news on December 13, 2018, 03:49:25 PM
สวทช. เปิดกลยุทธ์ 6-6-10 ติดปีกอุตสาหกรรม นำนวัตกรรมไทยสู่สากล
ผู้บริหารสวทช. ร่วมแถลงข่าวสรุปผลงานปี 61 และทิศทางการพัฒนาประเทศปี 62
ผู้บริหาร สวทช. ร่วมแถลงข่าวผลงานเด่นปี 61 และทิศทางการพัฒนา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมของ ประเทศ ในปี 62(13 ธันวาคม 2561) ที่ห้องกมลทิพย์ 3 โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ : ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำทัพผู้บริหาร ประกอบด้วย ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ดร.เกื้อกูล ปิยะจอมขวัญ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) แถลงผลงาน สวทช. ปี 2561 ที่ผ่านมา พร้อมเปิดกลยุทธ์ขับเคลื่อนงานวิจัย ปี 2562 ภายใต้แนวคิด “NSTDA Beyond Limits : 6-6-10” ติดปีกอุตสาหกรรม นำนวัตกรรมไทยสู่สากล”
โดย กลยุทธ์ 6-6-10 คือ 6 Research Pillars, 6 Frontier Research และ 10 Technology Development Groups : TDGs) กรอบการพัฒนาเพื่อมุ่งสร้างความเข้มแข็งและความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ขั้นสูง เพื่อสร้างขีดความสามารถของประเทศ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตอบโจทย์นโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่ง สวทช. ได้ยึดหลักการทำงานเพื่อส่งมอบผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศเป็นอันดับแรก และยึดถือเป็นพันธกิจหลักในการดำเนินนโยบายเช่นนี้มาตลอด 27 ปี ของการก่อตั้ง สวทช.
@ ผลักดันวิจัยและนวัตกรรมไทย ก้าวไกลสู่สากล
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงว่า สวทช.ได้ดำเนินการพัฒนางานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์นโยบายรัฐบาล ภาคธุรกิจและประชาชนในทุกมิติ โดยในปี 2561 ได้ส่งมอบผลงานวิจัยและนวัตกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ อาทิ
• “ผลิตภัณฑ์ดูดจับสารพิษจากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารสัตว์” จากเอนไซม์โปรติเอส (Enzyme Protease)
โดย นาโนเทค สวทช. ปัจจุบันได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทในประเทศสิงคโปร์ สร้างมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา มากกว่า 6,000 ล้านบาท สำหรับ เอนไซม์โปรติเอส ถือเป็นนวัตกรรมระดับแนวหน้าจาก สวทช. ที่ได้ดำเนินการวิจัยให้กับ บริษัท คลีน กรีนเทค จำกัด เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่สำหรับใช้ลดปริมาณสารพิษจากเชื้อราปนเปื้อนในวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถลดปริมาณสารพิษปนเปื้อนได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะสารฟูโมนิซินและซีราลีโนน สารพิษจากเชื้อราที่สร้างความเสียหายในอุตสาหกรรมอาหารเลี้ยงสัตว์เป็นลำดับต้นๆ ในประเทศไทย (พบในกลุ่มอาหารสัตว์ ไก่ เป็ด สุกร และโค) นอกจากนั้นแล้วเอนไซม์โปรติเอสยังสามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของสารพิษเชื้อราให้อยู่ในสภาพที่ไม่เป็นพิษ และไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ Zeta L-Tonic ทั้งในและต่างประเทศ รวม 7 ประเทศแล้ว
• eLysozymeTM สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาว
โดย ไบโอเทค สวทช. วิจัยและพัฒนา “ไลโซไซม์ (Lysozyme)” เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ในไข่ขาวของไก่ ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องตัวอ่อนของไก่จากการรุกรานของเชื้อแบคทีเรียในสิ่งแวดล้อม ซึ่งในอุตสาหกรรมอาหารมีการนำไลโซไซม์มาใช้ประโยชน์ในฐานะของสารยับยั้งแบคทีเรียหรือสารกันบูดจากธรรมชาติ (Natural Preservative) ทั้งนี้ไลโซไซม์ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) องค์การอนามัยโลก (WHO) และหลายๆ ประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชีย ถึงความปลอดภัยในการบริโภค และได้รับอนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร ยา และการบำบัดรักษาบางประเภท
อย่างไรก็ตามโดยธรรมชาติแล้ว ไลโซไซม์จากไข่ขาวของไก่มีความสามารถในการยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวก และแบคทีเรียในกลุ่มแบคทีเรียแลคติกได้ดีกว่าแบคทีเรียแกรมลบ ทว่าด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ ทำให้คณะผู้วิจัยสามารถพัฒนาไลโซไซม์ที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียได้ดีขึ้นทั้งแกรมบวกและแกรมลบ จึงยับยั้งครอบคลุมแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเน่าเสีย แบคทีเรียก่อโรคที่มักพบปนเปื้อนในอาหาร และแบคทีเรียก่อโรคที่มีความสำคัญในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและปศุสัตว์ โดยผลงานวิจัยดังกล่าวกำลังนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ไลโซไซม์ประสิทธิภาพสูง ภายใต้ชื่อทางการค้า eLysozymeTM (eLYS-T1) สำหรับใช้เป็นสารยับยั้งแบคทีเรียในอาหาร และ eLysozymeTM (eLYS-T2) สำหรับใช้เป็นสารยับยั้งแบคทีเรียในอาหารสัตว์ ทั้งนี้ สวทช. ได้ทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลงานวิจัยการผลิตสารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาว ให้แก่ บริษัท ดีเอ็มเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท โอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์และจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ซึ่งขณะนี้ทางบริษัทกำลังติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิต และมีแผนทดลองผลิตสารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวรอบแรกเร็วๆ นี้
• ข้อเข่าเทียม ที่มีขนาดรูปทรง และการงอเข่าที่เหมาะสมกับคนเอเชีย
โดย เอ็มเทค สวทช. ได้พัฒนาข้อเข่าเทียม ที่มีขนาด รูปทรงและการงอเข่าที่เหมาะสมกับคนเอเชีย จากการอ้างอิงการวัดกายวิภาคข้อเข่าคนไทยและคนญี่ปุ่น โดยร่วมมือกับThe New Energy and Industrial Technology Development Organization (NEDO) ประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาข้อเข่าเทียมและเครื่องมือช่วยผ่าตัด โดยมี บริษัท เทยิน นาคาซิม่า เมดิคอล (Teijin Nakashima Medical) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายข้อเทียมในประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ร่วมดำเนินโครงการกับเอ็มเทค สวทช. ซึ่งแต่ละฝ่ายได้ศึกษาวิจัยกายวิภาคข้อเข่าของกลุ่มตัวอย่างคนญี่ปุ่นและคนไทยเพศหญิงฝ่ายละ 100 ราย นำมาใช้อ้างอิงในการออกแบบพัฒนาข้อเข่าเทียมเดิมให้เหมาะสมกับกายวิภาคข้อเข่าคนเอเชียมากขึ้น รวมทั้งออกแบบให้รองรับการงอเข่าได้ถึง 150 องศา เพื่อให้ตรงกับอิริยาบถการใช้ชีวิตประจำวันในการนั่งพื้นของคนเอเชียซึ่งต่างจากชาวตะวันตก
นอกจากนี้ คณะวิจัยเอ็มเทค ยังได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการศึกษาวิจัยกายวิภาคข้อเข่า การออกแบบและทดสอบข้อเข่าเทียม โดยได้รับการสนับสนุนเครื่องทดสอบการสึกหรอข้อเข่าเทียมมูลค่าร่วม 20 ล้านบาท จาก NEDO และหลังจากความร่วมมือในโครงการดังกล่าวสำเร็จ บริษัท เทยิน นาคาซิม่า เมดิคอล ได้เริ่มนำผลิตภัณฑ์ Future Knee® ที่พัฒนาขึ้น ออกใช้จริงในเชิงคลินิกในประเทศญี่ปุ่น โดยในระยะเวลา 1 ปี มีการผ่าตัดในผู้ป่วยแล้วมากกว่า 200 ราย ซึ่งประสิทธิผลของข้อเข่าเทียมหลังผ่าตัดเป็นที่ยอมรับอย่างมากจากศัลยแพทย์ งานวิจัยดังกล่าวจะเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมที่ดีขึ้น สามารถงอเข่าใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ และการผลักดันให้เกิดผลิตภัณฑ์ข้อเข่าเทียมดังกล่าวนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยคนไทยได้มีโอกาสใช้ในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทดแทนผลิตภัณฑ์นำเข้าด้วย ทั้งนี้ สวทช. ได้เตรียมการจดทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยเพื่อนำผลิตภัณฑ์ออกสู่เชิงพาณิชย์ ผ่านรูปแบบบริษัทร่วมลงทุนระหว่าง สวทช. บริษัท เทยิน นาคาซิม่า เมดิคอล และบริษัทเอกชนไทย เพื่อผลักดันให้เกิดบริษัทเครื่องมือแพทย์ขั้นสูงขึ้นในประเทศไทย
• ศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (Thai Telecommunication Relay Service : TTRS)
โดย เนคเทค สวทช. ได้ทำความร่วมมือกับ มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ พัฒนา ระบบบริการถ่ายทอดการสื่อสาร สำหรับคนพิการทางการได้ยิน และคนพิการทางการพูด ประกอบด้วย บริการถ่ายทอดการสื่อสารแบบข้อความสั้น, บริการถ่ายทอดการสื่อสารแบบรับ-ส่งข้อความผ่าน TTRS Message, บริการถ่ายทอดการสื่อสารแบบสนทนาข้อความผ่าน TTRS Live Chat, บริการถ่ายทอดการสื่อสารแบบสนทนาวิดีโอผ่านตู้ TTRS, บริการถ่ายทอดการสื่อสารแบบแปลงเสียงเป็นข้อความผ่าน TTRS Caption และบริการถ่ายทอดการสื่อสารแบบปรับปรุงเสียงพูดสำหรับคนไร้กล่องเสียงและปากแหว่งเพดานโหว่ มีจำนวนสมาชิกที่ใช้งานรวม 47,721 คน และมีจำนวนครั้งการใช้บริการรวม 900,934 ครั้ง ทั้งนี้ศูนย์ TTRS เป็นกลไกหนึ่งภายใต้การจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐาน โดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม สนับสนุนให้ คนพิการและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม สามารถเข้าถึงบริการโทรคมนาคมพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างผลกระทบ เชิงสังคมมากกว่า 4,900 ล้านบาท
• PTEC มาตรฐาน ‘ห้องปฏิบัติการฯ ระดับอาเซียน’
ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ศทอ.) หรือ PTEC สวทช. เป็นหน่วยงานบริการวิเคราะห์ทดสอบ ตรวจสอบ รับรองผลิตภัณฑ์ครบวงจร ที่มีการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับภาคธุรกิจเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ด้วยบุคลากรมืออาชีพ ได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบแบตเตอรี่แพ็กขนาดกำลังไฟฟ้า 600 กิโลวัตต์ ได้ตามมาตรฐาน UN ECE R100 และมาตรฐานสากลอื่นๆ ปัจจุบัน บริษัท เดมเลอร์ ผู้ผลิตรถยนต์เบนซ์ ร่วมกับ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ เป็นลูกค้ารายแรกของ PTEC โดย บริษัท เดมเลอร์ กำลังลงทุนก่อสร้างโรงงานประกอบแบตเตอรี่ในประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2562 และส่งแบตเตอรี่ มาทดสอบที่ สวทช. ในเดือนถัดไป ถือเป็นแห่งแรกในอาเซียนและเป็นแห่งที่ 4 ของโลก ต่อจากโรงงานแบตเตอรี่ในประเทศเยอรมนี ญี่ปุ่นและจีน นอกจากยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว ยังมีผู้ประกอบการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า รถโดยสารขนส่ง และแหล่งเก็บกักพลังงานอีกหลายรายสนใจ ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกที่ประเทศไทยได้เข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการมีโรงงานผลิต ห้องปฏิบัติการทดสอบ และรับรองและจำหน่ายในตลาดอย่างครบถ้วน
PTEC ยังได้รับการขึ้นทะเบียนจาก ASEAN SECTORAL MRA ON ELECTRICAL AND ELECTRONIC EQUIPMENT (ASEAN EE MRA) เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ให้เป็นห้องปฏิบัติการทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน โดยมีประเทศสมาชิกอาเซียนให้การยอมรับมากถึง 7 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ และเวียดนาม และได้รับการยอมรับให้เป็นห้องปฏิบัติการการทดสอบ EMC ซึ่งเป็นการทดสอบความคงทนต่อสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรฐานในประเทศและมาตรฐานสากล จากสถาบัน QUACERT ประเทศเวียดนามด้วย
นอกจากนี้ สวทช. ยังส่งมอบผลงานวิจัยประเด็นมุ่งเน้นเพื่อสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม ตอบโจทย์ทุกภาคส่วน ได้แก่ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ เช่น เทคโนโลยีการยกระดับคุณภาพไบโอดีเซล หรือ H-FAME ระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพแบบ Flexible substrate ในภาคอุตสาหกรรม และประเด็นมุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อการเกษตรยั่งยืน เช่น การบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่กับข้อมูลจากการสำรวจระยะไกล เพื่อใช้ติดตามผลผลิตข้าวในประเทศไทย โมบายแอปพลิเคชันสำหรับวินิจฉัยโรคข้าว เป็นต้น
@ ปี 61 โชว์ศักยภาพวิจัยฯ สร้างผลกระทบ 4.5 หมื่นล้านบาท
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ตลอดปี 2561 ที่ผ่านมา สวทช. ได้มุ่งมั่นพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาประเทศ ตามเป้าหมาย “ประเทศไทย 4.0” โดย มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้ ด้านงานวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยี สวทช. มีบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 546 เรื่อง มากกว่า 1 ใน 4 ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติชั้นนำของโลก และถูกนำไปใช้อ้างอิงทางวิชาการสูงกว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมของประเทศ นอกจากนี้มีการยื่นขอจดทรัพย์สินทางปัญญามากถึง 383 รายการ
สำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี สวทช. ถ่ายทอดผลงาน 261 โครงการ ให้กับหน่วยงานต่างๆ รวม 335 หน่วยงาน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม มากกว่า 45,000 ล้านบาท ผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ของภาคการผลิตและบริการ มูลค่าเกือบ 14,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ สวทช. มีกลไกสนับสนุน สร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนวิจัยเพิ่มขึ้น อาทิ เทคโนโลยีราคาเดียว 30,000 บาท มีผู้ขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีกว่า 485 รายการ ภาษี 300% มีการรับรอง 404 โครงการ มูลค่า 1,313 ล้านบาท บัญชีนวัตกรรมไทย คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผลงานนวัตกรรม และได้อนุมัติผู้ยื่นขอขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยรวมทั้งสิ้น 270 ผลงาน โดยสำนักงบประมาณ ประกาศขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 226 ผลงาน โครงการสตาร์ทอัพ เวาเชอร์ (Startup Voucher) สนับสนุนเงินด้านการตลาด 87 ราย มูลค่ากว่า 64 ล้านบาท สร้างรายได้รวม 915 ล้านบาท
โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP ได้สนับสนุน SMEs จำนวน 1,610 ราย มีการลงทุน 737 ล้านบาท สร้างผลกระทบ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท และ ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ ให้บริการมากกว่า 50,000 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 180 ล้านบาท ด้านการพัฒนากำลังคนและสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. ให้ทุนการศึกษาพัฒนาบัณฑิตและนักวิจัยอาชีพที่มีศักยภาพให้กับประเทศมากกว่า 790 ทุน สนับสนุนนักศึกษาและบุคลากรวิจัยทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมงานในห้องปฏิบัติการของศูนย์แห่งชาติ 324 คน และส่งเสริมพัฒนาเยาวชนเข้าสู่อาชีพนักวิจัย เช่น การจัดประชุมวิชาการนานาชาติ Asia Pacific Conference on Giftedness หรือ APCG 2018
สำหรับการเพิ่มขีดความสามารถเกษตรกร สวทช. ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เกษตรกร จำนวน 6,781 คน 264 ชุมชน ใน 35 จังหวัด จัดทำชุดความรู้เทคโนโลยี 19 ชุด ผลักดันให้เกิดกลุ่มคลัสเตอร์แปรรูป 2 กลุ่ม ได้แก่ มะม่วง และกะหล่ำปลี และพัฒนาเกษตรกรแกนนำ ผู้ประกอบการนวัตกรรม 825 คน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
ในส่วนของตัวอย่างการสนับสนุนเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการ เช่น ผลงานผลิตภัณฑ์นาฬิกาโทรศัพท์ป้องกันเด็กหาย ของบริษัท โพโมะ เฮาส์ จำกัด ซึ่งโครงการ ITAP ได้ช่วยให้คำปรึกษา พัฒนาเทคโนโลยีของ SMEs ให้แตกต่างด้วยนวัตกรรม การผลักดันให้ผู้ประกอบการ/ผู้เช่าพื้นที่ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ประกอบธุรกิจได้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง อาทิ บริษัท ที-เน็ต จำกัด (T-NET Co.,Ltd.) ให้คำปรึกษาความปลอดภัยในการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) (Betagro) ผู้นำธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารครบวงจรของประเทศไทย บริษัท โซเอทิส (ประเทศไทย) จำกัด (Zoetis) บริษัทระดับโลกที่ดูแลผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง บริษัท โพลิพลาสติกส์ มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกเชิงวิศวกรรมชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ได้จัดตั้ง ASEAN Polyplastic Technical Solution Center ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
@ วิจัยตอบโจทย์ประเทศด้วยโครงการ BIG ROCK
สวทช. ได้มุ่งมั่นใช้ศักยภาพและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผลิตผลงานวิจัยและนวัตกรรมตอบโจทย์โครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ได้แก่ “โครงการพัฒนาพิเศษขนาดใหญ่” หรือ BIG ROCK เช่น โครงการสื่อการสอนโปรแกรมมิ่งในโรงเรียนหรือ Coding at School Project ฝึกเยาวชนเขียนโปรแกรมด้วยบอร์ดสมองกลฝังตัว KidBright โครงการ โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) หรือ FabLab พัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย โครงการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติเพื่ออนุรักษ์ วิจัย และใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมและชุมชน (National Biobank) โครงการนวัตกรรมเทคโนโลยีก้าวหน้าเพื่อการผลิตสมุนไพร (Plant Factory) โครงการขยายผลงานวิจัย DentiiScan เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติทางทันตกรรม เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย เป็นต้น
« Last Edit: December 14, 2018, 08:58:05 AM by news »
Logged