ดีเอชแอล ซัพพลายเชน แต่งตั้งซีอีโอคนใหม่ดูแลกลุ่มธุรกิจประเทศไทย
· สตีฟ วอล์กเกอร์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้เปี่ยมประสบการณ์ของดีเอชแอล รับหน้าที่นำทีมธุรกิจสร้างความเติบโตทั้งในไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์
· ดีเอชแอลยังคงยึดมั่นหลักความเป็นเลิศในการดำเนินงาน การกำหนดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และการแปรรูปองค์กรสู่ระบบดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจกรงุเทพฯ 22 เมษายน 2564 - ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำระดับโลก ประกาศแต่งตั้งนายสตีฟ วอล์กเกอร์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทย ซึ่งมีขอบเขตครอบคลุมไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์ โดยสตีฟจะรับช่วงต่อจากนายเควิน เบอร์เรล ซึ่งพ้นตำแหน่งในวันที่ 20 เมษายน 2564สตีฟจะมาประจำการที่กรุงเทพฯ เพื่อควบคุมดูแลการวางแผนกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจใหม่ โดยรับผิดชอบการขับเคลื่อนการเติบโตในด้านการปฏิบัติงานคลังสินค้า การขนส่ง และบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าด้านซัพพลายเชนอื่นๆ ตลอดจนการดำเนินงานเพื่อแปรรูปองค์กรสู่ระบบดิจิทัล การสร้างสรรค์นวัตกรรม และโครงการด้านความยั่งยืนในตลาดของประเทศต่าง ๆ
“กลุ่มธุรกิจประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักของดีเอชแอล ซัพพลายเชน และเรายินดีที่ได้ต้อนรับผู้นำที่โดดเด่นคนใหม่ซึ่งจะมาขับเคลื่อนธุรกิจของเราไปสู่ความเติบโตอีกระดับ ประสบการณ์และแนวทางการปฏิบัติงานของสตีฟจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จทางธุรกิจที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายใต้สภาวะที่ท้าทายจากสภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เช่นทุกวันนี้” นายเทอร์รี ไรอัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว “เขาเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมซัพพลายเชน ด้วยคุณสมบัติโดดเด่นเรื่องการปฏิบัติงาน ความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปองค์กรสู่ระบบดิจิทัล รวมถึงกรอบแนวคิดด้านนวัตกรรม และโดยเฉพาะการเป็นผู้นำที่ลงมือปฏิบัติงานเองด้วยแนวทางการบริหารที่มีประสิทธิภาพและเรียบง่ายไม่ซับซ้อน”ก่อนเข้ารับตำแหน่งนี้ สตีฟเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลดีเอชแอล ซัพพลายเชน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเขารับหน้าที่ดูแลด้านเทคโนโลยีและแนวทางการดำเนินงานที่เป็นเลิศในไซต์งานมากกว่า 700 แห่งทั่วภูมิภาค สตีฟยังเป็นผู้ที่เปี่ยมประสบการณ์มานานกว่า 40 ปีในอุตสาหกรรมการสำรวจศักยภาพของระบบซัพพลายเชนเพื่อนำไปปรับปรุงกระบวนการทำงาน ยกระดับคุณภาพบริการ พัฒนาโซลูชั่นเพื่อลูกค้าเฉพาะราย รวมถึงการแปรรูปองค์กรสู่ระบบดิจิทัลและโครงการที่ใช้นวัตกรรมใหม่ด้านโลจิสติกส์สำหรับลูกค้านายสตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทยคนใหม่ กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างมากในการเข้ารับตำแหน่งนี้ และตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมงานกับทีมงานเพื่อมอบบริการแก่ลูกค้าในตลาดแห่งนี้ ด้วยประสบการณ์การทำงานในดีเอชแอลทั่วโลก องค์ความรู้การบริหารซัพพลายเชนที่ยอดเยี่ยม โซลูชั่นอันล้ำสมัย และความเข้าใจอันถ่องแท้ถึงตลาดในท้องถิ่น ผมเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถเพิ่มมูลค่าด้านซัพพลายเชนของลูกค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ผมจึงรอคอยที่จะได้ร่วมเดินทางสู่การสรรค์สร้างความเจริญเติบโตให้แก่ธุรกิจโลจิสติกส์ของเรา ผ่านแนวทางการสร้างความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน และการเร่งแปรรูปองค์กรสู่ระบบดิจิทัล ตลอดจนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน และการกำหนดให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการดำเนินงานของเราในกลุ่มธุรกิจประเทศไทย”###
ดีเอชแอล – ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระดับโลกดีเอชแอล คือผู้นำระดับโลกทางด้านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ มอบบริการและความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ทั้งการขนส่งสินค้าภายในและระหว่างประเทศ การขนส่งสินค้าอี-คอมเมิร์ซและโซลูชั่นครบวงจร การขนส่งด่วนทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ตลอดจนการบริหารจัดการซัพพลายเชนในภาคอุตสาหกรรม ด้วยบุคลากรกว่า 400,000 คนใน 220 ประเทศทั่วโลก ดีเอชแอลเชื่อมโยงผู้คนและธุรกิจด้วยบริการที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศด้วยความเชี่ยวชาญและโซลูชั่นด้านโลจิสติกส์ที่สร้างความเติบโตให้กับตลาดและภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั้งธุรกิจด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ชีวภาพและบริการทางการแพทย์ พลังงาน รถยนต์และธุรกิจค้าปลีก รวมถึงความมุ่งมั่นในการรับผิดชอบต่อสังคมและการขยายการดำเนินงานสู่ตลาดที่กำลังพัฒนา ดีเอชแอลจึงมั่นใจว่า เราคือ “ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระดับโลก” ที่แท้จริง
ดีเอชแอล เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท ดอยช์ โพสต์ ดีเอชแอล โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้มากกว่า 66,000 ล้านยูโรในปี ค.ศ. 2020 ด้วยการใช้แนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและความมุ่งมั่นสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้กลุ่มบริษัทดอยช์ โพสต์ ดีเอชแอล พยายามสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่โลก โดยตั้งเป้าหมายสู่การดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์ที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050