sianbun on February 07, 2010, 11:09:25 AM
“เอ็ม พิคเจอร์ส” แจ้งตารางการปรับเปลี่ยนวันที่เข้าฉายภาพยนตร์ ประจำเดือนมีนาคม 2553 ดังนี้

 4 มีนาคม DAYBREAKERS (วันแวมไพร์ครองโลก)

***ทุกโรงภาพยนตร์***

ภาพยนตร์แนวแวมไพร์ แอ็คชั่น-ไซไฟ จากประเทศสหรัฐอเมริกา
DAYBREAKERS ภาพยนตร์แอ็คชั้นล้ำสมัยกระแทกอารมณ์บู๊กระหน่ำ นำแสดงโดย นักแสดงที่เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 2 ครั้ง อีธาน ฮอว์ก (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม: TRAINING DAY ปี 2001 และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม: BEFORE SUNSET ปี 2004) ร่วมด้วย วิลเลม เดโฟ และ แซม นีลล์ ทุ่มทุนสร้างสุดอลังการจากทีมผู้สร้าง The Matrix และ 28 Days Later เขียนบทและกำกับภาพยนตร์โดย ไมเคิล และ ปีเตอร์ สไปริก
ในปี 2019 สิบปีหลังจากที่เกิดโรคระบาดทำให้มนุษย์เกือบทั้งหมดกลายเป็นแวมไพร์ แต่ยังคงมีมนุษย์รอดพ้นจากโรคนั้นอยู่บางส่วนทำให้พวกเขาถูกแวมไพร์ตามล่าเพื่อนำเลือดมาเป็นอาหาร แต่เมื่อมนุษย์ใกล้จะสูญพันธุ์จนเกิดภาวะขาดแคลนเลือด การตามล่าและการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดก่อนที่มนุษย์คนสุดท้ายจะสูญสิ้น สงครามต่างสายพันธุ์ระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์จึงได้เริ่มอุบัติขึ้น
ปี 2019 โรคระบาดลึกลับแพร่กระจายไปทั่ว เปลี่ยนผู้คนค่อนโลกให้เป็นแวมไพร์กระหายเลือด มนุษย์ที่ยังเหลือรอดลดระดับลงมาเป็นสปีชี่ส์ที่ถูกคุกคาม ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ให้รอดพ้นจากการไล่ล่าและถูกจับไปเลี้ยงไว้ในฟาร์ม เพื่อนำเลือดสดๆ มาเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าแวมไพร์ จนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่รอมร่อ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน เท่านั้น เขาคือแวมไพร์นักวิจัยผู้ปฏิเสธการดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร พยายามค้นคว้าหาสิ่งทดแทนเลือด เพื่อการยังชีพของแวมไพร์ และดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลืออยู่ไม่มาก จวบจนช่วงที่เวลาและความหวังกำลังจะหมดลง เขาได้พบกับ ออเดรย์ มนุษย์ผู้รอดชีวิตและนำเขาไปสู่การค้นพบทางการแพทย์ครั้งสำคัญ หลังจากนั้น ด้วยความที่มีความรู้ประดุจอาวุธที่ทั้งมนุษย์และแวมไพร์ต่างหมายปอง เขาจึงต้องรบกับเผ่าพันธุ์ของตัวเองในสงครามที่จะตัดสินชะตาของมวลมนุษยชาติ
 

 4 มีนาคม HACHI (ฮาชิ หัวใจพูดได้)

***ทุกโรงภาพยนตร์***

ภาพยนตร์แนวดราม่า จากประเทศสหรัฐอเมริกา
จากเรื่องจริงสุดประทับใจของความจงรักภักดีของสุนัขพันธุ์อากิตะ ชื่อ ฮาชิโกะ ที่มารอคอยเจ้าของที่สถานีรถไฟชิบูย่าทุกวัน นานนับเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้ประชาชนทั่วญี่ปุ่นต่างซาบซึ้งกับความรักอันบริสุทธิ์ที่สุนักจะมีให้แก่มนุษย์ที่เป็นเจ้าของได้อย่างสุดหัวใจ จนถูกสร้างขึ้นเป็นอนุสาวรีย์ตั้งโดดเด่นอยู่ที่ประตูทางเข้าสถานีรถไฟชิบูย่าจวบจนทุกวันนี้ และความรักอันแสนบริสุทธิ์นี้ได้ถูกถ่ายทอดออกมาบนแผ่นฟิล์มในเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรก ใน Hachi ฮาชิ หัวใจพูดได้
การรวมตัวกันครั้งสำคัญของสุดยอดนักแสดง เริ่มต้นด้วยเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จาก Chicago ริชาร์ด  เกียร์ นอกจากจะรับบทนักแสดงนำแล้วยังควบตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างอีกด้วย, นักแสดงที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์  สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม โจน  อัลเลน จาก The Bourne Ultimatum, นักแสดงญี่ปุ่นชื่อดัง แครี่ - ฮิโรยูกิ ทาคาว่า จาก Babel และ Memoirs of a Ceisha กำกับภาพยนตร์โดย เลสส์ ฮอลล์สตอร์ม ผู้กำกับฯ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 
เรื่องราววีรกรรมของสุนัขพันธ์อากิตะ  ชื่อเจ้า  ฮาชิโกะ - เจ้าสุนัขสุดพิเศษ ตัวนี้ มีชื่อเล่นเรียกสั้นๆ ว่า ฮาชิ   บังเอิญได้มาอยู่ร่วมกับเจ้าของของมัน  ปาร์คเกอร์ (ริชาร์ด เกียร์) อาจารย์มหาวิทยาลัย ทุกๆ เช้า ฮาชิ จะเดินตามไปส่งเจ้าของเดินทางขึ้นรถไฟไปทำงานที่สถานีรถไฟ  และ ทุกๆ เย็นก็จะมารอรับเขาเมื่อเลิกงาน... แต่ทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป  จนทำให้เรื่องราวของ ฮาชิกลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่น  ความจงรักภักดีที่ฮาชิมอบให้แก่เจ้าของของมัน  เผยให้เห็นถึงพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ยอมให้อะไรมาหยุดยั้ง   แม้ฮาชิ จะแสดงออกเพียงสิ่งเรียบง่ายของฮาชิ  แต่ก็ยังยืนยันถึงความรักอันยิ่งใหญ่เหนืออื่นใด
 

 

25 มีนาคม 14 BLADES (8 ดาบทรมาน 6 ดาบสังหาร)

***ทุกโรงภาพยนตร์***

ภาพยนตร์แนวแอ็คชั่น จากประเทศจีน
ภาพยนตร์แอ็คชั่นอลังการฟอร์มยักษ์ รวมสุดยอดนักแสดงแห่งเกาะฮ่องกงเอาไว้อย่างคับคั่งไม่ว่าจะเป็น เจินจื่อตัน ซูเปอร์สตาร์นักบู๊สุดร้อนแรงแห่งเกาะฮ่องกง รับบทเป็น “มังกรเขียว” ยอดองค์รักษ์ที่เริ่มสงสัยว่า สิ่งที่ตนและพวกพ้องทำอยู่นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่, เจ้าหญิงแสนสวย จ้าวเหว่ย และนักฆ่าหน้าหล่อ อู๋จุน กำกับภาพยนตร์โดย แดเนียล ลี จาก Black Mask และ Three Kingdoms: Resurrection of the Dragon (สามก๊ก) เป็นการดัดแปลงจากภาพยนตร์เก่าสุดคลาสสิคของ ชอว์บราเดอร์เรื่อง Secet Service of the Imperial Court (ยอดองค์รักเสื้อแพร) ที่มีเหลียงเจียเหยิน นำแสดงเมื่อ 25 ปีที่แล้ว
14 Blades หนังกำลังภายในยุคราชวงศ์หมิง กลุ่มราชองค์รักษ์ของฮ่องเต้ กลายเป็นหน่วยงานนอกกฎหมายที่มีความสำคัญยิ่งยวด ในการปฎิบัติการลับต่างๆ ทั้ง ล้วงความลับ ลอบสังหาร ค้นหา และทำลายผู้มีแนวโน้มเป็นภัยต่อสถาบัน พวกเขาล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาจากข้างถนน ถูกฝึกฝนวิชาชั้นยอด และมอบมีดทั้ง 14 เล่ม (8 เล่มเพื่อทรมาน, 5 เล่มเพื่อสังหารเหยื่อ และเล่มสุดท้ายสำหรับปลิดชีพตัวเอง ยามเสียทีแก่คู่ต่อสู้)
ในสมัยราชวงค์หมิง องค์จักรวรรดิทรงครองครองอาวุธสุดยอดของพิภพ และมีหน่วยองค์รักษ์มืด ที่มีอำนาจประหาร สั่งฆ่าโดยเด็ดขาด ซึ่งหน่วยองค์รักษ์มืดนี้เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาฝึกฝน เพื่อให้ไร้ความปราณีและสั่งสมสัญชาตญาณนักฆ่า  โดยองค์รักษ์แต่ละคนจะได้รับอาวุธประจำกายเป็นมีด 14 เล่ม โดย 8 เล่มแรกไว้สำหรับทรมาณ อีก 5 เล่มสำหรับสังหาร และมีดเล่มสุดท้ายเป็นมีดเล่มที่ 14 สำหรับฆ่าตัวตายเมื่อทำงานพลาด...  ต่อมาทั้งราชสำนักตกอยู่ภายในอิทธิพลของขันทีกังฉินเจีย เมื่อชิงหลงและเสียนอู่ สองสุดยอดฝีมือของหน่วยงานองค์รักษ์มืดถูกมอบหมายให้ไปขโมยรายชื่อของผู้ที่ยังจงรักษ์ภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ ด้วยเลห์กลของขันทีเจีย เสียนอู่จึงหักหลังชิงหลงและเพื่อนร่วมตายทั้งหมดได้ตามไล่ฆ่าชิงหลง ทำให้เขาต้องหลบหนีและแสวงหาแนวร่วมที่ยังจงรักษ์ภักดีต่อฮ่องเต้กลับมากู้บังลังก์
« Last Edit: February 07, 2010, 11:33:46 AM by sianbun »

sianbun on February 07, 2010, 11:34:44 AM


DAYBREAKERS เดย์เบรคเกอร์

จัดจำหน่ายโดย  บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด

ชื่อภาษาไทย  วันแวมไพร์ครองโลก

เว็ปไซด์    http://www.daybreakersmovie.com/

ภาพยนตร์แนว  แอ็คชั่น

จากประเทศ  สหรัฐอเมริกา

กำหนดฉาย  04 มีนาคม 2553

ณ โรงภาพยนตร์  ทุกโรงภาพยนตร์

นักแสดง Ethan Hawke (New York, I Love You, Before Sunset, Training Day), Willem Dafoe (Shadow of the Vampire), Sam Neill (Wimbledon, Jurassic Park III), Isabel Lucas (Transformers: Revenge of the Fallen)

ผู้กำกับ   Michael Spierig & Peter Spierig (Undead)

จุดเด่น

DAYBREAKERS ภาพยนตร์แอ็คชั้นล้ำสมัยกระแทกอารมณ์บู๊กระหน่ำ นำแสดงโดย นักแสดงที่เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 2 ครั้ง อีธาน ฮอว์ก (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม: TRAINING DAY ปี 2001 และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม: BEFORE SUNSET ปี 2004) ร่วมด้วย วิลเลม เดโฟ และ แซม นีลล์ ทุ่มทุนสร้างสุดอลังการจากทีมผู้สร้าง The Matrix และ 28 Days Later เขียนบทและกำกับภาพยนตร์โดย ไมเคิล และ ปีเตอร์ สไปริก
ในปี 2019 สิบปีหลังจากที่เกิดโรคระบาดทำให้มนุษย์เกือบทั้งหมดกลายเป็นแวมไพร์ แต่ยังคงมีมนุษย์รอดพ้นจากโรคนั้นอยู่บางส่วนทำให้พวกเขาถูกแวมไพร์ตามล่าเพื่อนำเลือดมาเป็นอาหาร แต่เมื่อมนุษย์ใกล้จะสูญพันธุ์จนเกิดภาวะขาดแคลนเลือด การตามล่าและการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดก่อนที่มนุษย์คนสุดท้ายจะสูญสิ้น สงครามต่างสายพันธุ์ระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์จึงได้เริ่มอุบัติขึ้น
เรื่องย่อ

      ปี 2019 โรคระบาดลึกลับแพร่กระจายไปทั่ว เปลี่ยนผู้คนค่อนโลกให้เป็นแวมไพร์กระหายเลือด มนุษย์ที่ยังเหลือรอดลดระดับลงมาเป็นสปีชี่ส์ที่ถูกคุกคาม  ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ให้รอดพ้นจากการไล่ล่าและถูกจับไปเลี้ยงไว้ในฟาร์ม เพื่อนำเลือดสดๆ มาเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าแวมไพร์ จนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่รอมร่อ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน เท่านั้น เขาคือแวมไพร์นักวิจัยผู้ปฏิเสธการดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร พยายามค้นคว้าหาสิ่งทดแทนเลือด เพื่อการยังชีพของแวมไพร์ และดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลืออยู่ไม่มาก จวบจนช่วงที่เวลาและความหวังกำลังจะหมดลง เขาได้พบกับ ออเดรย์ มนุษย์ผู้รอดชีวิตและนำเขาไปสู่การค้นพบทางการแพทย์ครั้งสำคัญ หลังจากนั้น ด้วยความที่มีความรู้ประดุจอาวุธที่ทั้งมนุษย์และแวมไพร์ต่างหมายปอง เขาจึงต้องรบกับเผ่าพันธุ์ของตัวเองในสงครามที่จะตัดสินชะตาของมวลมนุษยชาติ

ภาพยนตร์จากไลออนส์เกต

DAYBREAKERS

วันแวมไพร์ครองโลก

http://www.daybreakersmovie.com/
 


เรื่องย่อ

      ไลออนส์เกตพร้อมแล้วที่จะพัฒนาเรื่องราวของเหล่าแวมไพร์ไปสู่ทิศทางใหม่ในภาพยนตร์ไซไฟทริลเลอร์ล้ำอนาคต DAYBREAKERS วันแวมไพร์ครองโลก


      ปี 2019 โรคระบาดลึกลับแพร่กระจายไปทั่ว เปลี่ยนผู้คนค่อนโลกให้เป็นแวมไพร์กระหายเลือด มนุษย์ที่ยังเหลือรอดลดระดับลงมาเป็นสปีชี่ส์ที่ถูกคุกคาม  ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ให้รอดพ้นจากการไล่ล่าและถูกจับไปเลี้ยงไว้ในฟาร์ม เพื่อนำเลือดสดๆ มาเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าแวมไพร์จนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่รอมร่อ

      ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ  เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน เท่านั้น เขาคือแวมไพร์นักวิจัยผู้ปฏิเสธการดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร  พยายามค้นคว้าหาสิ่งทดแทนเลือด เพื่อการยังชีพของแวมไพร์ และดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลืออยู่ไม่มาก จวบจนช่วงที่เวลาและความหวังกำลังจะหมดลง เขาได้พบกับ ออเดรย์ มนุษย์ผู้รอดชีวิตและนำเขาไปสู่การค้นพบทางการแพทย์ครั้งสำคัญ หลังจากนั้น ด้วยความที่มีความรู้ประดุจอาวุธที่ทั้งมนุษย์และแวมไพร์ต่างหมายปอง เขาจึงต้องรบกับเผ่าพันธุ์ของตัวเองในสงครามที่จะตัดสินชะตาของมวลมนุษยชาติ


      ภาพยนตร์ล้ำสมัยกระแทกอารมณ์บู๊กระหน่ำ DAYBREAKERS นำแสดงโดย นักแสดงที่เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้วสองครั้ง อีธาน ฮอว์ก (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม: TRAINING DAY ปี 2001 และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม: BEFORE SUNSET ปี 2004) ร่วมด้วย วิลเลม เดโฟ และ แซม นีลล์ แต่งหน้าเอฟเฟกต์สร้างสรรค์โดย WETA Workshop เขียนบทและกำกับภาพยนตร์โดย สองพี่น้องสไปริก)

      ไลออนส์เกต  และ ฟิล์ม ไฟแนนซ์ คอร์ปอเรชั่น ออสเตรเลีย ภูมิใจเสนอ ผลงานของ เฟอร์สท์ ฟิล์ม, ไลออนส์เกต และ พาราไดซ์ โปรดักชั่น ร่วมด้วย เดอะ แปซิฟิก ฟิล์ม และ เทเลวิชั่น คอมมิสชั่น อันเป็นหนึ่งในภาพยนตร์โดย สองพี่น้องสไปริก   


เกี่ยวกับงานสร้าง

      หลังจากที่ภาพยนตร์ซอมบี้สยองขวัญเรื่องแรกอย่าง  UNDEAD ประสบความสำเร็จ ผู้เขียนบท/ผู้กำกับภาพยนตร์ ปีเตอร์ และไมเคิล สไปริก จึงตัดสินใจเดินหน้าต่อมาที่แวมไพร์ในไซไฟทริลเลอร์เรื่อง DAYBREAKERS แต่แทนที่จะอิงกับภาพลักษณ์กอธิกในวรรณกรรมของ บราม สโตเกอร์ หรือไม่ก็ แอนน์ ไรซ์ ที่คุ้นตากันดี ทั้งสองกลับนำพาแวมไพร์ไปสู่อนาคตอันใกล้ ถ่ายทอดจิตนาการออกมาเป็นโลกล้ำสมัยที่ซึ่งเด็กนักเรียนไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงทั้งหลายกลายเป็นผีดูดเลือด “DAYBREAKERS คือการตั้งคำถามว่าเราจะปรับตัวกันยังไงถ้าหากอนาคตเรากลายเป็นแวมไพร์” ไมเคิล สไปริก อธิบาย “กฎเกณฑ์ต่างๆ ตามแบบฉบับหนังแวมไพร์จะถูกพลิก แต่จะไม่ละทิ้งหรือเย้ยหยันอะไรๆ ที่ทำให้เราหลงรักหนังแนวนี้เด็ดขาด”

      ความเป็นคนช่างคิดและอารมณ์ขันแบบมีชั้นเชิงของสองพี่น้องสไปริกเผยให้เห็นตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง ด้วยภาพที่เหล่าแวมไพร์กำลังเดินทางไปทำงานในความมืด รวมถึงต่อแถวกันซื้อเลือดตนละแก้วสองแก้วในร้านสตาร์บัคส์  “แทนที่จะมุดหัวอยู่แต่ในถ้ำ ในปราสาท หรือในที่หลบซ่อนใต้ดินตามแบบฉบับ แวมไพร์เลือกที่จะยอมรับสถานที่ต่างๆ ในการดำเนินชีวิต (จริงๆ แล้วควรจะบอกว่าดำเนินความตาย) แถมยังย้ายกลับไปอยู่แถวๆ ชานเมืองอีกต่างหาก” ปีเตอร์ สไปริก เล่า “พวกเขาดำเนินชีวิตวันแล้ววันเล่า ไม่สิ ถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่า ดำเนินชีวิตคืนแล้วคืนเล่าด้วยการปรับตัวให้เข้ากับความเป็นแวมไพร์แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”


      อย่างไรก็ตาม  ชีวิตที่อยู่ปลายสุดของห่วงโซ่อาหารกำลังตกอยู่ในสภาวะคับขัน เมื่อแหล่งอาหารเดียวของแวมไพร์ คือ มนุษย์ ซึ่งเหลืออยู่เพียง 5% ของประชากรทั้งหมดบนโลก กำลังลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ความหวั่นวิตกของเหล่าประชากรแวมไพร์เกี่ยวกับการลดน้อยลงของแหล่งอาหารที่ครั้งหนึ่งเคยอุดมสมบูรณ์นี้ เห็นได้ชัดว่าสอดคล้องกับสภาวะการณ์ของโลกในปัจจุบัน “DAYBREAKERS จะคล้ายคลึงกับหนังไซไฟชั้นเยี่ยมในช่วงทศวรรษที่ 1950” ผู้คุมงานสร้าง คริส บราวน์ ยกขึ้นมาเทียบ “พวกมันจะวิพากษ์วิจารณ์เหตุบ้านการเมืองในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์หรือระเบิดปรมาณู ผมว่าน่าตื่นเต้นมากทีเดียวที่ DAYBREAKERS กำลังทำอย่างนั้นเหมือนๆ กัน ถึงแม้ว่าหนังของเราจะโหดร้ายเลือดสาดสะใจแฟนๆ ที่ชอบหนังแนวนี้ แต่จริงๆ แล้วมันมีสาระสำคัญบางอย่างอยากจะบอก”

      “ความดิบเถื่อนแบบพังก์ร็อกจะแทรกอยู่ในแบบฉบับดั้งเดิมของหนังแนวนี้เสมอ แต่กับ DAYBREAKERS ผมสัมผัสมันได้ทันที” อีธาน ฮอว์ก ผู้รับบทแวมไพร์นักโลหิตวิทยา เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน กล่าวเสริม “ลึกๆ แล้วผมว่าเหมือนมีบางอย่างวิ่งสวนกระแสวัฒนธรรมตลอดทั้งเรื่อง”

      “ส่วนตัวแล้ว ผมชอบหนังแนวนี้เพราะว่าโตมากับมัน” ไมเคิล สไปริก สารภาพ “ตั้งแต่จำความได้ หนังไซไฟสยองขวัญมีเสน่ห์ดึงดูดและทำให้เราสองพี่น้องตื่นเต้นอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่เพราะว่าภาพสยองเจ๋งๆ ทำให้เราตัวสั่นเสียวสันหลังวาบหรอก เป็นเพราะมันเปิดโอกาสให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัดต่างหากล่ะ”

      หลังจากขายโครงการคร่าวๆ 16 หน้ากระดาษของ DAYBREAKERS ให้กับไลออนส์เกตได้แล้ว ไมเคิลและปีเตอร์ สไปริก ก็เริ่มพัฒนาบทภาพยนตร์ร่วมกับบริษัทตลอด 2 ปี กระทั่งผู้คุมงานสร้าง คริส บราวน์ ตกตะลึงเมื่อได้อ่านบทร่างแรก “ไอเดียในนั้นแปลกใหม่มาก แถมยังสนุกมากอีกด้วย แต่ที่ทำให้ผมตื่นเต้นจริงๆ คือการจับสิ่งใหม่ๆ ไปวางไว้บนแนวทางที่ลงหลักปักฐานมั่นคงมานานแล้ว” ผ่านพ้นจากการพบปะกันครั้งแรก สองพี่น้องสไปริกก็รู้ทันทีว่า คริส บราวน์ นี่เองคือผู้คุมงานสร้างในอุดมคติ “หนังที่เราหยิบยกขึ้นมาอ้างอิงล้วนแต่เป็นเรื่องเดียวกัน เราเคยดูหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้มาแล้วเหมือนๆ กัน” คริส บราวน์ เล่า “แต่ผมคิดว่าผมดูหนังสยองขวัญมามากกว่าพวกเขานะ เราสามคนนี่แหละเป็นแฟนหนังไซไฟสยองขวัญตัวจริงเสียงจริง ตอนได้เจอได้คุยกันครั้งแรก เราถกกันอย่างกับกำลังประชุมเกี่ยวกับหนังสยองขวัญยังไงยังงั้นเลย”


      ในส่วนของการเลือกนักแสดงมารับบท เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน สองพี่น้องสไปริกวาดฝันว่า  อีธาน ฮอว์ก จะตกลงรับบทนี้ เนื่องจากระหว่างที่เขียน พวกเขามีภาพของอีธานอยู่ในใจตลอดเวลา  “เราสองคนชอบตัวเลือกต่างๆ ที่อีธานเลือกให้กับอาชีพนักแสดงมาตลอด” ไมเคิล สไปริก อธิบาย “เขาเลือกแสดงแต่ในหนังที่น่าสนใจเท่านั้น เขาฉลาด ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน และเตะตาเรามากๆ เราไม่รู้หรอกว่าเขาสนใจบทนี้หรือไม่ แต่รู้ว่าเขาคือหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เราต้องการ”

      อีธาน ฮอว์ก ยอมรับว่าแรกเริ่มเดิมทีไม่อยากรับบทในไซไฟทริลเลอร์เรื่องนี้สักเท่าใด ทว่าความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของแก่นเรื่องดึงดูดความสนใจมากเหลือเกิน “ผมไม่เคยคิดจะชอบหนังแนวนี้แม้แต่น้อย เลยตัดสินใจว่าลองๆ อ่านหน่อยเถอะ สักสิบหน้าก็ได้” เขาเล่า “แต่ผมมารู้ตัวว่าไม่แสดงไม่ได้แล้วตั้งแต่อ่านไปยังไม่ถึงหน้าห้าซะด้วยซ้ำ ผมพูดได้เต็มปากเลยว่ามันแปลกแหวกแนวและสนุกมากๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมหวังนะว่าหนังจะถูกใจคนที่ไม่เคยคิดจะชอบแนวไซไฟสยองขวัญเลยเหมือนๆ อย่างตัวผมเองนี่แหละ ส่วนคนที่ชอบหนังแนวๆ นี้อยู่แล้วจะต้องคลั่งไคล้มันมากแน่ๆ”

      พระเอกจำเป็นของ DAYBREAKERS อย่าง เอ็ดเวิร์ด ดัลตัน คือแวมไพร์นักโลหิตวิทยาผู้รับหน้าที่ประดิษฐ์สิ่งทดแทนเลือดมนุษย์ ก่อนที่มันจะหมดและแวมไพร์ต้องอดตาย ดัลตันต่างจากแวมไพร์ตนอื่นๆ ตรงที่มีปมศีลธรรมขัดแย้งกับสภาพร่างกาย กล่าวคือ ถึงแม้จะกระหายใคร่ดื่มเลือดมนุษย์สักเพียงใด แต่เขาปฏิเสธมันและหันไปดื่มเลือดสัตว์ซึ่งเป็นอาหารคุณภาพต่ำแทน จนกระทั่งร่างกายอ่อนแอลงทีละน้อย “ผมว่าปีเตอร์กับไมเคิลจงใจให้การเดินทางของเอ็ดเวิร์ดไม่ต่างจากเรื่องของนกฟีนิกซ์” ฮอว์กเผย “เขาตายและฟื้นขึ้นมาจากกองเถ้าถ่าน กลายเป็นผีดิบที่ก้าวไปสู่การรู้แจ้งและใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ คล้ายๆ กับว่านี่คือเรื่องเล่าที่เปรียบเทียบให้เห็นความเป็นไปของเราทุกคนยังไงยังงั้น”

      พอถึงวันถ่ายทำ  ปีเตอร์และไมเคิล สไปริก ตื่นเต้นจนขนลุกไปหมดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฮอว์กทุ่มเทให้ในระหว่างนั้น “อีธานไม่ใช่แค่เดินมาอยู่หน้ากล้องและพูดๆ ไปตามบท แต่ยังพกไอเดียเด็ดๆ โดนๆ มาฝากเราด้วย” ปีเตอร์เล่า “ด้วยความที่เป็นทั้งผู้กำกับฯ มือเขียนบท และนักแสดง เขาเข้าใจเรื่องราวและตัวละครแตกฉานมาก”

      ต่อจากนั้น  ฮอว์กยังเผยให้ฟังอีกว่า DAYBREAKERS คือประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพยนตร์พร้อมกันทีเดียวสองคน ซึ่งสนุกสนานอย่างคาดไม่ถึง “ผมคิดมาตลอดว่าถ้าหนังเรื่องไหนมีผู้กำกับฯสองคน คนหนึ่งคงเน้นไปทางกำกับ ส่วนอีกคนคงเน้นไปทางเขียนบทมากกว่า แต่ปีเตอร์กับไมเคิลไม่ใช่อย่างนั้น ทั้งคู่เป็นผู้กำกับฯเต็มตัว” เขาเล่าต่อ “วันแรกที่ถ่ายทำ ผู้กำกับฯคนหนึ่งเข้ามาบอกผมว่า ‘คุณรู้มั้ย ตอนที่คุณจับหูตัวเองน่ะถูกใจผมมากเลย’ แต่ต่อมา อีกคนเดินเข้ามาบอกว่า ‘อย่าจับหูตัวเองสิ!’ ผมดีใจนะที่เกิดเหตุการณ์นี้ เพราะทำให้ผมเข้าใจว่าไม่มีอะไรผิดหรือถูก มีแต่ชอบหรือไม่ชอบเท่านั้นเอง นี่แหละคืออิสระอย่างหนึ่งระหว่างการถ่ายทำ”

      ทันทีที่ได้ฮอว์กมาเป็นนักแสดง สองพี่น้องสไปริกก็ทาบทาม วิลเลม เดโฟ ให้มารับบท เอลวิส ด้วยความที่ชื่นชมบทบาทต่างๆ ที่นักแสดงท่านนี้ฝากไว้ในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง “ผมจะจับจ้องไปที่ตัวละครและสิ่งที่เขาทำตลอดเวลาที่อ่านบท ต่อมาถึงค่อยถามตัวเองว่ามันตื่นเต้นเร้าใจพอที่จะรับแสดงมั้ย” เดโฟเผย “สำหรับหนังแนวๆ นี้ หลายๆ เรื่องที่ผู้กำกับฯสนใจสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์มากกว่านักแสดง แต่สองพี่น้องสไปริกเป็นคนทำหนังที่ไม่เหมือนใครจริงๆ ดูอย่างหนังเรื่องแรกของพวกเขาสิ พวกเขารูดบัตรเครดิตจนเต็มวงเงิน ถ่ายทำกันเองในสวนหลังบ้าน และพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถ ทั้งสองไม่ได้เห็นความสำเร็จของงานเหนือสิ่งอื่นใด แค่เพียงรู้สึกผูกพันลึกซึ้งกับการทำหนัง เหมือนๆ กับว่ามันคือระบบการสื่อสารที่พวกเขาเข้าใจถ่องแท้ที่สุด”

      ในขณะที่  แซม นีลล์ ซึ่งไม่เคยแสดงเป็นแวมไพร์มาก่อน  รีบตะครุบโอกาสในการแสดงบท  บรอมลีย์ หรือประธานจอมโกงประจำองค์กรฟาร์มมนุษย์ นีลล์เล่าว่า “สิ่งที่ทำให้ผมขำสุดๆ และอยากจะอ่านบทหน้าต่อๆ ไปคือไอเดียตอนที่แวมไพร์ต่อแถวซื้อเลือดในร้านสตาร์บัคส์ อ่านแล้วรู้สึกว่านี่เป็นโลกที่เจ๋งแบบอดขำไม่ได้จริงๆ ส่วนบทที่ผมได้รับก็สนุกมหาศาลทีเดียว”

      ลูกสาวของบรอมลีย์ที่ยังเป็นมนุษย์ คือ อลิสัน รับบทโดยนักแสดงหน้าใหม่  อิซาเบล ลูคัส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่ผู้ชมชาวออสเตรเลียจากผลงานซีรี่ส์ทางโทรทัศน์ท้องถิ่นเรื่อง Home and Away “ไมเคิลกับผมไม่เคยเห็นผลงานของอิซาเบลมาก่อนหรอก” ปีเตอร์ สไปริก ยอมรับ “แต่หลังจากออดิชั่นก็เห็นชัดๆ เลยว่าเธอโดดเด่นมาก เธอใส่ความบอบบางและความน่าเชื่อถือลงไปในตัวละคร” กล่าวคือ ตัวละครที่ลูคัสแสดงนั้นซ่อนตัวอยู่กับกลุ่มกบฏมนุษย์มากว่า 10 ปี แต่ท้ายที่สุดก็ได้เผชิญหน้ากับพ่อที่กลายเป็นแวมไพร์ไปแล้วอีกครั้งในงานเลี้ยงชวนขนลุกของคนในครอบครัว “สนุกมากทีเดียวที่ได้เห็นอิซาเบลกับแซมร่วมงานกัน” ไมเคิล สไปริก บอก “เธอทำได้เยี่ยมมาก เธอรู้จักเลือกทิศทางที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวละคร พูดได้เต็มปากเลยว่าอิซาเบลเข้าถึงบทบาทอย่างแท้จริง”

      นอกจากนี้ยังมีนักแสดงจากออสเตรเลียอีกสองคน  คือ คลอเดีย คาร์แวน  และ ไมเคิล ดอร์แมน มาช่วยกันเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับทีมนักแสดงนำ “คลอเดียเป็นดาราโทรทัศน์ชื่อดัง แต่รู้จักกันเฉพาะในออสเตรเลียเท่านั้น” บราวน์อธิบาย “ผมคิดว่างานนี้แหละที่เธอจะได้ก้าวออกมาจากออสเตรเลียอย่างยิ่งใหญ่ เธอใส่ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานเข้าไปในหนัง ซึ่งได้สัดส่วนพอเหมาะกับประสบการณ์ของอีธานและวิลเลมพอดี ส่วนไมเคิลนี่เป็นนักแสดงมากพรสวรรค์ใหม่เอี่ยมอ่อง เขามาทดสอบบทตอนที่เราหาใครสักคนมาแสดงเป็นน้องชายของอีธาน การแสดงของเขาวิเศษมากจนเราแทบจะหยุดหายใจทีเดียว”


      ผู้กำกับภาพยนตร์ทั้งสองยอมรับว่าแรกๆ  ยังกลัวๆ กล้าๆ อยู่ไม่น้อยเมื่อคิดว่าต้องร่วมงานกับนักแสดงมากประสบการณ์อย่าง  อีธาน ฮอว์ก, วิลเลม เดโฟ และ แซม นีลล์ ทว่าความกลัวนั้นก็สลายไปในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน “เรากลัวๆ กล้าๆ อยู่แค่ห้านาทีเห็นจะได้มั้ง” ไมเคิล สไปริกหัวเราะ “พอสำนึกได้ว่างานช้ากว่ากำหนดและงบกำลังจะบานปลาย เราก็รีบลงมือถ่ายทำกันทันที ไม่มัวมากลัวนู่นกลัวนี่อีกแล้ว ในขณะที่นักแสดงทั้งหมดล้วนมาพร้อมกับพรสวรรค์ทั้งนั้น เรียกว่าพร้อมจะถ่ายทำได้ทุกเมื่อ ทุกอย่างเลยง่ายสำหรับเรามากๆ”

      ยิ่งไปกว่านั้น  การเตรียมการอันแสนพิถีพิถันของสองพี่น้องสไปริกยังช่วยให้การสร้างงานซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2007 ที่ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “มุมมองเกี่ยวกับหนังและเป้าหมายที่ทั้งสองต้องการบรรลุไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่วันแรกที่เราพูดคุยกัน” บราวน์เผย “พวกเขาแสดงลำดับการถ่ายทำให้เห็นภาพทุกขั้นตอน มีสตอรี่บอร์ดประกอบทุกเฟรม แถมยังทำสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์เองอีกต่างหาก นอกเหนือจากงานทางด้านเทคนิคแล้ว ด้วยความที่เขียนบทเองทั้งหมด พวกเขาจึงเข้าใจตัวละครอย่างแปลกประหลาดลึกซึ้ง และถ่ายทอดไอเดียต่างๆ ออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด”


      ในขณะที่  จอร์จ ลิดเดิล ซึ่งควบทั้งหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้าง และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายใน DAYBREAKERS ทำให้เขาสามารถสร้างสรรค์ความสุนทรีย์ในภาพยนตร์ได้ต่อเนื่องแนบเนียนไร้ที่ติ ลิดเดิลอธิบายว่า เขาและผู้กำกับฯทั้งสองรับรู้ตรงกันว่าต้องหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามที่นำไปสู่ความคล้ายคลึงกับสไตล์กอธิกแบบที่ใช้ในภาพยนตร์แวมไพร์ทั่วๆ ไป “เราต้องการโลกที่คนดูเห็นแล้วจำได้เลยว่านั่นคือโลกของเรา เพียงแต่เติมความเป็นอนาคตเข้าไปเท่านั้นเอง” เขาเล่า “เราใช้เวลาร่วมกันนั่งดูหนังสือเล่มนั้นบ้างเล่มนี้บ้างดูภาพถ่ายต่างๆ บ้าง เพื่อนำมาอ้างอิงในงาน โลกแวมไพร์ของเราจะต้องให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกด้วยสามสีคือ เทา ดำ และขาว แล้วค่อยสะท้อนความรู้สึกนั้นให้ชัดขึ้นด้วยเครื่องแต่งกาย เราทำฉากออกมาเป็นสไตล์โมเดิร์นเน้นเหลี่ยมมุมชัดเจน โดยใช้บล็อกสีดำบ้างขาวบ้าง และสาดแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์เข้าไปเป็นช่วงๆ ส่วนโลกของมนุษย์หรือหมายถึงที่ซ่อนที่ปลอดภัยจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและมีสีสันมากกว่า”

      งานนี้  ผู้กำกับภาพ เบน นอตต์  ต้องประสานงานใกล้ชิดกับลิดเดิลในการออกแบบแสงในฉาก โดยพึ่งพาแสงจากธรรมชาติภายนอกให้น้อยที่สุด นอตต์บอกว่า “ตากล้องทุกคนต้องทำงานสัมพันธ์กับฝ่ายออกแบบอยู่แล้ว เพื่อให้ได้สุดยอดผลงาน งานของจอร์จวิเศษจริงๆ ผมดีใจมากที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับเขา”

      ในส่วนของการหลุดพ้นจากบรรทัดฐานเดิมๆ  นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว นอตต์และผู้กำกับภาพยนตร์ทั้งสองยังเพิ่มความสุนทรีย์ให้กับหนังด้วยการถ่ายทำแบบดิจิตอลในระบบ Genesis “เรารู้สึกตรงกันว่าภาพดิจิตอลจะสื่อให้เห็นความแห้งแล้งทางจิตใจได้ชัดขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของโลกแวมไพร์” นอตต์อธิบาย “ด้วยความที่เป็นโลกในแนวสุขนิยม สูบบุหรี่ควันโขมง ดื่มฉลองไปวันๆ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เราถึงอยากให้มันปราศจากสีสัน และเลือกใช้สีเย็นๆ แค่โทนเดียวเท่านั้น”

      ปิดท้ายกันที่ผู้แต่งหน้าเอฟเฟกต์  สตีฟ บอยล์ ซึ่งคล้ายจะแบกภาระหนักหน่วงที่สุดในการสร้างงานครั้งนี้ นั่นคือ สร้างสรรค์กองทัพแวมไพร์  รวมถึงแวมไพร์ชั้นต่ำหรือซับไซเดอร์ที่ดูดเลือดของแวมไพร์ตนอื่นๆ กระทั่งเสียสติและกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายๆ ค้างคาว บอยล์เล่าให้ฟังว่า “ปีเตอร์กับไมเคิลบอกผมว่าให้นึกถึงหนังแวมไพร์ทั้งหมดเท่าที่เคยดูมา จากนั้นก็ลืมซะ! ลืมให้หมดทุกอย่าง! พวกเขาอยากให้ผมมองโดยเน้นไปที่ความเป็นมนุษย์ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เรามองตรงกันว่าพวกแวมไพร์ชั้นต่ำหรือซับไซเดอร์ไม่ต่างอะไรเลยกับคนป่วยที่หมดทางเยียวยา คล้ายๆ กับพวกขี้ยาขั้นรุนแรงยังไงยังงั้น ที่สำคัญ พวกนี้ต้องมีรอยฟันบนแขนเพราะดูดเลือดตัวเอง มีปีก แถมยังหลังโก่งอีกด้วย”

      สำหรับงานสร้างสรรค์แวมไพร์ชั้นต่ำ บอยล์ออกแบบชุดเต็มตัวสำเร็จรูปทำจากยางลาเท็กซ์ผสมกับผงซิลิคอน ซึ่งกินเวลาเกือบสิบเอ็ดชั่วโมงกว่าจะสวมให้นักแสดงได้ทั้งชุด เขาอธิบายว่า “เริ่มที่นักแสดงต้องยืนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่บนแท่น จากนั้นก็ต้องชะโลมกาวให้ทั่วทั้งชุดก่อนสวมเพราะมันไม่มีซิป แล้วค่อยติดปีก ใส่คอนแทคเลนส์ ใส่เขี้ยว ส่วนที่ไม่โดนกาวเห็นจะมีแต่ข้อเท้ากับรูหูเท่านั้นแหละ ถึงจะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมาก แต่ได้ผลดีเยี่ยมทีเดียว และยังท้าทายมากด้วยกับการจัดการทุกอย่างให้เสร็จทันเวลา”

      นอกจากนี้ บอยล์ยังต้องออกแบบเขี้ยวและคอนแทคเลนส์อีกกว่า 250 คู่ “ทันทีที่หานักแสดงได้แล้ว เราต้องวัดขนาดตาดำ จากนั้นก็ออกแบบเลนส์ตาประมาณสามแบบ ตั้งแต่แบบแวมไพร์สุขภาพดี ไปจนถึงแบบแวมไพร์ป่วยและแบบแวมไพร์ชั้นต่ำ เรียกว่าใส่ๆ ถอดๆ กันจนตาแดงก่ำไปหมดเลย” บอยล์อธิบายต่อไป “เราตัดสินใจกันแล้วว่าแวมไพร์สุขภาพดีฟันต้องสวย แต่เวลาโจมตีเขี้ยวจะโง้งออกมาเพื่อให้ดูก้าวร้าวดุดันขึ้นอีกหน่อย และสุดท้ายจะเป็นฟันน่าเกลียด แหว่งๆ บิ่นๆ สำหรับพวกชั้นต่ำโดยเฉพาะ”

      ท้ายที่สุด  บอยล์กล่าวจากใจว่าปีเตอร์และไมเคิลยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่เคยทำงานร่วมกับใครต่อใครมา ด้วยความที่ทั้งสองอนุญาตให้เขาใส่ความคิดสร้างสรรค์อันบรรเจิดลงไปในงานได้เต็มที่ “ผมรู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมแสดงฝีมือแต่งหน้าเอฟเฟกต์ เมื่อนั้นจะต้องตั้งใจถ่ายให้ดีที่สุดเท่าที่จะถ่ายได้” บอยล์บอก “พวกเขาเข้าใจดีว่ากระบวนการของผมซับซ้อนและกินเวลามากขนาดไหน และยังรู้อีกด้วยว่าอะไรที่กล้องควรหรือไม่ควรหลบ”

      ผลก็คือภาพยนตร์แวมไพร์ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยพรสวรรค์จากนักแสดงและทีมเบื้องหลังที่ทุ่มเทกันเกินร้อย DAYBREAKERS จึงขยายขอบเขตการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ในแนวที่มีผู้ชมคลั่งไคล้อย่างต่อเนื่องมาตลอดให้กว้างออกไปอีกได้ “เรารู้สึกว่าโชคดีมากจริงๆ ที่มีโอกาสสร้างโลกตามที่จินตนาการไว้” ปีเตอร์ สไปริก สรุป “เราเริ่มจากให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนดูต้องการจากหนังแวมไพร์สักเรื่องหนึ่ง แต่นำเสนอออกมาในแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน และในที่สุดก็ลงเอยด้วยความสำเร็จ”

* * * *

sianbun on February 07, 2010, 11:38:51 AM


HACHI ฮาชิ

จัดจำหน่ายโดย  บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด

ชื่อภาษาไทย  ฮาชิ หัวใจพูดได้

เว็ปไซด์   http://www.hachithemovie.com

ภาพยนตร์แนว  ดราม่า

จากประเทศ  สหรัฐอเมริกา

กำหนดฉาย  4 กุมภาพันธ์ 2553

ณ โรงภาพยนตร์  ทุกโรงภาพยนตร์

นักแสดง Richard Gere (Chicago, Pretty Woman), Joan Allen (The Bourne Ultimatum, The Notebook), Koji Yakusho (Babel, Memoirs of a Geisha)

ผู้กำกับ   Lasse Hallstorm (Casanova, Chocolat, My Life As A Dog)

จุดเด่น

จากเรื่องจริงสุดประทับใจของความจงรักภักดีของสุนัขพันธุ์อากิตะ ชื่อ ฮาชิโกะ ที่มารอคอยเจ้าของที่สถานีรถไฟชิบูย่าทุกวัน นานนับเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้ประชาชนทั่วญี่ปุ่นต่างซาบซึ้งกับความรักอันบริสุทธิ์ที่สุนักจะมีให้แก่มนุษย์ที่เป็นเจ้าของได้อย่างสุดหัวใจ จนถูกสร้างขึ้นเป็นอนุสาวรีย์ตั้งโดดเด่นอยู่ที่ประตูทางเข้าสถานีรถไฟชิบูย่าจวบจนทุกวันนี้ และความรักอันแสนบริสุทธิ์นี้ได้ถูกถ่ายทอดออกมาบนแผ่นฟิล์มในเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรก ใน Hachi ฮาชิ หัวใจพูดได้
การรวมตัวกันครั้งสำคัญของสุดยอดนักแสดง เริ่มต้นด้วยเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จาก Chicago ริชาร์ด  เกียร์ นอกจากจะรับบทนักแสดงนำแล้วยังควบตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างอีกด้วย, นักแสดงที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์  สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม โจน  อัลเลน จาก The Bourne Ultimatum, นักแสดงญี่ปุ่นชื่อดัง แครี่ - ฮิโรยูกิ ทาคาว่า จาก Babel และ Memoirs of a Ceisha กำกับภาพยนตร์โดย เลสส์  ฮอลล์สตอร์ม ผู้กำกับฯ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 
 

เรื่องย่อ

      ภาพยนตร์อเมริกันที่สร้างความอบอุ่นหัวใจเรื่องนี้  ดัดแปลงมาจากเรื่องเล่า เลื่องชื่อของประเทศญี่ปุ่น  เรื่องราววีรกรรมของสุนัขพันธ์อากิตะ  ชื่อเจ้า  ฮาชิโกะ

      ฮาชิโกะ - เจ้าสุนัขสุดพิเศษ ตัวนี้ มีชื่อเล่นเรียกสั้นๆ ว่า ฮาชิ   บังเอิญได้มาอยู่ร่วมกับเจ้าของของมัน  ปาร์คเกอร์ (ริชาร์ด เกียร์) อาจารย์มหาวิทยาลัย ทุกๆ เช้า ฮาชิ จะเดินตามไปส่งเจ้าของเดินทางขึ้นรถไฟไปทำงานที่สถานีรถไฟ และ ทุกๆ เย็นก็จะมารอรับเขาเมื่อเลิกงาน... แต่ทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป  จนทำให้เรื่องราวของ ฮาชิกลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่น  ความจงรักภักดีที่ฮาชิมอบให้แก่เจ้าของของมัน  เผยให้เห็นถึงพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ยอมให้อะไรมาหยุดยั้ง   แม้ฮาชิ จะแสดงออกเพียงสิ่งเรียบง่ายของฮาชิ  แต่ก็ยังยืนยันถึงความรักอันยิ่งใหญ่เหนืออื่นใด 


HACHIKO : A DOG’S STORY

ฮาชิ  หัวใจพูดได้


นักแสดง ริชาร์ด  เกียร์, โจน อัลเลน, ซาร่า โรเมอร์, แครี่ - ฮิโรยูกิ ทาคาว่า, อีริค อเวริ, ร็อบบี้ โคลเลียร์ - ซุเบลตต์, เดเวเนีย แม็กเฟดเดน และ เจสัน อเล็กซานเตอร์   


คัดเลือกนักแสดง โดย ริค มอนโกเมอรี่ / ควบคุมดนตรี โดย ลิช กาแลซเซอร์  / ดนตรีประกอบโดย  เจน เอ.พี. คาซมาเร็ค / ออกแบบเครื่องแต่งกาย เดบอร่าห์  นิวฮอลล์ / ลำดับภาพ  คริสติน่า  โบเดน/ ออกแบบศิลป์  ชัด  เดทวิลเลอร์/ กำกับภาพ รอน ฟอนทอนาโต / ร่วมดูแลงานสร้าง  ทอม  ลูส / ร่วมอำนวยงานสร้าง  ดีน  ชไนเดอร์ / ดูแลงานสร้าง  จิม  ซิเบล ,พอล  เมสัน, เจฟฟ์  เอ็บเบอร์ลี่ย์ / จูเลีย  แบล็คแมน / อำนวยงานสร้าง วิคกี้  ซิจิคูนิ หว่อง / บิลล์  จอห์นสัน/ ริชาร์ด  เกียร์/ บทภาพยนตร์  สตีเฟน  พี.ลินเซย์/  กำกับภาพยนตร์ เลสส์  ฮอลล์สตอร์ม   


เรื่องย่อ


      ภาพยนตร์อเมริกันที่สร้างความอบอุ่นหัวใจเรื่องนี้  ดัดแปลงมาจากเรื่องเล่า เลื่องชื่อของประเทศญี่ปุ่น  เรื่องราววีรกรรมของสุนัขพันธ์อากิตะ  ชื่อเจ้า  ฮาชิโกะ

      ฮาชิโกะ - เจ้าสุนัขสุดพิเศษ ตัวนี้ มีชื่อเล่นเรียกสั้นๆ ว่า ฮาชิ   บังเอิญได้มาอยู่ร่วมกับเจ้าของของมัน  ปาร์คเกอร์ (ริชาร์ด เกียร์) อาจารย์มหาวิทยาลัย ทุกๆ เช้า ฮาชิ จะเดินตามไปส่งเจ้าของเดินทางขึ้นรถไฟไปทำงานที่สถานีรถไฟ  และ ทุกๆ เย็นก็จะมารอรับเขาเมื่อเลิกงาน

      แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป  เมื่อกิจวัตรประจำวันของพวกเขามีอันต้องสะดุดลง  จนทำให้เรื่องราวของ  ฮาชิกลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่น  ความจงรักภักดีที่ฮาชิมอบให้แก่เจ้าของของมัน  เผยให้เห็นถึงพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ยอมให้อะไรมาหยุดยั้ง   แม้ฮาชิ จะแสดงออกเพียงสิ่งเรียบง่ายของฮาชิ  แต่ก็ยังยืนยันถึงความรักอันยิ่งใหญ่เหนืออื่นใด 


ความซื่อสัตย์เหนือกาลเวลา


      ตั้งแต่ปี 1930  ที่เรื่องราวของสุนัขพันธ์อากิตะ  ผู้ซื่อสัตย์ ชื่อ  ฮาชิโกะ จาก โตเกียว ถูกเล่าขานกลายเป็นตำนานเลื่องลือไปทั่วประเทศญี่ปุ่น  ดังเช่นที่มี รูปปั้นของสุนัขตัวนี้ตั้งอยู่อย่างน้อย 3 ตัวอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นเป็นหลักฐานยืนยัน  และมีหนึ่งในรูปปั้นนั้น  ยังเป็นจุดนัดพบที่โด่งดังที่สุดของมหานครโตเกียว ที่สุดจะพลุกพล่าน แต่ทุกคนที่โตเกียวก็จะรู้ทันที  เมื่อบอกว่า  พบกันที่  “ประตูฮาชิ” สถานีรถไฟชิบูย่า

      กว่า 70 ปีแล้วที่เรื่องราวของ  ฮาชิโกะ เปรียบประดุจฮีโร่ของญี่ปุ่น  เรื่องราวสุดรักนี้ ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดของญี่ปุ่นมาแล้วหลายครั้ง  นับตั้งแต่   Hachikō Monogatari (1987) ถูกใช้เป็นตัวละครในหนังสือสำหรับเด็กชื่อดังหลายเล่ม  อาทิ  Hachikō: The True Story of a Loyal Dog  เขียนโดย  พาเมล่า เอส.เทอร์เนอร์  และ Hachiko Waits เขียนโดน  เลสเลียร์  นิวแมน ทั้งสองเล่มตีพิมพ์ในปี  2004 

      เรื่องราวของมิตรภาพ  พันธะสัญญาต่อเพื่อนที่ไม่ถูกทำลายด้วยกาลเวลาเรื่องนี้  กำลังถูกหยิบมาถ่ายทอดในรูปแบบของภาพยนตร์อเมริกัน  ฝีมือผู้กำกับฯ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์  “เลสส์ ฮอลล์สตอร์ม”

      ฮอลล์สตอร์ม  เล่าถึงการได้รับบทภาพยนตร์เรื่องนี้มาจาก เพื่อนเก่าของเขา  ริชาร์ด  เกียร์  - ผู้ซึ่งรับตำแหน่งผู้อำนวยงานสร้างหนัง Hachiko    “นับเป็นของขวัญสำหรับผมเลย เป็นเรื่องราวที่วิเศษสุด และในฐานะที่ตัวผมเองเป็นคนรักสุนัขเช่นกัน นี่เป็นบทหนังที่น่าอัศจรรย์ใจมาก”   

      ริชาร์ด  เกียร์ และ  เลสส์  ฮอลล์สตอร์ม  เป็นเพื่อนบ้านกัน  ในย่านนิวยอร์ค  และนับตั้งแต่ทำงานร่วมกันในหนัง The Hoax ปี 2006 พวกเขาต่างก็นึกฝันจะทำหนังด้วยกันอีก  แต่ก็ใช้เวลาไม่น้อย สำหรับริชาร์ด เกียร์ที่จะเห็นด้วยกับไอเดียสร้างหนังสำหรับครอบครัวสักเรื่อง   จนกระทั่งเขารับฟังเรื่องราวฮาชิโกะ   ทำให้เขานึกถึงผู้กำกับฯ ฮอลล์สตอร์ม  สำหรับหนังเกี่ยวกับสุนัขที่มีเนื้อหาสวยงาม  น่าพิศวง เรื่องนี้ทันที 

        ริชาร์ด เกียร์ กล่าวถึง ผู้กำกับฯ ฮอลล์สตอร์ม ว่า “เลสส์เป็นพวกคนแคระตัวแสบในนิทานยุโรป ภรรยาของเขาและผมขำกับนิสัยพวกนี้ของเขาเสมอ เพราะเรารู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร และต้องการควบคุมทุกอย่างขนาดไหน แต่เราก็เดาไม่ถูกเลยว่า เขาทำแบบไหนกับหนังเรื่องนี้” หนังที่เรียบง่ายแต่แฝงเนื้อหาจับใจเช่นนี้ ต้องการผู้กำกับฯที่มีมนต์พิเศษอย่าง ฮอลล์สตอร์มเท่านั้นที่จะกำกับฯถ่ายทอดออกมาได้”

      เป็นที่เห็นพ้องกันตรงกัน  ในหมู่นักแสดงและทีมงาน Hachiko ว่า  ผู้กำกับฯ ฮอลล์สตอร์ม ไม่ได้เป็นผู้กำกับฯนักเผด็จการ  นักแสดง  เจสัน  อเล็กซานเตอร์  ผู้รับบท  คาร์ล   นายสถานีรถไฟ  ผู้เป็นพยานรู้เห็นชีวิตของฮาชิโกะ  บทบาทนายสถานี เป็นบทเล็กๆ  เฝ้ามองอยู่ห่างๆ  ผ่านกระจก หรือแทบไม่เห็นเลย  แต่ฮอลล์สตอร์ม มีวิธีที่นุ่มนวล ที่จะเติมเต็มความสำคัญให้กับบทบาทนี้   อเล็กซานเดอร์  กล่าว “เลสส์เชื่อมั่นนักแสดงของเขา  คุณเพียงพูด และแสดงไป  ก็จะพบว่า ตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของจินตนาการภาพในหัวที่เขาวาดไว้แล้ว   เขาทำตัวเหมือนไม่รู้ไม่เห็น  เขาจัดการให้นักแสดงไปอยู่ที่ตำแหน่งที่เขาต้องการอย่างนุ่มนวล  ทำทุกอย่างเงียบๆ และนักแสดงไม่รู้สึก ว่า มีใครผลักดัน ใครกำลังกำกับฯให้คุณแสดง  แต่เขาอยู่ที่นั่นล่ะ  และคุณก็จะรู้  เมื่องานเสร็จในแต่ละวัน”  เกียร์ เพิ่มเติม “ เลสส์ จะเริ่มแค่ไอเดีย  และวิธีที่เขากล่อมเกลาคุณให้คล้อยตาม  และคุณก็พบว่า  ตัวเองเปลี่ยนไปแสดงออกลักษณะนิสัยบางอย่างตามบทบาท แต่สิ่งเหล่านี้มาจากภายในตัวคุณเอง  ไม่ใช่มาจากการกำกับฯของบุคคลภายนอก”

      ฮอลล์สตอร์ม รู้สึกว่า  สิ่งสำคัญของหนังเรื่องนี้  คือต้องไม่ละเลย  สิ่งที่เป็นพลังขับเคลื่อนเรื่องราวของฮาชิโกะ“มันเป็นหนังเล็กๆ ในเวลาเดียวกันก็มีความท้าทายสูง คุณต้องไม่ฟูมฟาย ใส่ความเห็นอกเห็นใจของคุณเข้าไปจนเกินไป มันมีโดยธรรมชาติของเรื่องอยู่แล้ว ริชาร์ดมักจะบอกว่า ให้คิดว่า มันเป็นหนัง เป็นเรื่องแต่ง แต่ผมมองว่า มันเป็นเรื่องชีวิต-เรื่องตลก ที่ผมชอบ อยากทำเป็นหนังมาก สำหรับผม นี่เป็นวิธีที่ตรงที่สุดที่จะพูดถึงโลกของเรานี้ เพราะโลกเรา มันมีทั้งดราม่า โศก แล้วมันก็ตลกด้วย จริงไหม?”

      อย่างที่  ฮอลล์สตอร์ม เปิดประเด็น   ริชาร์ด  เกียร์ อาจจะไม่เห็นด้วยนักกับ  การมองด้านตลกของเรื่อง   เอเจนท์ของเกียร์ ส่งบทมาให้เกียร์อ่าน   หลังจากอ่านเขาก็วางบทไม่ลง “มันไม่ใช่หนังที่เราจะคาดว่า จะดึงดูดผมได้ แต่พอได้อ่าน ผมร้องไห้สะอื้นเหมือนเด็กๆ จนต้องบอกตัวเองว่า นี่เราต้องรับงานนี้ ใช่ไหม?   แล้วผมก็อ่านมันอีกรอบ  ให้แน่ใจแต่มันยังคงจับใจ  ผมคิดว่า  เป็นหนังสื่อถึงสิ่งพิเศษ มีพลัง น่าพิศวง และเรื่องราวของสุนัขที่มุ่งมั่นรอคอยเจ้านายนั่น  จะทำให้หัวใจของพวกเรารู้สึกคล้อยไปกับมัน  รู้สึกได้ถึงความจงรักภักดีและความหมายหัวใจเกินร้อยที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ  ช่างเป็นเรื่องราวที่มีพลังและลึกซึ้ง”

sianbun on February 07, 2010, 11:39:54 AM


14 BLADE 14 เบลด

จัดจำหน่ายโดย  บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด

ชื่อภาษาไทย  8 ดาบทรมาน 6 ดาบสังหาร

เว็ปไซด์   

ภาพยนตร์แนว  แอ็คชั่น

จากประเทศ  จีน

กำหนดฉาย  25 มีนาคม 2553

ณ โรงภาพยนตร์  ทุกโรงภาพยนตร์

นักแสดง  Donnie Yen, Wei Zhao, Chun Wu

ผู้กำกับ   Daniel Lee

จุดเด่น

ภาพยนตร์แอ็คชั่นอลังการฟอร์มยักษ์ รวมสุดยอดนักแสดงแห่งเกาะฮ่องกงเอาไว้อย่างคับคั่งไม่ว่าจะเป็น เจินจื่อตัน ซูเปอร์สตาร์นักบู๊สุดร้อนแรงแห่งเกาะฮ่องกง รับบทเป็น “มังกรเขียว” ยอดองค์รักษ์ที่เริ่มสงสัยว่า สิ่งที่ตนและพวกพ้องทำอยู่นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่, เจ้าหญิงแสนสวย จ้าวเหว่ย และนักฆ่าหน้าหล่อ อู๋จุน กำกับภาพยนตร์โดย แดเนียล ลี จาก Black Mask และ Three Kingdoms: Resurrection of the Dragon (สามก๊ก) เป็นการดัดแปลงจากภาพยนตร์เก่าสุดคลาสสิคของ ชอว์บราเดอร์เรื่อง Secet Service of the Imperial Court (ยอดองค์รักเสื้อแพร) ที่มีเหลียงเจียเหยิน นำแสดงเมื่อ 25 ปีที่แล้ว
14 Blades หนังกำลังภายในยุคราชวงศ์หมิง กลุ่มราชองค์รักษ์ของฮ่องเต้ กลายเป็นหน่วยงานนอกกฎหมายที่มีความสำคัญยิ่งยวด ในการปฎิบัติการลับต่างๆ ทั้ง ล้วงความลับ ลอบสังหาร ค้นหา และทำลายผู้มีแนวโน้มเป็นภัยต่อสถาบัน พวกเขาล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาจากข้างถนน ถูกฝึกฝนวิชาชั้นยอด และมอบมีดทั้ง 14 เล่ม (8 เล่มเพื่อทรมาน, 5 เล่มเพื่อสังหารเหยื่อ และเล่มสุดท้ายสำหรับปลิดชีพตัวเอง ยามเสียทีแก่คู่ต่อสู้)
เรื่องย่อ

      ในสมัยราชวงค์หมิง องค์จักรวรรดิทรงครองครองอาวุธสุดยอดของพิภพ และมีหน่วยองค์รักษ์มืด ที่มีอำนาจประหาร สั่งฆ่าโดยเด็ดขาด ซึ่งหน่วยองค์รักษ์มืดนี้เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาฝึกฝน เพื่อให้ไร้ความปราณีและสั่งสมสัญชาตญาณนักฆ่า  โดยองค์รักษ์แต่ละคนจะได้รับอาวุธประจำกายเป็นมีด 14 เล่ม โดย 8 เล่มแรกไว้สำหรับทรมาณ อีก 5 เล่มสำหรับสังหาร และมีดเล่มสุดท้ายเป็นมีดเล่มที่ 14 สำหรับฆ่าตัวตายเมื่อทำงานพลาด...  ต่อมาทั้งราชสำนักตกอยู่ภายในอิทธิพลของขันทีกังฉินเจีย เมื่อชิงหลงและเสียนอู่ สองสุดยอดฝีมือของหน่วยงานองค์รักษ์มืดถูกมอบหมายให้ไปขโมยรายชื่อของผู้ที่ยังจงรักษ์ภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ ด้วยเลห์กลของขันทีเจีย เสียนอู่จึงหักหลังชิงหลงและเพื่อนร่วมตายทั้งหมดได้ตามไล่ฆ่าชิงหลง ทำให้เขาต้องหลบหนีและแสวงหาแนวร่วมที่ยังจงรักษ์ภักดีต่อฮ่องเต้กลับมากู้บังลังก์

14 BLADES
 


เรื่องย่อขนาดสั้น

      สมาชิกในหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรล้วนฝึกวิทยายุทธ์อย่างลับๆ ตั้งแต่เด็กกระทั่งชำนาญการใช้มีดประจำกาย 14 เล่ม พวกเขาอยู่เหนือกฎหมาย มีสิทธิสังหารใครก็ได้ ด้วยความที่มอบกายถวายชีวิตและอุทิศทักษะในการเด็ดลมหายใจชั้นเลิศเพื่อสนององค์ฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว

      ต่อเมื่อราชสำนักถูกยึดครองโดยขันทีกังฉินนามว่า เจี่ย มือหนึ่งของหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพร คือ ชิงหลง จึงได้รับมอบหมายภารกิจโจรกรรมรายนามผู้ที่ยังภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ โดยหารู้ไม่ว่าหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรเองก็ตกอยู่ใต้บัญชาการของขันทีเจี่ยเรียบร้อยแล้ว ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ชิงหลงจึงถูกหักหลังและจำต้องหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

      ทว่าในขณะที่กลายเป็นบุคคลซึ่งทางการต้องการตัวมากที่สุดในปฐพี  ชิงหลงกลับเลือกที่จะควานหาตัวและปลุกระดมผู้ภักดีให้ลุกขึ้นมาต่อต้านเจี่ยพร้อมๆ กับทวงพระราชอำนาจคืนให้แก่องค์ฮ่องเต้

      งานนี้กลุ่มสุดยอดนักฆ่าแห่งยุทธภพ ‘องค์รักษ์เสื้อแพร’ ซึ่งเคยเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายจึงต้องหันมาห้ำหั่นกันเอง   


เรื่องย่อขนาดยาว

      “องค์รักษ์เสื้อแพร” คือหน่วยลับของทางราชการที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ประกอบไปด้วยเหล่าราชองค์รักษ์มากฝีมือ วัตถุประสงค์หลักคือปกป้ององค์ฮ่องเต้ในภาวะวิกฤตศรัทธาและกำจัดผู้ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ด้วยความที่ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ หน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรจึงอยู่เหนือกฎหมาย คอยดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ สืบหาและกำจัดผู้ต้องสงสัยว่าเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ที่เงื้อมมือของกฎหมายเอื้อมไม่ถึง

      ไม่มีใครหลุดรอดจากหน่วยงานที่เปรียบเสมือนตำรวจลับนี้ไปได้แม้แต่สมาชิกในหน่วยเอง อย่างไรก็ตาม หน่วยกล้าตายนี้ถึงคราวต้องระส่ำระสายเมื่อองค์ฮ่องเต้ที่พวกเขาเคยถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีตราบชั่วฟ้าดินสลายกลายเป็นตัวประกันและหุ่นเชิดของ เจี่ย เจ้ากระทรวงพิธีการและขันทีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวังหลวง ในขณะเดียวกัน เฉียวฮัว สาวน้อยซึ่งตกบันไดพลอยโจนมาพัวพันกับเรื่องลับในราชสำนักและสถานการณ์การเมืองอันร้อนแรงต้องดั้นด้นฝ่าพายุทะเลทรายโหมกระหน่ำเพียงลำพัง แต่กระนั้น แม้ว่าเสียงลมจะอื้ออึงสักเพียงใดก็ไม่อาจกลบเสียงใสๆ จากกระดิ่งน้อยๆ บนกำไลข้อเท้า อันเป็นของกำนัลที่เปี่ยมไปด้วยความหมายจากหัวหน้าหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรผู้ซึ่งติดตรึงอยู่ในใจเธอไม่เสื่อมคลาย


      ท่ามกลางสายฝนสาดซัดในยามเย็น  จอมยุทธ์ในเสื้อกันฝนที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดระหกระเหินมาขอความช่วยเหลือจากสำนักคุ้มภัย  เวลานี้ชิงหลงกับตัวตนที่ไม่มีใครรู้ว่าเดิมทีคือหนึ่งในหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรต้องการที่พักฟื้น เขาบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจาก ฉี ผู้ที่เป็นทั้งอาจารย์และผู้บัญชาการหน่วย นั่นคือ โจรกรรมตราประจำตำแหน่งเจ้ากระทรวงกลาโหมมาจาก จ้าว เพื่อสั่งเดินทัพไปช่วยเหลือองค์ฮ่องเต้ รวมถึงรายนามขุนนางผู้ภักดีที่เตรียมจะสมคบคิดกับกบฏจ้าวเพื่อต่อต้าน เจี่ย ขันทีกังฉินที่ยึดอำนาจในราชสำนักไว้หมดแล้ว แต่เมื่อภารกิจลุล่วง เสียนอู่ สหายในหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรกลับสังหารจ้าวและช่วงชิงรายนามไป มิหนำซ้ำ ระหว่างที่ชิงหลงสับสนจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด เสียนอู่ยังหันกลับมาจ้วงแทง แต่ท้ายที่สุด ชิงหลงก็รวบรวมสติหนีมาได้พร้อมกับตราประจำตำแหน่งของท่านจ้าว นอกจากจะเศร้าโศกที่ถูกหักหลังและพ่ายแพ้ เขายังแค้นใจที่หลงซื่อสัตย์ไม่ลืมหูลืมตาและทำเรื่องเลวร้ายเพื่อหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรมามากมาย นับแต่นี้ เขาไม่กล้าไว้ใจใครและไม่อยากศรัทธาสิ่งใดอีกต่อไป

      ประกาศจับชิงหลงพร้อมด้วยข่าวลือว่าเขาคือผู้สังหารท่านจ้าวและครอบครัวของขุนนางผู้ภักดีแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง เพียงชั่วข้ามคืน ชิงหลงเปลี่ยนสถานะจากผู้ล่าเป็นถูกล่า  ผู้ลี้ภัยที่ถูกใส่ร้ายและเต็มไปด้วยความคับข้องใจหลบหลีกการจับกุมด้วยกลยุทธ์อันแยบคายที่ฝึกมาเป็นอย่างดีจากหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพร โดยขอให้สำนักคุ้มภัยอี้เทียนช่วยลักลอบนำเขาออกจากเมืองหลวง

      ลูกสาวคนเดียวของหัวหน้าเฉียว  คือ เฉียวฮัว ซึ่งรับหน้าที่เบ็ดเตล็ดอยู่ในสำนักคุ้มภัย  ได้รับมอบหมายให้คอยพยาบาลชิงหลงอย่างดี ทันทีที่ผ่านพ้นประตูเมืองมาได้อย่างปลอดภัย ชิงหลงหยิบมีดเล่มหนึ่งออกจากกระเป๋าและเปิดปากแผลที่ซ่อนตราประจำตำแหน่งของท่านจ้าวไว้ ในขณะเดียวกัน มีการเผยรายนามที่ได้มาจากท่านจ้าว รวมถึงรายนามของเจ้ากระทรวงต่างๆ ที่ถูกสังหารต่อเนื่องกันมา ซึ่งทั้งหมดถูกยัดเยียดให้เป็นฝีมือของชิงหลง เวลานี้เขากลายเป็นผู้ที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดในปฐพี มีชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แค้นเคืองอย่างสุดแสน และสาบานว่าจะสืบเสาะลงไปให้ถึงต้นตอของแผนชั่วเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเองให้ได้

      ระหว่างเดินทาง  โจรกลุ่มหนึ่งขูดรีดค่าผ่านทางจากขบวนของสำนักคุ้มภัยอี้เทียน ทว่าเฉียวฮัวออกหน้าปฏิเสธตามวิธีที่ชิงหลงบอก หลังจากนั้น เฉียวฮัวยิ่งหลงใหลได้ปลื้มในตัวชิงหลงมากยิ่งขึ้นเมื่อเขาออกโรงปกป้องคนอ่อนแอจากความอยุติธรรมอย่างกล้าหาญ แต่นั่นกลับหมายถึงการเผยที่อยู่ของตัวเองให้ศัตรูล่วงรู้ เสียนอู่และสมาชิกในหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรจึงพุ่งตรงมาหาเขาทันที ทว่าชิงหลงเอาชนะได้และไว้ชีวิตทุกคน

      หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดผ่านพ้นไป เสื้อของชิงหลงฉีกขาดและเผยให้เฉียวฮัวเห็นรอยสักคำว่า “องค์รักษ์เสื้อแพร” บนหน้าอก หัวใจของเธอแตกสลายที่ได้รู้ว่า ‘อัศวินในฝัน’ แท้ที่จริงแล้วเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยงานลับอันแสนโหดเหี้ยมและไร้คุณธรรม เมื่อความจริงเผยออกมา พ่อของเฉียวฮัวซึ่งเป็นนายใหญ่แห่งสำนักคุ้มภัยถึงกับยกเลิกการช่วยเหลือชิงหลงทันที มิหนำซ้ำยังสั่งให้จ่ายค่าจ้างทั้งหมดคืนเขาไป ชิงหลงในความสิ้นหวังไร้ทางออกจำต้องเลือกที่จะใช้วิธีเลวร้ายแบบองค์รักษ์เสื้อแพร นั่นคือ จับเฉียวฮัวเป็นตัวประกันและบังคับให้พ่อของเธอปล่อยข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเส้นทางที่เขาใช้หนี


      ฝ่าย  เจี่ย ขันทีกังฉินและเจ้ากระทรวงพิธีการก็ไล่สังหารขุนนางผู้ภักดีในรายนามที่ได้มาจากจ้าวจนหมดสิ้นเพื่อถางทางไปสู่แผนการโค่นราชบัลลังก์ แต่กระนั้น ชิงหลงที่หนีไปพร้อมกับตราประจำตำแหน่งของท่านจ้าวยังคงเป็นเสี้ยนหนามในใจเขาไม่เสื่อมคลาย เป็นเหตุให้ต้องเดินหมากนอกแผน ส่งอักษรสาส์นไปถึงกษัตริย์มองโกล โดยยื่นข้อเสนอให้มองโกลเป็นแนวร่วมในการลดความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติลงแล้วจะแบ่งดินแดนให้ครึ่งหนึ่งหลังจากทุกอย่างจบลง

      เจี่ยแอบสอดแทรกอักษรสาส์นไว้ในของกำนัลที่จะนำไปถวายกษัตริย์มองโกลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ  พร้อมกับสั่งเพิ่มกำลังพลพลิกแผ่นดินล่าชิงหลง โดยหวังว่าจะลุล่วงก่อนที่ชิงหลงจะส่งตราประจำตำแหน่งเจ้ากระทรวงกลาโหมไปถึงศัตรูคู่อาฆาตของเขา นั่นคือ นายพลหลงซี ในขณะเดียวกัน จากการที่เจี่ยตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จใส่ร้ายชิงหลง ผู้คนต่างพากันเข้าร่วมในกองกำลังไล่ล่ามากขึ้นเรื่อยๆ งานนี้ชิงหลงและตัวประกันสาว เฉียวฮัว จึงตกอยู่ในอันตรายอย่างสุดแสนจากศัตรูที่รุมล้อมรอบด้าน

      ทันทีที่ล่วงรู้ที่อยู่ของชิงหลงจากสายลับสอดแนมของ เสียนอู่ ผู้เป็นหนึ่งในหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพร เจี่ยรีบประกาศเคลื่อนพลตามล่าสะท้านแผ่นดิน แต่ทันใดนั้น หญิงงามนางหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเจี่ย แท้ที่จริงแล้ว แม่นางแปลกหน้าที่แสนจะชดช้อยและงามสง่าผู้นี้คือทูตลับจากกษัตริย์มองโกล นามว่า เถา เธอเป็นสมาชิกในหน่วยงานลับของมองโกลที่เทียบได้กับหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรของจีน จึงเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว และดูเย็นชาไร้อารมณ์ความรู้สึก เถาบอกเจี่ยว่า อันที่จริงนั้น ชิงหลงไม่ได้กำลังหนี แต่องค์รักษ์เสื้อแพรคนนี้กำลังวางแผนต่อต้านเจี่ย เขาจงใจปล่อยเสียนอู่กลับมาเพื่อจะได้รู้ที่อยู่ของเจี่ย ทั้งหมดล้วนเป็นแผนที่ชิงหลงวางไว้เพื่อสกัดกั้นแผนการถวายของกำนัลสอดแทรกอักษรสาส์นแด่กษัตริย์มองโกล นอกจากนี้ เธอยังเตือนเจี่ยว่าถ้าชิงหลงล่วงรู้ทุกอย่าง เขาจะต้องส่งตราประจำตำแหน่งเจ้ากระทรวงกลาโหมของท่านจ้าวไปให้นายพลหลงซีซึ่งสามารถระดมพลมาต่อต้านเจี่ยได้ ด้วยความไม่ไว้ใจแม่นางเถา องค์รักษ์ประจำตัวเจี่ยนายหนึ่งพุ่งกระบี่ไปหาเธอ แต่เธอใช้เสื้อคลุมวิเศษปัดป้องได้ทั้งสามครั้ง มิหนำซ้ำยังไม่พูดพล่ามทำเพลงพุ่งกระบี่สวนกลับไปเจาะกะโหลกองค์รักษ์ หลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก เถาเผยต่อเกี่ยวกับแผนของชิงหลงในการสกัดกั้นขบวนอารักขาของกำนัลแด่กษัตริย์มองโกล และท้ายที่สุดก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้สติปัญญาแบบสายลับชั้นเลิศบวกกับการรู้เท่าทันกลยุทธ์แบบทะลุปรุโปร่งจับตัวชิงหลงมาให้ได้


      ในขณะที่ชิงหลงซึ่งอัดแน่นไปด้วยความคับข้องใจหนีมาพร้อมกับตัวประกันสาว เฉียวฮัวโกรธจัด หน้าบึ้ง และเงียบกริบตลอดทาง แต่แล้วก็เปิดอกพูดว่าเธอไม่มีประโยชน์ต่อเขาแถมยังเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะตั้งคำถามว่าแล้วเขาจะจับเธอไว้อีกทำไม  อันเป็นคำถามที่ชิงหลงเองก็หาได้รู้คำตอบไม่

      วันเวลาผ่านไป เฉียวฮัวสังเกตเห็นว่า  ระหว่างที่ถูกตามล่า ชิงหลงปกป้องเธอแบบสุดความสามารถ  แต่ไม่เคยพูดถึงหรือเอ่ยถามใดๆ  จนกระทั่งมุมมองที่มีต่อองค์รักษ์เสื้อแพรเริ่มเปลี่ยนไปเพราะความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมี กล่าวคือ ครั้งหนึ่งชิงหลงกุมมือเธอไว้ขณะที่กระโดดลงไปในทะเลสาบด้วยกัน ทันทีที่ดวงตาของทั้งสองจับจ้องกันและกันใต้ผิวน้ำ ภาพเก่าๆ เมื่อครั้งที่เขาสังหารเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตระหว่างฝึกดำน้ำมหาโหดก็ย้อนกลับมาย้ำเตือน พอพ้นจากน้ำขึ้นมาได้ ข้อเท้าของเฉียวฮัวกลับถูกพันธนาการด้วยกำไลกระดิ่งน้อยซึ่งเขาใช้เป็นเครื่องเตือนยามเธอหนีเสียแล้ว   


      เถาคาดการณ์ได้ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องที่ชิงหลงจงใจปล่อยเสียนอู่เพื่อจะได้ล่วงรู้แผนร้ายของเจี่ยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการถวายของกำนัล  ชิงหลงตกใจมากเมื่อเห็นว่าผู้อารักขาขบวนอัญเชิญของกำนัลคือ ฉี ซึ่งเป็นทั้งอาจารย์ของเขาและผู้บัญชาการหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพร เวลานี้ชิงหลงตระหนักชัดแล้วว่าภารกิจที่อาจารย์มอบหมายให้ไปโจรกรรมตราประจำตำแหน่งและรายนามจากท่านจ้าวนั้นแท้ที่จริงแล้วคือต้องการส่งเขาไปเป็นแพะรับบาปและเอื้อประโยชน์ต่อเจี่ย เมื่อความจริงปรากฏชัดขนาดนี้ ชิงหลงก็ยิ่งทวีความเศร้า ความอดสู และความเกลียดชังอย่างสุดแสน จึงตัดสินใจบุกช่วงชิงอักษรสาส์นเพื่อลบล้างความผิดเก่าๆ ที่กระทำไว้ ทันใดนั้น การต่อสู้ชุลมุนดุเดือดยิ่งขึ้นเมื่อ เฟิง ผู้นำกลุ่มกรรมกรเหมืองเข้ามาผสมโรงกำจัดชิงหลงเพื่อแก้แค้นให้กับเหล่าขุนนางผู้ภักดีที่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ทว่าประฝีมือกันไปสักพัก ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันมากขึ้นและกลายเป็นสหายกันในที่สุด ชิงหลงเผยแผนของเจี่ยในการก่อกบฏเพื่อยึดอำนาจปกครองจากองค์ฮ่องเต้ให้เฟิงรู้ พร้อมทั้งแสดงตราประจำตำแหน่งของเจ้ากระทรวงกลาโหมผู้ล่วงลับและชักชวนผู้นำกรรมกรคนนี้มาเป็นแนวร่วมในการช่วงชิงตราระดมพลและอักษรสาส์นเพื่อส่งต่อให้นายพลหลงซี ซึ่งมีอำนาจพอที่จะส่งกองทัพไปปกป้ององค์ฮ่องเต้

      หลังจากพูดคุยจนเห็นพ้องต้องกันแล้ว  เฟิงเสนอแนะให้เฉียวฮัวปลอมเป็นเกอิชาเพื่อเข้าไปประชิดขบวนอัญเชิญของกำนัลและค้นหาที่ซ่อนอักษรสาส์น ขณะที่เฉียวฮัวแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นเกอิชาอยู่นั้น ชิงหลงมองเธอเงียบๆ ด้วยความรู้สึกเสียใจที่พาสาวน้อยคนนี้มาตกระกำลำบาก ต่อเมื่อเฉียวฮัวพร้อมจะออกปฏิบัติการ ทั้งคู่กลับโผเข้ากอดกันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและไร้ซึ่งเหตุผล


      ชิงหลงได้พบกับอาจารย์ฉีอีกครั้งเมื่อฉีได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้คุมกฎในมณฑลตะวันออกซึ่งกินเนื้อที่กว่าหนึ่งพันหลังคาเรือน  ชิงหลงเชื่อว่าการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้คือเหตุผลที่ฉีทรยศเขา  แต่แท้ที่จริงแล้วหาได้เป็นเยี่ยงนั้นไม่  ครอบครัวของฉีตกอยู่ในกำมือของเจี่ย ซึ่งฉีไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำสั่งและกำจัดชิงหลงที่ล่วงรู้ความลับมากเกินไป อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น อาจารย์กับศิษย์ซึ่งเคยเป็นดังพ่อกับลูกต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างขมขื่น ทว่าสุดท้ายชิงหลงก็ใจไม่แข็งพอที่จะสังหารอาจารย์ซึ่งสนิทสนมเหมือนญาติในครอบครัวและปล่อยเขาไป


      ในที่สุด  เฟิงก็ได้อักษรสาส์นมาอยู่ในมือ แต่เถากลับตามมาทันและพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ  เฟิงรีบส่งตราประจำตำแหน่งเจ้ากระทรวงกลาโหมคืนให้ชิงหลง และคุ้มกันกลุ่มกรรมกรด้วยชีวิตระหว่างล่าถอย  ในขณะที่เถาและชิงหลงซึ่งฝีมือเท่าเทียมกันต่างใช้ทักษะและเล่ห์เหลี่ยมที่เรียนรู้และฝึกฝนมาตลอดชีวิตมาประหัตประหารกัน ผ่านไปหลายกระบวนยุทธ์ แต่ชิงหลงยังคงปกป้องตราประจำตำแหน่งและอักษรสาส์นไว้ได้เป็นอย่างดี เถาจึงแก้คืนด้วยการจับตัวเฉียวฮัวไป ชิงหลงตามไปช่วยเฉียวฮัวออกมาจากพวกมองโกลและกลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งคู่ แต่กระนั้น ชิงหลงตระหนักว่ายังมีสถานการณ์เลวร้ายรออยู่ข้างหน้าอีกมากมายตราบที่เถายังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ และคงถึงเวลาแล้วที่ต้องส่งเฉียวฮัวกลับบ้านเพื่อความปลอดภัยของเธอเอง

      หลังจากชิงหลงส่งเฉียวฮัวคืนให้พ่อของเธอ เธอเล่าทุกอย่างให้พ่อฟัง เพื่อผดุงความเป็นธรรม หัวหน้าสำนักคุ้มภัยจึงเสนอตัวเป็นแนวร่วมกับฉิงหลงระหว่างเดินทางไปหานายพลหลงซี

      บนเส้นทางสู่นายพลหลงซี  มีไพร่พลของเจี่ยประจำการอยู่พร้อมด้วยฉีที่เฝ้ารอการมาถึงของชิงหลงตามแผนการที่เถาวางไว้ ในขณะที่พายุทรายโหมกระหน่ำ ขบวนอาวุธครบมือของสำนักคุ้มภัยอี้เทียนเข้าโรมรันฟาดฟันศัตรูแบบไม่คิดชีวิต เฉียวผู้พ่อห้ำหั่นกับอาจารย์ฉีจนกระทั่งตายตกตามกันไปในที่สุด ส่วนทางด้านสมรภูมิหลัก ระหว่างที่ชิงหลงเตรียมสู้กับเถาเป็นครั้งสุดท้าย เขาสั่งให้เฉียวฮัวที่น้ำตานองหน้าคุมขบวนต่อไปด้วยตัวเอง พร้อมทั้งปลอบโยนด้วยการบอกความลับกับเธอว่ากำไลกระดิ่งน้อยที่สวมข้อเท้าของเธออยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วมันเคยอยู่กับเขาเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็กกำพร้าถูกทิ้ง และนั่นคือของชิ้นเดียวที่บ่งชี้ถึงชีวิตของชิงหลงก่อนที่จะกลายเป็นองค์รักษ์เสื้อแพร

      พายุทรายในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ราวกับมีส่วนช่วยให้แต่ละคนได้ย้อนทบทวนตัวเอง ระหว่างที่จับจ้องแววตาของชิงหลงขณะมองเฉียวฮัวเดินจากไป หัวใจของหญิงงามชาวมองโกลท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกอิจฉาริษยา ความน้อยเนื้อต่ำใจ และความว่างเปล่า เธอหวังว่าการต่อสู้ในวันนี้จะเป็นการจบชีวิตที่ไม่ต่างจากอาวุธสังหารไร้ความรู้สึกนี้เสียที เช่นเดียวกับชิงหลงที่ไม่หวาดหวั่นต่อบทลงเอยของการต่อสู้ เขาล้างมลทินให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาหลุดพ้นออกจากเงาของหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรแล้ว เขารู้สึกเป็นอิสระอย่างแท้จริง และนับจากนี้เขาจะสู้ด้วยหัวใจ

      เฉียวฮัวออกเดินทางฝ่าพายุทรายโดยลำพังเป็นครั้งแรก มิหนำซ้ำยังแบกภาระรับผิดชอบหนักอึ้งในการช่วยเหลือประเทศชาติและผู้คนให้อยู่รอดปลอดภัย ทว่าเธอจดจำสัญญาที่ให้ไว้กับชิงหลงได้เป็นอย่างดี : ลูกสาวของสำนักคุ้มภัยเทียนอี้จะไม่ทำให้ ชิงหลง ชายที่เธอเฝ้ารอวันที่จะได้พบกันอีกครั้งต้องผิดหวัง เธอยืนหยัดด้วยศรัทธาอันแรงกล้าและก้าวไปสู่วันข้างหน้าโดยไม่หวั่นเกรงใดๆ