news on July 06, 2019, 12:29:22 PM



ลงนามความร่วมมือ (ซ้าย) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ. สวทช. (กลาง)นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัด พม. (ขวา)นางไพรวรรณ พลวัน อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ


สวทช.ผนึก กรมกิจการผู้สูงอายุ ใช้เทคโนโลยีดูแลผู้สูงอายุ ‘บ้านบางแค’นำร่องใช้ในปี 63 ก่อนปูพรมครบ 12 ศูนย์ฯ ทั่วประเทศ

(5 กรกฎาคม 2562) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ นางไพรวรรณ พลวัน อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วย “การขยายผลการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ”เพื่อเป็นการยกระดับการดูแลและการให้บริการผู้สูงอายุในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รองรับสังคมสูงอายุคุณภาพในอนาคตโดยมีนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานและสักขีพยาน


นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ในปี 2562กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ได้มีการผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนตามมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง “สังคมสูงอายุ” มาตรการหลักที่ 2 การยกระดับขีดความสามารถสู่การบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 มาตรการย่อยที่ 4ในการพลิกโฉมนวัตกรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมสูงอายุ โดยการนำนวัตกรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรมบริการ มานำร่องในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) 12 แห่ง ภายใต้สังกัดกรมกิจการผู้สูงอายุ ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพการให้บริการของ ศพส. มีการพัฒนาขึ้นทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางสังคมในปัจจุบันที่ประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และบางส่วนก็ยังขาดโอกาสที่จะเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุจากเครือข่ายนักวิจัย เพื่อสร้างอุตสาหกรรมสังคมสูงวัยจากนวัตกรรมไทยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำและสร้างประโยชน์แก่สังคมโดยรวมร่วมกัน


นางไพรวรรณ พลวัน อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวเสริมว่า จากข้อมูลในปี 2560 มีประชากรของโลกประมาณ 7,550ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้สูงอายุจำนวน 862 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 12.7 ของประชากรทั้งโลก ส่วนประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตั้งแต่ปี 2558 โดยมีประชากรสูงอายุร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ และในอีก 2 ปีข้างหน้าคือปี 2564ประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะมีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปถึงร้อยละ 20ของประชากรทั้งหมด และในปี 2574 จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด มีประชากรสูงอายุมากถึงร้อยละ 28

ทั้งนี้กรมกิจการผู้สูงอายุ ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีภารกิจเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ การคุ้มครองพิทักษ์สิทธิ การส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ รวมทั้งการพัฒนารูปแบบงานด้านสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมและตอบสนองต่อสภาพการณ์ทางสังคมกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานโดยยึดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545– 2564) ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในทุกมิติ ทั้งมิติด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมและนวัตกรรม เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานโดยมีศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) จำนวน 12 แห่ง ที่เป็นหน่วยงานหลักในการให้บริการแก่ผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาถูกทอดทิ้ง ไร้ผู้อุปการะดูแล เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตและพึ่งตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วย “การขยายผลการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ”ครั้งนี้ กรมกิจการผู้สูงอายุ และ สวทช. ได้หารือแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนนวัตกรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมสูงอายุโดยได้จัดทำงบประมาณประจำปี 2563 ภายใต้แผนงานบูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย กำหนดกรอบการดำเนินงานในระยะ 3 ปี (ปี 2563 – 2565)เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมบริการ 15 รายการ มานำร่องใช้ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) ทั้ง 12 แห่ง และขยายผลไปยังสถานดูแลผู้สูงอายุอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในอนาคต


ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุลผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. โดยทีมนักวิจัยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) 12 ศูนย์ฯ และ ศพส.บ้านบางแค จะพัฒนาระบบบริหารจัดการภายในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถเชื่อมกับศูนย์ข้อมูลกลางผู้สูงอายุของกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยในปี 2563 จะนำร่องใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลภายในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค โดยใช้เทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ได้แก่ 1.ระบบบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของผู้สูงอายุ (ผู้รับบริการ)ข้อมูลทางสุขภาพของผู้สูงอายุภายในศูนย์จะได้รับการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ผ่านเครื่องตรวจวัดสุขภาพอัตโนมัติ ที่ผู้สูงอายุที่ยังมีกำลังวังชาสามารถตรวจวัดได้ด้วยตนเอง หรือผ่านเครื่องตรวจวัดสุขภาพแบบพกพา สำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจวัดสุขภาพผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง 2. ระบบบริหารจัดการด้านโภชนาการของผู้สูงอายุ เพื่อคำนวณอาหารที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ที่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์และครบถ้วน 3. ระบบบริหารการดูแลผู้สูงอายุ (Care Plan Management) เป็นเครื่องมือในการช่วยการวางแผน ติดตาม การดูแลผู้สูงอายุในศูนย์ฯ 4. ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินและสื่อสารทางไกล โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ช่วยติดตามผู้สูงอายุเมื่อพลัดหลงหรือเดินออกนอกพื้นที่ดูแล รวมถึงเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวป้องกันการหกล้ม และให้การช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

“การหกล้มในผู้สูงอายุ เป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดการบาดเจ็บของกระดูกแล้วอาจส่งผลต่อการรักษาเป็นระยะเวลานานและเกิดค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ดังนั้นระบบบริหารจัดการภายในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ จะมาเป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังช่วยดูแล เฝ้าระวังอุบัติเหตุจากการหกล้มจากสภาพร่างกายของผู้สูงอายุเอง รวมทั้งช่วยเก็บข้อมูลสุขภาพผู้สูงอายุ ให้ผู้ดูแลสามารถนำไปประมวลผลจัดเก็บข้อมูลรายบุคคลอย่างเป็นระบบ และให้การช่วยเหลือดูแลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไป”

ดร.ณรงค์ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นแล้วยังมีนวัตกรรมจากผลงานวิจัยของพันธมิตรของ สวทช. ที่ชนะการประกวดซึ่งเกิดขึ้นมาภายใต้ศูนย์วิจัย CED ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์และเครื่องจักรกลที่ใช้ประโยชน์ได้จริง โดยสิ่งประดิษฐ์ที่จะนำมาใช้ที่ บ้านบางแคเพื่อดูแลผู้สูงอายุ เช่น อุปกรณ์ช่วยเดินแบบพยุงน้ำหนักบางส่วน (Space Walker) ซึ่งได้รับการออกแบบมาสำหรับการช่วยเหลือ และฟื้นฟูการฝึกเดินของผู้ป่วยที่มีปัญหาความผิดปกติของรูปแบบการเดินแบบต่างๆ เช่น ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกผู้ป่วยอัมพาตครึ่งท่อนล่างผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงผู้ที่มีปัญหาการทรงตัว และมีความเสี่ยงในการหกล้ม รวมถึงผู้สูงอายุที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเป็นอุปกรณ์ช่วยฝึกเดินสำหรับผู้ป่วยที่ผ่านการกายภาพบำบัดที่มีระบบพยุงน้ำหนักแบบไดนามิกส์ (Dynamic Body Weight Support) ตัวแรกของประเทศไทย




Space Walker

ปัจจุบันอุปกรณ์ดังกล่าวได้เริ่มกระจายการใช้งานไปยังที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสถาบันประสาทวิทยาโรงพยาบาลธรรมศาสตร์โรงพยาบาลสวนผึ้ง โดยอัตราส่วนการใช้งานในบ้านต่อโรงพยาบาล คือ 70:30 ผลการนำไปทดสอบเป็นที่น่าพึ่งพอใจเป็นอย่างมากจากผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยเดินได้ไกลแบบที่ไม่เคยเดินได้มาก่อน หรือมีความมั่นใจไม่กลัวล้มทำให้โฟกัสไปที่การฝึกเดิน หรือลงน้ำหนัก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ดูแล นักกายภาพ ให้สามารถดูแลการฝึกให้ง่ายขึ้น ทำให้ประชาชนคนไทยมีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับต่างประเทศโดยไม่จำเป็นต้องนำเข้าแต่อย่างใด
« Last Edit: July 06, 2019, 12:33:22 PM by news »