MSN on November 02, 2019, 03:10:42 PM
PwC เผย 25% ขององค์กรชั้นนำที่มีความต้านทานต่อภัยคุกคามสูงยกระดับแนวปฏิบัติการรับมือภัยไซเบอร์

•   91% ขององค์กรที่มีความต้านทานต่อภัยคุกคามสูงมีการทำรายการสินค้าคงคลังของสินทรัพย์ที่ถูกต้องและอัปเดตรายการอย่างสม่ำเสมอ
•   73% ขององค์กรที่มีความต้านทานต่อภัยคุกคามสูงสามารถระบุบริการทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดของตนได้
•   34% ขององค์กรที่มีความต้านทานต่อภัยคุกคามสูงเปลี่ยนแนวความคิดจากการใช้รูปแบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและการสำรองระบบแบบเดิม ๆ สู่การมีแผนรับมือความปลอดภัยทางด้านดิจิทัลที่มีความยืดหยุ่น รวมถึงมีความพร้อมในการตอบสนองเมื่อถูกโจมตีและมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ภัยคุกคามที่ไม่คาดฝัน


กรุงเทพฯ, 30 ตุลาคม 2562 – PwC เผยองค์กรชั้นนำทั่วโลกยกระดับแนวทางในการรับมือกับภัยคุกคามขั้นสูง หลังถูกโจมตี        ทางไซเบอร์มากขึ้น พบ 25% ขององค์กรในกลุ่มที่มีความสามารถสูงในการต้านทานภัยคุกคาม (The high resilience-quotient: High-RQ group) สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งทนทานต่อการถูกโจมตีและกู้คืนระบบได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ยังให้บริการหรือดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ชี้องค์กรไทยยังมีการป้องกันแบบเดิม ๆ ต้องเร่งพัฒนาองค์กรให้รับมือกับภัยจากไซเบอร์เชิงรุก


นางสาว วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Digital Trust Insights ครั้งที่ 4 ของ PwC ซึ่งได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารจำนวนกว่า 3,500 รายทั่วโลกว่า บริษัทชั้นนำของโลกหันมายกระดับขีดความสามารถและปรับแนวปฏิบัติในการรับมือกับภัยคุกคามในเชิงรุกมากขึ้น โดยสร้างความยืดหยุ่นให้สอดรับกับสถานการณ์หรือประเภทของการบุกรุกโจมตีที่เกิดขึ้น ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า โดยภาพรวม องค์กรที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีความต้านทานต่อภัยคุกคามสูง มีคะแนนสูงสุด 25% ใน 3 ด้านดังต่อไปนี้:

•    มีการมองเห็นได้ถึงสินทรัพย์หลักและกระบวนการทำงานแบบเรียลไทม์
•    มีแผนงานและการตอบสนองทั่วทั้งองค์กร
•    มีการออกแบบการให้บริการทางธุรกิจและกระบวนการทางธุรกิจขององค์กรอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สาระสำคัญของผลสำรวจอยู่ที่การปรับเปลี่ยนความคิด (Mindset) ของสมาชิกขององค์กรที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงจากการใช้รูปแบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและการสำรองระบบเดิม ๆ ไปสู่การมีแผนรับมือความปลอดภัยทางด้านดิจิทัลที่มีความยืดหยุ่น รวมถึงมีความพร้อมในการตอบสนองเมื่อถูกโจมตี และมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ภัยคุกคามที่ไม่คาดฝัน (Resilience by design) โดยแนวทางนี้รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงกระบวนการทำงานที่มีลำดับความสำคัญมากกว่าก่อน เพื่อให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจและผู้ที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์ สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้พร้อมกันโดยส่งผลเสียหายต่อตัวธุรกิจน้อยที่สุด

การมองเห็นได้ถึงกระบวนการทำงานหลัก สินทรัพย์ และการพึ่งพา

ทั้งนี้ หากองค์กรปราศจากความเข้าใจว่า สินทรัพย์และกระบวนการต่าง ๆ มีการพึ่งพาและเชื่อมโยงเข้ากับบริการของธุรกิจหลักของตนอย่างไร องค์กรนั้น ๆ ก็จะไม่ทราบว่าเลยว่า ระบบ หรือสินทรัพย์ไหนที่สามารถแยกออกจากกันได้เมื่อธุรกิจเกิดการหยุดชะงัก รายงานชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างที่เด่นชัดในจุดนี้ โดย 91% ของบริษัทในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูง มีการทำรายการสินค้าคงคลังของสินทรัพย์ที่ถูกต้องและมีการอัปเดตรายการอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเทียบกับ 47% ของบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูง

สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ที่ตามปกติมีการใช้งานสินทรัพย์ด้านไอทีเป็นล้าน ๆ รายการ และมีการเชื่อมต่อกันเป็นหลายร้อยล้านปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการวางแผนสินทรัพย์ที่สำคัญรวมทั้งกระบวนการในเชิงลึก ทั้งนี้ มากกว่าครึ่งของผู้ถูกสำรวจที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงได้ใช้ระบบอัตโนมัติในการทำรายการสินค้าคงคลังและวางแผนกระบวนการต่าง ๆ เปรียบเทียบกับผู้ถูกสำรวจที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงเพียง 10%

ระบุและทดสอบความทนทานขององค์กรของคุณต่อการถูกบุกรุกโจมตี

ไม่น่าแปลกใจเลยว่า 73% ขององค์กรในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงสามารถระบุได้ว่า บริการทางธุรกิจของตนบริการใดที่มีความสำคัญที่สุด ในขณะที่มีเพียง 27% ของบริษัทที่อยู่นอกกลุ่มเท่านั้นที่ระบุได้

รายงานของ PwC ชี้ว่า องค์กรต้องกำหนดขอบเขตระยะเวลาและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ยอมรับได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือ       พูดสั้น ๆ ก็คือ ความสามารถในการทนทานต่อผลกระทบจากการถูกบุกรุกโจมตี ทั้งนี้ ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ถูกสำรวจในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูง ได้กำหนดความสามารถในการยอมรับต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบริการที่สำคัญขององค์กรไว้แล้ว ในขณะที่มีเพียง 24% ของผู้ถูกสำรวจที่เหลือเท่านั้นที่ทำเช่นเดียวกัน

สำหรับปัจจัยสุดท้ายที่สร้างความแตกต่างให้กับองค์กรที่ถูกสำรวจอย่างสิ้นเชิงนั้น รายงานพบว่า ในกลุ่มองค์กรที่มีระดับ RQ สูงด้วยกัน 61% ได้ทำแผนความสามารถในการยอมรับต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบริการขององค์กรไม่เพียงเฉพาะบริการที่สำคัญ ๆ ขณะที่มีเพียง 18% ที่เหลือเท่านั้นที่มีการทำแผนดังกล่าว ซึ่งนี่ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากการถูกบุกรุกโจมตีส่งผลให้เกิดการจ่ายค่าปรับตามสัญญาแก่คู่ค้าทางธุรกิจ

ออกแบบแผนรับมือความปลอดภัยทางด้านดิจิทัลให้มีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป

สุดท้าย เมื่อถามผู้ถูกสำรวจว่า “องค์กรของพวกเขาได้มีการออกแบบแผนรับมือความปลอดภัยทางด้านดิจิทัลให้มีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป” ทั่วทั้งองค์กรหรือไม่พบว่า มีเพียง 34% ของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงที่ตอบว่ามี ส่วนกลุ่มที่เหลือมีเพียง 14%

นางสาว วิไลพร กล่าวสรุปว่า “ในยุคที่ผู้บริหารต้องเตรียมแผนการในการรับมือกับความเสี่ยงด้านต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงจากภัย       ไซเบอร์ซึ่งนับวันถือเป็นความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ ๆ ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง     ดังนั้น องค์กรต้องคอยพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการรักษาความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ธุรกิจมีความพร้อมในการตอบสนองเมื่อถูกโจมตี มีความต้านทานและมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ภัยคุกคามที่ไม่คาดฝันก็ตาม ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราเรียกว่า Cyber Resilience ซึ่งองค์กรที่มีความพร้อมในการตรวจจับและตอบสนองต่อการถูกบุกรุกโจมตี จะเป็นองค์กรที่มีความสามารถในการปรับตัวต่อภัยคุกคามสูง แต่ต้องเรียนว่า ตอนนี้ระดับของความก้าวหน้าขององค์กรในประเทศที่มีความต้านทานต่อภัยคุกคามในขั้นสูงยังมีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ยังเป็นไปในลักษณะการป้องกันและรักษาความปลอดภัยเชิงรับมากกว่าเชิงรุก”

เกี่ยวกับรายงาน
หากต้องการอ่านผลสำรวจ The Digital Trust Insights ฉบับเดือนกันยายน 2562
ทั้งนี้ ผลสำรวจ Digital Trust Insights ถูกจัดทำขึ้นผ่านการสอบถามความคิดเห็นออนไลน์ของผู้บริหารองค์กรทั่วโลกซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสารสนเทศ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศ, ผู้บริหารระดับสูงด้านการบริหารบุคลากร, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความปลอดภัย, ที่ปรึกษา, รองประธาน และผู้อำนวยการฝ่ายไอทีและรักษาความปลอดภัยจำนวน 3,539 รายจาก 61 ประเทศทั่วโลกในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

•   53% ของผู้ตอบแบบสอบถามมาจากองค์กรที่มีรายได้มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป
•   21% ของผู้ตอบแบบสอบถามมาจากทวีปอเมริกาเหนือ ตามมาด้วย 44% จากทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 26% จากทวีปเอเชียแปซิฟิก และ 10% จากทวีปละตินอเมริกา
•   ส่วนต่างของตัวเลขจากผลสำรวจมีค่าความผิดพลาดน้อยกว่า 1% และการปัดเศษส่งผลให้ตัวเลขรวมอาจไม่ถึง 100% 

เกี่ยวกับ PwC
ที่ PwC เป้าประสงค์ของเรา คือ การสร้างความไว้วางใจในสังคมและช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับลูกค้า  เราเป็นหนึ่งในบริษัทเครือข่าย 157 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 276,000 คนที่ยึดมั่นในการส่งมอบบริการคุณภาพด้านการตรวจสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ กฎหมายและภาษี หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ที่ www.pwc.com/th

เกี่ยวกับ PwC ประเทศไทย
PwC ประเทศไทย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจไทยมานานกว่า 60 ปี PwC ผสมผสานประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการทำงานกับลูกค้าข้ามชาติ ผนวกกับความเข้าใจตลาดภายในประเทศเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชื่อเสียงของ PwC เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยปัจจุบัน มีบุคลากรมากกว่า 2,000 คนในประเทศ

PwC refers to the Thailand member firm, and may sometimes refer to the PwC network. Each member firm is a separate legal entity. Please see www.pwc.com/structure for further details.

© 2019 PwC. All rights reserved