MSN on July 03, 2019, 02:44:56 PM
                                
 
							 
							
								เศรษฐกิจไทยภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ 2 สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กระทุ้งรัฐบาลเร่งดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน สู้ศึกสงครามการค้าที่ลุกลามถึงสงครามค่าเงิน ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯได้ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2562 ต่อเนื่องไปยังปี 2563 โดยปรับทั้งมุมมองอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) และมุมมองนโยบายการเงิน
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯได้ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2562 ต่อเนื่องไปยังปี 2563 โดยปรับทั้งมุมมองอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) และมุมมองนโยบายการเงิน 
มุมมองจีดีพี เดิมเมื่อเดือนธันวาคมปี 61 สำนักวิจัยฯ มองจีดีพีปี 62 ขยายตัว 3.7% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่สำนักวิจัยคาดการณ์ไว้ค่อนข้างต่ำ วันนี้ได้ปรับมุมมองมาอยู่ที่ 3.3% สำหรับปี 2562 และ 3.2% สำหรับปี 2563 สะท้อนถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลง
การปรับลดรอบนี้มาจากสงครามการค้าที่กระทบการส่งออกของไทย โดยคาดว่าการส่งออกครึ่งแรกของปีจะหดตัว 3% ส่วนครึ่งหลังหดตัวเพียงเล็กน้อย และเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าส่งออกจะหดตัวราว 1% กว่า หากการส่งออกลำบาก จะกระทบกับการลงทุน เอกชนลังเลที่จะขยายกำลังการผลิต เนื่องจากกำลังการผลิตในระดับที่ต่ำทำให้นักลงทุนยังไม่ขยายการลงทุน กลายเป็นปัจจัยเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยได้ ส่วนภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยช่วงครึ่งแรกของปีมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปีแต่ไม่น่าจะฟื้นตัวในระดับแข็งแกร่ง
ปัจจัยเชิงบวกสำคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ น่าจะต้องหวังพึ่งนโยบายสำคัญของรัฐบาลใหม่ โดยหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 62 มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และน่าจะฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พร้อมตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จภายในเดือนก.ค.นี้ สำนักวิจัยฯมองว่ารัฐบาลใหม่สามารถออกนโยบายมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แบ่งเป็น 3 นโยบายหลักๆ ดังนี้    
1.   นโยบายดูแลสินค้าภาคเกษตรและกำลังซื้อภาคเกษตร - รัฐบาลชุดใหม่น่าจะเข้ามาดูแลรายได้ของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นการประกันรายได้ หรือดูแลให้เศรษฐกิจเติบโตไปถึงระดับของคนยากจนได้ หากทำได้จะเป็นแรงผลักดันในการกระจายรายได้เข้าไปสู่ในภาคต่างจังหวัด  
2.   นโยบายค่าครองชีพ - รัฐบาลชุดใหม่น่าจะสานต่อรัฐบาลชุดก่อนหน้า นั่นคือการใช้มาตรการผ่านบัตรสวัสดิการภาครัฐ  โดยการโอนเงินของภาครัฐเข้าไปสู่คนจน น่าจะประคองเรื่องกำลังซื้อของคนผู้มีรายได้น้อยได้ และที่สำคัญ เราเชื่อว่ารัฐบาลจะสานต่อมาตรการดูแลค่าครองชีพไม่ให้ขยับขึ้นมากนัก ซึ่งคล้ายกับข้อแรก 
3.   การลงทุนภาครัฐ – ปัจจุบันยังล่าช้า ถ้ารัฐบาลเดินหน้าลงทุนได้อย่างเร่งด่วนจะดึงความเชื่อมั่นของเอกชน ให้เอกชนเข้ามาลงทุน ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถขับเคลื่อนได้ 
“โดยรวมแล้วเราเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องทำอย่างเร่งด่วน คือการดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาให้ได้ เพราะอย่าลืมว่า เรากำลังจะมีการเจรจาการค้า FTA กับต่างประเทศ เป็นเวทีที่เราสามารถผลักดันโอกาสทางเศรษฐกิจหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งตรงนี้จะผลักดันเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งได้ ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาคต่างประเทศ ประเทศไทยต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายใน” ดร.อมรเทพ กล่าว
มุมมองนโยบายการเงิน สำนักวิจัยฯได้ปรับมุมมองนโยบายการเงินอย่างชัดเจน จากสงครามการค้าที่นำมาสู่สงครามค่าเงิน และกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ 
เดิมมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดทั้งปีไว้ที่ 1.75% แต่เมื่อกนง.ส่งสัญญาณเป็นห่วงเรื่องทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงจากสงครามการค้า จนมากระทบการส่งออกของไทย ทำให้กนง.ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ เราจึงมองว่า สุดท้ายแล้วธปท.จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน กระตุ้นให้เกิดการลงทุน การบริโภค โดยสำนักวิจัยฯคาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้ง ภายใน 12 เดือนนี้ จาก 1.75% จะเหลือ 1.5% ภายในสิ้นปีนี้ และจะลดอีกครั้งหนึ่งสู่ระดับ 1.25% ภายในปีหน้า รวมปรับลด 0.5% ซึ่งอาจจะปรับลดในการประชุมติดกัน หรืออาจจะไม่ก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 
อีกหนึ่งเบื้องหลังของการลดดอกเบี้ยน่าจะเป็นความพยายามของธปท.ในการปล่อยให้เงินบาทอ่อนค่า ตอนนี้ปัญหาสำคัญของไทยคือ การที่เงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค ตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้เงินบาทแข็งค่า 6% เทียบดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ประเทศอื่น ค่าเงินไม่ได้แข็งค่าตามเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ บางสกุลอ่อนค่าลงด้วย นั่นหมายความว่า ช่องว่างระหว่างค่าเงินบาทกับค่าเงินเพื่อนบ้านถ่างกว้างมากขึ้น 
ยกตัวอย่าง เงินวอนเกาหลีใต้ต้นปีอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ 3.5% ซึ่งค่อนข้างแรง ส่งผลให้เงินบาทเทียบเงินวอนแข็งค่าเฉียด 9% ฝั่งผู้ส่งออกที่ส่งสินค้าไปแข่งกับเกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะการแข่งกับประเทศที่ขายสินค้าคล้ายเรา เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตร ผลกระทบจะแรงกว่าเพื่อน แต่ถ้าเป็นสินค้าที่เรามีความสามารถในการแข่งขัน เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ น่าจะเอาตัวรอดได้ 
ค่าเงินบาทที่แข็งค่าวันนี้กำลังลามมาจากสงครามการค้าที่ลามมาสู่สงครามค่าเงิน เพราะหลายประเทศในภูมิภาค ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มมีการลดดอกเบี้ย เริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพื่อพยายามทำให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า ดังนั้น ธปท.จะทำอย่างไรในบริบทที่ค่าเงินบาทนั้นแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค เราจะป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาท แข็งค่ารุนแรงจนกระทบการส่งออก และทำให้เศรษฐกิจชะลอได้แค่ไหน 
“การส่งออกไม่ใช่เรื่องไกลตัว ถ้าการส่งออกชะลอ จะกระทบการลงทุนในประเทศ นายจ้างจะไม่จ้างงานลูกจ้าง ไม่ขยายชั่วโมงการทำงาน ลูกจ้างไม่มีโอที จุดนี้จะทำให้รายได้นอกภาคเกษตร หรือรายได้ของคนเติบโตช้าลง ทำให้กำลังซื้อด้อยลง ส่งผลให้เศรษฐกิจอ่อนแอ ดังนั้น ทำอย่างไรค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค แต่ก่อนจะไปถึงขั้นลดดอกเบี้ย ธปท.อาจผ่อนคลายมาตรการบางอย่างเพื่อเอื้อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีขึ้น อาจจะทบทวนมาตรการ LTV หรือมาตรการปล่อยสินเชื่อให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การลดดอกเบี้ยคงหนีไม่พ้น เพราะเราเห็นเงินร้อนเข้าตลาดเงินตลาดทุนค่อนข้างมาก อาจต้องจับตาว่าแบงก์ชาติจะทำอย่างไรเพื่อสกัดเงินร้อน  ที่จะเข้ามากระทบไม่ใช่แค่ภาคการส่งออกลามเข้าสู่เศรษฐกิจภายในประเทศของเรา” ดร.อมรเทพ กล่าวในที่สุด
สุดท้ายเรื่องค่าเงินบาท สำนักวิจัยคาดเงินบาทจะแข็งค่าได้อีกเล็กน้อยที่ระดับ 30.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปีนี้ ก่อนที่จะมีโอกาสอ่อนค่าไปแตะระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปีหน้า ด้วยปัจจัยสำคัญคือความชัดเจนในการหยุดลดดอกเบี้ยของสหรัฐในปีหน้าขณะที่ดอกเบี้ยไทยได้ปรับลดลงตามดอกเบี้ยในตลาดโลกในที่สุด 
							 
						 
						
							
								« Last Edit: July 03, 2019, 02:46:27 PM by MSN »
							
							
								Logged