"โครงการหงษ์ทองนาหยอด" จากรอยยิ้มชาวนาสู่ความสุขผู้บริโภค
โครงการดีๆ ที่จะเติบโตไปพร้อมกับชาวนาไทยอย่างยั่งยืน
"กระดูกสันหลังของชาติ" คำเปรียบเปรยสั้นๆ ที่สื่อถึง "ชาวนา" อาชีพที่อยู่เคียงคู่ผืนแผ่นดินไทยมาอย่างยาวนาน แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนผลัดช่วงเวลามากี่ยุคสมัย หนึ่งในอาชีพที่สำคัญที่สุดในประเทศเกษตรกรรมนี้ ก็ยังคงลำบากอยู่เช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน ความภูมิใจที่สร้างอาหารหลักเลี้ยงปากท้องคนในชาติ กลับไม่สามารถนำมาเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวได้ จนก่อเป็นโรคร้ายที่คอยกัดกินกระดูกสันหลังนี้ให้เสื่อมโทรมและหมดกำลังใจมากขึ้นทุกวัน
การซ่อมแซมกระดูกสันหลังนี้ถูกยกเป็นปัญหาระดับชาติมาทุกยุคสมัย แต่แม้จะพยายามเยียวยารักษาเท่าไร ปัญหาเหล่านี้ก็ถูกแก้ไขได้เพียงบางจุดเท่านั้น ชาวนาบางคนสามารถลืมตาอ้าปากพยุงเอาผืนนาและครอบครัวรอดพ้นจากความยากลำบากได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ได้แต่ปลูกข้าวและรอคอยความหวังที่ไม่รู้จะมาย่ำลงบนผืนนาของพวกเขาเมื่อไร จนกระทั่งในปี 2558 พื้นนาในตำบลโพนข่า จังหวัดศรีสะเกษ ได้สร้างความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตชาวนาไทย ด้วยรวงข้าวสีทองจากเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ โดยโครงการหงษ์ทองนาหยอด ผลงานวิจัยของ บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง สร้างรายได้ มากกว่าเดิมถึงเฉลี่ยไร่ละ 3-4 พันบาท ให้ทั้งราคารับซื้อข้าวที่ดี และผู้บริโภคได้ข้าวใหม่ ที่หอม นุ่ม อร่อย ดร.วัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย "ข้าวหงษ์ทอง" ผู้หยิบเอาข้าวไทยในสัญลักษณ์หงษ์สีทองไปสยายปีกทั้งในไทยและต่างประเทศ จนปัจจุบันข้าวหงษ์ทองมีอายุครบ 80 ปี กล่าวว่า หัวใจสำคัญที่อยู่เคียงข้างพวกเขามาตลอด ก็คือ "ชาวนาไทย" ผู้เป็นทั้งเพื่อนและครอบครัวคนสำคัญของบริษัท ความสำเร็จของข้าวหอมมะลิเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ผืนแรกในจังหวัดศรีสะเกษ ถือเป็นก้าวแรกของ "โครงการหงษ์ทองนาหยอด" โครงการสำคัญที่ได้เติมเต็มความหวังให้กับเกษตรกรชาวไทยกว่า 40,000 ไร่ ได้มีแรงฮึดสู้ สร้างกำลังใจให้งอกเงยได้อีกครั้ง โครงการหงษ์ทองนาหยอด เป็นการฉีกภาพการทำนาหว่านแบบเดิมๆ สู่วิธีการปลูกด้วยวิธีนาหยอดแบบแห้ง สร้างผลผลิต และรายได้ที่มากขึ้น จากลดการใช้เมล็ดพันธุ์ให้น้อยลง จากเดิมที่ชาวนาหว่านข้าวเพื่อปลูกครั้งละ 25-35 กิโลกรัม จะลดเหลือพียง 8-10 กิโลกรัมต่อไร่จากการทำนาหยอด จุดแข็งอีกอย่างของนาหยอดคืออัตราการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ รวงข้าวที่ขึ้นจะเรียงเป็นแถว ดูแลเรื่องแมลงและวัชพืชได้ง่าย มองเห็นต้นข้าว สามารถคำนวณการให้ปุ๋ยได้ชัดเจน จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายทั้งยาฆ่าแมลงและปุ๋ย อีกทั้งต้นข้าวจะแตกกอได้ดีไม่เบียดแน่น ปริมาณข้าวออกรวงสูงเมล็ดเรียงสวยงาม รวงข้าวแข็งแรงและมีคุณภาพ การทำนาหยอดเป็นการช่วยลดต้นทุนให้ชาวนาได้อย่างชัดเจน จากเดิมที่ต้องลงทุนราวๆ 3,060 บาทต่อไร่ ลดลงเหลือ 2,575 บาท หรือมีต้นทุนลดลงราวๆ 16% อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มผลผลิตจาก 451 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นอีก 108 กิโลกรัม เป็น 559 กิโลกรัมต่อไร่ หรือคิดเป็น 24% จากระยะแรกที่มีชาวนาเข้าร่วมโครงการหงษ์ทองนาหยอดเพียง 53 ราย พื้นที่ 573 ไร่ เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนชาวนาที่เข้าร่วมโครงการก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,086 ราย บนพื้นที่กว่า 40,000 ไร่ ขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวคุณภาพทั่วทั้งจังหวัดศรีษะเกษ อำนาจเจริญ และได้ไล่เรียงต่อยอดไปสู่จังหวัดอุบลราชธานีอีกด้วย แม้กรรมวิธีการทำนาหยอดจะได้ผลและตอบโจทย์แก่เกษตรกรอย่างชัดเจน แต่ด้วยข้อจำกัดของข้าวหอมมะลิที่ปลูกได้เพียง 1 ครั้งต่อปี ทำให้ผืนนาต้องไร้ซึ่งผลผลิตไปกว่าครึ่งปี ส่งผลกระทบกับความเป็นอยู่ของเหล่าเกษตรกรโดยตรง ซึ่งในช่วงนอกฤดูการทำนานั้น บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด จะส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชที่เป็นที่ต้องการในท้องตลาด พร้อมจัดหาเมล็ดพันธุ์ สอนวิธีการ รวมไปถึงเป็นตลาดรับซื้อผลผลิตให้กับเกษตรกร อาทิ ปลูกแตงโม ฟักทอง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง เป็นต้น
ชาวนาเชื่อมั่นใจโครงการหงส์ทองนาหยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม นางบัวผัน ผิวบาง ชาวนาบ้านโพนข่า ต.โนนข่า อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เข้าร่วมโครงการหงษ์ทองนาหยอดเป็นปีที่ 2 ตอนนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น ปีที่แล้ว 2560 ได้ผลผลิตทั้งหมด 4,340 กิโลกรัม ผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 620 กิโลกรัม มาปีนี้ 2561 ได้เพิ่มเป็น 4,795 กิโลกรัม ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นเป็น 685 กิโลกรัม จากจำนวนนาทั้งหมด 7 ไร่ และปีหน้าคิดว่าจะทำนาหยอดทั้งหมด 10 ไร่ จากที่เหลือไว้ 3 ไร่ทำนาหว่านข้าวเหนียวไว้สำหรับกินเองในครอบครัว ส่วนนาหยอดนั้นจะปลูกข้าวหอมมะลิ 105 ซึ่งสามารถลดต้นทุนได้กว่า 50% โดยเฉพาะค่าปุ๋ย ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการทำนา โดยผลผลิตทั้งหมดส่งขายให้แก่บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง ซึ่งจะรับซื้อผลผลิตทั้งหมดให้ราคาที่สูงกว่าท้องตลาด โดยบวกเพิ่มให้อีก 500 บาทต่อตัน นายบุญทัน ทองเบ้า ชาวนาบ้านโพนข่า ต.โพนข่า อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ อีกรายกล่าวว่า ตนได้เข้าร่วมโครงการหงษ์ทองนาหยอดตั้งแต่ปี 2558 ทำนาหยอดมา 3 ปี บนแปลงนา 20 ไร่ พื้นที่ทำนาหยอด 13 ไร่ พื้นที่ทำนาหว่าน 7 ไร่ โดยปีแรกได้ผลผลิต (ปี 58/59) จำนวน 8,125 กิโลกรัม ได้ผลผลิตต่อไร่จำนวน 625 กิโลกรัม และปี 59/60 ผลผลิต 7,189 กิโลกรัม และได้ผลผลิตต่อไร่ 553 กิโลกรัม และผลิตผลิตปี 60/61 ผลผลิตจำนวน 7,995 กิโลกรัม ได้ผลผลิตต่อไร่ 615 กิโลกรัม
ในปีหน้า 2562 คาดว่าจะทำนาหยอดทั้งหมด 20 ไร่ เพราะเห็นผลสำเร็จแล้วจากที่ได้เข้าร่วมโครงการเป็นอย่างดี และทางบริษัทยังเข้ามาช่วยดูแลการปลูกพืชหลังการทำนาเพื่อเป็นรายได้เสริม โดยพื้นที่ของตนนั้นได้ปลูกแตงโม ซึ่งทางบริษัทก็จะช่วยในเรื่องการตลาดให้ด้วยเช่นกัน ดร. วัลลภ มานะธัญญา กล่าวต่อไปว่า "โครงการหงษ์ทองนาหยอดไม่ใช่แค่การเพิ่มผลผลิตที่เน้นปริมาณของข้าวเท่านั้น เรายังเน้นเรื่องคุณภาพของข้าว เมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ 99% ที่เกษตรกรใช้ในโครงการถือเป็นคำตอบที่เราพยายามสร้างมาเกือบ 10 ปี ผลผลิตที่ได้จึงเป็นข้าวหอมมะลิคุณภาพดีมาก โดยเฉพาะข้าวล็อตแรกที่เราเรียกกันว่า 'ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู' เป็นข้าวที่มาจากโครงการหงษ์ทองนาหยอด ที่ปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์บริสุทธ์ ในแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ เป็นข้าวที่มีความเหนียวนุ่ม มีกลิ่นหอม และรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ เรานำมาสีและบรรจุให้เร็วที่สุดเพื่อผู้บริโภคได้ทานข้าวหอมมะลิใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งรุ่นนี้เรามีจำนวนจำกัด จึงเรียกว่า ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู รุ่น Limited Edition มีเพียงเท่านี้หมดแล้วหมดเลย"
"การสร้างข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศได้ จึงเป็นรางวัลที่ดีที่สุด และบ่งบอกความสำคัญของโครงการนาหยอดได้เป็นอย่างดี"
"สำหรับบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด เรามีอัตลักษณ์ขององค์กร คือ ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ มีน้ำใจ เราทุกคนถูกสอนให้ซื่อสัตย์สุจริต หากเราตกลงกับใครไว้เราก็ต้องทำให้ได้ แม้เราจะขาดทุนหรืออย่างไรก็ตาม เพราะนี่คือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบต่อคำมั่นสัญญา การดูแลชาวนาไทยไม่ได้เป็นการหยิบยื่นความหวังไปให้ แต่เป็นการสร้างความแข็งแรง ยั่งยืน ให้กับชาวนาไทย ให้เกิดจากภายในผืนนาของตนเอง ฟื้นฟูตัวเองเป็นกระดูกสันหลังที่แข็งแรง ช่วยให้ชาวนาไทยทุกคนได้ปลูกข้าวด้วยความภูมิใจอีกครั้ง" ดร. วัลลภ มานะธัญญา กล่าวทิ้งท้าย