ห้างแว่นท็อปเจริญ ร่วมกับมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย เปิดตัวยิ่งใหญ่โครงการ “แว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตน”
ห้างแว่นท็อปเจริญ ร่วมกับมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย เปิดตัวโครงการ “แว่นตาผู้สูงวัย ในสมเด็จพระเทพรัตน” สนองพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการช่วยเหลือผู้สูงวัยที่ประสบปัญหาสายตาในถิ่นทุรกันดาร ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถประกอบอาชีพ และเลี้ยงดูตนเองได้ดีขึ้น ไม่เป็นภาระต่อบุตรหลาน โดยได้รับเกียรติจากคุณหญิงสมศรี กันธมาลา กรรมการอำนวยการและเลขาธิการมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ให้เกียรติร่วมเปิดงาน พร้อมเตรียมยกขบวนลงพื้นที่ให้บริการตรวจวัดสายตา ประกอบแว่น แก่ผู้สูงวัยทั่วประเทศทุกเดือนต่อเนื่องตลอด 5 ปี ตั้งเป้าช่วยเหลือผู้สูงวัยจำนวน 24,000 คนตลอดโครงการฯ
นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการห้างแว่นท็อปเจริญ กล่าวว่า โครงการ “แว่นตาผู้สูงวัย ในสมเด็จพระเทพรัตน” เกิดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างห้างแว่นท็อปเจริญกับมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย เพื่อสนองพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการช่วยเหลือผู้สูงวัยที่ประสบปัญหาสายตาในถิ่นทุรกันดาร ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถประกอบอาชีพ และเลี้ยงดูตนเองได้ดีขึ้น ไม่เป็นภาระต่อบุตรหลาน และยังสามารถเลี้ยงดูบุตรหลานได้ ซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นสำหรับผู้สูงวัยทั่วประเทศ ที่จะได้รับโอกาสในการช่วยเหลือ ผ่านการดำเนินงานของผู้เชี่ยวชาญทางสายตา ด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย จากห้างแว่นท็อปเจริญร้านแว่นตาที่อยู่เคียงคู่คนไทยและประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า50ปี ลงพื้นที่ให้บริการตรวจวัดสายตา พร้อมประกอบแว่นใหม่ แก่ผู้สูงวัยทุกเดือนต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ ปี 2552 – 2557 โดยแต่ละครั้งของการลงพื้นที่จะสามารถให้บริการผู้สูงวัยได้จำนวนประมาณ 400 คนต่อครั้ง รวมจำนวนผู้สูงวัยที่จะได้รับการช่วยเหลือจำนวนประมาณ 24,000 คน
ในการคัดเลือกผู้สูงวัยเพื่อเข้ารับบริการตามโครงการฯ จะได้รับความร่วมมือจาก กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกกลุ่มผู้สูงวัยในถิ่นทุรกันดารต่าง ๆ ทั่วประเทศที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปที่ต้องการความช่วยเหลือด้านสายตา โดยมีการประสานความร่วมมือกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ของแต่ละจังหวัดนั้นๆ การตรวจวัดสายตาในโครงการฯ ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้ลงพื้นที่ 3 แห่ง คือ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และอำเภอเมือง จังหวัดยะลา รวมผู้สูงวัยที่ได้รับบริการทั้งสิ้นจำนวนกว่า 1,200 คนแล้ว
ในงานเปิดโครงการฯ อย่างเป็นทางการครั้งนี้ ได้นำผู้สูงวัยจากบ้านบางแค บ้านบึงกุ่ม และบ้านคลองเตย กรุงเทพฯ จำนวน 200 คน เข้ารับบริการตรวจวัดสายตา พร้อมนี้ได้จัดให้มีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนฯ ในการให้ความช่วยเหลือผู้สูงวัยในถิ่นทุรกันดาร และการสัมภาษณ์พูดคุยเรื่อง “คุณค่าที่มองเห็น” กับศิลปินอาวุโส อาทิ คุณจุรี โอศิริ, คุณพิศมัย วิไลศักดิ์, คุณนิรุตต์ ศิริจรรยา และคุณสมบัติ เมทะนี โครงการ “แว่นตาผู้สูงวัย ในสมเด็จพระเทพรัตน” จะเดินหน้าปฏิบัติภารกิจในการให้ความช่วยเหลือผู้สูงวัยที่ประสบปัญหาสายตาในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี และตรัง ซึ่งจะเป็น 2 จังหวัดถัดไป
กรณีที่พบผู้สูงวัยที่มีอาการทางสายตา และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการตัดแว่น เช่น มีอาการต้อกระจก ฯลฯ ทางมูลนิธิฯ จะส่งผู้สูงวัยรายนั้นๆ ไปรักษายัง “ศูนย์รักษาตา ท็อปเจริญจักษุ” ซึ่งเป็นศูนย์รักษาตาที่ตั้งขึ้น โดยห้างแว่นท็อปเจริญเพื่อให้บริการแก่ผู้เป็นโรคทางสายตาและโรคตา ศูนย์รักษาตา ท็อปเจริญจักษุ จะให้การรักษาผู้สูงวัยที่พบว่าเป็นโรคตาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยแว่น ตามโครงการนี้ปีละ 100 ดวงตา โดยไม่คิดค่าบริการรักษาแต่อย่างใด สำหรับประชาชนทั่วไป ในอนาคตท่านสามารถร่วมบริจาคเงินสมทบทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางแก่ผู้สูงวัยที่ต้องการเข้ามารับการรักษา ที่ “ศูนย์รักษาตา ท็อปเจริญจักษุ” ได้ โดยสามารถบริจาคได้ที่ห้างแว่นท็อปเจริญ ทุกสาขา และมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย
โครงการ “แว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตน”
โครงการ “แว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตน” เกิดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างห้างแว่น ท็อปเจริญและมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย เพื่อสนองพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเล็งเห็นความสำคัญและต้องการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางสายตาและอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้อย่างปกติซึ่งจะเป็นภาระแก่ลูกหลานและคนในครอบครัวในอนาคต จึงดำริให้จัดตั้งโครงการ “แว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตน” ขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้สูงวัยเหล่านั้นให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถประกอบอาชีพ และเลี้ยงดูตนเองได้ดีขึ้น ไม่เป็นภาระต่อบุตรหลานและยังสามารถเลี้ยงดูบุตรหลานได้ด้วย ซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นสำหรับผู้สูงวัยทั่วประเทศ ที่จะได้รับโอกาสในการช่วยเหลือตรวจวัดสายตา ประกอบแว่น ผ่านการดำเนินงานของห้างแว่นท็อปเจริญ ที่ได้นำทีมผู้เชี่ยวชาญ และเครื่องมือที่ทันสมัย ลงพื้นที่ดำเนินการตรวจวัดสายตา พร้อมประกอบแว่นให้ใหม่แก่ผู้สูงวัย
นโยบายและทิศทางการดำเนินโครงการฯ
ห้างแว่นท็อปเจริญและมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย จะร่วมกันปฏิบัติภารกิจในการให้ความช่วยเหลือผู้สูงวัยที่ประสบปัญหาสายตาในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกภาคของประเทศอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ ปี 2552 – 2557 โดยมีจำนวนผู้รับบริการเป้าหมายทั้งสิ้น 24,000 คน ซึ่งจะมีผู้ได้รับบริการในแต่ละพื้นที่ที่ไปประมาณ 400 คนต่อครั้ง
ในการคัดเลือกผู้สูงวัยเพื่อเข้ารับบริการตามโครงการฯ นั้น จะได้รับความร่วมมือจากกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกกลุ่มผู้สูงวัยในถิ่นทุรกันดารต่าง ๆ ทั่วประเทศ ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปและต้องการความช่วยเหลือด้านสายตา โดยจะประสานความร่วมมือกับ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ของจังหวัดนั้นๆ เพื่อคัดเลือกผู้ที่จะเข้ามารับบริการในแต่ละครั้งของการลงพื้นที่
แนวทางในการให้บริการ
สำหรับผู้สูงวัยที่เป็นโรคตา เช่น มีอาการต้อกระจก ต้อลม ต้อเนื้อ ฯลฯ และไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นได้ มูลนิธิฯจะทำการส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ “ศูนย์รักษาตา ท็อปเจริญจักษุ” ซึ่งเป็นศูนย์รักษาตาที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้เป็นโรคทางสายตาและโรคตา โดยศูนย์รักษาตา ท็อปเจริญจักษุ จะให้การรักษาแก่ผู้สูงวัยที่พบว่าเป็นโรคตาตามโครงการนี้ปีละ 100 ตา โดยไม่คิดค่าบริการรักษาแต่อย่างใด
ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ
ตั้งแต่ ปี 2552 – 2557 รวมระยะเวลา 5 ปีเต็ม
ความคาดหวังของโครงการ
1. สามารถสร้างคุณค่าให้กับผู้สูงวัยทั่วประเทศให้ผ่านพ้นอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากสายตา สามารถประกอบอาชีพ เลี้ยงดูตนเองได้ดีขึ้น ไม่เป็นภาระต่อบุตรหลานและยังสามารถเลี้ยงดูบุตรหลานได้ ดังพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
2. ผู้สูงวัยที่มีปัญหาทางสายตาทั่วประเทศ จะได้รับโอกาสในการตรวจวัดสายตา ประกอบแว่นพร้อมรักษาให้มีสุขภาพตาที่ดีขึ้นกว่าเดิม และมีคุณภาพชีวิตที่ขึ้น