Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - activity

Pages: 1 ... 48 49 [50] 51 52 ... 59
736
ราชบุรีโฮลดิ้ง ลงทุนถือหุ้นในโซลาร์ต้า 49% ร่วมพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 8 โครงการ รวมกำลังผลิต 34 เมกะวัตต์
 
          บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (“ราชบุรีโฮลดิ้ง”) ได้บรรลุข้อตกลงสัญญาซื้อขายหุ้นและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นกับ บริษัท ยันฮี โซล่า เพาเวอร์ จำกัดเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2554 เพื่อเข้าถือหุ้นใน บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด สัดส่วนร้อยละ 49 มูลค่าการลงทุนประมาณ 595 ล้านบาท ความสำเร็จครั้งนี้ส่งผลให้กำลังผลิตที่มาจากพลังงานทดแทนเติบโตขึ้นอีก 16.78 เมกะวัตต์

          นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท โซลาร์ต้า จำกัด เป็นผู้พัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 8 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 34.25 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 8 โครงการได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าประเภท Non-Firm สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมากที่ใช้พลังงานทดแทนกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และได้รับเงินสนับสนุน (Adder) จากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า จำนวน 8 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นเวลา 10 ปี ความสำเร็จของการลงทุนครั้งนี้จึงไม่เพียงทำให้กำลังผลิตจากพลังงานทดแทนของบริษัทฯเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการเติบโตทางด้านรายได้และฐานะการเงินของบริษัทฯในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย

          ในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 8 แห่ง บริษัทฯ จะเข้าร่วมบริหารจัดการงานด้านวิศวกรรมของโครงการ ซึ่งทั้ง 8 โครงการตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครปฐม และสุพรรณบุรี คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2554 - 2555

          “การลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากจะคำนึงถึงผลตอบแทนการลงทุนแล้ว ยังเป็นการดำเนินการตามเป้าหมายของบริษัทฯที่มุ่งมั่นจะพัฒนาพลังงานทดแทนให้ได้ 100 เมกะวัตต์ ในปี 2559 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนเรื่องพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดได้เป็นอย่างดี” นายนพพล กล่าว ปิดท้าย

737
‘เพาเวอร์คอม กรุ๊ป’ ยักษ์ใหญ่ไต้หวันผุดโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 15 MW ใช้ไทยต้นแบบบุกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
 
          “เพาเวอร์คอม กรุ๊ป” ยักษ์ใหญ่ที่ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวของประเทศไต้หวัน ประกาศบุกโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่าน ‘อินฟินิท กรีน’ ประเดิมผุดโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์แห่งแรกในไทย ที่จังหวัดสระบุรี กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ เริ่มเดินเครื่องเฟสแรกขายไฟฟ้าให้ กฟภ.แล้ว 2 เมกะวัตต์ ก่อนครบ 5 เมกะวัตต์ในไตรมาสแรกปีนี้

          นายไซม่อน ชาง ประธานบริษัท เพาเวอร์คอม กรุ๊ป กลุ่มบริษัทชั้นแนวหน้าของไต้หวันและของโลก ในด้านการผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อรองรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนรุกขยายธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์เข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง เนื่องจากบริษัทฯ มีความพร้อมทั้งทางด้านเทคโนโลยี และอุปกรณ์ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ อาทิเช่น ตัวแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยบริษัทฯ ได้เริ่มต้นขยายธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ผ่านการลงทุนของบริษัทลูกคือ บริษัท ท๊อป กรีน เอนเนอยี่ เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด

          ทั้งนี้ บริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด ได้ใบอนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 15 เมกะวัตต์ โดยเริ่มแห่งแรกที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี บนเนื้อที่ 76 ไร่ กำลังการผลิตรวม 5 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นเฟสแรก 2 เมกะวัตต์ และเฟสที่สองอีก 3 เมกะวัตต์ จำหน่ายไฟให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. เพื่อรองรับกับความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศไทย โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้เริ่มจำหน่ายไฟให้กับ กฟภ.แล้วจำนวน 2 เมกะวัตต์ ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2553 ซึ่งสามารถสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 34 ล้านบาทต่อปี ส่วนที่เหลืออีก 3 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและดำเนินการได้ครบทั้ง 5 เมกะวัตต์ ได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้

          “ประเทศไทย นับเป็นประเทศที่เหมาะสมต่อการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากมีสภาพอากาศที่ดี ไม่มีแผ่นดินไหวและมรสุม ทำให้เราตัดสินใจเข้ามาขยายธุรกิจ ซึ่งหากก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยได้ครบ 15 เมกะวัตต์ตามเป้าหมาย ก็จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 22,500,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็นรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 225 ล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่รวมกับเงินสนับสนุนจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ 15,000 ตันต่อปี ตลอดระยะเวลา 21 ปีอีกด้วย” นายไซม่อน ชาง กล่าว

          ด้าน นายจอห์นนี่ แซ่โกไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด กล่าวว่า บริษัท ได้ใช้ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีในการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากกลุ่มเพาเวอร์คอม กรุ๊ป ซึ่งเป็นเพียงบริษัทเดียวของไต้หวันที่มีเทคโนโลยีและวัตถุดิบในการผลิตแผงวงจรโซลาร์เซลในการผลิตไฟฟ้าที่ครบวงจร ตั้งแต่โพลีซิลิคอน โซลาร์เซล และตัวแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูง กว่า 86% ตลอดอายุการใช้งาน 20 ปี

          ทั้งนี้ บริษัทฯ ใช้จุดแข็งในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตแผงโซลาร์เซลและอุปกรณ์ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจรในประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศได้ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ เป็นผู้นำในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีความแข็งแกร่งและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

          “ทางผมกับคุณไซม่อน ชาง จากเพาเวอร์คอม กรุ๊ป จะร่วมมือกันขยายโรงไฟฟ้าแบบครบวงจรในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอาคัยเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้านจากเพาเวอร์คอม กรุ๊ป ซึ่งหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาด้านการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สามารถติดต่อได้ที่ โทรศัพท์ 08-1855-0105 หรือส่งอีเมล์ Johnny@infinitegreen.co.th , market@upspowercom.com.tw” นายจอห์นนี่กล่าว

738
ยอร์ค ทรานสปอร์ต อีควิปเม้นท์ ดำเนินการตอบโต้ผู้หลอกเลียนแบบ
 
          พร้อมเตือนลูกค้าถึงปัญหาความปลอดภัยของเพลารถพ่วง และระบบรับรองต่างๆ ที่เป็นของเลียนแบบ

          สำนักงานในประเทศไทยของบริษัท ยอร์ค ทรานสปอร์ต อีควิปเม้นท์ บริษัทชั้นนำด้านการผลิตชิ้นส่วนเพลาและระบบรองรับต่างๆของรถพ่วง ได้เข้าไปทำการตรวจค้นพื้นที่ของตัวแทนจำหน่ายชิ้นส่วนที่ จังหวัดนครปฐม และพบชิ้นส่วนเพลารถที่ลอกเลียนแบบ ยอร์ค ทั้งหมด 6 ชนิด

          ในขณะนี้ ชื่อของตัวแทนจำหน่ายนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากตำรวจกำลังทำการสืบสวนเพื่อทำสำนวนในการตั้งข้อหาต่อไป

          “ผลิตภัณฑ์ทุกตัวภายใต้เครื่องหมายการค้าของยอร์ค ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายไทย” นาย พี.วี. บาลาสุบาร์มาเนียม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทยอร์ค กล่าว“ทางเราจะทำการฟ้องร้องตามกฎหมายจนถึงที่สุดกับผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่ายที่ได้ทำการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของยอร์ค” นายพี.วี. กล่าวเสริม

          “การใช้เพลารถที่เป็นของปลอมในรถพ่วงนั้นส่งผลทางด้านความปลอดภัย และเป็นอันตรายต่อชีวิตทั้งในส่วนของคนขับ รวมทั้งผู้ที่ใช้รถใช้ถนนอื่นๆอีกด้วย” นายเมลวิน โลว์, ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด กล่าว “ผลิตภัณฑ์ยอร์คของแท้นั้น ได้รับการผลิตภายใต้มาตรฐานคุณภาพการผลิตที่เข้มงวด ซึ่งมีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์เลียนแบบอย่างชัดเจน ซึ่งผลิตโดยไม่ได้มาตรฐาน”

          นาย บาลาสุบาร์มาเนียม กล่าวเสริมว่า บริษัท ยอร์ค (ประเทศไทย) จะทำการตรวจสอบการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เลียนแบบสินค้าของยอร์คทั่วราชอาณาจักรอย่างเต็มที่ และทางบริษัทจะดำเนินทุกวิถีทางเพื่อปกป้องสิทธิของบริษัทและสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับสาธารณชน

739
ตลาดรถยนต์ปี 2553 ยอดขายรวม 800,357 คัน เพิ่มขึ้น 45.8% โตโยต้า คาดปี 2554 เติบโตต่อเนื่อง ยอดขายรวม 860,000 คัน เพิ่มขึ้น 7.4%
 
          มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ประจำปี 2553 มีปริมาณการขาย 800,357 คัน เพิ่มขึ้น 45.8% คาดตลาดรถยนต์ไทยปี 2554 เติบโต มียอดขาย 860,000 คัน เพิ่มขึ้น 7.4% พร้อมตั้งเป้าหมายการขายรถยนต์โตโยต้าทุกรุ่น 360,000 คัน เพิ่มขึ้น 10.4% ครองส่วนแบ่งตลาด 42%

          มร.ทานาดะ กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมานับเป็นปี แห่งการทำสถิติใหม่ของตลาดรถยนต์ จากยอดขายตลาดรวมที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 800,357คัน เพิ่มขึ้น 45.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยรถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้น 50.7% และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เพิ่มขึ้น 42.3% เนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจ โดยรวม การไหลเข้าของเงินทุน ที่ทำให้มีปริมาณเงินในระบบมากขึ้นในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลดีต่อการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงความนิยมในตลาดรถยนต์นั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์นั่งขนาดเล็ก การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ และรุ่นพิเศษ ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดทั้งปี

          สถิติการขายรถยนต์ ในปี 2553
   
 ยอดขายปี 2553
 เปลี่ยนแปลง   เมื่อเทียบกับปี 2552
 
 ข้อมูลอ้างอิง

ยอดขายปี 2548*
 
ปริมาณการขายรวม
 800,357 คัน
 +45.8%
 
 703,432 คัน
 
รถยนต์นั่ง
 346,644 คัน
 + 50.7%
 
 188,211 คัน
 
รถเพื่อการพาณิชย์
 453,713 คัน
 +42.3%
 
 515,221 คัน
 
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)
 387,793 คัน
 +40.6%
 
 469,657 คัน
 
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)
 347,314 คัน
 +40.1%
 
 426,635 คัน
 

          หมายเหตุ *จากสถิติการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ปี2548 เคยเป็นปีที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุด ก่อนที่ปี 2553 จะสร้างสถิติสูงสุดขึ้นใหม่

          โดยโตโยต้าได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในทุกๆด้านเช่นกัน ทั้งจากยอดขายในประเทศรวมทั้งสิ้น 326,007 คัน ซึ่งเป็นสถิติยอดขายใหม่ ทั้งในตลาดรถยนต์นั่ง และรถกระบะขนาด 1 ตัน โดยรถยนต์นั่ง มียอดขาย 141,733 คัน รถกระบะขนาด 1 ตันมียอดขาย 164,795 คัน ซึ่งเป็นยอดขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นปี ที่ 6ของทั้ง 3 ตลาด (Triple Crown)

          สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้า ในปี 2553
          - ปริมาณการขายโตโยต้า 326,007 คัน เพิ่มขึ้น 41.4% ส่วนแบ่งตลาด 40.7%
          - รถยนต์นั่ง 141,733 คัน เพิ่มขึ้น 40.7% ส่วนแบ่งตลาด 40.9%
          - รถเพื่อการพาณิชย์ 184,274 คัน เพิ่มขึ้น 41.9% ส่วนแบ่งตลาด 40.6%
          - รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 164,795 คัน เพิ่มขึ้น 40.5% ส่วนแบ่งตลาด 42.5%
          - รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 144,190 คัน เพิ่มขึ้น 41.3% ส่วนแบ่งตลาด 41.5%

          ทั้งจากการส่งออกในปีที่ผ่านมา โตโยต้าได้สร้างสถิติใหม่ในการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป ด้วยยอดรวม ที่ 334,124 คัน เพิ่มขึ้นถึง 40% คิดเป็นมูลค่า 140,495 ล้านบาท ตลอดจนการส่งออกชิ้นส่วน มูลค่า 49,086 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าการส่งออกที่นำรายได้กลับสู่ประเทศไทยเป็นเงินทั้งสิ้น 189,581 ล้านบาท”
          สำหรับแนวโน้มของตลาดรถยนต์ของปี 2554 มร.ทานาดะ กล่าวว่า “จากสถิติการขายแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และปัจจัยสำคัญที่ส่งผลบวกต่อตลาดรถยนต์ในปีที่ผ่านมาจะเป็นแรงบวกต่อเนื่องในปี 2554 จึงคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ในปีนี้ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดรถยนต์นั่งและตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ โดยจะมีปริมาณการขาย 860,000 คัน เติบโต 7.4% แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง 385,200 คัน เพิ่มขึ้น 11.1% ในขณะที่ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ คาดว่าประมาณ 474,800 คัน เพิ่มขึ้น 4.6% โดยแบ่งเป็น รถกระบะขนาด 1 ตันประมาณ 375,000 คัน เพิ่มขึ้น 7.9%

          ประมาณการยอดขายรถยนต์ ในปี 2554
          - ปริมาณการขายรวม 860,000 คัน เพิ่มขึ้น 7.4%
          - รถยนต์นั่ง 385,200 คัน เพิ่มขึ้น 11.1%
          - รถเพื่อการพาณิชย์ 474,800 คัน เพิ่มขึ้น 4.6%
          - รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 414,000 คัน เพิ่มขึ้น 6.8%
          - รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 375,000 คัน เพิ่มขึ้น 7.9%

          สำหรับโตโยต้าในปี 2554 นี้ เราตั้งเป้าหมายการขายที่ 360,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 42% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 162,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 42.1% และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 198,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 41.7% โดยเป็นรถกระบะ 1 ตัน 179,000 คัน

          ประมาณการขายรถยนต์ของโตโยต้า ในปี 2554
          - ปริมาณการขายรวม 360,000 คัน เพิ่มขึ้น 10.4% ส่วนแบ่งตลาด 41.9 %
          - รถยนต์นั่ง 162,000 คัน เพิ่มขึ้น 14.3% ส่วนแบ่งตลาด 42.1 %
          - รถเพื่อการพาณิชย์ 198,000 คัน เพิ่มขึ้น 7.4% ส่วนแบ่งตลาด 41.7%
          - รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 178,600 คัน เพิ่มขึ้น 8.4% ส่วนแบ่งตลาด 43.1%
          - รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 158,000 คัน เพิ่มขึ้น 9.6% ส่วนแบ่งตลาด 42.1%

          สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้อยู่ที่ 364,000 คัน คิดเป็นมูลค่า 139,000 ล้านบาท และชิ้นส่วนมูลค่า 59,900 ล้านบาท รวมมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้นประมาณ 198,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา”
          มร.ทานาดะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากเป้าหมายการขายในปีนี้ เรายังได้พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอันเป็นความท้าทายใหม่หลายประการเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดรถยนต์ เริ่มจากการขยายการผลิต เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้การผลิตมาตรฐานโลกของโตโยต้า โดยโครงการขยายการผลิตที่โรงงานบ้านโพธิ์ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2554 เป็นต้นไป การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าที่โตโยต้าได้ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จโดยได้รับรางวัลเจดีเพาเวอร์ติดต่อกัน 4 ปี การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ รุ่นปรับปรุงโฉม และรุ่นพิเศษต่างๆ การมุ่งเน้นกิจกรรมการตลาด อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ รถยนต์ไฮบริด อาทิ โตโยต้า พริอุส และ คัมรี ไฮบริด ตลอดจนโครงการรถยนต์ใช้แล้ว คุณภาพดี โตโยต้า ชัวร์ โดยเพิ่มเป้าหมายการขายเป็น 20,000 คัน จากยอดขายในปีที่ผ่านมาที่ระดับ 15,000 คัน โดยมีการเพิ่มโชว์รูมจาก 56 แห่ง เป็น 70 แห่ง ภายในปีนี้”
          “นอกจากนี้ยังพร้อมที่จะตอบสนองนโยบายของภาครัฐ เพื่อส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ ให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อพัฒนาให้อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของไทย และนำรายได้สู่ประเทศและที่สำคัญ โตโยต้าได้มุ่งมั่นในกิจกรรมส่งเสริมสังคมและสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่การสร้างความสุข อย่างยั่งยืนแก่สังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปีนี้จะเป็นปีที่มุ่งไปสู่การครบรอบ 50 ปีของบริษัทฯ ในปี2555 โดยเริ่มจาก การรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนภายใต้โครงการถนนสีขาว ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง กว่า 22 ปี การดำเนินกิจกรรมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม องค์กร ตลอดจนห่วงโซ่ธุรกิจจากต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำ โดยเริ่มจากผู้ผลิตชิ้นส่วน สู่กระบวนการผลิตของโตโยต้า และไปสู่ผู้แทนจำหน่ายที่จะส่งมอบความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรไปยังลูกค้า เครือข่ายและชุมชน นับเป็นปณิธาน ในการสร้างประโยชน์ และความสุข ให้แก่สังคม ที่โตโยต้า ยึดถือตลอดมา” มร.ทานาดะ กล่าวในที่สุด
 
          ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เดือนธันวาคม 2553
          1.) ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 93,122 คัน เพิ่มขึ้น 29.2%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 37,170 คัน เพิ่มขึ้น 31.2% ส่วนแบ่งตลาด 39.9%
          อันดับที่ 2 อีซูซุ 17,424 คัน เพิ่มขึ้น 23.5% ส่วนแบ่งตลาด 18.7%
          อันดับที่ 3 ฮอนด้า 11,962 คัน เพิ่มขึ้น 0.9% ส่วนแบ่งตลาด 12.8%

          2.) ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 39,015 คัน เพิ่มขึ้น 28.2%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 15,857 คัน เพิ่มขึ้น 29.9% ส่วนแบ่งตลาด 40.6%
          อันดับที่ 2 ฮอนด้า 10,768 คัน ลดลง 0.2% ส่วนแบ่งตลาด 27.6%
          อันดับที่ 3 นิสสัน 3,046 คัน เพิ่มขึ้น 78.3% ส่วนแบ่งตลาด 7.8%

          3.) ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน* (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 46,361 คัน เพิ่มขึ้น 30.1%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 19,227 คัน เพิ่มขึ้น 33.7% ส่วนแบ่งตลาด 41.5%
          อันดับที่ 2 อีซูซุ 16,127 คัน เพิ่มขึ้น 22.6% ส่วนแบ่งตลาด 34.8%
          อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 4,465 คัน เพิ่มขึ้น 92.0% ส่วนแบ่งตลาด 9.6%
          *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 4,762 คัน
          โตโยต้า 2,238 คัน - อีซูซุ 1,236 คัน - มิตซูบิชิ 1,154 คัน - ฟอร์ด 134 คัน

          4.) ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 41,599 คัน เพิ่มขึ้น 30.5%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 16,989 คัน เพิ่มขึ้น 33.3% ส่วนแบ่งตลาด 40.8%
          อันดับที่ 2 อีซูซุ 14,891 คัน เพิ่มขึ้น 22.1% ส่วนแบ่งตลาด 35.8%
          อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 3,311 คัน เพิ่มขึ้น 151.8% ส่วนแบ่งตลาด 8.0%

          5.) ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 54,107 คัน เพิ่มขึ้น 29.9%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 21,313 คัน เพิ่มขึ้น 32.1% ส่วนแบ่งตลาด 39.4%
          อันดับที่ 2 อีซูซุ 17,424 คัน เพิ่มขึ้น 23.5% ส่วนแบ่งตลาด 32.2%
          อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 4,465 คัน เพิ่มขึ้น 92.0% ส่วนแบ่งตลาด 8.3%

          สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – ธันวาคม 2553
          1) ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 800,357 คัน เพิ่มขึ้น 45.8%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 326,007 คัน เพิ่มขึ้น 41.4% ส่วนแบ่งตลาด 40.7%
          อันดับที่ 2 อีซูซุ 152,787 คัน เพิ่มขึ้น 37.7% ส่วนแบ่งตลาด 19.1%
          อันดับที่ 3 ฮอนด้า 114,056 คัน เพิ่มขึ้น 22.1% ส่วนแบ่งตลาด 14.3%

          2) ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 346,644 คัน เพิ่มขึ้น 50.7%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 141,733 คัน เพิ่มขึ้น 40.7% ส่วนแบ่งตลาด 40.9%
          อันดับที่ 2 ฮอนด้า 104,516 คัน เพิ่มขึ้น 18.6% ส่วนแบ่งตลาด 30.2%
          อันดับที่ 3 นิสสัน 30,070 คัน เพิ่มขึ้น 215.2% ส่วนแบ่งตลาด 8.7%

          3) ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน* (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 387,793 คัน เพิ่มขึ้น 40.6%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 164,795 คัน เพิ่มขึ้น 40.5% ส่วนแบ่งตลาด 42.5%
          อันดับที่ 2 อีซูซุ 141,803 คัน เพิ่มขึ้น 37.0% ส่วนแบ่งตลาด 36.6%
          อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 31,216 คัน เพิ่มขึ้น 102.7% ส่วนแบ่งตลาด 8.0%
          *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 40,479 คัน
          โตโยต้า 20,605 คัน - มิตซูบิชิ 10,872 คัน - อีซูซุ 8,037 คัน - ฟอร์ด 965 คัน

          4) ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 347,314 คัน เพิ่มขึ้น 40.1%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 144,190 คัน เพิ่มขึ้น 41.3% ส่วนแบ่งตลาด 41.5%
          อันดับที่ 2 อีซูซุ 133,766 คัน เพิ่มขึ้น 37.3% ส่วนแบ่งตลาด 38.5%
          อันดับที่ 3 นิสสัน 23,744 คัน เพิ่มขึ้น 15.6% ส่วนแบ่งตลาด 6.8%

          5) ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 453,713 คัน เพิ่มขึ้น 42.3%
          อันดับที่ 1 โตโยต้า 184,274 คัน เพิ่มขึ้น 41.9% ส่วนแบ่งตลาด 40.6%
          อันดับที่ 2 อีซูซุ 152,787 คัน เพิ่มขึ้น 37.7% ส่วนแบ่งตลาด 33.7%
          อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 31,217 คัน เพิ่มขึ้น 102.7% ส่วนแบ่งตลาด 6.9%

740
เล็กซ์ซัส กรุงเทพ จัดโรดโชว์เอาใจคนรักรถ

          บริษัท เล็กซ์ซัส กรุงเทพ จำกัด เชิญชวนผู้สนใจร่วมชมและสัมผัสสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของรถยนต์หรูหรามีระดับ Lexus รุ่น IS250, RX270 และ GS300 อย่างใกล้ชิดในงาน “Road Show at Central Bangna” ภายในงานพบข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมาย พร้อมดูแลโดยทีมงานมืออาชีพ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 26 ม.ค. บริเวณหน้าร้าน ZEIN ชั้น G ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0-2716-8999
 

741
เชฟโรเลตเดินเครื่องรุกในประเทศเกาหลี
 
          - แบรนด์เชฟโรเลตจะกลายเป็นแบรนด์หลักของจีเอ็ม ในประเทศเกาหลี แทนจีเอ็ม แดวู
          - ภายในไตรมาสแรกของปี บริษัทจีเอ็ม แดวู จะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท จีเอ็ม เกาหลี

          บริษัท จีเอ็ม แดวู ออโต้ แอนด์ เทคโนโลยี หรือจีเอ็ม แดวู เผยว่า บริษัทมีแผนการสร้างแบรนด์ใหม่เพื่อเพิ่มยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเกาหลี ด้วยการใช้ชื่อแบรนด์ เชฟโรเลต ซึ่งปัจจุบันเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก โดยรถยนต์ทุกรุ่นที่จะเปิดตัวสู่ตลาดในปีนี้จะใช้ชื่อแบรนด์เชฟโรเลตนำหน้าทั้งหมด นอกจากนี้ จีเอ็ม แดวูได้ประกาศว่าบริษัทกำลังจะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท จีเอ็ม เกาหลี เพื่อให้สอดรับกับการดำเนินงานของจีเอ็มในประเทศอื่นๆทั่วโลก โดยการเปลี่ยนชื่อบริษัทในครั้งนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสแรกของปี

          “กลยุทธ์การพลิกโฉมแบรนด์ครั้งยิ่งใหญ่นี้นับเป็นการประกาศเน้นย้ำเจตนารมณ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพของบริษัทในตลาดประเทศเกาหลี โดยเราตระหนักดีว่าประเทศเกาหลีเป็นประเทศหนึ่งที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก เราพร้อมแล้วที่จะนำเสนอแบรนด์ที่เป็นที่นิยมที่สุดแบรนด์หนึ่งในโลกสู่ตลาดแห่งนี้” ไมค์ อาร์คาโมน ประธานกรรมการบริหารแห่งจีเอ็ม แดวู กล่าว “โอกาสเช่นนี้เป็นสิ่งที่เราไม่อาจเพิกเฉยได้ เราจึงต้องเดินหน้าอย่างเต็มที่ด้วยการเปิดตัวแบรนด์เชฟโรเลตอย่างจริงจังในประเทศเกาหลี”

          ทั้งนี้ ผลการวิจัยตลาดของจีเอ็มได้บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ผู้บริโภคในประเทศเกาหลีต่างมีการรับรู้และยอมรับในชื่อเสียงของแบรนด์เชฟโรเลต “นี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการขยายตัวสู่กลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ และนำเสนอทางเลือกที่แตกต่างแก่ผู้บริโภค ซึ่งย่อมจะส่งผลต่อการเติบโตอย่างมั่นคงของทั้งบริษัท พนักงาน และตัวแทนจำหน่ายต่างๆของเรา” มร. อาร์คาโมนกล่าว

          สำหรับปีนี้ บริษัทจะเดินหน้าเปิดเกมรุกอย่างหนักหน่วง ด้วยการเปิดตัวยานยนต์รุ่นใหม่อย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และจะทยอยนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆออกสู่ตลาด เริ่มด้วยการเปิดตัวรถยนต์ 8 รุ่นในปี 2554 ภายใต้แบรนด์เดียวกันคือ เชฟโรเลต โดยมีรถยนต์ที่โดดเด่นน่าจับตามองอาทิ เชฟโรเลต คามาโร เชฟโรเลต ออร์แลนโด้ เชฟโรเลต อาวีโอ ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่จำหน่ายในตลาดทั่วโลก รวมทั้งรถยนต์เอสยูวีรุ่นใหม่และรถยนต์ขนาดกลางระดับพรีเมียมอีกหนึ่งรุ่น

          “การปรับกลยุทธ์ในครั้งนี้ นอกจากเราจะได้นำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆเพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภคชาวเกาหลีแล้ว เพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของแบรนด์เชฟโรเลตในประเทศเกาหลีในระยะยาว เราจะปรับแผนการดำเนินงานของศูนย์ตัวแทนจำหน่าย เครือข่ายศูนย์บริการหลังการขาย และเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับการให้บริการอันยอดเยี่ยมที่ได้รับรางวัลของศูนย์ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลต” มร. อาร์คาโมน กล่าวเสริม “เป้าหมายหลักของเราคือ ทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจสูงสุด จนเกิดความเชื่อมั่นและภักดีต่อแบรนด์ของเรา”

          ลำดับต่อไปในการปรับภาพลักษณ์ของบริษัทในครั้งนี้ คือการสื่อให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและเรื่องราวแห่งความสำเร็จอันยาวนานของบริษัท พร้อมทั้งเน้นย้ำความมุ่งมั่นของจีเอ็มในการตอบสนองความต้องการของตลาดประเทศเกาหลี ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการผลิตและการคิดค้นทางวิศวกรรมของจีเอ็มที่สำคัญแห่งหนึ่งในโลก “ในปีที่แล้ว ยอดขายรถยนต์ของบริษัทเติบโตขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ เรามีส่วนแบ่งทางการตลาดในเกาหลีเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลัก อีกทั้งยอดการส่งออกก็เพิ่มสูงขึ้นกว่า 35 เปอร์เซ็นต์” มร. อาร์คาโมนอธิบาย “การที่เราสามารถขยายแบรนด์เชฟโรเลตในประเทศเกาหลีได้นั้น เป็นผลมาจากการทุ่มเทแรงกายแรงใจของพนักงานกว่า 17,000 คน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและสนับสนุนการเติบโตของแบรนด์เชฟโรเลตในระดับโลก”

          สถิติของจีเอ็มระบุว่า มีการจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลตหนึ่งคัน ในทุกๆ 7.4 นาที ในประเทศต่างๆทั่วโลก ในปีที่ผ่านมา มีการจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลตไปแล้วกว่า 4.25 ล้านคันทั่วโลก และหนึ่งในสี่ของรถยนต์ที่จำหน่ายไปนั้นถูกผลิตขึ้นในประเทศเกาหลี

          เพื่อให้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ จีเอ็ม แดวู จึงได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัทจีเอ็ม เกาหลี โดยจะมีผลบังคับใช้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ในช่วงเช้าของเมื่อวาน คณะกรรมการอำนวยการของจีเอ็ม แดวู ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลผลประโยชน์ของบริษัท พนักงาน ผู้ถือหุ้น ตัวแทนจำหน่าย และซัพพลายเออร์ ได้อนุมัติให้ใช้ชื่อบริษัทดังกล่าวแล้ว โดยบริษัทจีเอ็ม เกาหลี ที่มีอยู่แล้วก่อนหน้านี้ จะใช้ชื่อเดิมคือบริษัทจีเอ็ม เกาหลี จำกัด และจะจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ภายใต้แบรนด์คาดิลแลคเท่านั้น

          “การเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ จะทำให้เราก้าวสู่ความเป็นสากลมากขึ้นภายใต้ชื่อจีเอ็ม และในขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะเติบโตในประเทศเกาหลี” มร. อาร์คาโมนกล่าว “ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญในครั้งนี้ เรามีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายภายในประเทศและส่วนแบ่งทางการตลาด เพิ่มผลประกอบการ กระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า สร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ และเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ในประเทศเกาหลี เราเชื่อมั่นว่า การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะพาเราไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว รวมทั้งจะช่วยเพิ่มผลประโยชน์แก่ผู้บริโภค และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีในภาพรวม”

          แบรนด์เชฟโรเลต ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2454 โดยตั้งชื่อตามนักแข่งรถชาวสวิสนาม หลุยส์ เชฟโรเลต เชฟโรเลตเป็นหนึ่งในสี่แบรนด์หลักของจีเอ็ม และเป็นแบรนด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ปีนี้เป็นปีที่แบรนด์เชฟโรเลต มีอายุครบ 100 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของแบรนด์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดจากยอดขายกว่า 4.2 ล้านคันใน 130 ประเทศทั่วโลกในปี 2553 ทั้งนี้ แบรนด์เชฟโรเลต มีสัดส่วนเป็น 53 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจทั้งหมดของจีเอ็ม

          จีเอ็ม แดวู มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ วางโครงสร้าง และผลิตรถยนต์เชฟโรเลต ครูซ รถยนต์ระดับโลกขนาดกลาง รถยนต์เชฟโรเลต สปาร์ค รถยนต์ระดับโลกขนาดกะทัดรัด และรถยนต์เชฟโรเลต อาวีโอ รถยนต์ระดับโลกขนาดเล็ก
          “เชฟโรเลต ประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศต่างๆทั่วทั้งอเมริกาและยุโรป รวมทั้งในเอเชียแปซิฟิก กลุ่มประเทศในเครือรัฐอิสระ (Commonwealth of Independent States) และลาตินอเมริกา” มร.อาร์คาโมนกล่าว “เรามั่นใจว่าลูกค้าในประเทศเกาหลีจะให้การตอบรับที่ดีต่อแบรนด์เชฟโรเลต เช่นเดียวกัน”

เกี่ยวกับ จีเอ็ม แดวู
          จีเอ็ม แดวู ออโต้ แอนด์ เทคโนโลยี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2545 บริษัทมีโรงงานผลิตทั้งหมด 5 แห่ง ในประเทศเกาหลี และโรงงานประกอบรถยนต์อีกหนึ่งแห่งในประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ จีเอ็ม แดวู ยังเป็นผู้ผลิตชุดชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบรถยนต์สำหรับแบรนด์และตลาดเฉพาะแห่ง เพื่อใช้สำหรับการประกอบรถยนต์ในประเทศจีน ไทย อินเดีย โคลอมเบีย และเวเนซุเอลา ในปี 2553 จีเอ็ม แดวู มียอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศเกาหลีและส่งออกกว่า 1.7 ล้านคัน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ประกอบในประเทศ ปัจจุบัน จีเอ็ม แดวูผลิตรถยนต์และชุดชิ้นส่วนรถยนต์สำหรับจำหน่ายใน 150 ประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลก

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจีเอ็ม แดวูและข้อมูลผลิตภัณฑ์ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ http://media.gmdaewoo.co.kr/

เกี่ยวกับ เชฟโรเลต
          เชฟโรเลต คือแบรนด์รถยนต์ระดับโลก ซี่งมียอดขายในแต่ละปีอยู่ที่ 4.25 ล้านคัน ใน 140 ประเทศทั่วโลก เชฟโรเลต นำเสนอผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่ประหยัดพลังงาน ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ซึ่งมาพร้อมกับคุณภาพอันยอดเยี่ยม การออกแบบที่สร้างสรรค์ สมรรถนะที่เหนือชั้น และความคุ้มค่า รถยนต์ภายใต้แบรนด์เชฟโรเลตที่โดดเด่นมีอาทิ รถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง คอร์เวตต์ และคามาโร รถกระบะและรถเอสยูวีที่ทนทานและปลอดภัยอย่าง ซิลเวอราโด และซูเบอร์บัน รวมทั้งรถยนต์โดยสารและครอสโอเวอร์ระดับรางวัลอย่าง สปาร์ค ครูซ มาลิบู เอควิน็อกซ์ และทราเวิร์ส อีกทั้งยังนำเสนอรถยนต์ที่ประหยัดพลังงานหรือใช้พลังงานทางเลือกอย่าง ครูซ อีโค และโวลท์ โดย ครูซ อีโค มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 42 ไมล์ต่อแกลลอนเมื่อขับเคลื่อนบนทางหลวง ส่วน โวลท์ มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 35 ไมล์เมื่อขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยไม่ใช้น้ำมันเลย และ 344 ไมล์เมื่อขับเคลื่อนในรอบต่ำ รถยนต์เชฟโรเลตรุ่นใหม่เกือบทุกรุ่นจะมีเทคโนโลยี ออนสตาร์ ซึ่งประกอบด้วยระบบรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกสุดไฮเทค อาทิเช่น ระบบโทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรี (OnStar Hands-Free Calling) ระบบตอบสนองการชนอัติโนมัติ (Automatic Crash Response) และระบบชะลอเครื่องยนต์เมื่อรถถูกโจรกรรม (Stolen Vehicle Slowdown)

742
บางจากฯ จับมือภาครัฐ ส่งเสริมปลูกปาล์มสวนส้มร้างทุ่งรังสิต

          เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ศึกษาและพัฒนาพื้นที่สวนส้มร้างทุ่งรังสิตเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน เพิ่มรายได้และแก้ปัญหาหนี้สินให้แก่เกษตรกร ป้องกันปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ บรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อน และช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ

          ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริเวณทุ่งรังสิตในจังหวัดปทุมธานี และนครนายก มีพื้นที่สวนส้มร้าง ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กว่า 100,000 ไร่ เนื่องจากปัญหาดินเปรี้ยว ไม่เหมาะแก่การปลูกข้าวหรือพืชเกษตร แต่สามารถพัฒนามาปลูกปาล์มน้ำมันได้ บริษัท บางจากฯ จึงได้ร่วมกับภาครัฐ ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ศึกษาและพัฒนาสวนส้มร้างทุ่งรังสิตเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน ที่อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก

          ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่สวนส้มร้างทุ่งรังสิตหันมาปลูกปาล์มน้ำมัน ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร รวมถึงเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์ไดออกไซด์ได้ถึง 500,000 ตันต่อปี ลดปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นหนึ่งในโครงการ “ลดโลกร้อน ถวายพ่อ” ของบริษัท บางจากฯ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสครบ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554

          ทั้งนี้ บริษัท บางจากฯ จะลงทุนและบริหารจัดการแปลงปลูกปาล์มต้นแบบในศูนย์ศึกษาและพัฒนาสวนส้มร้างทุ่งรังสิตเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน รวมทั้งพิจารณาลงทุนสร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์มขนาดมาตรฐาน เมื่อมีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มในปริมาณที่มากเพียงพอ เพื่อรองรับผลผลิตปาล์มน้ำมันในพื้นที่ ตลอดจนเป็นผู้รับซื้อผลผลิตจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มดังกล่าว เพื่อนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซล ณ ศูนย์ผลิตไบโอดีเซล อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

          นายเฉลิมพร พิรุณสาร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สวนส้มร้างทุ่งรังสิตมีศักยภาพในการปลูกปาล์มน้ำมันเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีระบบชลประทานที่ดี สามารถปลูกได้ในดินเปรี้ยว ซึ่งจากการทดลองปลูกปาล์มในพื้นที่ดังกล่าวมากว่า 6 ปี พบว่าสามารถให้ผลผลิตที่ดีไม่แพ้ภาคใต้ สามารถพัฒนาเป็นแหล่งปลูกปาล์มน้ำมันขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคกลางได้ และเนื่องจากปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่ชอบน้ำ การขยายพื้นที่ปลูกปาล์มในบริเวณทุ่งรังสิต จึงเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ซับน้ำในฤดูน้ำหลากเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะให้การสนับสนุนด้านวิชาการ คัดเลือกและจัดหาพันธุ์ปาล์ม ตลอดจนให้ความรู้ในการจัดการสวนปาล์มแก่เกษตรกร สำหรับในโครงการดังกล่าว

          นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ธ.ก.ส.ได้ให้บริษัท บางจากฯ เช่าพื้นที่ประมาณ 1,200 ไร่ เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาและพัฒนาสวนส้มร้างทุ่งรังสิตเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้และสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรในพื้นทื่รวมทั้งบริเวณใกล้เคียง ถึงความเป็นไปได้ในการปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะบริเวณทุ่งรังสิตว่าได้ผลผลิตดี คุ้มค่ากับการลงทุน มีตลาดรองรับผลผลิตอย่างครบวงจร ซึ่งหากเกษตรกรมีความสนใจ ธ.ก.ส. ก็พร้อมที่จะสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ ทั้งนี้หากโครงการประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย จะสามารถแก้ปัญหาด้านภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรที่เคยประสบความเสียหายจากการทำสวนส้ม รวมทั้งช่วยสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับเกษตรกรได้เป็นจำนวนมาก
ด้าน ดร.ณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานพร้อมให้การสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลเพื่อรองรับผลผลิตปาล์มที่เพิ่มขึ้น โดยมีนโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล B5 เกรดเดียวทั่วประเทศภายในปี 2554 ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการใช้ไบโอดีเซล (B100) เพิ่มขึ้นจาก 1.8 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 2.5 ล้านลิตรต่อวัน นอกจากนี้จะส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล B10 เป็นพลังงานทางเลือกในอนาคต เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศอีกด้วย

743
รับสร้างบ้านฮอต พีดีเฮ้าส์ โกยยอดขายตจว. แตะ 1,000 ล้าน
 
           พีดีเฮ้าส์ ชี้ตลาดรับสร้างบ้านปี 54 เติบโต 10% อัพ ปัจจัยเกิดจากผู้เล่นรายใหม่และเซ็กเม้นท์ใหม่ ตจว.แจ้งเกิด เผยปีนี้ขยายสาขาแฟรนไชส์ครบ 28 สาขา ตั้งเป้าดันยอดขายทะลุ 1,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น ตจว. 80% กทม.และปริมณฑล 20% เชื่อแนวคิด Economy of Scale ช่วยลดต้นทุนสร้างบ้าน เตรียมทุ่มงบการตลาด 110 ล้านบาท อัดโปรโมชั่นลดสูงสุด 15% ไตรมาสแรก

นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑลปีที่ผ่านมา เติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2552 เฉลี่ยประมาณ 5 % คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 8,000 ล้านบาทเศษ โดยจากการสำรวจเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่ามีบริษัทรับสร้างบ้านที่ทำการตลาดและแข่งขันอยู่ในระบบทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีจำนวนประมาณ 127 ราย (ไม่นับรวมบริษัทฯ ที่เปิดสำนักงานแต่ไม่ทำการตลาด) โดยสังกัดอยู่ใน 2 สมาคมฯ เพียง 57 ราย

          บริษัทฯ คาดว่าตลาดรวมรับสร้างบ้านทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในปี 2554 นี้ จะสามารถเติบโตได้มากกว่า 10 % โดยมีปัจจัยบวกคือ 1.ผู้ประกอบการที่เข้ามาใหม่ช่วยเพิ่มมูลค่าการเติบโต 2.การขยายสาขาของผู้ประกอบการไปสู่ตลาดใหม่โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด 3. การกระตุ้นตลาดของสถาบันการเงินเกี่ยวกับสินเชื่อปลูกสร้างบ้านเอง ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ปริมาณและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านปีนี้เติบโตดังที่กล่าวข้างต้น

          สำหรับพีดี เฮ้าส์ เองในปี 2552-2553 ที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาและต่อยอดธุรกิจรับสร้างบ้านไปสู่ธุรกิจแฟรนไชส์ นับเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์การสร้างการเติบโตของบริษัทฯ ภายใต้แบรนด์ พีดีเฮ้าส์ พร้อมๆ กับยกระดับผู้ประกอบการรายใหม่ ที่เข้ามาในธุรกิจนี้ให้มีความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง ที่ผ่านมา 2 ปีถือว่าประสบความสำเร็จดังเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ ปี 2552-3 ขยายสาขาเพิ่ม 4 สาขา ปี 2553-4 ขยายเพิ่ม 5 สาขา และในปี 2554-5 นี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มอีก 8 สาขา ซึ่งจะทำให้ พีดีเฮ้าส์ มีสาขารวมทั้งสิ้น 28 สาขา โดยมีสาขาตั้งอยู่ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดครบทุกภูมิภาค เช่น ภาคเหนือ-เชียงใหม่, ภาคอีสาน-ขอนแก่น, ภาคตะวันออก-ระยอง, ภาคกลาง-สระบุรีและประจวบฯ (หัวหิน), ภาคใต้-ภูเก็ตและหาดใหญ่ รวมทั้งในกรุงเทพฯและปริมณทล ฯลฯ เป็นต้น

ในส่วนของยอดขายภายใต้แบรนด์ พีดีเฮ้าส์ ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำยอดขายรวมได้ทั้งสิ้น 470 ล้านบาทเศษ โดยมาจาก 11 บริษัทในกลุ่มแฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ แบ่งสัดส่วนเป็นยอดขายจากกรุงเทพฯและปริมณฑล 23 % ต่างจังหวัด 77 % หรือ กรุงเทพฯ 108 ล้านบาท ต่างจังหวัด 362 ล้านบาท สำหรับในปี 2554 นี้ บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นสัดส่วนยอดขายในกรุงเทพฯ และปริมณทลประมาณ 20 % และต่างจังหวัดประมาณ 80 % ทั้งนี้เนื่องจากปี 2554 นี้ พีดีเฮ้าส์ มีการขยายสาขาเพิ่มในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดียอดขายที่ตั้งเป้าไว้เฉลี่ย 40 ล้านบาทต่อสาขานั้น ถือว่าไม่สูงมากและอาจจะทำยอดขายได้สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ดังนั้นบริษัทฯ จะประเมินความเป็นไปได้อีกครั้งเมื่อสิ้นสุดไตรมาส 2

          “การขยายสาขาในปีนี้จะเป็นในลักษณะลงทุนเองและขายแฟรนไชส์ แต่บริษัทฯ จะเน้นขายแฟรนไชส์ก่อนเป็นอันดับแรก ทั้งนี้เพราะต้องการสร้างให้เกิดเครือข่าย SME ในภาคธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อให้มีความเข้มแข็งและแข่งขันกับรายใหญ่ได้อย่างไม่เสียเปรียบ ยกเว้นจังหวัดหรือพื้นที่ใดที่มีศักยภาพ แต่ไม่มีผู้สนใจขอลงทุนซื้อแฟรนไชส์ บริษัทฯ ก็จะเป็นผู้ลงทุนเอง โดยจังหวัดเป้าหมายที่จะขยายสาขาในปีนี้ได้แก่ เชียงราย นครสวรรค์ อุบลราชธานี สุรินทร์ จันทบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี และกรุงเทพฯ”

          นางมาลี สุวรรณสุต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การตลาดในปี 2554 นี้ บริษัทจะนำแนวคิด Economy of Scale มาใช้ขับเคลื่อนเพื่อก้าวสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งจากเป้ายอดขาย 1,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้นั้น ส่งผลให้คู่ค้าหรือซัพพลายเออร์ที่เป็นพันธมิตรจะมีคำสั่งซื้อจากบริษัทฯ เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านๆ มากว่า 100% ดังนั้นจึงช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยและค่าการตลาดของคู่ค้าลง ทำให้คู่ค้าลดราคาวัสดุต่อหน่วยลงตาม บริษัทฯ ก็จะนำต้นทุนที่ต่ำลงมาลดราคาบ้านและจัดโปรโมชั่นคืนกำไรให้ลูกค้า โดยในไตรมาสแรกนี้ได้จัดแคมเปญมอบส่วนลดสูงสุด 15 % สำหรับ 6 แบบบ้านใหม่ในระดับราคา 1.8-2.3 ล้านบาทเศษ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 4 – 5 ปีนี้ที่ พีดีเฮ้าส์ มีแคมเปญแรงๆ ออกมากระตุ้นยอดขาย

          สำหรับแคมเปญที่ 2 เป็นการมอบโชค 4 ต่อให้ลูกค้าที่สร้างบ้านตามแบบมาตรฐานของบริษัทฯ โดยจะได้รับ 1.Apple iPAD(Wi-Fi+3G) ขนาดความจุ 64 GB มูลค่า 25,500 บาท 2.เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 160-200 ลิตร มูลค่า 50,000-75,000 บาท 3. เครื่องปรับอากาศ SAMSUNG ขนาด 18000-24000 BTU มูลค่า 30,000-40,000 บาท 4.ตู้เย็น LG ขนาด 18 คิว มูลค่า 69,000-89,000 บาท นอกจากนี้ลูกค้ายังได้รับส่วนลดเงินสดอีก 100,000-900,000 บาท (ตามราคาบ้าน) ซึ่งแคมเปญทั้งหมดนี้จะมอบให้ลูกค้าที่จองสร้างบ้าน ตั้งแต่วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์เท่านั้น

          ปีนี้บริษัทฯ มีความพร้อมจะขยายตลาดรับสร้างบ้านออกไปทั่วประเทศ ภายใต้ระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน จึงได้เตรียมงบการตลาดไว้ทั้งสิ้น 110 ล้านบาท แบ่งเป็นงบโปรโมชั่นและส่งเสริมการขาย 80 ล้านบาท หรือ 8% และงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ 30 ล้านบาท หรือ 3% ของยอดขายรวมปี 2554 นี้

744
“แบร์ริ่ง เพ็ทแคร์” ขนคาราวานสินค้าเพื่อคนรักสัตว์เลี้ยง ทุบราคากว่า 50% ในงานเกษตรแฟร์ 54
 
          บริษัท แบร์ริ่ง เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง ครบวงจรในแบรนด์ “Bearing” ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน “เกษตรแฟร์ 54” ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2554 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน พบกับนิทรรศการวิชาการ และการออกร้านจำหน่ายสินค้าราคาถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ Bearing พบกับคาราวานสินค้าราคาพิเศษเพื่อสัตว์เลี้ยงแสนรัก อาทิ สบู่ แชมพู ครีมนวด ครีมบำรุงผิว และแอสเซสเซอรี่ สำหรับผู้รักสุนัขและแมว ร่วมทุบราคามากกว่า 50% พบโปรโมชั่น ซื้อ 1 แถม 1 , ซื้อ 2 แถม 1 และสินค้าราคาเดียวเริ่มต้นที่ 10 บาท พิเศษงานนี้เท่านั้น

          และพลาดไม่ได้กับการกลับมาของ Chic & Charm ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแชมพู โคโลจญน์ โลชั่น และน้ำยาทำความสะอาดพื้น ระดับพรีเมี่ยม แบรนด์หรูน้องใหม่ By Bearing ที่ครบ 10 คุณค่าใน 1 เดียว กับโปรโมชั่นลดสูงสุด 20% ในขวดแรกและรับฟรีทันทีอีก 1 ขวด และเอาใจคนรักกันจริง สมาชิก Facebook Bearingpetcare เพียงคุณโหลดบัตรเข้างาน Booth Bearing ที่โพสต์ไว้บนหน้า Facebook เชิญรับ Gift Set Icy cool 1 เซตทันที ที่บูธ Bearing No. E17-19 ภายในงานเกษตรแฟร์ 54 พลาดโอกาสนี้คงต้องรอกันอีกทีปีหน้า!!!

745
กิจกรรม Road Show เสวนาหนังสือ “คู่มือชีวิต ปีนักกษัตร 12 ปี 12 เล่ม”



          นายอินทร์ชวนเพื่อนนักอ่านร่วมค้นหาคำแนะนำแนวทางชีวิตในปี 2554 นี้ ในกิจกรรมเสวนาหนังสือเรื่อง “คู่มือชีวิต ปีนักกษัตร 12 ปี” โดยหมอดูมืออาชีพ อาจารย์ ภานุวัฒน์ ที่จะมาพูดคุยและให้คำแนะนำการดำเนินชีวิต ดูดวงชะตาของแต่ละปีนักกษัตร พร้อมวิธีแก้เคล็ด และเสริมความสุขในปี 2554 พิเศษ! ตรวจดวงชะตาจากหมอดูมืออาชีพฟรี!และรับส่วนลดทันที 10% สำหรับนักอ่านที่เลือกซื้อหนังสือโหราศาสตร์ในเครือสยามอินเตอร์ฯภายในงาน (คัมภีร์ปีเถาะ 2554,ผ่าดวงชะตา2554,เปิดฟ้าดวงชะตาตำรับภารตะ 2554 หรือ คู่มือชีวิต ปีนักกษัตร 12 ปี 12 เล่ม)

          พบกันในวันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2554 ตั้งแต่เวลา 14.00 น. – 15.00 น. ที่ร้านนายอินทร์ สาขา เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ชั้น 3

          ติดตามกิจกรรมดี ๆ และรายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมร่วมพูดคุยกับเราได้ทาง Facebook และ Twitterหรือ www.naiin.com

746

 
          โรส มีเดีย เอาใจคอเพลงลูกทุ่งด้วยการรวมเพลงแซบสุดสะเด็ด 18 บทเพลง ในชุด “ยำนัว รัวเพลงแซบ” อาทิ เพลงตังเก ,จ้ำม่ำ,เขมรไล่ควาย,รักจางบางปะกง,ขี่เก๋งอย่าลืมเกวียน ฯลฯ คุ้มสุดๆ เพราะขายแพ็คคู่วีซีดีคาราโอเกะ และซีดีเพลง แวะไปอุดหนุนกันได้ทั่วประเทศ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน
 
 
 
 

747


          คุณพีรพล - คุณวัฒนี มนต์พิชิต ประธานและรองประธานบริษัท โรส มีเดีย แอนด์ เอนเตอร์เทนเม้น จำกัด นำทีมตัวแทนจำหน่ายลิขสิทธิ์คาราโอเกะของบริษัท ที่สามารถทำยอดขายทะลุเป้าในปีนี้ บินลัดฟ้าไปท่องเที่ยวมาเก๊า เวเนเชี่ยน เซินเจิ้น ฮ่องกง และเกาะลันตา เพื่อฉลองความสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้
 
 

748
 

         แฟนการ์ตูนเตรียมพบกับขบวนการพลังจักรกล “โก ออนเจอร์” ในช่วงเวลาออกอากาศใหม่ 07.10-07.40 น. ทุกวันอาทิตย์ ในรายการ Gang Cartoon ทาง ททบ.5 เริ่มวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 54 นี้เป็นต้นไป อย่าลืมติดตามชม โรส มีเดีย รับประกันความสนุกสนานเช่นเคย

 
 

749


          บริษัท เฮลธ์ อิมแพค จำกัด ร่วมจัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ โดยจะแจกผลิตภัณฑ์ ซีโด้ เฮลธ์ตี้ กัมมี่ วิตามินซี รูปแบบใหม่ ที่ให้คุณค่าวิตามินซี 60 มก. ต่อเม็ด จำนวน 500 ชุด ให้แก่เยาวชน 500 คนแรกจากทั่วประเทศ ที่จัดไปรษณีย์บัตร โดยเขียนคำขวัญวันเด็ก ประจำปี 2554 พร้อมสโลแกน “ซีโด้ เฮลธ์ตี้ กัมมี่ เจลลี่ กลีบส้ม เคี้ยวสนุก…อร่อยเพลิน” ส่งมาที่สำนักงานใหม่ บริษัท เฮลธ์ อิมแพค จำกัด เลขที่ 31/5 ซอยอรุณอมรินทร์ 39 ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 หรือ e-mail mkt@grouphi.com ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2554 นี้

750
โรช ไทยแลนด์ ร่วมกับ โรช ไดแอกโนสติกส์ บริจาคเงินสมทบทุน “กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ”

 

           บริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ [ประเทศไทย] จำกัด ร่วมกันบริจาคเงินสมทบทุน ให้แก่ กองทุนโรคมะเร็งในเด็ก ในพระอุปถัมภ์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ โดยมี รศ.นพ. สุรเดช หงส์อิง เลขาธิการกองทุนโรคมะเร็งในเด็ก ในพระอุปถัมภ์ฯ เป็นผู้รับมอบเงิน จำนวน 300,000 บาท จาก นางอำภา ศรีอิ่นแก้ว [กลาง] ผู้จัดการฝ่ายการตลาด, นางสาวไอริณ ขันธะชวนะ [ขวาสุด] ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ และนางอรชร อิงคานุวัฒน์ [ที่ 2 จากขวา] ผู้จัดการฝ่าย Corporate Affairs & Commercial Services บริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนมอบเงินดังกล่าวฯ เพื่อนำไปใช้ช่วยเหลือเยาวชนด้อยโอกาสที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง เมื่อเร็ว ๆ นี้

Pages: 1 ... 48 49 [50] 51 52 ... 59