เวลาในการสร้างนาน6ปีเต็มจากผลงานการทุ่มทุนสร้างของ “สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล” และพันธมิตรอย่าง “บ้านอิทธิฤทธิ์ ซูเปอร์จิ๋ว และเวิร์คพอยท์พิคเจอร์ส” ด้วยทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจจนถือได้ว่าเป็นอีกย่างก้าวสำคัญ (BIG STEP) ของภาพยนตร์แอนิเมชั่นสัญชาติไทยที่คอหนังจะได้สัมผัสกับแอนิเมชั่นยักษ์พร้อมกันถึง 2 เวอร์ชั่น นั่นคือในเวอร์ชั่นเสียงภาษาไทย ซึ่งยกทีมนักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง “หนุ่ม สันติสุข ในบท น้าเขียว (ยักษ์ทศกัณฐ์) หอย เกียรติศักดิ์ ในบท เผือก (หนุมาน), ตั๊ก บริบูรณ์ ในบทกุม, เหมี่ยว ปวันรัตน์ ในบทนกสดายุ, น้องออมสิน ชนินาภ ในบทสนิม พร้อมด้วย แจ๊ป เดอะริชแมนทอย และอุดม แต้พานิช มาร่วมให้เสียงให้ชีวิตเหล่าคาแรคเตอร์การ์ตูนแต่ละตัวได้โลดแล่นอย่างมีสีสัน และในเวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษโดยมีทอดด์ ลาเวลล์ ศิลปินนักร้องนักแสดงชาวอเมริกันมารับหน้าที่กำกับการให้เสียงภาษาอังกฤษพร้อมกับรับหน้าที่มาให้เสียงให้ชีวิตตัวน้าเขียวหรือหุ่นยักษ์ทศกัณฐ์ด้วย

          “ปกติเราทำหนังเราก็มีภาษาไทยอยู่แล้ว แต่สำหรับการ์ตูนยักษ์เราตั้งใจว่าต้องทำเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษด้วยก็เพื่อหวังขายต่างประเทศด้วย โดยในประเทศไทยก็มีฉายให้ชมทั้งสองเวอร์ชั่นทั้งไทยและภาษาอังกฤษ เวอร์ชั่นไทยก็ดูกันไป ชาวต่างชาติหรือคนไทยที่ดูหนังที่เป็นเสียงภาษาอังกฤษก็จะได้ชมด้วย หรือบางคนดูไทยแล้วอยากดูภาษาอังกฤษอีกก็ได้

          พาณิชย์ สดสี ผู้ควบคุมงานสร้างแอนิเมชั่นยักษ์ที่ผ่านการทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะมันสมองระดับหัวกะทิคู่กับจิกประภาสมากว่า 2 ทศวรรษให้เหตุผลที่ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความอลังการที่ถือได้ว่าเป็น1 ในความตั้งใจตั้งแต่เริ่มต้นในขั้นตอนการผลิตแอนิเมชั่นยักษ์ที่จะต้องอัดแน่นไปด้วยความพร้อมถึงมาตรฐานในคุณภาพของงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้โจทย์ที่ว่า“ยักษ์จะเป็นแอนิเมชั่นสัญชาติไทยเรื่องแรกที่ผลิตขึ้นมาทีเดียว 2 เวอร์ชั่น 2 ภาษานั่นคือเสียงไทยและเสียงภาษาอังกฤษ ตามความตั้งใจของคนเลี้ยงยักษ์อย่างจิก ประภาส ชลศรานนท์เลยทีเดียว

          “ก็ตั้งใจจะทำให้เป็นสองภาษาตั้งแต่แรกเลย เพราะฉะนั้นในการทำงานพี่ก็ถือว่าเอาคนไทยเป็นต้นฉบับ ปากทุกคำ ขยับปากเป็นภาษาไทยเป๊ะ สระอูสระโอเป๊ะ สิ่งที่ยากมากคือทอดด์จะต้องมานั่งข้างๆ เพราะว่าภาษาอังกฤษเคยถูกแปลมาแล้วทีหนึ่งโดยเดลล์ ซึ่งเป็นนักเขียนบทที่อเมริกา แปลไปแล้วรอบหนึ่งแล้วก็ถูกเกลาไปแล้วอีกหลายรอบเหมือนกันเพราะในแง่ด้วยของเรื่องภาษา จนมาถึงมือทอดด์อีกครั้งหนึ่งเนื่องจากทอดด์เก่งภาษาไทยมาก และนั่งคุยกันว่าท็อดด์ต้องตรงปากให้ขยับใหม่ภาษาใหม่แล้วก็ใส่มุกฝรั่งลงไปแทนภาษาไทย แล้วเชิญคนฝรั่งชาติอื่นที่ไม่ใช่อเมริกันมานั่งดูด้วย เขาขำในมุกอเมริกันของคุณหรือเปล่าเอาขนาดนั้นเลย ตัวอย่างเช่นในเวอร์ชั่นเสียงไทยหุ่นกระป๋องสนิมจะร้องเพลงในฉากมิวสิคคัลแนะนำตัวเองร้องว่าสนิมคือชื่อหนู มันลงท้ายสระอูคนแรกที่แปลแปลไว้ว่า รัสตี้อีสมายด์เนม ความหมายตรงแต่ปากมันไม่ตรงกันทอดด์ต้องทำงาน ก็จะกลายเป็นรัสตี้เยสอีสทรู แล้วค่อยเป็นอิสมายเนมคือความหมายเหมือน เดิมแต่เขาแค่ให้ขยับคำใหม่ เพื่อมให้การขยับปากกับเสียงไปด้วยกัน ซึ่งถ้าดูภาษาฝรั่งแล้วเราอาจจะงงว่านี่มันหนังฝรั่งนี่นาเพราะว่าปากมันค่อนข้างใกล้มาก”

ละเอียดพิถีพิถันกันขนาดนี้ ตั้งแต่บทภาพยนตร์ เรื่องราว การออกแบบคาแรคเตอร์การ์ตูนแต่ละตัวมาจนถึงการคัดเฟ้นผู้ที่จะมาให้เสียงให้ชีวิตของตัวการ์ตูนทั้งสองเวอร์ชั่นทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษเลยทีเดียว ไปร่วมภาคภูมิใจกับ ยักษ์ ภาพยนร์การ์ตูนแอนิเมชั่นที่จะทำให้ทุกคนล้วนอิ่มเอมไปกับความสนุกสนานพร้อมกัน 4 ต.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on September 27, 2012, 06:42:10 PM
“ยักษ์ FESTIVAL” ขอชวนแฟนๆ ร่วมสนุกกับกิจกรรมสนุกสนาน สัมผัสประสบการณ์ “ยักษ์บุกเมือง”



YAK Trailer (Eng Version)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=LD1nX7aib6g" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=LD1nX7aib6g</a>

Yak Ost.- Mv.เพลง แบ่ง
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=O3JaklY0dwo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=O3JaklY0dwo</a>

          “ยักษ์ FESTIVAL” ขอชวนแฟนๆ ร่วมสนุกกับกิจกรรมสนุกสนาน สัมผัสประสบการณ์ “ยักษ์บุกเมือง” รวมทุกสิ่งละอันพันละยักษ์ กระทบไหล่นักแสดงและผู้สร้าง พร้อมมินิคอนเสิร์ต ROOM39

          ต้อนรับการมาของ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นพันธุ์ไทยทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนลร่วมกับ บ้านอิทธิฤทธิ์ ซูเปอร์จิ๋วและเวิร์คพอยท์พิคเจอร์ส ชวน น้องๆ หนูๆ ยักษ์เล็กเด็กแดงไปจนถึงวัยรุ่นเด็กแนวและยักษ์ใหญ่ประจำบ้าน เกี่ยวก้อยโอบไหล่กันมาร่วมสัมผัสกับประสบการณ์ “ยักษ์บุกเมือง กับยักษ์ FESTIVAL” อาทิตย์ที่30กันยายนนี้ 11 โมงถึง 2 ทุ่มที่ลาน EDEN 1 ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

          สนุกสนานกับกิจกรรมยักษ์ๆ ไฮไลท์ที่ทุกคนรอคอยกับ “การแข่งขันยักษ์กะเย่อ” รอบชิงชนะเลิศ วัดพลังยักษ์ในตัวน้องๆ กับรถยักษ์ ให้เห็นกันจะๆ ร่วมลุ้นร่วมเชียร์ว่าใครจะเป็นแชมป์

          พบกับนิทรรศการเรื่องเล่า “หน้ายักษ์แบบน่ารัก” พร้อมสนุกกับการบุกเมืองแบบ “น่ายักษ์แต่น่ารัก” ของยักษ์แอนด์เดอะแก๊ง แล้วอย่าลืมมา ถ่ายภาพ แล้วอัพโหลดอวดเพื่อนๆ กัน

          ครั้งแรกกับมินิคอนเสิร์ตของ 3 เพื่อนซี้ “ROOM39” พร้อมเสียงร้องสดๆ กับ “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ”บทเพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์ “จากฝีมือการแต่งของ “แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข”

          สัมผัสความน่ายักษ์แบบกวนๆ กับทีมนักแสดงที่ให้เสียงให้ชีวิตเหล่าตัวการ์ตูนแอนิเมชั่น “ยักษ์” โลดแล่นได้อย่างสนุกสนานนำทีมโดยพี่หนุ่ม-สันติสุข พรหมศิริ (น้าเขียวทศกัณฐ์ หุ่นยักษ์), ตั๊ก-บริบูรณ์ จันทร์เรือง (กุมหุ่นยักษ์สีแดง), แจ๊ป เดอะริชแมนทอย (ก๊อกหุ่นยนต์พ่อค้าหุ่นเก่า), ทอดด์ ทองดี (ผู้ควบคุมการพากย์ยักษ์ในเวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษและให้เสียงของยักษ์เขียวทศกัณฐ์ในภาษาอังกฤษ), น้องออมสิน-ชนินาถ ศิริสวัสดิ์ (หุ่นกระป๋องสนิมน้อย) พร้อมผู้สร้างและทีมงานผู้อยู่เบื้องหลัง “ยักษ์” ฯลฯ

          พิเศษสุดท้าให้ทุกคนที่รักยักษ์ แน่จริงมาขนของที่ระลึกแสนน่ารักจาก “ยักษ์” ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้ทุกคนได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมพิเศษตามบูธเกมต่างๆ ฟรี รับประกันความสนุกครบทุกกระบวนท่ายักษ์ที่พลาดไม่ได้อีกเพียบ

          ครั้งแรกและครั้งเดียวหลังจากบ่มเพาะฟูมฟักในทุกขั้นตอนกว่าจะมาเป็นแอนิเมชั่นยักษ์ ด้วยเวลานานถึง 6 ปีเต็ม ถึงเวลาแล้วที่ “ยักษ์” จะออกมาอวดโฉมให้ทุกคนร่วมภาคภูมิใจและเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ “ยักษ์บุกเมือง” แล้วอย่าลืมไปตกหลุมรักยักษ์กันนะจ๊ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 01, 2012, 05:53:52 PM
บทสัมภาษณ์ โน้ส-อุดม แต้พานิช พากย์เสียง บรู๊ค-นักไต่เขา ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”



          การพากย์เสียงแอนิเมชั่นครั้งแรกของ โน้ส-อุดม แต้พานิช ในบทบาทเล็กๆ แต่สำคัญ “มาก” “บรู๊คส์ นักไต่เขา” ผู้สอนให้รู้จักหน้าที่ของชีวิต
 
           Q: ทราบมาว่าตัวละคร “นักไต่เขา” ของพี่โน้ส ในแอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” นี้เป็นอีกหนึ่งบทที่พิเศษสุดๆ มีความสำคัญมากกับเรื่องแม้จะเป็นบทรับเชิญ อยากให้ช่วยพูดถึงบทบาทนี้สักนิด
          N: ผมอุดม แต้พานิชนะครับ ก็ได้รับมอบหมายให้มาให้เสียงตัวละคร “บรู๊คส์” นะครับ เขาเป็นนักไต่เขาครับ ตัวบรู๊คส์เป็นตัวละครเล็กๆตัวหนึ่งนะครับแต่ว่าเขาจะมาบอกสาส์นอะไรบางอย่างในเรื่องเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งที่ทำให้ตัวละครหลักทั้งสองตัวนั้นได้เรียนรู้อะไรบางอย่างนะครับ เป็นคำพูดเล็กๆ สั้นๆ แต่ว่าทำให้ตัวละคร ฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ ซึ่งบทสนทนาของเขาแม้จะเป็นคำพูดเล็กๆ แต่ค่อนข้างทรงพลังและมีผลต่อเรื่องครับ

          Q: งานนี้เป็นการพากย์แอนิเมชั่นครั้งแรกของพี่โน้ส มีความยากง่ายอย่างไรบ้างช่วยเล่าถึงประสบการณ์การพากย์ให้ฟังกันหน่อย
          N: งานพากย์ของผมครั้งนี้มันทำงานยากนิดหนึ่งนะครับ อย่างคนอื่นในการทำงานทีมงานเขาจะให้มีการโต้ตอบเหมือนละครเวทีแล้วค่อยให้วาดการ์ตูนเป็นแอนิเมชั่นตามบท แล้วทำการขยับปากตามการเคลื่อนไหวของนักแสดง ออกเป็นภาพมาตามเสียง แต่ตัวละครของผมภาพมาก่อนแล้วผมก็มาพากย์ จะยากในการไล่งับจับจังหวะและแสดงอารมณ์ มันก็เหมือนการพากย์หนังในสมัยโบราณน่ะครับ แต่มันเกิดขึ้นเฉพาะตัวละครของผมนะ ไม่รู้ทำไมครับ (หัวเราะ) งานจะยากเพราะผมต้องมาลงเสียงให้ตรงปากแล้วทีนี้มันเป็นตัวการ์ตูนด้วยการ์ตูนปากมันจะไม่เหมือนคนเราพูดมันจะอ้าปากกว้างๆ ดีแต่ว่ามุขไม่ค่อยเยอะครับ

          Q: ตัวละครตัวนี้ทางทีมงานแจ้งมาว่าสร้างขึ้นมาจากตัวพี่โน้สเลย อย่างนี้ตอนพากย์ได้ใส่ความเป็นตัวเองให้กับตัวละครบ้างรึเปล่า
          N: ทางทีมงานก็บอกผมว่าสร้างมาจากผม ก็ดูแล้วหน้าคล้ายๆเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ทางโปรดิวเซอร์เขาอยากได้แบบนั้นน่ะครับ เขาบอกว่าเขานึกถึงเรา ทีนี้ผมก็ลองพากย์ให้เค้าหลายแบบเลือกให้เขาไปดูหลายแบบ ดูว่าเขาชอบแบบไหน ทั้งแบบคนแก่มีอายุ คนใต้ นักเลงปากซอย เขาก็ลองเลือกดูนี่ผมก็ไม่รู้นะครับว่าโปรดิวเซอร์จะเอาแบบไหนนะครับ (หัวเราะ)

          Q: ปกติเป็นคนที่ชอบแอนิเมชั่นไหมและคิดอย่างไรกับแอนิเมชั่นไทยบ้าง โดยเฉพาะเรื่อง “ยักษ์” มีจุดเด่นหรือความน่าสนใจต่างจากเรื่องอื่นอย่างไร
          N: ผมชอบดูแอนิเมชั่นโดยเฉพาะของค่ายจิบลิครับ เรื่องโปรดคือเรื่อง Spirited Away ผมชอบแอนิเมชั่นญี่ปุ่นครับส่วนแอนิเมชั่นไทยครั้งล่าสุดที่ได้ดูก็สุดสาครนะ (หัวเราะ) พูดเล่นๆ ครับ ผมอยากดูเรื่องยักษ์นี้มากครับ รอเรื่องนี้มาหลายปี เห็นว่าทำมา 6 ปีแล้ว แล้วก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนะครับถึงแม้มันจะเป็นส่วนเล็กๆ นะครับ ผมว่าบ้านเราน่าจะมีหนังแอนิเมชั่นอย่างนี้เยอะๆ นะครับ จุดเด่นของเรื่องนี้ ผมชอบตรงที่เอาตัวละครจากวรรณคดีมาประยุกต์อันนี้ผมว่าน่าสนใจมากๆ ครับ เรื่องยักษ์นี้นะครับก็จะเป็นแอนิเมชั่นที่ผมว่าจะฝากมุมดีๆ เกี่ยวกับ “มิตรภาพ”แล้วก็ “หน้าที่”ของเราไว้ให้คิด อันนี้น่าสนใจมากอยากให้ลองมาดูกันนะครับ

          Q: เมื่อได้ยินคำว่า “ยักษ์” แล้วนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก และยักษ์ตัวแรกที่พี่โน้สรู้จักคืออะไร
          N: ถ้าได้ยินคำว่ายักษ์ก็จะนึกถึงความดุร้าย มีเขี้ยว ผมคิดว่าคนจะรู้สึกคล้ายๆกันนะ ดุร้ายมีเขี้ยวขี้โมโหส่วนยักษ์ตัวแรกที่รู้จักก็คือยักษ์วัดแจ้งวัดโพธิ์ (จากหนังเรื่อง ท่าเตียน) เป็นหนังที่ดูมายุคเดียวกับหนังพวกหนุมานพบ 7 ยอดมนุษย์น่ะครับ

          Q: ในเรื่องราวของ “ยักษ์” จะมีประเด็นหลักเกี่ยวกับมิตรภาพ อยากถามว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง “มิตรภาพ”กับ “หน้าที่” จะเลือกอย่างไหน
          N: โหอันนี้ยากนะ อันนี้เป็นคำถามที่ดีนะ ถ้าต้องเลือกระหว่างมิตรภาพกับหน้าที่ มันลึกซึ้งนะมันมีมิตรภาพอยู่หลายระดับทั้ง คนรู้จัก เพื่อน เพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง พ่อตัวเอง แม่ตัวเอง (หัวเราะ) อะไรอย่างนี้มันมีสัดส่วนในการที่เราต้องตัดสินใจด้วยนะอันนี้เลือกตอบยากจริงๆ ครับคงขึ้นอยู่กับแค่ละคนจะเลือกครับ

          Q: ในเรื่องนี้ยังมีเรื่องราวของคนที่รบกันมาหลายล้านชาติ แล้วมาเจอกันใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดว่าคนที่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อนจะสามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม
          N: ได้สิ ได้จริงๆ เคยทำมาแล้วด้วยครับ ศัตรูเปลี่ยนมาเป็นมิตรได้จริงๆ แต่ว่าใครคนหนึ่ง ใครสักคนในนั้นต้องยอมครับ มันเป็นเคล็ดลับเลยนะหนึ่งในนั้นต้องยอม มันเหมือนพี่ว่ามันเหมือนบางทีเหมือนสามีภรรยาในครอบครัวทะเลาะกันแต่เรื่องมันจะจบเลยถ้าอีกคนยอม ศัตรูเป็นมิตรได้แน่นอนถ้าทั้งสองฝ่ายต่างพากันยอมมันเกิดมิตรภาพแน่นอน นี่ก็รออะไรสักฝ่ายในประเทศยอมอยู่นะเนี่ย (หัวเราะ) ยักษ์จะได้น้อยลง ขอบคุณครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 05, 2012, 04:03:44 PM
บทสัมภาษณ์ เอ็กซ์-ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผู้ร่วมกำกับภาพยนตร์ –ผู้กำกับแอนิเมชั่น (Co-Director , Animation-Director)





          เปิดใจ “คนสร้างยักษ์” เอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ แอนิเมเตอร์สายเลือดไทย ฝีมือระดับโลก ผู้ร่วมสร้างบ้านอิทธิฤทธิ์ แหล่งผลิตฝัน ร่ายเวทมนตร์ให้กับภาพยนตร์

Q: ในแวดวงแอนิเมชั่นแล้วพี่เอ็กซ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการมานาน ในฐานะแอนิเมเตอร์ไทยผู้เคยคว้ารางวัลจากต่างประเทศมากมาย และยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาเพื่อสร้างนักแอนิเมเตอร์รุ่นใหม่ๆ มาประดับวงการอีกด้วย อยากให้ช่วยเล่าถึงที่มาของการทำงานในเส้นทางสายแอนิเมชั่น ก่อนจะมาถึงการทำงานในเรื่องยักษ์สักนิด
X: สวัสดีครับ ผมชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผมมีหน้าที่เป็นโคไดเร็คเตอร์ และก็เป็นแอนิเมชั่นไดเร็คเตอร์ รับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับแอนิเมชั่นของเรื่องยักษ์ครับ ครั้งแรกที่สนใจผมสนใจแอนิเมชั่น ก็คือหลังจากเรียนปริญญาตรีคณะมัณฑนศิลป์ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร สมัยนั้นยังไม่มีวิชาแอนิเมชั่น พอเรียนจบผมก็ทำงานได้สักพัก แต่วันหนึ่งไปเห็นตัวอย่างหนังเรื่องเดอะ ไลอ้อน คิง (The Lion King) ก็ตกใจมาก ประทับใจมากรู้สึกทึ่งไปกับภาพที่เห็น วันรุ่งขึ้นไปลาออกเลยครับ (หัวเราะ) แล้วตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา ก็ตอนนั้นวัยรุ่นหน่อย อยากไปเจอผู้กำกับที่ทำไลอ้อน คิง ก็ไปอเมริกาเลย ก็เป็นความฝันของเด็กๆ ครับ (หัวเราะ) ผมไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านดิจิตอล อาร์ตที่ มหาวิทยาลัย โอเรกอน ตอนที่เรียนอยู่ผมก็ทำผลงานส่งประกวด Siggraph ซึ่งเป็นการประกวดผลงานแอนิเมชั่นประเภทนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยทั่วโลกครับ อันนี้ก็ได้รางวัลชนะเลิศมาและก็มีได้รางวัลแอนิเมชั่นโลก World Animation Celebration อีกด้วยครับ หลังจากกลับมาจากอเมริกา ก็มีบริษัทแอนิเมชั่นไทยติดต่อมาหลายบริษัทครับ หลังจากกลับมา ผมก็ทำงานสายนี้มาตลอดเกือบ 20 ปี แล้ว งานที่ทำก็มีไตเติ้ลของเวิร์คพอยท์เกือบทุกตัว งานสองมิติที่น่าจะพอคุ้นๆ กันก็เป็นกบ One-2 Call วันทูคอลที่ออกมาจากกะลา และงานด้านภาพยนตร์ก็เป็น CG SUPERVISOR ให้กับหนังมาประมาณสิบสามเรื่อง ล่าสุดก็มีตุ๊กกี้ เจ้าหญิงขายกบ, สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก, 30+ โสด ON SALE ครับ และหลังจากนั้นก็มาเปิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เพื่อทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” เป็นเรื่องแรกครับ”

Q: คิดว่าอะไรที่เป็นเสน่ห์ของแอนิเมชั่น ทั้งๆที่รู้ว่าการจะทำให้เสร็จสมบูรณ์เรื่องหนึ่งนั้นไม่ใช้เรื่องง่าย แต่ก็ทุ่มเทสร้างจนเสร็จออกมาได้
X: เพราะมันเป็นศาสตร์ที่เราสามารถทำให้ตัวละครที่เราคิดนั้นเกิดชีวิต เคลื่อนไหวได้ขึ้นมาได้ และมันเป็นการรวมศาสตร์ทางศิลปะทั้งหมดเพื่อสร้างขึ้นมา หรืออีกอย่างหนึ่งคือใครๆ ก็สามารถเป็นผู้กำกับด้วยตัวเองได้ เหมือนเราสามารถใส่ตัวละครเข้าไปในแอนิเมชั่นโดยไม่ต้องกำหนดคนอื่น อย่างถ้าเรากำกับหนังคนแสดง เราจะต้องกำหนดคนให้เป็นอย่างที่เราต้องการ แต่แอนิเมชั่นเราใส่ความเป็นตัวเราเองลงไปในตัวละครที่เราออกแบบ จนทำให้มันเคลื่อนไหวได้ ตัวการ์ตูนที่เรากำหนดเองมันจะน่าเกลียดหรือน่ารักก็เป็นตัวเราที่เราดีไซน์ขึ้นมาเอง เสน่ห์ของมันอยู่ที่เราสร้างโลกที่เรากำหนดเองได้ครับ

Q: หลังจากที่ไปเรียนและทำงานอยู่ต่างประเทศอยู่นาน รู้จักพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ จนมาทำงานร่วมกันได้อย่างไร
X: ครั้งแรกที่รู้จักพี่จิกผมรู้จักผ่านผลงานของพี่จิกเขาครับ ผมเคยได้ยินชื่อเสียงเขามาบ้าง แต่ผมไปอยู่ต่างประเทศนานเหมือนกัน พอกลับมาเสร็จปุ๊บ มีคนชวนว่าเดี๋ยวคุณจิก-ประภาสจะมาคุยด้วย ยอมรับว่าผมไม่เคยเห็นหน้าพี่จิกเลย รู้แค่ว่าเขาเป็นนักคิดนักเขียน ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้บริหาร เวิร์คพอยท์ ก็เลยไม่เกร็งตอนคุย (หัวเราะ) ซึ่งมันกลายเป็นข้อโชคดีของผม พอไม่เกร็งผมก็เล่าเรื่องการ์ตูนไปเรื่อยๆ และก็คุยกันเรื่องทำแอนิเมชั่น พอคุยเสร็จเพื่อนๆ ก็ชื่นชมตื่นเต้นกันมากว่าจะได้ทำงานกับพี่จิก ผมก็เลยลองหาหนังสือเขามาอ่านเรื่องแรกรู้สึกจะเป็นเชือกกล้วยมัดต้นกล้วย ต่อไปก็เริ่มคุยเกี่ยวกับการทำแอนิเมชั่นกับพี่จิก ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีไอเดียดีมาก และโชคดีว่าลายเส้นการ์ตูนของผมไปตรงใจพี่จิกพอดีครับ

Q: พอทราบไหมว่าพี่จิกถูกใจลายเส้นของเราตรงไหน และทำไมถึงทำงานเข้ากันได้ดี
X: เราได้เริ่มคุยกันก็เพราะ ผมวาดภาพประกอบให้กับพี่จิกในหนังสือหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่ เรื่อง สุธี, แม่เภา อภินิหารพระดิน, นิทานล้านบรรทัด, มังกรไฟไม่เรียนหนังสือ และพอเริ่มร่างแบบคาแร็คเตอร์เรื่องยักษ์ พี่จิกก็พูดขึ้นมาว่า ตัวคาแร็คเตอร์เอ็กซ์เหมือนใครนะ ก็นึกกันขึ้นมาได้ว่าน่าจะเป็นคุณอา รงค์ (ณรงค์ ประภาสะโนบล) อารงค์ก็คือคนที่เขียนทาร์ซานกับเจ้าจุ่น ในหนังสือ ชัยพฤกษ์การ์ตูน แต่ชอบวาดแบบนี้มาตั้งแต่เด็กละ จังหวะการเขียนหรือบางอย่างจึงใกล้กันมาก น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ได้มาแบบไม่รู้ตัว บวกกับผมเขียนการ์ตูนอเมริกาด้วยแต่ก็ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นมันจึงออกมาผสมผสานกัน แต่หลักๆ พี่จิกบอกว่าอารมณ์ชัยพฤกษ์ซึ่งพี่จิกเองก็ชอบการ์ตูนของอารงค์เช่นกัน เราจึงเข้ากันได้ดีครับ

Q: คิดว่าอะไรเสน่ห์ลายมือหรือเอกลักษณ์ของพี่เอ็กซ์
X: มันน่าจะอยู่ที่ตัวละครของผมมักจะเป็นตัวละครที่ไม่สมบูรณ์ พี่จิกว่าเป็นตัวละครป่วย (หัวเราะ) มันเป็นการ์ตูนที่ไม่ค่อยสมประกอบผมชอบตรงนั้น ชอบความไม่สมดุล อย่างแขนเล็กขาเล็กต่างกัน ตาห่าง ถ้าดูจริงๆ นะคาแร็คเตอร์ที่ผมชอบออกแบบ ถ้าอยู่ในการ์ตูนเรื่องอื่นมันจะเป็นหมารองบ่อน แต่สำหรับของผม ผมทำให้มันเป็นพระเอก ทำให้มันพิเศษขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องยักษ์มีตัวละครกุมภกรรณที่ถูกใจพี่จิกมาก เพราะเป็นตัวละครที่แขนใหญ่มากขาเล็ก ขาเสียเดินไม่ค่อยดี เป็นคนไม่ปกติ และอีกเรื่องหนึ่งคือผมเป็นคนชอบวางโครงสีของภาพรวมทั้งหมดครับ ผมจะวางโครงสีว่าในเรื่องนี้ ใช้สีไหนดี วางสีสันลงไปในแต่ละจุด จุดเด่นของผมอีกอย่างคือการวางโครงสีครับ

Q: เรื่องยักษ์นี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานเปิดตัว “บ้านอิทธิฤทธิ์” อยากให้ช่วยเล่าหน่อยว่า กำเนิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เป็นมาอย่างไร
X: บ้านอิทธิฤทธิ์เกิดขึ้นมาได้เพราะพี่จิก ประภาส ครับ มันเริ่มจากพี่จิกอยากทำหนังแอนิเมชั่น ผมกับพี่จิกเคยคุยกันมาก่อนเพราะว่าแกชอบสไตล์อาร์ตกับแอนิเมชั่นของผม ก็เลยคุยกันว่าเราจะมาเปิดบริษัทกันที่ทำการ์ตูนกันดีไหม ตอนแรกชื่อบริษัท ชื่อว่า “ฤๅษี” จากนั้นก็คุยกันเรื่องยักษ์ ก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรไทยๆ มี หนุมาน มียักษ์ อีกอย่างผมรู้สึกว่าแอนิเมชั่นหรือสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ มันทำขึ้นมาเพื่อให้คนเชื่อจากสิ่งที่ไม่มีมาก่อน มันเหมือนเป็นเวทมนต์ เป็นอิทธิฤทธิ์ ก็เลยได้ชื่อว่า “บ้านอิทธิฤทธิ์” แรกๆ บ้านอิทธิฤทธิ์ยังไม่เป็นที่รู้จัก ลูกค้าก็แซวว่าขี่ม้ามาหรือป่าวเพราะเป็นบ้านอิทธิฤทธิ์ (หัวเราะ) ตอนนี้บ้านอิทธิฤทธิ์ก็เกิดได้ประมาณแปด เก้าปีแล้วครับ การทำงานหลักๆ ของบ้านอิทธิฤทธิ์คือทำหนังแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ครับ แต่ในช่วงที่ยักษ์กำลังมีการพัฒนาบทหรือพัฒนาคาแร็คเตอร์ ก็จะมีงานโฆษณา งานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ติดต่อเข้ามา แต่บ้านอิทธิฤทธิ์จริงๆ สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นโดยเฉพาะ และเรื่องแรกก็คือเรื่องยักษ์นี่แหละครับ

Q: ช่วยเล่าที่มาของเรื่องยักษ์สักนิด ทำไมถึงมาลงตัวที่เรื่องนี้ได้
X: ที่มาที่ไปของยักษ์มันมาจากหุ่นยนต์ที่พี่ออกแบบให้เวิร์คพอยท์นานมากแล้วถ้าจำได้จะเป็นตอนจบของรายการเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เดินมาแล้วแปลงแขนเป็นอาวุธสงคราม มันเอากองขยะมาประกอบจนเขียนคำว่าเวิร์คพอยท์ ตอนจบปุ๊บ พอพี่จิกก็เห็นตัวนี้เขาก็พูดว่าเออมันน่ารักดีนะ เอ็กซ์อยากทำหนังหุ่นยนต์ไหม หุ่นยนต์สงครามอะไรที่มันสนุกเล่าไปมามันก็เป็นรามเกียรติ์ รามเกียรติ์ทำไงให้เป็นหุ่นยนต์หรือว่ารามเกียรติ์มันมีหลายภาคมีตั้งนับล้านภาค ญี่ปุ่นก็มี จีนก็มี เราก็รู้สึกว่ารามเกียรติ์มันมีตายเกิดตายเกิดเป็นล้านๆ ถ้าตายแล้วเกิดใหม่แล้วเป็นหุ่นยนต์ก็น่าจะดีนะและเราก็เลยเอาตรงนั้นมา และตัวที่หุ่นยนต์สังเกตว่าหุ่นยนต์หุ่นกระป๋องส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นล้อเดียวเหมือนไตเติ้ลเวิร์คพอยท์ตอนจบตอนนั้นนะครับ ตัวหุ่นที่เป็นตัวนักสู้หรือตัวที่มันเป็นวรรณะสูงขึ้นมาเนี้ยจะเดินได้สองขา เราดีไซน์ก่อนหนังเรื่องโรบ็อท Robots (2005) อีกนะครับ แต่พอโรบ็อทออกมาปุ๊บเราก็ต้องเดินหน้าต่อ เพราะว่าเราทำไปแล้ว และเรามานั่งคุยกันว่าถ้าเกิดเป็นปลาทำสัตว์ใต้ทะเลก็เหมือนกับไฟดิ้ง นีโม (Finding Nemo -2003) ทำสัตว์ป่าก็เหมือนมาดากัสการ์(Madagascar -2005) ทำการ์ตูนสัตว์น่ารักก็เหมือน กังฟู แพนด้า ( Kung Fu Panda -2008) และเราทำหุ่นยนต์เนี้ยคนก็ว่าเหมือนโรบ็อท แต่จริงๆ เราทำขั้นตอน Pre – Production ไปปีหนึ่งแล้วครับ เราก็เลยเดินหน้าต่อเพราะว่ามันก็ไม่เหมือน เนื้อเรื่องเราก็ไม่ได้คล้ายกันเลยครับ

Q: ตอนแรกที่รู้ว่าพี่จิกอยากทำรามเกียรติ์รู้สึกยังไง แล้วส่วนตัวรู้สึกยังไงกับรามเกียรติ์
X: ผมรู้สึกว่าคงไม่ใช่ทศกัณฐ์ที่มีกล้ามน่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าผมเคยทำภาพประกอบให้พี่จิก ผมรู้ว่าพี่จิกจะไม่ออกอะไรที่เป็นกล้ามๆ ดุดันเป็นคนจริง มันจะไม่ใช่สไตล์พี่จิก พอมาคุยว่าเป็นหุ่นกระป๋องสู้กับทศกัณฐ์ มันก็น่าจะสนุกขึ้น แต่ครั้งแรกพี่จิกพูดพี่ก็รู้แล้วว่าไม่น่าจะใช่รามเกียรติ์ที่ดุดัน ไม่ใช่เป็นกล้ามเนื้อไม่ใช่คน ผมรู้สึกว่าตื่นเต้นกับไอเดียนี้นะครับโดยเฉพาะกับตัวหนุมาน เพราะมีฤทธิ์มาก สามารถสำแดงเดชต่างๆ ยืดหางยาวพันภูเขาได้ผม รู้สึกว่าหนุมานมีเสน่ห์ ทศกัณฐ์ก็มีเสน่ห์ แต่ถ้าเกิดผมทำแอนิเมชั่นผมก็จะไม่ไปอิงกับเรื่องราวต้นฉบับมาก ผมคิดว่ามันจะไม่สนุกถ้าอิงเยอะๆ ชนิดถ้าเป็นทศกัณฐ์ก็ต้องเป็นตัวใหญ่มีกล้ามๆ อะไรอย่างนี้ แต่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวเสมอ ผมมองเห็นมันเป็นหนังเรื่องหนึ่งเลย
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 05, 2012, 04:04:42 PM
Q: ยากไหมกับการแปลงรามเกียรติ์มาเป็นแอนิเมชั่น
X: ยากครับ ยากเพราะว่ามันต้องมาอิงกับบทเดิม คาแร็คเตอร์เดิมบ้างนิดหน่อย แล้วบทที่เรามาเขียนใหม่เนี่ยเราสร้างมาจากศูนย์เลย เราต้องดีไซน์ฉากจะเป็นอย่างไร ยักษ์จะเป็นยังไง พี่จิกก็ถามเหมือนกันว่าเอ็กซ์เห็นฉากหินที่ลากไปเหลี่ยมหรือคมหรือกลม ผมก็ต้องบอกว่าต้องเป็นหินเหลี่ยมเพราะตอนที่เห็นมือยักษ์ที่ถูกลากไปกับหินเหลี่ยมเวลา หินมันจะคมจะบาดเหล็กด้วยมันจะดูสะเทือนใจขึ้น แล้วผมจะไปออกแบบให้พี่จิกเห็นด้วยว่าสภาพของหินผาที่พูดถึงมันเป็นยังไง รายละเอียดมากครับ (หัวเราะ)

Q: พอรู้โจทย์แล้วคิดไหมว่าจะเป็นงานที่ต้องใช้เวลาทำต่อเนื่องนานถึงหกปี
X: ปกติแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งจะใช้เวลาประมาณนี้อยู่แล้วครับ เพราะว่าหนังอย่าง Brave ของ Pixar ก็ใช้เวลาประมาณนี้ ห้าถึงจ็ดปี เพราะว่ามันเป็นแอนิเมชั่น ดูของฝรั่งส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ครับ ผมไม่ได้ตกใจเลยนะเตรียมใจแล้วมากกว่า หนังแอนิเมชั่น 2D บางเรื่องใช้เวลานานถึงสิบปีก็มี แต่ผมไม่ได้กังวลนะเพราะว่ามันเป็นหุ่นยนต์ ทิศทางในการทำเรามีชัดเจนอยู่แล้ว หกปีนี้ก็จะมีช่วงที่ต้องพัฒนาเรื่องต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ทั้งเรื่องเครื่องมืออุปกรณ์ ,แอนิเมเตอร์ที่จะรับมาทำก็ต้องมาทดลองงานกันก่อนว่าทำไว้ได้อย่างที่เราวางแผนไว้หรือไม่ และก็ทำบทด้วยทำควบคู่กันไป กว่าจะเรียนรู้ระบบที่ทำให้มันเร็วขึ้นหรือให้มันตอบโจทย์กับบทที่เขียนมาลงตัวก็ใช้เวลาประมาณสามปี ค่อยๆ พัฒนากันไป

Q: เรื่องราวของเรื่อง “ยักษ์” นั้นบอกเล่าถึงอะไรบ้าง
X: คุยกันเริ่มแรกเป็นเรื่องรามเกียรติ์ครับ แต่เราไม่ทำรามเกียรติ์ เราจะไปทำหุ่นยนต์ที่มีกลิ่นไอเป็นรามเกียรติ์ มันเป็นเรื่องราวของมิตรภาพหลังจากที่ทศกัณฑ์กับหนุมานสู้กัน ทั้งสองสู้กันในสงครามยิ่งใหญ่และก็เกิดระเบิดขึ้น จากรามที่ยิงศรลงมาเพื่อนฆ่าทศกัณฑ์ ทำให้ทุกอย่างหายเกลี้ยง ยกเว้นหนุมานกับทศกัณฐ์ พอเวลาผ่านไปทั้งสองตื่นขึ้นมาทั้งสองคนนี้จำไม่ได้เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ตอนที่สู้กัน โซ่ของหนุมานไปปักที่ทศกัณฑ์ และเนื้อเหล็กของทั้งสองนั้นเป็นเหล็กสงคราม เหล็กพิเศษที่ไม่สามารถที่จะตัดได้ ทำให้ทั้งสองต้องตัวติดกันโดยมีโซ่เชื่อมโยงไว้อยู่ไปไหนไม่ได้ต้องไปด้วยกัน ทั้งสองเลยออกเดินทางหาวิธีที่จะตัดโซ่แยกออกจากกันให้ได้ ในระหว่างนั้นก็เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนขึ้นมา แต่ในระหว่างที่เดินไปเนี้ยหนุมานดันจำความได้ครับ ว่าตัวเองเป็นทหารเอกของรามและก็รู้หน้าที่ว่าต้องเอาทศกัณฐ์ไปฆ่าไปที่ลานประหารที่รามกำหนดไว้แล้ว เพื่อที่จะให้จบสงครามอันนี้ไป ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เกิดคำถามแล้วว่าจะเลือกอย่างไหนระหว่าง มิตรภาพหรือหน้าที่

Q: ช่วยเล่าขั้นตอนการทำงานของการสร้าง “ยักษ์”สักหน่อยว่ากว่าจะออกมาเสร็จสมบูรณ์จะต้องมีวิธีการสร้างอย่างไรบ้าง
X: ขั้นตอนการผลิตนี้ให้จินตนาการว่าแอนิเมชั่นทรีดีก็เหมือนหุ่นดินน้ำมันปั้นน่ะครับ และก็เริ่มสเก็ตดินสอก่อน จากนั้นก็เป็นการขึ้นโมเดล ต่อด้วยการใส่แกนกระดูก ซึ่งเรียกว่า Rigging ขั้นตอนนี้คือการทำให้แกนกระดูกลิงค์กับตัวโมเดล เพื่อให้โมเดลสามารถขยับได้ จากนั้นก็ลงสีที่โมเดลใส่รายละเอียดเสร็จทุกตัว เราก็เอาตัวนี้ไปวางในฉาก เพิ่มฝุ่น เพิ่มบรรยากาศเรียกว่าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กซ์ พูดง่ายๆ ว่ามันก็เหมือนหุ่นปั้น แต่ปั้นด้วยคอมพิวเตอร์ทุกอย่าง จากนั้นเราก็พากย์เสียงมา พอพากย์เสียงมาปุ๊บเราก็ให้แอนิเมเตอร์มา ขยับปากตัวละครตามเสียงคนพากย์และเราก็เอาหุ่นตัวนี้ไปเล่นในฉาก ซึ่งขั้นตอนการพากย์นี้ เราถ่ายวีดีโอนักแสดงที่มาพากย์ไว้เพื่อให้แอนิเมเตอร์ได้ดูอารมณ์ของตัวละครเป็นไกด์ไว้ให้ก่อน ดูอารมณ์เสร็จมันเป็นหน้าที่ของแอนิเมเตอร์ที่จะนำมาทำให้เกิดการเคลื่อนไหว อย่างเช่น เราจะมีภาพของพี่หนุ่มสันติสุข ที่พี่จิกบอกว่าไหนลองเล่นเป็นทศกัณฐ์ที่น่ากลัวซิ สายตาของพี่หนุ่มจะเปลี่ยนไปเลย พอพี่หนุ่มลองกลับมาเป็นทศกัณฑ์แบบเอ๋อๆ ที่ลืมว่าตัวเองเป็นใครความจะเสื่อม การเล่นของพี่หนุ่มก็จะกลายเป็นคนเอ๋อๆ เราก็จะบันทึกการแสดงของผู้พากย์ให้แอนิเมเตอร์ดูเป็นต้นแบบครับ แต่สุดท้ายแอนิเมเตอร์กำหนดคาแร็คตอร์เองครับว่าจะให้ตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกเป็นอย่างไร ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแอนิเมชั่นครับ เพราะหน้าที่ของผู้กำกับ ผมกับพี่จิกจะมาคอยดูว่าการเคลื่อนไหวมันควรจะเป็นอย่างไรเช่น เวลาเอ๋อมันควรจะยกมือแบบนี้หรือเปล่า มันควรจะหลังงุ้มไหม เป็นหน้าที่ของการกำกับอีกทีหนึ่ง

Q: จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือการได้นักแสดงมืออาชีพมาเป็นต้นแบบตัวละครต่างๆ ช่วยเล่าถึงการทำงานขั้นตอนนี้สักนิด
X: ในเรื่องนี้ผมกับพี่จิกจะทำงานกันแบบประสานงานกันตลอดกันครับโดยผมเป็นคนออกแบบคาแร็คเตอร์มาก่อน ส่วนพี่จิกจะหานักแสดงมาให้เข้ากับตัวละคร จากนั้นก็จะมาปรับให้สมบูรณ์ขึ้นเพิ่มเติมจุดเด่นของดาราแต่ละคนมาใส่ต่อ อย่างเช่นตัวหนุมาน ผมออกแบบเป็นหุ่นกระป๋องก่อนเพื่อที่จะให้พี่จิกดู พอเราได้เสนาหอยมาปุ๊บ ก็รู้สึกเอ๊ะมันใกล้เคียงกับเสนาหอยมาก แต่รู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป ก็เลยออกแบบเพิ่มเติม เราจะเห็นว่าเสาไฟบนหัวของหนุมานจะหักๆ เหมือนทรงผมของพี่หอยเลย อย่างพี่เหมี่ยวที่เป็นนกสดายุพี่ก็จะออกแบบง่ายที่สุดเลย ออกแบบมาใกล้ๆ กับพี่เหมี่ยวคือผิวดำนิดๆ (หัวเราะ) ผมก็เป็นทรงม้าก็คือตรงกับพี่เหมี่ยวพอไปให้พี่จิกดูตรงใจพอดี
แต่ตัวที่ออกแบบยากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือหนุมานนั่นเอง เพราะหนุมานตอนที่เราออกแบบมาครั้งแรกนี้ยไม่มีความเป็นฮีโร่ ผมก็เลยเอาแบบหัวโขนหนุมาน ลองมาใส่ดูและปรับหน้าให้ดูหักหน้าดูคมขึ้น บวกกับผมหยิกๆ ของ เสนาหอย ทำให้หนุมานแตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น มีความเป็นฮีโร่เพิ่มขึ้น ส่วนตัวเขียวก็ออกแบบไม่ยากเท่าไร เพราะว่าราชายักษ์ตัวต้องใหญ่ ผมออกแบบขาเขาเล็กเพื่อที่จะให้เขาดูตัวใหญ่ขึ้น เวลาเขาเงยหน้าขึ้นมา เขาดูเป็นราชายักษ์ แต่พอก้มมาปุ๊บเขาก็เหมือนคนอ้วนๆ น่ารักๆ ได้

Q: คาแร็คเตอร์ของเรื่องยักษ์เป็นอย่างไรบ้างและแต่ละตัวมีวิธีการออกแบบมาอย่างไร
X: ตัวทศกัณฑ์เขาเป็นจอมราชายักษ์มาก่อน หลังจากนั้นเกิดความจำเสื่อมก็จะกลายเป็นเอ๋อๆ ตัวละครนี้ผมออกแบบให้ช่วงบนใหญ่ และขาเล็ก เวลาเขาเป็นทศกัณฑ์ก็จะดูผงาด ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นน้าเขียวก็จะแสดงออกแบบหลังค่อม หงอๆ งอตัว ดังนั้นมันก็จะเป็นทั้งตัวเอ๋อได้ด้วย ตัวน่ากลัวก็ได้ ผมออกแบบยักษ์รวมๆ มาจากหลายอย่างครับ หน้าท้องจะออกแบบมาจากท้องแมลงครับ เป็นปล้องๆ ข้อดีคือ มันสามารถงอแล้วโมเดลไม่ทับกัน
หนุมานออกแบบยากสุด แก้หลายรอบ ตอนแรกออกแบบมาแล้วมันไม่มีความเป็นฮีโร่ เรากำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อดี พอดีว่าพี่จิกก็เอาเสียงพากย์ของเสนาหอยมา ปุ๊บลงตัวเลย เลยเอาทรงผมที่เสนาหอยที่เป็นทรงเดดร็อคมาทำให้แตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น เพราะว่าหุ่นยนต์พวกนี้ทั้งโลกจะถูกบังคับด้วยรามและก็มันจะมีเสาเดียว หนุมานจะแปลกกว่าคนอื่นคือมีสามเขาหักลงมาข้างหนึ่ง ส่วนคิ้วตอนแรกไม่ใช่เป็นคิ้วตัดปกติแต่ดูแล้วไม่เป็นฮีโร่เลย ผมเลยลองหยิบลายจากหัวโขนหนุมานมาลองดัดแปลงดู เป็นกึ่งๆ ลายไทยนิดๆ เหมือนเป็นเหล็กที่โดนตัดออกมาเป็นลายไทย เออมันได้แฮะ เพราะมีความเป็นฮีโร่ เวลาโกรธหรือเวลาสู้จริงๆ เวลาที่ต้องแสดงอารมณ์จริงๆ มีคิ้วทีมันหักๆ อย่างนี้มันจะเพิ่มอารมณ์ให้ได้มากกว่า คิ้วตัวนี้ออกแบบยากสุดครับ
น้องสนิมตัวนี้ออกแบบเป็นตัวการ์ตูนที่น่ารัก แต่ไม่มีเพื่อนและก็ขี้แพ้นิดๆ ครับ ออกแบบหลายรอบเหมือนกัน
ตอนแรกไม่มีปานที่หน้า แต่พอไม่มีมันดูเป็นปกติเกินไป เลยเพิ่มปานขึ้นมา เพราะสนิมมันกินตัวเองนิดหน่อย มีขี้มูกนิดๆ เป็นคราบเพราะว่าชอบจาม ตัวสนิมออกแบบยากเหมือนกัน เพราะว่าหุ่นยนต์ที่เป็นผู้หญิงด้วยน่ารักด้วยทำยาก ก็เลยมากำหนดด้วยตา ด้วยโครง ด้วยสีให้มันสีเบาลงมานิดนึงเป็นชมพูส้ม ถ้าชมพูเกินไปก็หวานไปจะดูไม่สู้ชีวิตก็เลยใส่สีส้มให้หมดเลย สนิมเป็นเด็กที่จามแล้วอะไรที่เป็นเหล็กโดนจามใส่จะเป็นสนิมทันที แต่ถ้าจามโดนเหล็กสงครามอย่างยักษ์จะไม่เป็นสนิมซึ่งก็มีส่วนสำคัญกับเรื่องด้วยต้องไปลองดูครับ
กุมภกรรณ เป็นหุ่นยนต์ยักษ์ หุ่นตัวนี้ทำอาชีพปาหี่ขายของ ที่แขนมันจะมีวิทยุคาสเซ็ทเทปอยู่ครับ ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้เห็นหรือเปล่า บ่งบอกให้รู้ว่ามันเป็นของเก่า มันจะใส่เทปและก็ฟังเพลงของมันตลอดเหมือนคนไม่ปกติ ชอบสะสมอาวุธ เป็นคนศรัทธาทศกัณฐ์มาก ถึงขั้นสักรูปทศกัณฐ์ที่หน้าอก เหมือนเราชื่นชมใครเราก็สักยันต์เลย แต่รอยสักของโลกหุ่นยนต์ จะไม่เหมือนกับของคนสักของหุ่นจะเอาเหล็กมาแล้วก็ยิงตะปูติด ตัวกุมภกรรณข้างหลังจะสักยันต์เก้ายอดด้วยเป็นลายเลขเก้าเหมือนคนที่สักยันต์ทั้งตัว ผมตั้งใจใส่กลิ่นอายความเป็นไทยลงไปด้วย แต่ที่ไม่ทำรอยสักลงไปในเหล็กเลยเพราะมันจะดูน่ากลัวไป กุมภกรรณออกแบบง่ายหน่อย เพราะออกแบบไม่ได้อิงดารา ผมกับพี่จิกมีความคิดตรงกันว่าคาเร็คเตอร์กุมภกรรณต้องเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดแล้วน้ำลายจะไหล พี่ก็เลยออกแบบให้น็อตที่กรามปากมันหลุดอันหนึ่ง มันจะหลุดแล้วมันก็ดูดน้ำลายมันขึ้นมา แขนขามันก็ไม่เท่ากัน ใหญ่ข้างเล็กข้างข้าง แต่ออกมามันก็น่ารักดีนะ (หัวเราะ)
นกสดายุ เราออกแบบไว้แต่แรกว่าตัวนกสดายุต้องเป็นนกดำ และหาคนพากย์ผิวสีคล้ำที่เป็นสีดำเพราะวางโครงสร้างสีทั้งหมดไว้ มีครบทุกสีแล้ว ทศกัณฑ์สีเขียว หนุมานสีม่วง กุมภกรรณสีแดงน้องสนิมเป็นสีส้มชมพู ขาดอีกสีเลยใช้สีดำ และพอได้พี่เหมี่ยว (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) มาตรงเป๊ะพอดี ผมเลยออกแบบทรงผมเป็นหน้าม้านิดๆ ผมว่าออกแบบอันนี้ง่ายสุดแล้ว นกสดายุ ตัวนี้เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือมาจากสงครามครั้งก่อนยังไม่ตายกลับถูกขายต่อๆ มาอยู่ที่ยุคนี้ เป็นอาวุธสงครามของรักของหวงที่กุมภกรรณสะสมไว้ มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งก็คือจะเป็นหุ่นมีใบพัดบินได้ แต่ต้องไขลาน ไขลานปุ๊บก็จะขยับได้ บินได้ ถ้าเกิดลานหมดก็จะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นซึ้งเมื่อเวลามันถูกจำกัดด้วยการไขลาน ก็ช่วยให้หนังตื่นเต้นขึ้น ซึ่งจุดรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องนี้ออกแบบเพื่อรองรับเนื้อเรื่องไว้ตั้งแต่แรกครับ
ก๊อก ตัวนี้ออกแบบไม่ยากมากครับเพราะว่าคาแร็คเตอร์ชัดเจนว่าต้องเป็นพ่อค้าที่ขายของเก่ง พูดมาก มีเล่ห์เหลี่ยม การออกแบบของผมจะเน้นไปที่ดวงตาโตๆ ลึกๆ แขนขาเล็กๆ ลีบๆ ดูเป็นคนขายของ และพอได้คุณแจ๊ป เดอะ
ริชแมนทอย เข้ามาพากย์เสียงผมก็ใช้ลักษณะโครงหน้าของเขาเข้าไปรวมด้วย หัวของตัวนี้จะแปลกจากตัวอื่นตรงที่มีหัวที่เรียวยาวยื่นไปด้านหลัง ให้มีจุดเด่นและที่พิเศษกว่าตัวละครอื่นก็คือ ตัวนี้จะเป็นหุ่นตัวเดียวที่มีไฝ เพราะผมเอามาจากโหวงเฮ้งของคนที่พูดเก่ง ก็เลยเติมไฝไปแถวๆ ปาก และเจ้าก๊อกก็จะชอบเปลี่ยนอะไหล่ไฝของเขาชอบเอาตัวหุ่นแมลงมาติดเป็นไฝ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนขี้งกครับ
นักไต่เขา ตัวนี้เป็นตัวละครพิเศษครับ ตัวนี้ เราได้พี่โน้ส อุดม แต้พานิช มาพากย์ ตอนแรกผมออกแบบมาก่อน โดยมีไกด์มาก่อนว่าอยากได้แบบไหน และพอเอามาลองเทียบแล้วยิ่งเหมือนคุณโน้สเลย ต้องลองไปติดตามดูครับว่าเหมือนยังไง

Q: ความยากง่ายของการออกแบบคาแร็คเตอร์
X: ตอนแรกพี่ออกแบบหนุมานตัวเล็กเกินไป ยักษ์ตัวใหญ่มาก เพราะผมเข้าใจว่ายักษ์มันต้องตัวใหญ่ ตอนนี้มันวางกล้องไม่ได้เพราะพอไปจับหนุมานปุ๊บไม่เห็นยักษ์เลย เพราะว่าผมดีไซน์หนุมานไม่ถึงหัวเข่า มันเลยโต้ตอบกันไม่ได้กล้องมันต้องผ่านหลังยักษ์อย่างเดียวเพื่อมาหนุมาน ผมต้องเลยขยายขึ้นมาให้มันใกล้ๆ กันหน่อย อันนี้มันเลยกลายเป็นข้อปัญหาจากที่เราไม่รู้มาก่อน คาแร็คเตอร์หาเสียงยากสุดคือยักษ์ เพราะว่ายักษ์ต้องมีทั้งความน่ากลัว เสียงต้องใหญ่ แต่พอติงต๊องก็ต้องเสียงน่าสงสารด้วย หามาหลายคนมากจนในที่สุดมาเจอพี่หนุ่ม พอพากย์เสร็จพี่จิกเรียกเข้ามาดู พี่จิกว่าใช่พี่ก็ว่าใช่ ทำให้ใส่การเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ช่วงแรกเสียงยังไม่ลงตัว แอนิเมเตอร์ก็ทำการเคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะอารมณ์มันไม่ได้ จังหวะการพูดถ้าช้าหรือเร็วกว่านี้จะทำยาก เพราะว่าถ้าเกิดช้ากว่านี้ปุ๊บ แอนิเมเตอร์เขาเรียกว่ามันจะย้วย ภาพมันจะช้า ดังนั้นจังหวะการพูดการให้อารมณ์ของดารานี่สำคัญกับแอนิเมเตอร์เหมือนกัน เพราะว่าเราทำงานตามเสียงพากย์ครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 05, 2012, 04:05:34 PM
Q: แสดงว่าเสียงพากย์มีความสำคัญมากกับเรื่องนี้
X: มีความสำคัญมากครับ ตอนที่ทำก็แอนิเมเตอร์ก็จะเริ่มเข้าใจล่ะ ตอนทำซีนแรกๆ จะยาก พอซีนหลังๆ แอนิเมเตอร์จะเริ่มอินกับความสัมพันธ์ของตัวละครจริงๆ เพราะว่าตอนพากย์พี่จิกให้ดารามาพากย์ด้วยกันเลย โต้ตอบกันจริงๆ แล้วพอมันออกมาปุ๊บแอนิเมเตอร์เริ่มจะเข้าใจในความสัมพันธ์ ว่าเขาโกรธกันจริงๆ เขางอนกันจริงๆ จะทำแอนิเมชั่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

Q: นอกจากตัวละครหลักแล้ว ยังมีตัวละครอื่นอีกไหม
X: จริงๆ แล้วคาแร็คเตอร์ทั้งหมดไม่ได้มีแค่ห้าตัวนะครับ มีอีกเป็นพันตัวเลย มีทั้งที่เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือจากสงครามหุ่นที่น่ารักๆ เป็นชาวเมืองต่างๆ ก็มี ผมจะดีไซน์มาแยกออกมาอีกที หุ่นประชาชนทั่วไปในเรื่องมักจะมีล้อเดียว สองล้อก็จะมีฐานะขึ้นมาหน่อยสามารถจะซื้ออะไหล่มา ถ้าตัวไหนดีมากๆ มีเงินเยอะก็สามารถเปลี่ยนเป็นสองขาได้ แต่สองขาไม่ใหญ่ ในเรื่องจะมีฉากที่เล่าว่ามีการขุดเจอราชายักษ์และเอามาขายชาวเมืองก็ตื่นเต้นกันใหญ่เพราะว่าเหล็กดีมาก แต่ทุกตัวที่มาก็อยากจะเอาอะไหล่มาเปลี่ยนให้ตัวเองครับเราก็ต้องดีไซน์มาเยอะ และเวลาที่ตัวละครเดินทางไปแต่ละเมืองเราก็จะเห็นดีไซน์ของหุ่นที่ไม่เหมือนกัน เมืองแต่ละเมืองก็จะมีสัญลักษณ์บาอย่างง เช่นเมืองที่เป็นเชียงกง เมืองนี้ก็จะเป็นเมืองที่เป็นสนิมๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ และก็พอเข้าไปโรงไฟฟ้าก็จะเป็นอีกเมืองหนึ่งก็จะเป็นอีกสีหนึ่ง ตรงนี้ก็จะใช้เวลานานอยู่ มีออกแบบไว้ ประมาณเกือบพันตัว ครับ ก็มีเอามาใช้สลับๆ กัน

Q: อีกหนึ่งความน่าสนใจของเรื่องนี้ที่ไม่แพ้ตัวละครเลยก็คือฉาก และบรรยากาศในเรื่อง ในโลกหุ่นยนต์ของเรื่อง “ยักษ์” นี้มีฉากไหนเป็นฉากเด่นน่าสนใจบ้าง
X: ในเรื่องนี้มีฉากเยอะครับ ฉากที่ใช้เวลาทำนานที่สุดจะเป็นฉากมหาสงครามครับ ที่ใช้เวลานานเพราะว่ามันเป็นฉากแรกและเราเริ่มลองทดลองการทำครั้งแรก ใช้เวลาประมาณครึ่งปีสำหรับฉากแค่สี่นาทีนะครับ ในฉากนี้เราจะเห็นหุ่นยนต์เยอะมาก มีการสร้างพวกสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์มากมายเพราะเป็นฉากโชว์ด้วย เรนเดอร์นาน เพราะว่ามันจะมีทั้งหินแตก ทั้งฝุ่น แสง ฉากนี้เราสร้างเพราะว่าต้องการให้เห็นความโหดร้ายของสงครามก่อนที่จะให้เห็นว่าสงครามมันไม่ดียังไงนะครับ เราก็เลยดีไซน์มาให้มันมีสีสันความเป็นสีส้ม สีแดง สีอะไรที่มันเป็นสงครามและก็มีการสูญสิ้นทั้งหมดเพราะว่าสงคราม และหลังจากนั้นมาหากันว่าเรามาหยุดสงครามกันยังไงในอนาคตในเรื่องครับ
ฉากต่อไปคือฉากเชียงกง เป็นตลาดที่ใช้ขายอะไหล่ให้หุ่นยนต์ตัวอื่นได้มาซื้อเปลี่ยน ฉากนี้ผมได้ไอเดียมาจากตลาดจริงๆ จากตลาดเซียงกงที่ขายพวกอะไหล่รถยนต์ เครื่องยนต์ต่างๆ ในบ้านเรา โดยผมออกแบบเริ่มจากท้องฟ้า สีของบรรยากาศ จะให้ความรู้สึกตอนเช้าๆ ที่เรากำลังจะไปตักบาตร พื้นดินด้านใต้เซียงกงนั้นจะ เต็มไปด้วยเศษเหล็ก หลังจากที่เกิดการระเบิดจากสงครามครั้งใหญ่ดินก็จะทับถมพวกซากต่างๆ ไว้ ทำให้มีอาชีพขุดของเก่าขาย ตอนเราสร้างฉากนี้ เราก็ต้องสร้างดินหรือหินคลุมเหล็กอยู่ข้างล่าง มันก็จะสร้างยากนิดนึงเพราะว่าในดินเราจะซ่อนเหล็กไว้ด้วย เวลาลากหุ่นยักษ์ขึ้นมาจากดินก็ต้องมีเศษเหล็กติดขึ้นมาทำให้เกิดความซับซ้อนในการสร้าง และเนื่องจากการเป็นตลาดก็ต้องมีตัวละครเยอะ ฉากนี้จะมีตัวละครสมทบเยอะมากเลยครับ
ต่อไปเป็นฉากที่เรียกว่าฉากยักษ์ตื่นครับ ในเรื่องฉากนี้พอราชายักษ์ตื่นขึ้นหลังจากที่หลับมานานมันก็จะเกิดความสับสน อลหม่าน เพราะมันทำลายเมืองแบบไม่ตั้งใจ ชาวเมืองก็เลยโกรธและออกไล่ล่า เป็นฉากที่สนุกสนานและ น่ารักครับเพราะตัวยักษ์จะดูเอ๋อๆ ฉากนี้ก็สร้างกันนานครับ เพราะเราเริ่มสร้างจากทุกอย่างเป็นศูนย์ มีทั้งตึกรามบ้านช่องมากมาย และตัวละครชาวเมืองเยอะไปหมด ที่ต้องใช้เวลาเพราะต้องใส่การเคลื่อนไหวให้ตัวละครทุกตัว ให้มันวิ่งตามๆ กัน มีการแสดงอารมณ์ที่สีหน้าไปด้วย และฉากนี้มันมีการเคลื่อนไหวฉากหลังมันก็เลยต้องเปลี่ยนไป เลยจะยากกว่าฉากที่อยู่นิ่งๆ แล้วตัดฉากไป
ฉากปาหี่ของกุมภกรรณ ฉากนี้เป็นฉากเปิดตัวของกุมภกรรณกับน้องสนิม เป็นการเล่าเรื่องแบบละครเวทีมิวสิคคัลฉากนี้ใช้เวลาทำนานเหมือนกัน เพราะมีหุ่นยนต์ที่ใช้หลายร้อยตัวมาดูการแสดงปาหี่ การจัดแสงต่างๆ ได้ไอเดียมาจากงานคอนเสิร์ตครับ แต่ฉากนี้ใช้เวลาจัดแสง จัดไฟ ค่อนข้างยากเพราว่ากุมภกรรณเป็นสีแดง แต่แสงเป็นสีเขียวและมันเป็นสีที่ตัดกัน ใช้เวลาจัดนานกว่าจะลงตัวสวยงาม ต้องใส่ใจเรื่องการจับคู่สีกับอารมณ์ของภาพ บางภาพเราจัดไปปุ๊บมันมืดไปเด็กไม่น่าจะชอบเราก็จะเพิ่มไฟให้สว่างขึ้นมาอีก ส่วนเรื่องการใส่การเคลื่อนไหวของฉากนี้ต้องดูเสียงเพลงประกอบด้วยครับเพราะเป็นฉากมิวสิคคัลเลยต้องทำให้เข้ากับเพลง ยากตรงที่เราต้องทำให้หุ่นเหล็กให้ดูเป็นทั้งการ์ตูนด้วยเป็นทั้งเหมือนจริงด้วย แต่การที่มีเพลงเข้ามานั้นเป็นผลดีเลยครับ ถ้าเกิดมันมีเพลงเข้ามาอยู่ในฉากนั้นมันจะทำให้
แอนิเมเตอร์รู้อารมณ์ของเรื่อง และก็การเคลื่อนไหวของปากที่ถูกเพลงกำหนดไว้ได้ง่ายขึ้น มันจะง่ายขึ้นจากการพากย์ธรรมดา แต่มันยากตรงที่ว่าถ้ามันถูกเพลงกำหนดไว้แล้วการเคลื่อนไหวมันจะเร็วหรือช้าเนี้ย แอนิเมเตอร์จะต้องเรียนรู้กันเองด้วย และผมจะไปช่วยดูอีกทีหนึ่ง
ฉากฟาร์มแม่เหล็ก ฉากนี้ใช้การออกแบบง่ายๆ ครับ ถ้าพูดถึงฟาร์มแล้ว ในความคิดแรกของหลายคนมันต้องเป็นฉากใหญ่ ตอนแรกฟาร์มแม่เหล็กที่เราจินตนาการมันต้องมีเครื่องปั่นไฟฟ้าเยอะมาก แต่ทีนี้ผมลองมาเปลี่ยนการออกแบบให้มันน้อยลง ผมก็เลยใช้เป็นแม่เหล็กเกือกม้าครับ เป็นแม่เหล็กอันใหญ่ๆ อันเดียวเลยก็สื่อความหมายได้แล้ว แม่เหล็กนี้ไว้ใช้เปลี่ยนเหล็กให้กลายเป็นแม่เหล็ก และใช้ผลิตกระแสไฟไฟฟ้าให้กับเมืองหุ่นยนต์ เมื่อหุ่นยนต์ที่เข้าใกล้แม่เหล็กก็จะถูกดูดเข้าไป ฉากนี้เป็นฉากที่น่าตื่นเต้นน่ารอชมอีกฉาก
ฉากตัดโซ่ ในเรื่องนี้จะเห็นสถานการณ์ที่เผือกและเขียวพยายามจะตัดโซ่ออกจากกันหลายครั้งคนดูจะได้สนุกไปกับสถานการณ์หลากหลายที่ทำให้ตัวละครทั้งสองเป็นฮีโร่เพราะได้ช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่ได้ตั้งใจ และสร้างความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปตลอดการเดินทาง แต่เบื้องหลังการสร้างนั้นยากเหมือนกันครับเพราะมันเปลี่ยนฉากเยอะ ฉากไหนที่มันเกิดการเปลี่ยนฉากเร็วมันจะส่งผลทั้งการขึ้นโมเดลของเมือง ฉากนี้มีประมาณหกถึงเจ็ดฉากมันเลยต้องเปลี่ยนเร็ว ใช้เวลาในหนึ่งฉากแค่ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ใช้แรงในการทำงานในการสร้างฉากเยอะ ฉากหนึ่งใช้เวลาเฉลี่ยแล้วประมาณ 4-6เดือน บางฉากก็ปีหนึ่งก็มีครับ

Q: คิดว่าเสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่ไหน และอะไรที่ทำให้เรื่องนี้มีความน่าใจกว่าหนังแอนิเมชั่นทั่วไป
X: เสน่ห์ของเรื่องนี้ที่ไม่เหมือนใครน่าจะอยู่ที่บท เป็นสิ่งแรกที่ผมอยากทำเลย ทางทีมงานของเราชอบบทก่อนเลยมันเลยทำงานกันแบบรู้ทิศทาง และบทที่พี่จิกเขียน มันแข็งแรงพอที่จะมาทำการ์ตูน แล้วเราก็มาช่วยกันทำให้มันออกมาสมบูรณ์มากขึ้น แล้วคาแร็คเตอร์ที่ผมนำไปให้พี่จิกดูมันเข้ากันได้พอดี มันรองรับกัน ผมเลยรู้สึกว่าอาร์ตไดเร็คชั่นมันตรงกับบท เราก็เลยเริ่มมาสร้างดีไซน์สร้างโมเดล เราก็ใช้อาร์ตไดเร็คชั่นพวกความเป็นไทย พวกบรรยากาศท้องฟ้าอารมณ์ของการใส่บาตรตอนเช้าผมเอาอันนี้ใส่ไปด้วย อาจจะไม่มีลายไทยจ๋านะ เราใส่ความเป็นไทยอย่าง เช่น รอยสักยันต์ของหุ่นยนต์แต่ละตัว บางตัวถ้าสังเกตให้ดีมีเสือเผ่นด้วย ตัวเสือเผ่นนี้พี่จิกมาพากย์ด้วย (หัวเราะ)
เรื่องแสงสีเราก็ศึกษาเอาความเป็นสากลกับความเป็นไทยมาผสมกัน โปรเจ็คนี้มันเปิดโอกาสให้ผมทำอะไรที่มันไม่ปกติ มันไม่ปกติคือมันไม่ใช่การ์ตูนตาใส มันไม่ใช่การ์ตูนที่มันดิสนีย์ทั่วไปอ่ะ หรือที่เราเคยเห็นว่าการ์ตูนมันต้องน่ารัก จริงๆ การ์ตูนเราก็น่ารัก แต่เป็นแบบไม่ปกติแบบป่วยๆ นิด (หัวเราะ) ไอ้ตัวที่มันไม่น่าเป็นพระเอกมันเป็นพระเอกได้
นอกจากนี้พี่ว่าองค์ประกอบภาพของเรื่องนี้มันจะเปิด Space (พื้นที่) ให้คนดูหายใจได้ อย่างฉากที่ตัวละครหลักมันเดินแล้วมีโซ่ติดกันอยู่จะเห็นพื้นที่เป็นท้องฟ้ากว้างๆ หรือ ฉากหลังเป็นทะเลทราย ผมจะออกแบบวางองค์ประกอบกึ่งๆ สไตล์ญี่ปุ่นบวกกับทางอเมริกานิดๆ แต่ก็ไม่ได้ไปด้านไหนด้านหนึ่งเป็นกลิ่นอายมามากกว่า
และผมว่า เรื่องนี้มันไม่ใช่การ์ตูนนะ มันเป็นหนัง เหมือนอย่างหนังคนแสดงนี่แหละ ผมเคยคุยกับพี่จิกนะว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูนคน มันเป็นการ์ตูนคนแสดง เราจะทำการเคลื่อนไหวอิงจากคนจริงๆ ครับ หมายถึงการเคลื่อนไหวมันจะเป็นตามจริง เช่น ยักษ์วิ่ง-เดินก็เดินหนักๆ ช้าๆ จริงๆ ยักษ์เศร้าก็เศร้าจริงๆ มันจะเป็นงานที่ไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กมาก เราจะไม่ให้การเคลื่อนไหวดูเป็นการ์ตูนเกินไป แต่ถ้าอันไหนเป็นฉากสนุกๆ เราจะทำการเป็นเคลื่อนไหวเป็นแบบการ์ตูนไว้บ้างเช่นฉากร้องเพลง แต่อะไรที่แสดงอารมณ์เยอะๆ จะให้ผมจะให้แอนิเมเตอร์อิงจากจากการเคลื่อนไหวของคนพากย์ให้ใกล้เคียงที่สุดครับ ถึงจะเป็นหุ่นแต่เราต้องทำคนเชื่อก่อนว่าตัวนี้มันไม่ใช่แค่แอนิเมชั่นนะ มันเป็นหุ่นที่มีชีวิตจริงๆ มีการเคลื่อนไหวแบบคนจริงๆ มีอารมณ์มีความรู้สึกต่างๆ มีโกรธกัน มีงอนกัน มีสู้กัน มีความเจ็บปวด เป็นหนังที่จะเล่าถึงความรู้สึกของเพื่อนเน้นความสัมพันธ์ อารมณ์สูงมาก

Q: บ้านอิทธิฤทธ์ มีทีมงานกี่คน และคนทำงานยังไงบ้าง
X: บ้านอิทธิฤทธิ์ก็มีทีมงานประมาณสามสิบกว่าคนนิดๆ และรวมแม่บ้านแล้วด้วย (หัวเราะ) งานหลักของเราคือเราทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นครับ และโปรเจ็คแรกก็เรื่องยักษ์ครับ แต่ตอนนี้เรากำลังร่างโปรเจ็คใหม่อยู่ ซึ่งระหว่างเรากำลังพัฒนาบทของหนังแอนิเมชั่น เราก็จะรับทำงานโฆษณาที่เป็น CG บ้าง เพื่อหาเงินมาจะทำความฝันของพวกเรา (หัวเราะ) เราอยากทำหนังใหญ่ เราก็ต้องเอารายได้จากหลายๆ ทางมาทำให้โปรเจ็คที่สองของเราเกิดขึ้นด้วยตอนนี้ ทีมงานของเราราเรียกว่าน้อยมากถ้าเทียบกับเมืองนอกครับ แต่ศักยภาพของบ้านอิทธิฤทธิ์ไม้แพ้กันเพราะเราทำงานแบบสับเปลี่ยนได้ ผมรู้ว่าทีมงานคนไหนมีศักยภาพด้านไหนบ้าง สมมุติว่าคนนี้สร้างโมเดลเสร็จปุ๊บ คนนี้ผมรู้ว่าสามารถจะใส่ลิงค์กระดูกให้แอนิเมเตอร์ได้ ก็จะสับเปลี่ยนเขามาช่วยทำงานตรงนี้ต่อ และเอาคนอื่นมาสลับงานแทนกันได้ สามสิบคนนี้สามารถจะทำหนังใหญ่ได้เรื่องหนึ่ง ผลงานเราไม่แพ้ต่างชาตินะ แต่คนเราน้อยกว่า แต่เราใช้ความสามารถทางศิลปะช่วยด้วย ซึ่งผมว่ามันทำได้นะโดยที่คนไม่ต้องเยอะ

Q: หนังจากหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ออกฉาย มีเตรียมผลงานถัดไป บ้างแล้วรึยัง
X: ตอนนี้เราก็กำลังทำผลงานเรื่องที่สองอยู่ครับ กำลังอยู่ในขั้นตอนออกแบบคาแร็คเตอร์กันอยู่ หลังจากที่เราทำยักษ์เราก็จะเรียนรู้ประสบการณ์มาพัฒนากับหนังเรื่องต่อไปครับ แอนิเมชั่นที่กำลังจะทำขึ้นก็เป็นบทจากพี่จิก ประภาส เช่นเดิมครับ แต่เราจะทำด้วยเทคโนโลยีสูงขึ้น อะไรที่เคยทำไม่ได้เมื่อ หกปีที่แล้วตอนนี้เราก็ทำได้แล้ว ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและก็บุคลากรก็จะมีพัฒนาขึ้นด้วย เพราะเราก็มีประสบการณ์กันมาแล้วครับ

Q: เรื่องยักษ์นี่ ขึ้นชื่อกันมากว่าได้ทำงานร่วมกับคนเก่งๆ มากมาย สิ่งที่ได้จากการทำงานเรื่องนี้คิดว่าเป็นอะไรบ้าง
X: สิ่งที่ผมได้จากการทำหนังเรื่องนี้ก็คือได้ร่วมงานกับคนเก่งๆมากมาย อย่างเช่น พี่จิกเขามีฝีมือการเขียนบท และการแก้ปัญหาที่แม่นยำมากครับ เรื่องนักพากย์ก็เยี่ยม ถ้าคนพากย์ พากย์เสียงแบบไม่ได้อารมณ์ เราก็จะทำแอนิเมชั่นไม่ได้ขนาดนี้ ทั้งคนแต่งเพลงทำเพลง ฝ่ายประสานงาน ทุกๆ ฝ่ายเลย มันทำให้ผมทำงานดีขึ้นด้วยและโตขึ้นด้วย การทำงานกับคนเก่งๆ มันทำให้ตัวเราพัฒนาขึ้นเยอะและเร็วมากด้วย ผมก็ซึมซับการเรียนรู้ไปด้วยว่าการทำงานอันนี้เราไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน เราก็ศึกษามาจากคนนี้ คนที่มีศักยภาพบางอย่างมารวมกัน โดยที่เราไม่ต้องใช้เงินทุนเยอะหรือสูงมากถ้าเกิดคนเก่งๆ มาทำงานกัน คือเราจะประหยัดทั้งเงินและเวลาด้วย และเราจะได้เรียนรู้ด้วย คือทุกส่วนเลยคนไม่เท่าฝรั่งแน่ๆ แต่คนเก่งๆ มารวมกันเนี่ย แต่ละคนเก่งในสายแต่ละสาย ทำให้งานมันเร็วขึ้น และงานมันตรงที่เราคิดเยอะขึ้น ทำให้บ้านอิทธิฤทธิ์ทำงานง่ายขึ้นด้วย

Q: หนังได้ไปฉายโชว์ ที่เมืองคานส์ และไปโปรโมทตามประเทศต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง รู้สึกอย่างไรบ้างที่หนังได้รับการยอมรับจากต่างชาติ
X: ผมก็ดีใจครับที่คุณภาพของหนังของเราฝรั่งเขายอมรับ คุณภาพมันสูงพอที่ออกต่างประเทศได้ ตอนไปฉายโชว์ที่ญี่ปุ่นก็มีคนมาคุยด้วย ไม่รู้ว่าคนนี้เป็นใคร มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นนักเขียนการ์ตูนดังเลย เขาบอกว่าอยากจะมาร่วมงานด้วย อยากทำงานด้วย เขาชอบการเคลื่อนไหวของตัวยักษ์ เขาก็พูดภาษาญี่ปุ่นว่าเห็นเราทำดี เห็นแล้วมีไฟกลับไปเขียนการ์ตูนต่อด้วย เราก็ปลื้มครับ

Q: คำนิยามของคำว่า “ยักษ์” ของพี่เอ็กซ์หมายถึงอะไร
X: หากผมคิดถึงยักษ์ จะคิดถึงยักษ์ที่ตัวใหญ่ๆ มีบารมีสูงๆ มีอำนาจ แอบคิดว่าบุคลิกของผมใกล้กับตัวนี้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) เพราะว่ามันจะมีความดุร้าย และก็อ่อนโยนด้วย จริงๆ ก็ใกล้ๆ กันกับตัวที่อยู่ในเรื่องนี้

Q: ยักษ์ตัวแรกที่รู้จัก เป็นยักษ์อะไร
X: น่าจะเป็นทศกัณฐ์ครับเพราะส่วนหนึ่งเรียนด้วย แต่ทศกัณฐ์ของผมจะเป็นยักษ์ที่ตัวใหญ่มากใหญ่กว่าวรรณคดีครับ

Q: ในหนังเรื่องนี้มีประเด็นแกนหลัก เกี่ยวข้องกับมิตรภาพ หากอยู่ในสถาณการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง “มิครภาพและ หน้าที่” จะเลือกอย่างไร
X: ผมเลือกทั้งสองอย่างได้ไหม (หัวเราะ)

Q: คิดว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม
X: ได้ครับ ถ้าเราตัดทุกอย่าง เข้าไปคุยกับศัตรูดูบางทีอาจจะดีกว่าที่เราคิดก็ได้ เพราะว่าเราคิดกันเอง บางทีเราคิดว่าคนนี้เป็นศัตรูเพราะว่าอาจจะโหงวเฮ้งไม่ตรงกับเรา หรือว่าโหงวเฮ้งแบบนี้เคยทำร้ายเรามาก่อน (หัวเราะ) แต่ถ้าเข้าไปคุยมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 05, 2012, 04:07:11 PM
อลังการสุดๆ จิกประภาส-เอ็กซ์ชัยพร เนรมิตฉากมิวสิคคัล “ปาหี่เร่ขายปืนโมกขศักดิ์เปิดตัวกุมหุ่นยักษ์สีแดงและหุ่นกระป๋องสนิมน้อย”








    
          อลังการสุดๆ จิกประภาส-เอ็กซ์ชัยพร เนรมิตฉากมิวสิคคัล “ปาหี่เร่ขายปืนโมกขศักดิ์เปิดตัวกุมหุ่นยักษ์สีแดงและหุ่นกระป๋องสนิมน้อย” ได้โช้ย-จักรพัฒน์ผู้ควบคุมวงคุณพระช่วยออร์เคสตรามาร่วมบรรเลง

          มีครบทุกรสชาติของความบันเทิงที่รับประกันว่าไม่มีพิษไม่มีภัย เพราะทุกฉากทุกซีนของ “ยักษ์” แอนิเมชั่นสุดพิถีพิถันถึง 6 ปีเต็มจากไอเดียคิด และลงมากำกับของ จิก ประภาส ชลศรานนท์ ล้วนแล้วอัดแน่นไปด้วยความสนุกสนานและสอดแทรกแง่มุมที่ลึกซึ้งชวนให้ขบคิดมุมมองบวกๆ ของแอนิเมชั่นเรื่องนี้กันได้ถ้วนหน้า แน่นอนว่านอกเหนือจากฉากรบอันยิ่งใหญ่อลังการระหว่างกองทัพหุ่นกระป๋องหนุมานกับทัพหุ่นยักษ์ที่นำโดยทศกัณฐ์แล้ว

          ฉากที่พูดได้ว่าบ่งบอกถึงลายมือในความเป็นจิก ประภาส ผสมผสานกลมกลืนกับลายเส้น สีสัน แสงเงาของการ์ตูนจากเอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ รับรองว่า “ฉากเปิดตัวกุมหุ่นยักษ์สีแดงและน้องสนิมน้อยแสดงปาหี่เร่ขายปืนโมกขศักดิ์” จะเป็นฉากที่น้องๆ หนูๆ จะต้องชื่นชอบรวมไปถึงเหล่าคอแอนิเมชั่นตัวจริงจะต้องหลงรักฉากนี้ที่ถูกนำเสนอในรูปแบบของมิวสิคคัล ภายใต้การประพันธ์และควบคุมการบรรเลงดนตรีได้อย่างสนุกสนาน จากฝีมือของ โช้ย- จักรพัฒน์ เอี่ยมหนุน นักดนตรีคู่ใจของจิกประภาส (ที่มีเครดิตเป็นผู้ควบคุมวงดนตรีคุณพระช่วยออร์เคสตรา และแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่นสิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก) แน่นอนว่ายิ่งประกอบกับเสียงร้องใสๆ ของ น้องออมสินด.ญ.ชนินาถ ศิริสวัสดิ์ ซึ่งรับหน้าที่ให้เสียงให้ชีวิตหุ่นกระป๋องสีชมพูได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู (โดยตัวน้องออมสินเองมาร่วมให้เสียงให้ชีวิตน้องสนิมและอยู่กับโปรเจ็คต์ยักษ์ยาวนานมาราธอนตั้งแต่อยู่ ป.2 จนถึง ม.1 ประมาณ 5-6 ปีเลยทีเดียว) ผสมผสานกับเสียงแหบพร่าแต่ซ่าส์ได้ใจของ ยักษ์กุม ที่ให้เสียงให้ชีวิตจัดเต็มไม่มีกั๊กโดยตั๊กบริบูรณ์ จันทร์เรืองอย่างแสบสันต์บ้าพลังมันส์จริงๆ

          นี่คือ1ในหลายๆฉากที่เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของทีมงานทุกคนที่มีส่วนร่วมในย่างก้าวสำคัญเพื่อให้โลกได้รู้ว่าคนไทยก็สามารถทำแอนิเมชั่นที่มีมาตรฐานและเปี่ยมคุณภาพด้วยความรักและความทุ่มเทไม่แพ้ชาติใดในโลกอย่างแน่นอน และแน่นอนว่ากว่าจะเกิดเป็นภาพและเสียงปรากฎขึ้นมาอย่างที่เห็น เอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผู้กำกับร่วมซึ่งรับหน้าที่ในการกำกับในส่วนของงานแอนิเมชั่นของยักษ์เปิดใจว่าทีมแอนิเมเตอร์ต้องพิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียดกันเลยทีเดียว

“ฉากนี้เป็นฉากเปิดตัวของกุมภกรรณกับน้องสนิม เป็นการเล่าเรื่องแบบละครเวทีมิวสิคคัลฉากนี้ใช้เวลาทำนานเหมือนกัน เพราะมีหุ่นยนต์ที่ใช้หลายร้อยตัวมาดูการแสดงปาหี่ การจัดแสงต่างๆได้ไอเดียมาจากงานคอนเสิร์ตครับ แต่ฉากนี้ใช้เวลาจัดแสง จัดไฟ ค่อนข้างยากเพราว่ากุมภกรรณเป็นสีแดง แต่แสงเป็นสีเขียวและมันเป็นสีที่ตัดกัน ใช้เวลาจัดนานกว่าจะลงตัวสวยงาม ต้องใส่ใจเรื่องการจับคู่สีกับอารมณ์ของภาพ บางภาพเราจัดไปปุ๊บมันมืดไปเด็กไม่น่าจะชอบเราก็จะเพิ่มไฟให้สว่างขึ้นมาอีก ส่วนเรื่องการใส่การเคลื่อนไหวของฉากนี้ต้องดูเสียงเพลงประกอบด้วยครับเพราะเป็นฉากมิวสิคคัลเลยต้องทำให้เข้ากับเพลง ยากตรงที่เราต้องทำให้หุ่นเหล็กให้ดูเป็นทั้งการ์ตูนด้วยเป็นทั้งเหมือนจริงด้วย แต่การที่มีเพลงเข้ามานั้นเป็นผลดีเลยครับ ถ้าเกิดมันมีเพลงเข้ามาอยู่ในฉากนั้นมันจะทำให้แอนิเมเตอร์รู้อารมณ์ของเรื่อง และก็การเคลื่อนไหวของปากที่ถูกเพลงกำหนดไว้ได้ง่ายขึ้น มันจะง่ายขึ้นจากการพากย์ธรรมดา แต่มันยากตรงที่ว่าถ้ามันถูกเพลงกำหนดไว้แล้วการเคลื่อนไหวมันจะเร็วหรือช้า แอนิเมเตอร์จะต้องเรียนรู้ด้วยเพื่อให้ภาพออกมาลื่นไหลและสมจริงที่สุด”

          พบกับความอลังการของฉากมิวสิคคัลเปิดตัว 2 คาแรคเตอร์สำคัญ กุมหุ่นยักษ์สีแดง และน้องสนิมน้อย ที่รับรองว่าทุกคนจะต้องหัวเราะไปกับการให้ชีวิตให้เสียงของทั้งคู่จากฝีมือของ ตั๊กบริบูรณ์และน้องออมสิน และชื่นใจไปกับดนตรีเพราะๆ และมุกที่สอดแทรกอยู่ในฉากนี้อย่างแน่นอน สัมผัสกันเต็มๆ ตากับ “ยักษ์” 4 ต.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 05, 2012, 04:10:05 PM
บทสัมภาษณ์ “คนเลี้ยงยักษ์ จิก ประภาส ชลศรานนท์” ใน ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์”


 
          คือ ครีเอทีฟ นักคิด นักเขียน กวี นักแต่งเพลง ผู้สร้างสรรค์บทเพลงวรรณกรรม อันหลากหลาย
          คือ หัวกะทิ มือเขียนบท หัวโจก ผู้ก่อตั้ง พลิกโฉมหน้าวงการเพลง โทรทัศน์ ละคร ภาพยนตร์ ค่ายเพลง ให้กำเนิด ปลุกปั้นศิลปินบุคลากรระดับคุณภาพทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในแวดวง บันเทิงศิลปวัฒนธรรมนับร้อยนับพัน
          ณ วันนี้ในวัยขึ้นเลขต้นด้วย 5 ด้วยระยะเวลากว่า 6 ปีผู้ชายที่ชื่อ จิก ประภาส ชลศรานนท์พร้อมแล้วที่จะชวนทุกคนร่วมเดินทางไปกับฝันครั้งล่าสุดที่ใช้เวลา บ่มเพาะมากกว่า 10 ปี กับภาพยนตร์
          แอนิเมชั่นเต็มรูปแบบที่มีชื่อสั้นๆ ว่า “ยักษ์”

          Q. เอ่ยชื่อพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีในฐานะนักคิดนักเขียนนักแต่งเพลง ฯลฯ ผ่านประสบการณ์ทำนั่นโน่นนี่มาทั้งชีวิต แต่อยู่ๆ ทำไมถึงลุกขึ้นมาทำแอนิเมชั่นในตอนที่อายุขึ้นเลขห้า
          J. อย่าขำผมนะถ้าผมจะบอกว่าผมไม่เคยคิดว่าตัวเองแก่เลย ก็แค่อายุมากขึ้น (หัวเราะ) โดยส่วนตัวแล้วอันนี้ เป็นวิถีทางนะไม่เกี่ยวกับหนังนะ คือตัวผมเป็นคนที่ทำอะไรไปเรื่อยๆ ผมชอบทำงานแบบวิ่งเหยาะ งานที่ทำทั้งทำทั้งแอบทำคือคนทั่วไปไม่รู้มีเยอะแยะ โชคดีที่ผมเป็นคนทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมๆ กัน ถ้าถามว่าเรื่องการทำการ์ตูนแอนิเมชั่นเป็นสิ่งที่อยากทำมานานหรือยัง ต้องบอกว่าอยากทำมามากกว่าสิบปีแล้ว แต่ใจอย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องพร้อมทั้งฟ้าดินและคน คนก็คือทีม ดินก็คือทรัพยากรทั้งหลาย อุปกรณ์ทั้งหลายส่วนฟ้าก็คือโอกาสและจังหวะ
          เมื่อก่อนแอนิเม ชั่นมันต้องวาดทีละภาพใช้คนวาดเป็นโรงงานเลย ฝรั่งญี่ปุ่นเขาต้องจ้างข้ามประเทศจ้างไต้หวันจ้างอินเดีย คือรู้ว่าถ้าทำไปก็คงได้ประมาณหนึ่งที่ไม่ได้ดังใจทั้งหมด จนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอเอ็กซ์ (ชัยพร พานิชรุทติวงศ์) ก็น่าจะตอนที่เขากลับมาจากอเมริกาใหม่ๆ ก่อนที่จะเอ็กซ์เขาไปทำปังปอนด์อีกนะ ณ วันนั้นด้วยโปรแกรมทำแอนิเมชั่นมันได้มีการพัฒนากันไปเยอะแล้ว มีคนทำกันอยู่เยอะแยะแต่ก็ยังแข็งๆ กันอยู่ วันแรกที่เจอเอ็กซ์เรานัดกันไปเจอกันที่ร้านกาแฟแถวๆ ถนนพระอาทิตย์ เรานั่งคุยกันหลายเรื่อง คุยเรื่องแอนิมชั่นที่เราชอบเขาชอบ คุยแล้วมันรู้เลยว่าคอเดียวกัน เขาเอางานสมัยเป็นนักศึกษามาให้ดู ผมก็เล่าความคิดของผมให้เขาฟังว่าผมมองเห็นแอนิมชั่นที่จะทำมันเคลื่อนไหว ยังไง คุยกันจบก็ยังไม่ได้ทำอะไรกันต่อ ผมก็ไปทำงานของผม ตัวเอ็กซ์เองเขาก็ไปทำหนังโฆษณาทำอะไรของเขาไปเรื่อยๆ เปื่อย แล้วก็ไปทำปังปอนด์ ผมก็ได้เห็นอยู่ ก็มีทั้งชอบและไม่ชอบ มันเป็นโปรดักชั่นระดับทีวีไม่ใช่หนังใหญ่ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะผมก็มีงานอะไรให้ทำอยู่ตลอดเวลา เขียนหนังสือไป แต่งเพลงบ้าง ทำทีวีไป

          Q. ตอนแรกที่ที่พี่จิกบอกคิดอยากทำการ์ตูน ตอนนั้นมีพล็อตเรื่องอยู่แล้วเลยรึเปล่า
          J. ก็มีอยู่เยอะแยะ แม้กระทั่งที่คุยกับเอ็กซ์วันแรกยังนั่งเล่าพล็อตให้ฟังตั้งหลายเรื่อง

          Q. พวกเรื่องพล็อตที่คิดอยากจะทำตั้งใจทำออกมาเป็นแอนิเมชั่นเลยอย่างเดียวเลยรึเปล่า
          J. ใช่ครับ เรื่องบางเรื่องมันเหมาะที่จะเป็นแอนิเมชั่นเท่านั้น เพราะแอนิเมชั่นมันมีเสน่ห์ตรงมันโลดโผนได้มากกว่าคนแสดง

          Q. หมายความว่า ไอเดียของพี่จิกเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วที่คิดฝันอยากทำการ์ตูน พี่จิกเองก็มองไปด้วยถึงความเป็นไปได้ขององค์ประกอบและเทคโนโลยีต่างๆ ในการเกิดขึ้นของการ์ตูนว่าที่จะเกิดขึ้นได้จริงว่าอยู่ในสเกลไหน เพราะฟังจากพล็อตหรือไอเดียที่คิดจะทำกับการ์ตูนในยุคนั้น มองว่าคงต้องเป็นการ์ตูนที่เป็นลักษณะของการวาดด้วยมือ เป็นภาพๆหรือ เป็นcellบนแผ่นใสหรือฟิล์ม ที่ยังไม่ได้วาดบนคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ
          J. ใช่ๆ ตอนนั้นที่คิดๆ อยู่ก็รู้นะถึงความเป็นไปได้ แต่ก็มีความฝันว่าอยากทำนะยังเคยคิดว่าจะรวมมือดีๆที่วาดดีๆ ที่มีสไตล์แม้กระทั่งเพื่อนกันหรือแม้แต่รุ่นน้องกันมาทำได้ไหม คือผมคิดอยู่ตลอด ถึงผมไม่ได้ทำวันนี้ วันหน้าถ้ามีโอกาสผมก็จะทำอีก หาช่องทางทำไปเรื่อยๆ อย่างที่บอกผมชอบวิ่งเหยาะ วิ่งแข่งร้อยเมตรไม่ชอบ เหนื่อยแล้วหมดแรงเลย

          Q. แต่ก็ยังคงเก็บไอเดียความฝันลงในลิ้นชักทางความคิดที่จะทำการ์ตูนไว้รอวันเวลาที่ทุกอย่างพร้อม
          J. ก็มีอยู่ โปรเจ็คต์มีอยู่ในหัวเต็มไปหมดเลย ผมคิดง่ายๆ เมื่อมีโอกาสทำก็ทำ นี่ยังอยากทำหนังคนอีกเรื่องหนึ่งเป็นหนังไซไฟเกี่ยวกับวิถีพุทธ คิดไว้ในหัวแล้ว เขียนบทไปบ้าง จะกำกับเอง แล้วมันต้องใช้แอนิเมชั่นช่วยแยะมากหนังเรื่องนี้ ผมรอเวลารออะไรบางอย่างอยู่

          Q. พูดได้ว่าจุดเริ่มต้นมาจากการที่ตัวเราเองก็เป็นคนที่ชื่นชอบและดูแอนิเม ชั่นมาก่อน จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้เราคิดฝันอยากทำการ์ตูน
          J. ต้องเรียกว่าเป็นคนชอบดูแอนิเมชั่นตั้งแต่เด็ก และโตแล้วก็ยังชอบอยู่ ดูหมดทุกสไตล์ ไม่ว่าจะดิสนี่ย์ พิกซ่าร์ สตูดิโอ GHIBLI หรือทางฝั่งยุโรป แบบเป็นหนังเงียบๆ ก็ชอบนะ ดูแล้วก็รู้สึกตลอดว่าวันหนึ่งเราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันแน่ๆ เพราะมันดึงดูดเราตลอดเวลา เวลาเดินผ่านของพวกนี้ ผมไม่เคยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะไม่เหลียวไปมอง

          Q. อย่างนี้พูดได้ไหมว่าการ์ตูนมีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้ชายที่ชื่อประภาส ชลศรานนท์
          J. พูดอย่างนี้ดีกว่า ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวผมมีอิทธิพลต่อผม ดิอิมพอสสิเบิ้ล เดอะบีทเทิ้ล โมสาร์ท สุนทราภรณ์ ไอ้มดแดง หน้ากากเสือ ผมเป็นเด็กบ้านนอกที่เขาเรียกว่าอะไรละ มันชอบอ่าน อยากรู้อยากเห็น แล้วก็จะมีนิตยสารอยู่เล่มหนึ่งที่มาในช่วงวัยเด็กนั่นคือชัยพฤกษ์การ์ตูน นิตยสารเล่มนั้นมีอิทธิพลกับผมมากนะ ต้องเรียกว่ามากถึงขั้นลากผมเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ สอบเข้าเรียนเตรียมอุดม สอบเข้าสถาปัตย์ ในนิตยสารเล่มนั้นมีนักวาดการ์ตูนท่านหนึ่งนามปากกาคือ รงค์ (ณรงค์ ประภาสะโนบล) ผมชอบเส้นสายของท่าน เส้นสั่นๆ น่ารักเป็นทั้งสากลและมีความเป็นไทย ผมชอบนะแต่ไม่เคยเขียนตามเพราะเส้นคนละทางกัน เส้นผมมันเป็นแบบเส้นสถาปัตย์เป็นเหลี่ยมๆ ที่น่าแปลกใจคืออารงค์ที่เขียนในชัยพฤกษ์การ์ตูนเขาก็เป็นไอดอลของเอ็กซ์ เหมือนกัน คือพอได้มาเจอกันแล้วคุยกันเลยรู้ แสดงว่าเอ็กซ์กับผมโตมาด้วยอิทธิพลของศิลปินคนเดียวกัน และถ้าสังเกตดีๆ ลายเส้นของเอ็กซ์จะคล้ายอารงค์เลยละ

          Q. แล้วทำไมต้องรามเกียรติ์ ทำไมต้องยักษ์
          J. ก็พอเริ่มมาหาเรื่องที่จะทำกัน ก็คิดกันอยู่ว่าจะทำเรื่องอะไรกันก็นั่งคุยหนักกับๆ ทีม ทีแรกเลยคิดเล่นๆ ง่ายๆ ก่อน คิดแบบตื้นๆ เลยนะ คิดว่าจะเอารามเกียรติ์มาทำสัก EPISODE หนึ่ง คิดแค่นั้นจับนางสีดาไป คิดแบบสนุกๆ ง่ายๆ มีแปลงร่างมีแปลงเป็นกวาง คือก็ตีความจากการกลายเป็นกวางคือการทรานสฟอร์มเมอร์ คิดไปเรื่อยๆ คิดจนถึงกระทั่งว่าเราจะสะกดว่ารามเกียรติ์เป็นรามเกียร์ รามเกียร์คือเฟืองของรามก็คือหุ่นยนต์คิดไปเรื่อยว่ารามเราไม่ต้องเขียนรามา (RAMA) ตามแบบวิธีสะกดที่ถูกต้องหรอกที่เราจะเขียนรามเป็น “RAM” = แรม เป็นแรมของคอมพิวเตอร์หรืออย่างพระลักษณ์ก็ให้เป็น LUX ลักซ์ที่เป็นหน่วยความสว่างของแสง CDR ซีดีอาร์พ้องเสียงกับคำว่าสีดาเครื่องไร้ท์แผ่นซีดี ก็พยายามตีความจากรามเกียรติ์แท้ๆ เลยฉบับของไทยนะ
          ทีนี้พอ เริ่มนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ มันก็มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นว่ามันน่าจะมีเรื่องของยุคสมัยนี้ในแง่ของ ปรัชญาชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้เข้าไปเกี่ยว พอเราไปศึกษาเรื่องว่ารามเกียรติ์มีหลายอวตารมากแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน นะ มีหลายอย่างแตกต่างกัน วิธีออกแบบไม่ต้องพูดถึงนะต่างกันลิบลับเลยไม่ว่าจะมาจากอินโดนีเซีย เขมร ลาว หรือว่าทางทิเบต อินเดียนี่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้มีสิ่งหนึ่งที่อยู่ในรามเกียรติ์ที่พูดมาตลอดแล้วที่ฤาษีวาลมิกิ (ชาวอินเดียผู้ประพันธ์มหากาพย์รามายณะขึ้นเป็นภาษาสันสกฤตเมื่อกว่า 2,400 ปีก่อน) พูดเอาไว้ก็คือว่ามันเป็นการอวตารมาเกิดใหม่หลายชาติหลาย มีประโยคหนึ่งน่าสนใจมาก เพราะมันทำให้ผมคิดเนื้อเรื่องออกมาทันที ท่านบอกว่า ‘มีรามเกียรติ์เกิดขึ้นตลอดเวลาในโลกใบนี้ในชีวิตของมนุษย์เรา’ ผมนำประโยคนี้มาตีความต่อเลย ในกรุงเทพก็มีรามายนะ ในนิวยอร์ก ก็มี
          ราม มายณะ ในโรงเรียน ในที่ทำงาน แม้แต่ในหัวของเราเอง ผมคิดเรื่องขึ้นใหม่เดี๋ยวนั้นว่า อวตารที่ผมจะทำ ผมจะไม่ให้เขาเป็นศัตรูกันแล้วสองตัวเอกหนุมานกับทศกัณฐ์ แล้วก็เริ่มตั้งคำถาม เรื่องจะเดินอย่างไรให้ไม่รบกัน นี่คือจุดเริ่มต้น แล้วก็คิดต่อว่าจะเอาจุดเด่นบางอย่างในรามเกียรติ์ที่ผู้คนคุ้นเคยมาใช้เช่น ตัวละคร,ฉากที่คนจำได้ ฉากที่เด็กๆ พวกเราจำได้เอามา REVERSE ใหม่ ใครโดนหอกโมกศักดิ์นะคราวนี้เราจะเปลี่ยนตัวคนโดน นี่คือต้นที่มาของความคิดที่เราจะทำเรื่องนี้

          Q. พอฟังอย่างนี้แสดงว่าตัวพี่จิกเองหลงใหลหรือสนใจอะไรในเรื่องราวของ รามเกียรติ์อยู่แล้วเป็นทุนเดิมเยอะทีเกียว กลับกันในโปรเจ็คต์ในลิ้นชักความคิดที่จะทำแอนิเมชั่นก็มีอยู่ตั้งเยอะแยะ แต่ต้องมีอะไรดีในมหากาพย์รามายณะนี้ถึงโดนใจให้เราตัดสินใจหยิบมาทำเป็นแอ นิเมชั่นเรื่องแรก
          J. รามายณะเป็นมหากาพย์ของชาวเอเชีย ผมใช้คำว่าเอเชียนะเวลาเราจะพูดถึงรามเกียรติ์ เราจะพูดว่ามันคือมหากาพย์ของเอเชียนะไม่ใช่ของไทยอย่างเดียว เพราะว่ารามเกียรติ์ของไทยนี่ก็แปลงมาจากฮินดูนะ เพราะฉะนั้นพอเราชอบประเด็นและภาพในหัว มันก็เกิดขึ้นว่าเราจะเล่าอย่างไร เพราะรามายณะนี่ยอมรับเลยว่ามีความครีเอทีฟสูงมากในเนื้อเรื่องและตัวละคร แต่ว่าเวลาเราเล่าให้ใครฟังว่าเราจะทำรามเกียรติ์คนก็ถามว่าจะแบบทำแบบโบราณ เลยหรือ เราก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีเลยบอกตรงๆ ว่ามันเป็นเรื่องของหุ่นยนต์ พอบอกหุ่นยนต์ทุกคนจะสนใจ แสดงว่าการที่รามเกียรติ์เป็นหุ่นยนต์นี่คนทั่วไปเขารู้สึกว่ามันไม่โบราณ

          Q. แล้วทำไมต้องเป็นหุ่นยนต์
          J. จะบอกอะไรให้ ระหว่างที่ผมทำหนังเรื่องนี้อยู่ ผมเคยคิดนะว่าหนังเรื่องยักษ์เรื่องนี้ถ้าสร้างให้เป็นหนังคนแสดงจะได้ไหม แล้วก็ตอบตัวเองว่าได้เพราะเนื้อเรื่องมันเป็นแบบทำให้ผู้ใหญ่ดูก็ได้ แต่ถ้าเป็นแอนิเมชั่นเรื่องนี้มันควรเป็นหุ่นยนต์ มันมีสองเหตุผลคือ หนึ่ง มันเขียนบทได้โลดโผนกว่า รุนแรงได้โดยที่ไม่รู้สึกว่ารุนแรง มันอาจจะแค่รู้สึกว่ามันน่ารักหรือมันเด๋อเท่านั้นเอง ที่น่าสนใจคือมันมี MOVEMENT ของความเป็นแอนิเมชั่นสูง
          สอง ความเป็นหุ่นยนต์มันทำให้อวตารครั้งนี้ประหลาดกว่าครั้งอื่นๆ สมกับเป็นอวตารครั้งล่าสุด แม้เราจะคงไว้ซึ่งพระเจ้าผู้สร้างอย่างเดิม อย่างเราก็เคยได้ยินอยู่แล้วว่ามีคนคิดรามเกียรติ์เป็น
          เวอร์ ชั่นต่างๆ หรือแม้แต่ว่าพระอภัยมณีซึ่งอันนี้ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ การที่รามเกียรติ์เป็นหุ่นยนต์ก็เคยมีคนคิด แต่พอเราเริ่มออกแบบก็รู้สึกสนุกดี หนุมานจะเป็นยังไงทศกัณฐ์จะเป็นยังไง แล้วเราจะแต่งเรื่องขึ้นใหม่อย่างไรให้ไม่เหมือนเดิมแต่มีเค้าเดิม แต่งอย่างไรให้สมัยใหม่และยังมีขนบ เพราะเรื่องมันก็เกิดเรื่องใหม่ขึ้นมา เมื่อคิดสะระตะเสร็จก็ตั้งชื่อเรื่องว่า “ยักษ์” เลย เพราะตั้งใจจะเล่าตัวนี้เป็นตัวเอกไม่เคยคิดเป็นชื่ออื่นเลย

          Q. นี่แสดงว่าพี่จิกพุ่งเป้าตรงไปที่จะเล่าเรื่องตัวทศกัณฐ์เป็นตัวแรกเลย
          J. ตัวแรกเลย

          Q. ทำไมถึงชอบตัวนี้
          J. มันเป็นตัวละครที่น่าสนใจมากนะในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ คนคิดนี่สุดยอดครีเอทีฟเขาออกแบบมาให้มีสิบหน้า วิธีคิดแบบครีเอทีฟแบบนี้ไม่ง่าย ต้องบอกว่าตอนเด็กๆ พออ่านถึงทศกัณฐ์แล้วชอบมาก ยิ่งของรามเกียรติ์ไทยนี่สุดยอด ออกแบบให้หัวอีกเก้าหัวเรียงบนกระหม่อม ไม่เหมือนชาติอื่นเลย เท่มาก ต้องบอกว่าผมชอบทศกัณฐ์จนถึงขั้นเอามาตั้งชื่อรายการทีวีเลยนะ

          Q. อย่างนี้ไปๆ มาๆ ความลุ่มหลงสนใจในยักษ์ทศกัณฐ์ของพี่จิกที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้เกิด เป็นแอนิเมชั่นเรื่องแรกคงไม่ใช่แค่6ปีแล้วละมั้ง
          J. ว่านับเอาความชอบทศกัณฐ์ด้วยน่าจะเกินครึ่งชีวิตนะ ผมชอบทศกัณฐ์และหลงเสน่ห์หนุมานด้วยนะ ตัวละครในรามเกียรติ์แต่ละตัวครีเอทีฟทั้งนั้น เช่นหนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน คิดได้ไงหรือหางหนุมานที่พันรอบภูเขาได้ ผมว่าฝรั่งมาได้ยินรามเกียรติ์อาจลอกเอาไปใช้แล้วไม่บอกใครเลยละ หลายอย่างที่เราคุ้นเคยในรามเกียรติ์ผมเอามาเขียนเลย แล้วก็บิดให้คนดูตกใจ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 05, 2012, 04:12:11 PM
          Q. ย้อนกลับไปจากครั้งแรกที่ได้เจอกับพี่เอ็กซ์จนมาถึงวันแรกที่ตัดสินใจทำยักษ์ห่างกันนานแค่ไหนอย่างไร
          J. เกือบๆสิบปีนะ

          Q. ในทีมมีแต่คนไทยเท่านั้นใช่ไหม
          J. ปีที่ผ่านมาโอ๋โปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้เขาเอาหนังไปต่างประเทศ ชาวต่างชาติเขาไม่รู้หรอกว่าคุณทำได้รึเปล่าคุณทำได้จริงเหรอ ให้ดูแค่คลิป เขาก็สนใจ เราเอาหนังที่เสร็จแล้วสองชั่วโมงตัดให้ให้สั้นลงไปฉายให้เขาดูก่อน พอเขาก็เห็นตัวหนังเต็มๆ แล้วเขาก็ทึ่งเขาก็อึ้ง เขาพูดมาประโยคหนึ่งไม่รู้ว่าจะดีใจหรือน้อยใจดีว่าคนไทยทำได้ด้วยเหรอทำจาก เมืองไทยทั้งหมดเลยหรือ มีฮอลลีวู้ดมาช่วยหรือเปล่า เราบอกติดตลกว่าแม้แต่คนซื้อโอเลี้ยงก็ยังเป็นคนไทยเลย จะมีขั้นตอนเดียวที่มีฝรั่งก็คือตอนเข้าแล็ปเทคนิคคัลเลอร์ซึ่งสตาฟบางคน เป็นฝรั่งแล้วก็ขั้นตอนการทำเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ แต่ถามว่าทีมนี้ทั้งหมดตั้งแต่พล็อตไปจนถึงคนออกแบบจัดแสงทั้งหมดทุกคนมี บัตรประชาชนเป็นคนไทยหมดเลย

          Q. จากจุดเริ่มต้นตรงนั้นคิดไหมว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้
          J. ไม่คิดนะ รู้ว่านานแต่ไม่คิดว่าถึงหก แต่พอปีที่สี่ผมก็รู้แล้วว่ายาวแน่ เพราะเราคิดว่าที่เราศึกษามาเยอะพอแล้วกลายเป็นไม่พอ ทำไปรู้ไป อาจเป็นเพราะมาตรฐานที่ตัวเองวางไว้ด้วย บางอันไม่ได้ไม่ถึงเราก็ไม่เอา มันยังไม่เหมือนอย่างในหัวผม ผมก็ยังไม่ผ่าน หาวิธีทำให้ได้

          Q. ถ้างั้นคงต้องถามแล้วว่าพอเริ่มต้นจะทำแอนิเมชั่นโดยประภาส ชลศรานนท์ พี่จิกวางเกณฑ์หรือมาตรฐานในการทำอย่างไร
          J. ก็ตัวเองต้องชอบก่อนเลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรต้องเป็นสิ่งที่เราต้องชอบคือถ้าเราเป็นโปรดิวเซอร์ไม่ได้ เป็นผู้กำกับเราก็จะให้เกียรติผู้กำกับมากกว่า ก็อาจจะบอกว่าเฮ้ยเอาประมาณนี้ได้ไหมก็อาจจะต่อรองกัน แต่ถ้าเราเป็นผู้กำกับเองเราก็ต้องต่อรองกับตัวเอง อีกอย่างต้องยอมรับว่าแอนิเมชั่นขั้นตอนมันไม่เหมือนหนังคน แม้แต่ฝรั่งเองอย่างต่ำนะสตูดิโอที่มีคนห้าหกร้อยคนต้องมีเวลาอย่างน้อยสาม ปี ตอนแรกผมยังคิดเลยว่าผมเป็นอยู่คนเดียวหรือเปล่านะ ไปอ่านสัมภาษณ์ถึงได้รู้ว่าเขาก็สามสี่ปี เนื่องจากเราคนไม่เยอะแล้วก็ประสบการณ์เป็นเรื่องแรกด้วยแล้วก็อันนี้พี่ก็ คิดว่าน่าจะเป็นเหมือนๆ กันหมดนะไอ้ความรู้สึกอยากแก้ไปเรื่อยๆ หมายถึงว่าอย่างตอนแรกสตูดิโอของบ้านอิทธิฤทธิ์ไม่ได้อยู่ที่นี้ (บ.เวิร์คพอยท์ บางพูน ปทุมธานี) อยู่ที่เหม่งจ๋ายผมก็เดินทางไปบ้างอาทิตย์ละสองวันไปถึงก็หมดแรงแล้ว กรุงเทพรถติดจะตาย
          พอย้ายบ้านอิทธิฤทธิ์มาอยู่ที่นี่ (บ.เวิร์คพอยท์) ปุ๊บผมไปทุกวันเลย ไปเหมือนไปเยี่ยมเพื่อน ไปทำยักษ์ทุกวันวันละนิดวันละหน่อย มีอะไรไม่มีอะไรก็ไปดูเพิ่ม เหมือนไปดูต้นไม้ เป็นความเคยชินว่าบ่ายๆ ก็ต้องแวะไปดูละ ไปแก้โน่นนี่แวะไปคุยแล้วก็กลับมาทำงานต่อ พวกผู้กำกับแอนิเมชั่นฝรั่งเขาขับรถไปทุกวันสามสี่ปีเหมือนกันคือมันไม่ใช่ อยู่กองถ่ายแล้วแอ็คชั่นแล้วเล่นเลย แอ๊คชั่นของเราทีหนึ่งกว่าจะขยับเป็นเดือน ต้องเริ่มจากสตอรี่บอร์ดก่อนเริ่มจากมุมกล้องแล้วก็เริ่มตั้งโมเดลขึ้นมา เราก็เลยมานั่งคุยกันแล้วก็ไปขั้นตอนในการไปพากย์ก็เอาเสียงพากย์มาตีความ ภาพควรจะเป็นอย่างไรตรงนี้มันต้องขยับไหมกว่าจะเสร็จออกมาพอใจพอออกมาเสร็จ ปั๊บปาเข้าไปครึ่งเดือนแล้วอย่างต่ำแค่คัทสั้นๆ แล้วก็ไปจัดแสง จัดแสงเสร็จดูว่ามันสวยแล้วหรือยังมาจัดแสงเหมือนหนังคนเลยนะเอาดวงไฟไว้ตรง ไหน มันเยอะไปไหมควันไม่มีงั้นใส่ควันนิดนึงซึ่งถือได้ว่ามันเป็นการสร้างขึ้น จากทุกอย่างที่มันเริ่มต้นจากอยู่ในอากาศหมดเลย มันก็เลยว่าต้องไปทุกวันทำไปเรื่อยๆในบางอารมณ์ก็เหมือนนั่งสมาธิครับทำไป เรื่อยๆ ทำงานเพื่องานไม่ได้คิดว่าจะได้อะไร มีแค่ช่วงหลังๆ ที่ต้องเสร็จๆ ต้องเริ่มกระชับให้สั้นให้อยู่ในกรอบบางกรอบบ้าง อุ๋ย (ชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล) บอกว่าไม่ได้นะพี่ยาวกว่านี้ไม่ได้แล้วนะก็ต้องตัดออก การทำงานจะเอาแต่ใจตัวอย่างเดียวไม่ได้ ผมไม่ชอบอย่างนั้น ทำงานด้วยกันต้องสนุกทั้งทีมไม่ใช่ผู้กำกับสนุกคนเดียว แต่ช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาต้องใช้ว่าโคตรมีความสุข ทำไปเรื่อยๆ แก้ไปหัวเราะชอบใจเหมือนกับเด็กได้ของเล่น คือตอนจะเริ่มต้นทำผมคุยกับเอ็กซ์
          ชัยพรเลยว่าเราจะทำให้ได้ คุณภาพสูงสุดที่เครื่องไม้เครื่องมือในเมืองไทยจะทำได้ ณ วันนั้นนะ เอ็กซ์ก็เขาก็บ้าคล้ายๆ กัน ไม่ดีไม่เลิกทำแก้ไปเรื่อยๆ เราก็คุยกันหนักๆ กันในทีมแอนิเมเตอร์และทีมที่ทำแอนิเมชั่นทั้งหมด หลายอย่างที่ผมอยากได้ เราทำได้จำกัด พิกซาร์มันทำได้เพราะมันมีวิศวกรออกแบบซอฟท์แวร์เอง แม้แต่ดรีมเวิร์คยังทำไม่ได้เลย ผมก็คิดกันว่าเราต้องหาวิธีทำให้ได้อย่างเรา วิธีอ้อมก็เอา ไปหาวิธีทำมาให้ได้ อันนี้ยังไม่รวมที่ทำได้เสร็จแล้วยังไม่พอใจนะมันมีความกลมกล่อมที่แบบว่าสี ตรงนี้อยากให้เป็นอย่างนี้ สีฉากนี้มันไม่ใช่แจ๊ดขนาดนี้ เราก็จะคุยกัน เราก็จะคุยกันเยอะก็จะไปหาวิธีเอามาดูกัน ในช่วงแรกๆ ผมเอาอาร์ทติสท์หลายคนมาช่วยกันวาดนะ แม้กระทั่ง ชาติ (สุทธิชาติ ศราภัยวานิช) ที่วาดการ์ตูนหัวปลาหมึก (Joe the Sea-cret Agent -นักสืบโจ หัวปลาหมึก) ก็เชิญมาช่วยจินตนาการ นักวาดคนที่เอ็กซ์รู้จักก็ชวนมาๆ ลองวาดดูและก็รู้ว่ามันไม่ตรงกับที่ผมต้องการ แม้จะไม่ใช่ทางที่เราเลือกแต่สิ่งที่เขาวาดมีประโยชน์มาก พอเราเปิดใจแต่แรกเราเลยได้ไอเดียมาเปรียบเทียบเยอะ

          Q. พี่จิกมีเกณฑ์ไหมว่าในการทำแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์อยากบอกหรือสอดแทรกแนวคิดอะไรลงไปในการ์ตูนเรื่องนี้
          J. ทุกงานที่ผมทำมันก็จะมีตัวเราเข้าไปอยู่ เราก็จะบอกในสิ่งที่เราอยากจะบอก มันก็จะมีชั้นของมันอยู่เหมือนเพลงของเฉลียงหรือหนังสือหรืออะไรก็ตามนะ หรือเหมือนอย่างละครเรื่องเทวดาตกสวรรค์ต่อให้ไม่รู้ไม่เก็ทสิ่งที่ผมอยากจะ บอกเลยนะ อย่างน้อยที่สุดคุณก็จะได้ความสนุกออกไปอย่างมหาศาล แต่ละคนมีแบ็คกราวน์ไม่เท่ากันด้วยบางคนก็ไม่อยากรับรู้ บางคนแบ็คกราวน์อยากรู้เรื่องนี้ก็จะโดนเรื่องนี้ ก็จะมีสิ่งที่อยากบอกไว้หลายๆ ชั้นอยู่ เรื่องมันมีหลายระดับนะหัวใจคือเรื่องมิตรภาพ เรื่องหน้าที่ แม้แต่คำถามที่ว่าเราเกิดมาทำไม แม้แต่เรื่องพลังอีโก้ในตัวมนุษย์ เรื่องที่พูดบางเรื่องก็อยู่ในเนื้อเรื่อง บางเรื่องก็อยู่ในตัวคาแร็คเตอร์ บางเรื่องมันก็อยู่ในบทพูดเช่นคำถามว่าถ้าเราเป็นศัตรูกันเราต้องเป็นศัตรู กันตลอดไปหรือ

          Q. เป็นความตั้งใจของพี่จิกอยู่แล้วว่าคอนเซ็ปท์ของเรื่องที่จะทำแอนิเมชั่นเรื่องนี้คืออยากให้คนดูได้ทุกวัย
          J. ต้องบอกเลยว่ายักษ์ไม่ใช่หนังเฉพาะเด็ก มันเป็นหนังของคนทุกวัย ในหนังอาจพูดเรื่องถึงสามสี่เรื่องนะ แต่ผมคิดว่าในแต่ละคนที่ดู ด้วยวัย ด้วยแบ็คกราวน์ ทุกคนจะเก็ทในเรื่องที่ผมอยากบอกต่างกัน แม้แต่ชื่อยักษ์ที่ตั้งขึ้นมา ยักษ์ภาษาไทยมันไม่ได้แปลว่าไจแอ้นท์อย่างเดียว มันแปลว่ามอนสเตอร์ด้วยนะ

          Q. ฟังๆ ดูแล้วยักษ์คือหัวใจของเรื่องจริงๆ
          J. มันชื่อเรื่องยักษ์เพราะว่าอะไร ยักษ์มันคือจิตใต้สำนึกของคนที่มีพลังมาก อันนี้เป็นสิ่งที่ผมพูดเรื่องนี้มานานแล้วมนุษย์เรามีพลังแบบนี้มันเอาไปทำ อะไรก็ได้นะ แต่ถ้าเราคุมมันได้มันก็จะเป็นพลังที่เยี่ยม นานมาแล้วผมเคยมองหัวโขนทศกัณฐ์แล้วก็คิดว่าเก้าหัวของทศกัณฐ์เขาคิดอะไร อยู่ แล้วเขาคิดเหมือนหัวที่ใหญ่ที่สุดหรือเปล่า

          Q. ถึงแม้ว่าแอนิเมชั่นจะเป็นสิ่งที่เด็กชอบดูแต่เรื่องนี้ตั้งใจทำให้ผู้ใหญ่ดูด้วยไหม
          J. อยากทำให้ผู้ใหญ่ดูมากๆ บ้านเราผู้ใหญ่ชอบคิดว่าการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็ก คิดอย่างนั้นโลกเรามันจะแข็งและเย็นชาเกินไป

          Q. เป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกเริ่มเลยที่จะทำแอนิเมชั่นยักษ์ที่มีรูปแบบของ มิวสิคคัลเข้ามาสำคัญที่ผสมผสานอยู่ในตัวเรื่องด้วย
          J. อย่างมิวสิคคัลสำหรับแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ก็มีความจำเป็นนะ มันทำให้อิ่มหรือแม้แต่งานของผมเองหลายชิ้นก็มักใส่ความเป็นมิวสิคคัลเข้าไป อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว มันคล้ายๆ กับเป็นความชอบส่วนตัวด้วย มิวสิคคัลมันจะช่วยทำให้แอนิเมชั่นมีความเป็นกวีเพิ่มขึ้นมา บางทีมันลดโทนของความหนักลงมาด้วยแล้วเวลามันเล่าอะไรด้วยเพลงสักอย่างถ้า มันจังหวะดีนะมันจะรู้สึกมาก
          ตั้งแต่เริ่มแรกที่มีตั้งแต่ อยู่ในบทเลยว่าจะต้องมีเพลงตรงนี้ๆ หรือมีฉากที่เป็นมิวสิคคัล เป็นคนวางเองแต่ก็มีแก้ไขบ้างบางอย่าง เพลงนี่ก็ไม่ได้เขียนเองทั้งหมดใช้ปากกาหลายคน บางทีก็ให้ ต้อง (บัวไร-พัลลภ สินธุ์เจริญ) ช่วยเขียนบางเพลงและที่มันไม่มีก็ให้เขาเขียนเลย หรืออย่างเพลงตอนจบ คิดไว้เลยนะว่าจะพูดเรื่องอะไรนะแต่ไม่อยากเขียนเองก็เลยไปชวนแสตมป์มาเขียน บอกเขาเลยว่า ตั้งใจอยากให้แสตมป์มาเขียน เรื่องมันมาอย่างนี้แล้วให้ดูหนังคร่าวๆ แล้วเล่าให้ฟังว่ามันกำลังจะพูดเรื่องอะไร จบมันควรจะพูดเรื่องอะไรนะ เพลงเกิดมาเป็นเพื่อนเธอคือเราได้ประโยคหนึ่งมาจากหอย ขณะที่หอยเขาพากย์อยู่ แล้วเวลาที่เขาพากย์กันมันก็จะมีความสนุกสนานของมันก็จะมีเหมือนแหย่กันไป แหย่กันมา ผมก็จะบอกว่าหอยฉากนี้มันต้องมีอารมณ์มากกว่านี้ ได้พี่ ได้เลยครับพี่ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แล้วหอยเขาก็ไปพากย์ เขาจะแหย่ทีมงานด้วยประโยคนี้บ่อยๆ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้แล้วเราก็จะหัวเราะกัน ไอ้คำนี้เวลาเราพูดกันแล้วหัวเราะนี่ ผมคิดนะมันมีอะไรบ้างอย่างที่สอดคล้องกับสิ่งที่อยากจะบอกมากเลย
          เรา อวตารลงมาเกิดมาเพื่อที่จะรบกันมาโดยตลอดแต่ตอนนี้เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เราอวตารมาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เพื่ออะไร นี่แหละเพลงนี้มันเลยเกิดขึ้นมา เคยคิดเหมือนผมไหมว่าบางทีเราเข้าไปอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรู้จักใคร เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน เหมือนกับว่าเวลาผมให้กำลังใจเด็กๆ ที่แบบว่าเอ็นทรานซ์ติดอีกที่หนึ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ ผมจะบอกว่ามีใครบางคนรอคุณอยู่ที่นั่น ก็เลยบอกสแตมป์ไปว่าประโยคนี้ผมอยากได้นะ คือผมต้องการลายมือเขาลายมือเขา เป็นลายมือของเด็กยุคนี้ที่ผมชอบมากที่สุดคนหนึ่ง ผมเขียนเองก็ได้แต่บางทีก็เบื่อลายมือตัวเอง

          Q. ฟังๆ ดูแล้วเหมือนพี่จิกมีภาพอยู่ในใจของการทำการ์ตูนเรื่องนี้อยู่ในทุกส่วนเลย
          J. มีภาพอยู่ในใจทั้งหมดเกือบทุกส่วนเลย แต่ว่าบางทีให้ศิลปินคนไหนไปแล้วเขาบิดอะไรบางอย่างเติมเข้ามาแล้วรู้สึกว่า มันมากกว่าที่เราคิดเราก็ชอบ แต่ถ้ามันผิดทางเราก็บอกว่าไม่ใช่

          Q. ฟังๆ ดูแล้วนอกจากจะเป็นต้นน้ำทางความคิด ต้นตอของไอเดียต่างๆแล้ว ในการทำแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ พี่จิกยังทำหน้าที่เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่จะพร้อมจะพากิ่งก้านที่ออกรากแตกหน่อ ไอเดียต่างๆ ให้มันต่อยอดออกไปอีกได้อย่างไม่รู้จบ
          J. ไม่อย่างนั้นจะทำงานกันคนหลายคนทำไม ไม่งั้นเราจะมีศิลปินเก่งๆ มารวมตัวกันทำไม ถ้าเราคิดว่าเราเอาไอเดียของเราเป็นหลักอย่างนี้คนที่มาก็ต้องเรียกว่าช่าง ทุกคน ไม่ได้เป็นช่างนะทุกคนเป็นศิลปินหมดนะ แม้ แต่หอยเองหรือแม้แต่โน้สที่มาช่วยพากย์รับเชิญเขานำเสนอบางอย่างในสิ่งที่ เขามองเห็นอีกแบบหนึ่ง เราก็บอกเออเฮ้ย นี่ก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดถึงนะ หนุ่มนี่ช่วยเยอะมากเลย แม้แต่โน้สที่มาช่วยพากย์เขาก็ให้ความเห็นอีกแบบหนึ่ง ทุกคนช่วยกันไม่ว่าจะเป็นฝั่งของแอนิเมเตอร์ ฝั่งของซีนดีไซน์ทุกคนมีสิทธิ์นำเสนอหมดไม่ว่าจะมาด้วยปากหรือทำมาให้ดูเลย

          Q. พูดถึงทีมเขียนบทหน่อย นอกจากพี่จิกแล้วมีใครอีก
          J. ก็มีต้อง-บัวไร (พัลลภ สินธุ์เจริญ) บัวไรนี่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับด้วย นั่งเกลาบทกันตลอดเวลา ในระหว่างนั้นก็มีคนมาแจมบ้าง ชลากรณ์นี่ก็เคยมาช่วยหาข้อมูลเคยนั่งล้อมวงคุยบทด้วย แล้วก็มีโจ้กับแปลนจากทีมโต๊ะกลมที่เขียนบทละครเวทีเร่ขายฝันมาผสมโรงตอน นั่งคุยเรื่องบทด้วย

          Q. จนมาถึงขั้นตอนต่อไปที่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแปรความคิดไอเดียจากตัวหนังสือมาเป็นภาพ
          J. บทเรื่องนี้เขียนกันหลายเดือน พอเริ่มเขียนเสร็จร่างแรกๆก็เข้าสู่ขั้นตอนพรีโปรดักชั่น เริ่มด้วยการดีไซน์คาแร็คเตอร์ก่อน ซึ่งในขั้นตอนนี้ทางเอ็กซ์ก็จะเข้ามาเกี่ยวข้อง มานั่งคุยกันเลยว่าตัวหนุมานเป็นยังไง เก่งมากไวมากเป็นฮีโร่แต่เราอยากให้พูดมาก จะขี้โม้มั้ย หน้าตามันต้องกวนๆ หน่อยไหม หนุมานในรามเกียรติ์นี่ขี้เล่นแน่นอน เพราะเป็นลิง อีกตัวทศกัณฐ์คืออะไรคือพญายักษ์ที่ดุร้าย เก่งที่สุดและก็ใช้คำว่าฆ่าไม่ตายเอามาใช้ด้วย เพราะเรื่องแก่นหลักของรามายณะคือทศกัณฐ์ฆ่าไม่ตายนะ เขาเอาหัวใจไปฝากไว้ที่พระฤาษี เราจะแปลคำว่าฆ่าไม่ตายให้เป็นอะไร เพราะอย่างหนุมานทศกัณฐ์เราก็เอามาตีความว่าต้องเป็นคนแบบนี้มีบุคลิกลักษณะ แบบนี้
          บทร่างแรกๆ นี่ตอนมีความยาวเต็มๆ หนุมานตอนฟื้นนี่ผมใส่เจ้าเล่ห์มากกว่านี้นะ อันนี้ลดลงตัดออกไปเยอะ ในขณะเดียวกันพอทศกัณฐ์ในคาแรคเตอร์แบบลงไปจิตใต้สำนึกลึกสุดเลยเขาจะเป็นคน ซื่อแบบไม่มีอะไร นอกจากหนุมานกับทศกัณฐ์แล้วในส่วนตัวละครอื่นในรามเกียรติเราก็เลือกมาใช้ ว่าต้องใช้ใครโดยไม่ได้คิดว่าจะต้องเอามาทั้งหมด พอเราคิดถึงหอกโมขศักดิ์ที่คนจำได้ก็ต้องมีตัวที่ใช้หอกออกมาก็มีกุมภกรรณ แต่ในรามายณะเขาเป็นน้องชายกัน แต่ในเรื่องนี้เราให้หนุมานกับทศกัณฐ์รบกันแล้วพัง พระรามทำลายล้างสูญสิ้นสงครามแล้วเวลาก็ผ่านไปเป็นล้านๆ วันแล้วก็เกิดขึ้นใหม่ กุมภกรรณในอวตารนี้เขาจะเหมือนคนคลั่งสงครามในยุคใหม่ ตัวภุมภกรรณสร้างจากคาแรคเตอร์แบบนั้น ถามว่าคนแบบนี้ในโลกยังมีอยู่ไหมมีนะ ชอบสงครามเพราะมันเท่ทั้งๆ ที่ไม่เคยรบ กุมภกรรณไม่ใช่หุ่นที่อยู่ยุคเดียวกันกับทศกัณฐ์ในช่วงที่รบหรือทำสงครามกัน เพียงแต่เป็นหุ่นพันธุ์เดียวกันเป็นหุ่นพันธุ์ยักษ์เท่านั้นเอง แต่ว่าเขาเห็นแต่แค่เทวรูปทศกัณฐ์ที่ไม่เหมือนจริง เพียงแต่ยังคิดเสมอว่าท่านยังอยู่ท่านยังอยู่ แล้วเขาก็เก็บอาวุธสงครามไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งเครื่องบิน สดายุจริงๆ ตัวละครตัวนี้ใสมากเลยนะเขาเชื่ออยู่เรื่องเดียวเขาไม่มีเรื่องอื่นเลยและ เขาภักดีมากคือคิดอย่างเดียวคิดไปทางเดียวเลย เขาคิดทำเพื่อสิ่งนั้นสิ่งเดียวจริงๆ ไม่ได้เป็นตัวละครที่ร้ายนะ เพียงแค่เขามีความเชื่อว่าสักวันทศกัณฐ์จะต้องกลับมา
          ในแอนิเม ชั่นยักษ์มีตัวละครที่สร้างขึ้นใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับรามายณะเลยคือน้องสนิม น้อย เราสร้างตัวนี้ขึ้นมาเป็นตัวแทนคนดูที่เป็นเด็ก ผมอยากให้เด็กเป็นตัวเชื่อมมิตรภาพของสองศัตรู แล้วเราก็วางคาแร็คเตอร์ให้เป็นเด็กมีปม เป็นเด็กกำพร้าเป็นเด็กที่มอมแมมและแปลคำว่ามอมแมมให้กลายเป็นสนิมซะ มีน้ำมูกตลอดเวลาจนกลายเป็นปมด้อย น้ำมูกโดนใครก็เป็นสนิมกันหมด แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินเรื่องได้ ดีไซน์ตอนแรกน่ากลัวกว่านี้นะปากนี้เป็นสนิมจริงๆ เราเถียงกันหนักเหมือนกัน และเอ็กซ์ก็เป็นคนเสนอเองว่าเอาสนิมออกเถอะเอาแค่ป้านๆ ว่าเคยเป็นสนิมแล้วพ่นสีทับ ก็มีคนทักว่าไม่เห็นมีสนิมเลย มันจะดูแบบน่ากลัวไม่น่ารัก มาจนถึงสดายุก็เป็นตัวหนึ่งที่เป็นเครื่องมือ พอเรามีตัวนี้ปุ๊บเราก็คิดเลยว่ามันน่าจะทำเป็นมุกนะ เรื่องเดิมเป็นนกตัวหนึ่งที่อยู่ฝั่งพระราม มาคราวนี้เราให้เป็นผู้หญิงซะแล้วก็เอามาเป็นเครื่องบินรบของกับทศกัณฐ์ด้วย เป็นเหมือนวัตถุโบราณสมัยสงครามที่กุมภกรรณเขาก็เก็บๆ มาเรื่อยๆ ประมูลมา
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 05, 2012, 04:12:54 PM
         Q. ไม่เพียงแค่สี่ตัวละครหลักที่พูดถึง ความอลังการงานสร้างของแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ “มีการสร้างเรื่องเนรมิตรดีไซน์ตัวการ์ตูนอีกเป็นร้อยๆตัวในหนังเรื่องนี้ ด้วย
          J. ใช่ ต้องออกแบบหุ่นในเรื่องนี้เป็นร้อยๆ ตัว ตัวที่อยู่ใกล้ๆ ก็ต้องดีไซน์หน่อย ตัวที่มีบทนะ อย่างเพื่อนเด็ก ลูกนายกเทศมนตรี ตัวนายกเทศมนตรี ลุงช่างที่คนแก่ๆ ที่รู้ตำนาน พวกนี้เราจะดีไซน์ละเอียดหน่อย แต่พอไกลๆ ไปก็ถือเป็นกองทัพไป อย่างพวกหุ่นทหารยักษ์ อันนี้ก็จะกลุ่มหนึ่งๆ พวกที่อยู่ในย่านซื้อของ กลุ่มคนขายของเก่าก็เป็นร้อยๆ ตัวนะ แต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเราก็จะเห็นตัวละครที่เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกแบ่งออก เป็นหุ่นกระป๋องกับหุ่นยักษ์ มันเหมือนกับลิงกับยักษ์นั้นแหละ เราแปลงลิงเป็นหุ่นกระป๋องและแปลงยักษ์เป็นหุ่นยักษ์ แล้วยักษ์ก็จะไม่ค่อยมายุ่งกับหุ่นกระป๋อง เหมือนคนป่าที่ไม่ค่อยมายุ่งอยู่กับคนเท่าไหร่ แต่ก็มีอยู่บ้างนะ แล้วหุ่นกระป๋องส่วนใหญ่มักจะใช้ล้อ แต่ที่ไม่ใช้ก็จะมีบ้าง ส่วนยักษ์ก็จะมีขา
          แล้วก็พวกพันธุ์ผสมก็มี แล้วก็มีนักปีนเขาเป็นคีย์แมน เป็นตัวที่โน้ส พากย์ ซึ่งตัวนี้มันคือคนเขียนบท คนที่อยากจะบอกอะไรกับคนดู เราเลือกเชิญโน้สเพราะบุคลิกตัวตนจริงๆ ของโน้ส แม้บทจะไม่เยอะเลยแต่สำคัญมาก ตัวนี้มันเป็นเหมือนคนที่มีเป้าในชีวิตที่จะทำสิ่งที่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ คือเขาคิดอะไรไม่เยอะมาก ทำไปเรื่อยๆ เขามาให้สติอะไรบางอย่าง คำพูดของเขาเหมือนไร้สาระ แต่ตรงไร้สาระนี่มีสาระที่สุด เราตั้งชื่อเขาว่าบรู๊คส์เพราะมีความประทับใจมาจากหนังเรื่อง THE SHAWSHANK REDEMPTION คือบรู๊คส์ ในหนังฝรั่งเรื่องนั้นเขาจะไปขูดอะไรไว้ใช้ชื่อเดียวกันคือ BROOKS WAS HERE เราชอบหนังเรื่องนี้กัน เราจะตั้งชื่อว่าอะไรกันดีนะ ชื่อว่าอู๊ดแอ๊ดก็ไม่มีประโยชน์อะไร เผอิญมันมีประเด็นว่าเขาชอบไปขูดเอาไว้ตามที่ต่างๆ เหมือนกัน และมันควรว่าจะเขียนว่าไงนะ อู๊ดอยู่นี่ ซึ่งเราก็คิดว่าเออมันมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งนะ ก็จะเขียนคำว่าอะไรที่ทำให้คนทั้งโลกรู้ ก็ BROOKS WAS HERE การออกแบบนอกจากจะเอาลักษณะของนักไต่เขาที่ชอบพกอุปกรณ์มากมายแล้ว หน้าตาก็เอามาจากโน้ส แต่ตั้งใจไม่ให้มีจมูกใหญ่เพราะจมูกมันไม่เหมาะกับหุ่น มีแล้วมันดูเป็นคนมากเกินไป การออกแบบให้หุ่นไม่มีจมูกใหญ่แล้วดูออกว่าเป็นโน้สเป็นความท้าทายของคนออก แบบนะ

          Q. มาพูดคุยในส่วนของบรรดานักแสดงที่มาให้ชีวิตให้เสียงกับตัวการ์ตูนกันบ้าง
          J. มันเริ่มจากตัวคาแร็คเตอร์ของการ์ตูนแต่ละตัวมันถูกกำหนดถูกดีไซน์ไว้ก่อน แล้วตามท้องเรื่อง แล้วเราต้องหาเนื้อเสียงให้ตรงกับคาแร็คเตอร์ แล้วผมต้องการนักแสดงที่เก่ง ที่มีบุคลิกโดดเด่น แล้วคล้ายตัวละครที่ออกแบบมาแล้ว หลายตัวละครเราก็เลยปรับ เอาเอกลักษณ์ของคนพากย์มาใส่ลงไปในตัวการ์ตูนด้วย เช่นเสนาหอยก็จะมีผมที่เป็นเร้กเก้ เราก็เอามาดัดเป็นเสาอากาศที่ประหลาดกว่าตัวอื่น ตัวอื่นมีเขาอันเดียวแต่อันนี้มีถึงสามอัน ปากหนาตาโปนก็จะมีความเป็นหอยอยู่ ตัวหอยฉลาดคล่องแคล่วพูดเก่งติดตลก ตรงนี้เป็นบุคลิกเดียวกันกับเผือก
          ส่วนหนุ่มสันติสุขเข้ามา เป็นตัวทศกัณฐ์หรือน้าเขียวเป็นยักษ์เราไม่ได้เลือกหนุ่มที่หน้าตาเพราะเขา หล่อเกินไป แต่ว่าที่เราเลือกเขาเพราะเสียงหนุ่ม เขาเคยพากย์การ์ตูนเป็นตัวร้ายบ่อยๆเสียงเขามีน้ำหนักคือหุ่นตัวนี้เราเคย เทสต์มาหลายคนละพอพากย์แล้ว ถ้าเสียงไม่มีเนื้อพอมันดูจะตัวเล็กกว่าตัวละครเพราะเนื่องจากมันเป็นหุ่นรบ ตัวใหญ่ เสียงที่ต้องออกมาแล้วมันต้องใหญ่มีอำนาจ ที่สำคัญคนที่จะสามารถพากย์เป็นตัวร้ายได้และในขณะเดียวกันพากย์ให้อารมณ์ แบบใสซื่อแบบบุญชูได้ในตัวเดียวกันในเมืองไทยมันมีไม่กี่คน ตัวหนุ่มเองเขาเป็นนักแสดงที่ไม่ได้มาพากย์อย่างเดียวนะ เขาแสดงเลย ตอนที่พากย์ครั้งแรกนี่ นักแสดงแต่ละคนยังไม่เห็นหนังยังไม่เห็นการ์ตูนเคลื่อนไหวเลย เห็นแต่ภาพนิ่งแต่เขาต้องแสดงออกมาแล้ว บอกได้เลยว่าเขาเหนื่อยไม่แพ้แสดงหนังจริงๆ ตอนพากย์ฉากสำคัญนี่เราถ่ายวิดีโอไว้ด้วยนะ เราก็จะเห็นอารมณ์จากดวงตาของเขาเลย เราเอามาดูเพื่อศึกษาด้วย แล้วงานของคนวาดหรือแอนิเมเตอร์ก็ต้องคิดคำนวณและต้องเก่งด้วยว่าจะต้อง เคลื่อนไหวแค่ไหน เพราะถ้าเคลื่อนไหวเหมือนคนมากเกินไปมันไม่เป็นแอนิเมชั่น มันไม่น่ารักมันแท้เกินไป แต่ขณะเดียวกันมันก็ต้องได้อารมณ์ตามนักแสดงด้วย โกรธ เศร้า สนุก ต้องได้ตามเสียงของนักพากย์

          Q. แสดงว่านักแสดงเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนการทำการ์ตูน ตั้งแต่ขั้นตอนที่มีการดีไซน์ตัวละคร เพราะกลับกันแอนิเมชั่นบางเรื่องวาดเสร็จหรือทำเสร็จแล้วถึงค่อยมีนักพากย์ เข้ามาพากย์ใหม่
          J. ใช่ครับ ตอนคัดเลือกนักแสดงเสร็จ เรามีการอ่านบทแบบ First lips เหมือนหนังเลยนะ มีหนุ่มสันติสุขมีเสนาหอยนั่งอ่านบทปะทะกันอยู่กับน้องออมสิน (ที่พากย์เป็นสนิมน้อย) เลย และพี่ก็นั่งฟังว่าเสียงสามคนเวลานั่งอยู่ด้วยกันแล้วมันเป็นยังไง เอออันนี้เสียงเล็กกว่าไอ้นี่เสียงใหญ่กว่า คือผมอยากเห็นการเข้าคู่กับของเสียงทั้งเรื่องด้วย ต้องดูทั้งคอนทราสต์ต้องดูทั้งฮาโมนี่ด้วย คือในเรื่องเขาต้องเดินเรื่องไปด้วยกัน

          Q. คราวนี้อยากให้พี่จิกพูดถึงนักแสดงที่มาให้เสียงให้ชีวิตกับตัวการ์ตูนแต่ละตัว
          J. หอยเป็นหนุมานจริงๆ ถ้าตอนเขาเด็กๆ ไปสมัครโขน ครูบาอาจารย์ก็คงคัดหอยให้อยู่ในกลุ่มลิง หอยเป็นคนหัวไว ความคิดซน มีลูกตอดต่อเนื่องตลอดเวลา คือเป็นหนุมานในโทนคอมมิดี้ ตัวลิงเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแม้แต่ทางกรมศิลป์คนที่เคยเล่นเป็นบทหนุมานทุกคน ซนหมด ครูมืด (ประสาท ทองอร่าม)
          ยังเคยเล่นหนุมานเลย ที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเสียงของหอย มันลงตัวกับเสียงของหนุ่ม แม้กระทั่งสนิมเองเราเคยคิดว่าจะเอานางเอกดังๆ มาพากย์นะ ให้พากย์เสียงเด็ก แต่สุดท้ายเราคิดว่าเราต้องการการแสดงจริงๆ อย่างเป็นธรรมชาติ งอนแบบเด็ก ขำแบบเด็ก เราก็เลยตัดสินใจยอมเหนื่อยคัดเด็ก เชิญมานั่งอ่านให้ฟังเป็นสิบๆ คน เด็กส่วนใหญ่เสียงน่ารักอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่มีในเด็กเดี๋ยวนี้หายากมากเลยคือธรรมชาติ
          เด็ก ที่ถูกคัดมามาพากย์มีสองแบบคือเด็กโนเนมที่ไม่เคยแสดงซึ่งส่วนใหญ่ขี้อาย เสียงได้แต่เวลาให้แสดง มันทำงานยาก ต้องกล่อม ต้องบอกพ่อแม่ให้มาอยู่ด้วย ทำงานยากแน่ๆ มีประเภทหนึ่งคือเป็นดาราเด็กมีประสบการณ์ เราเชิญคนที่เคยเล่นเป็นนากเอกตอนเด็กๆ มาคัดตัวก็หลายคน น้องออมสินโผล่มาคนสุดท้าย โดดเด่นมาก อ่านบทให้ฟัง เราฟังแล้วเรารู้สึกตาม มีความเป็นธรรมชาติสูง ร้องเพลงเก่ง ฉลาด แล้วมีวินัย สามารถทำงานได้แบบมืออาชีพ จะพักจะทำงานไม่มีงอแง พอเริ่มงานดีดนิ้วปั๊บเข้าฉากปั๊บธรรมชาติมาเลย ร้องไห้หัวเราะดูไม่เสแสร้ง เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์สูงมาก

          Q. ตั๊กบริบูรณ์เป็นกุม เห็นว่าตัวบทนี้มีหลายคนมาแคสติ้งมากกว่าจะลงตัว
          J. มาแคสติ้งเยอะ เพราะว่ากุมมันเป็นตัวละครที่มีสีสัน เป็นตัวเติมสีของเรื่องเลย แล้วก็มีหลายคนที่มาแคสบางคนเล่นดีแต่น้ำเสียงแก่ไป บางคนคาแร็คเตอร์ใช่หนุ่มแน่นฉกรรจ์แต่เล่นแล้วไม่บ้าพอ แต่อย่าง ตั๊กเขาเป็นคนบ้าแบบว่าถวายหัว ถ้าเขารักใครเขาทำอะไรให้ใครเขาก็จะทำอย่างนั้นนะ สังเกตว่าตัวละครตัวนี้ก็จะเป็นเหมือนตั๊กตรงที่หลงใหลและชื่นชมทศกัณฐ์ ทำทุกอย่างได้เพื่อทศกัณฐ์ ตัวละครตัวนี้มันเหมือนมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างความบ้ากับความโหดร้าย ตั๊กก็คล้ายๆ กันมีอยู่ตรงกลางระหว่างความบ้ากับความจริงจัง คิดเหมือนผมไหมถ้าตั๊กเป็นคนบ้าจริง เขาจะเป็นคนบ้าที่ทุกคนอยากอยู่ใกล้ๆเขาไม่ใช่คนบ้าที่แบบว่าคนกลัวแล้วเดิน หนี คือแค่เห็นเขาทำอะไรเราก็ยิ้ม มีความสุข

          Q. พี่เหมี่ยวปวันรัตน์เป็นนกสดายุ
          J. พี่เหมี่ยวนี่พอเราบอกว่าเราจะมีเครื่องบินรบ เราจะมีนกสดายุ คาแร็คเตอร์เป็นนกตัวหนึ่งเฮ้ยเอาเป็นนกออกสีดำๆ ไหม แล้วเราก็หัวเราะกันผมบอกไปเลยว่าเดี๋ยวเอาเหมี่ยวมาพากย์ เพราะรู้มือกันอยู่เหมี่ยวนี้เล่นละครกับพี่มาตั้งแต่สมัยเทวดาตกสวรรค์ก็ เกือบสามสิบปีแล้ว เหมี่ยวเป็นนักแสดงคอมมิดี้ก็จริงนะ แต่เขาเป็นนักแสดงคอมมิดี้ที่เข้าใจบทมาก เขาเล่นลึกเขาเล่นกระแหนะกระแหนเก่งมาก และตัวละครตัวนี้เป๊ะเลย คือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมากระแหนะกระแหนคนตลอดเวลา แล้วเหมี่ยวเป็นนักแสดงที่อิมโพไวซ์บทได้เก่ง ประโยคไหนไม่เข้าปาก ผมให้เขาบิดคำได้เลย ฟังเหมี่ยวพากย์แล้วสนุก คนทำงานในห้องพากย์หัวเราะกันทุกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าคนที่พากย์เป็นฝรั่ง (เวอร์ชั่นเสียงภาษา อังกฤษ) เป็นผิวดำโอ้โหพากย์มันส์เหมือนเหมี่ยวเลยคือเรื่องกระแหนะกระแหนประชด ประชันตลอดเวลา

          Q. มีแจ๊ปเดอะริชแมนทอยด้วย
          J. ผมเห็นเขาในคอนเสิร์ตมันจะออกแบบมันส์ๆ หน่อย รู้สึกหนุ่มคนนี้น่าสนใจก็เลยเชิญมาเขาสนุกกัน ผมบอกบทไม่เยอะนะ เขาก็อยากสนุก มีร้องเพลงด้วย แต่หนังมันยาวไปหน่อยผมเลยตัดเพลงออก เขาพากย์ก็เหมือนเวลาที่เขาเล่นคอนเสิร์ตก็มีความสนุกสนานตลอดเวลาสไตล์ของ เขา แบบพ่อค้าเร่เข้ามาโวยวายๆ เวลาเขาอยู่บนเวทีเขาก็ใช้เสียงคุมคนเยอะๆ เหมือนกัน

          Q. เห็นว่ามีโน้ส อุดมด้วย
          J. มีตัวละครตัวหนึ่งมันคือหุ่นยนต์นักไต่เขา เป็นตัวสำคัญมาก แล้วผมอยากให้เป็นโน้สมาสวมบท ตั้งแต่คิดตัวละครตัวนี้ขึ้นมา ตอนที่บอกอุดมให้มารับบทนี้ ผมบอกว่าบทไม่เยอะเลยแต่บทสำคัญมาก เพราะเป็นตัวที่ทำให้เรื่องดำเนินต่อไปได้ด้วยคำพูดของเขา เขาตั้งคำถามที่ทำให้ตัวละครเอกต้องทบทวน ที่เลือกอุดมมาพากย์ตัวนี้ก็เพราะ ตัวละครตัวนี้เหมือนคนพูดจาไร้สาระ แต่ตรงที่ไร้สาระนั้นเป็นสาระที่สุด เอ็กซ์ออกแบบหุ่นตัวนี้ให้มีอุปกรณ์ปีนเขาเต็มไปหมด รวมไปถึงขาที่เป็นจุกแบบติดผนัง และเสาอากาศที่เป็นล้อบนหัวเพื่อให้กลิ้งตัวไปมาแบบกลับหัวได้ แม้จะบทน้อยแต่อุดมกลับพากย์อย่างสนุก เขาให้ผมเลือกสามสี่แบบ แบบนักเลงปากซอย แบบลุงขี้บ่น แบบคนใต้ อีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกอุดมมารับบทนี้ก็เพราะ ตัวละครตัวนี้มีความคิดอยากทำสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้นั่นคือการปีน ไปหาดวงอาทิตย์ ซึ่งผมคิดว่าอุดมเองก็เป็นศิลปินที่มุ่งมั่นคนหนึ่ง ผมว่าเขาทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เราเห็นหลายครั้งแล้วนะ, มีคนถามว่าหน้าตาของหุ่นมีคนถามว่าทำไมไม่มีจมูกใหญ่ๆ ผมคิดว่าหุ่นถ้ามีจมูกมันมีหน้าตาเป็นคนมากไปแล้วการออกแบบให้ไม่มีจมูกแต่ ยังดูออกว่าคล้าย มันเป็นความสนุกและท้าทายอย่างหนึ่งนะ

          Q.นอกจากนี้ก็จะมีอีกหลายๆ คนที่มาร่วมด้วยช่วยกันสร้างสีสันให้กับตัวละครอื่นๆ ในลักษณะของ cameo รับเชิญ
          J. คือพอโปรดักชั่นเฮ้าส์พอสตูดิโอเราอยู่ที่นี่ปุ๊บ (เวิร์คพอยท์) มันอยู่ใกล้โรงถ่ายมาก บางอารมณ์มานั่งนึกว่าจะหาใครมาพากย์เป็นตัวประกอบดีนะ เดินผ่านมาเราก็เรียกเลยตุ๊กกี้!!มาฝากเสียงใส่ไว้ให้หน่อยนะได้เลยค่ะพี่ ส้ม (ส้มเช้ง) มาเลยๆ กลายเป็นว่าเราได้มืออาชีพเลย ต้องไปลองนั่งฟังดูว่าจะร้องอ๋อ อย่างส้มเช้งเล่นเป็นเมียนายกเทศมนตรี ขี้โวยวาย ไปฟังเสียงแล้วจะรู้ ตุ๊กกี้เดินมาหามาปรึกษาอะไรบางอย่าง ถ้าผมพี่ทำอะไรอ่ะ คุมพากย์หนังอยู่ หนูเอาด้วย เป็นตัวประกอบก็ได้ ก็ให้เข้าไปห้องพากเลย แล้วก็จะเป็นพวกทีมงานที่เข้าไปช่วยลงเสียง ครีเอทีฟที่เวิร์คพอยท์ นักดนตรี เข้าห้องพากย์เป็นตัวประกอบกันหมด ก็มันมีหุ่นเป็นร้อยๆ ตัว คนที่พากย์เยอะสุดคือบัวไร (พัลลภ สินธุ์เจริญ) รับหน้าที่ร่วมเขียนบทภาพยนตร์และเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ

          Q. ทราบมาว่าแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์นอกจากเสียงพากย์ในเวอร์ชั่นเสียงไทยแล้วยัง มีการทำงานควบคู่กันไปในเวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษด้วย
          J. เวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษเราได้ ทอดด์ ทองดีเป็นคนที่ช่วยหามา แล้วก็เอามาให้คัด ก็มีเอาฝรั่งที่อยู่เมืองไทยบ้างอยู่แถวๆ นี้บ้างอยู่สิงคโปร์บ้าง ที่ผมให้ฝรั่งมาช่วยดูการพากย์เวอร์ชั่นนี้เพราะฝรั่งเขาจะไม่ตีความเหมือน เรานะ มุกอย่างเดียวกันฝรั่งจะเปลี่ยนเป็นอะไร ที่สำคัญน้ำเสียง เราคนไทยบางทีเราก็ฟังไม่ออกว่า น้ำเสียงประชดหรือโกหกกำกวมน้ำเสียงจะเป็นอย่างไร แล้วก็อยากได้ฝรั่งที่เข้าใจภาษาไทยมากๆ ด้วย ทอดด์เหมาะด้วยประการทั้งปวง แน่นอนเขาเก่งทั้งสองภาษา หนำซ้ำยังเป็นนักเขียนนักแต่งเพลงเหมือนผม แล้วสนิทกันรู้ทางกัน เขาฟังเพลงผมมาเยอะ รู้มุกคนไทยแล้วรู้วิธีที่จะแปลงเป็นฝรั่ง อย่างเช่นเผือกเขาตีความว่าตัวละครตัวนี้จะเป็นนิวยอร์กเกอร์ เขาตีความว่ายักษ์น้าเขียวเป็นพวกแอลเอ คนขายเหล้าก็จะเป็นพวกไอริช หรืออย่างพวกเม็กซิกันก็จะเป็นพวกลุงช่างเราก็เออเขาตีความไม่เหมือนเรา เพราะเราคนไทยเราตีความว่าแค่นิสัย เพราะคนไทยสำเนียงคล้ายกันกันหมด แต่เขาตีความเป็นน้ำเสียงเป็นเผ่าพันธุ์ในโลกสากล
อย่างหุ่นที่ปีนเขา เราก็จะไปเชิญโน้สเพราะโน้สเขามีภาพพจน์อย่างหนึ่งอยู่ในเมืองไทย แต่ทอดด์ตีความว่าพวกปีนเขาพวกนี้เป็นพวกออสเตรเลียพวกที่ชอบแอดเวนเจอร์ หรืออย่างสดายุเขาบอกว่าต้องเป็นผู้หญิงผิวดำเท่านั้นเหมือนพวกขี้บ่นตลอด เวลา มีเรื่องน่ารักของคนที่พากย์เป็นสดายุเวอร์ชั่นฝรั่งด้วย เขาเป็นนักร้องผิวดำอเมริกันที่เซ็นสัญญามาร้องแถวเอเซียไม่กี่เดือน ทอดด์ทาบทามต่อๆกันมา เขาพากย์ดีมากๆ ใช้เสียงเป็น คงเพราะเป็นนักร้องอาชีพด้วย เขามากระซิบกับทอดด์ทีหลังว่าเขาหลงใหลการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กและเคยฝันไว้ว่า อยากเป็นนักพากย์การ์ตูน ไม่คิดว่าฝันจะเป็นจริงได้ คนที่พากย์เป็นเผือกนี่ก็รู้สึกว่ามาจากนิวยอร์กมา เป็นคนโปรดักชั่น เป็นคนเขียนบทด้วย รู้สึกจะมาแถวเอเซียมาทำสกู๊ปอะไรสักอย่าง คนนี้ก็พากย์สนุกมาก อาจเป็นเพราะเป็นเคยเป็นคนเขียนบท เข้าใจเรื่องพวกนี้เร็ว
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 05, 2012, 04:13:57 PM
         Q. ฟังดูแล้วเป็นความตั้งใจตั้งแต่เริ่มแรกเลยว่าแอนิมชั่นเรื่องยักษ์นี้จะไม่จบอยู่แค่คนดูแอนิเมชั่นในบ้านเรา
          J. ก็ตั้งใจจะทำให้เป็นสองภาษาตั้งแต่แรกเลย เพราะฉะนั้นในการทำงานพี่ก็ถือว่าเอาคนไทยเป็นต้นฉบับ ปากทุกคำ ขยับปากเป็นภาษาไทยเป๊ะ สระอูสระโอเป๊ะ สิ่งที่ยากมากคือทอดด์จะต้องมานั่งข้างๆ เพราะว่าภาษาอังกฤษเคยถูกแปลมาแล้วทีหนึ่งโดยเดลล์ ซึ่งเป็นนักเขียนบทที่อเมริกา แปลไปแล้วรอบหนึ่งแล้วก็ถูกเกลาไปแล้วอีกหลายรอบเหมือนกันเพราะในแง่ด้วยของ เรื่องภาษา จนมาถึงมือทอดด์อีกครั้งหนึ่งเนื่องจากทอดด์เก่งภาษาไทยมาก และนั่งคุยกันว่าท็อดด์ต้องตรงปากให้ขยับใหม่ภาษาใหม่แล้วก็ใส่มุกฝรั่งลงไป แทนภาษาไทย แล้วเชิญคนฝรั่งชาติอื่นที่ไม่ใช่อเมริกันมานั่งดูด้วย เขาขำในมุกอเมริกันของคุณหรือเปล่าเอาขนาดนั้นเลย ตัวอย่างเช่นในไทยเขาร้องว่าสนิมคือชื่อหนู มันลงท้ายสระอูคนแรกที่แปลแปลไว้ว่า รัสตี้อีสมายด์เนม ความหมายตรงแต่ปากมันไม่ตรงกันทอดด์ต้องทำงาน ก็จะกลายเป็นรัสตี้เยสอีสทรู แล้วค่อยเป็นอิสมายเนมคือความหมายเหมือน เดิมแต่เขาแค่ให้ขยับคำใหม่ ดูภาษาฝรั่งแล้วเราอาจจะงงว่านี่มันหนังฝรั่งนี่นาเพราะว่าปากมันค่อนข้าง ใกล้มาก

          Q. กลายเป็นว่าการที่ได้ทอดด์ ทองดีที่เป็นชาวต่างชาติพูดเข้าใจและรู้จักภาษาไทยดีแถมมีพื้นฐานทางด้าน ดนตรีด้วยมารับหน้าที่ควบคุมดูแลการกำกับเสียงในแอนิเมชั่นยักษ์ในเวอร์ชั่น เสียงภาษาอังกฤษจึงเป็นอะไรที่ลงตัว
          J. ทอดด์เขาเหมือนผมเป็นนักแต่งเพลง พอมีมิวสิคคัลมีร้องเพลงไทยเขาก็แปลเป็นเพลงฝรั่งให้ คำบางคำฝรั่งมันไมมีจริงๆ ทอดด์ต้องหาให้ใกล้เคียงที่สุด อย่างสำนวนต่างคนต่างมาที่ผมเอามาแต่งเพลง ทอดด์คิดหนักมากเพราะแค่สี่คำความหมายของไทยไปได้ไกล เขาก็จะเสนอคำอื่นที่ไม่ตรงนักแต่ได้อารมณ์เดียวกัน

          Q. อยากให้พี่จิกเล่าให้ฟังถึงขั้นตอนในการทำแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์หลังจากที่ ได้ตัวบทเรื่องราว ได้ตัวคาแรคเตอร์ดีไซน์ได้ตัวนักแสดงแล้ว
          J. พอได้บทร่างแรกๆ ที่เราคิดว่าใกล้กับความคิดมากที่สุดแล้ว ก็ลองแคสติ้งระหว่างที่แคสติ้งก็ทำงานไปพร้อมกับการวาดสตอรี่บอร์ดไปเรื่อยๆ เหมือนสตอรี่บอร์ดหนังแต่ก็จะละเอียดกว่าหน่อยละเอียดในมุมกล้องนะเพราะจาก บอร์ดจะถูกนำไปสร้างเป็นเลย์เอาท์ เลย์เอาท์นี่คือเป็นภาพร่างของหนังที่เป็นเหมือนกับดูหนังได้เลยแต่ยังไม่ ได้แอนิเมท อย่างเช่นจะมีตัวละครเดินทางแบบนี้มีกล้องเป็นแบบนี้มีพูดอย่างนี้คุยกันแบบ นี้แล้วตัดไปเป็นแบบนี้ รู้ด้วยนะว่ามีกี่คัทมีกี่ช็อตรู้หมดในเลย์เอาท์ คนทำเลย์เอาท์ต้องรู้เรื่องมุมกล้องแล้วมีฟิลของคนตัดต่ออยู่ขั้นตอน เลย์เอาท์นี่ถือว่าสำคัญมาก
          มันเหมือนภาพร่างที่สองหลังจากสต อรี่บอร์ด แต่มันมีอารมณ์มากกว่าสตอรี่บอร์ด แล้วก็มาผมกับทีมงานก็จะมานั่งดูกัน มุมกล้องเป็นแบบนี้เคลื่อนกล้องแบบนี้ยาวไปสั้นไป ทิศทางใช่ไหมแล้ว จบที่เลย์เอาท์ก็จะประชุมกับแอนิเมเตอร์ ฉากนี้มันมีความหมายอย่างไร แต่ละตัวละครรู้สึกอย่างไร มันเคลื่อนไหวแบบไหน เร็วช้า แอนิเมเตอร์แต่ละคนก็จะแยกกันทำ แล้วก็เอามาประกอบร่างกันเป็นหนึ่งซีน และก็มาดูทั้งซีนอีกทีหนึ่งที่ประกอบร่างแล้วเป็นยังไงบ้างเอาฉากใส่เอาตัว ละครเข้าไปใส่และก็เริ่มเรนเดอร์จัดแสงก่อน ไฟอยู่ตรงนี้กลางวันกลางคืนมีแสงตกตรงนี้หน่อยมีอะไรไหมก็ว่ากันไปมีพระ อาทิตย์ไหม ทำเสร็จแล้วก็มาคอมโพสต์ใส่สีเพิ่มตรงนั้นจะโฟกัสยังไงมีชัดหลังเบลอลึกก็ ว่ากันไปก็ใส่เอ็ฟเฟ็กต์จะควันจะไฟเอามาเติมลงไหม ถึงเสร็จแล้วก็มานั่งดู แล้วก็มานั่งปรับ

          Q. กว่าจะออกมาเป็นภาพที่สวยงามลงตัวอย่างที่เห็น เห็นบอกว่าไม่ว่าจะเป็นตัวละคร หรือฉากแต่ละฉากต้องผ่านการออกแบบออกมาหลายร่างมากๆ
          J. เยอะๆ แต่ละร่างก่อนที่เราจะทำฉากแต่ละฉาก เราจะทำนี่ขึ้นมาดูก่อนๆ “คอนเซ็ปท์อาร์ต” ของแต่ละซีน ว่าตัวหนังจะออกมาเป็นอย่างไรนะ เหมือนสร้างบ้านต้องมีแปลนแล้วต้องมีภาพ perspective เคยเห็นใช่ไหม ภาพสีสวยๆ ดูเป็นแนวทางว่าบ้านเสร็จแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ในแอนิเมชั่นนี่ต้องใช้ภาพคอนเซ็ปอาร์ตเยอะมาก คนทั้งทีมจะได้เห็นภาพตรงกัน ว่าบรรยากาศรวมๆ มันเป็นอย่างไร

          Q. พวกฉากเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจหรือเอามาจากสถานที่จริงหรือเป็นจินตนาการที่สร้างขึ้นมาใหม่
          J. ก็ส่วนใหญ่มันจะมาจากประสบการณ์ของเรานะของแต่ละคน อย่างในหนังเราก็จะเห็นฉากเซียงกงที่เขาวิ่งหนีกันที่ขายของเหมือนกับบ้าน เราที่ตึกด้านหน้าเป็นที่สวยๆ แต่พอเข้าไปในซอยก็จะเป็นอะไรที่อีเหละ เขะขะ ที่พวกหุ่นวิ่งไล่กัน อันนี้ผมเอาความเป็นไทยๆ แบบทุกวันนี้ใส่ลงไปเลย บางทีเราก็ไปถ่ายรูปของจริงมาศึกษากัน ฉากตลาดนัดเราเอาตลาดนัดไทยเลย มีกระบุงกระจาดแล้วเราก็เปลี่ยนให้เป็นหุ่นยนต์ซะ บางทีเราก็อธิบายกันแบบไทยๆ ท้องฟ้าเช้าเหมือนตอนใส่บาตรพระนึกออกไหม คนจัดแสงจะนึกออกทันที เราสร้างฉากกันเยอะมาก ฉากสงครามฉากแรกที่เป็นสมรภูมิ, ฉากเมืองเป็นเมืองเซียงกง, ฉากเดินทางในทะเลทราย, ฉากโรงไฟฟ้า, ฉากบาร์, ฉากสนามแม่เหล็ก, ฉากเสาสูงเสียดฟ้า, ฉากสนามเด็กเล่น, ฉากปาหี่ของกุมภกรรณ
          แล้ว แต่ละฉากคนขึ้นโมเดลก็ต้องมานั่งเขียนอุปกรณ์ประกอบฉากเติมเข้าไปๆ อีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชิ้นแล้วเอาไปวาง เวลาเราพูดว่าฉากใหญ่นี่คือมันใหญ่จริงๆ นะ เราต้องสร้างขึ้นมาเลยเราต้องสร้างโมเดลฉากขึ้นมาเหมือนจริงเป็นพันๆ ไร่เหมือนของจริง เหมือนไอ้ยักษ์ที่เป็นทีเซอร์นี้ต้องสร้างโมเดลขึ้นมาใหญ่ๆ เลยอันหนึ่ง เสาใหญ่มาก ท้องฟ้าใหญ่ตามไปหมด ฉากยิ่งใหญ่ก็ยิ่งใช้เมมโมรี่ของคอมฯมาก เรนเดอร์ก็จะช้ามากข้ามวันข้ามสัปดาห์ เพราะผมอยากให้มันสวยเหมือนจริง แค่กล้องโคลสอัพดวงตาตัวละคร ฉากแวดล้อมทั้งหมด ผมอยากให้เห็นมันสะท้อนอยู่ในดวงตาด้วย

          Q. มีฉากไหนง่ายสุดหรือใช้เวลาน้อยสุด
          J. ฉากตัวหนังสือเครดิตขึ้นตอนจบ (หัวเราะ)

          Q. ในส่วนของพาร์ทที่เป็นดนตรีประกอบของภาพยนตร์ที่ค่อนข้างโดดเด่นและมีความสำคัญมากๆ
          J. จักรพัฒน์ เอี่ยมหนุน เป็นคนทำ เพราะถือว่าเป็นมือดนตรีคู่ใจที่สุดแล้ว เราทำเพลงกันมาไม่รู้กี่แบบต่อกี่แบบ แค่ฮัมก็รู้แล้วว่าผมต้องการอะไร หนังที่เนื้อเรื่องใหญ่ๆ อย่างนี้อย่างไรก็ต้องออเคสตรา เรื่องนี้
          จักร พัฒน์ต้องทำทั้งสองแบบที่ผมอยากได้คือละเอียดตามความเคลื่อนไหวที่การ์ตูน มันขยับ ของตก คนวิ่ง โซ่สะบัด ดนตรีจะวิ่งตามเลย แล้วเอามาเข้าจังหวะ อีกส่วนก็คือการบิวท์อารมณ์ซึ่งสำคัญมากเพราะหนังเรื่องนี้มันมีอารมณ์เยอะ ส่วนเพลงประกอบภาพยนตร์ที่พี่เลือก Room39 เพราะวงเขามีสามคนมันตรงกันเลย กับมิตรภาพสามคน เขียว เผือก สนิม วงเขามีผู้ชายสองคนผู้หญิงหนึ่งคนตรงกันเป๊ะเลย โดยมีแสตมป์มาแต่งให้คือพี่คิดอยู่แล้วว่าพี่จะต้องมีเพลงตอนจบที่พูดเรื่อง นี้แล้วพี่ก็คิดถึงแสตมป์ขึ้นมา พี่ชอบภาษาเขาวัยรุ่นแต่ลึก มีคนถามทำไมไม่เขียนเอง ในเรื่องเขียนเยอะแล้วอยากได้ลายมือคนอื่นบ้าง อยากให้หนังเรื่องนี้เป็นความร่วมมือร่วมใจกันของหลายๆ ศิลปิน แสตมป์ก็ยินดี นั่งคุยกันเปิดฟุตเตจให้ดูสักครึ่งเรื่อง เปิดให้ดูตอนจบหน่อย ก็ได้เพลงนี้มา

          Q. พอได้เห็นเนื้อได้ฟังเสียง Room39 แล้วเป็นไงบ้าง
          J. ผ่านไปสักเดือนสองเดือนแสตมป์เขาก็ส่งท่อนแรกมาให้ฟังก่อนหลังจากที่ได้คุย กัน เราก็ส่งอีเมล์ตอบกลับไปว่าแต่งต่อได้เลยทางนี้แหละ ส่วนเสียงร้องของ Room39 พอได้ฟังก็ดี เขาเป็นเพื่อนกันจริงๆ ด้วยมันก็ยิ่งเข้ากับหนัง มีความเป็นเพื่อนสูงมากเลย แล้วพอทำเพลงเสร็จรู้สึกว่าอยากทำ MV จำได้เคยชวน
          เอ๋-นิ้วกลม มาดูหนัง ถามอยากทำไหม ปล่อยอิสระให้คิดเองเลย เขาบอกว่าถ้าเป็นวัยรุ่นอยากทำอะไรให้มันป๊อปให้มันสัมผัสได้ ให้เป็นเรื่องมิตรภาพ เรื่องคนที่เป็นเพื่อนกัน เพราะมีความรู้สึกว่าถ้า Room39 มาร้อง แล้วถ้าให้เขาทำ MV มันคงจะพูดถึงเรื่องมิตรภาพ นี่เป็นไอเดียของเขานะเพราะว่าเขาเป็นนักทำโฆษณานะ ก็เลยบอกว่าก็ทำเองเลยเอ๋ เขาก็ยินดีทำมันก็เลยออกมาเป็น MV ที่เราจะเห็นมิตรภาพความผูกพันของเพื่อนหลายลักษณะ น่ารักดี MV ไม่ได้พูดถึงหนังเลยนะ ซึ่งผมก็ชอบมาก

          Q. การ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ถูกวางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่ายังไงต้องมุ่งหน้าสู่ตลาดต่างประเทศให้ได้ด้วย
          J. ครับ ตั้งแต่หนังเพิ่งทำไปสักสิบเปอร์เซ็นต์ก็ลองเอาไปให้เขาดู เริ่มจากนักธุรกิจสื่อในญี่ปุ่นที่เราสนิทก่อน เป็นอย่างไรยอมรับในโปรดักชั่นในควอลิตี้ของเราไหม เขาตื่นเต้นนะ ก็เริ่มเอาออกไปขายบ้างอะไรบ้างไปถึงบริษัทร่วมลงทุนที่อเมริกา ทุกประเทศชอบหมด ทุกคนถามประโยคซ้ำๆ เมดอินไทยแลนด์จริงหรือ แต่ถึงเขาจะชอบหนังสิบยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเรามาก แต่เขาก็ยังคิดว่าเราจะทำจบหรือ คือเขาเคยโดนประเทศเล็กๆ ทำหนังตัวอย่างมาหลอกขายแล้วหนีไม่ทำต่อมาเยอะแล้ว ถึงตอนนี้หนังก็จบทั้งเรื่องแล้ว ต่อไปคงจะคุยได้ง่ายขึ้นเพราะเรามีตัวอย่างหนังเต็มๆ แล้ว

          Q. ไม่กลัวคนต่างชาติไม่รู้จักรามเกียรติ์หรือ
          J. เป็นสิ่งแรกที่คิดตอนเขียนบท หนังเรื่องนี้ต่อให้คนที่ไม่รู้จักรามเกียรติ์เลยต้องดูรู้เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือคนต่างชาติ และต้องดูสนุกด้วย ผมเอารามเกียรติ์มาแต่ตัวละครเอามาแต่ฉากสำคัญบางฉาก แล้วตัวละครทุกตัวเราปูคาแรคเตอร์หมด ทดลองฉายมาแล้ว ฝรั่งดูรู้เรื่องและชอบในความคิด ไอ้ครั้นที่จะใส่ดนตรีไทยลงไปเลยผมกลับคิดว่าก็เรากำลังจะบุกตลาดโลกอยู่ เราจะขายความเป็นไทยแบบทื่อๆ ไม่น่าจะเหมาะ คนดูเขาไม่ได้มาเที่ยวเมืองไทยแล้วมากินอาหารไทยแล้วดูรำไทย คนดูเขากำลังดูหนัง
          เราใส่บางอย่างลงไปให้มีวิญญาณไทยแค่นี้ ก่อน คือโจทย์นี้ผมว่าเราต้องตีให้แตก เอ๊ะเราควรจะใส่ดนตรีไทยไหม เขาไม่รู้จักนะเพราะหนังญี่ปุ่นเขาไม่ใส่ดนตรีญี่ปุ่นนะ เราต้องออกแบบตัวละครให้ไทยจ๋าไหมหรือเอาแค่มีกลิ่นอาย ผมว่าเรากำลังทำหนังให้เป็นสากล เราไม่ควรยัดเยียดวัฒนธรรมแท้ๆ ที่เรารักลงไปในหนังขนาดนั้น สมมุติมีหนังจากสเปนที่มีเพลงสเปนแท้ๆ คนไทยยังไม่สนใจเลย ผมคิดอย่างนี้ไม่ว่าอย่างไรความเป็นไทยอย่างไรมันก็อยู่ในหนัง เพราะคนไทยเป็นคนทำ ในหนังมีการยกมือไหว้ มีการแสดงความเคารพนอบน้อม มีลายอะไรบางอย่างที่ฝรั่งไม่มีทางเขียนได้อยู่ในตัวละครในฉาก แม้แต่ทำนองเพลงในดนตรีประกอบมันก็มีสเกลของเพลงไทยอยู่

          Q. เสียงตอบรับที่สะท้อนกลับมาจากต่างประเทศ
          J. แทบทั้งหมดยอมรับในคุณภาพว่าเป็นสากล บางคนให้เกียรติเราว่างานที่ออกมาเทียบเท่างานจากฟากฮอลลีวู้ด หลายประเทศสนใจอยากซื้อไปฉาก รัสเซีย แคนาดา เกาหลีนี่เซ็นสัญญาซื้อแล้ว ขายเกาหลีได้นี่ทีมงานหลายคนดีใจเลยนะ สงสัยเป็นเพราะคนไทยเราซื้อเขามาเยอะแล้วอยากขายเขาบ้าง แล้วก็มีอีกหลายประเทศอยากจ้าง อยากชวนเราร่วมทุนกับเขา บางเจ้าอยากย้ายงานที่จ้างมาเลเซียผลิตอยู่มาให้เราทำแทน แต่เรื่องรับจ้างผมยังเฉยๆ นะ ผมอยากทำหนังจากเมืองไทยไปฉายในตลาดโลกมากกว่า ยังไงก็อยากอวดฝีมือเด็กไทยทั้งงานศิลป์และความคิดจากคนไทย เด็กไทยยังมีเก่งๆ อีกเยอะครับ

          Q. พี่จิกคิดว่าหลังจากใช้เวลากว่า6ปีที่ทุ่มเทไปกับแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์จน ตอนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วคิดว่าสิ่งที่เราได้รับกลับคืนมา
          J. ก็เหมือนปลูกต้นไม้ ตอนนี้มันโตแล้ว มันจะสร้างร่มเงาให้คนได้ร่มรื่นหรือเปล่า ให้คนได้กลิ่นได้ผลได้อะไรจากมันหรือเปล่า ก็แล้วแต่คนมองแล้ว หน้าที่ของผมคนทำมันจบไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเลยนะ ความรู้ในการทำแอนิเมชั่นเรื่องนี้ไม่อยากให้หายไป ผมทำไปศึกษาไปนี่องค์ความรู้อันนี้เป็นของใหม่ในเมืองไทยเลยนะ ผมบอกได้เลยนะไม่ง่ายเหมือนที่ทุกคนคิด ผมอยากถ่ายทอดนะ และผมยืนยันเด็กไทยเก่งเยอะ เก่งเยอะมาก พวกเขาขาดการสนับสนุน ขาดคนเดินนำ ผู้ใหญ่บ้านเราต้องทำหน้าที่นี้ ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน และไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จหรือเปล่าก็ตาม ผมว่าผมดีใจอย่างหนึ่งที่ได้ลองนำเดินไปก่อน ดีหรือเปล่าไม่รู้ เจ็บตัวหรือเปล่าไม่รู้ แต่โคตรจริงใจ อยากทำมานานแล้ว งานที่คนต่างชาติดูแล้วยอมรับ แล้วก็อยากบอกน้องๆที่ร่ำเรียนด้านนี้อยู่ เดินต่อไปอย่าหยุด งานของคนไทยไปได้ไกลกว่านี้ คิดไปไกลๆ โน่นตลาดโลก อย่ามัวแต่มากระแนะกระแหนทำลายกำลังใจกันเอง โจมตีกันเอง แข่งกันเอง วันนี้เราทำได้แค่นี้เราก็ทำไปแก้ไป ทำให้สุดตัว เราไม่แพ้ใครจริงๆ

          Q. อะไรที่ทำให้พี่จิกคิดว่าเราสามารถทำแอนิเมชั่นที่ใช้เวลายาวนานขนาดนี้ได้ จนเสร็จเพราะบางคนอาจคิดว่าการใช้เวลาถึง6ปีก็ไม่เอาแล้วเพราะอย่างพี่จิก เองถือได้ว่ามีหน้าที่ความรับผิดชอบในงานประจำเต็มมืออยู่แล้ว
          J. อย่างแรกนะต้องมีความสุขกับมันก่อนในทุกวินาทีที่ทำเลย ก็ถ้าเราไม่ปลีกเวลามาเราก็ไม่มีเวลานะ เหมือนวิ่งจ๊อกกิ้ง คนที่ไม่ไปวิ่งเพราะว่าไม่มีเวลาอ้างว่าไม่มีเวลา ผมทำหนังเรื่องนี้ทำทุกวันทำจนเหมือนเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งเหมือนต้องไปกิน ข้าวไปวิ่ง บางทีดูเหมือนว่าเราไม่ได้ทำงานอาจเป็นเพราะว่าเราตื่นมาแล้วเราสนุก เวลาที่เราเหนื่อยแล้วสนุกนี่ดีจะตาย ไอ้ตอนเหนื่อยเราไม่ค่อยรู้สึกจะรู้แต่เสร็จแล้วจะเห็นว่ามันดี เห็นว่ามันงอกเงยในแง่ของงาน
          เหมือนเราปลูกบ้านปลูกต้นไม้ที่ เราค่อยเห็นมันเติบโตขึ้นทีละนิดเห็นของใหม่เกิดขึ้นทุกวัน เอ๊ะอีกวันเห็นเป็นอย่างนี้พออีกวันเห็นเกิดขึ้นเป็นอีกอย่าง คือมันงอกทุกวันมันไม่เหมือนกับถ่ายหนังคนนะ เพราะถ้าถ่ายหนังคนเราสามารถดูกันได้เลย อย่างวันนี้ทำได้แค่นี้ อีกวันยักคิ้วแล้วอีกวันมีแสงมาแล้ว แล้วมันงอกเงยในแง่ของคนด้วย เพราะว่าคนที่เราเรียนรู้มาด้วยกันมีความรู้เพิ่มขึ้น มีความรักเพิ่มขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีอนาคต ต่อให้หนังไม่ทำเงินเลยก็รู้สึกว่ามันมีอนาคต ไม่ใช่แค่อนาคตของหนังเรื่องนี้เท่านั้นนะ มันเป็นอนาคตของคนที่ชอบแอนิเมชั่นด้วย

          Q. คิดว่าต้นทุนความฝันครั้งนี้มันคุ้มไหมกับผลที่เกิดขึ้น
          J. ยิ่งกว่าคุ้มครับ ทุกครั้งที่ผมมองไปยังกลุ่มน้องๆ ที่กำลังนั่งขยับตัวละครให้มีชีวิตอยู่หน้าคอมฯ มองดูน้องๆ ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ผมแอบเห็นตัวเองตอนหนุ่มๆ อยู่ตรงนั้น อย่างที่บอกผมกำลังปลูกอะไรบางอย่าง เวลาที่เราปลูกอะไรนี่ มีหรือไม่คุ้มต่อให้เป็นหัวหอมผักชีก็เถอะ ดินบ้านเรามันดีจริงๆ

          Q. เส้นทางนี่ยังไปได้อีกไกลแค่ไหน
          J. อันที่หนึ่งคนไทยมีฝีมือ มีฝีมือเลยในแง่ศิลปะ ใครๆ ก็รู้ในเอเชียว่าคนไทยมีฝีมือมากในแง่ของศิลปะ รากเราลึก วิญญาณทางศิลป์เราพลิ้ว ในแง่ของวัฒนธรรมรากเราใหญ่และลึก ประวัติศาสตร์เรายาวนาน ในขณะเดียวกันทรัพยากรเราที่มีอยู่ในแง่ของเนื้อหาอารมณ์หรือว่าคอนเซ็ปท์ บ้านเราไม่ด้อยกว่าใครนะ ขออย่างเดียวอย่าทะเลาะกัน ทุกวงการแหละครับ

          Q. พี่จิกกำลังจะบอกว่าที่ผ่านมาคนนั้นเก่งคนนี้เก่ง แต่จริงๆ แล้วทุกคนเก่งหมด แต่ลึกๆ แล้วพื้นฐานที่มันจะต่อยอดให้คนได้เก่งขึ้นไปอีก ไม่ได้วัดกันแค่แชมป์ที่ 1, 2, 3
          J. คือบ้านเราดินอุดมนะ ดินอุดมทางด้านศิลปะมากด้วยซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วผมเลยคิดว่าศิลปินบ้านเราทุก คนพร้อมที่จะงอกรากได้เยอะเลยก็ดีนะที่พอเราได้มาทำตรงนี้มันก็จะมองเห็น โอกาส แต่ต้องสร้างสมดุลกันหน่อย บาลานซ์กันหน่อย บาลานซ์อีคิวกับไอคิว บาลานซ์ความต้องการตัวเอง จะชั่งอย่างไร

          Q. ความหมายของยักษ์ในมุมมองของประภาส ชลศรานนท์
          J. คนไทยแปลยักษ์ได้สองความหมาย ใหญ่ และร้าย ผมตั้งคำถามอะไรบางอย่างในหนังเรื่องนี้ เราจะเป็นยักษ์ไหม แล้วเราจะยิ่งใหญ่โดยที่ไม่ต้องโหดร้ายได้ไหม
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 08, 2012, 03:10:04 PM
เอาใจคอแอนิเมชั่นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ “ยักษ์” เปิดฉายให้เลือกชม 2 ภาษา “เสียงไทยและอังกฤษ” พร้อมคำบรรยาย
 


MOVIE GUIDE: ตัวอย่าง “ยักษ์” Version ภาษาอังกฤษ
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=LD1nX7aib6g" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=LD1nX7aib6g</a>

[Audio] We Were Born To Be Friends (Ost. YAK The Giant King)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=y9-5MLwkmbA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=y9-5MLwkmbA</a>

          เปิดมิติใหม่ทั้งในส่วนของคุณภาพในเนื้องานการผลิตแอนิเมชั่นไทยที่ใช้ทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาทและใช้เวลาถึง6ปีเต็มสำหรับ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นสัญชาติไทยที่ “สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล” และพันธมิตรอย่าง “บ้านอิทธิฤทธิ์ ซูเปอร์จิ๋ว และเวิร์คพิคเจอร์ส” มาร่วมผนึกกำลังผลักดันฝันของครีเอทีฟนักคิดนักเขียนนักแต่งเพลงมือ1ของประเทศอย่าง “จิก ประภาส ชลศรานนท์” ที่กลั่นสมองและสองมือกำกับภาพยนตร์เรื่องยักษ์จนเสร็จสมบูรณ์พร้อมเตรียมเข้าฉายให้คอภาพยนตร์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งและสนุกสนานไปกับเรื่องราวการผจญภัยของ หุ่นยักษ์น้าเขียว (ทศกัณฐ์) และหุ่นกระป๋องเผือก (หนุมาน)

          โดยแอนิเมชั่น “ยักษ์” จะฉายทั้งในระบบฟิล์ม และระบบ DIGITAL โดยในระบบ DIGITAL มีให้เลือกชมทั้งในรูปแบบของเสียงภาษาไทยพร้อมคำบรรยายภาษาอังกฤษ และในรูปแบบของเสียงภาษาอังกฤษที่จะฉายพร้อมคำบรรยายภาษาไทย
 
          สำหรับโรงภาพยนตร์ที่ฉายในระบบเสียงภาษาอังกฤษ พร้อมคำบรรยายภาษาไทยมีให้เลือกชมดังนี้
-โรงภาพยนตร์สยามพารากอนซีนีเพล็กซ์
-โรงภาพยนตร์เอสเอฟเวิลด์ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์
-โรงภาพยนตร์เอสเอฟเอ็กซ์ ซีเนม่า เอ็มโพเรียม
-โรงภาพยนตร์เอสพลานาด รัชดาภิเษก
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 12, 2012, 04:17:16 PM
บทสัมภาษณ์ แจ๊ป – The Richman Toy (วีรณัฐ ทิพยมณฑล) ผู้พากย์เสียง “ก๊อก” ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”

 

          จากนักร้องขวัญใจวัยรุ่น สู่นักพากย์มือใหม่
          แจ๊ป - The Richman Toy ร่วมสร้างสีสันกับโปรเจ็คต์ “ยักษ์”
          สวมบท “ก๊อก” พ่อค้าเจ้าเล่ห์ผู้ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด

Q: ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พากย์เสียงภาพยนตร์แอนิเมชั่น และยังเป็นการร่วมงานกับพี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ ที่แจ๊ปนับถืออีกด้วยรู้สึกอย่างไรบ้าง
J: เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกนะครับที่แจ๊ปได้มามีส่วนร่วมในการพากย์แอนิเมชั่น ครับ ผมได้รับการทาบทามมาจากพี่จิก เขาโทรมาชวนที่สมอลล์รูมเลยก็ตื่นเต้นมาก ด้วยความที่พี่จิกเป็นนักเขียนด้วยครับ ผมอ่านหนังสือของเขามาบ้างครับ และเขาเป็นนักแต่งเพลง ซึ่งแจ๊ปเองแต่งเพลงเหมือนกัน ก็เลยถือว่าเป็นครูด้านเขียนเพลงท่านหนึ่ง พี่จิกเขียนเพลงของเฉลียงเป็นผลงานที่ผมชอบมาก พอพี่จิกมาชวนก็รู้สึกว่าก็โอเคเลยครับ พร้อมที่จะมาทำทันที ก็รู้สึกดีมากเพราะว่าจริงๆเป็นโปรเจ็คต์หนังเรื่อง “ยักษ์” ก็เป็นโปรเจ็คต์ยักษ์ด้วยครับที่คนไทยได้มีโอกาสผลิตการ์ตูนแอนิเมชั่นค่อน ข้างที่จะมีคุณภาพดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งครับ

Q: อยากให้ช่วยแนะนำความน่าสนใจและเสน่ห์ของตัวละคร ที่พากย์สักนิด
J: ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ ผมพากย์เป็น “ก๊อก” ครับ เขาเป็นพ่อค้าครับขายหุ่นยนตร์ที่เป็นซากหุ่น เขาคอยไปหาหุ่นเก่าแก่อายุหลายล้านปีก็ขุดขึ้นมาเพื่อนำมาขายโก่งราคา เจ้าก๊อกก็เป็นพ่อค้าที่ค่อนข้างจะเจ้าเล่ห์ มีเล่ห์เหลี่ยม ถ้าเกิดเป็นหุ่นทหารหุ่นสงครามก็จะยิ่งมีราคาแพง เพราะว่าเนื้อเหล็กมันจะดี และก๊อกนี่เองก็เป็นคนขุดเจ้ายักษ์และก็เผือกขึ้นมา ซึ่งเป็นตัวละครหลักในเรื่องนี้ครับ ตัวก๊อกนี่ก็รูปร่างประหลาดเขาจะมีไฝอยู่แถวๆ ปากนี่แหละ แล้วชอบเอาตัวหุ่นแมลงมาเปลี่ยนเป็นไฝก็แปลกดีครับ เหมือนคนเราเปลี่ยนฟันปลอม แต่นี่เปลี่ยนไฝ เขาเป็นพ่อค้าก็เลยค่อนข้างจะโชว์กร่างแต่ในสมองก็แอบจะงงๆ หน่อยๆ นะครับจะดูไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวหรอกแต่โชว์ว่าตัวเองฉลาด และมีจุดขี้กลัวหน่อยๆครับ เขาเป็นตัวละครที่มีสีสันตัวหนึ่งครับ เป็นตัวดำเนินเรื่องเชื่อมโยงก่อให้เกิดเรื่องตั้งแต่ต้นครับ

Q: ปกติเคยแต่ร้องเพลงมาตลอด แล้วงานพากย์เสียงครั้งนี้ยากสำหรับเราไหม
J: ก็เป็นครั้งแรกในการพากย์แอนิเมชั่นนะครับถือว่ายากครับ ยากมาก (หัวเราะ) เพราะว่าจริงๆ แล้วภาพที่มองไว้ตอนที่พี่จิกมาชวนนี่มันเหมือนกับว่ามีภาพการ์ตูนแล้วให้ เราไปนั่งพากย์ไปเรื่อยๆ ครับ แก้ไขกันได้อะไรอย่างนี้ แต่พอมาถึงจริงๆ ไม่มีภาพอะไรเลยครับ ให้คุยกันเองเลยคุยกับคนปกติต้องจินตนาการเอง แต่ก็จะทำให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติครับ เสียงพากย์ออกมาจากอารมณ์ของตัวเองครับ เพื่อให้ได้เนื้อเสียงธรรมชาติจริงๆ ซึ่งยากมากครับ แต่ว่าก็พอไหวครับ ก็สู้กันพอไหว (หัวเราะ)

Q: สำหรับตัวแจ๊ปแล้วมีความสนใจในแอนิเมชั่นมากน้อยแค่ไหน และว่าเรื่องยักษ์นี้มีเสน่ห์และความแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ อย่างไร
J: ก็จะเป็นช่วงตอนโตแล้วนะครับที่แจ๊ปจะดูการ์ตูนแอนิเมชั่นบ่อยขึ้น เพราะว่าเพิ่งเห็นความดีงามของมัน ก็จะดูหนังของต่างประเทศครับ อย่างเรื่อง กังฟูแพนด้าก็ชอบครับ เอาเป็นว่าชอบทุกๆ เรื่องเลยดีกว่า สำหรับหนังไทยที่มีอายุ 6 ปีในการสร้างงานที่มีผลงานนี้ขึ้นมานะครับ เห็นพี่จิกบอกว่าตัวละครตัวหนึ่งเนี่ยจะวาดขึ้นมามันต้องใช้ในการออกแบบ อากัปกิริยาก็เดือนหนึ่งแล้วด้วยซ้ำกว่าจะได้ตัวหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันค่อนข้างที่จะมีความพิถีพิถันนะครับ มีความซับซ้อนเหมือนกันในการทำการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องนี้ขึ้นมา ด้วยความที่มันเป็นเหล็กเป็นอะไรอย่างนี้ ความละเอียดก็ค่อนข้างเยอะนะครับ วันแรกที่แจ๊ปนะครับได้มานั่งดูนะครับ ก็โอ้โห! รู้สึกว่าเป็นแอนิเมชั่นของคนไทยที่ต่างจากเรื่องที่แล้วๆ มาทั้งหมดนะครับ ผมว่าน่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับคนไทยนะครับก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ครับคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ มากๆ ทั้งนักพากย์นะครับ ก็มีนักแสดงชั้นนำมาร่วมงาน ทั้งพี่หนุ่มสันติสุข พี่เสนาหอยอย่างนี้ครับ ผมชอบมาก และก็พี่ๆ เขาก็เก่งอยู่แล้วด้วย สำหรับเรื่องเพลงประกอบสำหรับหนังยักษ์ก็ไม่ละทิ้งนะ มีพี่แสตมป์ มี Room39 นะครับ มาทำเพลงประกอบให้ ผมว่าดีหมดทุกๆ ด้านนะครับสำหรับหนังเรื่องนี้ น่าสนใจมากๆ ครับ

Q: หากได้ยินคำว่า “ยักษ์” ในความคิดของแจ๊ปวาดภาพยักษ์ไว้อย่างไร
J: สำหรับคำว่ายักษ์นะครับน่าจะนึกถึงอะไรที่ใหญ่มากๆ ครับ หรือจะเป็นเรื่องโปรเจ็คต์ใหญ่ๆ ซึ่งก็คือหนังเรื่องยักษ์นี่แหละครับตรงเลย เป็นทั้งยักษ์ตัวใหญ่และเป็นโปรเจ็คยักษ์ เป็นสิ่งใหม่ๆ ที่ยิ่งใหญ่สำหรับวงการแอนนิเมชั่นไทยนะ
ก็ค่อนข้างที่จะยักษ์ใหญ่พอ สมควร ผมว่ามันไม่มีหนังแบบนี้ออกมาเลยครับนี่คือเรื่องแรกที่มีรายละเอียดและก็ ภาพทุกอย่างสวยและก็เป็นโปรเจ็คต์ที่ใหญ่จริงๆ ครับก็อยากให้ทุกคนมาดูกันครับ

Q: ยักษ์ตัวแรกในชีวิตที่รู้จักเลยคือยักษ์อะไร
J: สำหรับยักษ์ตัวแรกที่รู้จักก็คือในหนังการ์ตูนเรื่อง Dragon Ball Z เวลาหงอคงเห็นดวงจันทร์คือจะแปลงร่างตัวใหญ่ขึ้นครับ เป็นลิงยักษ์ครับ และก็เวลาที่ทำให้กลับมาเป็นหงอคงเหมือนเดิมก็คือต้องตัดหาง ก็คือตอนเด็กชอบ Dragon Ball Z มากก็เป็นยักษ์ตัวแรกที่ได้เจอะเจอครับ

Q: ในเรื่องราวของ “ยักษ์” จะมีประเด็นหลักเกี่ยวกับมิตรภาพ อยากถามว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง “มิตรภาพ”กับ “หน้าที่” จะเลือกอย่างไหน
J: สำหรับมิตรภาพกับหน้าที่นะครับ ถ้าต้องเลือกที่เอาอันไหนมาก่อนผมก็เลือกมิตรภาพก่อน เพราะว่าถึงที่สุดแล้วจะทำหน้าที่เสร็จในใจของทุกคนพอกลับมาข้างหลังก็ต้อง การมิตรภาพก็ต้องการความอบอุ่นต้องการสังคมนะครับ เพราะว่าทุกคนมีความเป็นมนุษย์อยู่ มิตรภาพน่าจะสำคัญกว่าหน้าที่ครับ

Q: ในเรื่องนี้ยังมีเรื่องราวของคนที่รบกันมาหลายล้านชาติ คิดว่าคนที่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อนจะสามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม
J: สำหรับศัตรูกับมิตรนะครับจริงๆ จะเปลี่ยนกลับมาเป็นมิตรกันได้ไหม ผมว่าจริงๆ แล้วมันได้ทุกเมื่อนะครับ เพราะว่าอย่างภูมิหลังของเรื่อง ทั้งยักษ์เขียวและเผือกที่โดนล้างสมองมาแล้วก็มาเป็นเพื่อนกันได้ ก็เลยรู้สึกว่าเป็นมิตรกับศัตรูสองคำนี้มันถูกสร้างขึ้นมาครับเพื่อเป็นการ ใส่ความคิดบางอย่างลงไปในสมองมนุษย์ ถ้าเกิดเราตัดเรื่องนี้ออกไป เราจะรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันว่างนะครับ ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราก็เป็นมนุษย์ด้วยกันครับก็อยู่ในโลกด้วยกัน เพราะฉะนั้นควรที่จะเป็นมิตรกันหมดครับ จริงๆ แล้วคนที่เป็นศัตรูได้เนี่ยต้องคิดเยอะมากกว่าเป็นมิตรกันนะ เพราะว่าเป็นมิตรกันเนี่ยจริงๆ ไม่ต้องคิดอะไรเลยสร้างสิ่งดีๆ ต่อกันมันก็เป็นมิตรกันครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 12, 2012, 04:17:56 PM
สหมงคลฟิล์มฯ ผนึกพันธมิตร ระดมนักแสดง ผู้สร้างทีมงาน เปิดตัว “ยักษ์” รอบปฐมทัศน์สุดยิ่งใหญ่ประจักษ์สายตาผู้ชมกว่า 2,500 คน เซอร์ไพรส์สุดๆ ทึ่งฝีมือคนไทยอลังการแอนิเมชั่นสมการรอคอย

 

          พิสูจน์ สายตากว่า 2,500 คู่ พร้อมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการสมกับเป็นภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง แรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยที่ได้รับการจับตามองและคาดหวังมากที่สุดด้วย ทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาทและทุ่มเวลา 6 ปีเต็มระดมศิลปินทีมงานผนึกกำลังผู้สร้างนักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทย ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเนรมิต “ยักษ์” ให้เป็นที่ประจักษ์สายตาต่อคอภาพยนตร์แอนิเมชั่นไม่เพียงแค่เมืองไทยแต่รวม ไปถึงผู้ชมทั่วโลก และแน่นอนว่างานนี้นอกจาก “ยักษ์” ตนนี้ไม่เพียงเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดเกือบ 2 ชม. ที่ตรึงคนดูได้โดยไม่กระพริบตา แต่ยังสร้างความประทับใจให้ผู้ชมซาบซึ้งไปกับเรื่องราวที่ดูสนุกสร้างความ บันเทิงให้กับผู้ชมทุกเพศและทุกวัย เกิดเป็นเซอร์ไพรส์ที่ทุกเสียงตอบรับต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือย่าง ก้าวสำคัญของแอนิเมชั่นไทยอย่างแท้จริง โดยงานนี้บริษัทสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล บ้านอิทธิฤทธิ์ ซูเปอร์จิ๋วและเวิร์คพอยท์พิคเจอร์ได้จัดงานเปิดตัว “ยักษ์” รอบปฐมทัศน์พร้อมกันทีเดียวถึง 2 เวอร์ชั่นด้วยกันทั้งเสียงภาษาไทยและเสียงภาษาอังกฤษ พร้อมกับเนรมิต ชั้น 7-8-9 ของโรงภาพยนตร์เอสเอฟเวิลด์ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์ให้เป็น “YAK’s experience” ประสบการณ์รอบปฐมทัศน์แบบยักษ์ๆ ให้ทุกคนได้มีโอกาสสัมผัสและตกหลุมรักยักษ์กันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็นบูธ กิจกรรมและดิสเพลย์รวมเหล่าผองหุ่นยักษ์และหุ่นกระป๋องคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูน ที่แสนน่ารักทั้งน้าเขียว(ทศกัณฐ์), เผือก (หนุมาน), กุม, สนิมน้อย, สดายุ มาเดินอวดโฉมให้ถ่ายรูปกัน ฯลฯ บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยสีสันและความบันเทิงให้สมกับภาพยนตร์แอนิเมชั่น สำหรับทุกคนในครอบครัวโดยเริ่มต้นงานด้วยบทเพลงประกอบภาพยนตร์ “เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ” จากเสียงร้องของ3สมาชิกหนุ่มสาวROOM39 ก่อนที่ 2 หัวเรี่ยวแรงสำคัญพี่จิกประภาส ชลศรานนท์ ผู้กำกับภาพยนตร์เจ้าของไอเดียผู้เนรมิตยักษ์และเอ็กซ์ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ แอนิเมชั่น ไดเร็คเตอร์พร้อมเหล่าทีมนักแสดงที่มาให้เสียงให้ชีวิตยักษ์ในเวอร์ชั่นภาษา ไทยซึ่งนำโดย สันติสุข พรหมศิริ, เสนาหอย-เกียรติศักด์ อุดมนาค, บริบูรณ์ จันทร์เรือง, แจ๊ปเดอะริชแมนทอย,น้องออมสิน-ด.ญ.ชนินาถ ศิริสวัสดิ์ และ ทอดด์ ทองดีผู้กำกับและควบคุมการพากย์ในเวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษขึ้นมาร่วมพูดคุย ถึงขั้นตอนการทำงานที่ต่างพิถีพิถันกันขนาดไหนกว่าจะเกิดเป็นแอนิเมชั่นที่ ทุกคนล้วนต่างรู้สึกภูมิใจที่มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ จนมาถึงช่วงเวลาสำคัญที่ผู้สร้างและผู้บริหารจากเหล่าพันธมิตรผู้มีส่วนร่วม สำคัญในการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดเป็นโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่มา ช่วยกันปลุกยักษ์ให้ตื่นจากการหลับไหลเพื่อมาสร้างสีสันและเรียกรอยยิ้มให้ กับทุกคนซึ่งนำโดยคุณเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการบ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล, คุณปัญญา นิรันดร์กุล ผู้อำนวยการสร้าง, คุณวิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ ผู้อำนวยการสร้าง, คุณปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย, คุณทรงกลด บุญญาบารมี ผู้จัดการฝ่ายการตลาดหล่อลื่น บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน), ดร.มาริสา มีสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บ.ดูเม็กซ์จำกัด ตามด้วยการเชิญเหล่าผู้บริหารและผู้มีส่วนร่วมสำคัญทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น โปรเจ็คต์ยักษ์ไม่ว่าจะเป็น คุณกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย ,คุณพาณิชย์ สดสี ผู้ควบคุมการสร้าง, คุณพัลลภ สินธุ์เจริญ ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์และกำกับการให้เสียงพากย์,คุณปรัชญา ปิ่นแก้วที่ปรึกษาภาพยนตร์,คุณสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์ ประธานกรรมการ บริษัทเอสเอฟซีเนม่าซิตี้ จำกัด, คุณอัครพล เตชะรัตนประเสริฐ ประธานบริหารบ.Happy Home Entertainment ขึ้นมาถ่ายรูปอย่างพร้อมเพรียงกัน

          สำหรับ ภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” เข้าฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์โดยให้เลือกชมทั้งในรูปแบบของเสียงภาษาไทย พร้อมคำบรรยายภาษาอังกฤษ และในรูปแบบของเสียงภาษาอังกฤษที่จะฉายพร้อมคำบรรยาย
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 15, 2012, 03:48:31 PM
เซอร์ไพรส์ไม่มีหมดโปรเจ็คต์ “ยักษ์” ได้ “โน้ส อุดม” ร่วมเติมความอารมณ์ดีให้ชีวิตตัวละครสำคัญ “หุ่นยนต์นักไต่ฝัน”

 

          เป็นศิลปินหนุ่มอารมณ์ดีมาก แถมมองโลกด้วยเสียงหัวเราะอย่างสร้างสรรค์ชนิดหาตัวจับยาก และที่สำคัญหน่วยก้านบุคคลิกลักษณะเหมาะสมตรงกับคาแรคเตอร์ “หุ่นยนต์นักไต่ฝัน” ตัวละครพิเศษที่ชีวิตเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการวิ่งตามความฝันซึ่งถือกำเนิดขึ้นตามตั้งใจของ จิก ประภาส ชลศรานนท์ ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดู “ยักษ์” แอนิเมชั่นสัญชาติไทยที่หลายคนมองว่าจะเป็นการพลิกรูปแบบและย่างก้าวสำคัญของแอนิเมชั่นไทยซึ่งใช้เวลาฟูมฟักนานถึง6ปี ถึงขนาดหมายมั่นและตั้งใจว่าคนที่จะมาให้เสียงให้ชีวิตตัวละครสำคัญตัวนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช้ เดี่ยวไมโครโฟนมือ 1 โน้ส อุดม แต้พานิช

          “มีตัวละครตัวหนึ่งมันคือหุ่นยนต์นักไต่เขาเป็นตัวสำคัญมาก แล้วผมอยากให้เป็นโน้สมาสวมบท ตั้งแต่คิดตัวละครตัวนี้ขึ้นมา เพราะต้องการความหมายอะไรบางอย่างโน้สตอบยินดีทันทีเพราะโน้สเขาก็คิดคล้ายๆ กับตัวนี้เหมือนกัน ตัวการ์ตูนหน้าเราก็เอามาจากโน้สแต่เดิมมีจมูกอยู่ แต่จมูกมันไม่เหมาะกับหุ่น เพราะมีแล้วมันดูเป็นคนมากเกินไป แล้วการออกแบบให้ไม่มีจมูกแต่ยังดูออกว่าคล้ายมันเป็นความสนุกและท้าทายอย่างหนึ่งนะพูดได้ว่าตัวนี้สร้างขึ้นมาสำหรับโน้สโดยเฉพาะเป็นคนเดียวเลย ตอนที่บอกอุดมให้มารับบทนี้ผมบอกว่าบทไม่เยอะเลยแต่บทสำคัญมาก เขาตั้งคำถามที่ทำให้ตัวละครเอกต้องทบทวน ที่เลือกอุดมมาพากย์ตัวนี้ก็เพราะตัวละครตัวนี้เหมือนคนพูดจาไร้สาระ แต่ตรงที่ไร้สาระนั้นเป็นสาระที่สุด เอ็กซ์ ชัยพรออกแบบหุ่นตัวนี้ให้มีอุปกรณ์ปีนเขาเต็มไปหมด รวมไปถึงขาที่เป็นจุกแบบติดผนัง และเสาอากาศที่เป็นล้อบนหัวเพื่อให้กลิ้งตัวไปมาแบบกลับหัวได้ อุดมพากย์อย่างสนุกสนานให้ผมเลือกสามสี่แบบ แบบนักเลงปากซอย แบบลุงขี้บ่น แบบคนใต้ อีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกอุดมมารับบทนี้ก็เพราะตัวละครตัวนี้มีความคิดอยากทำสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้นั่นคือการปีนไปหาดวงอาทิตย์ ซึ่งผมคิดว่าอุดมเองก็เป็นศิลปินที่มุ่งมั่นคนหนึ่ง ผมว่าเขาทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เราเห็นหลายครั้งแล้วนะ”

          ในขณะที่ตัวโน้สอุดมเองที่ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นเป็นครั้งแรกกับประสบการณ์การให้ชีวิตตัวการ์ตูน แถมเป็นตัวการ์ตูนที่เขียนขึ้นตามบุคคลิกลักษณะคาแรคเตอร์ของตัวเองที่โดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบการดูแอนิเมชั่นโดยมี Spirited Away ผลงานคลาสสิคของสตูดิโอจิบลิเป็นเรื่องโปรดได้พูดถึงตัวละครที่เขาได้รับและการทำงานในแอนิเมชั่นยักษ์ให้ฟังว่า

          “ตัวบรู๊คส์นักไต่ฝันเป็นตัวละครเล็กๆ ตัวหนึ่งนะครับ แต่ว่าเขาจะมาบอกสารอะไรบางอย่างในเรื่อง เป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งที่ทำให้ตัวละครหลักทั้งสองน้าเขียวกับเผือกได้เรียนรู้อะไรบางอย่างนะครับ เป็นคำพูดเล็กๆ สั้นๆ แต่ค่อนข้างทรงพลังและมีผลต่อเรื่องทำให้ตัวละครฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ ทางทีมงานบอกผมว่าตัวบรู๊คส์สร้างมาจากผม ก็ดูแล้วหน้าคล้ายๆ เหมือนกันนะ (หัวเราะ) ดีใจมากที่พี่จิกแกนึกถึงเรา รู้สึกเป็นเกียรติก็เลยลองพากย์ให้พี่จิกดูหลายแบบให้แกเลือกดูว่าชอบแบบไหน ทั้งแบบคนแก่มีอายุ แบบคนใต้ แบบนักเลงปากซอย (หัวเราะ)” งานพากย์ของผมครั้งนี้มันทำงานยากนิดหนึ่งนะครับ อย่างคนอื่นในการทำงานทีมงานเขาจะให้มีการโต้ตอบเหมือนละครเวทีแล้วค่อยให้วาดการ์ตูนเป็นแอนิเมชั่นตามบท แล้วทำการขยับปากตามการเคลื่อนไหวของนักแสดงออกเป็นภาพมาตามเสียง แต่ตัวละครของผมภาพมาก่อนแล้วผมก็มาพากย์จะยากในการไล่งับจับจังหวะและแสดงอารมณ์ มันก็เหมือนการพากย์หนังในสมัยโบราณน่ะครับ แต่มันเกิดขึ้นเฉพาะตัวละครของผมนะ (หัวเราะ) งานจะยากเพราะผมต้องมาลงเสียงให้ตรงปากแล้วทีนี้มันเป็นตัวการ์ตูนด้วยการ์ตูนปากมันจะไม่เหมือนคนเราพูดมันจะอ้าปากกว้างๆ สำหรับการ์ตูนเรื่องยักษ์นี้โดยส่วนตัวผมอยากดูมากครับ รอเรื่องนี้มาหลายปี เห็นว่าทำมา 6 ปีแล้ว แล้วก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนะครับถึงแม้มันจะเป็นส่วนเล็กๆนะครับ ผมว่าบ้านเราน่าจะมีหนังแอนิเมชั่นอย่างนี้เยอะๆ นะครับ จุดเด่นของเรื่องนี้ ผมชอบตรงที่เอาตัวละครจากรามเกียรติ์มาประยุกต์อันนี้ผมว่าน่าสนใจมากๆ ครับ และในเรื่องก็จะมีแง่มุมดีๆ เกี่ยวกับ “มิตรภาพ” แล้วก็ “หน้าที่” ของเราไว้ให้คิด อันนี้น่าสนใจมากอยากให้ลองมาดูกันนะครับ”

          ก็สำหรับแฟนๆ ของโน้ส อุดมและคอหนังอย่าลืมมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับประสบการณ์ “ยักษ์” แอนิเมชั่นเรื่องยิ่งใหญ่จากฝีมือคนไทยพร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 15, 2012, 05:11:23 PM
แอนิเมชั่นไทยกำลังใจล้นหลาม “ยักษ์” ครองแชมป์เปิดตัว หน้าโรงคึกคักแฟนๆ แห่ดู “น้าเขียวและพี่เผือก” แอ็คท่าถ่ายรูป



          เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับบรรดาน้องๆ หนูๆ พี่ป้าน้าอาและเหล่าสมาชิกในครอบครัวตลอดช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้อย่างชื่นมื่นเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าทำเอาบรรยากาศความคึกคักของหน้าโรงภาพยนตร์ซึ่งห่างหายไปนานกลับมามีสีสันอีกครั้งสำหรับ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยโดยกลั่นจากไอเดียมันสมองและสองมือกำกับของ “จิก ประภาส ชลศรานนท์” ซึ่งเปิดตัวเข้าฉายเป็นที่เรียบร้อย

          งานนี้เรียกได้ว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจทั้ง น้องๆ ยักษ์จิ๋ว พี่ๆ ยักษ์วัยทีน ไปจนถึงคุณน้าคุณอาคุณพี่ยักษ์ใหญ่ก็คือการได้สัมผัสกับ น้าเขียวและพี่เผือกตัวเป็นๆ กันแบบประชิดตัว ได้ถ่ายรูปแอ็คท่ากันอย่างสนุกสนาน แถมแต่ละคนล้วนต่างหยิบมือถือขึ้นมาโพสต์ท่าแอ็คแชะกันทุกคนชนิดที่ว่าไม่เกี่ยงเพศและวัยเลยทีเดียว แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต่างมาร่วมแอ็คท่าแยกเขี้ยวโชว์ยิ้มกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าชูนิ้ว ตัว วาย (Y) แสดงสัญลักษณ์ยักษ์กันเป็นแถว เราเลยได้เห็นบรรยากาศของเหล่าสมาชิกในครอบครัวที่นอกจากจะสนุกสนานไปกับภาพยนตร์แล้ว “น้าเขียวยักษ์ใหญ่ใจดี, พี่เผือกก๊วนกวน, พี่กุมหุ่นยักษ์สีแดงบ้าพลังสุดสุด, และป้าสดายุนกเหล็กสีดำขี้บ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องสนิมซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ อย่างเป็นเอกฉันท์ ก็ยังนำเอาแฮนด์บิลแผ่นพับใบใหญ่ยักษ์และสติกเกอร์สีสันสดใสที่รวมตัวการ์ตูนยักษ์เด่นๆ ทั้ง 5 ตัวมาแจกแฟนๆ กันทุกคนด้วย รวมทั้งมีบริการพริ้นท์รูปถ่ายคู่ยักษ์เผือกให้ฟรีกับผู้ชมอีกต่างหาก

          ขณะเดียวกันน้องๆ หนูๆ บางคนที่ออกมาจากโรงภาพยนตร์ก็ยังเห็นคราบน้ำตาเพราะสงสารน้าเขียวก็มี ส่วนบรรดาเหล่าผู้ชมที่ได้สัมผัสกับการ์ตูนยักษ์แล้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต่างชื่นชอบ อึ่งทึ่งและไม่คิดว่าฝีมือคนไทยจะทำแอนิเมชั่นพัฒนาไปไกลขนาดนี้ ภาพที่สวยและละเอียดมากๆ เทียบเท่ากับฮอลลีวู้ดเลยทีเดียว งานนี้ทำเอาบรรดาทีมงานที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ล้วนต่างหัวใจพองโตเมื่อทราบข่าวว่าภาพยนตร์เรื่องยักษ์ไม่เพียงทำรายได้เปิดตัวครองแชมป์ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดในสัปดาห์ที่เข้าฉายแถมได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชมหลากหลายกลุ่มที่ให้โอกาสคนทำแอนิเมชั่นไทยไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น คนทำงานหรือแม้แต่ผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเสียงตอบรับที่ดีมากๆ จากผู้ชมคนดูหนังจริงๆ ก็รู้สึกดีใจและฝากขอบคุณมายังคนดูหนังทุกคนที่ต่างให้โอกาสคนทำหนังไทย
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 19, 2012, 02:49:58 PM
สมความตั้งใจกองทุน “ยักษ์ใหญ่ช่วยยักษ์เล็ก” ชวนน้องๆ จากบ้านราชวิถีดูหนัง “ยักษ์” หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันลั่นโรงภาพยนตร์
 








          วันจันทร์ที่ 15 ต.ค.นี้ ณ โรงภาพยนตร์เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดา “กองทุนยักษ์ใหญ่ช่วยยักษ์เล็ก” ในนามของ พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ คนเลี้ยงยักษ์ ได้พาน้องๆ ผู้ด้อยโอกาสจากสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถีจำนวนกว่า 200 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 5-18 ปีมานั่งกินป็อบคอร์นเครื่องดื่มกันอย่างสนุกสนานพร้อมร่วมผจญภัยไปกับ น้าเขียว หุ่นยักษ์ทศกัณฐ์ และ พี่เผือกหุ่นกระป๋องหนุมาน ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” เต็มรูปแบบในโรงภาพยนตร์สมความตั้งใจของพี่จิกประภาส ชลศรานนท์ผู้กำกับภาพยนตร์และเป็นผู้ก่อตั้ง กองทุนยักษ์ใหญ่ช่วยยักษ์เล็ก โดยมีจุดประสงค์หลักคือเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้ได้รับความสุข ความรู้ตามวาระต่างๆ โดยประเดิมเริ่มต้นจากการพาน้องๆ ด้อยโอกาสเข้าโรงหนังมานั่งดู “ยักษ์” เป็นกิจกรรมแรก งานนี้ตัวพี่จิกเองไม่เพียงควักทุนส่วนตัว 1 แสนบาท แต่ยังนำของพรีเมี่ยม และหนังสือภาพจากภาพยนตร์เรื่องยักษ์ออกจำหน่ายเพื่อรวบรวมรายได้มาเป็นทุนรอน และค่าใช้จ่ายในการประเดิมเปิดโครงการแรก จัดกิจกรรมดีๆ แบบนี้ให้กับน้องๆ ตั้งแต่จัดหารถบัสไปรับน้องๆ ถึงบ้าน และทันทีที่เราได้เห็นสีหน้าแววตาอันมีความสุขของน้องๆ ในระหว่างที่นั่งชมภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง พูดได้ว่าความสุขดังกล่าวได้ส่งผลไปยังทีมงานภาพยนตร์เรื่องยักษ์ทุกคนได้มีความสุขร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงหัวเราะสนุกสนานที่เกิดขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่าในระหว่างที่ภาพยนตร์ฉายมันคือกำลังใจที่ดีที่ส่งต่อให้ทุกคนที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ใช้เวลานานถึง 6 ปีเต็มเกิดอาการหัวใจพองโตเลยทีเดียว

          หลังจากภาพยนตร์จบลงก็ก็ถึงเวลาที่พี่ๆ ยักษ์ใหญ่ต้องส่งน้องๆ ยักษ์เล็กจากบ้านราชวิถีเดินทางกลับบ้านกัน แถมท้ายด้วยขนมเป็นของฝากในระหว่างทางอีกด้วย เรียกได้ว่างานนี้ทั้งยักษ์ใหญ่ยักษ์เล็กต่างอิ่มบุญ และดื่มด่ำกับความสนุกสนานไปพร้อมกันกับการ์ตูนเรื่องยักษ์เลยทีเดียว
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on October 26, 2012, 04:51:52 PM
ดร.สุเมธ เชิญชวนคนไทยดูหนัง “ยักษ์” มั่นใจข้อคิดที่ได้จะเตือนสติคนไทยให้รู้รักและสามัคคี



          กำลังกระแสแรงสุดๆอยู่ในขณะนี้ สำหรับ “ยักษ์” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ ที่ทุ่มทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท และเป็นภาพยตร์ที่มีคอลัมน์นิสจำนวนมากเขียนชื่นชมด้วยความภาคภูมิใจ และยกย่องให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของแอนิเมชั่นฝีมือคนไทยระดับ World Class ซึ่งเรื่องราวให้ข้อคิดเกี่ยวกับความรักและมิตรภาพไว้อย่างยิ่งใหญ่ ล่าสุด ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา พร้อมด้วยภริยา และคณะทำงานได้ร่วมเข้าชมหนังยักษ์ ที่พารากอน ซินิเพล็กซ์ เมื่ออังคารที่ผ่านมา โดยมี คุณปัญญา นิรันดร์กุล และทีมผู้บริหารเวิร์คพอยท์ฯ ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งภายหลังจากที่ชมภาพยนตร์จบ ดร.สุเมธ ท่านได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังยักษ์ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวความ สามัคคีของคนไทยทั้งประเทศไว้ได้ดีมาก โดยท่านกล่าวว่า

          “ ตอนแรกที่รับเชิญมาดูหนังการ์ตูน จิตสำนึกผมนึกถึงเวลาดูหนังการ์ตูน ปรากฏว่าดูจบแล้วมันไม่ใช่หนังการ์ตูนซะแล้ว เพียงแค่ในฉาก มันเป็นเหมือนเรื่องการ์ตูนเท่านั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่แฝงไว้สามารถทำให้ก่อจินตนาการออกไปได้อีกหลายเรื่อง มันสะท้อนสภาวะสังคม สภาวะของโลก และแท้จริงมันสะท้อนสภาวะมนุษย์ ตัวการ์ตูน ตัวแสดงต่างๆ ดูผิวเผินแล้วไม่ซีเรียส ตอนนั่งดูได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ แต่สมองเด็กคงแปลอะไรไม่รู้ แต่ผมคิดว่าพวกเราผู้ใหญ่นั้นภาพที่ต้องแปลคงคิดต่างไปจากเด็ก สิ่งที่เหมือนกัน คือได้เรียนรู้ ได้สติ ได้ปัญญากลับมา เพราะในเรื่องได้สมมุติฐานทศกัณฐ์ เป็นสัญลักษณ์ของอธรรม กิเลศ ตัณหา ที่ต้องถูกทำลาย หนุมานอาจจะเป็นสัญญาณของฝ่ายธรรมะที่ต้องเอาชนะกัน แต่สุดท้ายแล้วสติคือสิ่งที่เตือนให้ทุกคนรู้ว่ามีทศกัณฐ์ ทุกคนมีหนุมานอยู่ในตัว เพียงแต่ทุกจังหวะของตัวเรานั้นเราจะควบคุมทศกัณฐ์ให้อยู่นิ่งไมใช่ตัวทำลาย และดำรงความเป็นหนุมานให้รักษาธรรมะได้มากแค่ไหน หนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องสอนอะไรมากมาย อยากจะชักชวนให้พวกเรามาดูกันนะครับ คิดว่าจะช่วยให้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง และเหนือสิ่งอื่นใดคือได้รู้จักตัวของตัวเอง ว่าเราจะสร้างหรือไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม ปัญหามีอยู่ในมนุษย์ทั่วทุกมุมโลก เพราะมนุษย์ทุกคนมีทั้งทศกัณฐ์ และหนุมาน เพียงแต่อยู่ฟากนึงของโลกหรืออยู่ใกล้เคียงเรา และอีกอย่างที่น่าทึ่งมากคือ เทคนิคการถ่ายทำผมว่า World Standard ผมคิดว่าเราไปได้สบายๆ ทั้งดนตรี แสง เสียง ผมขอแสดงความชื่นชมผู้ที่ดำเนินการทั้งหมด ผมคิดว่าหนังดีดีแบบนี้หายากในยุคแบบนี้ครับ ถ้ามีลูกพามาดู เพราะดูแล้วเราจะนึกถึงตัวเราเอง เราอาจจะได้บทเรียนมากกว่าลูกเราด้วยซ้ำไป

          ใคร ที่กำลังทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่หลายกลุ่ม หลายเหล่าในสังคมนี้ ใครกำลังพะวงเรื่องจะสร้างความปรองดอง มาดูเรื่องยักษ์สิครับ อาจจะเห็นทางออก อาจจะรู้ถึงต้นเหตุ สาเหตุต่างๆ จนกระทั่งสามารถแก้ไขไปได้ ผมว่าเรื่องนี้ให้บทเรียนที่สร้างสรรค์และทำให้การทะเลาะเบาะแว้งอาจจะทุเลา เบาบางไปจนกระทั่งหยุดก็ได้นะครับ อย่าพลาดนะครับ ผมคิดว่าใครที่ไม่ได้ดูเสียดายอย่างมากเลยแน่นอนครับ”

          หนังดีๆที่ให้ข้อคิดดีๆมากมายขนาดนี้ เชื่อหรือยัง ว่าคนไทยไม่ควรพลาดชม!!!!
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ (The Giant King) 4 ตุลาคม 2555
Post by: FB on February 28, 2013, 05:31:21 PM
“ยักษ์” ขายดี หลายประเทศทั่วโลกรุมซื้อ เกาหลี ฮือฮา เตรียมฉาย 21 ก.พ.นี้!!!



          “ ยักษ์” เคยสร้างปรากฏการณ์จนกล่าวขานกันทั้งประเทศ ว่าเป็นสุดยอดหนังแอนิเมชั่นฝีมือคนไทย ที่ทำรายได้อันดับต้นๆของหนังไทยทั้งหมดมาแล้ว ผลิตโดย เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส ซึ่งหลังจากสร้างรายได้ภายในประเทศแล้ว ล่าสุดหนังยักษ์โกอินเตอร์สู่ตลาดหนังโลกแล้ว โดยมีบริษัทจากต่างประเทศมารุมติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายทั่วโลกมากมาย เริ่มจาก ประเทศเกาหลี, อเมริกา, รัสเซีย, ตุรกี, ไต้หวัน และ มาเลเซีย ซึ่งนับเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งสิ้น เรียกว่ามิตรภาพของ “น้าเขียว” และ “เผือก” ตัวเอกของเรื่องกำลังเดินทางไปทั่วโลกอย่างแท้จริง

          และ ที่สร้างความฮือฮาสุดๆ เมื่อบริษัทภาพยนตร์จากประเทศเกาหลีซื้อแอนิเมชั่นยักษ์ไปฉาย ทั้งที่ผ่านมาประเทศไทยจะเป็นฝ่ายซื้อหนังเกาหลีเข้ามาฉายในเมืองไทยเสีย มากกว่า งานนี้เลยทำเอาเวิร์คพอยท์ฯ พิคเจอร์ ถึงกับยิ้มร่า เพราะทันทีที่ “ยักษ์” ออกอาละวาดสู่สายตาชาวเกาหลี ก็ได้รับการกล่าวขานถึง ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอชมแอนิเมชั่นไทยกันอย่างใจจดใจจ่อ และมีสื่อมวลชนแดนโสมให้ความสนใจทำข่าวกันมากมาย โดยยักษ์เวอร์ชั่นเกาหลีนี้ได้ดารานักแสดงตลกชื่อดังของเกาหลีให้เสียงพากษ์ ซึ่งยักษ์กำลังจะเข้าโรงฉาย 21 ก.พ.นี้ ส่วนในประเทศยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา,รัสเซีย,ตุรกี,ไต้หวัน ฯลฯ ต่างก็เตรียมจ่อคิวฉายเร็วๆนี้เช่นกัน เพราะฉะนั้นคนไทยทั้งประเทศอย่าลืมส่งกำลังใจแรงเชียร์หนังแอนิเมชั่นไทยที่ กำลังจะอาละวาดอวดสายตาชาวต่างชาติ ว่าฝีมือคนไทยในการทำหนังแอนิเมชั่นนั้นสุดยอดไม่แพ้ชาติใด โดยสามารถชมตัวอย่างน่ารักๆของแอนิเมชั่น “ยักษ์” ในเวอร์ชั่นเกาหลีนี้ได้ในยูทูป ค้นหาคำว่า YAK The Giant King trailer 2012 แล้วคุณจะได้ยิ้มไปกับมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของน้าเขียวกับเผือกแน่นอน!!!