Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - pooklook

Pages: 1 2 3 [4] 5 6 ... 71
46
ชายคนหนึ่งนอนพะงาบๆ อยู่บนเตียงใน รพ. ขณะใกล้หมดลมนั้นเอง เค้าก็ทำไม้ทำมือ เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง บาทหลวงที่นั่งเฝ้าอยู่ใกล้เตียง จึงก้มลงกระซิบถามเบาๆ ว่า

"ลูกมีอะไรที่อยากจะสั่งเสียหรือเปล่า" .. คนป่วยพยักหน้าช้าๆ บาทหลวงจึงหยิบกระดาษกับปากกา ส่งให้ และบอกเค้าว่า

"พ่อรู้ ว่าลูกพูดไม่ได้ ลูกใช้ปากกานี้เขียนก็แล้วกัน แล้วพ่อจะส่งให้กับภรรยาของลูกที่รออยู่ข้างนอกเอง"

ชายผู้ป่วยรวบรวมกำลังเป็นครั้งสุดท้าย เค้ายกปากกาขึ้นลากตัวหนังสืออย่างลำบาก ก่อนจะยัดมันลงในมือของบาทหลวง อึดใจต่อมาเค้าก็เสียชีวิต

จากนั้นบาทหลวงจึงแจ้งเรื่องน่าเศร้าให้ภรรยาของชายผู้นั้นทราบ เมื่อปลอบโยนเสร็จ บาทหลวงก็ยื่นกระดาษยับยู่ในมือให้กับเธอ

"นี่คือคำสั่งเสียสุดท้ายของเค้า ก่อนที่จะหมดลม เค้าเขียนโน้ตนี้ให้ลูก"

ด้วยน้ำตาที่นองใบหน้า ภรรยาของผู้ตายเปิดโน้ตในมือ ออกอ่านอย่างช้าๆ

"อย่า เหยียบ ... ส..า..ย ออกซิเจน !!!"

47
เมื่อเดินทางออกจากอุทยานแห่งชาติป่าหินงามตอนเที่ยงกว่าๆ แล้ว เราก็ปรึกษากันว่าจะไปไหนต่อดี

สอบถามจากร้านอาหารที่ไปกิน เค้าว่าจะไปมอหินขาวต้องเดินทางอีกไกล แต่อุทยานแห่งชาิติไทรทองไม่กี่กิโล

เราจึงตกลงไปไทรทองกันค่ะ ค่าเข้าอุทยาน ผู้ใหญ่คนละ 40 เด็ก คนละ 20 ค่ารถอีก 30 บาท

เมื่อเข้าไปถึงเราก็ไปติดต่อรถเพื่อเข้าไปชมทุ่งดอกกระเจียวกับเจ้าหน้าที่อุทยาน คนละ 60 บาทค่ะ

หรือจะนำรถส่วนตัวเข้าไปเองก็ได้นะคะ แต่ยกเว้นรถเก๋งค่ะ น่าจะเพราะบริเวณทางเข้าเป็นแบบนี้



เส้นทางที่ไปมีทั้งที่ลาดยาง เป็นดินแดง และก็ถนนชำรุดค่ะ ถ้ารถไม่เหมาะจะลุย ใช้บริการของอุทยานดีกว่านะคะ

จุดนี้มีผีเสื้ออยู่กันเยอะเชียวค่ะ



สำหรับเส้นทางเดินไปชมทุ่งดอกกระเจียวจะเลาะริมเขาไปเรื่อยๆ แวะชมวิวได้จุใจเลยค่ะ



จุดนี้เป็นมุมมหาชน ที่ใครมาต้องมานั่งห้อยขาถ่ายรูปกันค่ะ


48
ออกเดินทางวันเสาร์ที่ 22 มิ.ย. ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ไปถึงที่ทำการอุทยานประมาณตีสี่ครึ่งค่ะ

อากาศเย็นจนน่าตกใจ เพราะปกติตื่นมาในกรุงเทพนี่ร้อนตับแล่บ เสื้อกันหนาวก็ไม่ได้เตรียมไปซะด้วย

นอนพักเอาแรงบนรถกันซักพัก จนเห็นนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยมา ก็ไปซื้อตั๋วรถของทางอุทยานเพื่อเดินทางไปดูทุ่งดอกกระเจียวค่ะ

ค่ารถ คนละ 20 บาท ถึงฟ้าจะเริ่มสว่างแล้ว แต่หมอกยังหนา จนมองทางข้างหน้าไม่เห็นเลยค่ะ



รถพามาถึงจุดแรกเพื่อชมผาสุดแผ่นดิน และทุ่งดอกกระเจียวค่ะ



เดินชมทุ่งท่ามกลางสายหมอก อากาศเย็นสบายมากๆ ค่ะ


49
นิทรรศการหลวงพ่อทองคำ ตั้งอยู่บริเวณ ชั้น 3 ของพระมหามณฑปฯ วัดไตรมิตรวิทยาราม

สำหรับชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชมนะคะ...เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับดีมากเลยค่ะ

ตอนที่ไปชม เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาดู เห็นว่าเซ็นเซอร์ใช้การไม่ได้ มัลติมีเดียไม่แสดง ก็รีบแก้ไขแล้วมาแจ้งให้ทราบค่ะ

ที่นี่จัดแสดงประวัติการสร้างพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือหลวงพ่อทองคำที่ประดิษฐานอยู่ที่ชั้น 4 ค่ะ



นิทรรศการภายใน







ขั้นตอนการเททอง




50
 "เห็ด" หาทานได้ง่าย แถมยังมีประโยชน์มากมายเลยล่ะคะ โดยปัจจุบันเห็ดหลากชนิด อาทิ เห็ดฟาง เห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดแชมปิญอง เห็ดเข็มทอง เห็ดออรินจิ เห็ดสกุลนางรมต่างๆ เห็ดโคน เห็ดหูหนู ถูกนำมาทำเป็นอาหารสุขภาพหลากเมนู นิยมทานทั้งแบบเห็ดสด แบบบรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่ตากแห้ง นอกจากนี้วงการยาก็นำไปศึกษาวิจัยเรื่องสรรพคุณทางยา

ที่น่าสนใจคือเคยมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า เห็ดหลายชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีโปรตีนสูง สามารถทดแทนโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ อาหารมังสวิรัติจึงนิยมใช้เห็ดเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้เห็ดบางชนิดยังนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้อีกด้วย

เห็ดส่วนใหญ่มีแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ ปราศจากคลอเลสเตอรอล มีธาตุโปแตสเซียมสูง จึงมีคุณสมบัติช่วยลดความดัน และยังมีสารซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง แถมยังอุดมด้วยวิตามินบี เฉพาะในเห็ดหอมสดจะมีวิตามินซีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เพื่อเสริมกระดูกและฟัน อย่างไรก็ตาม การทานเห็ดสดหรือเห็ดที่ปรุงโดยความร้อนที่ไม่สูง โดยใช้เวลาไม่นานนัก จะให้คุณค่าของสารอาหารมากกว่าเห็ดที่ปรุงสุกหรือผ่านความร้อนนานๆ นะคะ เว้นแต่ในส่วนดอกสดของเห็ดจะมีวิตามินซีมากจึงไม่ควรกินสด ควรทำให้สุกเสียก่อน เนื่องจากมีสารบางอย่างจะไปยับยั้งการดูดซึมของอาหารในระบบย่อยอาหาร

คุณสมบัติของเห็ดจะเหมือนกับถั่ว ซึ่งมีโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนรสชาติเมื่อทำให้สุกจะคล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์ แต่จะย่อยง่ายกว่า นอกจากนี้เห็ดยังให้พลังงาน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยซึ่งช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย เห็ดบางชนิดอย่างเช่นเห็ดหอมแห้งที่แช่น้ำก่อนนำมาปรุงอาหารจะมีปริมาณเส้นใยสูงเทียบเท่าผักที่มีเส้นใยมาก และยังมีปริมาณไขมันที่ต่ำ

เห็ดยังถือเป็นทั้งอาหารและยาในเวลาเดียวกัน เพราะมีซีลีเนียม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ลดเสี่ยงเกิดมะเร็ง และโรคสำหรับผู้สูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ มีโพแทสเซียม เป็นสารที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ มีวิตามินบีรวม ไรโบฟลาวิน ช่วยบำรุงผิวพรรณและการมองเห็น ไนอะซิน ควบคุมการทำงานระบบย่อยอาหารและระบบประสาท แต่เห็ดมีโซเดียมต่ำ

เรามาดูสรรพคุณของเห็ดแต่ละชนิดกันบ้างดีกว่าค่ะ

เห็ดหอม ลดไขมันในเส้นเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็ง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน โซเดียมต่ำเหมาะสำหรับคนป่วยโรคไต ลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร

เห็ดหูหนู เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวส่งผลให้ภูมิต้านทานดี ช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง บำรุงสมอง หัวใจ ปอด กระเพาะ ตับ แพทย์แผนจีนใช้บำรุงไต ลดไข้ กระตุ้นการทำงานของลำไส้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ต้มกับน้ำตาลกรวดจิบแก้ไอ

เห็ดเข็มทอง ถ้าทานเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะและลำไส้อักเสบเรื้อรัง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่เยื่อบุช่องท้อง ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

เห็ดหลินจือ มีสารสำคัญเบต้ากลูแคน ช่วยต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้เสริมการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังสามารถรักษาโรคในระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ อย่างระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะ ท้องผูก ริดสีดวงทวาร ระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการไอ แก้ปอดอักเสบ ภูมิแพ้ และระบบการไหลเวียนของเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ลดคลอเลสเตอรอล

ส่วนเห็ดนางฟ้า เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดนางรม เห็ดภูฎาน ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาลในเลือด ปรับสภาพความดันโลหิต ลดการอักเสบ ยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย เห็ดหูหนูขาว ช่วยบำรุงปอดและไต เห็ดฟาง ลดความดันโลหิต เร่งการสมานแผล บำรุงกำลัง บำรุงตับ แก้ช้ำใน เห็ดเผาะ หรือเห็ดถอบ บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง แก้ช้ำใน และเห็ดโคนบำรุงร่างกาย ทำให้แช่มชื่น กระจายโลหิต ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้

ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาสารสำคัญในเห็ด โดยเฉพาะสารจำพวกโพลีแซคคาไรด์ (polysaccharide) ผู้วิจัยพบมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญของเอชไอวี ไวรัส เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยืดอายุผู้ป่วยโรคมะเร็ง ยังยั้งการเจริญของก้อนเนื้องอก และลดระดับคอเลสเตอรอลในสัตว์ทดลองอีกด้วยค่ะ

อย่างไรก็ดี ยังมีเห็ดบางประเภทที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หรือที่เรียกว่า เห็ดพิษ ซึ่งสวนใหญ่เจริญในป่า ดังนั้นวิธีการง่ายๆ ที่เราจะหลีกเลี่ยงอันตรายจากเห็ดพิษ คือ ไม่นำเห็ดที่ไม่รู้จัก เห็ดที่ถูกเก็บมาจากป่า มาปรุงอาหารทานเด็ดขาด

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วท่านผู้อ่านที่รักสุขภาพคงได้ทำความรู้จักกับเห็ดกันมากขึ้นจนอยากจะหาเมนูเห็ดมาทานกันในมื้อถัดๆ ไปกันแล้วใช่ไหมค่ะ อย่าลืมนะคะว่า เลือกทานเฉพาะเห็ดที่เราคุ้นเคย แค่นี้เราก็จะมีสุขภาพที่ดีจากสารอาหารที่มีอยู่ในเห็ดกันแล้วล่ะคะ.

"PrincessFangy"
twitter.com/PrincessFangy

อิงเนื้อหาบางส่วนจาก www.ist.cmu.ac.th

http://www.dailynews.co.th/article/822/187444

51
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า ทาครีม สารพันที่คุณทำเพื่อความสวยความงามอยู่ สิ่งที่หวังว่าจะดูดีขึ้นสวยขึ้น อาจกลับทำให้แย่ลง ...คุณกำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่หรือไม่

1. ลงรองพื้นทันทีหลังทาครีมบำรุงผิว
ความชุ่มชื่นในมอยส์เจอไรเซอร์ จะทำให้แต่งหน้าติดไม่ทน ถ้าไม่รอให้มอยส์เจอไรเซอร์ซึมลงสู่ผิวเสียก่อน ดังนั้นหลังทาครีมบำรุงผิวแล้วควรรอประมาณ 60 วินาที ก่อนลงรองพื้น หรือหากไม่มีเวลาก็ให้ใช้กระดาษทิชชูซับหน้าเบา ๆ แล้วจึงลงรองพื้น

2. ฉีดน้ำหอมหลังสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว
น้ำหอมอาจทำให้ผ้าเป็นรอยด่างดวง และเส้นใยผ้าก็อาจทำให้น้ำหอมมีกลิ่นแปลกออกไป เพราะน้ำหอมถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับผิวหนัง ความร้อนของร่างกายจะส่งผลให้น้ำหอมส่งกลิ่นหอมรวยรินตลอดทั้งวัน จึงควรฉีดหรือแต้มน้ำหอมบนร่างกายก่อนแต่งตัวบริเวณจุดชีพจร เช่น ข้อพับหัว เข่า ซอกคอ หลังใบหู และข้อมือ ที่สำคัญไม่ต้องถูข้อมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน หลังจากฉีดน้ำหอมเสร็จ เพราะจะเป็นการทำลายโครงสร้างโมเลกุลของน้ำหอม

3. ไม่ต้องใส่ใจลำคอ
เมื่อทาครีมบำรุงผิวหน้า อย่าหยุดแค่ที่คาง เพราะผิวหนังบริเวณลำคอ บอบบางกว่าผิวบริเวณหน้าเสียอีก ดังนั้นจึงเกิดริ้วรอยง่าย ทางที่ดีควรดูแลผิวที่ลำคอให้เหมือนกับใบหน้า หากทาครีมกันแดด ก็เลื่อนมือลงมาบริเวณลำคอด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมสำหรับทาคอโดยเฉพาะ ยกเว้นถ้าครีมที่ใช้มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่หรือเรตินอล ให้ลองทดสอบก่อนว่าจะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้บริเวณลำคอ

4. ทามอยส์เจอไรเซอร์รอบดวงตาลดอาการบวม
ความชุ่มชื้นในครีมจะเพิ่มน้ำให้ผิว ดังนั้น การทามอยส์เจอไรเซอร์อาจทำให้รอบดวงตาบวมยิ่งกว่าเดิม ถ้ารอบดวงตาบวมแต่ไม่แดงหรือระคายเคือง ให้ใช้น้ำแข็งประคบเป็นเวลา 10-15 นาที หรือใช้อายเจลที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แต่ถ้ารอบดวงตาบวมแดงและคัน สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากการแพ้อะไรสักอย่าง

5. ชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนจรดปลาย
โดยปกติเวลาสระผม เรามักจะชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนจรดปลาย เหมือนเวลาใช้แชมพูสระผม แต่แท้จริงแล้วบริเวณโคนผมจะแข็งแรงเนื่องจากเพิ่งงอกใหม่ ส่วนปลายผมต่างหากที่ต้องการการดูแล เพราะงอกออกมานานแล้ว ทั้งเป็นส่วนที่ได้รับความเสียหาย การชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนผมจะทำให้ผมมันและดูลีบแบน ทางที่ดีควรชโลมครีมนวดผมบริเวณหูลงไปจรดปลายผม จะทำให้ผมมีน้ำหนักและไม่มันง่าย จึงไม่ต้องสระผมบ่อย

6. อาบน้ำและสระผมจนกว่าจะรู้สึกสะอาด
การขัดถูร่างกายหรืออาบน้ำนานจนเกินไป อาจทำให้รู้สึกสะอาดและสดชื่นก็จริง แต่ก็จะเป็นการทำลายน้ำมันตามธรรมชาติที่จะช่วยปกป้องผิวและทำให้ผิวชุ่มชื่นด้วย ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำพวกใยขัดตัวหรือแชมพูยา ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะทำลายน้ำมันบนผิวมาก ไม่ควรอาบน้ำนานกว่าสิบนาที และใช้เวลาน้อยกว่านี้ถ้าอาบน้ำอุ่น

7. ประโคมยารักษาสิวเต็มที่
ถ้าสิวผุดขึ้นมาบนใบหน้า ไม่ว่าเม็ดเล็กหรือใหญ่ สิ่งที่คนทั่วไปมักจะทำคือ โปะยารักษาสิวให้มากและบ่อยเข้าไว้ ด้วยหวังว่าสิวเม็ดนั้นจะยุบลงโดยเร็ว แท้จริงแล้วยารักษาสิวมีกรด ซึ่งจะค่อย ๆ ซึมลงสู่ผิวทั้งหมดใช้เวลาเป็นชั่วโมง การทายามากเกินไป จึงอาจทำให้สิวปะทุมากขึ้น และเกิดอาการแพ้ ผิวหนังแห้ง และระคายเคือง ควรปฏิบัติตามวิธีใช้อย่างเคร่งครัด โดยส่วนใหญ่จะให้ทาแค่วันละหนึ่งหรือสองครั้งเพื่อป้องกันผิวแห้ง

8. ครีมนวดลดเซลลูไลท์ขจัดผิวเปลือกส้มได้
ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ จะอ้างสรรพคุณจากการทดลองใช้จากผู้ใช้กี่คนก็ตาม ความเป็นจริงก็คือ ยังไม่มีครีมหรือเจลตัวใดที่สามารถสลายเซลลูไลท์ หรือช่วยลดกระชับบริเวณที่มีผิวเปลือกส้มนี้ได้อย่างถาวร

9. ใช้ครีมกันแดดแค่วันที่มีแดดก็พอ
ในแสงแดดมีทั้งรังสี UVA และ UVB โดยรังสี UVB มาในรูปของความร้อน ทำให้เกิดอาการผิวแสบไหม้ ยิ่งแดดจ้ามากเท่าไหร่ รังสี UVB ก็ยิ่งเข้มข้นและทำให้ผิวไหม้ได้มากเท่านั้น ส่วน UVA นั้นไม่ว่าจะแดดจัดหรืเมฆครึ้ม รังสีตัวนี้ก็ยังสามารถแทรกลงมาทำลายผิวได้ทุกเมื่อ แม้ว่าคุณจะนั่งอยู่ในห้องที่กระจกติดฟิล์มกรองแสงก็ตาม UVA นี้แหละเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดริ้วรอย ความเหี่ยวย่น และฝ้ากระจุดด่างดำต่าง ๆ บนผิว เพราะฉะนั้นหากคุณคิดว่าใช้ครีมกันแดดเฉพาะวันที่มีแดดหรือออกนอกบ้านละก็ คิดผิดถนัด

10. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชนิดเดิมไม่เปลี่ยน
บางคนใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทเดิมต่อเนื่องตลอดทั้งปี ความจริงไม่ควรทำเช่นนี้ สภาพผิวหน้าของเรามีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ กันไป ตามอายุ อากาศ ความชื้น มลภาวะ ฯลฯ ในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาวผิวเราย่อมมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ต้องการการบำรุงผิวที่แตกต่างกัน จึงต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าในแต่ละช่วงเวลาของปีด้วย

11. จังก์ฟู้ด อาหารมันและช็อกโกแลตทำให้เกิดสิว
ข้อนี้คาดว่าหลาย ๆ คน น่าจะเคยได้ยินและเชื่อกันมานานว่า อาหารแป้ง ของมันๆ และช็อกโกแลตเป็นสาเหตุของการเกิดสิว แต่ความจริงแล้วกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่มีหลักฐานใดหนักแน่นเพียงพอที่จะชี้ชัดได้ว่า พวกมันคือตัวการก่อนให้เกิดสิวจริง ๆ

12. ผิวมันไม่ต้องการความชุ่มชื้น
ผิดถนัด! ความชุ่มชื้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในการรักษาให้เซลล์ผิวมีสุขภาพดี เซลล์ผิวที่ขาดน้ำนอกจากจะแห้งกร้านแล้ว บางครั้งยังหลั่งน้ำมันออกมาหล่อเลี้ยงผิวด้วย ดังนั้นคนที่มีผิวหน้ามัน จึงไม่ได้หมายความว่าผิวไม่ต้องการความชุ่มชื้น สำหรับสาวผิวมันควรหลีกเลี่ยงครีมบำรุง หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หากแต่เลือกใช้ครีมที่เติมความชุ่มชื้นแบบออยล์ฟรีแทน

13. ครีมบำรุง เนื้อยิ่งขันยิ่งดี
สาว ๆ หลายคนมีความเชื่อเรื่องครีมบำรุงผิวว่า ยิ่งเนื้อผลิตภัณฑ์เข้มข้นเท่าไหร่ก็ยิ่งบำรุงผิวได้ล้ำลึกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผิวของเรามีขีดความสามารถจำกัดในการดูดซับความชุ่มชื่น ไม่ว่าเนื้อครีมจะเข้มข้นแค่ไหน ผิวหนังของเราก็ดูดซึมความชุ่มชื่นไปแค่เท่าที่ต้องการเท่านั้น แล้วก็ปล่อยครีมส่วนที่เหลือไว้ให้เหนอะหนะอยู่ด้านบนนั่นเอง

14. เครื่องสำอางที่ระบุว่าออร์แกนิก (Organic) ปลอดภัย
สารที่ผสมในเครื่องสำอางออร์แกนิกหมายถึง สารที่มาจากธรรมชาติ ถูกเลี้ยงมาโดยปราศจากยากำจัดศัตรูพืช เลี้ยงในที่สะอาด และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อีกทั้งสามารถย่อยสลายได้ด้วย จริง ๆ แล้ว ก็ไม่ถูกเสียทั้งหมด เพราะในเครื่องสำอางมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติมานานแล้ว แต่จุดที่น่ากังวลคือแอลกอฮอล์ (Alcohol Denatured) ก็จัดเป็นสารออร์แกนิกด้วย เช่นกัน ทั้งยังมีผสมในเครื่องสำอางมานานแล้ว ถ้าหากมีมากเกินไปก็อาจส่งผลให้เกิดอนุมูลอิสระกับผิวในระยะยาวได้ อีกทั้งผิวที่บอบบางแพ้ง่าย ใช้แล้วก็จะลอกและแสบ ควรลองมองหาตำรับที่ปราศจากสารตัวนี้
และสุดท้ายสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายก็คือ น้ำมันจากดอกลาเวนเดอร์ น้ำมันจากยูคาลิปตัส น้ำมันจากมินต์ หรือแม้กระทั่งน้ำมันจากผิวส้มและเลมอน ซึ่งจัดเป็นน้ำหอมธรรมชาติทางออร์แกนิก ก็อาจทำให้ผิวผู้ที่แพ้ง่ายระคายเคืองได้เช่นกัน

52
คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดูแลตัวเองในฤดูฝน เพราะคิดว่าอากาศสบาย ๆ ในวันฟ้าครึ้มฝนตก อาจไม่ได้ส่งผลร้ายต่อสุขภาพผิว สุขภาพกายของตนเอง ความเข้าใจผิดเหล่านี้อาจทำให้ฤดูฝนที่แสนสบาย เป็นฤดูสะสมความร่วงโรยแห่งผิวและสุขภาพโดยไม่รู้ตัวได้ อาวียองซ์ อะคาเดมี โดย ภก. ดร. พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาความรู้ผลิตภัณฑ์ระดับนานาชาติ จะมาไขความกระจ่างว่าเพราะอะไร เราจึงยังควรต้องดูแลผิวพรรณในช่วงหน้าฝน

ภก. ดร. พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ แห่ง อาวียองซ์ อะคาเดมี เล่าว่า อากาศที่ขมุกขมัว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้ หลายคนเข้าใจผิดว่าไม่จำเป็นต้องระวังภัยจากแสงแดด ไม่ต้องทากันแดดก็ได้ อันที่จริงแล้วแม้ไม่มีแสงแดดเลย แต่ในช่วงกลางวันก็ยังคงมีรังสียูวีเอ ที่มองไม่เห็นซึ่งเข้าทำร้ายผิวชั้นลึกให้มีปัญหาริ้วรอยแก่ก่อนวัยอยู่ดี ดังนั้นหากละเลย ไม่ทาโลชั่นกันแดดในวันใด ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ผิวได้สะสมริ้วรอยลึกก่อนวัยมากขึ้นในวันนั้น

แนะนำว่าต้องทาโลชั่นกันแดดที่ปกป้องครอบคลุมทั้งรังสียูวีเอ ยูวีบี และ อนุมูลอิสระทุกเช้าก่อนการแต่งหน้า โดยควรเลือกสูตรกันน้ำ ที่ไม่เหนอะหนะ เผื่อต้องลุยฝนก็ยังมั่นใจว่าผิวยังได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง  และยิ่งสภาพอากาศร้อนชื้นในฤดูฝนจะทำให้ผิวสะสมความมัน ความสกปรกจากเหงื่อฝุ่นละออง สาว ๆ ที่ต้องแต่งหน้าไปทำงานด้วยรองพื้นเนื้อหนา จึงควรงด ใช้เครื่องสำอางเดิม ๆ ก็ได้ เพราะอาจยิ่งทำให้ผิวเหนอะหนะและเสี่ยงเกิดสิวได้ง่าย แต่ควรเปลี่ยนมาใช้ครีมรองพื้นชนิดเนื้อทิ้นท์ Tinted Foundation ที่เนื้อบางเบากว่าไม่หนาเหนอะหนะ โดยเลือกสูตรที่ให้เม็ดสีเข้มข้นเพียงพอที่จะปกปิดให้ผิวดูเป็นธรรมชาติ ตามด้วยแป้งฝุ่นเนื้อบางเบาจะช่วยซับความมันได้ อย่าลืมเลือกใช้มาสคาร่าและอายไลน์เนอร์ชนิดกันน้ำติดทนไว้ก่อน ตาจะได้ไม่เลอะเป็นหมีแพนด้าถ้ามีเหตุให้ต้องลุยฝน

อากาศที่ร้อนชื้นเช่นนี้ ความสกปรกและคราบเครื่องสำอางหมักหมมอุดตันในรูขุมขนได้ง่ายขึ้น แต่สาว ๆ ยังคง ล้างหน้าเหมือนเดิมก็ได้ แต่หากต้องการป้องกันปัญหาผิวหมองคล้ำสะสมและสิวอักเสบ ทุกเย็นสาว ๆ ควรใส่ใจการทำความสะอาดผิวให้หมดจดจริง ๆ ด้วยการใช้ เคล็นซิ่งมิลค์ เช็ดคราบเครื่องสำอางให้หมดจดก่อนการล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าอีกครั้งอย่างเบามือ และอย่าลืมบำรุงผิวก่อนนอนด้วยครีมที่เหมาะกับประเภทผิว

นอกจากนี้ควรขัดสครับผิวเพื่อขจัดสิ่งอุดตัน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ด้วย แถมยิ่งอากาศแปรปรวนในฤดูฝนทำให้คนป่วยง่ายขึ้น คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการ กินแค่วิตามินซีก็พอ ในปริมาณสูง ๆ เพียงอย่างเดียวจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยในฤดูฝน อันที่จริงร่างกายต้องการมากกว่าแค่วิตามินซี ถ้าไม่แน่ใจว่าสามารถกินอาหารได้ครบห้าหมู่ได้วิตามินเกลือแร่ครบถ้วนทุกวันแนะนำว่าควรหาอาหารเสริมที่มีทั้งวิตามินและเกลือแร่รวมหลากหลายชนิดในเม็ดเดียวกันมารับประทานเสริมวันละเม็ด ร่วมกับการออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอจะดีกว่า

สุดท้ายสาว ๆ มักคิดว่าฝนตก ร่างกายไม่ค่อยมีเหงื่อออก ไม่ต้องดื่มน้ำมากหรอก เพราะไม่หิวน้ำบ่อยก็เลยไม่ดื่มน้ำสม่ำเสมอ อันที่จริงน้ำระเหยสูญเสียออกจากร่างกายตลอดเวลา หากไม่ดื่มน้ำบ่อย ๆ ก็เสี่ยงที่เซลล์จะขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ร่างกายทำงานแปรปรวนป่วยง่าย ผิวแห้งเกิดริ้วรอยง่าย จึงจำเป็นต้องเติมน้ำให้กับร่างกายอย่างเพียงพอ วันละ 8-10 แก้ว โดยจิบสม่ำเสมอทั้งวัน

อย่ามองข้ามว่าเป็นเพียงแค่หน้าฝน แต่การดูแลตัวเอง เพื่อให้มีผิวพรรณสวยงามนั้น ยังต้องปฏิบัตรอย่างสม่ำเสมอ

http://www.dailynews.co.th/article/822/210712

53
จากกรณี ’ไฟไหม้รถ“ ที่เกิดบ่อย ๆ มานาน และปัจจุบันก็ยังเกิดบ่อย ๆ อยู่ ระยะหลัง ๆ มานี่เริ่มมีกรณี ’รถจมน้ำ“ เกิดบ่อย ๆ ขึ้นมาประกบกับกรณีไฟไหม้รถ ซึ่งทั้งกรณีไฟและกรณีน้ำต่างก็ “อันตรายทั้งคู่!!”

การใช้รถควรจะต้องสนใจวิธี ’หนีภัย“

ควรสนใจทั้งคนขับและคนนั่งไปด้วย!!

ทั้งนี้ กับกรณี “ไฟไหม้รถ” นั้น ทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ได้เคยนำเสนอไปบ้างแล้ว ซึ่งวันนี้ก็จะนำข้อมูลมาบอกเตือนกันไว้อีกโดยสังเขป กล่าวคือ... ไฟไหม้รถอาจจะเกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกระบบเครื่องยนต์ โดยส่วนใหญ่จะเกิดกับรถที่มีการปรับแต่ง ใช้อะไหล่ที่ไม่มีคุณภาพหรือคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์หรือไม่ได้ขนาด ซึ่งจะเป็นรถเก่าหรือรถใหม่ก็อาจเกิดไฟไหม้ได้ทั้งนั้นถ้าไม่อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย เช่น หม้อน้ำแห้ง ฝาปิดถังเชื้อเพลิงแตกร้าว ขณะที่รถที่ใช้แก๊สเป็นพลังงานหากเกิดไฟไหม้ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงอันตรายสูง

และโฟกัสที่รถใช้แก๊สเป็นพลังงานที่เสี่ยงอันตรายสูงหากเกิดไฟไหม้ ซึ่งก็เกิดขึ้นบ่อย ๆ มาโดยตลอด จากข้อมูลของทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุไว้ประมาณว่า รถที่จะใช้แก๊สต้องติดตั้งระบบแก๊สจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน และจำเป็น ต้องหมั่นตรวจเช็กดูแลรักษาสภาพต่าง ๆ เป็นอย่างดี เช่น ตรวจสอบรถและระบบแก๊สตามระยะที่กำหนด ตรวจสอบข้อต่อท่อส่งแก๊สและการรั่วของแก๊สโดยใช้น้ำสบู่หยอดที่ข้อต่อทุกจุดที่สามารถทำเองได้ ซึ่งต้องทำขณะที่รถเปิดระบบแก๊ส และต้องเติมแก๊สจากสถานีบริการที่ได้มาตรฐาน

นอกจากนี้ หากไม่ได้มีการใช้รถเป็นเวลานานควรจะปิดวาล์วมือหมุนที่ถังแก๊ส เพื่อเป็นการป้องกันระบบวาล์วไฟฟ้าบกพร่อง เพราะถ้าหากระบบวาล์วไฟฟ้าบกพร่อง อาจจะเกิด ’ไฟไหม้“ เกิด ’ระเบิด“ ขึ้นได้!!

ขณะใช้รถติดแก๊ส ควรหมั่นสังเกตรถบริเวณที่เป็นจุดติดตั้งถังแก๊ส หากพบสิ่งผิดปกติ เช่นมีควันลอยขึ้นมา ให้รีบนำรถเข้าข้างทาง ปิดสวิตช์ไฟ ดับเครื่องยนต์ ปิดวาล์วถังแก๊ส และตรวจสอบอย่างละเอียด

การขับรถ กับรถที่ใช้แก๊สก็มีคำเตือนให้ยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดไฟไหม้หากประสบอุบัติเหตุรุนแรง จึงควรใช้ความเร็วไม่มากเพื่อให้หยุดรถได้ทันหากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือหากสุดวิสัย เกิดอุบัติเหตุ เกิดเฉี่ยวชน ควรรีบดับเครื่องยนต์ทันที แล้วรีบออกจากรถ หากใช้ถังแก๊สวาล์วมือหมุนแบบธรรมดาให้รีบปิดวาล์วด้วย และแม้หลังประสบอุบัติเหตุแล้วรถก็ยังคงใช้งานได้ตามปกติ ยังไงก็ควรรีบนำไปตรวจสอบสภาพ เนื่องจากระบบแก๊สอาจได้รับการกระทบกระเทือน แก๊สอาจรั่วไหลจนไฟไหม้และระเบิดได้ในภายหลัง

ที่สำคัญ สำหรับการ ’หนีภัย“ กรณี ’ไฟไหม้รถ“ คือ... การใช้รถติดแก๊ส ไม่ว่าจะคนขับหรือคนนั่งไปด้วย ไม่ว่าจะอย่างไร จะในสถานการณ์ใด ถ้าได้กลิ่นแก๊สให้รีบจอด รีบออกห่างจากรถทันที!!

จากนั้นก็รีบแจ้งผู้ชำนาญการมาตรวจสอบโดยด่วน เพราะอาจเกิดไฟไหม้ อาจเกิดระเบิดได้ และนอกจากนี้ผู้ใช้รถติดแก๊สยังควรต้องรู้วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดไฟไหม้รถด้วย ควรเตรียมถังดับเพลิงเคมีขนาดเล็กหรือมีขวดน้ำไว้ข้างเบาะเสมอ กรณีไฟไหม้เล็กน้อย ถ้ามีถังดับเพลิงเคมีก็ฉีดจนไฟดับสนิท ถ้าไม่มีก็ให้ใช้ผ้าเปียกน้ำ หรือผ้าแห้ง ทราย โปะหรือตบบริเวณที่เกิดไฟไหม้ หรือเจาะปากขวดน้ำเป็นรูเล็ก ๆ ให้น้ำฉีดพุ่งไปที่จุดเกิดไฟไหม้โดยตรง แต่ ถ้าไฟไหม้รถลุกลามรวดเร็วก็อย่ามัวแต่จะดับไฟ ให้รีบออกห่างจากรถโดยเร็วที่สุด!!

ที่ว่ามานี้ก็เป็นวิธีเลี่ยงภัยจากไฟไหม้รถ

ส่วนรถจมน้ำสำคัญที่สุดคืออย่าให้จม!!

ทั้งนี้ การขับรถ เลื่อนรถ ถอยรถ ในบริเวณที่มีแหล่งน้ำ
ต่าง ๆ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องตรวจสอบระบบต่าง ๆ ของรถให้ถูกต้อง ต้องมีสติอยู่ตลอด มิฉะนั้นอาจจะเกิดกรณีรถพุ่งหรือรถไถลลงแหล่งน้ำ จน ’รถจมน้ำ“ จนเกิดการ ’จมน้ำเสียชีวิต“ อย่างที่ในระยะหลัง ๆ มีข่าวแบบนี้อยู่บ่อย ๆ

ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถตกลงไปในแหล่งน้ำแล้ว ที่สำคัญคือต้องมีสติ อย่ากลัวจนไร้สติ ซึ่งกับคำแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นคนขับหรือคนนั่งมาด้วย ตามที่มีผู้สันทัดกรณีให้ความรู้ไว้ เช่นที่มีอยู่ในเว็บ www.viriyahcare.com ก็ให้ปลดเข็มขัดนิรภัย ปลดล็อกประตูรถ ซึ่งเมื่อรถตกลงไปในแหล่งน้ำแรก ๆ จะยังไม่จมทันที ให้พยายามยกศีรษะให้อยู่เหนือระดับน้ำที่ค่อย ๆ เข้าสู่ตัวรถ หมุนกระจกรถให้น้ำไหลเข้าสู่รถเพื่อปรับความดันน้ำในรถกับนอกรถให้เท่ากันมิฉะนั้นจะเปิดประตูรถไม่ออก จากนั้นจึงค่อยเปิดประตูรถแล้วรีบออกจากตัวรถ

เมื่อออกจากตัวรถได้แล้ว มีสติ เพื่อที่จะสามารถเอาชีวิตรอด ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะยังอยู่ในน้ำ หรืออาจยังอยู่ใต้น้ำ ซึ่งถ้าเป็นกลางคืนหรือน้ำลึกมากจนไม่รู้ว่าทิศทางใดคือทางขึ้นสู่ผิวน้ำ อย่าลนลานว่ายน้ำดำน้ำโดยไม่รู้ทิศทาง ให้กลั้นหายใจพยุงตัวไว้แล้วปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ แล้วจึงว่ายสู่ฝั่ง

ก็มิใช่ง่าย ๆ กับการ ’หนีภัย...ไฟไหม้รถ-รถจมน้ำ“

แต่เมื่อต้องใช้รถก็ ’ควรจะต้องสนใจวิธีเอาไว้บ้าง“

และ ’ที่ดีที่สุดคือ...ระวังอย่าให้ไหม้-อย่าให้จม!!“.

http://www.dailynews.co.th/article/223/214692

54
ไร้สังกัด / ไอเดียเจ๋ง
« on: June 06, 2013, 04:20:48 PM »

55
"อาหารเป็นพิษ" คือ อาการท้องเดินเนื่องจากการกินอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนเข้าไปอาจเป็นสารพิษที่มาจากเชื้อโรค สารเคมี หรือพืชพิษ รวมถึงอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ อาหารกระป๋อง อาหารทะเล หรืออาหารค้างคืนที่ไม่ได้อุ่นก็ทำให้เป็นโรคนี้ได้เช่นกัน โดยจะเกิดอาการท้องร่วง คลื่นไส้ และอาการปวดท้องอันเนื่องมาจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามมาด้วย

แต่ถ้าคุณมีอาการท้องเสียมากๆ ร่างกายจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ บางคนอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตก็ทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษได้ แต่ถ้าพิษนั้นเกิดจากสารเคมีหรือพืชพิษบางชนิดจะมีผลต่อระบบประสาท เช่น ชัก หมดสติ และร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

เมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษควรทำอย่างไร
 - ถ้าคุณท้องเสียมากเกินไปควรดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำของร่างกาย
 - ถ้ามีอาการทางระบบประสาท (เช่น ชัก หมดสติ) หรือสงสัยว่าจะเกิดจากยาฆ่าแมลงหรือสารพิษอื่นๆ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
 - ถ้าท้องเสีย อย่ากินยาหยุดถ่ายนะคะ อาการท้องร่วงส่วนใหญ่มักจะหายได้เองเพราะการขับถ่ายเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่จะต้องขับของเสียออกจากร่างกายอยู่แล้วค่ะ
 

วิธีรับมืออาหารเป็นพิษ
1. หมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงและกินอาหาร
2. ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง
3. อย่าเสียดายอาหารที่เหลือจากเมื่อวานเลยค่ะ ยิ่งเป็นพวกที่มีกะทิด้วยแล้วยิ่งเสียง่ายมาก
4. ล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำไหล ถ้าแช่ด่างทับทิมได้จะดีมาก (ควรแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง)
5. ไม่ควรทิ้งเนื้อสดๆ ไว้นอกตู้เย็น เพราะอุณหภูมิที่ร้อนจะเร่งให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

56
"ความเครียด"เป็นอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่ มีใครอยากให้เกิดขึ้นในตัวเองบ่อยๆ แต่ก็นั่นแหละ วิถีชีวิตของผู้คนสมัยนี้ มีเงื่อนไขหลายๆอย่างที่บางครั้งก็ทำให้ความเครียดแฝงเร้นเข้ามาในจิตใจโดย ไม่รู้ตัว

การที่เอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตายกับเรื่องบางเรื่อง (หรือหลายเรื่อง) กับคนบางคน กับเหตุการณ์บางเหตุการณ์ ไม่เห็นจะมีประโยชน์ตรงไหน ซึ่งหากเราได้ทำดีหรือพยายามจนถึงที่สุดแล้ว ก็ให้พอใจหรือทำใจยอมรับกับทุกสิ่งให้ได้ คนที่ยอมรับความจริงได้ จะไม่ค่อยเครียด

วิธีผ่อนคลายความเครียดมีมากมายหลายวิธี และหนึ่งใน วิธีการนั้นที่ง่ายที่สุดและได้ผลดีที่อยากจะแนะนำ ก็คือการนอนหลับและการพักผ่อนครับ ถึงแม้บางคนจะบอกว่ามันเครียดเสียจนนอนไม่หลับ แต่อย่างไรก็ต้องพยายามหาวิธีที่จะช่วยให้ตัวเองหลับสนิทให้ได้ เช่น ออกกำลังกายให้มากขึ้น (ห้ามใช้ยานอนหลับ ยกเว้นกรณีแพทย์สั่ง)

ช่วงเวลาที่เราได้นอนหลับอย่างเพียงพอนั้น (ไม่ใช่นอนจนขี้เกียจ) เป็นช่วงที่ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานโรค ทำให้ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น และพร้อมที่จะต่อสู้กับความเครียดใน วันรุ่งขึ้นได้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากเครียดและพักผ่อนน้อยลง ความเครียดก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ผลคือเราจะอดทนกับความเครียดได้น้อยลงเรื่อยๆ เป็นวงจรเลวร้ายที่จะต้องจบลงด้วยปัญหา สุขภาพ ไม่โรคใดก็โรคหนึ่งอย่างแน่นอน อย่าง น้อยที่สุดหลังจากกินอาหารกลางวันแล้ว หาเวลางีบสัก ๑๐ นาที ๑๕ นาที ก็จะช่วยเพิ่มพลังวังชาให้กับร่างกายและ สมองได้พอสมควรทีเดียว แต่อย่าหลับเพลินจนเลยเวลาทำงาน เดี๋ยวจะโดนเจ้านายค้อนเอาได้

นอกจากการนอนหลับแล้ว การได้มีเวลาพักผ่อนบ้างในวันหยุด ก็ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้มาก ร่างกายของคนเราไม่ใช่เครื่องจักรเครื่องยนต์ เพราะแม้เครื่องจักรเองก็ยังต้องมีการหยุดพักเครื่อง และเปลี่ยนซ่อมอะไหล่บางส่วน แต่ร่างกายมนุษย์ไม่มีอะไหล่ที่จะมาเปลี่ยนง่ายๆ เหมือนเครื่องจักร เพราะ ฉะนั้นก็ทะนุถนอมร่างกายของเราให้อยู่ในสภาพดีที่สุดจนถึงวันแก่เฒ่าจะดี กว่าค่ะ


ลองเลือกดูนะครับ ว่าคุณถนัดที่จะพักใจวิธีไหน ในวิธีเหล่านี้ เป็น ต้นว่าพักผ่อนกับครอบครัวด้วยการไปเที่ยวชายทะเล หรือท่องเที่ยวไปในสถานที่แปลกตา ฟังเพลง ฝึกร้องเพลง เล่นดนตรี อ่านหนังสือที่ชอบอยู่กับบ้าน ทำสวนครัว สะสมแสตมป์ เย็บปักถักร้อย นั่งสมาธิ ไปทำบุญ ทำงานช่วยเหลืองานกุศลต่างๆ การเล่นกีฬา ออกกำลังกาย ทำอาหารที่มีประโยชน์ กิน ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ หรืออะไรก็ได้ที่ทำแล้วรู้สึกสบายใจ (ไม่เป็นภัยต่อคนอื่น) เมื่อได้ทำบ่อยๆ ร่างกายและจิตใจก็จะเข้มแข็ง มีพลังที่พร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ได้ทุกรูปแบบ

อย่าลืมว่าการสะสมความเครียด ไว้ในจิตใจเป็นภัยต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

57
คนเราใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการทำงาน บางคนทำงานวันละ 8 ชั่วโมง บางคนทำงานตลอดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงไม่ได้พัก เราทำงานจนไม่ได้ใส่ใจสุขภาพของตัวเองเท่าที่ควร จึงนำเอาเรื่อง 10 สุดยอดอาหารสำหรับวัยทำงานมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้


อาหารบำรุงสายตา ดวงตาเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของร่างกายในการทำงาน หากเราใช้สายตามากจนเกินไปก็จะมีผลต่อสุขภาพดวงตาได้ ฮีโร่ในการบำรุงสายตาก็คือ วิตามินเอ ซึ่งหาได้ง่ายในตับ ไข่แดง นม มะละกอ พืชที่มีสารสีเหลือง สีแดง และสีเขียวจัด

อาหารบำรุงสมอง วิตามินซีและกรดโฟลิค มีความสำคัญต่อการทำงานของสมองและระบบประสาท หาได้ไม่ยากในอาหารจำพวกปลาและธัญพืช

อาหารบำรุงผม ผู้ที่ทำงานอยู่กับแสงแดด แสงอาจมีผลต่อสุขภาพเส้นผม ทำให้แห้ง กระด้าง แตกปลาย สารอาหารที่กู้ชีพสภาพเส้นผมได้ คือ ไอโอดี ช่วยบำรุงเส้นผมให้สวยงาม พบได้จากสาหร่ายทะเล อาหารทะเลทุกชนิด น้ำมันตับปลา เป็นต้น

อาหารบำรุงผิว นอกจากเส้นผมแล้ว แสงแดดยังทำอันตรายต่อผิวพรรณ ทำให้เกิดสิว ฟ้าและกระได้ ทำให้ผิวพรรณที่งดงามหมองคล้ำ จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงผิว เช่น หัวผักกาด หัวหอม มะเขือเทศ ใบขึ้นฉ่าย กระหล่ำดอก เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีผิวมันควรงดอาหารจำพวกไขมัน ควรรับประทานผักผลไม้แทน

อาหารบำรุงฟัน โดยการเสริมสร้างด้วยอาหารที่มีวิตามินซี ได้แก่ ผักใบเขียว อาหารที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส เช่น ผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด และควรดูแลสุขภาพฟันโดยพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน

อาหารบำรุงเลือด เลือดเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้มีสุขภาพดี อาหารที่ช่วยบำรุงให้เม็ดเลือดสุขภาพดีคือ ตับ ไข่แดง และเนื้อสัตว์

อาหารบำรุงกระดูก แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกายและกระดูก หากร่างกายขาดแคลเซียมก็จะทำให้กระดูกเปราะ เกิดโรคกระดูกพรุน เราสามารถเติมแคลเซียมให้กับกระดูก โดยการรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด

อาหารบำรุงอารมณ์ อาหารสุดวิเศษที่จะช่วยปรับสภาพจิตใจและอารมณ์ให้สดชื่นขึ้นคือ ช็อกโกแลต แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะจะทำให้อ้วน

อาหารบำรุงหัวใจ ไขมันและคอเลสเตอรอล ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ จึงควรเลี่ยงการรับประทานเครื่องในสัตว์ ไข่แดง อาหารรสเค็ม ของหมักดอง ควรหันมารับประทานปลา ผัก ผลไม้ให้มากขึ้น จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง

อาหารบำรุงจิตใจ ด้วยการเปิดใจยอมรับในตัวเพื่อนร่วมงาน สร้างความสัมพันธ์อันดี ทำให้ทำงานได้อย่างมีความสุข เบิกบาน

58
แทนการหยิบยามากิน ลองเดินเข้าไปดูของกินในครัวก่อนดีไหม เพราะอาหารหลายอย่างให้วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่น ๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลายอย่างที่รบกวนคุณ


 1. ปวดหัวไมเกรน

งานวิจัยด้านอาหารชี้ว่า การกินปลาที่มีไขมันสูงซึ่งอุดมด้วยไขมันอย่างโอเมก้า-3 อาจช่วยให้ร่างกายลดการสร้างพรอสตาแกลนดินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดอาการอักเสบและเจ็บปวด

 2. ปวดประจำเดือน

การสร้างพรอสตาแกลนดินส์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือน เพราะเมื่อพรอสตาแกลนดินส์ถูกปล่อยเข้าไปในเนื้อเยื่อ มดลูกก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยมีอาการเกร็งกระตุก ลองกินโอเมก้า-3 ที่ช่วยยับยั้งการหลั่งของพรอสตาแกลนดินส์ และหลีกเลี่ยงเนื้อแดงและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีกรด Arachidonic ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการสร้างพรอสตาแกลนดินส์

 3. ปวดข้อ

วิตามินซีอาจช่วยชะลอการเสื่อมของข้อต่อได้ การศึกษาวิจัยจากศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยบอสตัน แสดงว่า ผู้ป่วยโรคไขข้อที่กินวิตามินซีจำนวนมากมีแนวโน้มน้อยกว่าถึงสามเท่าที่จะมีอาการปวด หรือบาดเจ็บข้อ เมื่อเทียบกับคนที่กินวิตามินซีน้อยกว่า คุณสมบัติในการต้านแอนตี้ออกซิเดนท์ของวิตามินอาจช่วยไม่ให้อนุมูลอิสระทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้น วิตามินซียังมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกอ่อนและกระดูก

 4. อาการจุกเสียดจากกรดไหลย้อน (Heartburn)

ขิงอาจช่วยทำให้กล้ามเนื้อด้านล่างของหลอดอาหารแข็งแรงขึ้น มันเป็นเสมือนวาล์วที่กั้นไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นมา และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงที่อาจทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อหลอดอาหารอ่อนแอ อาหารรสจัด หรือมีกรดสูงก็อาจทำให้เกิดอาการจุกเสียดได้

 5. ท้องผูก

ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยสูงช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานปกติ ลองกินเส้นใยอาหารให้ได้วันละ 20-35 กรัม และเพิ่มการกินช้า ๆ อย่างเช่น 4-5 กรัมต่อวัน ในวันแรก ๆ ไม่เช่นนั้นคุณอาจเกิดอาการไม่สบายท้องได้ และให้ดื่มน้ำเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองแก้วต่อวัน ที่จะช่วยผลักให้เส้นใยอาหารไปตามลำไส้



ที่มา .... Lisa

59


ข่าวประชาสัมพันธ์
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสมุทรสงคราม
(พื้นที่รับผิดชอบ : สมุทรสงคราม นครปฐม สมุทรสาคร)

ขอเชิญร่วมงานประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร
ประจำปี 2556


นางสาวอังคณา พุ่มผกา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสมุทรสงคราม (สมุทรสงคราม นครปฐม สมุทรสาคร) เปิดเผยว่า จังหวัดสมุทรสาคร ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร เทศบาลนครสมุทรสาคร คณะกรรมการบริหารศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม หน่วยงานภาครัฐและเอกชน พ่อค้า ประชาชนในจังหวัดสมุทรสาคร กำหนดจัดงาน “ประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร” ขึ้นในวันที่ 14-18 มิถุนายน 2556 ณ บริเวณริมเขื่อนศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร และบริเวณสวนสุขภาพเทศบาลนครสมุทรสาคร ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร

เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาครเป็นที่เคารพนับถือของชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีน โดยเฉพาะชาวประมงก่อนออกเรือหาปลาทุกครั้งมักขอพรให้เดินทางปลอดภัยหรือบนบานให้หาปลากลับมาได้จำนวนมาก ด้วยความศรัทธาของชาวจังหวัดสมุทรสาครที่มีต่อเจ้าพ่อหลักเมืองจึงจัดประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาครเป็นประจำทุกปี ในปีนี้พิธีแห่เจ้าพ่อหลักเมืองฯ จะมีขึ้นในวันที่ 15 มิถุนายน 2556 เวลา 9.00 น. ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของงาน โดยจะอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองฯ ประทับเกี้ยว พร้อมอัญเชิญประทับในเรือประมงแห่ไปทางน้ำ ข้ามแม่น้ำท่าจีนและแห่ไปตามถนนสายต่างๆ ทั้งฝั่งท่าฉลอมและมหาชัย รวมทั้งมีการตั้งโต๊ะบูชาเพื่อทำพิธีเปลี่ยนธูปตลอดเส้นทางขบวนแห่เจ้าพ่อหลักเมืองฯ ให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้ร่วมกันสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล ขบวนแห่ทางบกประกอบไปด้วยหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดสมุทรสาครจำนวนมากโดยแต่ละหน่วยงานตกแต่งขบวนตามคำขวัญของจังหวัดสมุทรสาคร คือ “เมืองประมง ดงโรงงาน ลานเกษตร เขตประวัติศาสตร์” สร้างสีสันให้กับขบวนแห่ จึงเป็นขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ทั้งทางน้ำและทางบก ถือเป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทย สำหรับวันเกิดของเจ้าพ่อหลักเมืองฯ ปีนี้ตรงกับวันที่ 18 มิถุนายน 2556 ในเวลา 10.00 น. จะมีพิธีไหว้วันเกิดเจ้าพ่อหลักเมืองฯ พร้อมการผัดหมี่สิริมหามงคลแจกฟรีให้กับผู้ร่วมงานทุกท่าน จำนวนกว่า 25,000 กล่อง ภายในงานยังมีการแสดงมหรสพต่างๆ อาทิ ภาพยนตร์ ดนตรี งิ้ว ลิเก ตลกและนักร้องลูกทุ่งชื่อดังได้ชมฟรีตลอดการจัดงานทั้ง 5 วัน

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร โทร. 0 3442 5150 หรือ เทศบาลนครสมุทรสาคร โทร. 0 3441 1208 , 0 3441 3853 หรือ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0 3475 2847-8  E-mail : tatsmsk@tat.or.th

60
1.น้ำตาล - น้ำตาลจะไปจับตัวกับคอลลาเจนในร่างกาย ทำให้ผิวหนังของคุณไม่ยืดหยุ่น จนเกิดรอยเหี่ยวย่นลึก ซึ่งจะทำให้คุณดูแก่ขึ้น

2. ไขมันไม่อิ่มตัว - โดยเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวที่มีทรานส์ไอโซเมอร์สูง เช่นเนื้อวัว เฟรนช์ไฟรส์ ส่งผลให้เส้นเลือดอุดตัน และผิวหนังดูแก่ขึ้น

3. เกลือ - เกลือจะไปดูดซึ่มน้ำในร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคไต ความดันในเลือดสูง และชะลอดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระดูก

4. กาแฟ - กาแฟจะดูดซึมน้ำในร่างกาย และทำให้ดูเหนื่อยล้า

5. ลูกอม - น้ำตาลในลูกอม ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในร่างกาย และทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น

6. สารให้ความหวานเทียม - เช่น แอสปาแตม ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวและปวดข้อ และทำให้อยากน้ำตาลมากขึ้น

7. แอลกอฮอล์ - แอลกอฮอลจะดูดซึมน้ำในร่างกาย ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น ชลอการจับตัวกันของคอลาเจนต้ผิวหนัง ทำให้เกิดจุดแดงและอาการบวม

8. เครื่องดื่มชูกำลัง - เครื่องดื่มชูกำลังทำลายสารเคลือบฟันมากกว่าดื่นน้ำอัดลมถึง 8 เท่า ทำให้ฟันเหลือและฟันไม่แข็งแรง

9. คาร์โบไฮเดรท - คาร์โบไฮเดรทจำนวนมากเกินไปจะทำลายคอลาเจนและเส้นใยใต้ผิวหนัง

10. อาหารทอด - การบริโภคอาหารทอด ทำให้จับตัวกันของคอลาเจนใต้ผิวหนังช้าลง ส่งผลให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

11. น้ำอัดลม - การดื่มน้ำอัดลมทำให้ร่างกายขาดน้ำ และอ่อนเพลีย

Pages: 1 2 3 [4] 5 6 ... 71