Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - news

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 330
61

LINE SHOPPING เติมเต็มเทศกาลแห่งความสุข จับมือสยามดิสคัฟเวอรี่ ส่งแคมเปญ “LINE SHOPPING x Siam Discovery, Let’s Spark a Moment of Joy 2021” คัดไอเท็มพิเศษไม่ซ้ำใคร ช้อปได้ทันทีทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ ตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิทัล



LINE SHOPPING แหล่งรวมร้านค้าแบรนด์ดังบนโซเชียล จับมือพันธมิตรผู้นำธุรกิจค้าปลีก สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ร่วมสร้างสีสันเพิ่มอรรถรสการช้อปปิ้งเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปี จัดแคมเปญ “LINE SHOPPING x Siam Discovery, Let’s Spark a Moment of Joy 2021” ที่เชื่อมต่อประสบการณ์การช้อปสนุกแบบ Omni-channel ที่รวมออฟไลน์และออนไลน์ไว้ด้วยกัน โดยคัดสรรสินค้าพิเศษจากร้านค้าไลฟ์สไตล์สเปเชียลตี้สโตร์ชั้นนำ มาไว้บน LINE SHOPPING ให้นักช้อปได้เลือกช้อปและสั่งซื้อได้ทันที นอกจากนี้ยังเพิ่มความสนุกและความสะดวกสบายสำหรับลูกค้าเดินช้อปในศูนย์การค้า ที่สามารถใช้ LINE SHOPPING เป็นแคตตาล็อกสินค้าออนไลน์เพื่อเลือกหาสินค้าและดูของจริงได้ทันที พร้อมจัดเต็มกับกิจกรรมและโปรโมชั่นออนท็อป เอาใจทั้งนักช้อปออนไลน์และนักช้อปในห้าง

นายเลอทัด ศุภดิลก หัวหน้าฝ่ายธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของการจับมือกับธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกหรือศูนย์การค้า LINE ในฐานะแอพพลิเคชั่นยอดนิยมของคนไทย เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ การมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เชื่อมต่อผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์เข้าไว้ด้วยกันภายใต้แคมเปญ “LINE SHOPPING x Siam Discovery, Let’s Spark a Moment of Joy 2021” ด้วยฟีเจอร์และบริการของแพลตฟอร์ม LINE SHOPPING ไม่ว่าจะเป็น การทักแชทสอบถาม เครื่องมือปิดการขายในแชท การสร้างแคตตาล็อคสินค้า การซื้อสินค้า และชำระเงินผ่านบัตรเครดิต และช่องทางอื่นๆ ที่หลากหลาย นอกจากนี้ LINE SHOPPING ยังทำหน้าที่เป็นแคตตาล็อกสินค้าออนไลน์ สำหรับลูกค้าออนกราวด์ที่เข้ามาเดินซื้อสินค้าในศูนย์การค้า ให้เลือกหาสินค้าได้ง่ายขึ้นและชมของจริงได้เลย ประหยัดเวลาในการช้อป ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ สร้างยอดขาย และดึงนักช้อปเข้ามาที่ศูนย์การค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถเติมเต็มกลยุทธ์การขายแบบ Omni-channel ซึ่งเป็นอนาคตสำหรับธุรกิจค้าปลีกหรือศูนย์การค้ายุคใหม่ที่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคในยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดี”

แคมเปญ “LINE SHOPPING x Siam Discovery, Let’s Spark a Moment of Joy 2021” ที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 11 – 25 ธันวาคม 2563 นี้ สยามดิสคัฟเวอรี่ ได้รวบรวมและคัดสรรสินค้าที่เหมาะกับการเลือกช้อปเป็นของขวัญในเทศกาลแห่งความสุข ที่มีให้เลือกหลากหลายและครบครัน จัดเป็นหมวดหมู่ตามเทรนด์โซเชียล อาทิ สินค้าสำหรับคนรักษ์โลก , สำหรับนักผจญภัย , สำหรับคนรักงาน , สำหรับสายติสท์ , สำหรับผู้ใหญ่ที่เคารพรัก , สำหรับคนรักบ้าน , สำหรับสายลุย , สำหรับสายกุ๊กกิ๊ก , ของขวัญสำหรับจับสลากที่ไม่เกิน 500 บาท เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีของขวัญที่เหมาะกับการให้เป็นรางวัลกับตนเอง อาทิ New Year New Look , New Year New Home , New Year New Me เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความสนุกของนักช้อปที่ได้เลือกชมสินค้าที่ตรงกับไลฟ์สไตล์และความชอบของตน 

นางอุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “สยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นสนามประลองความคิดสร้างสรรค์ที่จับกระแสทุกเทรนด์โลกมารวมไว้ในที่เดียว สำหรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีที่ทุกคนกำลังมองหาของขวัญทั้งสำหรับคนสำคัญ คนรู้ใจ ญาติผู้ใหญ่ เพื่อนร่วมงาน ของขวัญจับสลาก หรือ ของขวัญให้กับตนเอง ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ได้เตรียมสินค้าที่เหมาะสำหรับเป็นของขวัญแบบหลากหลายให้เลือกและเหมาะสำหรับทุกๆ คน โดยมีความแตกต่างและความพิเศษที่เน้นของขวัญที่เพิ่มมูลค่าทางใจให้ผู้รับแบบเซอร์ไพรส์ ทุกชั้นทุกแผนกของสยามดิสคัฟเวอรี่ล้วนคัดเลือกสิ่งของที่เหมาะสำหรับเป็นของขวัญชิ้นพิเศษ โดยในปีนี้ สยามดิสคัฟเวอรี่ ได้ร่วมมือกับ LINE SHOPPING แพลตฟอร์มที่รวบรวมร้านค้าแบรนด์ดังบนโซเชียลไว้มากที่สุด จัดแคมเปญ “LINE SHOPPING x Siam Discovery, Let’s Spark a Moment of Joy 2021” โดยคัดสรรสินค้าที่มีความพิเศษและแตกต่าง ทั้งแบบสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ สินค้าแบบลิมิเต็ดอิดิชั่น สินค้าเพอร์ซันนอลไลซ์ และสินค้าบันเดิ้ลแพ็ค ให้ผู้ใช้ LINE ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 47 ล้านคน ได้เลือกชมเป็นไอเดียของขวัญ และสามารถเลือกช้อปได้ทันที ผ่านช่องทาง LINE SHOPPING

การร่วมมือกันระหว่าง LINE SHOPPING และ สยามดิสคัฟเวอรี่ นับเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างสีสันให้กับวงการช้อปปิ้งออนไลน์และศูนย์การค้า และสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้าหรือเหล่านักช้อป ได้ช้อปกันอย่างสะดวกและคุ้มค่าที่สุด โดยสามารถค้นพบของขวัญสุดเอ็คคลูซีฟ “ว้าวไอเทม” ที่ สยามดิสคัฟเวอรี่ ซึ่งเป็นศูนย์รวมร้านค้าไลฟ์สไตล์สเปเชียลตี้สโตร์ชั้นนำ คัดสรรมาให้เลือกช้อป 15 วัน 15 ดีลปังๆ พิเศษไปกว่านั้น ทุกการซื้อสินค้าว้าวไอเทม แจกเพิ่มดับเบิ้ลความสุข Siam Gift Card มูลค่า 500.-* ให้มาช้อปต่อให้สนุกสนานที่ศูนย์การค้าช่วงเทศกาลนี้ ทุกการสั่งซื้อออนไลน์สามารถระบุเพื่อรับสินค้าได้ที่ศูนย์การค้าเพื่อความสะดวกสบาย หรือ จะส่งถึงตัวเองหรือผู้รับของขวัญถึงบ้านก็จัดส่งให้ฟรี! Let’s Spark a Moment of Joy มอบของขวัญสุดพิเศษให้ตัวเองและคุณที่คุณรักในเทศกาลแห่งความอบอุ่นนี้ กับแคมเปญ “LINE SHOPPING x Siam Discovery, Let’s Spark a Moment of Joy” ระหว่างวันที่ 11 – 25 ธันวาคม 2563 นี้ เพียงเข้าแอป LINE คลิกเมนู Wallet และไปที่ LINE SHOPPING หรือแอด LINE Official Account @lineshoppingth เท่านี้ก็สามารถเลือกช้อปของขวัญสุดพิเศษได้ทุกที่ทุกเวลา

62

บมจ.เออาร์ไอพี ร่วมกับ ม.หอการค้าไทย จัดงานมอบรางวัล “THAILAND TOP SME AWARDS 2020”

โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา  –  นิตยสาร Business+ โดย บมจ. เออาร์ไอพี ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยความร่วมมือของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย จัดงานมอบรางวัลสุดยอดผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแห่งปี “THAILAND TOP SME AWARDS 2020” รางวัลอันทรงเกียรติและเครื่องหมายแห่งความภูมิใจแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่มีนวัตกรรมดีเด่นแห่งปี และมีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นแบบอย่างความสำเร็จให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น ในการพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ตลอดจนนักบริหารเข้าร่วมงาน ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา


นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  เวทีการมอบรางวัล “THAILAND TOP SME AWARDS 2020” เป็นเวทีสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ เพื่อเชิดชูเกียรติแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประสบความสำเร็จ และนับเป็นอีกปีที่นิตยสาร BUSINESS+ ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยจัดขึ้น โดยมุ่งหวังให้เวทีนี้เป็นการเชิดชูองค์กรที่โดดเด่น และให้เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศต่อไป


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า “ภารกิจหนึ่งของมหาวิทยาลัยคือมุ่งสร้างผู้ประกอบการและนักธุรกิจที่มีคุณภาพควบคู่กับคุณธรรมจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจในหลักของธรรมาภิบาล จึงได้ร่วมมือกับนิตยสาร BUSINESS+ ในเครือ บมจ.เออาร์ไอพี และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ในการจัดงานมอบรางวัล “THAILAND TOP SME AWARDS 2020”  โดยบทบาทร่วมกันคัดเลือกผลงานจนได้ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมตามกลุ่มอุตสาหกรรมและรางวัลความเป็นเลิศในนวัตกรรมด้านต่าง ๆ โดยมีการจัดงานในทุกปี ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ และเวทีแห่งความภาคภูมิใจ ของผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัล”


นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคาร SME D Bank มุ่งตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs ไทย ทราบดีถึงวิกฤติโควิดที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เอสเอ็มอีไทย สามารถจะก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้นั้นจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล ปรับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองพฤติธรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โอกาสนี้เพื่อเป็นการยกระดับผู้ประกอบการ SMEs ทาง SME D Bank จึงให้ความร่วมมือในการจัดงาน “THAILAND TOP SME AWARDS 2020” ปีที่ 4 เพื่อเชิดชูองค์กรที่มีความเป็นเลิศ และพร้อมสนับสนุนองค์กรที่ได้รับรางวัล ทั้งด้านการขยายธุรกิจ หรือการร่วมลงทุน ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ”


ฯพณฯ ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม

เกี่ยวกับรางวัล “THAILAND TOP SME AWARDS 2020” จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด“Digital SMEs in New Normal Era” เอสเอ็มสู่วิถีธุรกิจใหม่ เป็นรางวัลที่ได้คัดสรรสุดยอดบริษัทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีผลดำเนินการยอดเยี่ยมในแต่ละอุตสาหกรรม และมีการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ ที่รวบรวมและวิเคราะห์โดยคณะบรรณาธิการ นิตยสาร BUSINESS+ และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ผู้ทรงเกียรติ และผู้ทรงคุณวุฒิ จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รวมถึงคณะกรรมการจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย


สรุปรางวัล THAILAND TOP SME AWARDS 2020

63

นิตยสาร Business+ จัดงานสัมมนา “Digital SMEs in New Normal Era” เผยเคล็ดลับความสำเร็จ เพื่อให้ธุรกิจไม่ตกยุค 




บรรยาการงานสัมมนา Digital SMEs in News Normal Era

นิตยสาร Business+ โดย บมจ. เออาร์ไอพี จัดงานสัมมนา “Digital SMEs in New Normal” เสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้รับฟังความสำเร็จจากผู้ประกอบการที่สามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ทันยุค New Normal เต็มอิ่มกับเสวนา 2 หัวข้อประกอบด้วย หัวข้อ “ทะเลกว้างใหญ่ แต่ยังมีรูรั่วให้มือใหม่เกิดได้” และเสวนาหัวข้อ “เอสเอ็มอีต้องปรับตัวสู่ New Normal” ฟังเคล็ดลับความสำเร็จของเอสเอ็มอีที่ปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ธุรกิจไม่ตกยุค โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ณ ห้องเลอโลตัส โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา


นายธนิต แกล้วศรีเดช ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อธุรกิจ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “องค์กรธุรกิจในปัจจุบันเกิดการ Disruption ขึ้นมากมายโดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 เป็นตัวเร่งให้ทุกธุรกิจต้องปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า 1 ใน 3 ของ SME ทั้งหมดประสบภาวะขาดทุน และ 1 ใน 5 ของ SME ที่ประสบภาวะขาดทุนนั้นได้ปิดกิจการลง ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ เพราะ SME ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญ ฉะนั้นผู้บริหารต้องปรับเปลี่ยนมุมมอง เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินธต่อได้ไม่ตกยุค ทางนิตยสาร Business+ โดยบมจ.เออาร์ไอพี จึงได้จัดงานสัมมนา “Digital SMEs in New Normal” ขึ้น เพื่อหวังเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่แนวคิดที่น่าสนใจของผู้บริหารที่สามารถปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ นำพาองค์กรก้าวข้ามความท้าทายในยุค New Normal ร่วมแบ่งปันประสบการณ์แนวทางต่าง ๆ เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายอื่น ๆ ต่อไป”


คุณพิมพ์พิชา อุตสาหจิต


คุณสุภัทรา ดวงงา


คุณเบิร์ด ทรงวุฒิ พัฒนศิลาพร


คุณวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล


คุณกุลโชค โพธิ์พัฒนชัย

โดยได้จัดการเสวนา ใน 2 หัวข้อ ประกอบด้วย หัวข้อ “ทะเลกว้างใหญ่ แต่ยังมีรูรั่วให้มือใหม่เกิดได้” โดยมี คุณสุภัทรา ดวงงา เจ้าของชาบูอินดี้ จากลูกชาวนานำเงินแต่งงาน สู่ธุรกิจชาบู 2,000 ล้านบาท, คุณเบิร์ด ทรงวุฒิ พัฒนศิลาพร เจ้าของ BirdEyeView Wedding Studio ผู้ทำธุรกิจขายของออนไลน์กว่า 8 ธุรกิจ โดยไม่ต้องมีหน้าร้าน และ คุณพิมพ์พิชา อุตสาหจิต ทายาทรุ่น 3 ของตระกูลอุตสาหจิต กับเคล็ดลับบริหารขายหัวเราะและสื่อในเครือ ให้พ้นช่วง Covid-19

ต่อด้วยการเสวนาหัวข้อ “เอสเอ็มอีต้องปรับตัวสู่ New Normal” ฟังเคล็ดลับความสำเร็จของเอสเอ็มอีที่ปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ธุรกิจไม่ตกยุค โดย คุณกุลโชค โพธิ์พัฒนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ.ไอ.เทคโนโลยี จำกัด พลิกโฉมธุรกิจ ปรับการผลิตและ Diversify สินค้าเพื่อรับเทรนด์ New Normal  และ คุณวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล ประธานกรรมการบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ครบวงจรในแบบฉบับเอกชนรายแรกของไทย กับวัคซีนป้องกัน โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ความสนใจเข้าร่วมงานจำนวนมาก

64
“ไฮ-เจ็ท” มอบของขวัญสุดพิเศษส่งท้ายปี จัดโปรเด็ด 12.12 ลดราคาทั้งร้านผ่าน Lazada และ Shopee มาพร้อมแคมเปญสุดพิเศษประจำเดือนธันวาคม


บริษัท ปภาวิน จำกัด ผู้จัดจำหน่ายกระดาษและหมึกพิมพ์ ภายใต้แบรนด์ Hi-jet (ไฮ-เจ็ท) "ที่ 1 เรื่องงานพิมพ์" เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดแคมเปญสุดพิเศษประจำเดือนธันวาคม เพื่อมอบเป็นของขวัญส่งท้ายปี 2563 สำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบการซื้อของออนไลน์ผ่าน Lazada และ Shopee โดยการมอบส่วนลดให้กับลูกค้าใหม่ที่กดติดตามร้าน เพียงซื้อสินค้าครบ 199 บาท รับส่วนลดทันที 20 บาท สำหรับลูกค้าที่ช้อปผ่านทาง Lazada สามารถเข้าไปเลือกซื้อสินค้าได้ที่ : Link https://www.lazada.co.th/shop/i/landing_page/voucher... และสำหรับลูกค้าที่ช้อปผ่าน Shopee สามารถเข้าไปที่ Link : https://shopee.co.th/hijet_official_shop แล้วใส่โค้ด SFP-64926769 ก็รับส่วนลด 20 บาท ไปได้เลย

นอกจากนี้ ไฮ-เจ็ท ยังได้ร่วมแคมเปญ 12.12 มอบของขวัญสุดพิเศษส่งท้ายปีลดให้กับลูกค้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้

HI-JET X LAZADA 12.12 GRAND YEAR-END SALE : กระดาษและหมึกพิมพ์ Hi-jet ลดราคาทั้งร้านสูงสุด สูงสุด 70% พร้อมรับคูปองส่วนลดอีก 12 % เท่านั้นยังไม่พอ หากซื้อสินค้าชิ้นที่ 2 รับส่วนลดไปอีก 5% แถมยังได้เลือกซื้อสินค้า Flash Sale ในราคาสุดพิเศษ ซึ่งแคมเปญนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 ธ.ค.63  โดยลูกค้าสามารถเข้าไปเลือกซื้อสินค้าได้ที่ https://www.lazada.co.th/shop/papawin

Hi-JET X SHOPEE 12.12 BIRTHDAY SALE : ลดต่อไม่รอแล้วนะ...กระดาษและหมึกพิมพ์ Hi-jet ลดทั้งร้านสูงสุด 80 % พร้อมรับคูปองส่วนลด 30 บาท เมื่อสั่งซื้อส้นค้าขั้นต่ำ 300 บาท พิเศษต่อที่ 2 หากซื้อสินค้าชิ้นที่ 2 ลดเพิ่มทันทีอีก 5% และสินค้า Flash Sale ราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 12 บาทเท่านั้น!! โดยลูกค้าสามารถเข้าไปเลือกซื้อสินค้าได้ที่ https://shopee.co.th/hijet_official_shop

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท ปภาวิน จำกัด โทร. 02-489-4949, Line ID: 0813591258, Line Official: https://lin.ee/9ixqmos  หรือ https://www.facebook.com/hijetpaper/

65
สถาบันไอเอ็มซีแนะธุรกิจไทยปรับ 4 ด้านรับมือ 9 เทรนด์แรงปี 64

การคาดการณ์จากสำนักวิจัยการ์ทเนอร์ระบุถึง 9 แนวโน้มเทคโนโลยีสำคัญในปีหน้า เพื่อให้ธุรกิจไทยตอบรับ 9
เทรนด์นี้ องค์กรจะต้องปรับตัวอย่างน้อย 4 ด้าน

1 ใน 4 ด้านที่สำคัญที่สุดคือองค์กรต้องปรับตัวเรื่องไอที โดยเฉพาะการทำบิ๊กดาต้า เนื่องจากเทรนด์เทคโนโลยีสำคัญของปีหน้าคือ "อินเทอร์เน็ตแห่งพฤติกรรม" ที่ทำให้ธุรกิจต้องเก็บข้อมูลให้มากที่สุด
สิ่งสำคัญที่ต้องทำคู่ขนานไปกับการปรับตัว 4 ด้านนี้คือการพัฒนาบุคลากร องค์กรควรวางกลยุทธ์ด้านคนให้รัดกุมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากความท้าทายหลักของการปรับตัวไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่คนในองค์กร

สอดคล้องกับรายงานจาก WEF เรื่อง The Future of Jobs 2020   ล่าสุดที่ออกมาเมื่อเร็วๆนี้ก็ระบุเช่นกันว่า การล็อกดาวน์และเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นทั่วโลกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการทำงานอย่างมาก และทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Double Disruption” ครึ่งหนึ่งของพนักงานที่มีอยู่จำเป็นต้องการปรับทักษะใหม่ (Re-skill) และคนที่ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม 40% ต้องเพิ่มทักษะ (Up-skill) การทำงานของตัวเอง เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของการทำงานในรูปแบบใหม่






กรุงเทพฯ 9 ธันวาคม 2563 - - สถาบันไอเอ็มซีแนะธุรกิจไทยต้องปรับตัวอย่างน้อย 4 ด้านเพื่อรับมือ 9 เทรนด์เทคโนโลยีมาแรงปี 64 ย้ำองค์กรต้องปรับตัวทั้งเรื่องรูปแบบการทำงาน เทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์ และการเพิ่มความยืดหยุ่นให้บริการเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ยืนยันสังคมไทยหนีไม่พ้นแม้หลายบริษัทเริ่มเรียกพนักงานเข้าสำนักงาน กระตุ้นองค์กรพัฒนาคนให้ทันผ่านหลักสูตรใหม่ของไอเอ็มซีที่ปรับเปลี่ยนตามการวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ทุกปี


รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี (IMC Institute) กล่าวถึงแนวโน้มดิจิทัลปี 2564 ว่าการ์ทเนอร์ได้สรุปทิศทางปี 64 โดยมองสังคมโลกที่เปลี่ยนไปและการเกิดขึ้นของโควิด-19 ทั้งหมดมีผลทำให้คนทั่วโลกต้องเปลี่ยนวิถีการทำงาน การใช้ชีวิต การเว้นระยะห่าง และอีกหลายพฤติกรรม

"การ์ทเนอร์แบ่งเทรนด์เทคโนโลยีปี 2564 ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้คนยังเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง (People centricity) เพราะคนยังคงเป็นศูนย์กลางของธุรกิจที่จำเป็นจะต้องทำให้กระบวนการทำงานต่างๆถูกแปลงเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ กลุ่มที่ 2 คือความเสรีที่สถานที่ทุกแห่งสามารถทำงานหรือเรียนได้ (Location independence)

สอดรับกับรูปแบบการทำงานที่ไม่เหมือนเดิม และกลุ่มที่ 3 คือธุรกิจต้องปรับและคล่องตัว จะต้องเอาเทคโนโลยีเข้ามารองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น (Resilient delivery) ทั้ง 3 ส่วนนี้จะกลายเป็นยุคใหม่ที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตแห่งพฤติกรรมหรือ Internet of Behaviors ซึ่งธุรกิจต้องเข้าใจลูกค้า”

อินเทอร์เน็ตแห่งพฤติกรรมถือเป็นแนวโน้มแรกที่การ์ทเนอร์ยกให้เป็นดาวเด่นแห่งปีหน้า ขณะที่แนวโน้มที่ 2 ที่ธุรกิจโลกจะมุ่งไปคือการรวบรวมประสบการณ์ที่หลากหลายทั้งจากลูกค้า (customer experience), พนักงาน (employee experience) และผู้ใช้ (user experience) นำมาเพื่อเปลี่ยนแปลงการทำงานให้ได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น โดยจะมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อประมวลผลข้อมูลได้อย่างปลอดภัย กลายเป็นนวโน้มเทคโนโลยีที่ 3

แนวโน้มที่ 4-6 เกี่ยวข้องกับตำแหน่งสถานที่หรือโลเคชัน ได้แก่ เทคโนโลยีคลาวด์แบบกระจาย การปรับรูปแบบของธุรกิจที่จะให้บริการลูกค้าจากที่ใดก็ได้ รวมถึงให้พนักงานทำงานจากที่ใดก็ได้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล และการใช้สถาปัตยกรรมแบบกระจาย 

แนวโน้มที่ 7-9 โฟกัสที่การปรับตัวของธุรกิจ ได้แก่ การปรับให้บริษัทมีสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็ว การใช้วิศวกรรมระบบแบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหากมีช่องทางทำระบบออโตเมชันได้ ธุรกิจก็ควรทำให้กระบวนการทำงานต่างๆเป็นระบบอัตโนมัติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

"เพื่อให้ตอบ 9 เทรนด์นี้ ธุรกิจจะต้องทำ 4 ด้าน ได้แก่ การปรับกลยุทธ์ด้านการวางแผนสถาปัตยกรรมไอที จากการรวมศูนย์ให้เป็นการกระจาย อาจจะปรับให้ข้อมูลถูกเก็บไว้หลายที่ ทั้งพับลิกคลาวด์หรือที่ใดก็ได้ แต่ต้องทำให้บริการสร้างได้เร็ว ขณะเดียวกันก็ต้องกระจายเรื่องความปลอดภัย จากที่กระจุกแต่ในบางส่วนขององค์กร ก็จะต้องกระจายให้ครอบคลุมทั่วทุกส่วนขององค์กร"

ด้านที่ 2 ที่องค์กรควรปรับตัวคือเรื่องไอที โดยเฉพาะการทำบิ๊กดาต้า เนื่องจากเทรนด์เทคโนโลยีสำคัญของปีหน้าคือ "อินเทอร์เน็ตแห่งพฤติกรรม" ทำให้ธุรกิจต้องเก็บข้อมูลให้มากที่สุดทั้งในส่วนของระบบ CRM และช่องทางโซเชียล และต้องให้สอดคล้องกับกฏหมาย เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และสร้างโซลูชันที่ตอบทุกฝ่าย

นอกจากนี้ ทุกองค์กรควรมองไปที่ระบบ AI โดยองค์กรควรลงมือหรือมองแนวทางทำออโตเมชัน รวมถึงเตรียมความพร้อมในส่วนวิศวกร เพื่อปรับให้บริการองค์กรสามารถปรับหรือเพิ่มระบบ AI ให้ฝังอยู่ในบริการ ด้านที่ 3 นี้สอดรับกับด้านที่ 4 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรควรปรับให้มีการออกแบบแอปหรือบริการให้ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ตอบความต้องการได้ตลอด

"4 แนวทางนี้จะสอดคล้องกับหลักสูตรที่สถาบันไอเอ็มซีเตรียมไว้สำหรับเทรนด์ปีหน้า จะประกอบด้วยหลักสูตรผู้บริหาร การวางแผน AI และเทคโนโลยีใหม่รวมถึงบล็อกเชน จะมีการให้ข้อมูลเชิงลึกที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้"

สำหรับหลายธุรกิจไทยที่มีวัฒนธรรมองค์กรประณีประนอม สถาบันไอเอ็มซีมองว่าสังคมไทยมีความผสมผสาน ความเป็นไฮบริดอาจทำให้องค์กรไทยไม่ปรับใช้เทคโนโลยีเต็มที่ แต่ก็ต้องมีเทคโนโลยีไว้ตอบโจทย์ เรียกว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้นเพราะวันนี้มีหลายปัจจัยสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่คนไทยเริ่มคุ้นเคยมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้บริการจากทุกที่ ทำให้ระบบงานขององค์กรต้องกระจายตัว

ภาวะนี้ยิ่งเห็นได้ชัดจากสถานการณ์โควิด-19 เพราะองค์กรที่ไม่ได้เตรียมการ จะไม่สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง ดังนั้นทุกธุรกิจจะต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้ว่าหลายองค์กรไทยจะเรียกพนักงานให้กลับไปทำงานที่ออฟฟิศแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ว่าจะต้องกำหนดให้พนักงานหรือลูกค้าเดินทางไปศูนย์บริการเท่านั้น เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มคุ้นเคยกับการรับบริการจากที่ใดก็ได้ 

"สิ่งสำคัญที่ต้องทำคู่ขนานไปกับการปรับตัว 4 ด้านนี้คือการพัฒนาบุคลากร สิ่งที่ไอเอ็มซีทำคือการกระตุ้นให้องค์กรวางกลยุทธ์ด้านคน เนื่องจากความท้าทายหลักของการปรับตัวไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่คนในองค์กร โควิด-19 ที่ผ่านมาส่งผลให้ผู้คนปรับตัวได้มาก และยิ่งเร่งให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหรือดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันเกิดได้เร็วขึ้น อีกจุดที่ชัดเจนคือโมบายเพย์เมนต์ซึ่งคนไทยคุ้นเคย โควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม คนไทยปรับตัวได้เร็วเพราะถูกบังคับ จึงถือเป็นโอกาสดีที่องค์กรต้องปรับวัฒนธรรม ซึ่งหากวิธีคิดเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็จะต้องนำมาใช้ต่อให้เป็นประโยชน์ ต้องผสมและนำเอาหลักคิดใหม่เข้ามาใช้ให้การทำงานเกิดขึ้นได้มีประสิทธิภาพ"

นอกจากนี้เมื่อเร็วๆนี้ทาง World Economic Forum (WEF) ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง The Future of Jobs 2020 ผลการสำรวจมีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่หลายด้าน โดยเฉพาะด้านทักษะการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเกิดวิกฤติโควิด ซึ่งทาง WEF ระบุว่า การล็อกดาวน์และเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นทั่วโลกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการทำงานอย่างมาก และทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Double Disruption”ทำให้ความต้องการตำแหน่งงานใหม่ๆ มีมากขึ้น WEF ได้ระบุตำแหน่งที่จะมี

ความต้องการอย่างมากในหลายด้านซึ่งส่วนใหญ่จะต้องมีทักษะทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Data Analysis and Scientist, AI and Machine Learning Specialists, Big Data Specialists นอกจากนี้ยังมีงานใหม่ๆ อีกหลายด้าน ดังเช่น Customer Success Specialist, Digital Marketing and Strategy Specialist หรือ Digital Transformation Specialists

แม้ว่าคาดการณ์ตัวเลขการจ้างงานที่จะลดลงจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีปี 2025 จะลดลงไป 85 ล้านตำแหน่ง แต่ก็จะมีตำแหน่งงานใหม่ๆ เกิดขึ้นถึง 97 ล้านตำแหน่ง แสดงให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ ยังให้ความสำคัญกับการหาบุคลากรในการทำงานอยู่ แต่ต้องการคนที่มีความสามารถ และปรับทักษะตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้

จากการสำรวจพบว่าครึ่งหนึ่งของพนักงานที่มีอยู่จำเป็นต้องการปรับทักษะใหม่ (Re-skill)  และคนที่ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม 40% ต้องเพิ่มทักษะ (Up-skill) การทำงานของตัวเอง เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของการทำงานในรูปแบบใหม่ ซึ่งมีทักษะทั้งทางด้านการใช้เทคโนโลยี การวิเคราะห์ข้อมูล องค์ความรู้ด้านเอไอ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน รวมถึงทักษะความเป็นผู้นำ

สำหรับปีนี้ สถาบันไอเอ็มซีมีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรตามการวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์และทักษะใหม่ตามที่ทาง WEF ระบุไว้ ทำให้มีการเน้นหลักสูตรด้านเอไอ บิ๊กดาต้า Data Science มากขึ้นกว่าทุกปี รวมถึงการวางสถาปัตยกรรมแบบกระจาย การทำไมโครเซอร์วิส ทั้งหมดออกแบบเพื่อให้องค์กรสร้างคนสำหรับการพัฒนาไปสู่อนาคตได้

"ความท้าทายที่สำคัญที่สุดของการปรับตัวเพื่อรับมือเทรนด์ปี 64 ยังคงอยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร วิสัยทัศน์ที่ควรมีคือการมองว่าเทคโนโลยีจะเป็นตัวหลักของธุรกิจ โดยต้องเอามาเป็นตัวขับเคลื่อน ใช้เป็นกลยุทธ์นำหน้าและมาก่อนเป็นอันดับต้น เพื่อเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงานให้ยืดหยุ่นว่าเดิม” รศ.ดร.ธนชาติ กล่าว

66
อิสระจากเสียงรบกวน เพลิดเพลินไปกับระบบเสียงสุดล้ำจากเทคโนโลยี THX® CERTIFIED AUDIO RAZER HAMMERHEAD PRO หูฟังไร้สายตัวท๊อปแห่งปี

Razer เปิดตัวหูฟังไร้สายล่าสุดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี THX® Certified Audio และ  Advanced Hybrid Active Noise Cancelling ให้เสียงรบกวนต่ำและสามารถปรับแต่งเพื่อให้ได้เสียงในการเล่นเกมที่เหมาะสม



Bangkok, Thailand – Razer™ แบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกสำหรับเกมเมอร์ เปิดตัวหูฟังไร้สาย Razer Hammerhead True Wireless Pro นำเอาเทคโนโลยี THX® Certified Audio สำหรับเสียงที่มีความถูกต้องแม่นยำสูงและ Active Noise Cancelling แบบไฮบริด เพื่อให้ได้ประสบการณ์การฟังที่เหนือชั้นด้วยเสียงที่คมชัดชัดเจนและเสียงเบสที่ทรงพลังพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ไม่ว่าคุณจะอยู่ระหว่างเดินทางหรือทำงานจากที่บ้าน

เช่นเดียวกับหูฟัง Hammerhead True Wireless รุ่นมาตรฐานที่แฟนๆชื่นชอบ รุ่น Pro จะมีระบบควบคุมแบบสัมผัสที่สะดวก และระบบการสั่งงานด้วยเสียง การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.1 ที่สามารถเลือกใช้โหมด Low Latency ได้และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นพร้อมกล่องชาร์จในตัว

ความสบายที่มาพร้อมกับความกระชับพอดี การแยกเสียงรบกวนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่โดยการออกแบบแบบอินเอียร์ การใช้เมมโมรี่โฟมระดับพรีเมียม Comply ™ หูฟัง Hammerhead True Wireless Pro ยังได้รับการจัดอันดับ IPX4 สำหรับการป้องกันเหงื่อและน้ำกระเซ็น

“หูฟัง Hammerhead True Wireless Pro เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับมือถือที่เหนือชั้นสำหรับผู้ใช้งานในชีวิตประจำวันและนักเล่นเกมมือถือที่ต้องการคุณภาพเสียงและความพอดีที่ปรับแต่งได้ ผู้ใช้จะเพลิดเพลินไปกับเสียงที่พอดีอย่างไม่น่าเชื่อ คุณภาพเสียงระดับพรีเมียม ให้เสียงแฝงต่ำไม่ถูกรบกวน เหมาะสำหรับชมภาพยนตร์ ฟังเพลง เล่นเกมตลอดจนการโทรศัพท์ หรือใช้งานวิดีโอ ทั้งหมดนี้อยู่ในแพ็คเกจขนาดเล็กที่พอดีกับกระเป๋าของคุณ” John Moore หัวหน้าฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์ต่อพ่วงของ Razer กล่าว

กำจัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟไฮบริดขั้นสูงเพื่อประสบการณ์การฟังที่ไม่ถูกรบกวน

Hammerhead True Wireless Pro ใช้ ANC แบบไฮบริดเพื่อขจัดเสียงรบกวนทั้งภายนอกและภายในที่ไม่ต้องการโดยการสร้างคลื่นเสียงผกผันพร้อมกันรวมกับโซลูชันการแยกเสียงรบกวนแบบพาสซีฟที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว สิ่งนี้ทำได้โดยการรวมไมโครโฟนภายนอก (Feedforward) สองตัวและไมโครโฟนภายใน (Feedback) สองตัวเพื่อให้ได้เสียงที่ต้องการแบบชัดเจน

THX® Certified Audio

เพื่อให้บรรลุข้อกำหนดที่ค่อนข้างเข้มงวดเพื่อการรับรองจาก THX ซึ่งจะมีการประเมินรายละเอียดหลายขั้นตอน เช่น ช่วงความถี่ การตอบสนอง รวมทั้งอุปกรณ์จะต้องสามารถให้เสียงที่มีคุณภาพชัดเจน มีรายละเอียดและเสียงเบสที่หนักแน่น ลึก โดยไม่มีความผิดเพี้ยนที่ระดับเสียงสูง กระบวนการรับรองยังต้องการการแยกเสียงที่ยอดเยี่ยมซึ่ง Hammerhead True Wireless Pro มีการออกแบบอินเอียร์เพื่อความกระชับพอดี การใช้งานที่สะดวกสบายที่สามารถปรับแต่งระดับเสียงที่ต้องการฟังตามความชอบหรือตัวเลือกในแบบอะคูสติกได้โดยจุกหูฟังที่ทำจากโฟมพรีเมี่ยมสีดำของ Comply หรือจากหนึ่งในหกชุดของเคล็ดลับซิลิโคนที่รวมอยู่ในขนาดและวัสดุต่างๆ

“หูฟัง Hammerhead True Wireless Pro เข้าร่วมกับหูฟัง Razer Opus ในการได้รับการรับรองมาตรฐาน THX เราประเมินและปรับแต่งหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับประสบการณ์เสียงคุณภาพสูง เวทีเสียงที่มิติสมบูรณ์สมดุล เสียงร้องที่ชัดเจน และเสียงเบสที่หนักแน่น สำหรับฟังเพลง เล่นเกม และชมภาพยนตร์” Peter Vasay หัวหน้า THX Certification, THX Ltd. กล่าว

เสียงรบกวนต่ำ
หูฟัง Razer Hammerhead True Wireless Pro มอบซาวด์สเคปที่กว้างสำหรับการเล่นเกมบนมือถือ ชมภาพยนตร์และฟังเพลงจากไดรเวอร์ 10 มม. การตอบสนองความถี่ 20-20kHz เมื่อเปิดใช้งานโหมดเล่นเกมแบบสัมผัส การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.1 ที่กำหนดเองจะช่วยลดเวลาแฝงเหลือเพียง 60 มิลลิวินาทีในระหว่างการเล่นเกม ดังนั้นผู้ใช้จึงมีเวลาตอบสนองที่เร็วขึ้น 50% + โดยให้เสียงและวิดีโอที่ตรงกันมากขึ้น



การควบคุมแบบสัมผัสและการใช้งานที่สะดวกและง่ายดาย

การควบคุมแบบสัมผัสบน Razer Hammerhead True Wireless Pro ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับระหว่าง ANC และโหมด Quick Attention จึงสามารถควบคุมเพลง การโทร และเปิดใช้งานระบบสั่งงานด้วยเสียงของสมาร์ทโฟนได้เพียงสัมผัสไม่กี่ครั้ง Quick Attention Mode ใช้ไมโครโฟนเพื่อให้เสียงภายนอกเข้ามาซึ่งมีประโยชน์สำหรับการสนทนาอย่างรวดเร็ว แอพลิเคชั่นบนมือถือทั้งระบบ iOS และ Android สามารถเข้าถึงการตั้งค่าอีควอไลเซอร์เสียง การรีแมปท่าทางการสัมผัส การทดสอบความพอดีที่ไม่เหมือนใครและอื่น ๆ อีกมากมาย

หูฟัง Hammerhead True Wireless Pro มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่รวมสูงสุด 20 ชั่วโมงโดยใช้เวลา 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งที่เอียร์บัดและชาร์จใหม่ได้สูงสุด 4 เท่าจากเคสชาร์จ USB-C ที่ให้มาซึ่งเหมาะสำหรับการจัดเก็บและชาร์จเอียร์บัดโดยอัตโนมัติเมื่อไม่ใช้งาน สำหรับการพกพาเอียร์บัดไร้สายใหม่ของคุณอย่างมีสไตล์ คุณสามารถใส่เคส TPU ที่ทนทานของ Razer THS พร้อมคลิปคาราไบเนอร์จาก Razer

ABOUT THE RAZER HAMMERHEAD TRUE WIRELESS PRO

หูฟัง

การตอบสนองความถี่: 20 Hz - 20kHz
ความต้านทาน: 16 Ohm
Drivers: 10 mm
น้ำหนัก: 53 g (5g x 2 earbuds, 43g charging case)

ไมโครโฟน
การตอบสนองความถี่: 100 Hz – 10 kHz
อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน:60 dB
Sensitivity (@1 kHz): -42 dBFS
รูปแบบการรับสัญญาณ: รอบทิศทาง

การควบคุมการสัมผัส
การควบคุมเพลง: เล่น / หยุดชั่วคราว / ข้าม / ก่อนหน้า
การควบคุมการโทร: รับสาย / ปฏิเสธ / สลับ / สิ้นสุด
สามารถจับคู่การเปิดใช้งานโหมดเกมและ smartphone virtual assistant

แบตเตอรี่
อายุแบตเตอรี่: สูงสุด 20 ชั่วโมง (รวมเคสชาร์จ) * อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการใช้งาน

Compatibility
อุปกรณ์ที่รองรับระบบเสียง Bluetooth
แอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนพร้อมใช้งานสำหรับอุปกรณ์ Android และ iOS
ตัวแปลงสัญญาณที่รองรับ: SBC, AAC

การรับรอง
THX Certification

ราคาและสถานที่จัดจำหน่าย
Hammerhead True Wireless Pro: $199.99 USD / €209.99 MSRP
Hammerhead True Wireless Pro THS Carrying Case: $29.99 / €34.99

Razer.com: ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2020 เป็นต้นไป
ร้านค้าที่ได้รับอนุญาต: เดือนธันวาคม 2020


เกี่ยวกับ Razer
เครื่องหมายการค้ารูปงูสามหัวของ Razer ถือเป็นหนึ่งในตราสัญลักษณ์ที่มีผู้คนรู้จักมากที่สุดในชุมชนเกมมิ่งและอี-สปอร์ตระดับโลก โดยบริษัทได้ออกแบบและพัฒนาเครือข่ายสำหรับผู้เล่นเกมโดยเฉพาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งผสานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการต่างๆ เข้าด้วยกัน ภายใต้ฐานลูกค้าที่กระจายอยู่ทั่วทุกทวีป Razer มีฮาร์ดแวร์ที่ได้รับรางวัลมากมาย ทั้งอุปกรณ์ต่อพ่วงประสิทธิภาพสูงสำหรับเกมมิ่ง เกมมิ่งโน้ตบุ๊กตระกูล Blade รวมถึง Razer Phone ที่ได้เสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ขณะเดียวกันแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์จาก Razer ที่รวมแล้วมีผู้ใช้งานมากกว่า 100 ล้านรายนั้น ประกอบด้วย Razer Synapse (แพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์) Razer Chroma RGB (ระบบเทคโนโลยีแสงไฟ RGB เอกสิทธิ์เฉพาะของบริษัท) และ Razer Cortex (ซอฟต์แวร์เพื่อปรับปรุงการเล่นเกมและศูนย์รวมบริการ) ส่วนทางด้านบริการต่างๆ ของ Razer ก็เช่น Razer Gold ที่ถือเป็นบริการเครดิตแบบเสมือนสำหรับเกมเมอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกรายหนึ่ง และ Razer Fintech หนึ่งในหน่วยงานด้านเทคโนโลยีทางการเงินภายใต้การบริหารงานของเรเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ก่อตั้งขึ้นในปี 2548 และมีสำนักงานใหญ่สองแห่งในเออร์ไวน์ (แคลิฟอร์เนีย) และสิงคโปร์ Razer ปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ 17แห่งทั่วโลกและได้รับการยอมรับว่าเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกสำหรับเกมเมอร์

Razer - For Gamers. By Gamers.™

67
กลุ่มทรู ร่วมงานสัมมนาออนไลน์ “5 New S-Curve Season 2 : 5 อุตสาหกรรมอนาคต”


กลุ่มทรู โดย นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนาออนไลน์ “5 New S-Curve Season 2 : 5 อุตสาหกรรมอนาคต” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเตรียมพร้อมผู้ประกอบการธุรกิจไทยที่เกี่ยวข้องกับ “อุตสาหกรรมดิจิทัล” ให้สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงและก้าวสู่โลกดิจิทัลหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 เข้าสู่ยุคนิวนอร์มัล โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายองค์กรร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาทิ หอการค้าไทย, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, กสทช. และสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย


โดย นายณัฐวุฒิ กล่าวถึง ความท้าทายของผู้ประกอบการในยุค Disruption ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาว่า ผู้ประกอบการมีบทบาท 2 แบบ คือ ผู้ถูก Disrupt และ ผู้ Disrupt ซึ่งผู้ประกอบการสามารถผันตัวให้เป็น Disruptor ได้ โดยต้องเปิดใจทำงานกับพันธมิตรและเชื่อในพลังของ New Generation ซึ่งจะต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี โดยกลุ่มทรูพร้อมนำศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจร  สนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และเป็น Disruptor ได้ ทั้งนี้ ทรูเตรียมความพร้อมในการให้บริการ โดยจะทำงานกับพันธมิตรให้มากขึ้น และใช้ข้อมูลให้เก่งขึ้น รวมถึงมีการขยายธุรกิจดิจิทัลในต่างประเทศ พร้อมกันนี้ ยังแนะแนวคิดให้ผู้ประกอบการพิจารณานำดิจิทัลเทคโนโลยีมาเสริมศักยภาพธุรกิจให้ดีขึ้น และพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับกลุ่มคนใหม่ๆ เพื่อจุดประกายไอเดียที่จะช่วยเปลี่ยนตัวเองเป็น Innovator หรือ Disruptor ได้

68
“ปภาวิน” เจ้าของแบรนด์ Hi-jet นำแบรนด์น้องใหม่ Hi-Care หน้ากากอนามัย ร่วมออกบูธในงานเปิดโครงการ AEC TRADE CENTER-PANTIP WHOLESALE DESTINATION ใจกลางกรุงย่านประตูน้ำ



เมื่อเร็ว ๆ นี้  บริษัท ปภาวิน จำกัด ผู้จัดจำหน่ายกระดาษและหมึกพิมพ์ ภายใต้แบรนด์ Hi-jet (ไฮ-เจ็ท) "ที่ 1 เรื่องงานพิมพ์" นำแบรนด์น้องใหม่ Hi-Care หน้ากากอนามัยมาตรฐานทางการแพทย์ เกรดพรีเมี่ยม รองรับ PM 2.5 เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส ไปออกบูธในงานเปิดตัวโครงการ AEC TRADE CENTER-PANTIP WHOLESALE DESTINATION ศูนย์ค้าส่งครบวงจรแห่งแรกในไทยใจกลางกรุงย่านประตูน้ำ ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญ ๆ ของกรุงเทพฯ

โอกาสนี้ คุณประภาพร มโนมัยวิบูลย์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปภาวิน จำกัด ซึ่งได้รับเกียรติเข้าร่วมในพิธีเปิดตัวโครงการ AEC ดังกล่าว โดยมุ่งสนับสนุนศักยภาพผู้ประกอบการไทย และผู้ประกอบการธุรกิจด้วยกันให้แข่งขันได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และเป็นการเปิดตลาด Hi-Care แบรนด์น้องใหม่อีกด้วย   

สำหรับแบรนด์น้องใหม่ Hi-Care หน้ากากอนามัย ชนิดคล้องหู 3 ชั้น มีคุณสมบัติป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 ปลอดภัยได้มาตรฐาน BFE และ VFE ซึ่งสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้ถึง 99% สำหรับคนรักและใส่ใจในเรื่องสุขภาพ โดยผ่านการทดสอบรับรองจากสถาบัน NELSON LABORATORIES และ EUROFINS
โดย บริษัทฯ มอบโปรโมชั่นสุดคุ้ม ซื้อ 5 กล่อง แถมฟรีอีก 1 กล่อง ราคาชุดละ 375 บาท เฉลี่ยกล่องละ 62.50 บาท เท่านั้นคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!! (ปกติกล่องละ 79 บาท) เริ่มตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 3 มกราคม 2564

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท ปภาวิน จำกัด โทร. 02-489-4949, Line ID: 0813591258, Line Official: https://lin.ee/9ixqmos  หรือ https://www.facebook.com/hijetpaper/

69
ทูซีทูพี เชื่อมโยงระบบการชำระเงิน Qwik Omni-Channel ขยายศักยภาพให้ SME เชื่อมช่องทางซื้อขายออนไลน์และออฟไลน์ พร้อมเสนอสินเชื่อเพื่อธุรกิจจาก Investree สูงสุด 5 ล้านบาท





ทูซีทูพี ผู้ให้บริการรับชำระเงินชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อมโยงกลยุทธ์การรับชำระเงิน เพื่อให้กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก SME มีช่องทางการชำระเงินครบวงจร โดยผสมผสานทั้งออฟไลน์และออนไลน์ให้เข้าถึงลูกค้าได้ทุกทาง นอกจากนี้สำหรับ SME ที่สมัครใช้บริการ Qwik Omni-Channel รับข้อเสนอสินเชื่อเงินกู้เพื่อธุรกิจจาก Investree บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการเงินที่มีฐานการทำธุรกิจอยู่ในภูมิภาคอาเซียน สูงสุดถึง 5 ล้าน ด้วยเงื่อนไขดอกเบี้ยเรทพิเศษและปลอดชำระดอกเบี้ยและเงินต้นสูงสุดถึง 3 งวดแรก สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการ 2C2P เกิน 6 เดือนและผ่านเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติของ Investree

นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร กรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เนื่องด้วยสถานการณ์ โรค Covid-19 ในหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจ SME ที่มียอดขายจากหน้าร้านได้รับผลกระทบมากที่สุด ดังนั้นทางทูซีทูพี จึงได้พัฒนาบริการ Qwik Omni-Channel และยังสรรหาพันธมิตรเพื่อช่วยให้กลุ่มธุรกิจเล็ก อย่าง SME สามารถไปต่อได้ โดยมีช่องทางการขายเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจรายเล็กต้องปรับตัวและสร้างความแตกต่าง และเข้าถึงใจผู้บริโภคให้ได้ จากการขายผ่านทางหน้าร้านค้าอย่างเดียว มาเป็นเพิ่มช่องทางการค้าขายที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งเว็บไซต์  โทรศัพท์ หรือโซเชี่ยลมีเดีย ฯลฯ  บริการ Qwik Omni-Channel เป็นบริการที่รวมช่องทางการชำระเงินต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผู้ชำระเงิน ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกสแกน QR จ่ายที่หน้าร้าน  หรือให้ทางร้านส่งลิงก์ผ่านช่องทางการติดต่อ อาทิ อีเมล์ SMS หรือแชทใน social media เมื่อลูกค้าได้ลิงก์ กดเข้าไป สามารถเลือกชำระเงินได้หลากหลายช่องทางตามสะดวก ทั้งบัตรเครดิตวีซ่า มาสเตอร์การ์ด เจซีบี และยูเนี่ยนเพย์ หรือจะเลือกจ่ายแบบตัดบัญชีธนาคาร หรือแอปธนาคารก็ได้ นอกจากนี้ยังมีช่องทาง e-wallet, QR พร้อมเพย์, เคาน์เตอร์รับชำระชั้นนำทั่วประเทศให้เลือกด้วย ทั้งนี้ ร้านค้าสามารถดาวน์โหลด Qwik Mobile Application ซึ่งรองรับทั้ง iOS และ Android เพื่อทำรายการได้แบบสะดวกและปลอดภัย นอกเหนือจากนั้น หากร้านค้าต้องการเครื่องเครื่องอนุมัติวงเงินบัตรเครดิตอัตโนมัติ (EDC) หรือเครื่องอ่าน QR ทางเราก็มีบริการในราคาพิเศษเช่นกัน”

นายวรกร สิริจินดา ผู้ร่วมก่อตั้ง อินเวสทรี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “บริษัทอินเวสทรีมีความยินดีที่ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับร้านค้าที่ใช้บริการ Qwik เพื่อนำเสนอแพกเกจเงินกู้อเนกประสงค์ที่ได้รับเงื่อนไขพิเศษ สำหรับ SME ที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียน  โดยเฉพาะในสภาวะปัจจุบันที่สถาบันการเงินหลักมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการรายเล็กได้รับผลกระทบอย่างมากในสภาวะเช่นนี้ ทางอินเวสทรี จึงนำเสนอบริการให้สินเชื่อเงื่อนไขพิเศษ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ให้แก่ผู้ประกอบการ SME และ micro SME ที่ใช้บริการทูซีทูพีโดยวงเงินที่ลูกค้ามีโอกาสได้รับจะพิจารณาจากยอดขายย้อนหลังของลูกค้าที่ชำระผ่านทูซีทูพีด้วยวิธีการสมัครที่ง่ายและรวดเร็วผ่านระบบ Qwik ของ ทูซีทูพี โดยตรง”

70


ครั้งแรกในอาเซียน! CAT จับมือ อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) เปิดให้บริการ AWS Outposts ชูโซลูชันไฮบริดคลาวด์ครบวงจรเต็มรูปแบบ ประกาศความมุ่งมั่นพร้อมรองรับทุกองค์กรของไทย



( ดร.วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจดิจิทัล)

CAT พลิกโฉมวงการไอทีประเทศไทย จับมือพาร์ทเนอร์คลาวด์ระดับโลก อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) เปิดตัวโซลูชัน CAT Cloud powered by AWS พร้อมบริการ AWS Outposts ไฮบริดคลาวด์เต็มรูปแบบรายแรกในอาเซียน เชื่อมตรงบริการ AWS แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-Stop Service) พร้อมมอบประสบการณ์ไฮบริดคลาวด์ไร้รอยต่อเสถียรภาพสูง ชูจุดเด่นเก็บข้อมูลในประเทศ


Thitima Rungphati - AWS wWPS business Development Lead, Amnazon Web Services(Thailand)


คนกลาง-คุณวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งขาติ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันพฤหัสบดีที่ 3  ธันวาคม 2563 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ผู้นำด้านบริการโทรคมนาคมและบริการคลาวด์ในประเทศไทย ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่แข็งแกร่งทั้งดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานสากล และโครงข่ายอินเตอร์เน็ตระหว่างได้ประเทศ ได้พลิกโฉมเขย่าวงการไอทีไทย ประกาศความเป็น AWS พาร์ทเนอร์ เน็ตเวิร์ค ในงาน “CAT x AWS - Unlocking Your Business” ด้วยการจับมือกับ อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มระบบคลาวด์ชั้นนำของโลกด้วยบริการครบวงจร หลากหลาย มีมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง และเชื่อมโยงทั่วโลก พร้อมเปิดตัวให้บริการเทคโนโลยีไฮบริดคลาวด์ของ AWS ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับโลก “AWS Outposts” ในประเทศไทยเป็นรายแรกของภูมิภาคอาเซียน

พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เปิดเผยว่า บริการใหม่ของ CAT ภายใต้ความร่วมมือกับ AWS เป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญยิ่งของ CAT ในปี 2563 นี้ เพื่อนำบริการคลาวด์ของ CAT ไปสู่การเป็นอันดับ 1 ของไทย  โดยนำบริการคลาวด์ที่ดีที่สุดมาให้องค์กรในประเทศไทยได้ใช้และพัฒนาไปพร้อมกัน  ภายใต้แบรนด์ ‘CAT Cloud powered by AWS” ชูจุดเด่นคือบริการ AWS Outposts ที่ถูกติดตั้งจัดเก็บข้อมูลในประเทศไทยที่ Data Center ของ CAT พร้อมบริการเสริมที่ครบถ้วนจาก AWS  นำเสนอเป็นโซลูชันไฮบริดคลาวด์ตอบโจทย์ทุกองค์กร

- AWS Outposts ฮาร์ดแวร์แร็คออกแบบโดย AWS ที่ตั้งค่าการทำงานและบริหารจัดการได้อย่างเต็มรูปแบบ  ช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทย สามารถรันเวิร์กโหลดบน on-premise และเชื่อมต่อกับบริการที่หลากหลายของ AWS บนคลาวด์ได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานและโมเดลการดำเนินการแบบเดียวกับที่ใช้ในปัจจุบัน มอบประสบการณ์ไฮบริดที่ต่อเนื่องอย่างแท้จริง

-  AWS Professional Services เป็นการผสานกำลังความแข็งแกร่งระหว่าง CAT กับ AWS ในการให้คำปรึกษา, ความช่วยเหลือ, และคำแนะนำในการออกแบบระบบ Cloud ที่ครอบคลุมทุกความหลากหลายของ Solution, เทคโนโลยี, และรองรับทุกธุรกิจ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความคุ้มค่ากับการลงทุนที่สุดให้กับลูกค้า

-  AWS Managed Services (AMS) บริการบริหาร, ดูแล และจัดการระบบไอทีพื้นฐานขององค์กรแบบครบวงจร ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้ลูกค้าได้ทุ่มเทกับธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่

- AWS Direct Connect คือการเชื่อมโยงวงจรสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย Private Network ของ CAT เข้ากับ AWS Direct Connect Locations

พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ เปิดเผยว่า “CAT  มีการพัฒนาบริการคลาวด์เพื่อตอบสนองธุรกิจในยุคปัจจุบันซึ่งต้องการคลาวด์ที่หลากหลาย โดยขณะนี้องค์กรต่าง ๆ มีแนวโน้มความต้องการและความสนใจไฮบริดคลาวด์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ AWS ในการนำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้ เพื่อช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทยสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และประชาชนโดยรวมอย่างยั่งยืน โดยองค์กรที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายธุรกิจคลาวด์และบิ๊กดาต้า โทร 0-2104-4926-7 หรือรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.iris.cloud/aws







71
ปฏิทินข่าว บมจ.เออาร์ไอพี ร่วมกับ ม.หอการค้าไทย เตรียมจัดงานมอบรางวัล “THAILAND TOP SME AWARDS 2020”


นิตยสาร Business+ โดย บมจ. เออาร์ไอพี ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยความร่วมมือของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย จัดงานมอบรางวัลสุดยอดผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแห่งปี “THAILAND TOP SME AWARDS 2020” รางวัลอันทรงเกียรติและเครื่องหมายแห่งความภูมิใจแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่มีนวัตกรรมดีเด่นแห่งปี และมีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นแบบอย่างความสำเร็จให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น ในการพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ในวันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 เวลา 18.00 - 20.30 น. ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา

72
CHITAN X TRUE 5G ผนึกกำลังสร้างปรากฎการณ์ความสดชื่นส่งท้ายปี เปิดประสบการณ์อัจฉริยะในยุค 5G มอบความสุขแบบดิจิทัล กับ แคมเปญ “สุขปังทุกฝา กับรหัสอัจฉริยะ” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเจนใหม่



กรุงเทพฯ 30 พฤศจิกายน 2563 – ผสานความแข็งแกร่ง 2 ท็อปแบรนด์ที่คนไทยชื่นชอบ อิชิตัน ผู้นำความสดชื่นในรูปแบบชาพร้อมดื่ม และ True 5G ผู้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ จับมือสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นำพาผู้บริโภคชาวไทยเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล ดึงเทคโนโลยีเปิดประสบการณ์ความสดชื่นรูปแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด “Taste of Innovation” สร้างสรรค์ “วินเทอร์ ยูสุ ฟิวส์ ที” ลิมิเต็ด อิดิชั่น ชาดำรสชาติพิเศษต้อนรับลมหนาวที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น กลมกล่อมหอมละมุน กลิ่นส้มยูสุ ดีต่อสุขภาพ ส่งตรงจากถิ่นกำเนิดเมืองเซโตะอุจิ ประเทศญี่ปุ่น เตรียมเปิดขวดให้ลิ้มลองทั่วประเทศ ตั้งแต่ 24 ธ.ค. 63 ที่ร้าน 7-Eleven ทุกสาขา พร้อมนำอัจฉริยภาพของ True 5G ยกระดับแคมเปญการตลาดยุค 4.0 กับ “ICHITAN x TRUE 5G สุขปังทุกฝา กับรหัสอัจฉริยะ” สนุก ตื่นเต้นทุกขวดกับ True 5G AR ที่ส่ง H-Man โลดแล่นบนฉลากให้การดื่มชาทุกครั้งเต็มไปเรื่องราวน่ารู้ สุดพิเศษจัดหนักโปรโมชั่นส่งรหัสใต้ฝา จับฉลากลุ้นโชคแบบดิจิทัล แจกรางวัลทุกวัน ทุกสัปดาห์ รวมมูลค่ากว่า 3.7 ล้านบาท มอบสุขปัง 2 ต่อ ทั้งลุ้นรับ Samsung Galaxy Z Fold 2 หรือ แพ็กเกจทรูพรีเมียร์ลีกตลอดฤดูกาล และสำหรับลูกค้าทรูมูฟ เอช ทุกรหัสที่ส่ง รับเพิ่มทันที 5 ทรูพอยท์ และเน็ต 2GB ให้ดูคอนเทนต์จุใจผ่านทรูไอดี คนเจนใหม่หมุนฝา ลุ้นรหัสอัจฉริยะ ได้ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 63 – 8 ก.พ. 64

ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ยุคที่ลูกค้าต้องการความแปลกใหม่แบรนด์ต้องจับมือพันธมิตรเพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้างประสบการณ์พิเศษเหนือความคาดหมาย การผนึกกำลังกับ True  ในครั้งนี้ เพื่อร่วมพาคนไทยไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเจเนอเรชัน ผ่าน True 5G ที่เป็นเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของเจเนอเรชั่นใหม่เช่นเดียวกับอิชิตัน มั่นใจช่วยสร้างเครือข่ายเชื่อมต่อกับลูกค้าได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้น โดยอิชิตัน และ True ร่วมพัฒนาชารสชาติใหม่ ลิมิเต็ด อิดิชั่น  “วินเทอร์ ยูสุ ฟิวส์ ที” ภายใต้คอนเซ็ปต์ 5G 5Good คือ Good Origin ชาดำรสชาติกลมกล่อมจากส้ม ยูสุที่ส่งตรงมาจากต้นกำเนิด เมืองเซโตะอุจิ ประเทศญี่ปุ่น, Good Health ผิวใสสุขภาพดี ได้ประโยชน์เต็ม,  Good Feeling สูตรน้ำตาลน้อยดื่มได้ไม่ต้องกังวลกับแคลอรี่, Good Taste สดชื่นถูกใจด้วยรสชาติเปรี้ยวเข้มกำลังดี และ Good Moment ดื่มเพื่อบูสต์อัพพลังระหว่างวันให้เต็มที่ นับเป็นครั้งแรกที่คนไทยจะได้ลิ้มลองชารสชาติพิเศษไม่เหมือนใคร พร้อมวางจำหน่ายต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข คริสต์มาสและปีใหม่ ที่ 7-Eleven ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ภายใต้โปรเจกต์ “สุขปังทุกฝากับรหัสอัจฉริยะ” ได้เตรียมโปรโมชันเพื่อเป็นของขวัญและกำลังใจส่งท้ายปีให้คนไทยผ่านพ้นปีที่เต็มไปด้วยวิกฤติโดยเร็ว กับรางวัลสุดล้ำสมาร์ทโฟนจอพับได้ Samsung Galaxy Z-Fold 2 5G มากถึง 50 เครื่อง มั่นใจ โดนใจกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และต้องการสมาร์ทโฟนรูปแบบใหม่ที่มาช่วยตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน  และพิเศษมากขึ้นสำหรับลูกค้าทรูมูฟ เอช ”รับรางวัลเพิ่มทันที 5 ทรูพอยท์ และเน็ต 2GB สำหรับดูคอนเทนต์บนทรูไอดี กับทุกการส่งรหัสร่วมรายการโดยไม่ต้องลุ้น”

โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และการสื่อสาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “กลุ่มทรู ย้ำความแข็งแกร่งในฐานะ Tech Company นำอัจฉริยภาพเทคโนโลยี True 5G เชื่อมโยงคนและสังคมอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเจนใหม่ ล่าสุด สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของ 2 แบรนด์ชั้นนำในใจคนไทย ผสานเทคโนโลยีสุดล้ำเพื่อเปิดประสบการณ์ความสดชื่นรูปแบบใหม่ ด้วยแนวคิด “Taste of Innovation” ดึงอัจฉริยภาพ True 5G มาสร้างสรรค์นวัตกรรม ยกระดับการตลาดยุคดิจิทัล เปิดแคมเปญ “ICHITAN x TRUE 5G สุขปังทุกฝา กับรหัสอัจฉริยะ” ให้ลูกค้าอิชิตันและลูกค้าทรู ได้สัมผัสประสบการณ์พิเศษ เพียงใช้แอป True 5G AR สแกนโลโก้ True 5G ข้างขวดชาพร้อมดื่มอิชิตัน 4 รสชาติ ที่รวมถึงรสชาติใหม่ล่าสุด วินเทอร์ ยูสุ ฟิวส์ ที รุ่นฉลาก True 5G Edition ก็จะได้สนุกกับ H-Man ที่จะมาสร้างสีสัน และให้ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับชารสชาตินั้น  นอกจากนี้ ยังร่วมกันจัดโปรโมชั่น จับฉลากลุ้นโชคแบบดิจิทัล แจกรางวัลทุกวัน ทุกสัปดาห์ รวมมูลค่ากว่า 3.7 ล้านบาท เพื่อเป็นการต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาถึงนี้  ซึ่งเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้ จะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงเทคโนโลยี 5G ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ด้วยจุดเด่นของอิชิตัน ผู้นำความสดชื่นในรูปแบบชาพร้อมดื่ม ที่มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมลูกค้าได้ทุกกลุ่มและทุกพื้นที่”

สำหรับแคมเปญ “ICHITAN x TRUE 5G สุขปังทุกฝา กับรหัสอัจฉริยะ” แจกรางวัลทุกวัน ทุกสัปดาห์ รวมมูลค่ากว่า 3,700,000 บาท เพียงซื้ออิชิตัน กรีนที รสน้ำผึ้งผสมมะนาว, อิชิตัน กรีนที รสต้นตำรับ, อิชิตัน กรีนที ผสมจมูกข้าวญี่ปุ่น และอิชิตัน วินเทอร์ ยูสุ ฟิวส์ ที ในขนาด 420 มล. รุ่นฉลาก ICHITAN x True5G Edition ที่ร้านสะดวกซื้อและร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ จากนั้น ส่งรหัสใต้ฝาทาง www.ichitanxtrue5g.com หรือ Scan QR Code ที่ข้างขวดผลิตภัณฑ์ของอิชิตัน ฉลากรุ่น ICHITANxTrue5G  ก็มีสิทธิ์รับสุขปัง 2 ต่อ

สุขปัง ชั้นที่ 1 : ทุกการส่งรหัสใต้ฝาจะได้ลุ้น (สามารถเข้าร่วมได้ทุกเครือข่าย)
รางวัลที่ 1 โทรศัพท์ Samsung Galaxy Z-FOLD 2 5G ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 เครื่อง รวม 50 รางวัล รวม 3,495,000 บาท
รางวัลที่ 2 แพ็คเกจทรูพรีเมียร์ ฟุตบอล ตลอดฤดูกาล(ฤดูกาล2020/2021) ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 10 รางวัลรวม 100 รางวัล รวม 250,000 บาท

สุขปัง ชั้นที่ 2 : ทุกรหัสที่ส่ง ได้รับความสุขปังเพิ่มทันที (สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าทรูมูฟ เอช)
ทุกรหัสที่ส่ง จะได้รับ 5 ทรูพอยท์ (TruePoints) และเน็ต 2GB สำหรับดูคอนเทนต์บนทรูไอดี(เฉพาะ TrueID เท่านั้น) ฟรีทันที!

เพิ่มความสุขแบบปังๆ ในโปรเจ็กต์ “สุขปังทุกฝา กับรหัสอัจฉริยะ” ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 8 กุมภาพันธ์ 2564 ติดตามข้อมูลและกิจกรรมลุ้นของรางวัลภายใต้ #IchitanXTrue5G #สุขปังทุกฝากับรหัสอัจฉริยะ #ComeTRUEwithTRUE5G ได้ทาง www.facebook.com/ichitan

รับชม VDO เปิดตัวความร่วมมือระหว่าง ICHITAN X TRUE 5G ได้ทาง https://youtu.be/8Y_JPk_G-8k
                                                                           

73

เปิดวาร์ป...อาชีพแห่งอนาคต “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” ชวน 6 มืออาชีพในแวดวงดิจิทัล ร่วมทอร์กถึงสกิลที่ต้องมีของคนยุคนี้ ในงาน “SWITCH YOUR FUTURE ON”

กรุงเทพฯ 3 ธันวาคม 2563 – เทคโนโลยีดิจิทัลที่ก้าวล้ำ นอกจากจะทำให้หลายๆองค์กรต้องเปลี่ยนแปลงโมเดลการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังส่งผลต่อกลุ่มคนทำงานที่จะต้องปรับเปลี่ยนเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร การเกิดขึ้นของอาชีพใหม่และแนวโน้มตลาดแรงงานในอนาคต ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน จึงร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตรองค์กรเทคโนโลยีและดิจิทัลชั้นนำ เปิด House of Digital Academy ศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก พร้อมเชิญกูรูในแวดวงดิจิทัลร่วมทอร์กแนะนำทักษะ สายงานที่กำลังเป็นที่ต้องการของยุคนี้ เปิดวาร์ป อาชีพแห่งอนาคต ในงาน “SWITCH YOUR FUTURE ON”


หนึ่งในอาชีพที่มาแรงในยุคดิจิทัล ก็คือ “อินฟลูเอนเซอร์” โดย คุณสุวิตา จรัญวงศ์ CEO/Co-Founder, Tellscore ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์กว่า 50,000 ราย กล่าวว่า ในมุมมองคน Gen Z คำว่าอาชีพอาจจะตกยุค แต่จะให้ความสำคัญกับแหล่งรายได้ที่สร้างความมั่นคงให้กับชีวิต “อินฟลูเอนเซอร์” จึงเป็นที่นิยมเนื่องจากสร้างรายได้ค่อนข้างสูง เมื่อก่อนการทำคอนเทนต์อาจเน้นหน้าตา ชื่อเสียง แต่ปัจจุบันให้ความสำคัญกับ KOC (Key Opinion Customer) หรือการเข้าถึงลูกค้าจริงๆ อย่างไมโครอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำคอนเทนต์แบบรีวิว ซึ่งแม้จะมีสปอนเซอร์ ก็มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาที่มีรูปแบบเดียวกันทุกแพลตฟอร์ม ทั้งยังสามารถวัดการมีส่วนร่วม (Engagement) การเข้าถึง หรือบทสนทนาเกี่ยวกับแบรนด์ สรุปรายงานได้อย่างชัดเจน


ด้าน ดร.ชนนิกานต์ จิรา Head of True Digital Academy ที่มุ่งเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลแก่บุคลากรในองค์กรต่างๆ กล่าวถึงอาชีพในสายเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมติดอันดับต้นๆ ของ Best Jobs In America 2020 ทั้งยังกำลังเป็นที่ต้องการในเมืองไทยเช่นกัน คือ Product Manager ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ จนสินค้าหรือบริการได้ออกสู่ตลาด ต้องมีทักษะรอบด้านทั้งการทำธุรกิจ เทคโนโลยี และดีไซน์ สามารถมองภาพรวมและจัดการปัญหาต่างๆ ได้ นอกจากนี้ ยังต้องมีทักษะในการ Managing Stakeholders ทุกระดับ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร, Being Data-Driven เก็บข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาอยู่เสมอ ตลอดจน Staying Customer Focused ใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อให้รู้จักและเข้าใจลูกค้า


ขณะที่อาชีพฮิตติดท็อป 5 ปี 2562 จากการสำรวจอาชีพในฝันของเด็กไทยอายุระหว่าง 7-14 ปี คือ eSport Player & Game Caster ซึ่ง คุณวริทธิ์นันท์ ไตรรัตโนภาส Director of Operations บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลว่า อุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตในไทยปี 2562 มีมูลค่าถึง 2.2 หมื่นล้านบาท จากการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศของอีสปอร์ต โดย GARENA ได้สนับสนุนในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ต่างๆ การพัฒนาแพลตฟอร์ม และการจัดการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์และหน่วยงานภาครัฐ ทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆ ในแวดวงนี้ อาทิ เกมแอนิเมเตอร์ เกมอาร์ตติส นักพัฒนาเกม และนักการตลาด เป็นต้น ซึ่งการีนาได้นำองค์ความรู้มาถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจและใฝ่ฝันเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเกมใน Garena Academy Level Up your Passion
 

อีกสายงานที่น่าสนใจด้านเทคโนโลยีเชิงสร้างสรรค์ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและศิลปะเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจ คุณเกียรติยศ พานิชปรีชา Founder/CEO, Bit.studio Academy เปิดมุมมองในอุตสาหกรรมด้านครีเอทีฟ เทคโนโลยี  คือ ศาสตร์ที่นำเทคโนโลยีมาผสม ดีไซน์ อาร์ท ซึ่งเทคโนโลยีอาจใช้ AI, Machine Learning, คอมพิวเตอร์กราฟิก หรืออื่นๆ มาผสม รวมถึงการมีอินเทอร์แอคทีฟระหว่างคนกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในงานต่างๆ ซึ่งในเมืองไทยอาจไม่เป็นที่รู้จัก แต่ในต่างประเทศจะให้ความสำคัญมาก  โดยเฉพาะคนไทยที่มีจุดแข็งเรื่องความคิดสร้างสรรค์อยู่แล้ว จึงควรผลักดันการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ ซึ่ง Bit.studio จะช่วยให้คนที่มีทักษะอยู่แล้วรู้ว่าจะนำประยุกต์ใช้อย่างไร ผ่านคำแนะนำ โชว์เคส และกิจกรรมต่างๆ กับ New Media Arts Master Class โดยมืออาชีพจากทั่วโลก


สำหรับมุมมองด้านการตลาดในยุค Data- Driven Decision คุณณัฐพล ม่วงทำ เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน กล่าวเกี่ยวกับความสำคัญของดาต้าต่อสายงานด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ว่า ข้อมูลสามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจในด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาสินค้า โปรโมชัน และอื่นๆ ซึ่งดาต้าจะช่วยให้ได้คำตอบที่ตรงใจลูกค้ามากที่สุด แต่สิ่งสำคัญอันดับแรกต้องรู้วัตถุประสงค์ในการเก็บดาต้า จากนั้นจึงวางกรอบการทำ Data Marketing ได้แก่ การเก็บดาต้าด้วยวิธีต่างๆ การเตรียมดาต้าให้พร้อมใช้งาน จัดทำกราฟเพื่อวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น การใส่ไอเดียในแง่มุมต่างๆ และการนำไปต่อยอดเป็นไอเดีย นอกจากนี้ ยังควรสร้างแดชบอร์ดเพื่อวิเคราะห์ธุรกิจด้วยตนเองซึ่งจะช่วยให้รู้ปัญหาและแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว


“ดาต้าจำเป็นสำหรับการทำธุรกิจ และในอนาคต Coding จะเป็นทักษะที่จำเป็นของสายงานต่างๆ” คุณไพบูลย์ พนัสบดี ผู้ช่วยนายกสมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย กล่าวและเผยว่า ประเทศไทยยังขาดแคลนโปรแกรมเมอร์ เนื่องจากแต่ละปีมีการผลิตบุคลากรด้านนี้ออกมาน้อย สมาคมฯ จึงมีคอร์สอบรมต่างๆ เพื่อผลิตโปรแกรมเมอร์ Data Scientist รวมถึง IoT Developer ที่เรียน ARDUINO ซึ่งจะเป็นสายฮาร์ดแวร์ทำหุ่นยนต์รองรับเทคโนโลยี IoT อีกด้วย

งาน “SWITCH YOUR FUTURE ON” เปิดมุมมองสายอาชีพที่เกิดใหม่ ตลอดจนทักษะที่แรงงานในอนาคตจำเป็นต้องมี  ซึ่งยังคงมีอีกหลากหลายทักษะและสายอาชีพใหม่ๆ ที่น่าสนใจ โดย House of Digital Academy ที่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค รวมทุกโอกาสในการเรียนรู้ และการ upskill ด้านดิจิทัลในที่เดียว พร้อมเปิดให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในการทำงานและการทำธุรกิจ  เพื่อยกระดับความรู้ด้านดิจิทัล เพื่อคนรุ่นใหม่ เพื่อคนไทยทุกคน ดูรายละเอียดหลักสูตร ตารางการเรียน ลงทะเบียน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://www.truedigitalpark.com/TDPK-House-of-Digital-Academy สำหรับงาน “SWITCH YOUR FUTURE ON” สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://fb.watch/1WYJiIyJYK/ 

74





DGA จับมือร่วมพันธมิตรสร้างมิติใหม่การศึกษาไทย นำร่องเปิดใช้บริการ Digital Transcript ปี ’63 พร้อมดันสู่ Digital Transformation เต็มรูปแบบ



บรรยากาศในงานแถลงข่าว

สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือ DGA พร้อมเดินหน้าผลักดันการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลให้ครอบคลุมทุกมิติยกระดับสังคมไทยสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยจับมือกับพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) และ คณะทำงานกำหนดมาตรฐานการจัดทำเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล (Digital Transcript) จัดงาน “แถลงข่าวนำร่องการให้บริการ Digital Transcript” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเดินหน้าใช้ Digital Transcript เข้ามาตอบโจทย์สำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน อำนวยความสะดวกให้นิสิต/นักศึกษา หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ลดขั้นตอนการรับสมัครเข้าทำงาน หรือรับสมัครเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบ Transcript ในรูปแบบกระดาษ ซึ่งถือเป็นปัญหาและความยุ่งยาก (Pain Point) และมีค่าใช้จ่ายในการจัดทำและจัดเก็บเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบกระดาษโดยเฉพาะการทำสำเนาเอกสารซ้ำหลายครั้ง ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำการยกระดับการศึกษาไทยเข้าสู่ยุค Digital Transformation อย่างเป็นรูปธรรม

ศ.ดร.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานและการให้บริการนิสิตนักศึกษา ประชาชน และหน่วยงานต่าง ๆ และยินดีสนับสนุนส่งเสริมโครงการ Digital Transcript อย่างเต็มที่ สำหรับเป้าหมายของโครงการ Digital Transcript เบื้องต้นอยากให้มหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมนำร่องให้บริการให้ได้ภายในสิ้นปีการศึกษา 2563 คือ นิสิตนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษานี้จะได้รับ Transcript ในรูปแบบดิจิทัลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการสมัครงานหรือเรียนต่อได้ทันที และคาดหวังว่าจะสามารถขยายโครงการนี้ไปยังมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน รวมทั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่สังกัดกระทรวงอื่น ๆ ในอนาคต


ด้าน ดร. สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) เปิดเผยว่า “โครงการ Digital Transcript ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการรวมพลังผลักดันการศึกษาไทยก้าวสู่ยุค Digital Transformation อย่างเต็มรูปแบบ สามารถช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างมาก เช่น สำหรับนิสิต/นักศึกษา จะสามารถเข้าถึง Digital Transcript ของตนเองได้ผ่านช่องทางดิจิทัล ทุกที่ ทุกเวลา ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังสถานศึกษาเพื่อขอ Transcript ฉบับใหม่หรือค่าใช้จ่ายในการรับเอกสารทางไปรษณีย์ ด้านหน่วยงานที่ต้องใช้ Transcript ทั้งภาครัฐและเอกชน ก็จะลดภาระและขั้นตอนในการตรวจสอบความถูกต้องจริงแท้ (Authenticity) ของเอกสารสำคัญทางการศึกษาได้ และมีความเชื่อมั่นได้ว่า Digital Transcript ที่มี Digital Signature เป็นเอกสารจริงที่ออกโดยมหาวิทยาลัย และไม่ถูกปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขโดยผู้ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ โดยสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเอกสารด้วยตนเองเพียงใช้ซอฟต์แวร์พื้นฐาน และสถาบันอุดมศึกษาที่ออก Digital Transcript จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการจัดทำและจัดเก็บเอกสารรูปแบบกระดาษลงได้ในระยะยาว”

DGA ในฐานะหน่วยงานกลางที่มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลได้ตระหนักถึงประโยชน์ที่ทุกฝ่ายจะได้รับ จึงได้เร่งเดินหน้าร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อนำร่องโครงการ Digital Transcript เปลี่ยนแปลงรูปแบบการออกเอกสารจากรูปแบบกระดาษเป็นรูปแบบดิจิทัลที่มีลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) สนับสนุนการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มีบทบาทสำคัญในการกำหนดและประกาศมาตรฐานข้อมูลสำหรับการจัดทำ Digital Transcript เพื่อใช้แลกเปลี่ยนเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานผ่านระบบดิจิทัล

โครงการ Digital Transcript นอกจากอำนวยความสะดวกแก่นิสิต/นักศึกษา และประชาชน ช่วยป้องกันการปลอมแปลงวุฒิการศึกษา และลดภาระของหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเอกสารสำคัญทางการศึกษาแล้ว ยังนับเป็นการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลครั้งสำคัญของประเทศอีกด้วย ทั้งการปรับเปลี่ยนวิธีคิด (mindset) ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม (culture) และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (behaviour) ของสังคมให้ยอมรับและคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการสร้าง ตรวจสอบ และใช้งานเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัลหรือ Digital Transcript ได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะกลายเป็นต้นแบบ หรือ Model สำหรับการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลในประเด็นหรือมิติอื่น ๆ ของภาครัฐต่อไป”



นางสาววิริยา เนตรน้อย ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) เปิดเผยว่า สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินการปรับปรุงกระบวนการขั้นตอนการให้บริการของหน่วยงานของรัฐเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การผลักดันการตราพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 การผลักดันให้หน่วยงานของรัฐยกเลิกการเรียกรับสำเนาเอกสารราชการจากประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการออกเอกสารหลักฐานของทางราชการในรูปแบบดิจิทัลโดยมุ่งเน้นเอกสารที่มีผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนและผู้ประกอบการ เช่น ใบอนุมัติ ใบอนุญาต ใบรับรองต่าง ๆ ซึ่ง Digital Transcript ของมหาวิทยาลัยอยู่ในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันให้มีการจัดทำเอกสารอื่น ๆ ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เช่น บัตรต่าง ๆ ของทางราชการ ใบเสร็จรับเงินของหน่วยงานของรัฐ ใบมอบอำนาจ รวมทั้งใบรับรองแพทย์ จนถึงปัจจุบันมีเอกสารของหน่วยงานของรัฐจำนวน 61 เอกสารที่เป็นรูปแบบดิจิทัลที่เป็นไปตามมาตรฐานเรียบร้อยแล้ว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จะผลักอีกอย่างน้อย 80 เอกสารให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่เป็นไปตามมาตรฐาน เมื่อทุกหน่วยงานสามารถออกเอกสารหลักฐานในรูปแบบดิจิทัลได้สำเร็จ นอกเหนือจากผู้ประกอบการที่จะได้ประโยชน์ในการตรวจสอบเอกสารได้อย่างสะดวกรวดเร็วแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องรับคนเข้าทำงานจะได้รับประโยชน์อย่างมากเช่นเดียวกัน ในส่วนของมหาวิทยาลัย ทางสำนักงาน ก.พ.ร. มุ่งหวังว่านอกจากจะออก Digital Transcript แล้ว อยากให้เอกสารประเภทอื่นปรับเป็นเอกสารดิจิทัลด้วย เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง


ดร.ชัยชนะ  มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า การผลักดันให้ภาครัฐเกิดการทำงานในรูปแบบ Digitization เปลี่ยนผ่านการให้บริการและการออกเอกสารสำคัญต่าง ๆจากแอนะล็อก เป็นดิจิทัล ETDA ได้เดินหน้าขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องโดยร่วมกับ คณะทำงานกำหนดมาตรฐานและแนวทางการจัดทำเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล (Digital Transcript) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำและประกาศใช้ ข้อเสนอแนะมาตรฐาน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จำเป็นต่อธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ว่าด้วยข้อความอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใบประมวลผลการศึกษา (Message Standard for Academic Transcript) เลขที่ ขมธอ.25-2563 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 ที่ผ่านมาเพื่อให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ใช้เป็นมาตรฐานแนวทางในการจัดทำใบประมวลผลการศึกษาในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมและสอดคล้อง กับกฎระเบียบของแต่ละสถาบัน อำนวยความสะดวกแก่ นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไปที่สำเร็จการศึกษาแล้ว รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน สามารถเข้าถึงและตรวจสอบเอกสารสำคัญทางการศึกษาได้โดยง่าย รวดเร็ว และได้รับเอกสารในรูปแบบดิจิทัลที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสากล

สำหรับความสำคัญของมาตรฐานนี้ ได้มีการกำหนดโครงสร้างข้อมูลของข้อความอิเล็กทรอนิกส์ของใบประมวลผลทางการศึกษา เพื่อให้สถาบันการศึกษาใช้เป็นมาตรฐานแนวทางในการจัดทำข้อมูลในใบประมวลผลการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีโครงสร้างข้อมูลในรูปแบบ Message Package ที่มีให้เลือกใช้งานหลากหลายไฟล์ ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้งานได้ ตามที่ ETDA กำหนด

การมี Digital Transcript นับเป็นส่วนหนึ่งของการนำมาตรฐานไปสู่การปฏิบัติ ภายใต้ Digital Standard Landscape ที่ ETDA  หวังให้เป็นทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยหน่วยงานของรัฐจะต้องมีแพลตฟอร์มและ e-Service ภายใต้มาตรฐาน กฎเกณฑ์ ที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ เพื่อร่วมกัน Go Digital ขับเคลื่อนประเทศ เศรษฐกิจและสังคมด้วยดิจิทัลไปพร้อมกันกับ ETDA



ผศ. ดร. ธัชวีร์ ลีละวัฒน์ รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและวิทยาเขตกาญจนบุรี มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธานคณะทำงานกำหนดมาตรฐานการจัดทำเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล กล่าวว่า คณะทำงานฯ ได้ร่วมกันพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับมาตรฐานข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการจัดทำ Digital Transcript โดยมี สพธอ. เป็นหน่วยงานสำคัญในการจัดทำและประกาศมาตรฐานดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสถาบันต่าง ๆ ผ่านระบบดิจิทัล ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมจะเริ่มนำร่องให้บริการ Digital Transcript ในปีการศึกษา 2563 นี้ และจะร่วมกันขยายผลไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในอนาคตต่อไป

เกี่ยวกับ : สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือ DGA
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เรียกโดยย่อว่า “สพร.”  ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “Digital Government Development Agency (Public Organization)” หรือ “DGA” เป็นหน่วยงานในการกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางของระบบรัฐบาลดิจิทัล ทำหน้าที่ในการให้บริการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นเกี่ยวกับการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล สามารถติดตามและอัปเดตข้อมูลข่าวสารรัฐบาลดิจิทัล ได้ที่เว็บไซต์ www.dga.or.th และโซเชียลมีเดีย : DGA Thailand ทุกช่องทาง หรือ โทร. 0-2612-6000

75
TUX เพิ่มความยืดหยุ่นของซัพพลายเชนด้านขนส่งระหว่างประเทศ สิงคโปร์ - มาเลเซีย – ไทย



กรุงเทพฯ, 2 ธันวาคม 2563 – บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไอโอทีซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์การให้บริการโครงข่าย ซิกฟอกส์ (Sigfox) ของ 3 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บริษัท ติงส์ ออน เน็ต จำกัด บริษัท ยูนาบิส จำกัด และ บริษัท เอ็กซ์เพอแรนติ ผนึกกำลังเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการซัพพลายเชนด้านขนส่งระหว่างประเทศระบบ Asset Tracking Management ซึ่งเป็นกระบวนการติดตามทรัพย์สินระหว่างเส้นทางขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย

การเสวนา Webinar ทางออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้ ภายใต้หัวข้อ “Cross-Border Land Cargo – เจาะลึกกลยุทธ์ การขนส่งสินค้าทางบกไร้พรมแดน” ได้ยกตัวอย่างระบบโซลูชันที่สามารถติดตามทรัพย์สินโดยใช้โครงข่าย 0G เทคโนโลยีระดับโลกจากซิกฟอกส์ และชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนและการเชื่อมโยงระบบซัพพลายเชนระหว่างประเทศแบบไร้พรมแดนที่ได้รับผลกระทบหยุดชะงักจากวิกฤตโควิด-19

การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเติบโตของตลาดผู้บริโภคและการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่งผลดีต่อธุรกิจการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนในภูมิภาคจากการขนส่งทางบกมีความรวดเร็วมากกว่าการขนส่งทางทะเล เนื่องจากใช้ระยะเวลาการขนส่งที่สั้นกว่า และถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ

นายปวิณ วรพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ติงส์ ออน เน็ต จำกัด ประเทศไทย กล่าวว่า “การค้าข้ามพรมแดนระหว่างประเทศไทย - มาเลเซีย – สิงคโปร์ เป็นหนึ่งเส้นทางที่ได้รับความนิยมที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ปัจจุบันปริมาณการขนส่งทางบกคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งหมด โดยมีปัจจัยเรื่องระยะเวลาขนส่งและความคล่องตัวเป็นตัวแปรสำคัญที่ผลักดันให้ช่องทางการขนส่งสินค้าทางบกถูกยกให้เป็นช่องทางยอดนิยมของผู้ประกอบการกลุ่ม FMCG (Fast Moving Consumer Goods) นอกจากนี้ การจัดตารางเวลาสำหรับการขนส่ง ความยืดหยุ่นของเส้นทางการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และความสามารถที่จะจัดส่งสินค้าได้แบบ door-to-door ที่รวดเร็ว จึงทำให้การขนส่งทางบกสามารถดำเนินการได้ตลอดเวลา”

ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ต่อภาคอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์
โควิด-19 ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ส่งผลให้กฎระเบียบด้านศุลกากรและการควบคุมชายแดนมีความเข้มงวดขึ้น และสร้างความท้าทายอย่างมากต่อบริษัทโลจิสติกส์ทั่วโลก โดยพบว่าปริมาณการขนส่งสินค้าทางบกลดลงอย่างน้อย 30% อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปิดกั้นพรมแดนสิงคโปร์และมาเลเซียเพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของไวรัส โคโรนา แต่การขนส่งสินค้ารวมถึงอาหาร และเวชภัณฑ์ระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ยังคงไม่หยุดชะงัก

จากผลพวงของโควิด-19 บางประเทศได้เริ่มใช้มาตรการเพื่อเร่งการเดินหน้าเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น รัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศความคิดริเริ่มในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันใหม่ เพื่อส่งเสริมการแบ่งปันข้อมูลที่เปิดกว้างและเชื่อถือได้ในระบบนิเวศห่วงโซ่อุปทานที่กระจัดกระจาย ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทั้งจากภาครัฐและเอกชน โครงการริเริ่มใหม่นี้พยายามที่จะเชื่อมต่อแพลตฟอร์มข้อมูลที่มีอยู่ของผู้นำเข้าและผู้ส่งออก บริษัทขนส่ง และสถาบันการเงิน เพื่อช่วยลดการพึ่งพาเอกสาร ป้องกันกรณีการฉ้อโกง รวมถึงผลประโยชน์อื่น ๆ

"ขณะที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานด้านโลจิสติกส์จำเป็นต้องเร่งสร้างระบบดิจิทัลเพื่อป้องกันปัญหาอุปสรรคและเพื่อเพิ่มศักยภาพของตนเอง ซึ่งเครือข่าย Sigfox 0G ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับความท้าทายหลักสี่ประการของระบบดิจิทัลในซัพพลายเชน ได้แก่ มีต้นทุนในการเก็บและรวบรวมข้อมูลต่อข้อความที่ต่ำที่สุด แบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 11 ปีโดยไม่ต้องชาร์จ ติดตั้งและบำรุงรักษาง่าย และมีประสิทธิภาพในการรองรับการใช้งานของโซลูชันเดียวกัน ในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ภายใต้สัญญารับบริการจากผู้ให้บริการเครือข่ายในพื้นที่ของตน เมื่อสินค้าของคุณเคลื่อนผ่านข้ามพรมแดนก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องหรือสลับสัญญาณเครือข่ายให้ยุ่งยาก” โจนาธาน ตัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนาบิส จำกัด ประเทศสิงคโปร์  กล่าว

”เราใช้ประโยชน์จากโซลูชันเครือข่ายน้ำหนักเบาซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ของ Sigfox โดยทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเพื่อเสริมโปรโตคอลแบนด์วิดท์สูงที่มีอยู่ เช่น 4G และ 5G เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ” เขากล่าวเสริม

การเชื่อมโยงระบบซัพพลายเชนระหว่างประเทศแบบไร้พรมแดน
ระบบติดตามแบบ GSM เป็นระบบที่ใช้กันทั่วไป แต่ยังไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาด้านการติดตามสินค้าเมื่อต้องขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนเนื่องจากข้อจำกัดของรถบรรทุกสินค้า ในสหภาพยุโรปรถบรรทุกสามารถข้ามพรมแดนได้ง่าย ขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศใดประเทศหนึ่งจะไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศอื่นๆ  ตัวอย่างเช่น รถบรรทุกของมาเลเซียไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ เช่นเดียวกับที่รถบรรทุกของไทยไม่สามารถเข้ามาเลเซียได้ ส่งผลให้แม้บริษัทขนส่งสินค้าจะยินดีจ่ายค่าบริการ โรมมิ่งเพื่อติดตามยานพาหนะของตน แต่อุปกรณ์ติดตามการโรมมิ่งจำเป็นต้องติดตั้งในระดับจุลภาคของตู้คอนเทนเนอร์ พาเลท หรือกล่องบรรจุภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าจะต้องถูกเปลี่ยนถ่ายไปสู่รถบรรทุกที่สามารถวิ่งในประเทศนั้นๆ ได้ ณ ด่านตรวจชายแดน
 
วิคส์ คานากะซิงงาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์เพอแรนติ ประเทศมาเลเซีย เปิดเผยว่า ลูกค้าของบริษัทซึ่งเป็นบริษัท   โลจิสติกส์ขนาดใหญ่ในมาเลเซียต้องเผชิญกับความท้าทายในการติดตามยานพาหนะทั้งหมดของบริษัทว่าอยู่ที่ไหนในเวลาใดเวลาหนึ่ง จากเดิมลูกค้าของเราต้องเพิ่มความพร้อมด้านทรัพย์สินในการขนส่ง เช่น รถพ่วงและตู้คอนเทนเนอร์จำนวนมากเพื่อให้สามารถรองรับงานบริการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ด้วยการใช้โซลูชัน โลจิสติกส์อัจฉริยะของเราบนเครือข่าย Sigfox IoT ได้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพการใช้งานสินทรัพย์ที่มีอยู่ส่งผลให้ลดเวลารอได้ถึง 80% ก่อนที่จะเข้ารับสินค้า"

นอกเหนือจากการติดตามสินค้าแล้ว เครือข่าย Sigfox ยังรองรับเซ็นเซอร์ประหยัดต้นทุนพลังงานต่ำอื่นๆ ด้วย เช่น อุณหภูมิและความชื้น ซึ่งเป็นส่วนเสริมในการติดตามทรัพย์สินในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงยา โดยใช้การตรวจติดตามผลของระบบความเย็น

เฮเฟอิซ ฮาซัน ตัวแทนซิกฟอกส์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิงกูลาริตี้ แอร์โรเทค เอเชีย (Singularity Aerotech Asia) อธิบายเพิ่มเติมว่า “สำหรับเราในฐานะเป็นผู้ใช้เทคโนโลยี Sigfox สิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่ความเรียบง่ายและราคาโซลูชันที่จับต้องได้ ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ให้บริการโซลูชันแบบ end-to-end ซึ่งมีความโดดเด่น คือ สามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าของเราโดยใช้เทคโนโลยีที่ตลาดสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างรวดเร็ว”

เกี่ยวกับ ซิกฟอกส์ (Sigfox):
ซิกฟอกส์ คือ ผู้ให้บริการเครือข่าย 0G ระยะไกล พลังงานต่ำ ซึ่งเป็นเครือข่ายสื่อสารแบบไร้พรมแดนครอบคลุมกว่า 70 ประเทศทั่วโลก เครือข่ายน้ำหนักเบา เป็นวิธีที่ปลอดภัยเหมาะสำหรับบริษัทโลจิสติกส์ที่ดำเนินงานในระดับภูมิภาค และระดับสากล สามารถรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบ และติดตามสินค้าได้โดยไม่ต้องลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากเมื่อ เทียบกับระบบโรมมิ่งที่มีราคาสูงและซับซ้อนหรือจำเป็นต้องเปลี่ยนซิมการ์ดเพื่อให้สามารถติดตามสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน บริษัทโลจิสติกส์สามารถรับประกันการจัดหาสินค้าที่จำเป็นและความพึงพอใจของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 330