ไฮเนเก้น เซ็นเตอร์พีส
เสร็จสิ้นกันไปเรียบร้อยแล้ว ศึกกอล์ฟแห่งศักดิ์ศรีสองทวีป เอเชีย-ยุโรป “เดอะ รอยัล โทรฟี่ 2010” ซึ่งดำเนินการจัดแข่งขันกันมาเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ณ สนาม อมตะ สปริง คันทรีคลับ ระหว่างวันที่ 8-10 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา
ในปีนี้ ยังคงมี บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ ไฮเนเก้น เป็นหนึ่งในสปอนเซอร์หลักในการดำเนินการจัดแข่งขันเหมือนเช่นเคย โดยความพิเศษในครั้งนี้ อยู่ที่ทาง ไฮเนเก้น ที่ได้ลงทุนเนรมิต “ไฮเนเก้น เซ็นเตอร์พีส” ขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 5 จุดหลักๆ นั่นก็คือ 1. Giant Heineken Bottle หรือแลนด์มาร์ค ซึ่งเป็นจุดเด่นของ ไฮเนเก้น เซ็นเตอร์พีส ที่ไม่ว่าใครจะเดินมาก็ต้องสะดุดตากับขวดเบียร์ยักษ์ที่เต็มไปด้วยลูกกอล์ฟจำนวนมากกว่า 17,000 ลูก ที่เปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมสนุกลุ้นผู้โชคดีหนึ่งเดียวที่ได้ไปกระทบไหล่เหล่าโปรกอล์ฟชั้นนำ และยังได้ร่วมออกรอบจริงแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ สนามอมตะ สปริง คันทรีคลับ ซึ่งมีผู้ชมกว่า 5,000 คน เข้าร่วมเล่นเกม โดยผลปรากฏว่าผู้โชคดีตกเป็นของ มร. เอียน เอ็ดเวิร์ด นั่นเอง
2. The Legend Zone ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ exhibition หรือนิทรรศการเล็กๆ ที่จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ของ ไฮเนเก้น กับการสนันสนุนกอล์ฟที่มีมาโดยตลอด พร้อมร่วมตามรอยการแข่งขัน เดอะ รอยัล โทรฟี่ ครั้งที่ผ่านๆ มา, ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเบียร์ระดับพรีเมี่ยมอย่าง ไฮเนเก้น และ ทราบถึงความเป็นมาของนักกอล์ฟ รวมทั้งยังมีการนำถ้วยโทรฟี่ของจริง มาตั้งตระหง่านที่ “ไฮเนเก้น เซ็นเตอร์พีส” อีกด้วย
3. The Royal Trophy Map Download การดาวน์โหลดข้อมูลพร้อมแผนที่ลงบนมือถือของตัวเอง เพื่อสะดวกในการติดตามดูนักกอล์ฟโปรด 4. Souvenir Shop ของที่ระลึกสำหรับแฟนพันธุ์แท้ของ ไฮเนเก้น และ รอยัลโทรฟี่ และ 5. Star View พื้นที่พร้อมเบียร์เย็นๆ ที่เตรียมไว้บริการในวันอากาศร้อนๆ พร้อมนั่งชมการแข่งขันสดๆ จากจอขนาดยักษ์ พร้อมอัพเดทผลการแข่งขันนาทีต่อนาที แบบไม่ต้องเกาะขอบสนามให้เหนื่อย
โดยในครั้งนี้ ทาง ไฮเนเก้น ยังได้จัดให้มีการประมูลเสื้อพร้อมลายเซ็นของนักกอล์ฟ ทั้ง 3 ตัว โดยผลการประมูลปรากฏว่า เสื้อ ออลสตาร์ ทีม ตกเป็นของ คุณวัชระ แก้วสว่าง ในราคา 28,000 บาท และเสื้อของทีมเอเชีย และทีมยุโรป ตกเป็นของ มร. ทอม เพนน์ ที่ประมูลไปในราคาตัวละ 7,000 บาท ซึ่งรายได้จากประมูลในครั้งนี้ ทาง ไฮเนเก้น ยังเตรียมที่จะนำไปมอบให้กับมูลนิธิพระดาบส และทาง ไฮเนเก้น ยังจะเพิ่มรายได้จากการขายของ premium/ souvenir จากงาน รอยัล โทรฟี่ 2010 อีก เป็น 100,000 บาท เพื่อสมทบให้มูลนิธิพระดาบสต่อไป
ซึ่งทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ ไฮเนเก้น เนรมิตขึ้นเพื่อมอบความสุขให้กับแฟนๆ ชาว ไฮเนเก้น และ รอยัล โทรฟี่ โดยเฉพาะ แล้วกลับมาพบกันใหม่ ในปีหน้า กับ รอยัล โทรฟี่ 2011 เหมือนเช่นเคย