Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - FB

Pages: 1 ... 561 562 [563] 564 565 ... 573
8431
เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ ทุ่มเต็มร้อย ขอสอนคิวบู๊หวานใจตัวจริง ลิลี่ คอลลินส์ เอง ใน ABDUCTION (แอ็บดักชั่น)




 
          เรียกว่าเป็น รักกลางกองถ่าย อีกหนึ่งคู่ที่ฮือฮาและถูกจับตามองไม่แพ้คู่ไหนระหว่าง หนุ่มหล่อหุ่นเฟิร์ม เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ ที่โด่งดังมาจากบทบาท หมาป่าเจคอบแห่งทไวไลท์ และ ลูกสาวคนสวยของ ฟิล คอลลินส์ เจ้าของบท สโนไวท์แห่งปี 2012 ลิลี่ คอลลินส์ ที่ทั้งสองต้องรับบทนำร่วมกันในภาพยนตร์แอ็คชั่นไล่ล่าสุดมันส์ ABDUCTION (แอ็บดักชั่น) โดยมีข่าวหลุดลอดออกมาจากกองถ่ายว่า ทั้งคู่ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์จากความชื่นชมในพรสวรรค์ด้านการแสดงระหว่างกัน และเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมากขึ้น สำหรับ เทย์เลอร์ ในเรื่องนี้เขามารับบทพระเอกนักบู๊เต็มตัวครั้งแรก ทำให้เขาต้องฝึกฝนและเตรียมพร้อมมาเต็มร้อย
 
          โดยเฉพาะบวกกับความสามารถด้านกีฬาที่เขาเล่นได้เกือบทุกประเภท เขาจึงตัดสินใจที่จะแสดงฉากแอ็คชั่นเกือบทั้งหมดด้วยตัวเอง และด้วยความพร้อมเต็มที่นี่เอง เขาจึงอาสาที่จะสอนการแสดงฉากแอ็คชั่นให้กับ ลิลี่ คอลลินส์ ด้วยตัวเอง เพื่อให้การแสดงร่วมกันเป็นไปได้ด้วยดี ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น โดย เทย์เลอร์ ได้พูดถึงการทำงานร่วมกับ ลิลี่ คอลลินส์ หวานใจทั้งในจอและนอกจอว่า “ตอนแรกผมรู้จักเธอในฐานะลูกสาวของ ฟิล คอลลินส์ แต่เมื่อเราได้เริ่มทำความรู้จักกัน เธอก็ทำให้ผมทึ่งไปเลย ลิลลี่ เป็นผู้หญิงที่มีนิสัยน่ารัก ไม่เคยถือตัว และยังเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ หลายคนคงคิดว่าการแสดงฉากเลิฟซีนในเรื่องจะเป็นเรื่องยาก แต่บอกตามตรงว่าการเข้าฉากจูบกับ ลิลี่ ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกมันต่างกับการจูบกับ คริสเต็น ในทไวไลท์ บางทีอาจเป็นเพราะเธอคือคนที่ผมรู้สึกดีด้วย แต่กับฉากแอ็คชั่นมันยากกว่าฉากเลิฟซีนมาก แต่เธอก็ทำได้ดี” ไม่เพียงแต่ เทย์เลอร์ เท่านั้นที่ชื่นชมในตัวลิลี่ ลิลี่เองก็ชื่นชมในตัว เทย์เลอร์ อย่างมาก โดยเธอได้พูดถึงเขาว่า เป็นนักแสดงที่มีความทุ่มเทให้การแสดงอย่างมาก และเขายังแสดงฉากแอ็คชั่นใน ABDUCTION ด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด ซึ่งนั่นจะทำให้แฟนๆ ของเขาต้องทึ่งอย่างแน่นอน

          สำหรับเรื่องราวใน ABDUCTION (แอ็บดักชั่น) เป็นการรับบทพระเอกเต็มตัวครั้งแรกของ เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ ในบท เนธาน เด็กนักเรียนไฮสคูลที่มีชีวิตธรรมดา จนวันหนึ่งเพื่อนบ้านและเป็นคนที่เขาไว้ใจอย่าง คาเรน (ลิลี่ คอลลินส์) ไปพบเว็บไซต์เด็กหาย และมีชื่อเขาอยู่ในนั้น เขาต้องพบกับความจริงที่ว่า พ่อแม่ที่เลี้ยงมาไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง และเขาตกเป็นเป้าหมายในการตามล่าจาก รัฐบาลและองค์กรลับ ซึ่งนั่นทำให้ เนธาน ตัดสินใจหลบหนีการไล่ล่าไปพร้อมกับ คาเรน และจะต้องค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเองให้พบ เพื่อจะได้รู้ว่าเหตุใดเขาจึงโดนตามล่า และจะหยุดมันได้อย่างไร

          เปิดตัวนักแสดงคู่ขวัญคนใหม่ กับ แอ็คชั่นไล่ล่าที่จะทำให้คุณลุ้นจนเกือบหยุดหายใจใน
          ABDUCTION (แอ็บดักชั่น)
          22 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

8432
THE THREE MUSKETEERS 3 D จัดเต็มความมันส์เต็มรูปแบบ เปิดตัว 3 ทหารเสือพร้อมหนุ่มน้อยดาตาญัง ขนฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ในสไตล์ พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน


 
           กลับมาปัดฝุ่นรีเมคใหม่ทั้งที กับ สุดยอดตำนานสามทหารเสือ ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ยักษ์ ปี 2011 The Three Musketeers 3D (เดอะทรีมัสเกตเทียร์ ทรีดี) ต้องถือว่า เป็นการกลับมาแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นฟอร์มการสร้าง / ทีมนักแสดง / ทีมงาน เพื่ออรรถรสความมันส์เต็มรูปแบบ ใครที่คิดถึงภาพทหารเสือยุคโบราณ ลืมไปได้เลย เพราะสามทหารเสือยุคนี้ อยู่ในมือการกำกับ ของ พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน ผู้กำกับคนเก่งที่สร้างชื่อและฝากผลงานมาแล้ว กับ ภาพยนตร์ชุด RESIDENT EVIL ผลงานของเขาเรียกได้ว่ามีลายเซ็นต์กำกับอยู่ทุกเรื่อง ทุกตอน พอมากำกับ สามทหารเสือ เวอร์ชั่นนี้ เขาจึงปล่อยของแบบไม่มียั้ง เกิดเป็นความมันส์เต็มรูปแบบกว่าครั้งไหนๆ จุใจไปด้วยฉากแอ็คชั่นมันส์ เท่ห์ แปลกใหม่ สไตล์ พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน และที่สำคัญมีทั้งระบบฟิล์มธรรมดา และ ดิจิตอลสามมิติอีกด้วย โดย แอนเดอร์สัน ให้สัมภาษณ์ว่า "พวกเราใช้เทคโนโลยีสามมิติตัวเดียวกับ Resident Evil: Afterlife และ TRON: Legacy คุณจะไม่เคยเห็น The Three Musketeers ในรูปแบบนี้มาก่อน มันจะแตกต่างจากเวอร์ชั่นล่าสุด ไปเลย”
 
           และตัวละครสำคัญ สามทหารเสือและหนุ่มน้อยดาตาญังในเวอร์ชั่นนี้ ถือว่าน่าจับตามองมากๆ เริ่มต้นจากทหารเสือคนแรก ผู้ที่อาวุโสที่สุดและเป็นเสมือนหัวหน้าของกลุ่ม อาโตร์ รับบทโดย แมทธิว แม็กเฟเดียน จาก Pride & prejudice / ปอร์โต เป็นพลกำลังของกลุ่มสามทหารเสือ เขาดื่มเหล้าและเป็นเสือผู้หญิง แต่ก็ยังซื่อสัตย์และมีจิตใจดี ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตและการชอบส่งเสียงดังทำให้เขาน่าเกรงขาม รับบทโดย เรย์ สตีเวนสัน จาก Thor / อารามิส เป็นหนึ่งในสมาชิกสามทหารเสือที่มีไหวพริบที่สุด เขาเป็นเหมือน เจมส์ บอนด์ แห่งยุควิคตอเรียน เป็นคนที่มีฝีมือการใช้ดาบมากที่สุดในกลุ่ม และยังเป็นคนที่เคร่งในหลักศาสนามากที่สุด รับบทโดย ลุค อีแวน จาก Clash of the Titans และสุดท้ายหนุ่มน้อยดาตาญังในเวอร์ชั่นนี้ ได้ดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดอย่าง โลแกน เลอร์แมนจาก Percy Jackson มารับบทไป โดย ดาตาญัง เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน เขาใฝ่ฝันที่จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกทหารเสืออันทรงเกียรติ เขาเป็นเด็กที่โอ้อวดและมีความมั่นใจในฝีมือดาบของตัวเอง มีพลังงานที่สูบฉีดอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา และมันก็ถูกถ่ายทอดออกมาในสไตล์การต่อสู้ของเขาที่ไร้รูปแบบและน่าตื่นตา ซึ่งการได้เรียนรู้ค่าของการต่อสู้และเกียรติของทหารเสือ ก็เปลี่ยนให้เขาเป็นนักสู้ที่เก่งขึ้นกว่าเดิม

          นอกจากตัวละครของสามทหารเสือ และ ดาตาญังแล้ว The Three Musketeers 3D ยังเสริมทัพนักแสดงด้วย การโคจรมาเจอกันครั้งแรกของ ออแลนโด้ บลูม และ มิล่า โจโววิช ซึ่งทั้งคู่ต่างฉีกมารับบทร้ายที่ได้แสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ รวมด้วย คริสตอฟ วอลซ์ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ปีที่แล้ว, แมดส์ มิคเคลสัน ที่เคยรับบทตัวร้ายใน Casino Royale

          The Three Musketeers 3D เรื่องราวของ สามทหารเสือและทหารเสือฝึกหัด ดาตาญัง ต้องรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อหยุดยั้งแผนการอันชั่วร้ายของ คาร์ดินัล ริเชอลิเยอ ที่ร่วมมือกับ มิลาดี เดอ วินเทอร์ และ ดยุคแห่งบัคกิ้งแฮม ในการยึดครองบัลลังก์กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส

พบภารกิจคุ้มบัลลังก์ครั้งอลังการที่สุดของสามทหารเสือ 29 กันยายนนี้ ….ก่อนอเมริกา

8433
เฉินเสี่ยวตง ผนึกกำลัง เจทลี จัดเต็มนางพญางูขาวเวอร์ชั่น 2011 ทุ่มทุนสร้าง 800 ล้านบาท แจ้งเกิด หวงเซิ่งอี ในบทนางพญางูขาว




 
          มงคลภาพยนตร์เตรียมเปิดตัวภาพยนตร์จีน แอคชั่น แฟนตาซีเรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี The sorcerer and the white snake (เดอะ ซอร์เซอเรอร์ แอนด์เดอะไวท์สเนค) ที่ได้รับการคาดหมายว่านี่คือ ภาพยนตร์ที่จะมาพลิกโฉมหน้าภาพยนตร์จีนกลับคืนสู่ยุคทองด้วยการรวมตัว ของสุดยอดทีมงานสร้างภาพยนตร์แนวแอคชั่นแฟนตาซีจากประเทศจีน เริ่มกันที่ผู้กำกับ เฉินเสี่ยวตง เขาคือผู้กำกับที่ได้ชื่อว่า ถนัดที่สุดกับการทำหนังแนวแอคชั่นแฟนตาซี งานออกแบบฉากการต่อสู้ของเขาในหนังแนวนี้ เต็มไปด้วยความดุดันและสวยงาม เหมือนที่เคยทำไว้ใน House of Flying Dagger (จอมใจบ้านมีดบิน) และผลงานการกำกับที่ขึ้นหิ้งคลาสสิคอย่างเรื่องโปเยโปโลเยทั้ง 3 ภาค และ ได้ เจท ลี นักแสดงที่ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกปี 2010 มารับบท นักบวช ฝาไห่ ตัวละครสำคัญที่คอยขัดขวางรักผิดจารีตระหว่าง นางพญางูขาวและคนรัก โดยภาพยนตร์เวอร์ชั่นปี 2012 นี้ เฉินเสี่ยวตงประกาศที่จะเน้นเรื่องงานสร้างและฉากแอคชั่นต่างๆ ให้ตระการตาที่สุด ที่ไม่เคยเห็นในภาพยนตร์ นางพญางูขาวเวอร์ชั่นไหนๆ มาก่อน และ นักแสดงคนสำคัญที่มารับบทนางพญางูขาว คือ หวงเซิ่งอี (Kung Fu Hustle) นักแสดงสาวที่ผ่านการแคสติ้งบทจากนักแสดงกว่า 50 คน เหตุผลที่ หวงเซิ่งอี ชนะการแคสติ้งครั้งนี้เพราะผู้กำกับและดปรดิวเซอร์ต่างก็ลงความเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่แสดงแอคชั่นได้ดี และเมื่อถึงเวลาต้องร้องไห้ก็ยังคงสวยอยู่เสมอ และนั่นคือหัวใจสำคัญของบทนางพญางูขาว “เข้มแข็งเพื่อคนรัก และ เปราะบางเพราะความรัก”
 
          The sorcerer and the white snake (เดอะ ซอร์เซอเรอร์ แอนด์เดอะไวท์สเนค) คือภาพยนตร์แอคชั่นแฟนตาซี เจ้าของทุนสร้าง 800 ล้านบาท เพื่อถ่ายทอดตำนานรักบนพรหมลิขิต ระหว่าง สี่เซียน (หลินฟง) ชายหนุ่มจิตใจดีที่เคยช่วยชิวิตงูขาว (หวงเซิ่งอี) ที่บำเพ็ญบุญมาครบ 1000 ปี ตนหนึ่งไว้ เมื่อชะตาต้องกัน งูขาวยอมแลกกายทิพย์และความสุขในแดนสวรรค์เพื่อจำแลงกายเป็นหญิงงามออกตามหาชายหนุ่มที่เธอตกหลุมรัก และช่วยชีวิตเขาไว้จากการจมน้ำ ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันโดยที่ สี่เซียน ไม่ได้รู้ถึงร่างที่แท้จริงของภรรยาเขา จนวันหนึ่งในคืนเทศกาลบูชาเรือมังกร นางพญางูขาวเผลอใช้อิทธิฤทธ์ช่วยสี่เซียน จนทำให้ ถูกนักบวช ฝาไห่ (เจทลี) นักบวชผู้ตามล่าปิศาจที่แฝงอยู่บนโลกมนุษย์ รู้ถึงร่างที่แท้จริงของเธอ เขาจึงพยายามยามที่จะทำทุกวิถีทางที่จะพรากความรักผิดจารีตระหว่างคนทั้งคู่ออกจากกัน และแม้การฝืนชะตากรรมครั้งนี้จะทำให้เขาต้องเปิดศึกกับนางพญางูขาว และแม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้อาจจะให้ มนุษย์และสวรรค์ต้องสั่นคลอน

          6 ตุลาคมนี้ ..... The sorcerer and the white snake
          ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

8434
Life without Principle อาชญากรรมรัญจวนเรื่องล่าสุดของ “ตู้ฉีฟง” เข้าชิงสายประกวดปีนี้ที่เวนิซ!



          เพิ่งปิดกล้องไปสดๆ ร้อนๆ สำหรับหนังอาชญากรรมเรื่องใหม่ของสุดยอดผู้กำกับหนังฮ่องกงแห่งยุค – ตู้ฉีฟง เรื่อง Life without Principle และยังไม่ทันตัดต่อเสร็จเรียบร้อยดี แต่ก็ถูก “เทศกาลหนังเมืองเวนิซครั้งที่ 68” ฉกไปฉายไปสายประกวดแบบทันท่วงทีในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ ซึ่งถือเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่เวนิซได้เลือกเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นเซอร์ไพรส์ที่หลายคนได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว

          ก่อนหน้านี้ ตู้ฉีฟงเคยได้รับเกียรติให้เข้าสายประกวดทั้งจากเมืองคานส์, เบอร์ลิน ส่วนที่เวนิซนั้น ตู้ฉีฟงนำหนังมาฉาย 3 ครั้งแล้ว ตั้งแต่ Throw Down, Exiled และ Mad Detective และนี่เป็นครั้งที่ 4 ที่หนังแอ๊คชั่นจากฮ่องกงจะได้อวดฝีมือในเทศกาลหนังระดับโลก

          Life without Principle งานชิ้นใหม่ของตู้ฉีฟง ยังคงวนเวียนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม หนังเล่าเรื่องราวของ 3 ตัวละคร อันได้แก่ พนักงานแบงค์, นักเลงหัวไม้ และ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แสนสมถะ ที่ต่างฝ่ายต่างต้องตกอยู่ในภาวะ “กระหายเงิน” ด้วยความบังเอิญ และเพราะเงินนั่นเอง ที่ทำให้ทั้งหมด ต้องเจอกับบททดสอบที่อยู่บนทางแยกระหว่างการเอาตัวรอดและศีลธรรม

          ตู้ฉีฟงให้สัมภาษณ์ว่า Life without Principle ยังคงเป็นหนังที่เล่นกับสไตล์การเล่าเรื่องที่เขาพยายามทดลองให้ฉีกแนวไปจากหนังฮ่องกงดาดๆ ทั่วไป มันอาจจะไม่ใช่หนังที่มีระเบิดตูมตาม แต่จะเร้าอารมณ์คนดูด้วยไวยากรณ์ทางภาพยนตร์ล้วนๆ แบบที่เขาชอบ

นอกจากนี้ คอนเสปต์สำคัญของหนัง ตู้ฉีฟงยังบอกอีกว่า “โลกสมัยนี้เป็นโลกที่ผันผวนบ้าคลั่ง เป็นโลกที่มนุษย์ทุกคนต้องเล่นไปตามเกม ไม่ว่าคุณจะแพ้หรือจะชนะ คุณจำเป็นจะต้องสูญเสียส่วนหนึ่งของชีวิตไปตลอดกาล”

          Life without Principle จะเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังเมืองเวนิซปีนี้ และจะออกฉายในฮ่องกงหลังจากนั้น ส่วนคอหนังชาวไทย (ที่มีแฟนๆ ตู้ฉีฟงอยู่ไม่น้อย) ได้ชมกันแน่นอนปลายปีนี้ ที่โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ อาร์ซีเอแห่งเดียวเท่านั้น!

8435
“MAN OF STEEL” เผยภาพแรกของความคาดหวังอย่างมากเมื่อนักแสดง เฮนรี่ คาวิลล์ มารับบท ซูเปอร์แมน






 
          วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส นำเสนอภาพแรกของภาพยนตร์เรื่องใหม่ “Man of Steel” เปิดตัวนักแสดงเฮนรี่ คาวิลล์ ผู้มารับบทเป็นซูเปอร์แมนในภาพยนตร์ของผู้กำกับแซ็ค สไนเดอร์

          ภาพยนตร์นำแสดงโดย เอมี่ อดัมส์ ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® สามครั้ง (“The Fighter”) ที่มารับบทเป็น ลูอิซ เลน นักข่าว Daily Planet และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® (“What’s Love Got to Do with It”) มารับบทเป็น เพอร์รี่ ไวท์ บรรณาธิการของเธอ ผู้รับบทมาร์ธาและโจนาธาน เคนต์ พ่อแม่บุญธรรมของคลาร์ก เคนต์ คือผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® ไดแอน เลน (“Unfaithful”) และเจ้าของรางวัล Academy Award® เควิน คอสต์เนอร์ (“Dances with Wolves”)

          และยังมีชาวคริปโตเนียนที่ยังรอดชีวิตอยู่อีก 2 คน นายพลซอดผู้ชั่วร้ายที่รับบทแสดงโดยไมเคิล แชนนอน ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® (“Revolutionary Road”) และฟาโอร่า คู่หูผู้ชั่วร้ายของซอดรับบทแสดงโดย อานต์เยอ ทรอ ซึ่งจะมาต่อกรกับซูเปอร์ฮีโร่ และยังมีอีกคนหนึ่งที่มาจากดาวคริปตอนของดาวซูเปอร์แมนอย่างลาร่า ลอร์-แวน แม่ของซูเปอร์แมน รับบทโดยจูเลีย ออร์มอนด์ และพ่อของซูเปอร์แมนอ จอร์-เอล รับบทแสดงโดยเจ้าของรางวัล Academy Award® รัสเซล โครว์ (“Gladiator”)
พร้อมด้วยเหล่านักแสดงอย่างแฮร์รี่ เล็นนิกซ์ ผู้รับบทเป็นนายพลสวอนวิค ทหารชาวอเมริกัน รวมถึงคิสโตเฟอร์ เมโลนี่ ผู้รับบทเป็น โคโลเนล ฮาร์ดี้

          ภาพยนตร์เรื่อง “Man of Steel” อำนวยการสร้างโดยชาร์ลส โรเว็น, เอ็มม่า โธมัส, คริสโตเฟอร์ โนแลน และ เดโบร่าห์ สไนเดอร์ บทภาพยนตร์โดยเดวิด เอส. โกเยอร์ จากเรื่องราวของโกเยอร์และโนแลน สร้างอ้างอิงจากตัวละครของซูเปอร์แมนที่สร้างโดยเจอร์รี่ ซีเกล และ โจ ชูสเตอร์ ตีพิมพ์โดย DC Comics อำนวยการสร้างบริหารโดยโธมัส ทัล และ ลอย์ด ฟิลลิปส์

          ภาพยนตร์เรื่อง “Man of Steel” กำลังอยู่ในช่วงการถ่ายทำ มีกำหนดฉายที่อเมริกาในวันที่ 14 มิถุนายน 2013 จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์

8436
ไมเคิล แชนนอน รับบทแสดงเป็น นายพลซอด ในภาพยนตร์เรื่อง “MAN OF STEEL” ผลงานจากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส







          วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส ประกาศวันนี้ว่า ไมเคิล แชนนอน จะรับบทแสดงเป็นนายพลซอด ในภาพยนตร์เรื่อง Superman ภาคใหม่ ผลงานของผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ ที่มีชื่อว่า “Man of Steel”

          สไนเดอร์ กล่าวว่า “ซอดไม่ได้เป็นแค่ศัตรูตัวฉกาจที่สุดของซูเปอร์แมนเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวละครที่สำคัญมากอีกด้วย เพราะเขามีความเข้าใจในตัวซูเปอร์แมนอย่างลึกซึ้งแบบที่คนอื่นไม่เข้าใจ ไมเคิลเป็นนักแสดงผู้มีศักยภาพที่สามารถถ่ายทอดทั้งความฉลาดและความมุ่งร้ายของตัวละครออกมาได้ ทำให้เขาเป็นคนที่เหมาะสมสำหรับบทบาทนี้”

          สำหรับบทบาทของนายพลซอด แชนนอนจะตามรอยทุกฝีก้าวกับเฮนรี่ คาวิล ผู้รับบทแสดงเป็น คลาร์ก เคนต์/ซูเปอร์แมนคนใหม่ของภาพยนตร์ นักแสดงหลักยังรวมถึง เอมี่ อดัมส์ ผู้รับบทเป็น ลูอิส เลน, ไดแอน เลน และ เควิน คอสต์เนอร์ ผู้รับบทเป็น มาร์ธา และ โจนาธาน เคนต์

          ไมเคิล แชนนอน ได้รับเกียรติด้วยการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award® สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยม สำหรับบทบาทของเขาในภาพยนตร์ของ แซม เม็นเดส เรื่อง “Revolutionary Road” ที่แสดงร่วมกับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ เคต วินสเล็ต เมื่อไม่นานมานี้แชนนอนปรากฏตัวให้เห็นในซีรี่ส์แนวดราม่าของ HBO ที่ได้รับรางวัลเรื่อง “Boardwalk Empire” จากผู้อำนวยการสร้าง มาร์ติน สกอร์เซซี่ ต่อไปเขาจะปรากฏตัวในภาพยนตร์ของ Sony Pictures Classics ที่มีชื่อว่า "Take Shelter" จากผู้กำกับ/ผู้เขียน เจฟ นิโคลส์

          ชาร์ลส์ โรเว็น, เอ็มม่า โธมัส, คริสโตเฟอร์ โนแลน และ เดโบร่าห์ สไนเดอร์ ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ บทภาพยนตร์เขียนโดย เดวิด เอส. โกเยอร์ สร้างขึ้นจากเนื้อเรื่องของโกเยอร์และโนแลน โธมัส ทัล และ ลอยด์ ฟิลลิปส์ ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร

          ภาพยนตร์เรื่อง “Man of Steel” จัดจำหน่ายทั่วโลกโดย วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัท วอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์

8437
MV UPDATE: ความเศร้าแห่งสงคราม เพลงประกอบภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 ศึกนันทบุเรง”

MV เพลงประกอบภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 ศึกนันทบุเรง”
 
เพลง ความเศร้าแห่งสงคราม

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=i0F-Z-IYQYc" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=i0F-Z-IYQYc</a>


8438
“แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์อันดับ 1 แห่งปี 2011


 
          ตอนจบของภาพยนตร์ซีรี่ส์ที่ทำรายได้สูงสุดทั้งในประเทศและทั่วโลก

          ยังคงสร้างเวทมนตร์ให้บ็อกซ์ออฟฟิศไปอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาพยนตร์ของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” ที่ตอนนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่กวาดรายได้สูงสุดแห่งปี 2011 ในทุกสาขา ได้แก่ บ็อกซ์ออฟฟิศภายในประเทศ บ็อกซ์ออฟฟิศต่างประเทศ และ บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก มีการแถลงการณ์ในวันนี้โดย แดน เฟลแมน ประธานฝ่ายจัดจำหน่ายของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภายในประเทศและเวโรนิก้า ควอน-รูบิเน็ค ประธานฝ่ายจัดจำหน่ายต่างประเทศ

          ตอนจบของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องดังได้ทำลายสถิติบ็อกซ์ ออฟฟิศหลายเรื่องทั่วโลกภายในช่วงเวลา 1 เดือนตั้งแต่การเปิดตัวในเดือนกรกฏาคม เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมภาพยนตร์ได้ทำรายได้ภายในประเทศไป 344.8 ล้านเหรียญและ 801.5 ล้านเหรียญในต่างประเทศ โดยทำรายได้ให้บ็อกซ์ ออฟฟิศทั่วโลกไป 1.146 พันล้านเหรียญอย่างน่าประหลาดใจ ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” กลายเป็นภาพยนตร์อันดับ 3 ที่กวาดรายได้สูงสุดทั่วโลกไปตลอดกาล

          เวโรนิก้า ควอน-รูบิเน็ค กล่าวว่า “ภาพยนตร์เรื่อง ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2’ เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่แท้จริง ผู้สร้างภาพยนตร์และเหล่านักแสดงที่มอบความสามารถของพวกเขาให้แก่ภาพยนตร์เหล่านี้มาร่วมกว่าทศวรรษได้แชร์ผลงานแห่งประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ในครั้งนี้ร่วมกัน เราต้องขอแสดงความยินดีและขอขอบคุณทุกๆ คน”

          แดน เฟลแมน กล่าววว่า “นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญอีกครั้งที่น่าเหลือเชื่อสำหรับภาพยนตร์ตอนสุดท้ายของภาพยนตร์ซีรี่ส์แห่งประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ในครั้งนี้ และสำหรับแฟรนไชส์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้งหมดด้วย ในช่วงซัมเมอร์ที่มีภาพยนตร์หลายเรื่องและมีการแข่งขันกันอย่างสูง มันเป็นเหมือนสิ่งตอบแทนให้ทั้งภาพยนตร์และผู้อยู่เบื้องหลังที่ผู้ชมภาพยนตร์ยังคงกลับมาร่วมสนุกไปกับหนัง ไม่ว่าจะดูเป็นครั้งแรกหรือดูซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตาม”

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” เป็นการผจญภัยตอนสุดท้ายในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ มหากาพย์ภาพยนตร์ตอนสุดท้ายเป็นการต่อสู้ระหว่างพลังด้านดีและพลังชั่วร้ายของโลกพ่อมดที่ทวีตัวเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ ไม่มีการเดิมพันที่สูงขึ้นและไม่มีที่ใดปลอดภัย แต่นั่นคือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ถูกเรียกขานให้เสียสละ ในที่สุดเขาถูกดึงให้เข้าไปใกล้กับการเผชิญหน้าปะลองครั้งสุดท้ายที่สำคัญกับลอร์ดโวลเดอมอร์ ทั้งหมดต้องสิ้นสุดลงที่นี่

          นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์ และ เอ็มม่า วัตสัน กลับมารับบทของ แฮร์รี่ พอตเตอร์, รอน วีสลีย์ และ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เหล่านักแสดงที่มารวมตัวกันในภาพยนตร์ยังรวมถึง เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์, ร็อบบี้ โคลเทรน, วอร์วิค เดวิส, ทอม เฟลตัน, ราล์ฟ ฟีนส์, , ซิอาแรน ไฮด์ส, จอห์น เฮิร์ท, เจสัน ไอแซ็คส์, แมทธิว เลวิส, แกรี่ โอล์ดแมน, อลัน ริคแมน, แม็กกี้ สมิธ, เดวิด ธิวลิส, จูลี่ วัลเตอร์ส และ บอนนี่ ไรท์

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2” กำกับการแสดงโดยเดวิด เยทส์ อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน เดวิด บาร์รอน และ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ดัดแปลงบทภาพยนตร์โดย สตีฟ โคลฟส์ สร้างขึ้นจากนิยายของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง อำนวยการสร้างบริหารโดย ไลโอเนล วิแกรม

          ภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต – ภาค 2” เป็นภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคแรกที่ฉายทั้งรูปแบบ 3 มิติและ 2 มิติ ภาพยนตร์จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์

8439
จูงมือคนรักมา “หวานๆ เหวอๆ” กับ The Future หนังรักที่มี “แมวเปี่ยมอารมณ์ขัน และพระจันทร์มีความรู้สึก”

 
 
          มงคลเมเจอร์ และ โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ อาร์ซีเอ เตรียมหนังโรแมนติคอารมณ์เพี้ยนๆ ให้คอหนังรักได้รับชมกันในเดือนสิงหาคมนี้ ผลงานของศิลปินสาวชื่อดังแห่งยุค – มิแรนด้า จูลาย เธอผู้เคยกวาดหัวใจผู้ชมมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนกับ Me and You and Everyone We Know

          ปีนี้มิแรนด้า จูลายกลับมาอีกครั้ง กับปรากฏการณ์โรแมนติคมัดใจที่เพี้ยนกว่าเดิมและโดนใจมากกว่าเดิมด้วยกับ The Future พล็อตคร่าวๆ ของ The Future เป็นเรื่องของคู่รักคู่หนึ่ง โซฟี และ เจสัน ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว แต่แล้ววันหนึ่งก็พบว่าความรักมันออกจะจืดๆ ชืดๆ เซ็งๆ จนร่ำๆ ว่าความสัมพันธ์ที่ดำเนินมาอย่างดีคงต้องถึงทางตัน

          เพราะยังอยากจะคบกันต่อ โซฟีกับเจสันเลยหาทางออก เพื่อสร้างรสชาติให้กับชีวิตคู่ที่มองไม่เห็นอนาคต ด้วยการไปรับอุปการะเจ้าแมวป่วยตัวหนึ่งมาดูแล พร้อมกับตั้งปณิธานว่า จะลองปฏิวัติชีวิตตัวเองให้หลุดพ้นไปจากความเบื่อหน่าย

          หลังจากนั้นผู้ชมก็จะได้เห็นภารกิจเพี้ยนๆ ของทั้งสองคน ผ่านสายตาของเจ้าแมวเหมียวจอมกวนที่อุตริแสดงความคิดเห็นอยู่ตลอดเวลา

          นอกจากจะเป็นหนังที่พูดถึงความรัก The Future ยังมีองค์ประกอบหลุดโลกมากมาย อาทิ เจ้าแมวตัวแสบที่จ้อไม่หยุด รวมทั้งพระจันทร์ที่สามารถพูดได้!!??

          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ The Future กำลังพยายามถ่ายทอดให้กับผู้ชม เป็นสาระที่ชวนคิดเอามากๆ อันได้แก่ การตั้งคำถามถึงความสุขในชีวิต และการจัดการกับความสัมพันธ์ที่ดำเนินมาถึงวันหมดอายุ

          The Future จึงรวมเอารสชาติที่หวานมากๆ และขมขื่นมากๆ บวกกับอารมณ์ขันน่ารักๆ ไว้ตลอดทาง เป็นประสบการณ์การชมหนังรักโรแมนติคที่คอหนังพลาดไม่ได้

          หนังมีคิวเข้าฉายแน่นอนแล้ว เริ่มวันที่ 18 สิงหาคม 2554 นี้เป็นต้นไป เฉพาะที่โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ อาร์ซีเอแห่งเดียวเท่านั้น

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 0-2641-5177-8 หรือคลิก Like ที่ www.facebook.com/houseRCA

8440
เปิดฉากด้วยการพังทลายของสะพาน สุดอลังการของ ‘Final Destination 5 - โกงตายสุดขีด”

                   
 
            ภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination 5” ดำเนินการสู่ขั้นตอนการสร้างในช่วงต้นเดือนกันยายน 2010 ที่แวนคูเวอร์, บริติช โคลัมเบีย ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ถ่ายทำหนังสามภาค ซึ่งภาคแรกถ่ายเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

          หัวหน้าของแต่ละแผนกอย่างผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ โรรี่ คัตเลอร์ ผู้ควบคุมวิชลเอ็ฟเฟ็กต์ เอเรียล วีแลสโก้ ผู้ออกแบบการแต่งหน้าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ โทบี้ ลินดาลา และผู้ควบคุมสตั๊นท์ เจ.เจ.มากาโร่ กลับมารวมตัวกันทั้งหมด เพอร์รี่พบว่าตัวเองมีช่วงเวลาเดจาวูหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องที่น่าจดจำ ตัวประกอบได้ปรากฏตัวในฉากวันหนึ่งโดยการยื่นใบขอเข้าถ่ายทำจากภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination” ภาคแรก

          ผู้สร้างความมั่นใจว่าความตายถูกเร็นเดอร์ท่วมไปด้วยเลือดอย่างงดงาม คือ ลินดา หัวหน้าฝ่ายเมคอัพผู้ควบคุมเอ็ฟเฟ็กต์ของเลือดในภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination 3”

          ด้วยกล้องที่ทันสมัยระบบ 3 มิติที่ทำให้ทุกรายละเอียดมีความเข้มข้นขึ้น เลือดกลายเป็นสิ่งท้าทายใหม่ ทีมงานของลินดาลาใช้เวลาหลายชั่วโมงจนนับไม่ถ้วนเพื่อทดสอบอุปกรณ์ชิ้นใหม่ต่างๆ และผสมสูตรที่เห็นบนจอภาพแล้วดูเหมือนเป็นของจริง ซึ่งเป็นสูตรที่มีรายการของช็อคโกแลตไซรัป วอดก้าและบรรดาส่วนผสมอื่นๆ “มันต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ส่วนผสมที่เหมาะ” ลินดาลากล่าว “การทำงานร่วมกับระบบ 3 มิติค่อนข้างยากนิดหน่อย แต่ฉันดีใจที่เราได้สร้างผลงานตอนนี้ ไม่ใช่เมื่อ 10 หรือ 15 ปีที่แล้วที่ผลงานของเรายังห่างชั้น ตอนนี้เรามีการใช้ซิลิโคนอย่างแพร่หลาย พลาสเตอร์ bondo และกาว Pros-Aide ซึ่งแสงผ่านได้น้อยมาก เขาใช้มาผสมกับผิวและทำให้เกิดผิวที่เหมาะสมอย่างแท้จริง หากไม่มีองค์ประกอบใหม่ๆ เหล่านี้ ผลงานของเราคงโดดเด่นแบบการเมคอัพแทนที่จะดูเหมือนบาดแผลที่โดดเด่นสมจริง”

การทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพยนตร์ผู้โด่งดัง เจมส์ คาเมรอน มานาน 20 ปี สตีเฟ่น เควล ไม่ได้แค่ “เติบโต” ขึ้นมาพร้อมพัฒนาการของ 3 มิติ แต่ยังมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของด้านเทคนิคและวิวัฒนาการด้านภาพยนตร์อย่างกระตือรือร้นอีกด้วย ท่ามกลางผลงานด้านภาพยนตร์ของคาเมรอสน เควลได้ร่วมงานกับที่ปรึกษาด้านภายนตร์สารคดีและโปรเจ็กต์ระบบ IMAX ของเขา ทำให้เขามีประสบการณ์ในการใช้ 3 มิติกว้างขึ้นในทุกด้านของสื่อกลางและสภาพแวดล้อมต่างๆ

          “ผมได้เรียนรู้ตั้งแต่ช่วงแรกว่าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไรกับ 3 มิติบ้าง” เควลให้ความเห็นว่า “ผมได้เรียนรู้วิธีการใช้มันเหมือนเครื่องมือการถ่ายทอดเรื่องราว ไม่ใช่เหมือนเคล็ดลับ และผมไม่ถ่ายทำระบบ 3 มิติ จนกว่าพวกเขาจะส่งเรื่องมาให้ เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวกับตัวละครคือสิ่งที่ประคองหนังไปร่วมกันได้ ไม่ใช่แค่การถ่ายทำที่เท่ห์ๆ”

          นอกจากนั้นสำหรับองค์ประกอบของ 3 มิติ ผู้สร้างภาพยนตร์บันทึกภาพโดยการใช้ “Alexa” กล้องดิจิตอลระบบไฮ-เดฟที่สร้างขึ้นโดย Arriflex ผู้กำกับภาพไบรอัน เพียร์สัน กล่าวว่า “ในช่วงการเตรียมการถ่ายทำ สตีฟกับผมคุยกันอยู่นานถึงเรื่องภาพลักษณ์ของหนัง เราอยากให้ภาคต่อนี้เดินหน้าไปในทิศทางที่ต่างออกไป มีการถ่ายทำหนังด้วยระบบ 3 มิติที่มีการพัฒนามากขึ้น และรวมถึงเลนส์เพื่อใช้ถ่ายระยะไกลสำหรับบางฉาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ปกติแล้วไม่เป็นที่ยอมรับในการสร้างระบบ 3 มิติ เราต้องการความแตกต่างในเฟรมมากๆ ในส่วนของขอบเขตและในส่วนของสีสัน เราไม่ได้สร้างผลงานแค่ความลึกซึ้งในรูปแบบ 3 มิติแต่ยังรวมด้านมุมมองของสีสันตลอดภาพยนตร์ด้วย เราใช้สีสันโทนอบอุ่น สีทอง สีเหลือง และสีเปลวไฟ แต่ก็มีการรวมโทนสีเย็นในบางครั้งเพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มความดราม่าเข้าไปในฉาก”

          สิ่งที่มีความเหมือนกันในหนังเรื่อง ‘Final Destination’ และเป็นสิ่งที่ทำให้มันต่างจากหนังแฟรนไชส์สยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือการฝืนกฏความตายในฉากเปิดตัว ผู้สร้างภาพยนตร์มั่นใจว่าความหายนะนั้นเป็นจุดเริ่มต้นการเดินหน้าของภาพยนตร์ที่สร้างความพอใจได้อย่างเต็มที่ แม้แต่แฟนพันธุ์แท้ที่คิดว่าเคยเห็นทุกอย่างมาแล้วก็ตาม

          เอริค เฮสเซอเรอร์ ผู้เขียนกล่าวว่า “ไอเดียของการพังทลายของสะพานที่ระงับใช้เป็นผลมาจากการประชุมด้านการสร้างสรรค์ร่วมกับเคร็ก เพอร์รี่ และ ชีล่า ฮานาฮาน เทย์เลอร์ มาอย่างยาวนาน เราเริ่มจากการดูวีดีโอออนไลน์ของหายนะจากธรรมชาติหรือที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เพื่อค้นหาฉากที่น่าจะเหมาะกับหนัง เคร็กร่วมแชร์วีดีโอของการพังทลายของสะพาน Tacoma Narrows Bridge และผมก็หลงใหลไปกับมัน เราเริ่มจดทุกสิ่งทุกอย่างที่น่าจะผิดพลาดกับสะพาน พอเราคิดว่าเราระดมความคิดกันจนหมดแล้ว บางคนก็จะใส่รายละเอียดเสริมเข้าไป จนสุดท้ายหลังจากการวางแผนนาน ระดมความคิด เขียนบทและแก้ไขเป็นเวลา 3 เดือน ผมก็ได้ฉากที่รู้สึกว่าถูกต้องตามการเปิดตัวของหนัง ‘Final Destination’ แต่ความยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นกับสะพานที่พลังทลายคือตัวสตีฟ เควล เพราะเขามีการเปิดตัวหนังในแบบที่เราจินตนาการกันมาเป็นเวลาหลายเดือน และยกระดับมันให้เป็นภาพเคลื่อนไหว เป็นประสบการณ์ของภาพยนตร์ในแบบที่เราไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เลย”

           แต่การพลิกจากสิ่งที่อยู่บนหน้ากระดาษให้เป็นเรื่องจริงบนจอหนังระบบ 3 มิติขนาดใหญ่กลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ และเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน ซึ่งรวมถึงการใช้สถานที่ๆ แตกต่างกันไป 4 แห่ง ได้แก่ สถานที่จริงของ Lions Gate Bridge ในแวนคูเวอร์, ฉาก Brunswick Pit สะพานยกระดับลอยฟ้าที่สร้างขึ้นในลานจอดรถกลางแจ้ง และสะพานวงแหวนดาดฟ้าที่โครงสร้างมีน้ำหนัก 80,000 ปอนด์ ซึ่งมีขนาด 60 x 50 ฟุต และตั้งอยู่ใกล้กับโรงถ่าย Mammoth

          “สำหรับการทำสิ่งที่เราต้องการให้ประสบความสำเร็จ เราต้องมีความคิดสร้างสรรค์จริงๆ ว่าเราจะใช้ทรัพยากรของเราอย่างไร” เควลกล่าว “โดยสรุปแล้ว ฉากทั้งหมดนำไปสู่การพังทลายของสะพานที่เกี่ยวข้องกับ Lions Gate Bridge เรามีการถ่ายทำกลางอากาศ เราได้รับอนุญาตให้ปิดการจราจรบนสะพาน 1 เลนช่วงสั้นๆ ของเช้าวันอาทิตย์เพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อใช้เวลาให้มีค่าที่สุด เราใช้กล้อง 4 ตัวถ่ายทำพร้อมกันเพื่อเก็บภาพ

          “จากนั้นเราย้ายการถ่ายทำไปยังสถานที่บน Brunswick Pit” เขากล่าวต่อว่า “ซึ่งเรามีส่วนของดาดฟ้าที่สร้างขึ้นมา สถานที่นี่ดูน่าเหลือเชื่อเพราะมันมีทิวทัศน์สุดมหัศจรรย์ซึ่งเหมาะกับทิวทัศน์ท้องทะเลแบบพาโนรามา Lions Gate Bridge เราจึงผสมผสานของจริงเข้ากับส่วนที่สร้างขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน เราเรียกสถานที่ถ่ายทำอันที่สามว่าสะพานยกระดับ และที่นั่นมีส่วนบริเวณที่ยกระดับ 30 ฟีตขึ้นไปในอากาศ เราจึงถ่ายแบบมองจากข้างบนลงมาข้างล่างได้ และนั่นเป็นจุดที่นักแสดงของเราต้องตกลงจากสะพานและห้อยอยู่ตรงราวลูกกรงที่แตกอยู่ ในที่สุดเมื่อสะพานเริ่มพังทลายลง เราได้ย้ายไปที่โรงถ่ายที่เรามีสะพานดาดฟ้าขนาดยาวบนวงแหวนไฮดรอลิค นั่นคือจุดที่เราสร้างความสำเร็จให้ผลงานด้วยกรีนสกรีนที่เป็นส่วนสำคัญ”

          ในการสร้างกรอบความคิดของฉากสะพาน ผู้ออกแบบฉาก เดวิด อาร์. แซนเดอเฟอร์ เชื่อมั่นในประสบการณ์เชิงสถาปัตยกรรมที่ผ่านมาของเขาเพื่อวาดแบบแผนที่มีความซับซ้อนขึ้นมา การอพยพครั้งใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยชายเขาที่ Brunswick Pit เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมสถานที่ที่สามารถรองรับขอบเขตของการสร้างหนังได้ ซึ่งเป็นฉากที่รวมนั่งร้านสูง 50 ฟุตพร้อมด้วยกรีนสกรีนขนาดใหญ่ 2 จอขนาด 40x60 ฟุต ด้านบนเป็นฉากสีขาวปกคลุมอยู่ และเครนที่ไม่ต่ำกว่า 12 ตัว

          “เราพบสถานที่ Brunswick Pit เพียง 3 อาทิตย์ก่อนเริ่มการถ่ายทำ และเรามีสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ หลายอย่างที่ต้องทำให้เสร็จ” แซนเดอเฟอร์แสดงความเห็น “แน่นอนว่าเราต้องปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ไม่ใช่แค่ในระดับภาคพื้นดินบางแห่งเท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งก่อสร้างในพื้นที่บริเวณอื่นเพื่อเป็นฐานให้กับสะพานยกระดับที่ปูพื้นด้วยยางมะตอย และบริเวณที่รายล้อมอยู่รอบนอก และเรายังมีการสร้างทางไหลของยางมะตอยที่ถูกต้องในฉาก เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นกังวลด้านสภาพแวดล้อม ที่นั่นจึงไม่มีดินถล่มมากวาดฉากเราลงไหล่เขาไปได้ เมื่อสะพานเริ่มพังทลายลง สตีฟต้องการถ่ายทำทั้งข้างบนและข้างล่างสะพาน ผมรู้ดีว่าเราไม่เคยมีโรงถ่ายที่สูงพอจะรองรับฉากเหล่านั้นได้ เราจึงคิดว่า ‘ทำไมเราไม่เอาส่วนหนึ่งของยางมะตอยลากมาไว้ข้างนอกและต่อขึ้นไปบนรถคอนเทนเนอร์?’ นั่นคือวิธีที่เราสร้างสะพานยกระดับดาดฟ้าขึ้นมา”

          เพอร์รี่กล่าวว่า “พวกเราโชคดีมากที่มีเดวิด แซนเดอเฟอร์ เขาและทีมงานไม่ได้สร้างแค่ฉากที่สุดวิเศษในทุกฉากในหนังเท่านั้น แต่พวกเขายังสร้างผลงานที่ไม่น่าเชื่อในการเก็บภาพโครงสร้างของสะพานยกระดับเต็มขนาดและจำลองในแบบที่ต่างกันไปหลายแบบ เพื่อสร้างฉากเปิดตัวที่อลังการของเรื่อง ‘Final Destination 5’”
 
เว็บไทยของหนัง www.finaldestination5-thai.com

8441
MOVIE GUIDE: Final Destination 5 - โกงตายสุดขีด (ซับไทย) เปิดฉากด้วยการพังทลายของสะพาน

คลิปตัวอย่าง Final Destination 5 (F2 ซับไทย)

เปิดฉากด้วยการพังทลายของสะพาน สุดอลังการของ "Final Destination 5 - โกงตายสุดขีด"

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Vhka0mqKpW0" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Vhka0mqKpW0</a>

8442
บทสัมภาษณ์ “กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร” พลิกคาแร็คเตอร์สุดๆ ใน “คนโขน”

           
 
บทบาท-คาแร็คเตอร์
          “รำไพ” ก็จะเป็นเด็กสาวที่มีความฝันความทะเยอทะยานอยากจะเป็นนางรำในกรมศิลป์ อันนี้จะเป็นความฝันอันสูงสุดของรำไพเลย แต่ชีวิตของตัวรำไพไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคาดหวังเอาไว้ คือดีที่สุดของเขาก็คือเป็นครูในคณะรำ เหมือนไปไม่ถึงดวงดาวตามที่เขาหวัง เป็นความกดดันของตัวละครตัวนี้ เป็นตัวละครอีกตัวในเรื่องที่น่าสนใจ เพราะมีความเป็นมนุษย์รักโลภโกรธหลง เป็นคาแร็คเตอร์ที่ไม่เคยแสดงมาก่อนค่ะ และก็ไม่เคยแสดงหนังพีเรียดประมาณนี้มาก่อนนะคะ ถ้าที่เคยเล่นก็เป็นยุคโบราณย้อนไปหลายร้อยปีกว่านี้เลยค่ะ ก็รู้สึกดีนะคะที่ได้เปลี่ยนบทบาทคาแร็คเตอร์ ได้เปลี่ยนองค์ประกอบหลายๆ อย่างในช่วงยุคนี้
 
การดำเนินเรื่องของตัวรำไพ
          ผู้หญิงคนนี้โดยพื้นฐานแล้วเค้าก็เป็นคนดีนะคะ แต่ด้วยสถานการณ์บางอย่างในชีวิตไม่ได้เป็นไปอย่างที่เค้าวาดฝันไว้ ก็อาจจะมีบ้างที่คิดน้อย และตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไป โดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนดี แต่จุดหักเหในชีวิตมันมาจากการที่เค้าไปไม่ถึงฝัน การที่เค้ามีสามีแก่ ทีนี้ในชีวิตของรำไพที่ยังเป็นสาวอยู่ แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับครูหยด (สรพงษ์ ชาตรี) ก็ทำให้รำไพจะใหญ่ได้แค่ในคณะละครเล็กๆ ของเค้า เพราะฉะนั้นมันเลยเกิดความรู้สึกกดดันเก็บกดว่าทำไมตัวเองถึงไปไม่ถึงฝันซะที ประกอบกับต้องมาอาศัยอยู่กับสามีแก่ ก็เลยยิ่งเก็บกดในเรื่องเซ็กส์อะไรพวกนี้เข้าไปอีก ก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกสับสน อยากจะปลดปล่อย อยากจะมีความรักกับเด็กหนุ่มตามวัยสาวของเธอที่หายไป ก็เลยทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตขึ้นมาค่ะ

หนักใจกับบทที่ค่อนข้างหวือหวานี้มากน้อยแค่ไหน
          บทลักษณะนี้ไม่เคยเล่นมาก่อนเลยค่ะ ก็ค่อนข้างหนักนะคะ ครั้งแรกที่คุยกับพี่ตั้ว พี่เค้าก็ถามว่าไหวมั้ย ไม่บังคับนะ ถ้าสมัครใจก็อยากให้กบเล่นจริงๆ กบก็บอกเลยว่า สนใจมากค่ะ เพราะบทดีๆ อย่างนี้ไม่ได้หลุดมาถึงใครง่ายๆ ก็อยากจะคว้าโอกาสนี้ไว้ ถ้าพี่ตั้วให้โอกาส ก็ปรับความเข้าใจในตัวบทกันพอสมควร ก่อนที่จะเล่นก็ต้องมีการพูดคุยถึงแบ็คกราวด์ของตัวละครนี้ เพราะมันมีความซับซ้อนค่อนข้างเยอะ ทีนี้พอเราเข้าใจตรงกันก็มีการมาซ้อมกับทีม โดยเฉพาะกับ “น้องอาร์” ที่เราต้องเล่นด้วยกัน และน้องเค้าก็ใหม่มากกับการแสดงหนัง ทีนี้พอถึงช่วงถ่ายทำ เราก็มีความเข้าใจดีแล้วก็ทำให้การทำงานหน้ากองก็ลื่นไหลดีค่ะ ซึ่งวิธีการซ้อมก่อนการถ่ายทำนี่มันก็ช่วยเราได้เยอะ ช่วยพัฒนาในสิ่งที่เราไม่เคยได้ลองเล่นหรือทำมาก่อน และได้เปิดมุมมองทางการแสดงของเราอีกมุมมองหนึ่ง และก็เกิดความท้าทาย ตื่นเต้นในการเข้าฉากถ่ายทำอย่างฉากเลิฟซีนหรือฉากที่มีผลกระทบทางด้านจิตใจของตัวรำไพ ซึ่งจะเป็นดราม่าสุดๆ ก็เป็นความแปลกใหม่ทางการแสดงของกบเลยค่ะ

มีการปรับตัวหรือรับมือกับบทบาทของตัวละครนี้อย่างไร
          อย่างแรกเลยคือเราต้องมีความเข้าใจในตัวละครนี้ เพราะว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เค้าต้องการทำสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ต้องทิ้งกำแพงรอบข้างไปให้หมด แล้วก็ใส่ไปให้เต็มที่ ก็มีบ้างที่กบเครียด แต่ว่าก็จะมีการพูดคุยกับพี่ตั้วผู้กำกับอยู่ตลอดว่าอย่างงี้ๆ ได้มั้ย ซึ่งพี่ตั้วก็จะมีการเสนอแนะและปรึกษาเรื่องการแสดงตลอด และเราก็ทำการบ้านในบทบาทนี้มาก่อนด้วย เหล่านี้ก็เป็นการปรับตัวสำหรับบทบาทใหม่ๆ นี้ของกบค่ะ

ทัศนคติต่อตัวละครรำไพที่ตัวเองได้รับบท
          จริงๆ จะว่าไป ตัวละคร “รำไพ” นี่ก็คือมนุษย์นะคะ มนุษย์มีความรักโลภโกรธหลง ไม่มีใครจะดีทุกด้านหรอก ทุกคนมีด้านดีแล้วก็ต้องมีด้านมืด เพราะฉะนั้นตัวรำไพนี่ก็เป็นตัวละครที่สะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ผู้มีความต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งมันก็คือธีมหลักของเรื่อง มันคือดราม่า มันคือชีวิตคนเรานี่แหละ

ด้านเครื่องแต่งกายในเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง
          เรื่องคอสตูมเรื่องนี้ก็ชอบค่ะ สวยดี แค่ตัวรำไพใส่คอกระเช้าผ้าถุง คือมันมีความคลาสสิกน่ะค่ะ ผู้หญิงกับผ้าถุงมันก็เป็นของคู่กัน กบก็ชอบที่จะได้ใส่นะคะ รู้สึกอินทุกครั้งที่ได้ใส่
 
ต้องมีการฝึกซ้อม เรียนร่ายรำก่อนการแสดงจริงด้วย
          ใช่ค่ะ ก่อนการถ่ายทำก็ต้องมีการไปเรียนรำมาก่อนด้วย ซึ่งก็ยากมาก คือตัวเราแข็งน่ะค่ะ พวกเด็กนาฏศิลป์เค้าเรียนมาตั้งแต่เด็กใช่มั้ยค่ะตัวเค้าก็จะอ่อนช้อย แต่เราเพิ่งมาเรียนตัวก็จะแข็ง วันแรกๆ ที่ไปเรียนก็จะปวดเนื้อปวดตัวเลยค่ะ แต่เราก็ต้องมีความอดทน อาศัยการซ้อมบ่อยๆ ก็ชอบและหลงใหลในศิลปะวัฒนธรรมไทยค่ะ

การทำงานร่วมกับผู้กำกับ
          พี่ตั้วเป็นผู้กำกับที่ละเอียดมากค่ะ ก็ชอบและภูมิใจที่ได้ร่วมงานกัน เพราะตัวกบเองก็จะมีความละเอียด พอได้มาร่วมงานกับผู้กำกับที่ใส่ใจให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดอย่างนี้ มันก็เหมือนเคมีตรงกัน การทำงานด้วยกันก็เลยง่าย การทำงานกับพี่ตั้วก็เลยไม่มีอะไรที่รู้สึกไม่พอใจนะคะ ชอบและประทับใจหมดค่ะ อย่างฉากดราม่าซีนอารมณ์อย่างนี้ เราก็ไม่รู้ว่าพี่ตั้วจะเอาหรือไม่เอา เราก็ต้องคงอารมณ์นั้นไว้ก่อน จะคัทหรือไม่คัทเราร้องไห้ไว้ก่อนเพื่อความต่อเนื่อง บางทีพี่ตั้วอาจจะมีการเติมรายละเอียดนิดหน่อยอะไรอย่างนี้ แล้วอย่างช่วงพักเบรค เราก็บอกเลยว่าอย่าเพิ่งให้ใครมายุ่ง ขออยู่ในอารมณ์และพื้นที่ของเราก่อน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าผู้กำกับจะต้องการอะไรอีกหรือเปล่า ก็อยากให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่พี่ตั้วต้องการค่ะ
 
ฉากประทับใจในเรื่อง
          จริงๆ ชอบและประทับใจทุกฉากเลยนะคะ เพราะอย่างที่บอกว่ามันมีความท้าทายที่ได้มาเล่นบทนี้ ตัวรำไพเป็นบทที่แปลกใหม่ เราท้าทายและสนุกที่ได้มาแสดง มาสวมเป็นตัวละครตัวนี้ ก็เลยประทับใจทุกฉากที่ได้เล่น ไม่ว่าจะเป็นฉากที่หวือหวาที่สุดอย่างฉากถอดเสื้อยั่วยวน มันเป็นความท้าทายในสิ่งที่เราไม่เคยทำ เราต้องเปิดโลกให้กว้าง แล้วก็พยายายามเล่าเรื่องผ่านทางสายตาว่าตัวผู้หญิงคนนี้เนี่ยเค้ามีความกดดันในเรื่องเพศ เพราะการมีสามีที่แก่ เราต้องสื่อว่ามาให้ได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องถึงกับทำหน้าเซ็กซี่หรืออะไร แต่พยายามบอกเรื่องราวผ่านทางสายตาในการแสดงของเรา อันนี้ก้เป็นฉากท้าทายมากๆ เหมือนกันค่ะ

          อีกฉากก็เป็นฉากไฟไหม้ อันนี้ก็ชอบและท้าทายมากเหมือนกัน เล่นไฟจริงเลยนะคะ ก็เป็นฉากที่ตัวรำไพเองเนี่ยรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เล่นกับไฟจริงก็ไม่กลัวไฟไหม้นะคะ เพียงแต่ให้ทุกอย่างออกมาสมจริงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคิวไหน ต้องวิ่งผ่านไฟ หรือไฟตกลงมาข้างหน้าเรา ซึ่งตอนถ่ายเนี่ยต้องใส่โขนซึ่งหนักและแน่นมาก แล้วเราก็สนุกที่ได้แสดงอะไรแบบนี้ และก็ปล่อยสุดพลังเหมือนกันค่ะ

ความรู้สึกแรกที่ได้ใส่ชุดโขนเป็นยังไงบ้าง
          ขลังเลยค่ะ ความรู้สึกแรกที่ได้ใส่นี่ขลังจริงๆ ค่ะ เพราะปกติเราก็ไม่มีโอกาสได้ใส่หรอกค่ะ ก็ชอบ และถือเป็นความโชคดีที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้ใส่ชุดโขนอะไรอย่างนี้นะคะ แล้วชุดโขนก็สวยงามมากจริงๆ ค่ะ แม้จะอึดอัดนะ แต่ความสวยงามของชุดก็ทำให้เราสู้ตายเหมือนกัน

การร่วมงานกับอาเอก สรพงษ์
          อาเอกน่ารักมากค่ะ อาเอกก็ช่วยการแสดงเราได้เยอะนอกจากพี่ตั้วแล้ว ก็จะคอยสอนเทคนิคการแสดงซึ่งมีเยอะมาก เวลาเล่นมันต้องอย่างนี้ๆ เวลาแสดงเราอย่านิ่ง เราต้องแสดงให้มันเป็นธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องไดอะล็อคอย่างเดียว อย่างเลิฟซีนกับอาเอก นี่จะเก่งมาก อย่างอาเอกจะบอกว่า กบ อย่างมือเนี่ยเวลาถ่ายแค่ที่มือ เราก็ต้องสื่ออารมณ์ที่มือให้ได้ เวลาเราสัมผัสบีบนวดอาเอกตอนแรกๆ ถ่ายออกมาแล้วมันดูแข็งค่ะ อาเอกก็จะสอนเทคนิคว่าต้องอย่างนี้ๆ นะ พอถ่ายออกมาแล้วมันก็ดูดีขึ้นมากเลยค่ะ

การร่วมงานกับน้องอาร์ พระเอกใหม่
          น้องอาร์เหรอคะ น้องอาร์มีความตั้งใจในการทำงานมาก และมีความเป็นศิลปินอยู่สูงนะคะ นี่เป็นเรื่องแรกของเขา ซึ่งเค้าก็ยังไม่ได้เอาออกมาใช้มาก แต่เท่าที่ทำงานด้วยเนี่ย เค้ามีความตั้งใจทำงานดี ส่วนที่เหลือเนี่ยเป็นประสบการณ์ของเขาที่เขาต้องเก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ มากกว่า ตอนเข้าฉากร่วมกัน กบก็มีบอกน้อง คอยแนะนำอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างฉากร้องไห้ก็บอก ฉากเลิฟซีนก็พูดคุยกัน แต่ไม่ใช่กบจะเชียวชาญอะไรมากนะคะ แต่อยากให้น้องเค้าปลดปล่อย สบายใจ ไม่งั้นน้องเค้าก็จะเกร็งไงคะ ก็จะทำความเข้าใจกัน ทำความคุ้นเคยกันก่อนที่จะแสดงฉากนี้ค่ะ

ความน่าสนใจโดยรวมของภาพยนตร์
          จุดเด่นของเรื่องคนโขนก็น่าจะอยู่ที่ศิลปะวัฒนธรรมไทย เกี่ยวกับอาชีพของคนโขน เพราะส่วนใหญ่เด็กสมัยใหม่แทบจะไม่รู้จักโขนกันแล้ว นี่คือเสน่ห์ของเรื่องนี้ ที่เราจะได้เล่าผ่านเรื่องราวชีวิตของคนโขน เสื้อผ้า การแสดง ทุกอย่างเกี่ยวกับการถ่ายทอดศิลปะวัฒนธรรมไทยหมดเลยค่ะ

          ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวของคนโขนมันก็สะท้อนความเป็นคนจริงๆ ที่มีด้านดีเลว รักโลภโกรธหลงตัณหาราคะ อย่างคำว่า “คนโขน” มันก็สะท้อนความเป็นคนในยุคปัจจุบันที่เวลาเข้าสังคม เราก็ต้องสวมหัวโขนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมนั้นๆ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่

ในเรื่องการแสดงนี่ ทุกคนก็ลงตัวหมดเลยทั้งรุ่นเล็ก รุ่นกลาง รุ่นใหญ่ ตัวแสดงทุกตัวน่าสนใจหมด แล้วก็ทุกคนก็เต็มที่กับการทำงานของเค้า รวมถึงการกำกับของพี่ตั้วที่มีความตั้งใจในการสะท้อนแง่มุมชีวิตต่างๆ ได้เป็นอย่างดี กบก็คาดหวังให้ทุกอย่างในตัวเนื้องานออกมาดีที่สุด และทุกคนก็สนใจในภาพยนตร์ “คนโขน” เรื่องนี้ค่ะ

8443
บทสัมภาษณ์ “ตรี นันทรัตน์” นักแสดงสาวน่าจับตาใน “คนโขน”


 
          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          เรื่องนี้รับบทเป็น “แรม” ค่ะ คาแร็คเตอร์ก็เป็นหญิงสาวเรียบร้อย สนุกสนานไปตามภาษาเด็กวัยรุ่นค่ะ แต่ก็มีความใฝ่ฝันที่อยากเป็นนางเอกลิเก ในเรื่องก็จะมีกลุ่มเพื่อนสามคนคือ ชาด, แรม, ตือ ที่โตมาด้วยกัน และก็ผูกพันจนกลายมามีใจให้กัน ต่างคนต่างแอบรัก เหมือนรักสามเส้าอารมณ์นั้น เรื่องราวก็จะดำเนินไปในสังคมของคนโขนค่ะ

          ก่อนการถ่ายทำจริงๆ ต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
          ก่อนการถ่ายทำเรื่องนี้ ตรีและก็เพื่อนๆ ก็ต้องมีการเรียนและซ้อมการแสดงกับพี่ตั้วผู้กำกับด้วย พี่ตั้วจะสอนเองเลย และก็ให้ซ้อมบทบาทจนจำขึ้นใจเลยค่ะ ซึ่งก็จะช่วยเวลาถ่ายทำจริงหน้ากองถ่ายเยอะมาก ทำให้การแสดงไหลลื่นเป็นธรรมชาติ ช่วยได้มากจริงๆ ค่ะ

          นอกจากเรื่องการแสดงแล้ว ยังต้องมีการฝึกซ้อมท่ารำเพิ่มเติมหรือเปล่า
          ก็จะต้องมีการฝึกรำและร้องลิเกด้วยค่ะ เพราะที่ตรีเรียนอยู่มันเป็นนาฏศิลป์ไทยทั่วไป ซึ่งไม่เหมือนลิเก ก็ต้องไปปรับกับครูที่สอนลิเกอีกทีค่ะ แต่โชคดีที่ตรีมีพื้นฐานนาฏศิลป์อยู่แล้ว เรื่องรำเลยไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ แต่เรื่องร้องลิเกนี่สิคะยากมากๆ แต่ก็ฝึกและแสดงจนผ่านไปด้วยดีค่ะ

          การร่วมงานกับพระเอกใหม่
          กับ “น้องอาร์” จริงๆ แล้วน้องเค้าเป็นรุ่นน้องที่คณะ เรียนเอกนาฏศิลป์ไทยที่จุฬาฯ เหมือนกัน ก็จะเจอกันบ่อยๆ อยู่แล้ว การร่วมงานกันก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่น้องอาร์เค้าจะเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ เรียบร้อย ตรีก็ชอบไปแกล้งไปแซวเค้าบ้างเพื่อผ่อนคลายค่ะ เรื่องการแสดงก็เล่นดีเลยค่ะ จริงๆ ก็เป็นเหมือนกัน อาจจะตื่นกล้องบ้าง แต่พี่ตั้วก็จะให้ฝึกซ้อมจนเล่นคล่องเลย การแสดงก็จะราบรื่นไปได้ด้วยดีค่ะ

          อย่างตรีมีประสบการณ์ทางการแสดงมาก่อน มีการสอนหรือแนะนำพระเอกใหม่อย่างไรบ้าง
          ก็มีบ้างนิดหน่อยค่ะ ไม่ได้เยอะมาก เพราะตรีก็ยังไม่ได้เชี่ยวชาญถึงขนาดนั้น แต่ก็คอยพูดคุยกันว่าอย่างนี้ๆ ดีมั้ย รับส่งอารมณ์ให้กัน ตรีก็จะบอกให้ดูที่ตา ก็จะรู้ว่าอารมณ์เป็นยังไงตอนรับส่งการแสดงกันน่ะค่ะ

          ฉากประทับใจ
          ก็จะเป็นฉากบอกรัก ฉากนี้เรายกกองไปถ่ายกันที่หัวหินเลยค่ะ ไม่ใช่ไปถ่ายที่ง่ายๆ ด้วยนะคะ พี่ตั้วไปเลือกโลเกชั่นที่เป็นภูเขา และรอบข้างเป็นทะเลค่ะ สงสารพี่ๆ ทีมงานที่กว่าจะยกอุปกรณ์ถ่ายทำ ยกเครน ยกกล้อง อะไรต่างๆ ขึ้นไปก็เหนื่อยเลย จากถนนเดินมาถึงชายหาด และก็ต้องเดินมาถึงภูเขาลูกนี้ก็ถือว่าไกลแล้ว นี่ยังต้องยกของขึ้นบนเขาที่ใช้ถ่ายทำกันอีก ขนาดเราเดินตัวเปล่ายังแบบแย่เลย แต่นี่พวกพี่เค้าต้องยกของต่างๆ อีก โดยรวมฉากบอกรักนี้เป็นฉากที่ชอบฉากหนึ่งเลยค่ะ บรรยากาศเลิศมาก โลเกชั่นสวยงาม พอขึ้นไปบนเขาก็จะเห็นทะเลอยู่รอบๆ ข้าง เห็ภูเขาฝั่งตรงข้ามด้วย ถือว่าเป็นสถานที่ที่สวยงามมากๆ เป็นบรรยากาศที่ดี๊ดีค่ะ และฉากบอกรักก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ เพราะถือเป็นเรื่องแรกก็ว่าได้ที่ใช้ท่าโขนบอกรักผู้หญิง พี่ตั้วจะใช้ท่าโขนมาประยุกต์ให้พระเอกแสดงท่าบอกรักนางเอกด้วย เพราะคนทั่วไปก็ไม่ค่อยรู้กันว่าท่าทางของนาฏศิลป์เนี่ยมันมีความหมายต่างๆ อยู่ ก็ดีค่ะ อาจจะทำให้ผู้ชมได้รู้จักโขนลึกซึ้งมากขึ้น ทุกอย่างในฉากนี้ก็ดีหมดเลย แต่เสียดาย ตอนนั้นหนูอ้วนมากค่ะ (หัวเราะ) มันลดไม่ทันค่ะ เพราะของตรีคิวแรกก็ไปถ่ายฉากนี้เลยค่ะ ได้แสดงกับน้องอาร์ เพื่อนๆ ก็อิจฉากันใหญ่เลย เพราะน้องอาร์เป็นขวัญใจของคณะหนูเลยนะคะ

          การร่วมงานกับ “พี่ต่าย เพ็ญพักตร์” และ “พี่กบ พิมลรัตน์” เป็นยังไงบ้าง
          เกร็งมากค่ะ (หัวเราะ) ทั้งกับพี่ต่ายและพี่กบเลย เพราะทั้งคู่เป็นนักแสดงมืออาชีพ เราเป็นเด็กใหม่ก็เลยเกร็งๆ ไว้ก่อนเลย แต่พี่กบบอกไม่ต้องเกร็ง ให้ทำตัวสบายๆ เราก็พยายามพูดคุยกับพี่เค้า เพื่อจะได้แบบแสดงได้อย่างราบรื่น พอได้ร่วมงานกันแล้ว พี่ทั้งคู่ใจดีมากเลยค่ะ พี่ต่ายก็ใจดีค่ะ เราเล่นเป็นแม่ลูกกันก็ต้องรับส่งอารมณ์กัน แค่มองตาเราก็รู้สึกตามพี่ต่ายแล้วค่ะ

          การร่วมงานกับผู้กำกับ
          ตอนแรกๆ ก็กลัวและเกร็งเหมือนกันค่ะ เพราะพี่ตั้วเขาทำงานจริงจังมากๆ เพื่อให้งานออกมาดี ตรีเองก็ชอบการทำงานของพี่เค้ามากนะคะ ที่ให้มีการซ้อมการแสดงก่อนถ่ายจริง มันทำให้เราคุ้นเคยกับบทบาท ปรับเข้าหานักแสดงที่เล่นด้วยกันได้ดี พอถึงหน้ากองแล้วอย่างที่บอก การทำงานมันก็ไหลลื่นเลยค่ะ พี่ตั้วแกจะมีเทคนิคในการสอน ทำให้เราแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ คือให้ลองเล่นมาก่อน ถ้ามากหรือน้อยไป เค้าจะบอกอีกทีนึงค่ะ โดยรวมพี่เค้าก็ใจดี น่ารักค่ะ

          ความน่าสนใจโดยรวม
          นอกจากจะเป็นหนังที่สะท้อนศิลปะวัฒนธรรมโดยรวมแล้ว ซึ่งนาฏศิลป์ไทยโดยเฉพาะโขนเนี่ย ตอนไปแสดงต่างประเทศ ผู้ชมต่างประเทศเค้าก็จะนิยมชมชอบมากเลยจะตะโกนว่า Bravo ซึ่งบางทีคนไทยมองข้ามวัฒนธรรมของตัวเองไปบ้างนะคะ แล้วเรื่อง “คนโขน” เนี่ย พอฟังชื่อแล้วก็นึกว่าจะเป็นแต่เรื่องโขนทั้งเรื่อง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลยค่ะ มันก็คือชีวิตมนุษย์เราดีๆ นี่เองที่มีทั้งรักโลภโกรธหลงต่างๆ นานา แล้วก็จะมีเรื่องแบบรักสามเส้าเข้ามาด้วย เป็นการดำเนินชีวิตของคนทั่วไปแต่มีแบ็คกราวด์เรื่องราวที่อยู่ในแวดวงคนโขนค่ะ ตรีก็หวังอยากให้คนมาดูเยอะๆ เพราะมันเป็นศิลปะวัฒนธรรมไทยของเราด้วยที่ตรีอยากให้อนุรักษ์ไว้ รวมถึงทีมนักแสดง เรื่องราวโดยรวมก็น่าสนใจมากๆ ค่ะ อยากให้มาชมกันค่ะ

8444
“กบ พิมลรัตน์” ทุ่มสุดตัว ล่อลวงพระเอกใหม่ เลิฟซีนถึงใจ ในเรื่อง “คนโขน”





          พลิกคาแร็คเตอร์มารับบทแรงถึงใจแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในภาพยนตร์ดราม่าคุณภาพเรื่อง “คนโขน” นักแสดงสาว “กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร” ก็ทุ่มสุดตัวไม่หวั่นที่จะต้องเล่นฉากเลิฟซีนกับพระเอกใหม่ด้วยตัวเอง เพราะถือว่าบทดีๆ ไม่ได้มีมาง่ายๆ และเป็นการเปิดมุมมองการแสดงที่แปลกใหม่ท้าทายด้วย

          โดยฉากนี้เป็นฉาก “รำไพ” (กบ พิมลรัตน์) นางรำในคณะโขนที่มีสามีแก่ จนเกิดอาการเก็บกดและหาทางระบายออกด้วยการล่อลวง “ชาด” (อาร์ อภิญญา) เด็กหนุ่มในคณะเดียวกันอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดก็เกิดเป็นฉากเลิฟซีนที่สะท้อนภาพตัณหาราคะของมนุษย์ได้ดีฉากหนึ่งเลยทีเดียว

          สาวกบเผยถึงเบื้องหลังฉากนี้ว่า

          “ฉากนี้ก็เป็นฉากยั่วยวนเลิฟซีนกับพระเอก คือบท ‘รำไพ’ ของกบในเรื่องนี้เป็นบทที่ค่อนข้างแรงแบบที่ไม่เคยแสดงมาก่อน จะเป็นบทชีวิตของผู้หญิงที่ไม่สมหวังในเรื่องความฝันและต้องเก็บกดในเรื่องเซ็กส์เนื่องจากมีสามีแก่กว่ามาก ก็เลยอยากจะมีความรักแบบหนุ่มสาวบ้าง จนเกิดความสับสนและหาทางปลดปล่อย โดยพยายามล่อลวงพระเอกอยู่หลายๆ ครั้ง จนในที่สุดก็ได้โอกาสเกิดเป็นเลิฟซีนฉากนี้ขึ้นมา ก็หนักใจอยู่เหมือนกัน แต่ตัวรำไพเป็นบทที่แปลกใหม่ท้าทายในสิ่งที่เราไม่เคยทำและสนุกที่ได้มาแสดง เราต้องเปิดโลกให้กว้างทางด้านการแสดง ซึ่งฉากนี้จะว่าไปก็จะสะท้อนด้านมืดตัณหาราคะของมนุษย์ที่ถ้าไม่ยับยั้งชั่งใจตัวเองก็จะส่งผลเสียกับชีวิตยังไงบ้าง

          แสดงฉากนี้กับ ‘น้องอาร์’ พระเอกใหม่เนี่ยก็ดีไม่มีปัญหาอะไรค่ะ เพราะเนื่องจากน้องเค้าก็ใหม่มากกับการแสดงหนัง รวมถึงกบก็ไม่เคยแสดงฉากแบบนี้มาก่อน พี่ตั้ว (ผู้กำกับ) ก็เลยจับมาซ้อมการแสดง มาปรับตัวให้เข้ากับตัวละคร ทีนี้พอถึงช่วงถ่ายทำเราก็มีความเข้าใจดีแล้วก็ทำให้การทำงานหน้ากองลื่นไหลดีค่ะ ก็มีตื่นเต้นบ้างค่ะ แต่วิธีการซ้อมก่อนการถ่ายทำนี่มันก็ช่วยเราได้เยอะมากเลยค่ะ ช่วยพัฒนาในสิ่งที่เราไม่เคยได้ลองเล่นหรือทำมาก่อน ก็เป็นความแปลกใหม่ทางการแสดงของกบเลยค่ะ”

          เตรียมพบการพลิกคาแร็คเตอร์แรงถึงใจของ “กบ พิมลรัตน์” ได้ใน “คนโขน” พร้อมให้พิสูจน์คุณภาพ 25 ส.ค. นี้ ทุกโรงภาพยนตร์

8445
จุดเริ่มต้น

          โคแนน คือตัวละครที่อยู่ในโลกมากว่า 80 ปี สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนหลายยุคหลายสมัย ทั้งในรูปแบบของเรื่องสั้น นวนิยาย หนังสือการ์ตูน เกมส์ แอนิเมชั่น ซีรี่ย์ และภาพยนตร์ 2 ภาคที่นำแสดงโดย อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ในที่สุดตำนานของยอดคนเถื่อนอันโด่งดังก็ได้กลับมาสู่จอเงินอีกครั้งใน Conan the Barbarian 3D
          โคแนน ถือกำเนิดบนโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 โดยปรากฏตัวในเรื่องสั้นชุดของ โรเบิร์ต อี โฮเวิร์ด "โคแนน เดอะ บาร์บาเรี้ยน" ช่วยเบิกทางให้วรรณกรรมแนวแฟนตาซีที่ถูกเรียกว่า “ดาบและเวทย์มนต์” โดยกำเนิดก่อน The Lord of the Rings ของ เจอาร์อาร์ โทลเคียน ถึงกว่า 20 ปี เขากลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม และเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่ง เขาเป็นฮีโร่ที่ไม่เกรงกลัวและทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยพลกำลังมหาศาลและประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชน
          ผู้กำกับ มาร์คัส ไนสเปล ให้คำจำกัดความของตัว โคแนน ว่า "ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวของ โคแนน ก็คือ เขาไม่ยอมก้มหัวให้ใคร และไม่ได้เลือกเดินตามแนวทางของสังคม เขาไม่มีศีลธรรมหรือมีชีวิตตามมาตรฐานของคนทั่วไป เขาคือคนเถื่อนที่ไม่พึ่งใครคนอื่นนอกจากตัวเอง"
          คงเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่เอ่ยถึง Conan the Barbarian ฉบับปี 1982 ของผู้กำกับ จอห์น มิลิอุส ที่ทำให้มิสเตอร์ยูนิเวิร์สอย่าง อาโนลด์ แจ้งเกิด แต่ อาวิ เลอร์เนอร์ และ เลส วีดอน สองผู้อำนวยการสร้างฉบับปี 2011 รู้สึกว่าเวอร์ชั่นเก่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งในจักรวาลของ โคแนน ที่มีความยิ่งใหญ่กว่า และถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การถือกำเนิด เลอร์เนอร์ เผยว่า "พวกเราไม่ได้ทำหนังเรื่องนี้โดยอ้างอิงจากหนังเก่าหรือเรื่องสั้นเพียงอย่างเดียว แต่เราอ้างอิงจากวัฒนธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับ โคแนน"
          สำหรับ มาร์คัส ไนสเปล ผู้ที่เชี่ยวชาญในการเอาหนังคลาสสิกมาคิดใหม่ทำใหม่ ไม่ว่าจะเป็น The Texas Chainsaw Massacre (สิงหาสับ) และ Friday The 13th (ศุกร์ 13 ฝันหวาน) การทำ Conan the Barbarian 3D ก็คือการสร้างความสมดุลระหว่างการเคารพต้นฉบับและการสร้างไอเดียใหม่ เขาอธิบายว่า "พวกเราย้อนกลับไปหาตำนานของ โคแนน ที่ถูกอธิบายไว้ในหนังสือของ โรเบิร์ต อี โฮเวิร์ด แต่ในขณะเดียวกันเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ค่านิยมและทัศนคติของสังคมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ผู้คนต้องการเห็น โคแนน ยุคใหม่ แต่ก็มีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่อยากให้เปลี่ยนแปลง ดังนั้นหัวใจของการสร้าง Conan the Barbarian 3D ก็คือให้สิ่งที่ผู้คนต้องการ แต่ไม่ได้ให้สิ่งที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้แล้ว"
          คริส ออกัส ผู้ออกแบบงานสร้าง พูดถึงแนวทางการสร้างโลกคนเถื่อนว่า "คุณไม่สามารถถ่ายทำ Conan the Barbarian 3D ตามแนวทางธรรมชาติได้ คุณต้องเพิ่มสีสัน เลือกมุมกล้องใหม่ๆ เสริมสร้างด้วยทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นคุณต้องเล่าเรื่องในแนวทางที่จะทำให้ผู้ชมลืมความเป็นจริง และสนุกไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น"
          ทั้ง ไนสเปล และ ออกัส เห็นพ้องกันว่า Conan the Barbarian 3D ควรให้ความรู้สึกเหมือนหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่หายไป เป็นมหากาพย์เกี่ยวกับฮีโร่ในยุคสมัยหนึ่ง ออกัส อธิบายว่า "พวกเราใช้บรรยากาศเป็นส่วนสำคัญของการเล่าเรื่อง โดยต้องทำให้มันมีความดุดัน หยาบกระด้าง และสกปรก เป็นหนังแฟนตาซีที่อยู่บนพื้นฐานของความสมจริง"
 
การค้นหา “โคแนน”

           ขั้นตอนแรกของงานสร้างก็คือการหานักแสดงที่จะเข้ามารับบทเป็น โคแนน ซึ่งไม่ใช่งานง่ายเลย เนื่องจากตัวละครนี้ต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ในแบบที่ทุกคนเห็นแล้วจดจำได้ ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2009 ทีมงานก็ได้ออกตามหานักแสดงเป็นเวลานานหลายเดือน จนในที่สุด เคอร์รี่ บาร์เด็น ผู้คัดเลือกนักแสดงก็ได้แนะนำ เจสัน โมมัว นักแสดงจากซีรี่ย์ Star Gate: Atlantis และซีรี่ย์ฮิตที่กำลังฉายอยู่ในขณะนี้อย่าง Game of Thrones เข้ามารับบทเป็น โคแนน
          ผู้อำนวยการสร้าง เลส เวลดอน พูดถึงนักแสดงหนุ่มคนนี้ว่า "ครั้งแรกที่พบกับ เจสัน พวกเราเห็นทุกองค์ประกอบที่ โคแนน ควรจะมี เขามีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีความมั่นใจสูง และมีพลังงานที่รอคอยการปลดปล่อยอยู่ในตัวเขา ทุกอย่างเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับตัวละครนี้"
          เลอร์เนอร์ เสริมว่า "ตั้งแต่ที่ผมรู้จักหรือเคยร่วมงานมา ไม่มีนักแสดงคนไหนที่จะเข้ามาสวมวิญญาณเป็น โคแนน ได้เหมือนกับ เจสัน โมมัว เขาเป็นนักกีฬาโดยธรรมชาติ มีสเน่ห์น่าดึงดูด มีพลกำลัง และมีพลังงานเปี่ยมล้น เมื่อคุณอ่านหนังสือของ โรเบิร์ต อี โฮเวิร์ด คำอธิบายตัวตนของ โคแนน ก็คือคำอธิบายตัวตนของ เจสัน"
          เจสัน โมมัว มีอายุเพียง 6 ขวบเท่านั้น เมื่อตอนที่หนังต้นฉบับออกฉาย แต่เขาก็รู้สึกประทับใจกับภาพลักษณ์ของ โคแนน ซึ่งถูกวาดขึ้นโดยศิลปินผู้ล่วงลับอย่าง แฟรงค์ ฟราเซตต้า ที่หลงไหลในความมืดหม่น และมีสไตล์การวาดที่ทั้งงดงามและดุดัน โดยไม่เพียงแต่เขาจะช่วยให้ทุกคนเห็นภาพ โคแนน ในโลกของการ์ตูนและโปสเตอร์หนังในปี 1982 แต่ก็ยังปฏิรูปภาพลักษณ์ของโลกแฟนตาซีทั้งหมด
          โมมัว พูดถึงแรงบันดาลใจของเขาว่า "เมื่อคุณเห็นภาพวาด โคแนน ของ ฟราเซตต้า มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับ โคแนน กำลังพูดกับคุณ เป้าหมายของพวกเราก็คือการจับภาพลักษณ์ฮีโร่ที่อยู่ในภาพนั้น ถ่ายทอดออกมาให้โลดแล่นอยู่ในหนังเรื่องนี้ นั้นคือสิ่งที่ผมและทุกคนมุ่งหวัง"
           เมื่อโปรเจ็คเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง โมมัว ก็ได้เข้าแค้มป์ฟิตร่างกายอย่างจริงจัง โดยใช้เวลา 6 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง และเดินทางไปซ้อมฉากแอ็คชั่นกับทีมออกแบบการต่อสู้ 87eleven ก่อนที่จะถ่ายทำ เขาเผยว่า "ผมตั้งใจว่าจะแสดงฉากแอ็คชั่นทั้งหมด โดยกระบวนการที่เกิดขึ้นนี้ช่วยให้ผมได้เข้าใจตัวละครมากขึ้น" โดย โมมัว ก็ยังได้พูดถึง โคแนน ว่า "โคแนน พูดผ่านคมดาบของเขา เขาต้องทำแบบนั้นเพราะว่าไม่มีทางเลือกอื่น โดยการได้ฝึกการใช้ดาบกับผู้เชี่ยวชาญการใช้ดาบใหญ่อย่าง แช็ด สตาเฮลสกี้ ก็ช่วยผมได้มากในการหาหัวใจในตัวของ โคแนน"
 
ตัวละครอื่นในโลกคนเถื่อน

           เมื่อได้คนที่เข้ามารับบท โคแนน การคัดเลือกนักแสดงก็ยังดำเนินต่อไป โดยผู้ที่เข้ามารับบทเป็น ทามาร่า ผู้ร่วมเดินทางและคนรักของ โคแนน ก็คือ ราเชล นิโคลส์ (Star Trek, G.I. Joe) โดยตัวละครของเธอสืบเชื่อสายชาวกรีก และเป็นยอดฝีมือทางการต่อสู้ ทาราม่า คือ "เลือดบริสุทธิ์" ที่สืบเชื้อสายโดยตรงจากพ่อมดแห่งอาเชรอน โดยหลังได้พูดคุยกับ ไนสเปล เธอก็ตอบตกลงรับบทฮีโร่สาวในโลกแฟนตาซีทันที นิโคลส์ เผยว่า "เธอไม่ใช่ตัวละครที่จะรอคอยความช่วยเหลือของ โคแนน อย่างเดียว ทามาร่า เป็นหญิงแกร่งและฉลาด เธอสู้เมื่อสถานการณ์จำเป็นให้เธอต่อสู้ เธอเป็นผู้หญิงที่สามารถยืนคู่กับ โคแนน ได้แบบไม่เกรงกลัว"
           นักแสดงที่เราจดจำกันได้จาก Avatar อย่าง สตีเฟ่น แลง ก็ได้อธิบายถึงตัวของ คฮาลาร์ ซิมส์ ศัตรูคู่อาฆาตและเป็นผู้ที่สังหารพ่อของ โคแนน ว่า "เขาคือผู้ชายที่โหดร้ายที่สุดในยุคไฮบอเรีย มีภารกิจในการตามหา “หน้ากากแห่งอาเครอน” ที่ว่ากันว่าจะช่วยชุบชีวิตภรรยาของเขา และจะทำให้เขากลายเป็นอมตะ"
          ฉากที่มี คฮาลาร์ กับ โคแนน ก็มักลงเอยด้วยการต่อสู้ ทำให้ สตีเฟ่น แลง ต้องใช้เวลาว่างในการฟิตร่างกาย รวมถึงการฝึกซ้อมกับทีมสตีนท์ เขาเผยว่า "เจสัน โมมัว มีร่างกายที่ใหญ่โต ซึ่งก็ทำให้ผมหวั่นใจอยู่เหมือนกัน คฮาลาร์ ไม่เพียงแต่จะต้องเชี่ยวชาญการใช้ดาบที่สุด แต่เขายังต้องใช้ดาบง้าวสองคมซึ่งเป็นฝันร้ายของศัตรูทุกคน ทุกการเคลื่อนไหวของผมต้องดูมั่นใจและเที่ยงตรงที่สุด"
           ผู้ช่วยของ คฮาลาร์ ซิมส์ ในการครอบครองอำนาจที่ไม่มีวันสิ้นสุดก็คือ มาริค ลูกสาวของเขา ที่รับบทโดย โรส แม็คโกแวน โดยพูดถึงตัวละครว่า "มาริค เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งแม่มด เธอไม่พอใจที่พ่อของเธอยังโหยหาแม่ที่ตายไปนานแล้ว เธอต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเอง ฉันคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทำให้ฉันสนใจ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายระหว่างทั้งคู่”
          มาริค ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายที่สุดของ โคแนน และ ทามาร่า โดย แม็คโกแวน ก็ได้ร่วมพัฒนาสไตล์การต่อสู้กับทีมงานแอ็คชั่น โดยเฉพาะการใช้กรงเล็บเหล็กเป็นอาวุธ เธอเล่าว่า “ฉันคิดว่าว่า มาริค จะต้องไม่ใช้ดาบเหมือนกับตัวละครคนอื่น ฉันต้องการใช้เธอมีสไตล์การต่อสู้เหมือนงูเห่า นั้นหมายถึงการแอบย่องเข้าหาเหยื่อและโจมตีอย่างรวดเร็ว"
           ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ร่วมฉากกัน แต่ โมมัว ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ลีโอ โฮเวิร์ด นักแสดงวัย 13 ที่รับบทเป็น โคแนน ในวัยเด็ก เพื่อที่จะสร้างตัวละครนี้ร่วมกัน โมมัว อธิบายว่า "พวกเราได้ทำความรู้จักกัน และพูดคุยว่าทำไม โคแนน ถึงชอบสัตว์อย่าง สิงโต หมาป่า และ เสือดาว รวมถึงวิธีสไตล์การต่อสู้ของเขา สายตาและสีหน้า เพราะพวกเราต้องเป็นคนคนเดียวกัน"
          รอน เพิร์ลแมน ซึ่งเป็นที่รู้จักการจากรับบทเป็น เฮลล์บอย ใน Hellboy ภาค 1 และ 2 ของผู้กำกับ กิลเลอร์โม่ เดอ โทโร่ ก็ได้เข้ามารับบทเป็น โคริน พ่อของ โคแนน และเป็นผู้นำของเผ่าชิมเมเรียน เขาอธิบายถึงเผ่านี้ว่า "ชิมเมเรียนเป็นเผ่านักรบ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ ต้องช่วงชิงและต่อสู้เพื่อแผ่นดินตลอดเวลา สถานที่หล่ออาวุธก็เป็นเหมือนกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเขาเคารพบูชาและเป็นหัวใจของความอยู่รอด"
 
การถ่ายทำ + โปรดักชั่น

          Conan the Barbarian 3D ใช้เวลาถ่ายทำ 12 อาทิตย์ในประเทศบัลแกเรีย รวมถึงในสตูดิโอ นู โบยาน่า ที่มีทั้งฉากและเช็ทขนาดใหญ่ โดยผู้ออกแบบงานสร้าง คริส ออกัส และทีมงานกว่าอีก 400 ชีวิต ก็ได้สร้างฉากขึ้นมาใหม่กว่า 60 ฉาก
          ผู้อำนวยการสร้าง เลส เวลดอน พูดถึงแนวทางของการถ่ายทำว่า "ความตั้งใจของ มาร์คัส ก็คือพยายามทำทุกอย่างให้เกิดขึ้นจริงระหว่างถ่ายทำ Conan the Barbarian 3D นั้นหมายถึงพวกเราจะได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนกองถ่าย พวกเราพยายามใช้เทคนิกพิเศษที่สามารถจับต้องได้ เพราะโลกของ โคแนน ทุกอย่างต้องมีความสมจริง"
          ด้วยพื้นฐานของความสมจริง ทำให้ มาร์คัส ไนสเปล และทีมสร้างตัดสินใจไปถ่ายทำที่ประเทศบัลแกเรีย อาวิ เลอร์เนอร์ เผยว่า "ในแง่มุมของโปรดักชั่น มันง่ายกว่าที่พวกเราจะไปถ่ายทำที่บัลแกเรีย ทั้งเรื่องของสภาพแวดล้องและสิ่งอำนวยความสะดวก โดยเฉพาะในการทำให้ไฮโบเรียมีชีวิตขึ้นมา และการสร้างประสบการณ์ที่มีเลือดเนื้อ"
          การถ่ายทำในสภาพแวดล้อมจริง ไม่ว่าจะเป็นป่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะที่สแลตไนท์ มอสโทฟ หรือว่าหมู่บ้านที่เป็นสมรภูมิรบที่บิสทริก้า ทำให้ โทมัส ครอส ผู้กำกับภาพที่ร่วมงานกับ ไนสเปล มาทุกเรื่อง ต้องใช้แสงจากธรรมชาติเท่าที่สามารถหาได้ เขาบอกว่า "เรามีเพียงแสดงสว่างจากสภาพอากาศในพื้นที่ และสีสันตามที่มันเกิดขึ้นเองแค่นั้น"
           ไนสเปล และ ออกัส พบทุกอย่างที่พวกเขากำลังมองหา หลังจากการออกสำรวจพื้นที่ถ่ายทำทั่วทั้งประเทศ ออกัส เล่าว่า “บัลแกเรียมีทัศนียภาพที่สุดยอด และยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สอดคล้องกับพื้นฐานของหนัง ในขณะที่พวกเราสำรวจแม่น้ำ ชาวบ้านแถวนั้นก็บอกเราว่ามีถ้ำบนภูเขาที่คนสมัยก่อนสร้างขึ้น ผมคิดว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนโลกของ โคแนน จริงๆ ที่ทั้งลำบากและโหดร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็สวยงามอย่างน่าทึ่ง"
          ไนสเปล เสริมว่า "ไม่มีที่ใดในโลกนอกจากบัลแกเรีย ที่จะมอบความรู้สึกของมิดเดิ้ลเอิร์ธขนาดนี้อีกแล้ว ทำไมต้องสร้างฉากขึ้นมา ในเมื่อเรามีถ้ำขนาดยักษ์ของจริงหรือป่าสนใกล้ทะเลดำอยู่แล้ว"
           เพื่อการสร้างฉากแอ็คชั่นที่พิเศษสุดใน Conan the Barbarian 3D เลอร์เนอร์ และ เวลดอน ก็ได้นำผู้กำกับฉากแอ็คชั่นอย่าง เดวิด ลิช ที่มีผลงานใน 300, TRON: Legacy และ The Bourne Ultimatum รวมถึงผู้ควบคุมฉากสตันท์ นูน ออร์แซ็ตติ (The Expendables, Rambo) เข้ามาออกแบบและถ่ายทำฉากต่อสู้อันดุเดือด ลิช เผยว่า "พวกเราพยายามทำให้ยิ่งใหญ่กว่าการต่อสู้ด้วยดาบในหนังต้นฉบับ และทำให้ดูมีการออกแบบมากขึ้น ลื่นไหลมากขึ้น ทันสมัยมากขึ้น และเปี่ยมไปด้วยพลังงาน โคแนน ต้นฉบับจะเจอคู่ต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่ โคแนน ของเราจะเจอกับคู่ต่อสู้หลายคนพร้อมกัน"
          การถ่ายทำในบัลแกเรียให้ทันตามกำหนดการ ทีมสตันท์ได้ซักซ้อมและถ่ายทำฉากแอ็คชั่นแบบวันต่อวัน แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับ โคแนน นูน เล่าว่า "พวกเราเจอแจ็คพ็อตกับตัวของ เจสัน โมมัว เพราะเขามีพรสวรรค์และความสามารถที่สุด เขาเรียนรู้ได้เร็วและยังมีการเพิ่มจังหวะตัวเองเข้าไปอีกด้วย และที่สำคัญเขาก็ดูมีพลังมากเมื่อถือดาบ"
          ทีมสตันท์ยังได้รับอนุญาตจาก ไนสเปล ในการสร้างสรรค์ฉากแอ็คชั่นที่ไร้ขอบเขต โมมัว เผยว่า "มาร์คัส ทำให้ทุกคนในกองถ่ายต้องอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นสิ่งที่ทำ และผมหวังว่ามันจะเกิดความรู้สึกแบบเดียวเมื่อผู้ชมได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น"
          การสร้างตัวละครให้มีสีสันบนโลกของ Conan the Barbarian 3D ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นลำดับต้นๆของ ไนสเปล เขาวางใจทีมออกแบบตัวละคร เช่น เวนดี้ พาร์ทริช ออกแบบเครื่องแต่งกาย (Underworld, Hellboy), อัลโด ซิกนอร์เร็ตติ ออกแบบผม (Apocalypto, Troy) และ สก็อตต์ วีลเลอร์ และ ฌอน สมิธ ทีมเมคอัพเอฟเฟ็ค (300, Star Trek)
          วีลเลอร์ พูดถึงตัวผู้กำกับว่า "มาร์คัส เปิดกว้างในการสร้างสรรค์ตัวละคร ไม่ใช่เพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอก แต่ยังรวมถึงพื้นฐานและแรงจูงใจของตัวละครด้วย" โดย สตีเฟ่น แลง ก็รับบทเป็น คฮาลาร์ ซิมส์ ก็ถูกคัดเลือกเข้ามาแสดงหนึ่งอาทิตย์ก่อนการถ่ายทำ วีลเลอร์ เผยต่อว่า "เขาเดินทางมายังสตูดิโอ และก็พวกเราลองเทสเมคอัพกับเขาทันที โดยบาดแผลแนวตั้งบนจมูกของ คฮาลาร์ ก็กลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของที่มาของตัวละครนี้"
          โรส แม็คโกแวน ก็ได้ชื่นชมทีมดูแลเครื่องแต่งกาย ในการสร้างภาพลักษณ์อันน่าจดจำของ มาริค เธอเผยว่า "เครื่องแต่งกายถือเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับหนังแนวนี้ โดยตัวละครของฉันต้องใช้ทีมงานถึงสองคนใส่และถอดเครื่องแต่งกาย มันเป็นชุดที่ฉันไม่สามารถนั่งทับได้เลย จำได้ว่าตอนพักเที่ยงฉันต้องยืนอยู่ในเทรลเลอร์ตลอดเวลา เพราะมันมีส่วนประกอบของหนังและเครื่องประดับเยอะแยะไปหมด"
           ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลากว่า 25 ปีนับตั้งแต่ที่ โคแนน ปรากฏตัวบนโลกภาพยนตร์ แต่ ไนสเปล เชื่อว่านี่คือโอกาสที่เหมาะที่จะกลับมาพูดถึงฮีโร่คนนี้อีกครั้ง "เราใช้เวลาศึกษาข้อมูลเป็นเวลานาน หยิบยืมความรู้และประสบการณ์จริงจากทุกหนแห่ง Conan the Barbarian 3D จะพาคุณเข้าไปในโลกที่คุณต้องลงไปคลุกดินคลุกฝุ่นตลอดเวลา โลกที่คุณไม่ต้องขออนุญาตในการฆ่าคน โลกที่คุณต้องใช้สัญชาตญาณดิบเพื่อเอาชีวิตรอด"
          อาวิ เลอร์เนอร์ กล่าวสรุปว่า "ผู้คนถูกดึงดูดด้วยแรงใจที่ โคแนน มี การทำสิ่งที่ถูกต้องในโลก และต่อสู้ในสิ่งที่คุณเชื่อ Conan the Barbarian 3D มอบโอกาสให้กับผู้คนในการได้ใช้ชีวิตในโลกแฟนตาซีที่เป็นตำนาน"

Pages: 1 ... 561 562 [563] 564 565 ... 573