Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - pooklook

Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 71
31
Asus
ข้อดี
        เรื่องการรับประกัน จะยาวนานกว่ายี่ห้ออื่น Asus เป็นผู้ผลิต Mainboard ชื่อดัง การออกแบบจัดวางอุปกรณ์ภายในทำได้ดี ปัจจุบันได้เริ่มผลิต Notebook บางรุ่นที่มีความโดดเด่นเรื่องการ์ดจอ เช่น รุ่น F8SG
ข้อเสีย
        Optical Drive และ แกนพับหน้าจอในบางรุ่นเสียง่ายมาก




Acer
ข้อดี
        เรื่อง Spec ต่อราคา สเปกสูง ราคาต่ำเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น คือถ้าราคาเท่ากัน จะได้ Spec เครื่องที่สูงกว่า หรือ Spec ที่เท่ากันจะราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น รูปทรงก็ดูสวยงาม โดนใจวัยรุ่น จึงมียอดขายเป็นอันดับ 1 ในไทย หลายท่านที่ใช้หลักการซื้อแบบเทียบ Spec แล้วซื้อตัวที่ถูกกว่าก็จะได้ยี่ห้อนี้
ข้อเสีย
        ยอดขายเป็นอันดับ 1 ของประเทศ แต่ปัญหาของเครื่องก็อันดับ 1 ของประเทศเช่นกัน(อาจเป็นเพราะขายมากเสียมากโดยเฉพาะรุ่น Aspire) แต่ถ้าจะซื้อแนะนำพวก Travelmate แต่ยังไงสุดท้ายแล้ว user สำคัญสุด คุณใช้ไม่ระมัดระวังก็เจ๊งทุกยี่ห้อ




Toshiba
เป็นยี่ห้อแรกๆ ที่ร่วมบุกเบิกการผลิต โน๊ตบุ๊ค Notebook
ข้อดี
        เรื่องความทนทาน และความเสถียรของ Software ยี่ห้อนี้จึงมักขายพร้อม Windows ลิขสิทธิ์ (แม้ในรุ่นราคาถูก) เมื่อก่อนเน้นขายตลาดบน ราคาเฉียดแสน
ตอนนี้เปิดตลาดระดับล่างควบคู่กัน ด้วยราคา 2-3 หมื่นบาทก็มีขาย
        ประกันดีครับ เคลมง่าย จะซื้อประกันเพิ่มก็ราคาถูก
        เทียบ Spec แล้วดูเหมือนจะแพง แต่ถ้าคิดราคา Software ลิขสิทธิ์แบบ OEM ราว 2-3 พันบาทก็จะพอๆ กับยี่ห้ออื่น
        ลำโพงที่มากับตัวเครื่อง เสียงดีมากๆ
ข้อเสีย
        Notebook ค่ายนี้จะไม่เน้นเรื่องการ์ดจอ จะใช้การ์ดจอรุ่นเทียบเท่า Onboard ทั่วไป เช่น GMA X3100 (ยกเว้นรุ่น Qosmio AV notebook)
        เสียงพัดลมดังไปหน่อย
        ถ้าประกันหมดค่าแรงแพงมาก


Lenovo
ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่สัญชาติจีน เดิมเป็นผู้ผลิต Notebook และ PC ให้กับ IBM ตอนหลังซื้อกิจการส่วน PC/Notebook มาทำตลาดเอง
ข้อดี
        เป็น Notebook ที่เน้นความทนทาน โดยเฉพาะรุ่น ThinkPad เหมาะสำหรับใช้พิมพ์ คีย์บอร์ดนุ่ม เหมาะมือ
ข้อเสีย
        การออกแบบภายนอกยังคงมีรูปลักษณ์ที่รับมาจาก IBM มาก รูปทรงอาจเชยๆ ไม่โดนใจวัยรุ่น
        รุ่นอื่นๆ เครื่องไม่ทนทานเหมือนของเก่า ที่ IBM ผลิต
        ว่ากันว่า QC ห่วย มีคนแจ็กพอตเจอของไม่ผ่านมาบ่อยๆ หมายถึง ประกันเคลมของ หรือส่งซ่อม มักเจอปัญหาให้ปวดหัวผู้ใช้อยู่บ่อยๆ




HP/Compaq
(ค่ายเดียวกัน) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก ส่วนแบ่งการตลาดมียอดขายเป็นอันดับ 1 ของโลก ทำตลาดระดับบนด้วย Notebook HP รุ่น Pavillion ขายระดับล่าง ด้วยยี่ห้อ Compaq เป็น Notebook ที่ให้ประสิทธิภาพในการใช้งานได้ดีมากยี่ห้อหนึ่ง มีศูนย์บริการค่อนข้างครอบคลุมทั่วไทย ส่วนรูปทรงการออกแบบเป็นอเมริกัน อาจไม่ค่อยโดนใจวัยรุ่นไทย
ข้อดี
        ทน ไม่แพง สวยแบบอนุรักษ์นิยม dvd ขณะทำงานเสียงไม่ดังสะท้านเครื่อง แบตเตอรี่ไม่ร้อน
ข้อเสีย
        หลายรุ่น มีปัญหาเรื่องความร้อน



BenQ
เคยเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ร่วมกับ Acer ในต่างประเทศจะมีชื่อเสียงมาก่อนไทย ในไทยพึ่งเริ่มเข้าทำตลาด ด้วย Notebook ที่เน้นเรื่องการ์ดจอ เช่น รุ่น Joybook S41 และการออกแบบภายนอกที่ค่อนข้างโดนใจวัยรุ่น
ข้อดี
        ผลิตจากวัสดุอะไรไม่ทราบ แต่กันรอยขีดข่วนได้ดี
        ระบายความร้อนได้ดี
ข้อเสีย
        หลายท่านจะบ่นเรื่องต้องรอนานเมื่อเคลมประกัน (บางชิ้น เช่น Mainboard ต้องสั่งจากนอก) ซึ่งอาจจะเกิดจากการ Support/Service ยังไม่เข้าที่เข้าทางจากการเริ่มเข้าทำตลาดใหม่ๆ ในประเทศไทย
        กล้องรับแสงได้น้อย ถ้าไม่อยู่ในที่แสงตกใส่ จะไม่ค่อยเหนหน้าเท่าไหร่
        ลำโพง เสียงเบากว่ายี่ห้ออื่น



Sony
เป็น Notebook สัญชาติญี่ปุ่นที่เน้นทำตลาดระดับบนด้วยการออกแบบที่สวยงาม Spec เครื่องที่สูง แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย ช่วงหลังเปิดตลาดระดับกลางด้วย Notebook ระดับราคาประมาณ 4-5 หมื่นบาทด้วย
ข้อดี
        ออกแบบสวย โดนใจวัยรุ่น
ข้อเสีย
        สเป็กไม่แรง เมื่อเทียบบกับราคา หมายถึง แพงยี่ห้อ




Fujitsu
เป็น Notebook สัญชาติญี่ปุ่นเช่นกัน ใช้สีเทาเงินเป็นเอกลักษณ์ เป็น Notebook ที่จับตลาดระดับบนเช่นเดียวกับ Sony เน้นการออกแบบ และ Spec ที่สูง ราคาก็สูงตามไปด้วยเช่นกัน
ข้อดี
        ความทนทาน และวัสดุที่ผลิตดี บริการหลังการขายเยี่ยมยอด แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงตามมานะครับ
ข้อเสีย
        ราคาสูง




Dell
เป็น Notebook ที่มีวิธีการจำหน่ายแบบแตกต่างจากยี่ห้ออื่น ไม่มีขายตามร้านจำหน่ายทั่วไป ถ้าเห็นมีขายแสดงว่าร้านนั้นโทรฯ สั่งซื้อจาก Dell มาอีกที
ถ้าต้องการสั่งซื้อเราจะโทรฯ ติดต่อกับ Sale เพื่อกำหนด Spec ตามที่เราต้องการ หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการผลิตและจัดส่ง
ข้อดี
        Notebook ของ Dell เด่นเรื่องความทนทานและการบริการ ถ้าเครื่องมีปัญหาช่างจาก Dell จะให้บริการแบบ Onsite Service (บริการถึงบ้าน/สำนักงานในวันทำการถัดไป)
        แต่ลักษณะการขายแบบนี้คนไทยเราไม่ค่อยคุ้นเคย และไม่เห็นสินค้าก่อนการโอนจ่ายเงิน ดังนั้นอาจได้เครื่องที่รูปทรงไม่ถูกใจได้ (สำหรับเบอร์โทรสั่งซื้อสินค้าจากบริษัท Dell ได้แก่ 1800-060-061 จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00 น.)
ข้อเสีย
        ยังหาไม่เจอ เพราะถ้ามันเสีย เราก็เรียกช่างมารับเครื่องไปซ่อมได้ฟรีนี่นา





SVOA ,Atec
เป็น Notebook ที่เรียกว่า Local Brand ครับ หรือเป็นยี่ห้อของไทย
        SVOA เป็นของบริษัทสหวิริยาโอเอซึ่งเดิมเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อ Acer เมื่อ Acer เป็นที่นิยมในไทยบริษัทแม่เลยเข้ามาทำตลาดเอง สหวิริยาโอเอจึงหันมาทำตลาดคอมพิวเตอร์ในชื่อของตนเองคือ SVOA เป็น Notebook ที่เมื่อเทียบ Spec/ราคา ก็คล้ายๆ Acer คือ Spec เท่ากันราคาจะถูกกว่า หรือ งบเท่ากันจะได้ Spec ที่ดีกว่า เป็น Notebook ที่เน้นในเรื่องการออกแบบรูปลักษณ์
ข้อดี
        หาซื้อง่าย ตามโลตัสก็มีขาย
ข้อเสีย
        การนำมาใช้งาน เห็นผู้ใช้บ่นกันในเรื่องการบริการหลังการขายพอสมควร
        มีปัญหาเรื่องความร้อนมาก





Mac Book
จากค่าย Apple คอมพิวเตอร์ที่มีความโดดเด่นเรื่องการใช้งานด้าน Graphic และการออกแบบที่ถือว่าอยู่ในขั้นเทพ ผลิตภัณฑ์จากค่ายนี้การออกแบบจะใส่ใจทุกรายละเอียด จึงได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามลงตัว สะดวกในการใช้งาน(ถ้าคุ้นเคยแล้ว) ปัจจุบันได้ใช้ CPU จาก Intel ในผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถลง Windows และ OS X Leopard ในเครื่องเดียวกันได้ ผู้ใช้ Mac Book จะดูภาพลักษณ์ดี ไวรัสไม่ค่อยกวนใจ แต่ถ้าเครื่องมีปัญหาก็อาจมองหาผู้รู้ยากหน่อย รวมทั้งราคาก็ยังถือว่าสูงกว่า PC Notebook

32
จากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันพบว่าเด็กไทยกำลังเผชิญปัญหาการเป็นโรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจสูงขึ้น พญ.เกศินี โอวาสิทธิ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รพ.เด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ ให้ข้อมูลว่า หนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ คือ การเลือกใช้แป้งเด็กที่ไม่เหมาะสมและการทาแป้งอย่างไม่ถูกวิธี เนื่องจากแป้งส่วนใหญ่ทำมาจากแร่หินทัลค์หรือแป้งทัลคัม เมื่อสูดเข้าไปทีละน้อย ๆ เป็นเวลานาน แร่หินทัลค์จะไปสะสมอยู่ในปอด ทำให้มีปัญหาด้านการหายใจ มีอาการไอ ระบบทางเดินหายใจติดขัดรุนแรง สำหรับเด็กทารกอาจทำให้ปอดอักเสบ เกิดเนื้องอกในปอด และ เสียชีวิตได้ ด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้กุมารแพทย์ส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ใช้แป้ง แต่เนื่องด้วยสภาพอากาศในเมืองไทยที่เป็นแบบร้อนชื้น การใช้แป้งจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากเพราะ ลูกน้อยเกิดผดผื่น ฉะนั้นคำถามคือควรเลือกแป้งอย่างไร และมีวิธีการทาแป้งอย่างไรให้ปลอดภัย ทำให้ลูกห่างไกลโรคภูมิแพ้

การเลือกและการทาแป้งเด็กที่ถูกวิธี เพื่อให้ห่างไกลจากโรคทางเดินหายใจ พญ.เกศินี แนะนำว่า ในต่างประเทศตื่นตัวมานานแล้ว และผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกใช้แป้งที่มาจากวัตถุดิบทดแทน ที่นิยมมากเป็น แป้งข้าวโพด เนื่องจากเป็นสารอินทรีย์ย่อยสลายได้ด้วยธรรมชาติ ลักษณะของแป้งมีความกระด้างและติดผิวหนังได้มากกว่า ที่สำคัญปราศจากแร่ทัลค์ที่เป็นอันตราย ส่วนเมืองไทยช่วงหลังคุณพ่อคุณแม่มีทางเลือกในการใช้สินค้ามากขึ้น เพราะมีสินค้าเด็กประเภทกรีนโปรดักส์มากขึ้น ในส่วนของแป้งก็เช่นกัน มีผู้ผลิตคิดค้นแป้งที่ทำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติ อาทิ แป้งข้าวเจ้าสตาร์ช (Rice Starch) ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีความปลอดภัยต่อเด็กทุกวัย เพราะเป็นสารอินทรีย์ ทำให้สามารถย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ ไม่เกิดการสะสมในปอด ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคภูมิแพ้ โดยคาดการณ์กันว่าต่อไปแป้งทาตัวจากแป้งข้าวเจ้าจะเป็นเทรนด์สำหรับคุณแม่ยุคใหม่

ส่วนเคล็ดลับคุณแม่มือใหม่เลี้ยงดูลูกให้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ กรณิการ์ งามวงศ์มาศ เล่าถึงลูกสาวน้องนามิ อายุ 7 เดือนว่า เป็นเด็กแข็งแรง แต่มีปัญหาเรื่องผิวแพ้ง่าย จึงต้องพิถีพิถันมากในการเลือกสรรของที่ใช้ ส่วนใหญ่หลังอาบน้ำแล้วทาโลชั่นบำรุงผิวสำหรับเด็กทารกที่มีผิวแพ้ง่าย และไม่ค่อยได้ทาแป้งเพราะทราบว่าแป้งที่ขายทั่วไปในท้องตลาดมีทัลคัมผสมอยู่ แต่คุณย่ายังคงชอบทาแป้งให้น้องนามิตามข้อพับและซอกคอเพื่อให้น้องสบายตัว โชคดีรู้จากกลุ่มแม่ ๆ ว่ามีแป้งยี่ห้อไร้ซแคร์ซึ่งไม่ผสมทัลคัม และผลิตจากข้าวเจ้าที่มีความบริสุทธิ์จึงซื้อมาติดบ้านไว้ ขณะที่คุณแม่หมาด ๆ อัญญา ยูถะสุนทร ของน้องแอลลี่วัย 3 เดือน เผย ช่วงแรกที่ลูกเกิดมาไม่ได้ใช้แป้งเลย แต่สุดท้ายไม่ใช้ไม่ได้เพราะอากาศร้อนชื้น ลูกหงุดหงิดเพราะผิวเหนอะหนะและมีผดขึ้น จึงมีความคิดใช้แป้งทาตามข้อพับเพื่อช่วยลดความชื้น กระทั่งมีเพื่อนซึ่งเป็นคุณแม่เหมือนกันแนะนำให้ใช้แป้งที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ย่อยสลายได้เอง ไม่ตกค้างในร่างกายลูกเพราะเป็นแป้งเด็กที่ทำจากข้าวเจ้า ใช้มา 3 เดือนแล้วถูกใจมากตั้งแต่ผิวสัมผัสที่ติดเนื้อน้องได้ดี ไปจนถึงการป้องกันความเปียกชื้น มีประสิทธิภาพที่เห็นได้ชัดจริง ๆ กลิ่นหอมแบบธรรมชาติ ไม่ผ่านการปรุงแต่งเหมือนแป้งเด็กทั่ว ๆ ไป.

http://www.dailynews.co.th/society/221207

33
ไร้สังกัด / 5 วิธี "ทำใจ"
« on: October 01, 2013, 10:36:40 AM »
ทำใจ *** วิธีแรกที่จะต้องทำก็คือ “ทำใจ” ก็เล่นทุ่มเทไปซะขนาดนั้นน่ะ จะไม่ให้เศร้าได้อย่างไร วิธีทำใจแบบง่าย ๆ คือ เราก็ต้องคิดถึงสาเหตุที่เลิกกันก่อนว่า เลิกกันเพราะอะไร ถ้าเป็นเลิกกันเพราะอีกฝ่ายหนึ่งมีคนใหม่ ก็ขอให้คิดไว้ว่า “ที่เค้าทิ้งเราก็เพราะรู้ตัวล่ะซิว่าไม่คู่ควรกับเรา” (คิดเข้าข้างตัวเองเอาไว้ไม่ผิดหรอก จะได้ลืมเร็ว ๆ) แต่ถ้าเลิกกันเพราะว่านิสัยเข้ากันไม่ได้ ก็ให้คิดว่า “เราเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด” (แต่ข้อนี้นิสัยบางอย่างที่ควรปรับปรุงก็เปลี่ยนเป็น ถ้าคบคนใหม่เราจะไม่ทำตัวแบบนี้อีกดีกว่า)

อย่าเก็บตัว ออกไปเจอเพื่อนบ้าง *** หลังจากทำใจได้แล้ว ก็อย่าเก็บตัวอยู่คนเดียว ออกไปเจอเพื่อนฝูงบ้าง เพราะเวลานี้แหละเป็นเวลาที่เหล่าบรรดาเพื่อนผู้น่ารักของเรามันมักจะอยู่ข้างเราเสมอ ๆ ไม่หนีหายไปไหน มีเรื่องมาเล่า มาอำ ให้เราได้หัวเราะจนลืมไปว่ากำลังเศร้าอยู่ นี่ล่ะน้าข้อดีของ “เพื่อน” แต่ไอ้ตอนที่มีแฟนนี่ก็ทิ้งเพื่อนเอาดื้อ ๆ เลิกเรียน เลิกทำงานก็ต้องรีบ กลับไปรับแฟน เพื่อนจะไปไหนกันก็ช่างมัน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะอย่างไรเพื่อนก็ตัดกันไม่ขาดหรอก

อย่าทำตัวโทรม ไม่มีค่า *** ที่บอกอย่างนี้ก็เพราะว่า บางคนที่เลิกกับแฟนใหม่ ๆ ก็มักจะประชดตัวเองด้วยการกินเหล้า เมาหัวราน้ำ เซเว่นไม่ปิดไม่เลิก อันนี้ก็ไม่ไหวนะคะ เกิดบังเอิญไปเจอกับแฟนเก่าคุณเข้า ไม่ใช่ว่าเค้าจะสงสารหรือเห็นใจนะ อาจจะตรงกันข้าม รู้สึกสมเพชขึ้นมาก็ได้ แล้วคิดว่าคบคนแบบนี้มาได้อย่างไรตั้งนาน เป็นบุญของฉันที่เลิกกับเขา (เธอ) ได้ เอาเป็นว่าเปลี่ยนจากการกินเหล้า มาเป็นการทำตัวให้ดูดีกว่าเดิม (ดีกว่าตอนที่คบกับคนคนนั้นของคุณอยู่) เอาให้เขาเห็นว่า เลิกไปแล้วคุณดูดีกว่าอยู่กับเขาอีก นั่นแหละมันจะทำให้เขาเสียดายในตัวคุณ ไม่แน่นะคุณอาจจะมีคนที่ดีกว่าเขาคนนั้นมาสนใจคุณก็ได้

อย่าทำตัวให้ว่าง *** ไม่ควรทำตัวให้ว่าง มีงานอะไรก็หามาทำซะทั้งงานหลวง งานราษฎร์ เช็ดบ้าน ถูบ้าน หรืออะไรก็ได้ ที่ไม่ทำให้เราต้องอยู่กับความเหงาของตัวเอง ทำให้มันลืมเวลาไปเลย แต่ก็อีกนั่นแหละ อย่าทำจนเป็นคนบ้างาน ไม่ลุกไปไหน ไม่ทำอะไร ข้าวก็ไม่กิน อันนี้ผิดวิธี มันอาจจะทำให้คุณลืมได้ แต่มันก็อาจจะทำให้คุณทรุดได้เหมือนกัน ยิ่งอยู่คนเดียวด้วย ใครเล่าจะมาดูแล ก็เอาเป็นว่า ทำแต่พอดี ไม่หักโหมเป็นพอ

เปิดใจมองคนรอบ ๆ ตัวบ้าง *** อันนี้ไม่ได้แนะนำว่าเลิกกับคนนั้นแล้วจะต้องหาคนใหม่เลยนะ (แบบว่าไม่ทำให้ตัวเองว่างเลย) แต่จะบอกว่า ลองให้โอกาสคนที่ผ่านเข้ามาบ้าง บางทีเขาอาจจะดีกว่าคนที่เลิกคบไปก็ได้นะ และที่สำคัญเวลาที่สิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต มันจะทำให้หัวใจเรารู้สึกซาบซ่า มีความสุขไปอีกแบบ และมันอาจจะทำให้คุณลืมช่วงเวลาที่เลวร้ายมากที่สุดในชีวิตไปก็ได้ และสุดท้าย เป็นคาถาทำใจที่ใช้ได้ชะงัดกับทุกกรณี

34
คิดว่าน่าจะเป็นสูตรที่ง่ายๆ ส่วนผสมที่หาไม่ยาก บางสูตรใช้น้ำมันที่หายากและราคาค่อนข้างแพงในเมืองไทยเรา เอาแบบง่ายๆ ละกันนะคะ สูตรนี้จริงๆ แล้วจะเหมาะกับคนผิวแห้ง แต่ใช้ได้กับผิวทุกแบบนะคะ

ส่วนผสม

เกลือเม็ดละเอียด 1 1/2 ถ้วยตวง
น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ
วิตามินอี 4 แคปซูล
เบบี้ออย 3/4 ถ้วย
น้ำมันหอมระเหย (เลือกกลิ่นตามชอบค่ะ)

วิธีทำ

1. ผสมเกลือ น้ำผึ้งและเบบี้ออยเข้าด้วยกัน คนจนเข้ากันดีนะคะ อันนี้ทำเก็บเอาใส่กระปุกก่อนได้ถ้าอยากเก็บได้นานๆ
2. ค่อยๆหยดวิตามินอีจากแคปซูล
3. ถ้าอยากเพิ่มเกลือก็ได้ค่ะ แล้วแต่ว่าอยากให้สครับของเราข้นขนาดไหน หรืออยู่ที่ผิวเราว่าแห้งหรือหยาบกร้านขนาดไหนค่ะ
4. สำหรับกลิ่นให้เลือกกลิ่นที่เราชอบจากน้ำมันหอมระเหย ลาเวนเดรอ์เพื่อการผ่อนคลาย เปปเปอร์มิ้นท์เพิ่มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
    กลิ่นส้มจะเป็นตัวเลือกสำหรับตอนเช้าที่เราอยากขัดตัว ก่อนหยดน้ำมันหอมระเหย ให้แบ่งใส่กระปุก แล้วแต่ว่าเราอยากทำกี่กลิ่น จะได้ 
    มีหลายๆกลิ่นไว้ใช้ได้หลายๆอารมณ์ค่ะ
5. กระปุกสำหรับใส่เกลือขัดผิวให้เลือกกระปุกที่แน่นๆฝาต้องปิดสนิทจริงๆค่ะ
6. เวลาจะใช้ให้เอาช้อนมาตักหรือจะใช้มือสะอาดตักก็ได้ ขัดไปทั่วผิว ยกเว้นผิวหน้าค่ะ เน้นบริเวณหยาบกร้าน เช่นข้อศอก เข่า สามารถขัดรักแร้และขาหนีบได้ แต่ให้เบามือ ไม่ควรขัดแรงเกินไป
7. เสร็จแล้วล้างน้ำออกจนหมด ผิวจะนุ่มลื่นค่ะ

ข้อแนะนำเพิ่มเติม
-  ขัดผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น เพื่อให้ผิวมีโอกาสฟื้นฟูสภาพ
-  เกลือขัดผิวเป็นของขวัญที่ดีที่จะมอบให้เพื่อนๆ ลองทำแล้วใส่กระปุกสวยๆ ให้เพื่อน รับรองว่าเพื่อนจะต้องชอบใจแน่ๆ ค่ะ


ที่มา: http://www.pooyingnaka.com/

35
1. จริงอยู่ ที่มิตรภาพความเป็นเพื่อนไม่มีวันหมด แต่คุณอาจลืมไปว่ามันเปลี่ยนแปลงได้

2. เมื่อคุณตระหนักว่า ไม่มีใครช่วยคุณ ในเวลาที่คุณมีความทุกข์ ไม่มีใครดีใจอย่างจริงใจกับคุณ ยามเมื่อคุณมีความสุข เมื่อนั้นคุณเรียนรู้ที่จะหาเพื่อนแท้ให้กับชีวิตคุณได้แล้ว

3. อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ปล่อยความเจ็บปวดความทรมานที่ได้ประสบ ผ่านไปกับอดีตด้วย

4. อย่าละเลยและเพิกเฉยต่อคนที่คุณชอบพอ เพราะมัวคิดว่าปล่อยให้ความสัมพันธิ์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตคนเราแสนสั้นนะคุณ จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้

5. คุณไม่ได้ตายจากความเจ็บปวดในชีวิตที่ผ่านมา แต่มันทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น

6. อย่าให้ชีวิตขึ้นกับคนอื่น เพื่อทำให้คุณมีความสุข

7. ชีวิตแต่งงานและครอบครัว เป็นเรื่องที่สำคัญ จงอย่ารีบร้อนในการตัดสินใจ

8. แสดงความชื่นชมกับคนที่คุณรักและห่วงใย ในทุก ๆ วัน ไม่ใช่แค่วันหยุดหรือวันเกิด

9. ผู้คนผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยโอกาส ซึ่งนำพาทั้งความสุขและบทเรียนมาให้คุณ

10. เมื่อใดก็ตามที่ผิดหวัง จงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้

36


ไม่ว่าเวลาผ่านพ้นไปกี่ยุคกี่สมัย การสรรหาเคล็ดลับเพื่อผิวพรรณที่สดใส เปล่งปลั่ง อ่อนวัย ยังคงเป็นสิ่งที่สาวๆ ทุกคนค้นหาอยู่เสมอ การดูแลตัวเองจากภายในเริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยการเลือกกินอาหารและผักผลไม้ที่ให้สารอาหารจำเป็นต่อร่างกาย แต่ผลไม้ที่ครบครัน ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ และให้ประโยชน์ด้านความงามแบบสวยครบสูตรในหนึ่งเดียวสามารถหาได้จาก “ทับทิม” ราชินีผลไม้แห่งความงาม ที่ได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ราชินีผลไม้แห่งความงาม ผลทับทิมมีเมล็ดสีแดงอมชมพูโปร่งแสงดูสวยเหมือนอัญมณีชื่อเดียวกัน เป็นผลไม้มงคลที่อร่อยแต่หากินยาก และราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผลไม้ทั่วไป ทั้งยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณสมบัติเด่นด้านสมุนไพร ที่สามารถนำเอาส่วนต่างๆ มารักษาโรคได้หลายชนิด ทับทิมเป็นผลไม้ที่รู้จักกันดีมาเป็นเวลานับพันปี จนกลายเป็นสัญลักษณ์แทนความเชื่อเรื่องความเป็นมงคลของผู้คนในหลากหลายประเทศทั้งชาวตะวันตกและตะวันออก ชาวจีนเชื่อว่าทับทิมเป็นผลไม้มงคล ทั้งกิ่งใบใช้เป็นของมงคลสำหรับงานพิธีและคุ้มกันภัย ใช้ในการไหว้ในเทศกาลต่างๆ ด้าน ชาวโรมันมีความหมายถึงความสุขสมบูรณ์ ทับทิมถูกใช้ในงานแต่งงาน โดยเจ้าสาวถูกแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยมงกุฎที่ร้อยจากกิ่งของทับทิม เพื่อสื่อว่าเจ้าสาวมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเทวีผู้เป็นพรหมจารีย์ ส่วนชาวฮินดูเชื่อว่าทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคลกับชีวิตเพราะเป็นผลไม้โปรดของพระพิฆเณศ เทพเจ้าแห่งความรู้ ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ในเมืองไทยแต่เดิมคนไทยไม่นิยมรับประทานทับทิม อาจเป็นเพราะหาได้ยาก และไม่ค่อยนิยมปลูกขายในเมืองไทยมากนัก
ต่อมาเมื่อนักโภชนาการระบุว่า การบริโภคทับทิมเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เสริมให้เกิดความงามจากภายใน การบริโภคทับทิมจึงกลายเป็น “เทรนด์การบริโภคเพื่อความงาม” ขึ้นมา ทำให้นักคิดนักวิจัยคิดค้นและแปรรูปทับทิมให้อยู่ในรูปแบบต่างๆ เพื่อเอาใจคนรักสุขภาพและความงามอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันตุรกีเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องการปลูกและส่งออกผลทับทิมที่มีคุณภาพระดับโลก ขึ้นชื่อว่า ราชอาณาจักรแห่งทับทิมเลยก็ว่าได้ หากใครเดินทางไปประเทศนี้แล้วพบว่าน้ำทับทิมคั้นสด ซึ่งหอมอร่อย และเข้มข้น พบได้ไม่ยาก รวมทั้งชาทับทิมก็เป็นของฝากที่พลาดไม่ได้เช่นกัน

ทับทิมมีต้นกำเนิดจากแถบเปอร์เซียหรือประเทศอิหร่านในปัจจุบัน ชาวเปอร์เซียโบราณเชื่อว่า คุณค่าทางอาหารทุกชนิดที่มีอยู่ในผลไม้ต่างๆ นั้น รวมกันอยู่ในผลทับทิม ทั้งวิตามินซีและเกลือแร่ในปริมาณเข้มข้น เหมาะสำหรับการเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ส่วนการวิจัยทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาพบว่า ผลทับทิมทั้งในเปลือก เมล็ด และน้ำอุดมไปด้วย สารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการลดภาวการณ์สะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ช่วยในการย่อยอาหารขจัดไขมันส่วนเกิน และช่วยฟอกโลหิตให้ระบบการไหลเวียนของเลือดให้ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่งสดใส ทั้งยังช่วยปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้สาวๆ อีกด้วย สารพันประโยชน์ครบครันด้านสุขภาพมากขนาดนี้ จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมทับทิมจึงได้ชื่อว่า ราชินีผลไม้แห่งความงามหรือควีนออฟบิวตี้ฟรุต

ดร.คม กมลพัฒนะ ผู้จัดการด้านโภชนาการและสุขภาพ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทับทิมมีประโยชน์ทั้งต่อสุขภาพและความงาม ที่เห็นเด่นชัดคือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระในทับทิมมีคุณภาพสูง ช่วยชะลอภาวะเสื่อมของเซลล์ ต่อต้านและป้องกันริ้วรอย ช่วยยืดอายุเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินที่มีผลต่อความยืดหยุ่นของผิวหนัง ช่วยให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ ทั้งยังช่วยป้องกันผิวจากการทำลายของรังสียูวี และช่วยเสริมสุขภาพโครงสร้างเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นนอก นอกจากนี้ คุณประโยชน์ของราชินีผลไม้อย่างทับทิมที่มีต่อสุขภาพและความงามนั้นยังมีอีกมากมาย อาทิ สารซีแอลเอ หรือกรดไขมันจำเป็นซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ซึ่งมีส่วนช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย ช่วยให้การเผาผลาญของร่างกายนั้นทำงานได้ดีขึ้น ลดคอเรสเตอรอลที่ไม่ดีลง ทำให้ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดลดลง ช่วยล้างสารพิษ ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ สารสกัดจากทับทิม ช่วยลดการดูดซึมของไขมันจากลำไส้เล็ก ยิ่งออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ยิ่งช่วยให้การขับถ่ายไขมันมีประสิทธิภาพ วิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และบำรุงฟันให้แข็งแรง

เคล็ด (ไม่) ลับ สวยครบสูตรด้วยทับทิม!

เบบี้เฟสด้วยน้ำทับทิม ใช้น้ำทับทิม 1 ช้อนชาทาลงบนใบหน้าทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น หรืออาจนำเมล็ดทับทิมสุกและแก่จัด มีเนื้อหุ้มเมล็ดจำนวนพอเหมาะ นำมาใส่ผ้าขาวบางห่อบีบเอาเฉพาะน้ำ ทาให้ทั่วใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก หรือทาก่อนนอนทิ้งไว้ทั้งคืน เป็นประจำสม่ำเสมอ ผิวหน้าค่อยๆ กระชับและสดใสขึ้น
เรื่องสิว สิว ทับทิมช่วยได้ เปลือกทับทิมมีสารแทนนินที่มีส่วนช่วยสมานผิวและยับยั้งแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ช่วยต้านอาการอักเสบ สามารถนำเปลือกมาผสมกับน้ำ ทาเบาๆ บริเวณที่เป็นสิว สิวจะค่อยๆ แห้งหายไป การดื่มน้ำทับทิมก็ช่วยป้องกันการเกิดสิวด้วยเช่นกัน เพราะดีต่อระบบย่อยอาหารและการไหลเวียนของโลหิต

น้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้วทำให้ได้รับประโยชน์เต็มๆ หากหาซื้อยากหรือไม่มีเวลา ลอง ไอศกรีมจากทับทิมแท้อย่างฟรุตทาเร่ ใหม่ หยิบกินง่ายๆ จากตู้ ให้ทั้งความอร่อย สดชื่น เต็มไปด้วยพลัง และความงามอย่างแน่นอน

http://www.dailynews.co.th/society/234228

37
13 สไตล์การกิน ระบายอารมณ์

ร่างกายมีผลต่ออารมณ์มาจาก 2 แหล่งของผลสะท้อนความรู้สึกคือ อาหารและสารเคมีในสมอง และปัจจัยที่ควบคุมได้ง่ายคือ อาหาร ด้วยการงด กินอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงอย่าง ไอศกรีม ข้าวเหนียว มันฝรั่งบด อาหารประเภททอด ขนมขบเคี้ยวต่างๆ น้ำอัดลม กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ที่นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน หลังจากกินไปได้ 2-4 ชั่วโมง จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแรง อารมณ์เซื่องซึม ตาหนัก ง่วงนอน

กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยมาก และมีรสไม่หวาน เป็นต้น เพราะร่างกายจะค่อยๆ ย่อยและดูดซึมช้าๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอ และหลังกินอาหารได้ 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนบางชนิด เพื่อสลายไกลโคเจน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน

เลือกกินเฉพาะแป้งที่ไม่หวาน
ไม่ได้เหมารวมทุกหมวด เพราะขนมปังและข้าวทุกชนิด คือแหล่งคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งช่วยให้เกิดความสงบ งานวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ สหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินขนมปังเพื่อต่อต้านอาการซึมเศร้า

ปรับเปลี่ยนเพื่ออารมณ์ดี
การปรับเปลี่ยนประเภทของอาหารเพียง เล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ควรกินอาหารให้ครบมื้อ แต่ถ้าไม่มีเวลากินอาหารเป็นมื้อ แบบกิจจะลักษณะ ควรเลือกของว่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนมปังโฮลวีทสักแผ่น หรือขนมปังกรอบธัญพืชสัก 2-3 แผ่น อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด หรือว่าจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ แต่กินบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตก

กินปลาแซลมอนและแมคคาเรล
ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 ซึ่งยืนยันด้วยผลวิจัยว่าส่งผลต่ออารมณ์ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นแซลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสารสำคัญในการต่อต้าน อนุมูลอิสระด้วย

 

กินกล้วยหอม
กระตุ้นการสร้างสาร ‘ซีโรโทนิน' และอุดมไปด้วย ‘ทริปโทโฟน' ช่วยลดอารมณ์ซึมเศร้า คลายเครียด และไม่อ้วน

ปรุงอาหารด้วยน้ำมันคาโนลาออยล์ (Canola Oil)
จากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมแทนน้ำมันพืชทั่วไป เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอี ซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ แต่ควรกินได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยใช้ทอดปลาแซลมอนหรือทำอาหารสุขภาพ

กินผักโขม ถั่วสด และถั่ว Chickpeas
ที่มีแต่โปรตีนไขมันต่ำอยู่สูง ในผักใบสีเขียวเข้มมีโฟเลตสูง มีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน ซึ่งช่วยให้อารมณ์อยู่ในระดับปกติ นอกจากนั้นการกินถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย การลองผสมถั่ว หรือเพิ่มผักใบเขียวลงในทูน่าสลัด นับเป็นไอเดียเริดที่น่าทำมาก

กินพริกรสเผ็ด
ในพริกมี ‘สารแคปไซซิน' ส่งสัญญาณหลอกให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข เอนโดรฟิน แต่ควรระวังหากกินมากเกินไปอาจทำท้องไส้ปั่นป่วน

กินปวยเล้ง
ผักอารมณ์ดีที่อุดมด้วย ‘กรดโฟลิก' (Folic acid) ที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และช่วยให้เซลล์ใหม่แข็งแรงสมบูรณ์ การขาดนำไปสู่การลดการหลั่งของฮอร์โมนเซโรโทนิน โดยตรง ซึ่งก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า การกินปวยเล้งสม่ำเสมอยังทำให้หลับง่าย หลับสนิทดีด้วย

กินถั่วเหลือง
ที่อุดมด้วยสารซีโรโทนิน เพิ่มความตื่นตัว กระฉับกระเฉง และ‘โดไทโรซิน' เพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ

กินเชอร์รี่เป็นของหวาน
แพทย์ตะวันตกเรียกเชอร์รี่ว่าเป็น ‘แอสไพรินธรรมชาติ'เนื่อง จากผลไม้ชนิดนี้มีสารที่ชื่อว่าแอนโธไซยานิน Anthocyanin) ซึ่ง เป็นเม็ดสีในเชอร์รี่ ทำให้เชอร์รี่มีสีสันสวยสดใส และสรรพคุณสำคัญ คือ ทำให้คนกินมีความสุข งานวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ชี้ว่าการกินเชอร์รี่ 20 ผล ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการกินยา

กินและปรุงอาหารด้วยกระเทียม
ที่อุดมด้วยสารเซเลเนียม (Selenium) สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น นักวิจัยเยอรมันแนะว่า การกินกระเทียมวันละ 2 กลีบน่าจะเหมาะสม นอกจากนี้กระเทียมยังมีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันในเลือดและรักษาโรคความดัน โลหิตสูง


ที่มา : วิชาการ.คอม
http://www.kroobannok.com/27927

38
จากการสัมภาษณ์ชาวอเมริกันที่
อายุเกิน 70 ปีขึ้นไป จำนวน 1,200 คน โดยมีคำถามว่า “จากประสบการณ์ชั่วชีวิต
คุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน”
ผลการสัมภาษณ์ได้ถูกนำมาเขียน
เป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living โดยมีบทเรียนสำคัญ 10 ข้อ ที่สามารถเตือนสติ เพื่อให้ชาวออฟฟิศ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด

1. ให้เลือกอาชีพโดยดูจากความต้องการภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการเงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าความผิดพลาด
สำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ

2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือนกับต้องใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลด ละ เลิกพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อสูงวัย

3. ตอบตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้าทายเข้ามา ต้องอย่าปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง

4. เลือกคู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีกฝ่ายหนึ่ง
อย่างถ่องแท้

5. เที่ยวให้มากไว้ เมื่อมีโอกาสให้เดินทาง คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ มีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว

6. ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเดี๋ยวนี้ เนื่องจากเรามักจะเสียใจและเสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อมีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดง
ความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้นแต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้า แต่ให้ทำในสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยวนี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น

8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากเงื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเราเองตลอดชีวิตเรา

9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้หยุดกังวล หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

10. คิดเล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่า นั้นๆ

39
กินเผ็ดก็คือกินอาหารที่ใส่ พริกลงไปมากๆ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ตอบไว้ว่า ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่งความสุขคือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการเจ็บปวด บรร เทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเลสเตอรอล

ทั้งนี้จากงานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิ ในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก

ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริกยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน

นอกจากนี้วิตามินซีในพริกยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว ยังใช้ทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือรับประทานอาหารรสเผ็ดจัดจะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น สารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริกไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารน่าจะมาจากการกิน อาหารมันๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัดอาจทำให้เกิดอาการเหมือนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารแคปไซซินในพริกซึ่งเป็นกรดจะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่ กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซินจะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด

ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือไอศกรีม ซึ่งก็ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยด้วยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่างๆ ที่ใส่กะทิ

โทษจากการกินเผ็ด หรือภัยจากการกินเผ็ด รสเผ็ดจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานมากขึ้น มีผลให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

และสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ ต้องระวังไม่ให้หัวใจทำงานหนักมากเกินไปเพราะอาจเกิดหัวใจวายได้ ยังมีโรคทางกระเพาะอาหาร เมื่อกินอาหารรสจัด (เผ็ด) เข้าไป จะเกิดกรดในกระเพาะ

ถ้ากรดมากก็จะทำให้ท้องอืด แสบท้อง ปวดท้อง เวลาถ่ายก็แสบไปด้วย และมีโรคอ้วน เพราะรสเผ็ดช่วยให้เจริญอาหารดี ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น ทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา

นอกจากนี้ยังมีอาการแสบร้อน เพราะพริกมีสารแคปไซซินซึ่งทำปฏิกิริยากับร่างกายของเรา ถ้าละอองพริกเข้าดวงตา หรือสัมผัสกับร่างกาย อาจทำให้แสบตา หรือแสบร้อนบริเวณที่โดนพริก

ดังนั้นในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัดจะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร

ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

40
จากเว็บไซต์วิชาการดอตคอม

สุวคนธ บำบัด (Aromatherapy) คือแขนงหนึ่งของการรักษาสุขภาพทางเลือก หลายคนเชื่อว่ากลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยที่สกัดออกมาจากมวลหมู่ไม้
จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและทำให้จิตใจสงบขึ้นได้ น้ำมันหอมระเหยที่ใช้กันอยู่ทั่วไปก็มีหลายกลิ่นให้เลือก โดยให้ผลต่างกันดังนี้

มะลิ (Jasmine) ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการอ่อนล้า คาโมไมล์ (Chamomile) ให้ความสดชื่น ผ่อนคลาย แก้ปวดหัว แก้ซึมเศร้า

เมิรห์ (Myrrh) ช่วยปรับอารมณ์ ลดเสมหะ น้ำมูก มาร์จอแรม/สวีต มาร์จอแรม (Marjoram/Sweet Marjoram) ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย แก้ฟกช้ำ ตะคริว ขิง (Ginger) ผ่อนคลาย อบอุ่น แก้เครียด ปวดเมื่อย หวัด

เจอราเนียม (Geranium) ผ่อนคลาย ปรับสมดุล แก้เครียด ผิวหนังติดเชื้อ ลาเวนเดอร์ (Lavender) สดชื่น ผ่อนคลาย หลับสบาย แก้ปวดเมื่อย เครียด โรสแมรี (Rosemary) ให้คุณสมบัติคล้ายกับลาเวนเดอร์ คือช่วยผ่อนคลาย

สะระแหน่ (Peppermint) เย็นสดชื่น แก้อาการเมารถ ปวดหัว หวัด มะกรูด (ฺBergamot) สดชื่น ผ่อนคลาย หลับสบาย แก้ปวดเกร็ง มะนาว (Lemon) ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

ส้ม (Orange) ทำให้มีจิตใจเบิกบานและอารมณ์เย็น ทีทรี (Tea Tree) เย็นสดชื่น ต้านเชื้อแบคทีเรีย แก้หวัด เจ็บคอ พัฒนาความคิดในเชิงบวกและเสริมสร้างความมั่นใจ ตะไคร้ (Lemon Grass) สดชื่น ปรับอารมณ์ แก้อาหารไม่ย่อย ยับยั้ง การติดเชื้อโรค ป้องกันแบคทีเรีย แซนดัลวูด (Sandal wood) ผ่อนคลาย สงบ สร้างสมาธิ บรรเทาอาการอักเสบ

โหระพา (Basil) สดชื่น แก้เครียด กระวนกระวาย ปวดเมื่อย แฟรงก์อินเซนส์ (Frankincense) ผ่อนคลาย แก้เครียด เพิ่มความอ่อนเยาว์ เสจ/แคลรี เสจ (Sage/Clary Sage) ผ่อนคลาย อบอุ่น แก้ปวดเมื่อย มีปัญหารอบเดือน กระดังงา (Ylang Ylang) ผ่อนคลายอารมณ์ กุหลาบ (Rose) ผ่อนคลายความเครียด ฟื้นฟูความมั่นใจ สน (Pine) ลดอาการเลือดคั่งและปรับสภาพสีผิว ดีต่อโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ใช้บำรุงเส้นผมได้ด้วย ยูคาลิปตัส (Eucalyptus) ต่อต้านเชื้อโรค ลดอาการแน่นหน้าอก ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้นสำหรับผู้ที่เป็นหวัด กำยาน (Franincense) บำรุงกำลังและเพิ่มความสวยงาม ช่วยให้รู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลาย ว่าน (Cardamon) ช่วยฟื้นฟูสภาพความเมื่อยล้าและเฉื่อยชาเซื่องซึม

การเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยมีข้อพึงระวัง เช่น เบื้องต้นให้จำไว้ว่า ไม่ควรหยดน้ำมันหอมระเหยลงบนผิวหนังโดยตรง ไม่ควรดื่มหรือกิน ห้ามใช้ปริมาณที่มากเกินไป
ควรเก็บน้ำมันหอมระเหยในขวดที่มีสีเข้ม ในที่ปลอดภัยห่างจากมือเด็กและเปลวไฟ นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยบางชนิดเหนี่ยวนำให้ผิวหนังมีความไวต่อแสง เช่น น้ำมันมะกรูด
น้ำมันมะนาว จึงควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรงภายหลังจากการใช้น้ำมันหอมระเหยเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมง



เด็ก สตรีมีครรภ์และผู้มีโรคประจำตัว เช่น ลมชัก ความดันโลหิตสูง ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะน้ำมันหอมระเหยบางกลิ่นไม่เพียงไม่เหมาะที่จะใช้ ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ด้วย

41


กันตนาเตรียมเปิดโรงหนังโลว์คอสต์ ค่าตั๋ว 30 บาท ทั่วประเทศ คาดเริ่มเปิดต้นปี 57

นายจาฤก กัลย์จาฤก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กันตนาฯได้ขยายธุรกิจเข้าถึงชุมชนในชนบท ภายใต้แนวคิด โรงภาพยนตร์ชุมชน - One Frame, One Culture จัดตั้งบริษัทเอเชีย ซีนีม่า เน็ตเวิร์ค จำกัด (Asia Cinema Network Co., Ltd) หรือ ACN สรรหาผู้ร่วมลงทุนในท้องถิ่นระดับอำเภอทั่วประเทศ ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 500 โรงแล้ว โดยโครงการโรงภาพยนตร์ชุมชน กันตนา ซีนีเพล็กซ์ มีเป้าหมายสรรหาผู้ร่วมลงทุนให้ได้ 1,000 แห่งทั่วประเทศ และคาดว่าจะเปิดพร้อมกันภายในต้นปี 2557

นายจาฤกกล่าวว่า โรงภาพยนตร์ชุมชนเหล่านี้ จะช่วยกระจายความเจริญ ลดช่องว่างระหว่างคนเมืองกับคนในชุมชนชนบท เป็นการสร้างโอกาสให้คนชนบทได้ชมภาพยนตร์ในโรงได้ง่ายและบ่อยครั้ง อันจะทำให้วัฒนธรรมแบบ ยกพวก-ยกครอบครัวมาดูหนังร่วมกัน กลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคผลิตภัณฑ์ละเมิดลิขสิทธิ์ลดลงเป็นอย่างมาก เกิดเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เติบโตได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ดีขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ยังเป็นโครงการช่วยพัฒนาพื้นที่ให้เกิดเป็นศูนย์ชุมชนอย่างแท้จริง เพราะจะเป็นแหล่งให้คนในท้องถิ่นมาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น นำสินค้าพื้นเมืองและผลผลิตต่างๆ ในชุมชนมาขาย หรือใช้เป็นสถานที่จัดงานจัดกิจกรรมพิเศษ อาทิ การประชุม ไปจนถึงการรับชมการถ่ายทอดงานกิจกรรมต่างๆ
 
"โรงภาพยนตร์ชุมชนนี้จะมีรูปแบบเหมือนกันหมด เป็นโรงขนาดเล็ก 50 ที่นั่ง ราคาตั๋ว 30 บาทต่อที่นั่ง เพราะมีต้นทุนต่ำ ค่าการก่อสร้างเพียง 1.2 ล้านบาท และใช้เนื้อที่เพียง 200 ตารางวา เพื่อให้เป็นโรงภาพยนตร์ที่มีคุณภาพเต็มรูปแบบแม้จะมีต้นทุนต่ำ พร้อมได้พัฒนาเทคโนโลยีระบบจัดการเบ็ดเสร็จ คือ "Kantana Intelligent One Touch" ช่วยให้ฉายภาพยนตร์ได้อย่างง่ายดายไม่เปลืองแรงงาน ด้วยการกดเพียงปุ่มเดียว โดยทั้งหมดจะเป็นการรับส่งสัญญาณจากส่วนกลางผ่านดาวเทียมไปสู่ทุกโรง ภาพยนตร์เพื่อฉายในระบบภาพดิจิตอลและระบบเสียง Surround 5.1 และ 7.1 ทั้งยังมีระบบ Watermark ช่วยตรวจสอบและป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์จากการลักลอบถ่ายภายในโรงได้อย่าง มีประสิทธิภาพอีกด้วย" นายจาฤกกล่าว



ขอบคุณข้อมูลจาก matichon

42
น้ำผักผลไม้สูตรในวัง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณสดใสโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็ง
จะดีมากมีคนแถวบ้านเป็นมะเร็งอายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ต้องให้คีโมแต่ปรากฏว่าพอรับประทาน
น้ำผลไม้สูตรนี้ไปเป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดือนปรากฏว่ามีผมงอกขึ้น และแข็งแรงขึ้นมากจนหมอตกใจ
ลองนำไปปั่นทานกันดู..น่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อยส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย

สูตรมีดังนี้

1. แอปเปิ้ล 1 ผล
2. แครอท 1 ลูก
3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
5. มะนาว 1 ลูก
6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว (ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
9. ฝรั่ง 1 ผล
10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก
11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ
นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน

สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วยให้รับประทานวันละ 1 ลิตร
แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.jatuka.com/ความรู้ทั่วไป/สูตรน้ำผักต้านมะเร็ง/

43
news & activity / Youth Of Nation Festival 2
« on: August 19, 2013, 03:51:09 PM »


ติดตามรายละเอียด https://www.facebook.com/youthofnationfest

44


กระดูกสันหลังที่เป็นเสาหลักของร่างกาย เป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททุกเส้น ที่ออกไปควบคุมการทำงานของร่างกายในทุกระบบ
เพื่อให้ร่างกายไม่ถูกทำร้ายด้วยความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีวิธีการหลีกหนีความเสี่ยงที่จะทำร้ายกระดูกสันหลังจาก
ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ (Secret Shape Wellness Center)

10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง
ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป
ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง
เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ
การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว
ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า
โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด
เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง
จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง

6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม
ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว
การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น
ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ

3. การนั่งหลังงอ
การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง
เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

2. การนั่งการนั่งกอดอก
ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า
ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้

1. การนั่งไขว่ห้าง
จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://campus.sanook.com/

45
ส-อ ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดเพชรบูรณ์ค่ะ ไปถึงภูทับเบิกตอนเที่ยง

ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้เจอหมอกแล้วซะอีก ปรากฏว่าหมอกหนาตั้งแต่ช่วงถนนขึ้นภูเลยหล่ะค่ะ







 เจอผีเสื้อหน้าตาแปลกๆ ตัวใหญ่มากค่ะ ตอนแรกนึกว่าของเล่นซะอีก



สินค้าของชาวบ้าน อย่าพลาดนะคะ อร่อยทุกอย่าง ข้าวหอมมะลิญี่ปุ่นอร่อยมาก

ลูกพลับเห็นลูกเขียวๆ ยังถามแม่ค้าทำไมไม่รอให้มันสุกก่อน แม่ค้าเลยผ่าให้ชิม อุ๊ย หวานกรอบมากค่ะ

กะหล่ำปลี เบบี้แครอท อะโวคาโด้ เสาวรส ... ไปเที่ยวรอบนี้ได้ผักสด ผลไม้มาเป็นของฝากแม่เพียบเลยค่ะ



วิวบริเวณร้านขายของค่ะ เป็นร้านที่อยู่ในเส้นทางระหว่างลงจากภู อิจฉาคนมีบ้านอยู่เขาค้อจัง





คลิปฝ่าหมอกทางขึ้นภุทับเบิกค่ะ

ปล. แอบผิดหวังนิดนึงค่ะ ตอนที่ไปภูทับเบิกครั้งแรก ตอนนั้นยังไม่มีรีสอร์ท ร้านค้าเยอะแบบนี้

นึกว่าจะได้มาเจอทุ่งกระหล่ำ ชาวเขาขายสินค้าพื้นเมือง ปรากฏว่าเจอเป็นเมืองเชียว เสียดายจังค่ะ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=e0wwaj_jN7Q" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=e0wwaj_jN7Q</a>

 

Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 71