sianbun on February 24, 2010, 05:35:03 PM


DAYBREAKERS เดย์เบรคเกอร์

จัดจำหน่ายโดย  บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด

ชื่อภาษาไทย  วันแวมไพร์ครองโลก

เว็ปไซด์    http://www.daybreakersmovie.com/

ภาพยนตร์แนว  แอ็คชั่น

จากประเทศ  สหรัฐอเมริกา

กำหนดฉาย  04 มีนาคม 2553

ณ โรงภาพยนตร์  ทุกโรงภาพยนตร์

นักแสดง Ethan Hawke (New York, I Love You, Before Sunset, Training Day), Willem Dafoe (Shadow of the Vampire), Sam Neill (Wimbledon, Jurassic Park III), Isabel Lucas (Transformers: Revenge of the Fallen)

ผู้กำกับ   Michael Spierig & Peter Spierig (Undead)

จุดเด่น

DAYBREAKERS ภาพยนตร์แอ็คชั้นล้ำสมัยกระแทกอารมณ์บู๊กระหน่ำ นำแสดงโดย นักแสดงที่เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 2 ครั้ง อีธาน ฮอว์ก (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม: TRAINING DAY ปี 2001 และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม: BEFORE SUNSET ปี 2004) ร่วมด้วย วิลเลม เดโฟ และ แซม นีลล์ ทุ่มทุนสร้างสุดอลังการจากทีมผู้สร้าง The Matrix และ 28 Days Later เขียนบทและกำกับภาพยนตร์โดย ไมเคิล และ ปีเตอร์ สไปริก
ในปี 2019 สิบปีหลังจากที่เกิดโรคระบาดทำให้มนุษย์เกือบทั้งหมดกลายเป็นแวมไพร์ แต่ยังคงมีมนุษย์รอดพ้นจากโรคนั้นอยู่บางส่วนทำให้พวกเขาถูกแวมไพร์ตามล่าเพื่อนำเลือดมาเป็นอาหาร แต่เมื่อมนุษย์ใกล้จะสูญพันธุ์จนเกิดภาวะขาดแคลนเลือด การตามล่าและการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดก่อนที่มนุษย์คนสุดท้ายจะสูญสิ้น สงครามต่างสายพันธุ์ระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์จึงได้เริ่มอุบัติขึ้น
เรื่องย่อ

      ปี 2019 โรคระบาดลึกลับแพร่กระจายไปทั่ว เปลี่ยนผู้คนค่อนโลกให้เป็นแวมไพร์กระหายเลือด มนุษย์ที่ยังเหลือรอดลดระดับลงมาเป็นสปีชี่ส์ที่ถูกคุกคาม  ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ให้รอดพ้นจากการไล่ล่าและถูกจับไปเลี้ยงไว้ในฟาร์ม เพื่อนำเลือดสดๆ มาเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าแวมไพร์ จนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่รอมร่อ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน เท่านั้น เขาคือแวมไพร์นักวิจัยผู้ปฏิเสธการดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร พยายามค้นคว้าหาสิ่งทดแทนเลือด เพื่อการยังชีพของแวมไพร์ และดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลืออยู่ไม่มาก จวบจนช่วงที่เวลาและความหวังกำลังจะหมดลง เขาได้พบกับ ออเดรย์ มนุษย์ผู้รอดชีวิตและนำเขาไปสู่การค้นพบทางการแพทย์ครั้งสำคัญ หลังจากนั้น ด้วยความที่มีความรู้ประดุจอาวุธที่ทั้งมนุษย์และแวมไพร์ต่างหมายปอง เขาจึงต้องรบกับเผ่าพันธุ์ของตัวเองในสงครามที่จะตัดสินชะตาของมวลมนุษยชาติ

ภาพยนตร์จากไลออนส์เกต

DAYBREAKERS

วันแวมไพร์ครองโลก

http://www.daybreakersmovie.com/
« Last Edit: February 24, 2010, 05:49:26 PM by sianbun »

sianbun on February 24, 2010, 05:35:28 PM
เรื่องย่อ

      ไลออนส์เกตพร้อมแล้วที่จะพัฒนาเรื่องราวของเหล่าแวมไพร์ไปสู่ทิศทางใหม่ในภาพยนตร์ไซไฟทริลเลอร์ล้ำอนาคต DAYBREAKERS วันแวมไพร์ครองโลก


      ปี 2019 โรคระบาดลึกลับแพร่กระจายไปทั่ว เปลี่ยนผู้คนค่อนโลกให้เป็นแวมไพร์กระหายเลือด มนุษย์ที่ยังเหลือรอดลดระดับลงมาเป็นสปีชี่ส์ที่ถูกคุกคาม  ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ให้รอดพ้นจากการไล่ล่าและถูกจับไปเลี้ยงไว้ในฟาร์ม เพื่อนำเลือดสดๆ มาเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าแวมไพร์จนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่รอมร่อ

      ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ  เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน เท่านั้น เขาคือแวมไพร์นักวิจัยผู้ปฏิเสธการดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร  พยายามค้นคว้าหาสิ่งทดแทนเลือด เพื่อการยังชีพของแวมไพร์ และดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลืออยู่ไม่มาก จวบจนช่วงที่เวลาและความหวังกำลังจะหมดลง เขาได้พบกับ ออเดรย์ มนุษย์ผู้รอดชีวิตและนำเขาไปสู่การค้นพบทางการแพทย์ครั้งสำคัญ หลังจากนั้น ด้วยความที่มีความรู้ประดุจอาวุธที่ทั้งมนุษย์และแวมไพร์ต่างหมายปอง เขาจึงต้องรบกับเผ่าพันธุ์ของตัวเองในสงครามที่จะตัดสินชะตาของมวลมนุษยชาติ


      ภาพยนตร์ล้ำสมัยกระแทกอารมณ์บู๊กระหน่ำ DAYBREAKERS นำแสดงโดย นักแสดงที่เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้วสองครั้ง อีธาน ฮอว์ก (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม: TRAINING DAY ปี 2001 และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม: BEFORE SUNSET ปี 2004) ร่วมด้วย วิลเลม เดโฟ และ แซม นีลล์ แต่งหน้าเอฟเฟกต์สร้างสรรค์โดย WETA Workshop เขียนบทและกำกับภาพยนตร์โดย สองพี่น้องสไปริก)

      ไลออนส์เกต  และ ฟิล์ม ไฟแนนซ์ คอร์ปอเรชั่น ออสเตรเลีย ภูมิใจเสนอ ผลงานของ เฟอร์สท์ ฟิล์ม, ไลออนส์เกต และ พาราไดซ์ โปรดักชั่น ร่วมด้วย เดอะ แปซิฟิก ฟิล์ม และ เทเลวิชั่น คอมมิสชั่น อันเป็นหนึ่งในภาพยนตร์โดย สองพี่น้องสไปริก   


เกี่ยวกับงานสร้าง

      หลังจากที่ภาพยนตร์ซอมบี้สยองขวัญเรื่องแรกอย่าง  UNDEAD ประสบความสำเร็จ ผู้เขียนบท/ผู้กำกับภาพยนตร์ ปีเตอร์ และไมเคิล สไปริก จึงตัดสินใจเดินหน้าต่อมาที่แวมไพร์ในไซไฟทริลเลอร์เรื่อง DAYBREAKERS แต่แทนที่จะอิงกับภาพลักษณ์กอธิกในวรรณกรรมของ บราม สโตเกอร์ หรือไม่ก็ แอนน์ ไรซ์ ที่คุ้นตากันดี ทั้งสองกลับนำพาแวมไพร์ไปสู่อนาคตอันใกล้ ถ่ายทอดจิตนาการออกมาเป็นโลกล้ำสมัยที่ซึ่งเด็กนักเรียนไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงทั้งหลายกลายเป็นผีดูดเลือด “DAYBREAKERS คือการตั้งคำถามว่าเราจะปรับตัวกันยังไงถ้าหากอนาคตเรากลายเป็นแวมไพร์” ไมเคิล สไปริก อธิบาย “กฎเกณฑ์ต่างๆ ตามแบบฉบับหนังแวมไพร์จะถูกพลิก แต่จะไม่ละทิ้งหรือเย้ยหยันอะไรๆ ที่ทำให้เราหลงรักหนังแนวนี้เด็ดขาด”

      ความเป็นคนช่างคิดและอารมณ์ขันแบบมีชั้นเชิงของสองพี่น้องสไปริกเผยให้เห็นตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง ด้วยภาพที่เหล่าแวมไพร์กำลังเดินทางไปทำงานในความมืด รวมถึงต่อแถวกันซื้อเลือดตนละแก้วสองแก้วในร้านสตาร์บัคส์  “แทนที่จะมุดหัวอยู่แต่ในถ้ำ ในปราสาท หรือในที่หลบซ่อนใต้ดินตามแบบฉบับ แวมไพร์เลือกที่จะยอมรับสถานที่ต่างๆ ในการดำเนินชีวิต (จริงๆ แล้วควรจะบอกว่าดำเนินความตาย) แถมยังย้ายกลับไปอยู่แถวๆ ชานเมืองอีกต่างหาก” ปีเตอร์ สไปริก เล่า “พวกเขาดำเนินชีวิตวันแล้ววันเล่า ไม่สิ ถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่า ดำเนินชีวิตคืนแล้วคืนเล่าด้วยการปรับตัวให้เข้ากับความเป็นแวมไพร์แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”


      อย่างไรก็ตาม  ชีวิตที่อยู่ปลายสุดของห่วงโซ่อาหารกำลังตกอยู่ในสภาวะคับขัน เมื่อแหล่งอาหารเดียวของแวมไพร์ คือ มนุษย์ ซึ่งเหลืออยู่เพียง 5% ของประชากรทั้งหมดบนโลก กำลังลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ความหวั่นวิตกของเหล่าประชากรแวมไพร์เกี่ยวกับการลดน้อยลงของแหล่งอาหารที่ครั้งหนึ่งเคยอุดมสมบูรณ์นี้ เห็นได้ชัดว่าสอดคล้องกับสภาวะการณ์ของโลกในปัจจุบัน “DAYBREAKERS จะคล้ายคลึงกับหนังไซไฟชั้นเยี่ยมในช่วงทศวรรษที่ 1950” ผู้คุมงานสร้าง คริส บราวน์ ยกขึ้นมาเทียบ “พวกมันจะวิพากษ์วิจารณ์เหตุบ้านการเมืองในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์หรือระเบิดปรมาณู ผมว่าน่าตื่นเต้นมากทีเดียวที่ DAYBREAKERS กำลังทำอย่างนั้นเหมือนๆ กัน ถึงแม้ว่าหนังของเราจะโหดร้ายเลือดสาดสะใจแฟนๆ ที่ชอบหนังแนวนี้ แต่จริงๆ แล้วมันมีสาระสำคัญบางอย่างอยากจะบอก”

      “ความดิบเถื่อนแบบพังก์ร็อกจะแทรกอยู่ในแบบฉบับดั้งเดิมของหนังแนวนี้เสมอ แต่กับ DAYBREAKERS ผมสัมผัสมันได้ทันที” อีธาน ฮอว์ก ผู้รับบทแวมไพร์นักโลหิตวิทยา เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน กล่าวเสริม “ลึกๆ แล้วผมว่าเหมือนมีบางอย่างวิ่งสวนกระแสวัฒนธรรมตลอดทั้งเรื่อง”

      “ส่วนตัวแล้ว ผมชอบหนังแนวนี้เพราะว่าโตมากับมัน” ไมเคิล สไปริก สารภาพ “ตั้งแต่จำความได้ หนังไซไฟสยองขวัญมีเสน่ห์ดึงดูดและทำให้เราสองพี่น้องตื่นเต้นอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่เพราะว่าภาพสยองเจ๋งๆ ทำให้เราตัวสั่นเสียวสันหลังวาบหรอก เป็นเพราะมันเปิดโอกาสให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัดต่างหากล่ะ”

      หลังจากขายโครงการคร่าวๆ 16 หน้ากระดาษของ DAYBREAKERS ให้กับไลออนส์เกตได้แล้ว ไมเคิลและปีเตอร์ สไปริก ก็เริ่มพัฒนาบทภาพยนตร์ร่วมกับบริษัทตลอด 2 ปี กระทั่งผู้คุมงานสร้าง คริส บราวน์ ตกตะลึงเมื่อได้อ่านบทร่างแรก “ไอเดียในนั้นแปลกใหม่มาก แถมยังสนุกมากอีกด้วย แต่ที่ทำให้ผมตื่นเต้นจริงๆ คือการจับสิ่งใหม่ๆ ไปวางไว้บนแนวทางที่ลงหลักปักฐานมั่นคงมานานแล้ว” ผ่านพ้นจากการพบปะกันครั้งแรก สองพี่น้องสไปริกก็รู้ทันทีว่า คริส บราวน์ นี่เองคือผู้คุมงานสร้างในอุดมคติ “หนังที่เราหยิบยกขึ้นมาอ้างอิงล้วนแต่เป็นเรื่องเดียวกัน เราเคยดูหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้มาแล้วเหมือนๆ กัน” คริส บราวน์ เล่า “แต่ผมคิดว่าผมดูหนังสยองขวัญมามากกว่าพวกเขานะ เราสามคนนี่แหละเป็นแฟนหนังไซไฟสยองขวัญตัวจริงเสียงจริง ตอนได้เจอได้คุยกันครั้งแรก เราถกกันอย่างกับกำลังประชุมเกี่ยวกับหนังสยองขวัญยังไงยังงั้นเลย”


      ในส่วนของการเลือกนักแสดงมารับบท เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน สองพี่น้องสไปริกวาดฝันว่า  อีธาน ฮอว์ก จะตกลงรับบทนี้ เนื่องจากระหว่างที่เขียน พวกเขามีภาพของอีธานอยู่ในใจตลอดเวลา  “เราสองคนชอบตัวเลือกต่างๆ ที่อีธานเลือกให้กับอาชีพนักแสดงมาตลอด” ไมเคิล สไปริก อธิบาย “เขาเลือกแสดงแต่ในหนังที่น่าสนใจเท่านั้น เขาฉลาด ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน และเตะตาเรามากๆ เราไม่รู้หรอกว่าเขาสนใจบทนี้หรือไม่ แต่รู้ว่าเขาคือหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เราต้องการ”

      อีธาน ฮอว์ก ยอมรับว่าแรกเริ่มเดิมทีไม่อยากรับบทในไซไฟทริลเลอร์เรื่องนี้สักเท่าใด ทว่าความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของแก่นเรื่องดึงดูดความสนใจมากเหลือเกิน “ผมไม่เคยคิดจะชอบหนังแนวนี้แม้แต่น้อย เลยตัดสินใจว่าลองๆ อ่านหน่อยเถอะ สักสิบหน้าก็ได้” เขาเล่า “แต่ผมมารู้ตัวว่าไม่แสดงไม่ได้แล้วตั้งแต่อ่านไปยังไม่ถึงหน้าห้าซะด้วยซ้ำ ผมพูดได้เต็มปากเลยว่ามันแปลกแหวกแนวและสนุกมากๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมหวังนะว่าหนังจะถูกใจคนที่ไม่เคยคิดจะชอบแนวไซไฟสยองขวัญเลยเหมือนๆ อย่างตัวผมเองนี่แหละ ส่วนคนที่ชอบหนังแนวๆ นี้อยู่แล้วจะต้องคลั่งไคล้มันมากแน่ๆ”

      พระเอกจำเป็นของ DAYBREAKERS อย่าง เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน คือแวมไพร์นักโลหิตวิทยาผู้รับหน้าที่ประดิษฐ์สิ่งทดแทนเลือดมนุษย์ ก่อนที่มันจะหมดและแวมไพร์ต้องอดตาย ดัลตันต่างจากแวมไพร์ตนอื่นๆ ตรงที่มีปมศีลธรรมขัดแย้งกับสภาพร่างกาย กล่าวคือ ถึงแม้จะกระหายใคร่ดื่มเลือดมนุษย์สักเพียงใด แต่เขาปฏิเสธมันและหันไปดื่มเลือดสัตว์ซึ่งเป็นอาหารคุณภาพต่ำแทน จนกระทั่งร่างกายอ่อนแอลงทีละน้อย “ผมว่าปีเตอร์กับไมเคิลจงใจให้การเดินทางของเอ็ดเวิร์ดไม่ต่างจากเรื่องของนกฟีนิกซ์” ฮอว์กเผย “เขาตายและฟื้นขึ้นมาจากกองเถ้าถ่าน กลายเป็นผีดิบที่ก้าวไปสู่การรู้แจ้งและใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ คล้ายๆ กับว่านี่คือเรื่องเล่าที่เปรียบเทียบให้เห็นความเป็นไปของเราทุกคนยังไงยังงั้น”

      พอถึงวันถ่ายทำ  ปีเตอร์และไมเคิล สไปริก ตื่นเต้นจนขนลุกไปหมดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฮอว์กทุ่มเทให้ในระหว่างนั้น “อีธานไม่ใช่แค่เดินมาอยู่หน้ากล้องและพูดๆ ไปตามบท แต่ยังพกไอเดียเด็ดๆ โดนๆ มาฝากเราด้วย” ปีเตอร์เล่า “ด้วยความที่เป็นทั้งผู้กำกับฯ มือเขียนบท และนักแสดง เขาเข้าใจเรื่องราวและตัวละครแตกฉานมาก”

      ต่อจากนั้น  ฮอว์กยังเผยให้ฟังอีกว่า DAYBREAKERS คือประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพยนตร์พร้อมกันทีเดียวสองคน ซึ่งสนุกสนานอย่างคาดไม่ถึง “ผมคิดมาตลอดว่าถ้าหนังเรื่องไหนมีผู้กำกับฯสองคน คนหนึ่งคงเน้นไปทางกำกับ ส่วนอีกคนคงเน้นไปทางเขียนบทมากกว่า แต่ปีเตอร์กับไมเคิลไม่ใช่อย่างนั้น ทั้งคู่เป็นผู้กำกับฯเต็มตัว” เขาเล่าต่อ “วันแรกที่ถ่ายทำ ผู้กำกับฯคนหนึ่งเข้ามาบอกผมว่า ‘คุณรู้มั้ย ตอนที่คุณจับหูตัวเองน่ะถูกใจผมมากเลย’ แต่ต่อมา อีกคนเดินเข้ามาบอกว่า ‘อย่าจับหูตัวเองสิ!’ ผมดีใจนะที่เกิดเหตุการณ์นี้ เพราะทำให้ผมเข้าใจว่าไม่มีอะไรผิดหรือถูก มีแต่ชอบหรือไม่ชอบเท่านั้นเอง นี่แหละคืออิสระอย่างหนึ่งระหว่างการถ่ายทำ”

      ทันทีที่ได้ฮอว์กมาเป็นนักแสดง สองพี่น้องสไปริกก็ทาบทาม วิลเลม เดโฟ ให้มารับบท เอลวิส ด้วยความที่ชื่นชมบทบาทต่างๆ ที่นักแสดงท่านนี้ฝากไว้ในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง “ผมจะจับจ้องไปที่ตัวละครและสิ่งที่เขาทำตลอดเวลาที่อ่านบท ต่อมาถึงค่อยถามตัวเองว่ามันตื่นเต้นเร้าใจพอที่จะรับแสดงมั้ย” เดโฟเผย “สำหรับหนังแนวๆ นี้ หลายๆ เรื่องที่ผู้กำกับฯสนใจสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์มากกว่านักแสดง แต่สองพี่น้องสไปริกเป็นคนทำหนังที่ไม่เหมือนใครจริงๆ ดูอย่างหนังเรื่องแรกของพวกเขาสิ พวกเขารูดบัตรเครดิตจนเต็มวงเงิน ถ่ายทำกันเองในสวนหลังบ้าน และพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถ ทั้งสองไม่ได้เห็นความสำเร็จของงานเหนือสิ่งอื่นใด แค่เพียงรู้สึกผูกพันลึกซึ้งกับการทำหนัง เหมือนๆ กับว่ามันคือระบบการสื่อสารที่พวกเขาเข้าใจถ่องแท้ที่สุด”

      ในขณะที่  แซม นีลล์ ซึ่งไม่เคยแสดงเป็นแวมไพร์มาก่อน  รีบตะครุบโอกาสในการแสดงบท  บรอมลีย์ หรือประธานจอมโกงประจำองค์กรฟาร์มมนุษย์ นีลล์เล่าว่า “สิ่งที่ทำให้ผมขำสุดๆ และอยากจะอ่านบทหน้าต่อๆ ไปคือไอเดียตอนที่แวมไพร์ต่อแถวซื้อเลือดในร้านสตาร์บัคส์ อ่านแล้วรู้สึกว่านี่เป็นโลกที่เจ๋งแบบอดขำไม่ได้จริงๆ ส่วนบทที่ผมได้รับก็สนุกมหาศาลทีเดียว”

      ลูกสาวของบรอมลีย์ที่ยังเป็นมนุษย์ คือ อลิสัน รับบทโดยนักแสดงหน้าใหม่  อิซาเบล ลูคัส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่ผู้ชมชาวออสเตรเลียจากผลงานซีรี่ส์ทางโทรทัศน์ท้องถิ่นเรื่อง Home and Away “ไมเคิลกับผมไม่เคยเห็นผลงานของอิซาเบลมาก่อนหรอก” ปีเตอร์ สไปริก ยอมรับ “แต่หลังจากออดิชั่นก็เห็นชัดๆ เลยว่าเธอโดดเด่นมาก เธอใส่ความบอบบางและความน่าเชื่อถือลงไปในตัวละคร” กล่าวคือ ตัวละครที่ลูคัสแสดงนั้นซ่อนตัวอยู่กับกลุ่มกบฏมนุษย์มากว่า 10 ปี แต่ท้ายที่สุดก็ได้เผชิญหน้ากับพ่อที่กลายเป็นแวมไพร์ไปแล้วอีกครั้งในงานเลี้ยงชวนขนลุกของคนในครอบครัว “สนุกมากทีเดียวที่ได้เห็นอิซาเบลกับแซมร่วมงานกัน” ไมเคิล สไปริก บอก “เธอทำได้เยี่ยมมาก เธอรู้จักเลือกทิศทางที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวละคร พูดได้เต็มปากเลยว่าอิซาเบลเข้าถึงบทบาทอย่างแท้จริง”

      นอกจากนี้ยังมีนักแสดงจากออสเตรเลียอีกสองคน  คือ คลอเดีย คาร์แวน  และ ไมเคิล ดอร์แมน มาช่วยกันเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับทีมนักแสดงนำ “คลอเดียเป็นดาราโทรทัศน์ชื่อดัง แต่รู้จักกันเฉพาะในออสเตรเลียเท่านั้น” บราวน์อธิบาย “ผมคิดว่างานนี้แหละที่เธอจะได้ก้าวออกมาจากออสเตรเลียอย่างยิ่งใหญ่ เธอใส่ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานเข้าไปในหนัง ซึ่งได้สัดส่วนพอเหมาะกับประสบการณ์ของอีธานและวิลเลมพอดี ส่วนไมเคิลนี่เป็นนักแสดงมากพรสวรรค์ใหม่เอี่ยมอ่อง เขามาทดสอบบทตอนที่เราหาใครสักคนมาแสดงเป็นน้องชายของอีธาน การแสดงของเขาวิเศษมากจนเราแทบจะหยุดหายใจทีเดียว”


      ผู้กำกับภาพยนตร์ทั้งสองยอมรับว่าแรกๆ  ยังกลัวๆ กล้าๆ อยู่ไม่น้อยเมื่อคิดว่าต้องร่วมงานกับนักแสดงมากประสบการณ์อย่าง  อีธาน ฮอว์ก, วิลเลม เดโฟ และ แซม นีลล์ ทว่าความกลัวนั้นก็สลายไปในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน “เรากลัวๆ กล้าๆ อยู่แค่ห้านาทีเห็นจะได้มั้ง” ไมเคิล สไปริกหัวเราะ “พอสำนึกได้ว่างานช้ากว่ากำหนดและงบกำลังจะบานปลาย เราก็รีบลงมือถ่ายทำกันทันที ไม่มัวมากลัวนู่นกลัวนี่อีกแล้ว ในขณะที่นักแสดงทั้งหมดล้วนมาพร้อมกับพรสวรรค์ทั้งนั้น เรียกว่าพร้อมจะถ่ายทำได้ทุกเมื่อ ทุกอย่างเลยง่ายสำหรับเรามากๆ”

      ยิ่งไปกว่านั้น  การเตรียมการอันแสนพิถีพิถันของสองพี่น้องสไปริกยังช่วยให้การสร้างงานซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2007 ที่ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “มุมมองเกี่ยวกับหนังและเป้าหมายที่ทั้งสองต้องการบรรลุไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่วันแรกที่เราพูดคุยกัน” บราวน์เผย “พวกเขาแสดงลำดับการถ่ายทำให้เห็นภาพทุกขั้นตอน มีสตอรี่บอร์ดประกอบทุกเฟรม แถมยังทำสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์เองอีกต่างหาก นอกเหนือจากงานทางด้านเทคนิคแล้ว ด้วยความที่เขียนบทเองทั้งหมด พวกเขาจึงเข้าใจตัวละครอย่างแปลกประหลาดลึกซึ้ง และถ่ายทอดไอเดียต่างๆ ออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด”


      ในขณะที่  จอร์จ ลิดเดิล ซึ่งควบทั้งหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้าง และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายใน DAYBREAKERS ทำให้เขาสามารถสร้างสรรค์ความสุนทรีย์ในภาพยนตร์ได้ต่อเนื่องแนบเนียนไร้ที่ติ ลิดเดิลอธิบายว่า เขาและผู้กำกับฯทั้งสองรับรู้ตรงกันว่าต้องหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามที่นำไปสู่ความคล้ายคลึงกับสไตล์กอธิกแบบที่ใช้ในภาพยนตร์แวมไพร์ทั่วๆ ไป “เราต้องการโลกที่คนดูเห็นแล้วจำได้เลยว่านั่นคือโลกของเรา เพียงแต่เติมความเป็นอนาคตเข้าไปเท่านั้นเอง” เขาเล่า “เราใช้เวลาร่วมกันนั่งดูหนังสือเล่มนั้นบ้างเล่มนี้บ้างดูภาพถ่ายต่างๆ บ้าง เพื่อนำมาอ้างอิงในงาน โลกแวมไพร์ของเราจะต้องให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกด้วยสามสีคือ เทา ดำ และขาว แล้วค่อยสะท้อนความรู้สึกนั้นให้ชัดขึ้นด้วยเครื่องแต่งกาย เราทำฉากออกมาเป็นสไตล์โมเดิร์นเน้นเหลี่ยมมุมชัดเจน โดยใช้บล็อกสีดำบ้างขาวบ้าง และสาดแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์เข้าไปเป็นช่วงๆ ส่วนโลกของมนุษย์หรือหมายถึงที่ซ่อนที่ปลอดภัยจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและมีสีสันมากกว่า”

      งานนี้  ผู้กำกับภาพ เบน นอตต์  ต้องประสานงานใกล้ชิดกับลิดเดิลในการออกแบบแสงในฉาก โดยพึ่งพาแสงจากธรรมชาติภายนอกให้น้อยที่สุด นอตต์บอกว่า “ตากล้องทุกคนต้องทำงานสัมพันธ์กับฝ่ายออกแบบอยู่แล้ว เพื่อให้ได้สุดยอดผลงาน งานของจอร์จวิเศษจริงๆ ผมดีใจมากที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับเขา”

      ในส่วนของการหลุดพ้นจากบรรทัดฐานเดิมๆ  นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว นอตต์และผู้กำกับภาพยนตร์ทั้งสองยังเพิ่มความสุนทรีย์ให้กับหนังด้วยการถ่ายทำแบบดิจิตอลในระบบ Genesis “เรารู้สึกตรงกันว่าภาพดิจิตอลจะสื่อให้เห็นความแห้งแล้งทางจิตใจได้ชัดขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของโลกแวมไพร์” นอตต์อธิบาย “ด้วยความที่เป็นโลกในแนวสุขนิยม สูบบุหรี่ควันโขมง ดื่มฉลองไปวันๆ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เราถึงอยากให้มันปราศจากสีสัน และเลือกใช้สีเย็นๆ แค่โทนเดียวเท่านั้น”

      ปิดท้ายกันที่ผู้แต่งหน้าเอฟเฟกต์  สตีฟ บอยล์ ซึ่งคล้ายจะแบกภาระหนักหน่วงที่สุดในการสร้างงานครั้งนี้ นั่นคือ สร้างสรรค์กองทัพแวมไพร์  รวมถึงแวมไพร์ชั้นต่ำหรือซับไซเดอร์ที่ดูดเลือดของแวมไพร์ตนอื่นๆ กระทั่งเสียสติและกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายๆ ค้างคาว บอยล์เล่าให้ฟังว่า “ปีเตอร์กับไมเคิลบอกผมว่าให้นึกถึงหนังแวมไพร์ทั้งหมดเท่าที่เคยดูมา จากนั้นก็ลืมซะ! ลืมให้หมดทุกอย่าง! พวกเขาอยากให้ผมมองโดยเน้นไปที่ความเป็นมนุษย์ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เรามองตรงกันว่าพวกแวมไพร์ชั้นต่ำหรือซับไซเดอร์ไม่ต่างอะไรเลยกับคนป่วยที่หมดทางเยียวยา คล้ายๆ กับพวกขี้ยาขั้นรุนแรงยังไงยังงั้น ที่สำคัญ พวกนี้ต้องมีรอยฟันบนแขนเพราะดูดเลือดตัวเอง มีปีก แถมยังหลังโก่งอีกด้วย”

      สำหรับงานสร้างสรรค์แวมไพร์ชั้นต่ำ บอยล์ออกแบบชุดเต็มตัวสำเร็จรูปทำจากยางลาเท็กซ์ผสมกับผงซิลิคอน ซึ่งกินเวลาเกือบสิบเอ็ดชั่วโมงกว่าจะสวมให้นักแสดงได้ทั้งชุด เขาอธิบายว่า “เริ่มที่นักแสดงต้องยืนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่บนแท่น จากนั้นก็ต้องชะโลมกาวให้ทั่วทั้งชุดก่อนสวมเพราะมันไม่มีซิป แล้วค่อยติดปีก ใส่คอนแทคเลนส์ ใส่เขี้ยว ส่วนที่ไม่โดนกาวเห็นจะมีแต่ข้อเท้ากับรูหูเท่านั้นแหละ ถึงจะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมาก แต่ได้ผลดีเยี่ยมทีเดียว และยังท้าทายมากด้วยกับการจัดการทุกอย่างให้เสร็จทันเวลา”

      นอกจากนี้ บอยล์ยังต้องออกแบบเขี้ยวและคอนแทคเลนส์อีกกว่า 250 คู่ “ทันทีที่หานักแสดงได้แล้ว เราต้องวัดขนาดตาดำ จากนั้นก็ออกแบบเลนส์ตาประมาณสามแบบ ตั้งแต่แบบแวมไพร์สุขภาพดี ไปจนถึงแบบแวมไพร์ป่วยและแบบแวมไพร์ชั้นต่ำ เรียกว่าใส่ๆ ถอดๆ กันจนตาแดงก่ำไปหมดเลย” บอยล์อธิบายต่อไป “เราตัดสินใจกันแล้วว่าแวมไพร์สุขภาพดีฟันต้องสวย แต่เวลาโจมตีเขี้ยวจะโง้งออกมาเพื่อให้ดูก้าวร้าวดุดันขึ้นอีกหน่อย และสุดท้ายจะเป็นฟันน่าเกลียด แหว่งๆ บิ่นๆ สำหรับพวกชั้นต่ำโดยเฉพาะ”

      ท้ายที่สุด  บอยล์กล่าวจากใจว่าปีเตอร์และไมเคิลยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่เคยทำงานร่วมกับใครต่อใครมา ด้วยความที่ทั้งสองอนุญาตให้เขาใส่ความคิดสร้างสรรค์อันบรรเจิดลงไปในงานได้เต็มที่ “ผมรู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมแสดงฝีมือแต่งหน้าเอฟเฟกต์ เมื่อนั้นจะต้องตั้งใจถ่ายให้ดีที่สุดเท่าที่จะถ่ายได้” บอยล์บอก “พวกเขาเข้าใจดีว่ากระบวนการของผมซับซ้อนและกินเวลามากขนาดไหน และยังรู้อีกด้วยว่าอะไรที่กล้องควรหรือไม่ควรหลบ”

      ผลก็คือภาพยนตร์แวมไพร์ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยพรสวรรค์จากนักแสดงและทีมเบื้องหลังที่ทุ่มเทกันเกินร้อย DAYBREAKERS จึงขยายขอบเขตการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ในแนวที่มีผู้ชมคลั่งไคล้อย่างต่อเนื่องมาตลอดให้กว้างออกไปอีกได้ “เรารู้สึกว่าโชคดีมากจริงๆ ที่มีโอกาสสร้างโลกตามที่จินตนาการไว้” ปีเตอร์ สไปริก สรุป “เราเริ่มจากให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนดูต้องการจากหนังแวมไพร์สักเรื่องหนึ่ง แต่นำเสนอออกมาในแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน และในที่สุดก็ลงเอยด้วยความสำเร็จ”