ไทยยูเนี่ยนโชว์ผลงานไตรมาสแรกทำกำไรแข็งแกร่ง ตอกย้ำความสามารถในการยืนหยัดและปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง
กำไรสุทธิ 1,803 ล้านบาท โตก้าวกระโดด 77 เปอร์เซ็นต์ จากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ากรุงเทพฯ – 10 พฤษภาคม 2564 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2564 โดยยังคงยืนหยัดได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยแรงเชื่อมั่นและความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาสินค้าอาหารที่ดีต่อสุขภาพรวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยง แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยังคงส่งผลทั่วโลกก็ตาม
โดยในไตรมาสแรกไทยยูเนี่ยนรายงานผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,803 ล้านบาท มากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 77 เปอร์เซ็นต์ และมียอดขายคงที่อยู่ที่ระดับ 31,125 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีและได้รับผลดีจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญที่ทำให้เราสามารถฟันฝ่าสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลกมาได้คือความสามารถในการยืนหยัดและปรับตัว พวกเราไทยยูเนี่ยนทุกคนทำงานหนักเพื่อดูแลให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เรามี 15 แบรนด์ ฐานการผลิต 14 แห่ง สำนักงานอีก 10 แห่ง และทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใน 16 ประเทศทั่วโลก ดังนั้นหัวใจสำคัญคือความสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และไม่ใช่เพื่อให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่จะต้องสามารถเติบโตได้อีกด้วย และสิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนเกิดความเชื่อมั่น ตั้งแต่พนักงานของบริษัทฯ คู่ค้า ไปจนถึงผู้บริโภคว่าไทยยูเนี่ยนมีความสามารถที่จะตอบโจทย์ทุกฝ่ายได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม”
ในไตรมาสแรกปี 2564 ธุรกิจอาหารแช่แข็งฟื้นตัว โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 10.3 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 12,076 ล้านบาท และทำผลงานได้ดีในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งภาคธุรกิจบริการอาหารมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นมาก นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในธุรกิจของไทยยูเนี่ยน
ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าคืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในไตรมาสแรก โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 20.8 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 5,469 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และถึงแม้ว่าธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องจะมียอดขายลดลง 13.1 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 13,580 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผู้บริโภคมีการจับจ่ายอาหารกระป๋องในช่วงเริ่มแรกของการแพร่ระบาด แต่ถ้าหากเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 จะเห็นได้ว่ายอดขายไตรมาสแรกของปีนี้ยังเพิ่มขึ้นถึง 0.9 เปอร์เซ็นต์ ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าธุรกิจด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของบริษัทในการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนควบคู่ไปกับการดูแลความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล ในไตรมาสแรกของปีบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกภายใต้แบรนด์ OMG Meat ในประเทศไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ ยูนีกโบน ผงแคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่า
ในไตรมาสเดียวกันนี้ บริษัทฯ ยังได้จับมือกับองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลก The Nature Conservancy ในการทำงานด้านความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานในการจัดหาปลาทูน่าทั่วโลก เพื่อตรวจสอบการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมในโครงการ Ocean Disclosure ที่ส่งเสริมด้านความโปร่งใสในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก โดยบริษัทเอกชนที่ประกอบธุรกิจอาหารทะเลสามารถแสดงข้อมูลการจัดหาอาหารทะเลต่อสาธารณชนได้เพื่อความโปร่งใส
บริษัทฯ ยังได้จัดหาแหล่งเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเป็นครั้งแรก ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญสู่การเป็น Blue Finance หรือการบริหารการเงินที่เกี่ยวข้องกับโครงการอนุรักษ์มหาสมุทร
เมื่อต้นปี 2564 บริษัทฯ ยังได้ประกาศลงทุนในบริษัท บลูนาลู สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหารจากแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำในการพัฒนาโปรตีนอาหารทะเลจากเซลล์เพาะเลี้ยงที่ได้รสชาติ เนื้อสัมผัสและมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่าอาหารทะเล
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าให้ความช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสแรกนี้ไทยยูเนี่ยนได้บริจาคอาหารแมวมากกว่า 40,000 ชุดให้กับองค์กรต่างๆ ในประเทศไทย และยังดูแลพื้นที่สมุทรสาคร โดยบริจาคอาหารมากกว่า 30,000 ชุด ตลอดจนพัดลม 500 เครื่องและชุดปลั๊กพ่วงอีก 250 ชุดให้กับโรงพยาบาลเพื่อดูแลผู้ป่วยโควิด-19
“บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนควบคู่ไปกับการดูแลความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล เราจึงให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ถูกต้องตามหลักโภชนาการ และในขณะเดียวกับเราก็ยังดูแลในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพื่อให้คนรุ่นต่อไปยังมีทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ เราเชื่อว่านี่คือวิถีทางในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค คู่ค้าและทุกฝ่ายในห่วงโซ่อุปทาน และไทยยูเนี่ยนจะยังเดินหน้าธุรกิจต่อไปอย่างมั่นคง” นายธีรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย###
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี
วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 132,402 ล้านบาท (4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 44,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทคิดค้นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน
ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบอาหารและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ได้แก่ UniQ™BONE, UniQ™DHA และ ZEAvita
จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่ 7 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2563 ได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 2 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน