MSN on September 27, 2018, 08:13:07 AM

Prof. Dr. Tobias Fischer, Prof. Dr. Rachita Dhurat, Dr. Adolf Klenk (vlnr)


Prof. Dr. Tamas Biro, Prof. Dr. Tobias Fischer, Dr. Marta Bertolini, PD Dr. Alexa Patzelt, Prof. Dr. Rachita Dhurat, Dr. Klenk (vlnr)


บทความประชาสัมพันธ์ ปัญหาผมร่วงแก้ไขได้โดยไม่ต้องใช้ยา




Dr. Adolf Klenk


ด้วยคติพจน์ของงานที่ว่า “เครื่องสำอางค์ : วิทยาศาสตร์เพื่อความงามและไลฟ์สไตล์” นักวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมโลกตบเท้าเข้าร่วมประชุมในวันที่ 18 -21 กันยายนที่ผ่านเมื่อ ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี จัดองค์กรซึ่งเป็นผู้นำด้านธุรกิจความงามและครื่องสำอางค์ IFSCC ( The International Federation of Societies of Cosmetic Chemists) ถือเป็นการประชุมที่ใหญ่ที่สุดในโลกเชิงวิทยาศาสตร์ด้านเครื่องสำอางค์ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 30 โดยประเด็นสำคัญในการประชุมในปีนี้เน้นไปที่เรื่องของคาเฟอีน

ครั้งแรกที่ส่วนผสมหลักที่ใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในเครื่องสำอางค์อย่างคาเฟอีนถูกจัดเป็นหัวข้อหลักในการบรรยายในหลายๆประเด็น


ความสนใจเชิงวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการกล่าวถึงเป็นพิเศษในปีนี้ คือ ส่วนผสมหลักที่ใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในเครื่องสำอางค์อย่างคาเฟอีนในการประชุมของ The International Federation of Societies of Cosmetic Chemists โดยนักวิทยาศาสตร์ 5 คนจาก 4 ประเทศได้ขึ้นบรรยายในหัวข้อ การพัฒนาและการประยุกต์ใช้สูตรเครื่องสำอางค์ที่ใช้คาเฟอีนเพื่อบำรุงผมและความงาม (Development and Application of Formulations Containing Caffeine for Hair Growth and Beauty) โดยผู้เชี่ยวชาญจากประเทศ อินเดีย ฮังการี ออสเตรีย และเยอรมนี ต่างกล่าวสุนทรพจน์ที่พูดถึงการใช้คาเฟอีนในประเด็นสรีรศาสตร์เกี่ยวกับเส้นผม

ผลการศึกษาการทดสอบที่แต่ยอมรับได้ยืนยัน – คาเฟอีนมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้ยาในการรักษาอาการผมร่วง
ผลลัพธ์เชิงบวกของคาเฟอีนที่มีต่อสุขภาพเส้นผมเป็นที่รู้จักและได้รับการพิสูจน์มากว่า 15 ปี สสารชนิดนี้ออกฤทธิ์กระตุ้นเส้นผม และป้องกันปัญหาผมร่วงโดยพันธุกรรม โดยงานวิจัยชิ้นล่าสุดชี้ว่าคาเฟอีนไม่ได้มีประสิทธิภาพด้อยไปกว่าสารที่มีสรรพคุณทางยาอย่าง ไมน็อกซิดิล (Minoxidil) ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ ราชิตา ธุรัท จากประเทศอินเดีย  (Prof.Dr. Rachita Dhurat) ได้นำเสนอผลการศึกษาระหว่างการประชุมใหญ่ IFSCC โดยสรุปว่า “เป็นที่น่าประหลาดใจมากที่พบว่า คาเฟอีน มีประสิทธิภาพเท่ากับยาไมน็อกซิดิลในปริมาณ 5%”

ปัญหาผมร่วงโดยพันธุกรรมไม่ใช่โรคแต่เป็นปัญหาด้านความโน้มเอียงทางพันธุกรรม
ปัญหาผมร่วงนับเป็นปัญหาระดับโลก โดย 80% ของกรณีนี้พบว่า ปัญหาผมร่วงไม่ได้เกิดจากการเจ็บป่วยแต่เป็นเรื่องของพันธุกรรม ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าปัญหาผมร่วมโดยพันธุกรรม หรือ แอนโดรเจเนติค อะโลพีเซีย (Androgenetic Alopecia) ผู้ที่เลือกใช้ยาในการรักษาปัญหานี้พึงระลึกไว้ว่า สสารที่สรรพคุณทางยาย่อมให้ผลข้างเคียง (ไม่ว่าจะเป็น อาการปวดหัว คันปจนถึงปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะ และอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ)

การใช้คาเฟอีนเป็นการรักษาทางเลือกสำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ปราศจากผลข้างเคียง
คาเฟอีนถือเป็นการรักษาทางเลือกสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาผมร่วงและไม่ต้องการเสี่ยงเรื่องผลข้างเคียง คาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นรากผมและป้องกันผลข้างเคียงเชิงลบของฮอร์โมนเพศชายที่ส่งผลต่ออาการผมร่วงก่อนวัย เมื่อรากผมได้รับการบำรุงโดยคาเฟอีนเป็นประจำจะช่วยป้องกันปัญหาผมร่วงโดยพันธุกรรมได้


รวมคำพูดจากผู้เชี่ยวชาญ
ศาสตราจารย์ ด้อกเตอร์ นายแพทย์ ฟิชเชอร์ (ออสเตรีย) Prof. Dr. mrd. Fischer (AUT)

ผลลัพธ์เชิงวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของคาเฟอีนปรากฏขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ยุค 70 ทุกวันนี้โลกกำลังพยายามมองหาสสารใหม่ๆ แต่เราได้ศึกษาสสารที่เคยได้รับการยอมรับและได้ค้นผลผลลัพธ์ใหม่ๆที่เกี่ยวกับสรีรศาสตร์ด้านเส้นผม


ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ ธุรัท (อินเดีย) Prof. Dr. Dhurat (IND)
ฉันประหลาดใจมากที่ได้รู้ว่า คาเฟอีน อาจมีประสิทธิภาพเท่ากับยาไมน็อกซิดิลในปริมาณ 5% และยิ่งประหลาดใจมากขึ้น เมื่อผลลัพธ์เปิดเผยว่า คาเฟอีนนั้นมีประสิทธิภาพเทียบเท่าไมน็อกซิดิล 5 %

ข้อมูลและตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหาผมร่วงจากทั่วโลก
อิหร่าน

•   70% ของชาวอิหร่านเชื่อว่าปัญหาผมร่วงมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในสังคม โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม
•   24% ของชาวอิหร่านเลือกที่จะมีชีวิตที่สั้นลงเพื่อแลกกับผมที่เสียไป หรือแลกกับการที่จะไม่ต้องหัวล้าน
•   ผมร่วงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด (41%) รองลงมาคือกลิ่นตัว (28%) ในขณะที่ปัญหาน้ำหนักเกินและปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์มีความกังวลในระดับเดียวกัน (14%)
ผลสำรวจจัดทำโดย JSR Market Research เดือนกรกฏาคม 2561 โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชายจำนวน 800 คน เพศหญิง 200 คน

แอฟริกาใต้
•   เกือบ 40% ของผู้ชายในผลสำรวจเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาผมร่วง
•   เกือบ 40% ของผู้ชายตอบว่าปัญหาผมร่วงน่ากังวลกว่าปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
•   34% ตอบว่าปัญหาผมร่วงส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองของพวกเขา
•    25% ตอบว่าปัญหาผมร่วงจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตในสังคมของพวกเขา
ผลสำรวจจัดทำโดย Plus 94 Research ในปี 2556 โดยสำรวจผู้ชายจำนวน 600 คน ในช่วงอายุ 20-65 ปี

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
•   เกือบ 50%  ของผู้ชายและผู้หญิงในผลสำรวจที่อายุต่ำกว่า  30 ปีเคยมีปัญหาเกี่ยวกับผมร่วง
•   ผู้ชายในผลสำรวจ มองว่าปัญหาผมร่วงถือเป็น 1 ใน 2 ปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย โดยให้ความสำคัญมากกว่าปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
•   กว่า 5 ใน 10 ของผู้ชายในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กล่าวว่าปัญหาผมร่วงนำไปสู่ปัญหาด้านจิตวิทยาและปัญหาทางสังคมอื่นๆ
•   55% ของผู้ชายที่มีปัญหาผมร่วงกล่าวว่า พวกเขายอมที่จะให้ชีวิตสั้นลงแลกกับการมีผมงอกขึ้นมาใหม่
ผลสำรวจจัดทำโดย YouGov ในปี 2558 โดยมีผู้เข้าร่วมการสำรวจจำนวน 1,100 คนเป็นเพศชายและเพศหญิงที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

ฮ่องกง
•   47% ของผู้ชายประสบปัญหาผมร่วง
•   46% ของผู้ชายยอมมีชีวิตที่สั้นลงเพื่อแลกกับการมีผมงอกขึ้นมาใหม่
•   31% ของผู้ชาย มีความกังวลเรื่องผมร่วงมากกว่าปัญหาด้านเพศสัมพันธ์หรือปัญหาน้ำหนักเกินมาตรฐาน
•   39% ของผู้ชายทั้งหมดกล่าวว่าปัญหาผมร่วงทำให้เกิดความเครียด
ผลสำรวจจัดทำโดย K Marketing & Communication ในปี 2556 โดยมีผู้เข้าร่วมการสำรวจเป็นเพศชาย จำนวน 560 คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปแลนด์
•   2 ใน 3 ของผู้ชายโปลิชประสบปัญหาผมร่วง
•   เกือบ 3 ใน  4 ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าปัญหาผมร่วงส่งผลต่อความเชื่อมั่นใสตัวเอง หรืออาจจะส่งผล หากพวกเขาประสบปัญหาผมร่วงในชีวิตจริง
•   40%ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมแลก 1 ปีกับการไม่ดื่อมเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เพื่อแลกกับผมที่มีสุขภาพดี
•   น่าแปลกใจที่มีเพียง 1 ใน 3 ของผุ้ตอบแบบสอบถามที่ตอบว่าพวกเขาเคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันปัญหาผมร่วง
ผลสำรวจจัดทำโดย GfK ในปี 2559 โดยมีผู้เข้าร่วมการสำรวจเป็นเพศชาย จำนวน 1,012 คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

ฮังการี
•   ปัญหาน้ำหนักเกินมาตรฐานเป็นปํยหาด้านร่างกายที่ชายชาวฮังการีกังวลมากที่สุด (26%) ตามด้วยปัญหาผมร่วง (14%)
•   22% ของผู้หญิงชาวฮังการีไม่ยอมออกเดทกับผู้ชายหัวล้าน (ผู้ชายที่มีปัญหาผมร่วง)
•   ผู้หญิงชาวฮังการีจำนวนกว่า 90% มองว่าผู้ชายที่ภาพลักษณ์ภายนอกดูดี คือผู้ชายที่ดูสะอาด โดยผมที่มีสุขภาพดีถือเป็นปัจจัยสำคัญลำดับที่ 3 (16%)
ผลสำรวจจัดทำโดย Merlin Communications ในปี 2557 โดยมีผู้เข้าร่วมการสำรวจเป็นเพศชายและเพศหญิง จำนวน 1,001 คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
« Last Edit: September 27, 2018, 02:52:31 PM by MSN »