MSN on March 17, 2019, 11:47:39 AM
PwC คาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแตะ29.6ล้านล้านดอลลาร์ในปี 68

กรุงเทพฯ,14มีนาคม2562 – PwCเผยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งของโลก หลังสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่า ในปี2568เอยูเอ็มของทั้งภูมิภาคจะอยู่ที่29.6ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเหตุได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งและกลุ่มบุคคลที่มีสินทรัพย์สูงขณะที่นักลงทุนกลุ่มมิลเลนเนียลจะช่วยผลักดันการลงทุนแบบยั่งยืนให้เติบโตแนะอุตสาหกรรมกองทุนไทยเร่งนำเทคโนโลยีเอไอบิ๊กดาต้าเข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่


นาย บุญเลิศ กมลชนกกุล หัวหน้าสายงานClients and Marketsและหุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชีด้านธุรกิจบริการทางการเงินบริษัทPwCประเทศไทยกล่าวถึงรายงาน Asset and Wealth Management 2025: The Asia Awakening ของPwCว่า อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะเติบโตรวดเร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆ หากการกีดกันทางการค้าอยู่ในวงจำกัดและปัจจัยภูมิศาสตร์การเมืองในภูมิภาคเดินหน้าโดยคาดว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารในภูมิภาคนี้จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี(Compound Annual Growth Rate: CAGR)ที่8.7%หรือเพิ่มจาก15.1ล้านล้านดอลลาร์ในปี2560เป็น 16.9ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2563และแตะ29.6ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี2568

นอกจากนี้ คาดว่า เอยูเอ็มของกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (รวมสินทรัพย์ของกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หรือ อีทีเอฟ) จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวมาอยู่ที่ 11.9ล้านล้านดอลลาร์ และคาดว่า การซื้อขายของนักลงทุนสถาบันจะเติบโตในระดับเดียวกัน สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียอยู่ในเวลานี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างมากจาก 2ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2561เป็น 6.9ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2568(คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่11.7%)โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งและกลุ่มบุคคลที่มีสินทรัพย์สูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ผู้จัดการสินทรัพย์ สามารถขยายธุรกิจ และสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องส่งผลให้อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งโดยรวม เติบโตแซงหน้าภูมิภาคที่พัฒนาแล้วอย่างยุโรปและอเมริกาเหนือ

รายงานยังชี้ว่า ความต้องการของนักลงทุนในภูมิภาคได้เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมการลงทุนและผลตอบแทนที่พวกเขาคาดหวัง โดยกลยุทธ์เชิงรับ(Passive Strategy)กำลังเป็นที่นิยมมากกว่ากลยุทธ์เชิงรุก(Active Strategy)ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าจึงดึงดูดความสนใจของนักลงทุนจำนวนมาก โดยกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นที่นิยมอย่างมากในภูมิภาคที่พัฒนาแล้วอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในเอเชีย

นายจัสติน อ่อง หัวหน้าสายงานบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก PwC ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า “นักลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ค่อนข้างตื่นตัวและมีกลยุทธ์มุ่งเน้นไปที่ผลตอบแทนมากกว่าอย่างอื่น โดยเตรียมรับมือกับความเสี่ยงเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คาดหวังดังนั้น ผลิตภัณฑ์การลงทุนหรือการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงรับจึงอาจจะไม่ใช่สิ่งแรกที่พวกเขามองหา”

“อย่างไรก็ดี การเข้ามาของหุ่นยนต์ที่ปรึกษาและคำแนะนำการลงทุนที่เปลี่ยนเป็นดิจิทัลมากขึ้นจะมีบทบาทสำคัญในการปูทางไปสู่การเติบโตของการบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรับของภูมิภาคนี้ โดยจะทำให้เกิดช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ ที่ปราศจากคนกลาง นอกจากนี้ ยังจะได้รับปัจจัยหนุนจากการปฏิรูประบบบำนาญในประเทศต่างๆเช่นสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เปิดโอกาสให้นำเงินกองทุนบำนาญไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเท่ากับผลตอบแทนของดัชนีตลาดหรือที่เรียกว่า Passive assetและน่าจะช่วยผลักดันให้สัดส่วนเอยูเอ็มของสินทรัพย์นี้ในภูมิภาค เพิ่มจาก12%ในปี 2560เป็น17%ในปี 2568 ได้”

นักลงทุนกลุ่มมิลเลนเนียลกำลังมีบทบาทต่อตลาดมากขึ้นผ่านการลงทุนอย่างยั่งยืน

นอกเหนือจากการเติบโตของสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Real Asset) แล้ว รายงานพบว่า นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยทั่วทั้งภูมิภาค มีความตระหนักถึงการลงทุนอย่างยั่งยืนในรูปแบบของการจัดการสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG)และผลิตภัณฑ์การลงทุนที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (Socially Responsible Investing: SRI) มากขึ้น

การลงทุนในลักษณะดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมไปทั่วทั้งภูมิภาค เพราะนักลงทุนต้องการความชัดเจนและความโปร่งใสในการลงทุนของตนมากขึ้น ซึ่งจะเห็นว่า การพัฒนาในด้านต่างๆ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น เทรนด์ของการมีระบบการเงินสีเขียว(Green financial systems)ซึ่งน่าจะมีมากขึ้น โดยเป็นการให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานผ่านออกพันธบัตรสีเขียว โดยเมื่อปีที่ผ่านมาสิงคโปร์ได้ออกจำหน่ายพันธบัตรสีเขียวระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ ความต้องการของการลงทุนอย่างยั่งยืนนี้ ยังถูกขับเคลื่อนส่วนหนึ่งจากนักลงทุนกลุ่มมิลเลนเนียลที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัวด้วย

นาย จัสติน กล่าวต่อว่า “ลักษณะที่โดดเด่นของนักลงทุนกลุ่มมิลเลนเนียลเมื่อเปรียบเทียบกับนักลงทุนรุ่นเก่า คือชื่นชอบความเป็นดิจิทัล และมีความรู้ด้านการเงินดี โดยคนกลุ่มนี้ต้องทำธุรกรรมทุกอย่างผ่านแพลตฟอร์มที่เป็นดิจิทัลดังนั้น ผู้จัดการสินทรัพย์จะต้องสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์และนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงบทวิเคราะห์ การทำธุรกรรม และการให้บริการลูกค้าหากต้องการที่จะดึงดูดความสนใจและการลงทุนจากนักลงทุนกลุ่มนี้

“การเพิ่มขึ้นของช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์ในภูมิภาค ยังสอดคล้องกับการเข้ามาของนักลงทุนกลุ่มมิลเลียนเนียลที่จะยิ่งมีมากขึ้นในอีกทศวรรษหน้า โดยความท้าทายในวันข้างหน้าจะอยู่ที่ความสามารถของแพลตฟอร์มนั้นๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความพิเศษมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่ตลาดในภูมิภาคกำลังพัฒนา”

แรงกดดันด้านกฎระเบียบ-เทคโนโลยีส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมฯ

ทั้งนี้ กฎระเบียบข้อบังคับที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมการเงินให้เปลี่ยนไปจากเดิมโดยแม้ว่า ระบบการกำกับดูแลของแต่ละประเทศในภูมิภาคจะมีความแตกต่างกันไป แต่ผลลัพธ์จากแรงกดดันเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความโปร่งใสในการกำหนดค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแรงกดดันต่อรายได้

PwCยังระบุด้วยว่า จำนวนของนักลงทุนอายุน้อยที่ชื่นชอบการใช้เทคโนโลยีที่กำลังขยายตัวมากขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคโดยส่วนใหญ่หันมาสนใจทางเลือกในการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเช่นหุ่นยนต์ที่ปรึกษาจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อค่าธรรมเนียมและส่งผลให้มาร์จิ้นลดลง

ในการที่อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งจะสามารถเติบโตได้ตามที่รายงานคาดการณ์นั้น นาย  จัสติน กล่าวว่า “ในระยะต่อไป ผู้จัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่งที่จะประสบความสำเร็จได้ คือผู้ที่สามารถเอาชนะตลาดในขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่กำลังเข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรมจะถูกเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลมากขึ้นและนักลงทุนจะมองหาผู้จัดการการลงทุนที่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ตามความต้องการในส่วนของบริษัทจะต้องต่อสู้กับแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียม ผ่านการลดต้นทุนและดึงดูดนักลงทุนใหม่ๆ มากขึ้น

ดังนั้น ผู้จัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่งควรปรับโครงสร้างธุรกิจของตนให้เหมาะสมกับลำดับความสำคัญและความสามารถเฉพาะด้านรวมทั้งลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ นอกจากนี้ บริษัทจะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ รวมถึงดูแลเอาใจใส่และรักษาพนักงานมากความสามารถในยามที่อุตสาหกรรมกำลังเข้าสู่การปฏิวัติตัวเองเพื่อสะท้อนความสามารถในการขยายฐานลูกค้า”

ผลจากการศึกษาที่น่าสนใจอื่นๆ ของรายงานประกอบด้วย

•   คาดการณ์มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุนบำนาญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่จะเพิ่มขึ้นจาก 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2560เป็น11.9ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2568 น่าจะส่งผลทำให้รัฐบาลในภูมิภาคนี้หันมาใช้ระบบกองทุนบำนาญประเภทที่กำหนดอัตราเงินนำส่ง (Defined contribution: DC)และบัญชีเงินออมเพื่อการเกษียณรายบุคคลมากยิ่งขึ้นอีก

•   กองทุนเงินร่วมลงทุน (Venture capital)ถือเป็นหนึ่งโอกาสการลงทุนที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยเอเชียแปซิฟิกมีอันดับต่ำกว่าแค่สหรัฐอเมริกาในแง่ของดีลโดยสาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงเป็นผู้นำตลาด ด้วยการมี 5ใน10 อันดับกองทุนเงินร่วมลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศ ณ สิ้นปี 2560

•   ความชื่นชอบของลูกค้าที่เปลี่ยนไปจะเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยวิธีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายจะยังคงเป็นที่นิยมต่อเนื่องและจะช่วยในการปรับเปลี่ยนส่วนผสมผลิตภัณฑ์การลงทุนที่จะเสนอขายต่อไป

•   แม้ว่าความร่วมมือในด้านต่างๆ ของแต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะยังคงแยกออกเป็นส่วนๆ ในระยะกลาง เราเชื่อว่าภายในปี2568 จะมีการรวมตัวกันเพื่อความร่วมมือในด้านต่างๆมากขึ้นทั้งนี้เพื่อขยายขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างแท้จริง
•   ปัจจุบันศูนย์กลางการบริหารจัดการสินทรัพย์ของภูมิภาคอยู่ที่สิงคโปร์และเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและคาดว่านครเซี่ยงไฮ้จะกลายเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการสินทรัพย์อันดับที่3

•   เอเชียจะเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยคาดว่า โครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21(Belt and Road Initiatives:BRI)ของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ รวมไปถึงการริเริ่มโครงการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นายบุญเลิศกล่าวว่า เห็นการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุนพบว่า เอยูเอ็มของกองทุนรวมไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จาก 1.53 ล้านล้านบาทในปี 2551 มาอยู่ที่ 5.05 ล้านล้านบาท ในปี 2561หรือราว1.6แสนล้านดอลลาร์

“แนวโน้มที่เอยูเอ็มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีมากขึ้น เนื่องจากการขยายฐานลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูงหรือ High Net Worth Individual ของบริษัทจัดการลงทุนขณะที่ปัจจุบันชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อและมีความเข้าใจการลงทุน ก็หันมาออมเงินเพื่อการเกษียณอายุกันเพิ่มขึ้น

“การเข้ามาของดิจิทัลจะช่วยทำให้ช่องทางการเข้าถึงผลิตภัณฑ์การออมการลงทุนและการซื้อขายกองทุนเป็นไปได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตโดยเรามองว่า อุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทยจะยิ่งมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการลงทุนมากขึ้นในอีก 3-5ปีข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นการใช้เอไอ หรือ บิ๊กดาต้า เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล หรือ การสร้างแบบจำลองการลงทุน และออกแบบแผนการลงทุนเฉพาะบุคคลให้เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าซึ่งทั้งหมดถือเป็นเทรนด์ที่จะสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมในระยะข้างหน้า”

เกี่ยวกับ PwC
ที่ PwCเป้าประสงค์ของเรา คือ การสร้างความไว้วางใจในสังคมและช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับลูกค้า  เราเป็นหนึ่งในบริษัทเครือข่าย 158ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า250,000 คนที่ยึดมั่นในการส่งมอบบริการคุณภาพด้านการตรวจสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ กฎหมายและภาษี  สำหรับประเทศไทย บริษัทถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจไทยมานานกว่า 60ปี PwCผสมผสานประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการทำงานกับลูกค้าข้ามชาติ ผนวกกับความเข้าใจตลาดภายในประเทศเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชื่อเสียงของ PwCเป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจต่างๆ โดยปัจจุบัน มีบุคลากรมากกว่า2,000 คนในประเทศไทย

PwC refers to the PwC network and/or one or more of its member firms, each of which is a separate legal entity. Please see www.pwc.com/structure for further details.

© 2019 PwC. All rights reserved
« Last Edit: March 17, 2019, 11:49:32 AM by MSN »